ตอนที่ 90
พสุลงจากรถด้วยอาการหมดเรี่ยวแรง วันนี้หลังจากงานเปิดตัวสินค้ากลางห้างดังกับเพื่อนๆ ในวงแล้ว เขายังต้องไปโชว์ตัวเดี่ยวในงานเปิดแคมเปญใหม่ของบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศ เสร็จแล้วก็รีบบึ่งไปอยุธยาเพื่อถ่ายละคร กว่าจะเสร็จก็เกือบ 4 ทุ่ม พอถึงบ้านพสุจึงรู้สึกเพลียจนแทบเดินไม่ไหว
“พี่...เหนื่อยมากมั๊ยครับ...กินข้าวมาแล้วหรือยัง?” น้ำเสียงสดใสทักนำมาก่อนแล้วริวก็เข้ามาคว้ากระเป๋าไปจากมือเขา พสุส่งยิ้มให้...ความเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะลดลงเมื่อได้เห็นแววตาห่วงใยของริว
“ยังเลย...ริวล่ะ”
“ริวรอพี่”
“...อืม...งั้นขอพี่ล้างหน้าล้างตาหน่อยแล้วกินข้าวกัน” ความจริงพสุเหนื่อยจนคิดว่าจะไม่กินข้าวแล้ว กะว่าอาบน้ำเสร็จก็จะนอนทันที แต่พอรู้ว่าริวหิ้วท้องรอกินข้าว เขาก็ไม่กล้าปล่อยริวกินข้าวคนเดียว
“พี่อาบน้ำก่อนก็ได้ครับ กินข้าวเสร็จจะได้เข้านอน”
“แล้วริวไม่หิวเหรอ?”
“ไม่ครับ...พี่ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
พอเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก็พบน้ำอุ่นเต็มอ่างรออยู่แล้ว พสุถอดเสื้อผ้าแล้วก้าวลงอ่างทันที น้ำอุ่นๆ ช่วยให้เขาคลายความเหนื่อยล้า แต่ก็แทบหลับคาอ่างเพราะความเพลีย ถ้าไม่เพราะริวมาเคาะประตูเรียก
“พี่ไผ่...พี่ไผ่ครับ”
“อืมๆ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ริวไปรอที่โต๊ะอาหารนะครับ”
“เดี๋ยวพี่ตามไป” พสุคว้าผ้าขนหนูมาพันกาย แล้วหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับ แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่ามีเสื้อผ้าชุดใหม่วางไว้ให้ที่โต๊ะเล็กหน้าห้องน้ำแล้ว
‘เฮ้อ!...ริวกำลังทำให้พี่เคยตัวนะรู้ไหม...แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่พี่จะชินกับการอยู่คนเดียวได้ล่ะ...’ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคว้าเสื้อผ้าไปสวมอย่างรวดเร็ว
หลังจากอาหารเย็นตอนดึกผ่านไป ริวก็เข้าประจำที่หลังเปียโนเหมือนเคย พสุนั่งอยู่ในกองหมอน แผ่นหลังเหยียดตรง สายตาเพ่งนิ่งที่กระดาษว่างเปล่าตรงหน้า พลางหมุนดินสอเป็นวงกลมขณะเค้นสมองแต่งเนื้อเพลงใหม่หลับตาลงยังรู้สึก...
ท่ามกลางความอ้างว้าง...ในหัวใจ
ค่ำคืนยาวนาน กับความเดียวดาย และลมหายใจ...ที่ว่างเปล่า
แกร๊ก! ดินสอร่วงจากมือของพสุ ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเก็บดินสอมาถือไว้นิ่งๆ เพราะใจเผลอไปจดจ่อฟังเพลงของริวแทนที่จะตั้งสมาธิอยู่กับงานอยากให้เธอได้สัมผัส...
กับความห่วงใยที่มีให้เธอ ได้ยินเสียงของพระจันทร์ที่กล่อมเธอฝันดี ให้เธอได้รู้ตลอดไป
ว่า...ทุกเวลา...
ที่เราห่างกันแสนไกล...
ยังมีอีกคำในหัวใจ ที่จะบอกเธอ
ให้เธอได้รู้และเข้าใจ
ว่า...คิดถึงเธอ....
พสุเงยหน้าขึ้นสบตากับริว แล้วรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนี้ เพราะเขาไม่อาจถอนสายตาจากดวงตาอ่อนโยนและน้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กหนุ่มได้อีก เมื่อเราห่างกันแสนไกล...
มีคำหนึ่งคำจะพูดไป…
ให้เธอได้รู้ จะแทนความหมายความห่วงใย
...ฉันคิดถึงเธอ...
ริวหยุดเว้นระยะเล็กน้อย แต่ดวงตายังจ้องตากับพสุแน่วแน่เมื่อร้องประโยคสุดท้าย......ก็ฉันมีเพียงเธอ...
พสุผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เพิ่งรู้ว่าเขากลั้นหายใจอยู่นานแค่ไหน ชายหนุ่มหลบตาลงมองเพียงขนพรมหนานุ่มตรงหน้า ปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง พยายามขู่ตัวเองด้วยเหตุผลร้อยแปด เพื่อหักห้ามใจไม่ให้เผลอออกปากชวนริว กลับมาอยู่ด้วยกัน
แม้เสียงเพลงของริวจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ถูกวางลงบนเตียง แวบแรกชายหนุ่มรู้สึกโมโหตัวเองที่เผลอหลับให้ริวอุ้มมาส่งถึงที่นอน แต่พอปากนุ่มหยุ่นสัมผัสลงบนหน้าผาก ชายหนุ่มก็จำต้องแกล้งทำเป็นหลับต่อไป ผ้าห่มเย็นนุ่ม คลี่ขึ้นคลุมให้ถึงคอและเสียงกระซิบบอกรักเหมือนอย่างทุกๆ คืน ก่อนที่ไออุ่นจะหายไป
พสุยังนอนนิ่งอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมแพ้ ลืมตาแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง...เขานอนไม่หลับ...ทั้งที่วันนี้ทำงานเหนื่อยจนแทบไม่มีแรงเดิน แต่กลับนอนไม่หลับเมื่อต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง...‘นี่เรากลายเป็นคนขี้เหงาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ก่อนที่จะเจอริว เราก็นอนคนเดียวมาตลอดนี่นา...’ พสุพลิกตัวกระสับกระส่ายทั้งคืน กว่าค่ำคืนที่ยาวนานจะผ่านไป................
............................................................... ทรงเผ่ากับไมตรีหันมาสบตากันเมื่อริวเข้ามาหาที่ออฟฟิศแต่เช้าเพื่อขอให้ช่วยแต่งเนื้อร้องเพลงใหม่ให้
“แต่เพลงพิเศษเพลงนี้ไผ่อาสาแต่งเนื้อนี่?”
“แต่ตอนนี้พี่ไผ่คิวงานอัดแน่นมากเลยครับ...อีกอย่าง พี่ไผ่ก็เพิ่งผ่านเรื่องเศร้าๆ มา ริวไม่อยากให้พี่ไผ่ต้องมากดดันตัวเองอีกถ้าต้องแต่งเพลงรักหวานๆ” ทั้งที่เหตุผลก็ฟังขึ้น แต่ริวกลับไม่กล้าสบตาทรงเผ่ากับไมตรี
“เพลงมันก็ไม่จำเป็นต้องหวานก็ได้นะริว...แล้วเรามีไอเดียบ้างไหมล่ะ” ทรงเผ่าถามยิ้มๆ นึกขันไมตรีที่เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางจะขยาดฝีมือริวจนไม่กล้าแต่งเพลงให้
“มีครับ...ริวแต่งไว้บ้างแล้ว” ริวส่งเนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่แต่งเสร็จแล้วให้ทรงเผ่าดู
“โอ้! ขนาดนี้เลย...อ่ะตรี...ดูดิ...”
ทรงเผ่าส่งเนื้อเพลงไปให้ไมตรีดู แล้วจ้องมองริวนิ่ง ขณะที่ไมตรีอ่านเนื้อเพลงกลับไปกลับมาอยู่นาน
“ริวลองเล่นให้ฟังซิ”
“ครับ” ริวเข้าไปประจำหลังเปียโนแล้วเล่นเพลงที่เพิ่งแต่งเสร็จให้ทรงเผ่ากับไมตรีฟัง พอเล่นจบทรงเผ่าก็พยักหน้าหงึกๆ ขณะที่ไมตรียังมีสีหน้าครุ่นคิด
“อยากได้เนื้อหาแบบนี้เลยหรือเปล่าริว”
“ครับ”
“มันไม่เศร้าไปเหรอพี่เผ่า...”
“พี่ว่าเนื้อหามันโอเคนะ เพียงแต่เสียงริวแหละ มันเศร้า...ทำไม อกหักหรือไงเรา” ทรงเผ่าหันมาแซวยิ้มๆ ขณะที่ริวยิ้มตอบเจื่อนจาง แล้วก้มหน้า เล่นเอาทรงเผ่ากับไมตรีหันไปสบตากันโดยอัตโนมัติ
“คีย์มันไม่สูงไปเหรอริว” ไมตรีเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย เพื่อให้ริวสบายใจขึ้น
“ไม่สูงนะครับ ปกติพี่ไผ่ก็ร้องคีย์นี้”
“อ้าว! พี่นึกว่าริวจะร้อง?”
“เปล่าครับ ก็เพลงนี้เราจะให้เป็นเพลงของครูภิรมย์กับพ่อพี่ไผ่”
“อืม...งั้นก็ตามนั้น...เดี๋ยวพี่ดูเรื่องเนื้อเพลงให้ละกัน” ทรงเผ่าตอบยิ้มๆ ขณะที่ไมตรียังมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์
“ขอบคุณครับพี่เผ่า”
“ทำเป็นสองเวอร์ชั่นดีมะ เนื้อภาษาอังกฤษของเราพี่ว่ามันก็โดนดีนะ” ไมตรีเสนอขึ้นมาบ้าง เพราะยังติดใจใน ความหมายเนื้อเพลงภาษาอังกฤษของริว
“ริวอยากได้แบบไทยๆ มากกว่าครับ เพราะจะได้เข้ากับเพลงของครูภิรมย์ด้วย” ริวยืนยัน ไมตรีก็พยักหน้ารับแต่ก็ยังมองเนื้อเพลงอย่างเสียดาย
“ริว...ลองแต่งเนื้อภาษาไทยมาสิ แล้วพี่จะช่วยเกลาคำให้” ทรงเผ่าแนะนำเสียงเรียบ จนไมตรีกับริวหันมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“แต่ริวไม่เก่ง” ริวค้านเสียงเบา แต่ลึกๆ ในใจก็เกิดอาการ “อยากลอง” ขึ้นมาเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร อยากจะบอกเล่าอะไรก็ใส่มา แล้วพี่จะเกลาคำให้เอง ดีมั๊ย”
“ครับ...ลองดูก็ได้ครับ” ริวรับปากแล้วคว้าสมุดโน้ตหายเข้าไปในห้องอัดเสียง
“จะดีเหรอพี่?” ไมตรีท้วงอย่างแปลกใจนิดๆ ที่ทรงเผ่าพยายามให้ริวแต่งเพลงเองทั้งหมด
“พี่ก็อยากรู้ว่าริวมันจะถ่ายทอดอะไรออกมา...ริวมันเก่งกว่าที่เราคิดไว้เยอะนะตรี พี่ไม่อยากปิดกั้นความสามารถเด็ก อยากให้มันใช้ฝีมือให้เต็มที่...ไม่แน่หรอก ในอนาคต เราอาจได้ร่วมงานกับริวในฐานะคนเบื้องหลังเหมือนกันก็ได้” ทรงเผ่าบอกยิ้มๆ แล้วตบไหล่ไมตรีเบาๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ในห้องอัดเพียงลำพังด้วยสายตาคาดหวัง....
...........................................“สวัสดีครับพี่เผ่า พี่ตรี” พสุไหว้ทรงเผ่าและไมตรีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะยังงงๆ อยู่บ้างที่จู่ๆ กรเวชไปเคลียร์คิวงานออกถึง 3 วัน เพื่อให้เขาเข้าห้องอัด
“มาเลยไผ่...รออยู่พอดีเลย...อ่ะ นี่เนื้อเพลง ทำนองเราคงได้ยินต้นฉบับมาแล้ว แต่มีการปรับแก้นิดหน่อยนะ”
“ครับ?...เพลงวาเลนไทน์ตกลงให้ผมร้องเหรอครับ?” พสุถามอย่างแปลกใจ ตอนแรกเขาคิดว่าเขาถูกเรียกมาเพื่อร้องประสานหรือร้องร่วมกันทั้งวง แต่กลายเป็นว่าเขาต้องร้องเดี่ยว
“ใช่...อ้าว! ริวไม่ได้บอกเหรอ?” ไมตรีถามงงๆ เพราะคิดว่าพสุรู้เรื่องจากริวแล้ว ปกติริวกับพสุก็ตัวติดกันเหมือนคู่แฝด ไปไหน ทำอะไร ก็ทำด้วยกันตลอด จึงกลายเป็นความแปลกใจที่พสุไม่รู้เรื่องนี้
“เปล่าครับ” พสุตอบแล้วหลบตาวูบ ชายหนุ่มเสทำเป็นสนใจเนื้อเพลงเพื่อจะไม่ต้องสบตาไมตรี
“อืม...ลองดูเนื้อก่อน ริวร้องไกด์ไว้แล้วล่ะ แต่เป็นภาษาอังกฤษ พี่อยากให้ไผ่ดีไซน์เสียงเองมากกว่า” ทรงเผ่าบอกเสียงเรียบๆ ก่อนจะเปิดดนตรีให้พสุฟังไปด้วย...แม้วันนี้เธออาจไม่เห็น...
...แต่ฉันจะรออยู่ตรงนี้...เสมอ...
...และรักของฉันจะอยู่เพื่อรอเธอ...ตลอดไป
พสุสะอึกเมื่อเห็นเนื้อเพลงท่อนสุดท้าย ชายหนุ่มเม้มปากนิ่งขณะกวาดตามองเนื้อเพลงกลับไปกลับมาหลายรอบ
“มัน...ไม่เศร้าไปเหรอครับ เพลงวาเลนไทน์ทั้งที เนื้อหาเหมือนเพลงรักเขาข้างเดียวแบบนี้”
“ไม่นะ...พี่ว่ามันมองได้หลายมุม ในมุมหนึ่งก็อาจจะเหมือนที่ไผ่ว่า แต่อีกมุม ถ้าคิดว่ารักแบบไม่ต้องการอะไรตอบแทน เหมือนความรักของพ่อแม่ที่มีให้ลูกก็ได้นะ”
คำพูดของไมตรีทำให้พสุต้องกลับไปอ่านเนื้อเพลงแล้วคิดตาม เนื้อหาของเพลงบอกเล่ามุมมองความรักในแบบที่รักโดยไม่เคยคาดหวังอะไรจากอีกฝ่าย นอกจากมีแต่ความปรารถนาดีให้ แม้คนที่รักจะไม่เห็นค่าก็จะไม่เสียใจและยินดีที่จะรักตลอดไป
“จะว่าไป มุมมองความรักของริวมันก็โตขึ้นนะพี่เผ่า” ไมตรีฟังพสุร้องอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปคุยกับทรงเผ่า
“อืม...คิดถูกแล้วที่ให้ริวแต่งเนื้อภาษาไทยเอง ภาษามันฟังง่ายแต่งามนะ”
“นี่ริวแต่งเองทั้งหมดเหรอครับ” พสุเงยหน้าจากเนื้อเพลงขึ้นมองทรงเผ่ากับไมตรีอย่างแปลกใจ
“ใช่ เห็นมั๊ยว่าใช้คำได้ดีด้วย นี่พี่แค่เกลาสัมผัสให้นิดหน่อยเท่านั้นนะ” ทรงเผ่าตอบยิ้มๆ ขณะที่พสุกวาดตาดูเนื้อเพลงด้วยความประหลาดใจแล้วกลายเป็นความทึ่ง ที่ริวสามารถเรียบเรียงคำได้ขนาดนี้
“เออ...แล้วพี่อยากให้ไผ่เล่นไวโอลินเพลงนี้ด้วยนะ...จุดเด่นของเพลงนี้อยู่ที่เสียงไวโอลิน” ทรงเผ่าบอกแล้วส่งยิ้มให้เมื่อเห็นพสุทำหน้าอึ้งๆ สายตาที่บ่งบอกถึงความมั่นใจของโปรดิวเซอร์มือหนึ่งทำให้พสุต้องรับปาก แม้จะไม่ได้เล่นไวโอลินมานาน แต่พสุเชื่อว่าถ้าเขาได้ฝึกเต็มที่ ก็ไม่น่าจะทำตัวเองขายหน้า
หลังจากอัดเสียงอยู่ 2 วันเต็มๆ เพลงพิเศษในวันวาเลนไทน์ก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมจะเปิดตัวครั้งแรกในงานเทศกาลแห่งความรักของห้างใหญ่กลางเมือง ก่อนถึงวันงานคิสมีถูกเรียกเข้าไปดูเอ็มวีที่พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำเสร็จแล้วพสุและเพื่อนร่วมวงทุกคนชะงักเมื่อได้เห็นภาพบนหน้าจอ เป็นรูปที่พสุถ่ายกับพ่อและแม่ ตอนนั้นเขาเพิ่ง 2 ขวบกว่าๆ เท่านั้น ส่วนอีกภาพเป็นตอนที่โตขึ้นมาหน่อย ภาพนี้ถ่ายร่วมกันทั้งบ้าน ทั้งตา ยาย พ่อ แม่ และตัวเขาเอง ในวัย 5 ขวบ...พสุใจไหววูบเมื่อสำนึกว่าตอนนี้คนในภาพ เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว ทั้งคุณตา คุณยาย พ่อ แม่...ไม่มีใครอยู่กับเขาอีกแล้ว ภาพถ่ายสองภาพนี้อยู่ที่บ้านสวน เขาไม่รู้ว่าทีมงานทำยังไงถึงได้ภาพนี้มา
ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพของเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ สมัยเป็นเด็กเช่นกัน
ภาพของธีรดลกับพ่อแม่และน้องๆ และอีกภาพไม่มีพ่อแล้ว เหลือเพียงแม่กับน้องๆ ถึงเสื้อผ้าจะเก่าปอน แต่รอยยิ้มบนหน้าของทุกคนก็ยังดูสดใส
ภาพของไวยากรณ์กับครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ทุกคนต่างแสดงสีหน้าภูมิใจและรักใคร่ในตัวอาตี๋น้อยคนเดียวในภาพ
ภาพของตะวันกับแม่ครูในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในงานวันปีใหม่ และงานวันแม่
แต่พอถึงภาพของริว กลับเป็นภาพตอนที่ไปเที่ยวไร่เพชรบูรณ์ด้วยกัน พสุกับริวกอดเอวแม่คนละข้าง และอีกภาพเป็นภาพของริวกับเพื่อนๆทุกคนในวงตอนคอนเสิร์ตแรก...
พสุสะอึกเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ริวไม่เคยมีรูปถ่ายตัวเองกับแม่...ตอนนี้ริวเหลือเพียงเขา กับเพื่อนๆ ในวงคิสมีเท่านั้น ที่เป็น ‘ครอบครัว’ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมือริวใต้โต๊ะ เด็กหนุ่มหันกลับมายิ้มให้แล้วบีบมือเขาตอบ
หลังจากนั้นก็เป็นภาพของบรรดาแฟนคลับถ่ายกับพ่อแม่ คนรัก หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง และภาพสุดท้ายคือการเอาทุกภาพมาเรียงกันเป็นรูปหัวใจ
“โหยซึ้งน้ำตาแทบไหล คิดได้ไงเนี่ย? ว่าแต่พวกพี่ไปเอารูปนี้มาจากไหน ทำไมไม่เลือกรูปที่ผมหล่อๆ ล่ะ” ไวยากรณ์โวยวายลั่นด้วยความอาย เพราะรูปตอนเด็ก ไวยากรณ์อ้วนจนเห็นตาเป็นขีดเล็กๆ 2 ขีดกับคิ้วหนาๆ ไม่น่าเชื่อว่าโตขึ้นมาจะเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้
“รูปพวกผมยังไม่เท่าไหร่นะครับ รูปแฟนคลับกับครอบครัวสิครับไปเอามาจากไหนเยอะขนาดนี้ เพลงเพิ่งเสร็จไม่ถึงอาทิตย์นี่นา?” ธีรดลคนอารมณ์ดีเสมอ ยังลุกขึ้นมาเป็นไอ้หนูจำไมตามไวยากรณ์ไปอีกคน
“พวกพี่ๆ ทีมงาน เขาไปขอความร่วมมือจากแฟนคลับของคิสมีทุกคลับ ก็เลยได้รูปน่ารักๆ ของแฟนคลับกับครอบครัวมาชั่วข้ามคืนเลยนะ” ไมตรีตอบยิ้มๆ ขณะที่พี่ทีมงานลุกขึ้นขอโทษขอโพยที่เอารูปส่วนตัวของศิลปินทุกคนมาโดยไม่บอก เพราะอยากสร้างความประหลาดใจและประทับใจให้ทุกคน ซึ่งทุกคนก็ยอมรับว่าประทับใจจริงๆ
“ผมกะว่าหลังเปิดตัวเพลงนี้ที่งาน ก็จะให้ฉายเอ็มวีโปรโมทเพลงคืนนั้นเลย ทุกคนว่าไงครับ” ประโยคหลังเขม ชาติหันไปถามฝ่ายประชาสัมพันธ์ของค่าย ซึ่งหัวหน้าแผนกคนสวยก็รับปากทันควัน
…………………………………………………..