ตอนที่ 69
หากเป็นวงบอยแบนด์ทั่วไป เวลาจะจ้างงานก็สามารถจ่ายค่าตัวแบบยกวงซึ่งส่วนใหญ่จะไม่สูงมากนัก แต่ไม่ใช่คิสมี เพราะ 5 หนุ่มของคิสมี “ขายแยก” ได้สบายๆ ฉะนั้นถ้าผู้จัดรายไหนอยากได้คิสมี ค่าตัวจึงเท่ากับจ้างศิลปินดังๆคราวละ 5 คน แม้จะมีค่าตัวสูงลิบลิ่วขนาดนั้น แต่คิวงานของคิสมีก็แน่นเสียจนหลายๆ งานต้องถูกปฏิเสธหรือขอเลื่อนออกไป
ในบรรดา 5 หนุ่มของคิสมี มีเพียงตะวันกับริวเท่านั้นที่ไม่รับงานเดี่ยว สำหรับริวนั้นมีข้อยกเว้นในกรณีที่งานไหนจ้าง “คู่” ก็คือมีพสุไปด้วย ริวถึงจะรับงาน กอปรกับช่วงนี้เพลงคู่ของพสุกับริวกำลังมาแรงมาก ทำให้งานคู่ค่อนข้างถี่ และละครของริวที่กำลังออกอากาศก็สร้างแฟนเพลงจากกลุ่มคนดูละครได้อีกมหาศาล
แต่ตะวันยังคงไม่รับงานเดี่ยวอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มจะรับงานก็ต่อเมื่อไปยกวง และอีกข้อแม้คือ เขาไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัวในทุกกรณี แม้จะโดนสื่อมวลชนด่าแค่ไหน ตะวันก็ยังคงยึดมั่นกับข้อแม้ของตัวเองอย่างเหนียวแน่นชนิดที่ใครก็บังคับเขาไม่ได้
วันนี้เป็นวันที่คิสมีออกงานร่วมกันทั้งวง กรเวชจึงทำหน้าที่ดูแลศิลปินเพียงคนเดียว เนื่องจากเป็นงานเปิดตัวเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทางผู้จัดอยากให้ 5 หนุ่มช่วยโปรโมทสินค้าด้วยการเล่นเกมกับคนดู ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกมง่ายๆ แต่เปลืองเนื้อเปลืองตัวสักหน่อย เพราะรางวัลนั้นเป็นการทำตามคำขอของผู้ชนะ อาจจะโดนขอให้กอดหรือหอมแก้ม กรเวชจึงจำเป็นต้องไปคุยให้ “เคลียร์” ในกติกาเสียก่อน ทั้ง 5 หนุ่มจึงถูกปล่อยให้พักผ่อนในห้องรับรอง
“เป็นอะไรไป สีหน้าไม่ดีเลย” ตะวันถามเสียงเรียบ หลังจากสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของพสุมาได้สักพัก
“ไม่มีอะไรหรอก” พสุตอบปฏิเสธด้วยสีหน้าปกติ แต่ประกายไหววูบในดวงตาฟ้องว่าเจ้าตัวกำลังมีปัญหา และลำบากใจที่จะพูดให้ใครฟัง
“อืม...ถ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมจะฟังนายนะ”
“แต๊งตะวัน...” พสุตอบรับหน้าเจื่อนๆ และไม่ยอมสบตาเขาเหมือนเคย
“อืม”
“พี่ไผ่...” เสียงเรียกนำมาก่อน ที่ร่างสูงๆ จะวิ่งปรูดมายืนชิดหลังพสุ
“นี่ๆ พี่ฟังนี่สิครับ” ริวพูดอย่างตื่นเต้นแล้วยื่นหูฟังข้างหนึ่งมาให้ พสุรับไปฟังแล้วเลิกคิ้ว สีหน้าที่ดูไม่สบายใจเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความยินดีก่อนที่พสุจะหันมายิ้มกว้างให้ตะวัน
“วงเราได้รับคะแนนโหวตเป็นศิลปินสุดฮอตแห่งปี และได้รางวัลเพลงยอดเยี่ยมด้วย...เราได้สองรางวัลเลยตะวัน” พสุบอกด้วยน้ำเสียงสดใส รางวัลอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดแต่ก็เป็นยาชูใจของคนทำเพลงทุกคนที่รู้ว่าผู้ฟังให้การยอมรับผลงานของตนเองมากแค่ไหน
“เจ๋ง” ตะวันตอบแล้วชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มล้วงออกมากดรับโดยไม่ต้องมองหน้าจอ เพราะคนรู้เบอร์ของเขามีแค่เพื่อนๆ ในวง กรเวช และ...ผู้จัดการคนใหม่ของเขาเท่านั้น
“ตะวัน! คิสมีได้สองรางวัลเลยรู้หรือยัง” น้ำเสียงตื่นเต้นที่ลอดมาในสายทำให้มุมปากบางยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“รู้แล้ว...โทรมาเรื่องแค่นี้อะนะ” ชายหนุ่มทำเสียงเรียบๆ ติดจะรำคาญด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายก็ยังตื่นเต้นดีใจไม่เลิก
“อะไรเรื่องแค่นี้ นี่เรื่องใหญ่เลยนะ ต้องฉลองรู้ป่ะ”
“เออน่า...” ตะวันตอบแล้วชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาสงสัยของพสุกับริว ชายหนุ่มรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาดื้อๆ จึงเผลอพูดเสียงห้วนไปกับปลายสาย
“แค่นี้นะจะทำงาน”
“...เอ่อ...ขอโทษนะ ไม่รู้ว่าทำงานอยู่...งั้นแค่นี้นะ บาย” น้ำเสียงหงอยๆ ของคนปลายสายทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ตะวันก็ยังคงเก็บความรู้สึกนั้นไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“ริว...พี่อยากกินน้ำกีวี ริวไปซื้อให้พี่หน่อยสิ ตู้ขายน้ำอยู่ข้างๆ ห้องนี่แหละ”
“ครับ” ริวรับคำแล้วลุกออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทีหลังเวลาเขิน นิ่งเสียบ้างก็ได้นะ” พสุบอกยิ้มๆ ตาเป็นประกายวาววับล้อเลียน
“อะไร...” ตะวันถามเสียงห้วนแทบเป็นกระชาก หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ไม่ใช่กับพสุ
“ก็ไม่อะไร...แต่จะไม่โทรไปหาสักหน่อยเหรอ ป่านนี้น้อยใจแล้วมั้ง”
“ไม่ใช่เรื่อง...” ตะวันทำเสียงขุ่น หน้าบึ้ง แต่โหนกแก้มเป็นสีระเรื่อ ชายหนุ่มลุกพรวดแล้วเดินออกไปจากห้องสวนกับริวที่เดินถือกระป๋องน้ำหน้าเหรอหรามาให้พสุ
“พี่ตะวันโกรธอะไรเหรอครับ”
“พี่ไปกระตุกหนวดเสือเข้าน่ะ” พสุตอบยิ้มๆ แล้วรับน้ำผลไม้ทั้งสองกระป๋องมาเปิดยื่นให้ริวก่อนด้วยความเคยชิน
“ยังไงครับ?” ริวจิบน้ำไปจ้องหน้าพสุไปด้วยความสงสัย
“ก็....ไม่มีอะไร” พสุตอบยิ้มๆ แล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ริวแม้จะยังข้องใจ แต่เมื่อพสุไม่พูดเด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะซักถามเพราะนี่เป็นเรื่องของตะวัน ไม่ใช่เรื่องของพสุ เด็กหนุ่มจึงเลิกใส่ใจเพียงเท่านั้น
“พี่...ค่ำนี้ริวต้องเข้าออฟฟิศ พี่ไปกับริวนะ”
“เพลงยังไม่เรียบร้อยเหรอ?”
“อีกนิดหน่อยครับ พี่เผ่าอยากให้มันสมบูรณ์แบบกว่านี้”
“ก็เอาสิ”
“ขอบคุณครับ” ริวตอบแล้วขยับเข้ามาใกล้จนพสุชะงัก นึกว่าเด็กหนุ่มจะเข้ามากอด แต่ริวเพียงแค่เอาหูฟังมาใส่ให้เขาอีกข้าง เพื่อให้ฟังเพลงใหม่ที่เพิ่งแต่งทำนองเสร็จเท่านั้น แม้ริวจะไม่ได้กอดเขาตามที่เคยรับปากไว้ แต่เด็กหนุ่มก็ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตัวไม่ยอมห่าง
...................................................................
พอกลับมาถึงบ้านพัก ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน พสุสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบรัดรอบตัวเขาแน่นทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง
“อะ...อะไรริว” พสุถามเสียงพร่า ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าพออยู่กันตามลำพังริวต้องเข้ามากอดเขาแน่ๆ
“ริวอยากกอดพี่ใจจะขาด” ริวบอกเสียงเบา แล้วซุกหน้าไว้กับต้นคอเขา ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดซอกคอทำให้พสุร้อนวาบไปทั้งตัว ชายหนุ่มพยายามจะดึงแขนที่โอบรอบเอวออกแต่ริวไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“ปล่อยเถอะ พี่อึดอัด อยากอาบน้ำ” พสุปรามเสียงเรียบทั้งที่ในใจปั่นป่วนราวกับมีพายุ
“ไม่เอา” ริวปฏิเสธทันควันแล้วกอดรัดชายหนุ่มแน่นกว่าเดิม
“เดี๋ยวจะต้องเข้าออฟฟิศไม่ใช่เหรอ รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า” ชายหนุ่มรีบยกเรื่องงานขึ้นมาอ้าง เพราะดูจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในเวลานี้
“เดี๋ยวก่อนได้ไหม ริวยังได้กอดพี่นิดเดียวเอง” ริวทำเสียงอ้อนแบบที่เคยใช้ได้ผลมาตลอด แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้...
“ไม่ได้ ไปเร็วๆ ไปอาบน้ำ” พสุทำเสียงดุแกมเอ็นดู ก่อนจะปลดแขนริวออกจากเอวได้สำเร็จแล้วดันหลังให้เด็กหนุ่มกลับไปอาบน้ำที่ห้องตัวเอง
“ก็ได้...อาบน้ำแล้วริวกอดพี่ใหม่ได้ไหม?”
“ไปอาบน้ำ”
ริวยังไม่วายต่อรอง แต่โดนดุสำทับจึงได้แต่หน้าจ๋อย
“ครับ”
พอไล่เด็กหนุ่มกลับไปอาบน้ำห้องตัวเองได้พสุก็รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน ทั้งที่เขาคิดว่าใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำน้อยกว่าปกติแล้วแท้ๆ แต่เมื่อออกจากห้องน้ำก็พบว่าริวมานอนรออยู่บนเตียงแล้ว พอเห็นหน้าเขา เด็กหนุ่มก็ลุกปราดเข้ามากอดเขาไว้แน่น
“ริว! จะกอดพี่ทำไมนักหนา” พสุทำเสียงแข็งแล้วปลดแขนริวออกพร้อมกับเดินหนีแต่ริวตามมายึดแขนเขาไว้แน่น
“ทำไมล่ะ ริวกอดพี่ไม่ได้เหรอ?”
“ก็พี่อึดอัด” พสุตอบแล้วไม่กล้ามองหน้าริว กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนอีก
“แต่พี่สัญญากับริวเองนะ ว่าถ้าอยู่กันลำพังสองคน พี่จะไม่ห้ามไม่ให้ริวกอดพี่”
“แต่...”พสุอึกอัก เพราะเขารับปากริวไปอย่างนั้นจริงๆ
“ไม่รู้แหละ ริวจะกอด” ไม่แค่เถียงแต่ริวยังโถมเข้ากอดแรงจนพสุหงายหลังล้มลงไปบนที่นอน ชายหนุ่มขยับจะลุกขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ริวก้มหน้าตามลงมา ใบหน้าของทั้งคู่จึงหยุดอยู่ห่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น พสุขยับจะถอยแต่ริวกลับแนบปากจมูกตามติดมาบนแก้มเขา!
“ริวทำอะไร!” พสุเอ็ดแกมอุทานด้วยความตกใจ แม้ริวจะทำอาการเหมือนยื่นหน้ามาชนแก้มเขาแล้วถอยห่างก็ตาม แต่พสุก็ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกต่อไป
“ทำไมล่ะ...ทีพี่ยังจูบริวได้เลย” คำตอบเสียงซื่อตาใสของคนตรงหน้า ทำให้พสุนอนตะลึง ตัวชาวาบด้วยความตกใจ
“ริวรักพี่นะ ทำไมริวจะจูบพี่ไม่ได้” ริวถามซ้ำแล้วแนบใบหน้าลงบนอกของพสุหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
พสุดันไหล่เด็กหนุ่มออกห่างแล้วรีบลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับริวด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ตะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มถามละล่ำละลัก ขณะที่คนฟังจ้องเขาตาแป๋วอย่างงุนงง
“อะไรครับ”
“พี่ไป..จะ...จูบริวตั้งแต่เมื่อไหร่?” พสุถามเสียงพร่ารู้สึกถึงเหงื่อเย็นๆไหลตามแผ่นหลัง
“ก็...ตอนที่ไปเกาหลี พี่ก็จูบริว แล้วเมื่อคืนพี่ก็จูบริวนะ ถึงริวจะหลับๆ ตื่นๆ แต่ริวก็รู้สึก” ริวอธิบายแล้วส่งยิ้มให้พสุ พลางขยับเข้ามาหาขณะที่พสุนั่งตัวแข็งค้าง หมายความว่าที่ผ่านมาริวรู้ตัวมาตลอดว่าโดนเขาจูบ...
“ริวรู้!”
“ครับ...ริวชอบ เวลาพี่จูบริวอุ่นดีออก ริวชอบ ริวมีความสุขมากๆ เลย”
ริวตอบแล้วยิ้มแป้น ดวงตากลมโตไร้เดียงสาเป็นประกายวาววับด้วยความสุข ราวกับกำลังพูดเรื่องขนมของโปรด หรืออะไรสักอย่าง ไม่ใช่เรื่องช็อกความรู้สึกจนพสุพูดไม่ออกอย่างตอนนี้
“ทำไมพี่ทำหน้าอย่างนั้นล่ะ พี่โกรธริวเหรอ?” ริวถามแล้วจ้องหน้าพสุด้วยสายตางุนงงแกมเป็นกังวล
“ริว...มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ...มัน...คือตอนนั้น...เอ่อ...พี่...”พสุพูดไม่ออก ความรู้สึกผิดและละอายถาโถมเข้ามาจนเหมือนในลำคอจุกแน่นไปหมด เขาจะบอกกับริวว่ายังไงดี...
“ไม่ดีตรงไหน ก็ริวรักพี่ พี่ก็รักริว”
“แบบน้อง!” พสุตอบสวนทันควันดังแทบเป็นตะโกน จนเด็กหนุ่มสะดุ้ง หน้าตาเหรอหราด้วยความตกใจ
“ฮื่อ...ก็แล้วทำไมพี่จะจูบริวไม่ได้ล่ะ”
“ริว ผู้ชายน่ะเขาไม่...” พสุพูดไม่ออก ถ้าเขาบอกริวว่าผู้ชายกับผู้ชายจูบกันมันไม่ใช่เรื่องปกติวิสัย แล้วริวจะคิดกับเขายังไง เพราะเขาเองที่เป็นคนไปจูบเด็กหนุ่ม เขาประมาทเกินไปที่คิดว่าริวจำไม่ได้ น้องจำได้ แต่เพราะความไร้เดียงสาทำให้ริวไม่รู้สึกว่านั่นคือสิ่งผิดแปลกแต่อย่างใด พสุมัวแต่หาเหตุผลมาอธิบายกับริว จึงไม่ทันระวังเมื่อเด็กหนุ่มจู่โจมจูบเขาอีกครั้ง
“ริว!” พสุอุทานแล้วรีบดันใบหน้าของเด็กหนุ่มออก เมื่อรู้ตัวว่าโดนริวจูบ ถึงจะแค่เอาปากมาชนปากเขาก็ตาม
“ทำไมล่ะ พี่ยังจูบริวได้เลย ริวก็อยากจูบพี่เหมือนกัน” ริวถามด้วยสีหน้างุนงง เหมือนไม่เข้าใจว่าพสุผลักเขาออกห่างทำไม
“ก็ตอนนั้นพี่เมา” พสุแก้ตัวเสียงสั่น พยายามถอยหนีแต่ริวก็ขยับตัวตามติด
“แต่เมื่อคืนพี่ไม่ได้เมา”
“พี่ก็แค่ละเมอ” พสุเถียงเสียงห้วนขึ้นเรื่อยๆ จนริวชะงัก นั่งมองหน้าเขานิ่ง
“แล้วถ้าไม่เมา ไม่ละเมอพี่จะไม่จูบริวเหรอ?”
สีหน้าไร้เดียงสานั้นทำให้พสุยิ่งรู้สึกละอายแกมโมโหตัวเอง จนเผลอโพล่งออกมาเสียงดัง
“ถ้ามีสติใครจะไปทำบ้าๆ แบบนั้น!”
ริวหน้าเสีย เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าพสุด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ริวไม่เข้าใจ ทำไมพี่จูบริวได้ แต่ริวจูบพี่ถึงกลายเป็นว่าริวทำเรื่องบ้าๆ” ริวถามเสียงสั่น แต่กลับยิ่งเป็นการตอกย้ำความผิดพลาดให้พสุยิ่งรู้สึกรังเกียจตัวเองจนกลายเป็นความโกรธ
“มันไม่ใช่แค่นั้นริว ผู้ชายกับผู้ชายเขาไม่จูบกันหรอก มันผิดปกติ!...มันเป็นเรื่องน่ารังเกียจ น่าอาย ริวเข้าใจไหม!” เผลอตวาดออกไปแล้วพสุก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง เมื่อเห็นหยาดน้ำใสๆ ร่วงผล็อยจากตาโต สายตาที่มองเขาทั้งตัดพ้อ น้อยใจ และเสียใจจนพสุทำอะไรไม่ถูก
“ริว...คือพี่...”
“ริวไม่รู้ว่าพี่รังเกียจริว...ขอโทษครับ” ริวผุดลุกขึ้นแล้วผลุนผลันออกไปจากห้อง
พสุลุกจะตามไปแต่ขากลับก้าวไม่ออกดื้อๆ เขาจะบอกกับริวว่ายังไง จะอธิบายอะไรกับน้องดี ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดริว แต่เป็นความผิดของเขาเอง เขาเป็นคนเริ่ม เป็นคนไปจูบน้อง ริวไร้เดียงสาขนาดนั้นย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดาว่านั่นเป็นเรื่องผิดปกติ เขาเป็นคนทำให้ริวเข้าใจผิดแล้วเขาก็ยังเป็นคนทำร้ายความรู้สึกริวซ้ำอีก
พสุตัดสินใจตามไปหาริวที่ห้อง ยังไงเสียคืนนี้เขาก็ต้องอธิบายทุกอย่างให้ริวเข้าใจ แม้ว่าต่อไปเขากับริวจะมองหน้ากันไม่สนิทเหมือนเดิม แต่พสุก็เชื่อว่าความผูกพันที่พวกเขามีให้กันมาตลอด จะทำให้ริวยอมรับฟังเหตุผลเขาได้บ้าง
“ริว...ริว...เปิดประตูหน่อย พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” พสุเคาะห้องอยู่ครู่ใหญ่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ชายหนุ่มจึงลองหมุนลูกบิดก็พบว่าห้องไม่ได้ล็อค
“ริว...” พสุเรียกซ้ำแล้วหันไปเปิดไฟเพราะเห็นว่าไม่มีคนตอบ ก็พบว่าริวไม่ได้อยู่ในห้อง ชายหนุ่มเดินไปดูในห้องน้ำก็ไม่พบจึงปิดไฟแล้วเดินออกมายืนคว้างอยู่หน้าห้อง
มืดค่ำป่านนี้แล้วริวจะไปไหนได้...พอคิดว่าริวจะหายไป พสุก็สะดุ้งใจหายวาบด้วยความตกใจ คราวที่แล้วเพราะน้อยใจเขา ริวก็ออกไปเดินคนเดียวทั้งที่ไม่รู้จักถนนหนทางในเกาหลีจนไปถูกตำรวจจับ แม้ตอนนี้จะอยู่เมืองไทย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าริวจะเตลิดไปถึงไหน
พสุวิ่งกลับไปที่ห้อง หยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถ ขณะที่เดินลงไปที่รถก็โทรหาริวไปด้วย แต่เด็กหนุ่มไม่รับสาย
“รับสิริว...รับสิ ปัดโธ่ริว!” พสุสบถเบาๆ ด้วยความร้อนใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันเดินขึ้นบันไดสวนมาพอดี
“มีอะไรไผ่”
“นายเห็นริวบ้างไหมตะวัน”
“เห็น...ก็ทำงานอยู่กับพี่เผ่า” ตะวันตอบรับด้วยสีหน้างุนงง
“อะไรนะ...บ้าจริง! ลืมไปได้ไงเนี่ย” พสุอุทานแล้วถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก เขาลืมไปเลยว่าทรงเผ่านัดริวเข้าไปห้องอัด ชายหนุ่มทรุดลงนั่งบนขั้นบันไดแล้วลูบหน้าที่มีแต่เหงื่อพลางถอนใจยาวซ้ำอีกที
“ทะเลาะกันเหรอไผ่” ตะวันหยุดยืนมองกิริยานั้นแล้วถามคำถามที่ทำเอาพสุเกือบสะดุ้ง
“ทำไมนายถามแบบนั้น” พสุถามเสียงแผ่ว แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับตะวัน
“สีหน้าริวไม่ดีเลย ดูท่าทางเหม่อๆ ด้วย ถามอะไรก็ไม่พูด”
“...........................” คำตอบของตะวันยิ่งทำให้พสุรู้สึกแย่กว่าเดิมจนพูดอะไรไม่ออก เพราะรู้ดีแก่ใจว่าใครทำให้ริวเป็นแบบนั้น
“ฉันว่านายรีบคุยกันให้เคลียร์ดีกว่า บอกตรงๆ ว่าเห็นสีหน้าริวแล้วฉันไม่สบายใจ”
“อืม...” พสุรับคำแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกลับเข้าห้อง ชายหนุ่มลังเลที่จะตามริวไปที่ออฟฟิศ เขาเกรงว่าถ้าเห็นหน้าเขาริวอาจจะไม่มีสมาธิทำงาน หรือไม่ถ้าริวเกิดงอแงขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็นว่าไปทะเลาะกันให้คนอื่นรู้เห็นเปล่าๆ...ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับริว มันน่าละอายเกินกว่าที่จะให้ใครมารับรู้ เขาต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง และต้องรีบแก้ให้เร็วที่สุดด้วย
เกือบตี 2 ทรงเผ่าถึงได้ขับรถพาริวมาส่ง พสุนอนไม่หลับจึงลงไปเปิดประตูรับทันทีที่ได้ยินเสียงบีบแตรเรียก
พอเห็นว่าคนมาเปิดประตูเป็นเขา ริวก็ชะงักแล้วเดินเลี่ยงเข้าบ้านไปโดยไม่มองหน้าพสุสักนิดเดียว ยิ่งทำให้พสุใจหาย ริวไม่เคยเมินเขา ไม่ว่าเขาจะดุแรงสักแค่ไหน อย่างมากเด็กหนุ่มก็ร้องไห้ และพยายามจะพูดคุยกับเขาให้ได้ แต่คราวนี้ริวกลับหลบเขา แม้แต่หน้าก็ไม่ยอมมอง ทำให้ยิ่งร้อนใจอยากตามไปคุยให้รู้เรื่อง แต่ชายหนุ่มก็ต้องหยุดสนทนากับทรงเผ่าที่อุตส่าห์พาริวมาส่งถึงบ้าน
“ขอบคุณมากครับพี่เผ่าที่พาริวมาส่ง” พสุยกมือไหว้ทรงเผ่า พยายามควบคุมกิริยาให้สงบทั้งที่ใจแล่นตามริวขึ้นไปนานแล้ว
“ไผ่ดูน้องหน่อยนะ สงสัยจะไม่สบาย” ทรงเผ่าบอกเสียงเรียบแต่สายตาที่มองเข้าไปในบ้านดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ริวเป็นอะไรครับ?” พสุถามเสียงร้อนรนด้วยความเป็นห่วง
“ก็เมื่อกี้ กำลังทำงานอยู่ก็วิ่งไปอาเจียน ให้กลับมาพักก็ไม่ยอมมา จนอาเจียนอีกรอบ พี่ก็เลยลากกลับมานี่แหละ...ถ้ายังอาเจียนอีกพี่ว่าต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ อาจจะอาหารเป็นพิษก็ได้”
“ขอบคุณครับพี่เผ่า งั้นเดี๋ยวผมไปดูริวก่อน” พสุยอมเสียมารยาทด้วยการไม่เชิญอีกฝ่ายเข้าบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเป็นห่วงริวจนแทบจะทิ้งทรงเผ่าไว้คนเดียวแล้ว
“ไปเถอะ” ทรงเผ่าตอบรับอย่างเข้าใจก่อนจะหันกลับไปที่รถ พสุปิดประตูแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนทันที
“ริว...ริว...เปิดประตูให้พี่หน่อย”พสุเคาะประตูเรียกอยู่หลายรอบ แต่ริวก็ไม่ขานรับ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจพรวดด้วยความร้อนใจ หากไม่ติดว่าตอนนี้ดึกมากแล้วเขาคงโทรไปถามหากุญแจสำรองจากแม่บ้าน พสุหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจโทรหาริว ตอนแรกเขาคิดว่าริวจะไม่รับสาย แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รับโทรศัพท์จนได้
“ครับ” น้ำเสียงเบาๆ ที่ลอดมาตามสายทำให้พสุใจชื้นขึ้นมาทันที อย่างน้อยริวก็ยังไม่เป็นอะไร
“ริวครับ เปิดประตูให้พี่หน่อย” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อยากให้ริวรู้ว่าเขาอยากคุยด้วยจริงๆ
“ริวจะนอนแล้ว” เสียงสั่นเครือที่มาตามสายทำให้พสุใจหายวูบ น้องอาจจะ...ร้องไห้...
“ริว พี่ว่า...” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะยกเหตุผลมาอ้างให้ริวเปิดประตู เด็กหนุ่มก็พูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ริวเหนื่อย”
น้ำเสียงเศร้าๆ นั้น ทั้งอ่อนล้าและน้อยใจจนพสุยังรู้สึกได้ ชายหนุ่มยืนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้จะทำยังไงให้ริวยอมเปิดประตูให้เขาเข้าไป
“เอ่อ...พี่เผ่าบอกพี่ว่าริวไม่สบาย ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” พสุถามซ้ำด้วยความเป็นห่วง เขาไม่รู้ว่าทำไมริวถึงอาเจียน อาจจะเจ็บป่วยหรืออาจจะเพราะ...เขา ไม่ว่าจะสาเหตุไหน ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ดี
“...ครับ” ริวรับคำเบาๆ หลังจากเงียบไปนานจนพสุเกือบถอดใจ
“งั้นก็นอนพักเถอะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ หรือไม่ก็มาเรียกพี่ก็ได้นะ” พสุปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มเบา รู้สึกได้ว่าตอนนี้ริวคงไม่ยอมให้เขาเข้าไปแน่ๆ
“ครับ” ริวรับคำแค่นั้นแล้วตัดสายไปดื้อๆ
พสุจ้องมองประตูห้องของเด็กหนุ่มด้วยความกังวล ไม่ว่าจะด้วยความน้อยใจหรืออะไร แต่เขาก็ไม่ต้องการกดดันให้ริวยิ่งเครียดไปมากกว่านี้ จึงยอมถอยแต่โดยดี
……………………………………………