ตอนที่ 82
เมื่อกลับไปถึงบ้านพสุก็พบว่ามีแขกมารออยู่แล้ว ชายวัยกลางคนแต่งกายเรียบๆ แต่ดูมีราศีคนนี้ คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน กระนั้นพสุก็ยังยกมือไหว้โดยอัตโนมัติ ริวที่เดินตามมาก็ไหว้ตามเช่นกัน
“ไผ่คงจำอาไม่ได้ อาภมร ลูกครูภิรมย์ไง นึกออกไหม?” ไม่ใช่คำแนะนำตัวอย่างเดียวที่ทำให้พสุนึกออก รอยยิ้มอ่อนโยนที่คุ้นตานี้ก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้พสุจำได้ว่าคนตรงหน้าคือใคร
“...คุณอา! ขอโทษนะครับ ตอนแรกผมจำไม่ได้จริงๆ”
“จำได้ก็เก่งเกินแล้ว ตอนอาไปต่างประเทศ เรายังเพิ่ง 4-5 ขวบเท่านั้นเอง”
“เชิญนั่งครับคุณอา กลับมาถึงเมืองไทยนานหรือยังครับ?”
“อาเพิ่งลงจากเครื่องเมื่อคืน กว่าจะตื่นก็ปาไปบ่ายเย็นแล้ว ก็เลยเพิ่งมาหาไผ่...อามานี่เพราะรู้ข่าวเรื่องพี่เทพ”
“...ตอนนี้พ่อยังอยู่โรงพยาบาลครับ”
“อาไปเยี่ยมมาแล้ว แต่หมอยังห้ามเยี่ยม ก็เลยกลับมาดักรอไผ่ที่บ้าน...คุณพ่อท่านฝากให้อาเอาของมาให้พี่เทพ...เพลงที่ท่านแต่งไว้ เคยจะให้พี่เทพร้อง แต่เพราะพี่เทพกับอาทะเลาะกันจนทำงานร่วมกันไม่ได้อีก คุณพ่อก็เลยไม่ได้ให้เพลงพวกนี้กับพี่เทพ...ท่านฝากให้บอกพี่เทพด้วยว่าท่านคิดถึง ถ้าแข็งแรงดีเมื่อไหร่ให้ไปเยี่ยมท่านบ้าง เพราะท่านเองน่ะไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางได้แล้ว”
“ขอบคุณมากครับ...ผมยังจำพ่อครูได้...ชอบเวลาท่านยิ้ม หน้าตาท่านใจดีเหลือเกิน เห็นแล้วอุ่นใจ”
“ไว้พี่เทพแข็งแรงแล้ว ไปหาคุณพ่อบ้างละกันนะ ส่วนอาต้องขอตัวกลับก่อน เพราะมะรืนนี้มีประชุมด่วนทางโน้น เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ใจจริงอยากอยู่รอจนพี่เทพอาการดีจนเข้าเยี่ยมได้ซะก่อน แต่เลขาก็โทรตามไม่หยุด เลยต้องเดินทางกลับคืนนี้...ไว้เสร็จเรื่องยุ่งๆ อาจะมาเยี่ยมอีกที ฝากบอกพี่เทพด้วยว่าอาคิดถึงมาก แล้วจะมากราบด้วยตัวเองอีกครั้ง”
“ครับคุณอา...ขอบคุณมากครับ ฝากกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยนะครับ พรุ่งนี้ผมจะเอาเพลงของพ่อครูไปเปิดให้พ่อฟังที่โรงพยาบาล ท่านคงดีใจ”
“อืม...งั้นอาไปละ”
“สวัสดีครับ”
พสุเดินออกไปส่งคุณภมร ลูกชายของครูภิรมย์ ผู้เคยให้การอุปการะเด็กกำพร้าอย่างพรเทพไว้ และเป็นคนปั้นให้พรเทพกลายเป็นนักร้องประจำวง แต่เพราะพรเทพ กับภมรลูกชายแท้ๆ ของครูภิรมย์มีปัญหาทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน พรเทพจึงแยกตัวออกมาและมาโด่งดังในฐานะนักร้องเดี่ยว ส่วนภมรก็ไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ และแต่งงานกับสตรีชาวต่างชาติ จึงพาครูภิรมย์ไปอยู่ด้วย
“พี่...ยุงจะกัดเอานะครับ ไปอาบน้ำเถอะ” ริวตามมาเตือนเบาๆ เพราะเห็นพสุยืนเหม่ออยู่หน้าบ้านมาครู่หนึ่งแล้ว
“ริวไปอาบก่อนเถอะ พี่ขอดูอะไรนิดนึงก่อน” พสุบอกแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างเตียง พลางแกะซองที่ครูภิรมย์ฝากมาให้บิดา นอกจากแผ่นซีดี ก็มีเอกสารเซ็นมอบสิทธิในเพลงทั้งหมดให้แก่พรเทพหรือทายาท นามบัตร และจดหมาย อีก 1 ฉบับ
พสุมองลายมือตวัดหางยาวบนซองจดหมายที่จ่าหน้าถึงพ่อของครูภิรมย์แล้วรู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความตื้นตันใจ เขารู้ว่าพ่อรักครูภิรมย์แค่ไหน แต่เพราะน้อยใจที่ครูเข้าข้างลูกแท้ๆ แทนที่จะเข้าข้างลูกบุญธรรมอย่างพ่อ พ่อถึงได้ออกจากวงของครูมา วันที่ได้ข่าวว่าครูภิรมย์ไปอยู่ต่างประเทศกับลูกชาย พ่อก็นั่งซึมอยู่หลายวัน ถ้าพ่อรู้ว่าครูคิดถึงพ่ออยู่ตลอดเวลา แล้วยังแต่งเพลงมาให้ พ่อคงดีใจมาก...และอาจช่วยกระตุ้นให้พ่อหายเร็วขึ้นก็เป็นได้
พสุหยิบซีดีเพลงขึ้นมาดูอย่างหมายมาด เท่าที่เขารู้ ครูภิรมย์ถนัดเล่นไวโอลิน เพลงทั้งหมดในซีดีแผ่นนี้ก็คงเป็นเพลงบรรเลงด้วยไวโอลินแน่ๆ ชายหนุ่มตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้พอเสร็จธุระเรื่องแม่แล้วจะเอาแผ่นไปเปิดให้พ่อฟังที่โรงพยาบาล ส่วนเนื้อเพลง กับโน้ตที่แนบมาพสุคิดว่าจะรอให้พ่ออาการดีขึ้นเสียก่อนแล้วค่อยเอาไปให้ดูภายหลัง
“พี่...ริวเปิดน้ำไว้ให้แล้วนะครับ...”
“ขอบใจนะริว” พสุขอบใจแล้วชะงักเมื่อจู่ๆ ริวก็คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วจ้องหน้าเขานิ่ง ทั้งที่ยังสวมแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว
“มีอะไร....” พสุชะงักเมื่อริวคว้าตัวเขาไปกอดไว้แน่น ผิวเปล่าเปลือยเย็นเฉียบจนเกือบสะดุ้ง แต่พสุก็ทำเพียงกอดตอบอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ...พี่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้...นี่ริวช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลยเหรอเนี่ย?” ริวถามเสียงพร่าด้วยความกังวล พสุหลับตาแนบหน้ากับไหล่เปล่าเปลือยของเด็กหนุ่มก่อนจะกระชับอ้อมแขนตอบแล้วตบหลังริวเบาๆ
“ไม่มีอะไร ขอบใจนะริวที่เป็นห่วง...พี่แค่ตื้นตันใจที่ครูภิรมย์ท่านยังคิดถึงพ่ออยู่เท่านั้นเอง” พสุบอกแล้วคลายอ้อมแขนออก แต่ริวกลับกอดไว้แน่น
“พี่ไม่เป็นไรแน่นะ” ริวถามแล้วกระชับอ้อมแขนเหมือนจะให้แน่ใจ
“แน่สิ...ปล่อยพี่เถอะ แล้วไปแต่งตัวซะ...พี่ก็จะไปอาบน้ำเหมือนกัน” พสุตบหลังและไหล่ริวเบาๆ เพื่อขอบใจแล้วดันตัวออกจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม
ริวยอมปล่อย แต่ยังจ้องหน้าพสุด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มจึงอดลูบหัวริวไม่ได้
“พี่ยังไหว...” พสุย้ำอีกครั้งเพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ แล้วโยกหัวริวไปมาเบาๆ แม้จะไม่มีรอยยิ้ม แต่แววตาเป็นประกายมั่นคงของพสุก็ทำให้ริวรู้สึกโล่งอก เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วลุกไปแต่งตัวแต่โดยดี
..........................................................
“โยมสุดาเคยขออาตมาไว้แล้วว่าอยากให้โปรยเถ้าไว้ตามต้นไม้บนสวนข้างบนโน่น โยมก็ไปจัดการได้เลยนะ” ท่านเจ้าอาวาสบอกด้วยน้ำเสียงเมตตา หลังจากที่พสุอุ้มโถกระเบื้องเคลือบใส่เถ้าของมารดาเข้ามานมัสการท่าน และแจ้งจุดประสงค์ที่มาให้ทราบ
“ขอรับ” พสุก้มกราบท่านเจ้าอาวาสแล้วหันมาสบตากับริวและป้าใจ ท่านเจ้าอาวาสเห็นกิริยาเหมือนลังเลของชายหนุ่ม ท่านก็ลุกนำขึ้นไปบนเนินสูงที่จัดเป็นสวนร่มรื่น ไว้สำหรับคนที่จะมาเดินจงกรม ตรงกลางสวนเป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปปางสมาธิประดิษฐานอยู่ที่นั่น ล้อมรอบด้วยแปลงไม้ดอกไม้ใบที่จัดแต่งอย่างงดงามไล่เรียงลงมาเป็นชั้นตามเนินดิน
“โยมสุดาเขาเก่งเรื่องต้นไม้ดอกไม้ สวนสวยๆ ที่เห็นนี่ก็ฝีมือเขาทั้งนั้น...เขาบอกอาตมาว่าพ่อแม่มีใจศรัทธามอบที่ดินให้สร้างวัด ส่วนเขาก็ขอเป็นผู้ทำนุบำรุงรักษาให้รุ่งเรืองในฐานะอุบาสิกา...โยมก็โปรยเถ้าไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์ก็ได้”
โถกระเบื้องสีขาวบรรจุเถ้าของแม่ถูกประคองอย่างทะนุถนอม ขณะที่ท่านเจ้าอาวาส ป้าใจ และริวยืนรออยู่เบื้องหลัง หลายวันที่ผ่านมามีเรื่องของพ่อเข้ามาให้ห่วงจนพสุต้องข่มความเศร้าโศกไว้ แต่เมื่อมาถึงวันนี้เข้าจริงชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนเขากลายเป็นคนอ่อนแอ จนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้อีกครั้ง ชายหนุ่มกัดปากแน่น นัยน์ตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำ ไม่อาจตัดใจโปรยเถ้าถ่านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นร่างกายของแม่ลงที่โคนต้นไม้ได้...
“...ริว...มาช่วยพี่หน่อย” พสุหันไปเรียกด้วยเสียงพร่าจนแทบเป็นสะอื้น ริวรีบเดินเข้ามาหา แล้วถือโถอัฐิไว้ให้ พสุเปิดฝาแล้วมือสั่นขึ้นมาดื้อๆ กว่าจะตัดใจหยิบเถ้าในโถออกมาโปรยลงบนรากของต้นโพธิ์
“แม่ครับ...ไผ่...พาแม่ มาที่นี่...ตามที่เคยสัญญากับแม่ไว้แล้วนะครับ...แม่...แม่หลับให้สบายนะ”
เสียงป้าใจสะอื้นดังมาจากข้างหลัง แต่แทนที่จะร้องไห้คร่ำครวญ ป้าใจกลับสวดมนต์เบาๆ พสุไม่เหลียวกลับไปมอง แต่เร่งมือโปรยเถ้าถ่านในโถไปตามโคนไม้ใหญ่รอบๆ สวนจนทั่ว รวมถึงแปลงไม้ดอกสีขาวกลิ่นหอม ทั้งมะลิและต้นแก้วที่แม่รักหนักหนาเหล่านั้น
ทันทีที่เถ้าถ่านกำสุดท้ายปลิวหายจากมือ พสุก็ทรุดตัวลงกราบพระพุทธรูปใต้ต้นโพธิ์ ริวตามมากราบข้างๆ แล้วจับมือเย็นเฉียบของพสุไว้
“พี่...เดี๋ยวป้าใจจะไปบวชแล้ว พี่จะไปดูมั๊ยหรือจะไปโรงพยาบาลเลย” พอริวบอกอย่างนั้น พสุถึงได้สังเกตว่าไม่มีป้าใจอยู่ในบริเวณนั้นด้วยอีกแล้ว
“อืม...ไปอนุโมทนากับป้าใจก่อน แล้วค่อยไปหาพ่อเถอะ”
“ครับ”
หลังจากอนุโมทนาบุญกับป้าใจเรียบร้อยแล้ว พสุกับริวก็รีบไปโรงพยาบาลได้ทันที เพราะป้าใจขอโกศใส่กระดูกของสุดาไว้บูชาก่อน พสุจึงไม่ต้องย้อนไปย้อนมาเอาโกศกลับไปเก็บที่บ้าน
พสุประคองกระเป๋าบนตักไว้อย่างทะนุถนอม ซีดีของครูภิรมย์ทำให้ชายหนุ่มอดหวังไม่ได้ว่าวันนี้ขอให้พ่อตื่นนานๆ เขาจะได้เปิดเพลงของครูให้พ่อฟัง ชายหนุ่มมั่นใจว่าถ้าพ่อได้ฟัง อาการของพ่อต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
“พี่...หิวหรือเปล่าครับ”
“พี่ไม่หิวหรอก ริวหิวหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ งั้นไปถึงโรงพยาบาลแล้วริวค่อยไปซื้ออะไรมาให้กินนะครับ”
“ขอบใจนะ...ใครโทรมา...” พสุชะงัก รีบล้วงโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของทางโรงพยาบาล จึงรีบรับสาย
“พสุพูดครับ”
“คุณพสุคะ คุณพรเทพอาการทรุดลง กรุณามาที่โรงพยาบาลด่วนค่ะ”
“ครับ...ผมกำลังไปครับ อีกสักครู่ก็จะถึงแล้ว” พสุตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนริวต้องเหลียวมามองด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่”
“ริวขับเร็วๆ พ่ออาการทรุดลง...” พสุบอกเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่น
“ครับ” ริวเร่งความเร็วของรถเพื่อไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ทันทีที่รถจอดพสุก็แทบกระโจนออกมาจากรถ ชายหนุ่มวิ่งสุดฝีเท้าไปยังห้องไอซียูโดยมีริววิ่งตามไปติดๆ
“พ่อผมเป็นยังไงบ้างครับ?” ชายหนุ่มปราดเข้าไปถามพยาบาลที่เคาน์เตอร์ด้วยความร้อนใจ
“ใจเย็นๆ นะคะ คุณหมอกำลังช่วยท่านอย่างสุดความสามารถอยู่แล้วค่ะ...นั่งรอก่อนนะคะ”
พสุถอยจากเคาน์เตอร์มาเดินวนอยู่หน้าห้อง ชายหนุ่มยกมือขึ้นกดหัวคิ้วแรงๆ ด้วยความเครียด ขณะที่อีกมือก็กำสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น สีหน้าเหมือนจวนเจียนจะร้องไห้ ทำให้ริวใจหายด้วยความเป็นห่วง เด็กหนุ่มตรงเข้าไปดึงมือพสุมากุมไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือก็บีบไหล่พสุเบาๆ
“ใจเย็นๆ พี่ หมอต้องช่วยพ่อพี่ได้อยู่แล้ว”
“...พี่กลัว...พี่ไม่อยากเสียพ่อไปอีกคน...พี่ไม่เหลือใครแล้วนะริว...” พสุพูดเพียงเท่านั้นก็สะอึกอึ้ง พูดต่อไม่ได้ ลำคอปวดร้าวตีบตันด้วยความกลัว ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกุมขมับแต่ครู่เดียวก็ผุดลุกขึ้นเดินวนเวียน แล้วก็กลับมานั่งใหม่ กระวนกระวายใจจนนั่งไม่ได้ ยืนไม่ได้ ทรมานใจที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากรอ...
ประตูห้องไอซียูเปิดออก ทันทีที่เห็นหน้าหมอ พสุก็ปราดเข้าไปหาอย่างร้อนใจ
“หมอครับ พ่อผมเป็นไงบ้าง”
“หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คุณพรเทพเสียชีวิตแล้ว...เราได้พยายามยื้อไว้จนสุดความสามารถแล้ว แต่ร่างกายของคุณพรเทพอ่อนแอเกินไป...”
พสุรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปดื้อๆ ชายหนุ่มทรุดลงเข่ากระแทกกับพื้น แต่เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ได้ยินเสียงริวเรียก แต่เขาไร้เรี่ยวแรงจะขานตอบ รู้ว่าถูกประคองลุกขึ้นและถูกจับจูงให้เดินเข้าไปในห้อง...ห้องที่เขาเคยเข้ามาเฝ้าพ่อตลอด 3 วันที่ผ่านมา.......
พสุเคยคิดว่าการเสียแม่ไปคือความเจ็บปวดจนไม่อาจทานทน แต่ครั้งนี้ เขาเสียพ่อไปพร้อมๆ กับความรู้สึกทั้งหมด.....ไม่เจ็บปวด....ไม่รู้สึกใดๆ ทั้งนั้น นอกจากอาการชา...ว่างเปล่า....
ใบหน้าขาวซีดของคนบนเตียงนั้นคือใครกันหนอ...เครื่องมือระโยงระยางรอบตัว เสียงเครื่องปั๊มของเครื่องช่วยหายใจยังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่อยางยังคาอยู่ที่ปากเขียวคล้ำ...
พสุลูบมือไปบนผิวเนื้อที่ยังอุ่น แต่กลับรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า...ที่นอนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่พ่อ...แต่เป็นเปลือกกลวงๆ ที่พ่อเคยอยู่...ความรู้สึกว่างกลวงจนหัวใจหนาวยะเยือก หนาวจนฟันกระทบกันกึก...แล้วพ่อไปอยู่ที่ไหน...ถ้าตรงนี้ไม่ใช่พ่อ แล้วพ่อของเขาอยู่ที่ไหนกัน...................
…………………………………………………….