“โอ้แมร่ง! พวกมึงไม่ได้ดูตอนสุดท้ายวะ กูอ่ะ เป็นคนบุกทะลวงเข้าไปชิงเอาเสื้อกาวน์ชุดสุดท้ายมาได้ ตอนนั้นแมร่งตื่นเต้นสุดๆ อ่ะ แต่ก็เพราะกูเนี่ยแหละ คณะถาปัตของเราถึงได้ชนะมาได้!! ฮ่าๆๆๆ กูเทพใช่ป่ะ!!?”
“ถุย! ไอ้ฮอยฮักต่างหากเป็นคนจัดการพวกนั้น มึงก็มีหน้าที่แค่วิ่งไปเอาชุดกาวน์หลังตู้เท่านั้น เทพตรงไหนของมึงวะไอ้พรีสต์!”
“ก็กูวิ่งเทพไง!”
ระหว่างที่ไอ้พรีสต์มันกำลังโม้แตกกับพวกเพื่อนๆ ในสาขาที่มารุมถามมันเรื่องชัยชนะในคืนวานนี้อยู่ ไอ้โจ้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็เข้ามาขัดตัดบทพระเอกของมันกระจุย ไอ้หมาบ้ามันก็ทำหน้าบึ้งที่มีคนมาแย่งซีน ส่วนผมน่ะเหรอ? นั่งหลบมุมอยู่ข้างหลังพวกมันตั้งนานแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจหรือมองเห็นหัวผมสักคนเหมือนเดิม
“อ๊ายยยย~ รู้สึกว่าศึกชนคณะคราวนี้ฮอยฮักเท่อย่างไงไม่รู้สิ”เจ๊ปาล์มมี่พูดออกมาเสียงแหลมที่ดัดเท่าที่จะทำได้ออกมาด้วยใบหน้าปลาบปลื้มใจสุดๆ แล้วก็หันซ้ายมองขวา
“เออวะ ขนาดมันใช้ไม้ค้ำเดินกะเพรก ยังจัดการพวกแพทย์กระจุย!”
“แล้วเนี่ยฮอยฮักยังไม่มาอีกเหรอ พ่อพระเอกของงานนี้นะ”
เอ่อ...กูอยู่นี่ไง“พวกสาขาอื่นเนี่ยพึงไม่ได้เลยเนอะ ต้องพึ่งสาขาเราตลอด ทำไงได้วะ ก็สาขาเรามีแต่คนเก่ง ฮ่าๆๆๆ”ไอ้วาวสาวห้าวแห่งปีหัวเราะออกมาซะหมดความเป็นสาว นี่ชมตัวเองไปด้วยใช่ไหม? ผมนั่งมองพวกเพื่อนๆ ในสาขาเม้าท์มอยเรื่องชนคณะที่เพิ่งจบไปเมื่อคืนวานนี้ รู้สึกว่าเพื่อนบางคนก็ฉลองกันเพลินข้ามวัน ขนาดวันนี้มีเรียนมันยังไม่มาเลย!
ครืด~!
“แมร่ง ไอ้ภู่เวร เสือกพากูเมาค้าง เหี้ย!”ไอ้ปาตี้มันเดินเข้ามาหน้ามุ่ย ก็ยังดีที่มึงมาเรียนได้น่ะนะไอ้ปาตี้ หลังจากไอ้ปาตี้เดินเข้ามาก็ตามมาด้วยหนุ่มแว่นอีกคนของสาขา ไอ้ภู่หรือเรียกเต็มๆ ก็คือสุนทรภู่นั้นเอง!
“คุณจะบ่นอะไรนักหนาวะครับ ไอ้ที่คุณเพื่อนผู้ประเสริฐกินเข้าไปก็ใช้มือของตัวเองยกไม่ใช่เหรอครับ?”สำนวนการพูดภาษาไทยแบบเป๊ะๆ เถียงขึ้น ไอ้ปาตี้มันก็แง่วๆ ใส่เพื่อนมันตามเคยเพราะเถียงไม่ได้ว่าไม่ได้ใช้มือตัวเองยกซด! ไอ้ภู่มันเดินมาวางกระเป๋าแล้วหันมองรอบห้อง
“นี่ ฮอยฮักยังไม่มาหรือครับเพื่อนๆ?”
“เออ มาก็เห็นสิวะ”ไอ้พรีสต์มันตอบกลับไปอย่างกวนๆ ไอ้ภู่มันก็ไม่สนใจประโยคกวนๆ นั้นมันก็นั่งลงที่ของมัน ถามจริงเหอะ! พวกมึงไม่เห็นกูจริงๆ อ่ะ กูเข้าห้องนี้มาพร้อมๆ กับพวกไอ้พรีสต์เลยนะโว้ย!! อะไรมันจะข้ามหัวกันปานนั้น!!
“มึงมีอะไรหรือเปล่าวะภู่ เดี๋ยวมันมากูจะบอกให้”
“อ้อ มีเรื่องอยากถามนิดหน่อยน่ะครับพรีสต์”
“งั้นเหรอ? มันมาเดี๋ยวกูบอกให้นะ”
“ขอบคุณครับ”
ก็กูนั่งอยู่หลังมึงเนี่ยไงไอ้พรีสต์! “เฮ้ ไงวะฮอยฮัก เมื่อคืนนี้เป็นพระเอกของงานเลยนี่หว่า”ไอ้แซมเดินเข้าห้องมานั่งที่แล้วหันมาเอ่ยทักผมเสียงดัง คนอื่นๆ เนี่ยหันมาพรึ่บอย่างแปลกใจแล้วยิ่งทำตาโตเมื่อเห็นผมนั่งหัวโด่อยู่ ไอ้แซมมองคนอื่นๆ อย่างงงๆ
“อะไรวะ ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไอ้ฮอยฮักมัน!”
“เฮ้!!! มึงมาตั้งแต่เมื่อไรวะ!?”
กูเดินมาพร้อมมึงอ่ะพรีสต์
“นั้นดิ!! เฮ้! ไมรู้สึกหนาวๆ ขนลุกอย่างนี้วะ มาก็ส่งเสียงให้เพื่อนรู้หน่อยสิโว้ย!”ไอ้สตางค์มันก็โวยตามไอ้พรีสต์ตามประสาพวกขวัญอ่อนกลัวผี! ผมเนี่ยมองหน้าพวกมันแล้วนิ่งๆ ไป พวกมึงไม่เห็นกูเอง ช่วยไม่ได้วะ!
“ฮอยฮักครับ! ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยครับ ไม่ทราบว่าคุณว่างไหมครับ?”
“อ่า”ผมพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตามไอ้ภู่ที่กวักมือเรียกหย่อยๆ ดูท่าทางมันกระตือรือร้นไงไม่รู้แฮะ มีเรื่องอะไรหว่า? พอเดินออกมาจากห้องไอ้ภู่มันก็เข้ามาฟุดๆ ฟิดๆ รอบตัวผม เฮ้ย! ทำอะไรของมึงวะ? เดี๋ยวนี้ไม่เล่นเป็นนักสืบหันมาเอาดีทางดมกลิ่นรับจ๊อบเป็นหมาแล้วเหรอวะ?
“คุณใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรครับ?”
“กลิ่นแคนตาลูป”
“มิน่าล่ะ ไม่ได้ใช้กลิ่นส้มเหรอครับ?”มันยืดตัวแล้วเอามือเท้าค้างครุ่นคิดอย่างกับกำลังสอบสวนหาความจริงอะไรบางอย่าง ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็ตอบไป
“นั้นก็ใช้”
“เอ๋~ คุณใช้น้ำหอมตามใจฉันเหรอครับเนี่ย”
“เปล่า ใช้วันละกลิ่นต่างหากอย่างจันทร์ใช้กลิ่นกล้วยหอม อังคารใช้กลิ่นแคนตาลูป พุธใช้กีวี่ พฤหัสใช้ส้ม ศุกร์ใช้กลิ่นลูกพีช เสาร์ใช้กลิ่นองุ่น อาทิตย์ใช้กลิ่นสตอเบอรี่ ฉันค่อนข้างใช้ความสำคัญกับรายละเอียด”ผมอธิบายยาวเหยียดแล้วทำไมผมต้องอธิบายแจกแจงให้หมอนี้ฟังด้วยวะ?
“โห! สมกับเป็นคุณเลยนะครับ อืม...ไม่ทราบว่าเสื้อรุ่นคุณยังใช้อยู่ไหมครับ?”
“...ถามทำไม?”
จะบอกไงดีล่ะ? ทำหาย? กูไม่ได้ทำหายตั้งใจคลุมไว้เฉยๆ ให้คนอื่นไปแล้ว เสื้อรุ่นจะให้คนอื่นได้ไงล่ะ? ฝากคนอื่นเอาไว้งั้นเหรอ? ฝากไว้ทำส้นอะไรกันล่ะ!?
“คืออย่างนี้นะครับ ผมกำลังตามหาคนๆ หนึ่งอยู่ มีข้อมูลคือใช้น้ำหอมกลิ่นส้ม ชีทแล้วก็เสื้อรุ่นน่ะครับ”
“...”
ชีท? เสื้อรุ่น? ไอ้วินเซอร์มันตามหาผมงั้นเหรอ!!? เป็นไปได้อย่างไง คนอย่างหมอนั้นจะมาตามหาอะไรกับไอ้คนที่ไม่เคยแม้จะจำหน้าได้ฟ่ะ? ผมเริ่มกังวลเล็กน้อย นี่คงไม่ใช่ว่าไอ้ภู่มันบอกเขาไปแล้วใช่ไหม
“ผมยังไม่บอกเขาไปหรอกครับ แล้วอีกอย่างเขาก็ให้เอานี้ให้คุณด้วยครับ ถ้าอยากได้เสื้อรุ่นคืนเขาบอกให้ไปเอาคืนที่งานเลี้ยงรุ่นวิศวะครับ”ไอ้ภู่ยิ้มอย่างรู้ทันแล้วมันก็ยื่นบัตรมาให้กับผม ผมรับไว้กวาดสายตาอ่านคร่าวๆ มันเป็นบัตรงานเลี้ยงรุ่นตอนปีใหม่นู้น! ป๊าดดด!!! อีกตั้งหลายเดือนแน่ะ! มันคือจะเอามาให้ตั้งแต่หัววันจริง!
“ถือว่างานของผมสำเร็จแล้วนะครับ แหม~ นักสืบภู่ก็ยังคงมีฝีมือเหมือนเดิมนะครับ”ไอ้นักสืบสี่ตาเอ่ยชมเชยตัวเองด้วยสีหน้าปลาบปลื้มสุดๆ กูยอมรับตอนไหนว่าใช่คนที่มึงตามหาอยู่วะ ถ้ามันไม่ใช่เนี่ยหน้าแตกหลายคนเลยนะ! ใช้น้ำหอมกลิ่นส้มงั้นเหรอ? ไอ้วินเซอร์มันไปรู้ได้ไงวะ?
“ยืนคุยอะไรกันสุนทร ภิญโญ เข้าห้องได้แล้วพวกเธอ”
“คร้าบ อาจารย์!”ผมกับไอ้ภู่ก็จรลีเข้าไปในห้องเมื่อเจออาจารย์เดินทำหน้าเข้มเข้ามาเอ่ยทัก แล้วชั่วโมงเรียนในภาคเช้าก็เริ่มต้นขึ้น คนในห้องก็มีอยู่ไม่ถึงสิบห้าคนหรอกครับ ก็สาขาผมมันมาเรียนอยู่สาขาเดียว ส่วนสาขาอื่นๆ พวกมันโดดกันเป็นสาขา อาจารย์ท่านก็ไม่เอ่ยบ่นหรือปริปากพูดถึงเรื่องนี้เลย ก็ดีแล้วล่ะครับ
พวกผมนั่งเรียนกันอยู่นาน ฟังอาจารย์อธิบายบ้าง ลงมือปฏิบัติตามบ้าง ตอนนี้พวกเรากำลังเรียนวิชาการออกแบบเครื่องเรือนขั้นต้นอยู่ครับ เราก็ต้องรู้ถึงรูปทรง รูปร่าง สี ตำแหน่งการจัดวาง และเชื่อมโยงไปถึงผู้อาศัยอีก แล้วอาจารย์ส่งยิ้มละไมแฝงไปด้วยจิตสังหารมาให้
“เอาล่ะ นี่ก็เป็นคาบสุดท้ายของเทอมนี้แล้ว อาจารย์ก็ไม่อยากให้พวกเธอกังวลเรื่องสอบของวิชานี้ เพราะข้อสอบของวิชานี้มีแค่ข้อเดียว ง่ายนิดเดียว~”
ง่ายนิดเดียว? นอกจากนั้นยาก! พวกผมก็มองอาจารย์อย่างไม่ไว้วางใจเพราะเมื่อวิชาเทอมที่แล้วของปีหนึ่ง อาจารย์ก็พูดแบบนี้แหละ แล้วไงล่ะ! ไอ้ที่ท่องๆ มาดับสูญหายไปต่อหน้าต่อตาเมื่อเจอกระดาษข้อสอบเข้าไป! คราวนี้มันจะอะไรอีกล่ะ? คงไม่ใช่ว่าให้ออกแบบเครื่องเรือนตามโจทย์ที่กำหนดมาหรอกใช่ไหม?
“ก็แค่ออกแบบเครื่องเรือนตามโจทย์ที่กำหนดมาและให้บอกว่าใช้เหตุผลตามทฤษฏีไหนที่ได้เรียนมาด้วย ถ้าใครออกแบบมามั่วซั่วโดนไม่มีทฤษฏีอ้างอิงล่ะก็...ศูนย์!”
“โห อาจารย์อ่า!”
นั้นไง!!! ผมเนี่ยก็เดาใจอาจารย์ได้เก่งจริงๆ แฮะ ให้ออกแบบจริงๆ ด้วย คนอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงประท้วงเพราะการออกแบบและนั่งบรรจงวาดในสามชั่วโมงมันก็สาหัสสุดๆ ครับ แถมต้องออกแบบตามโจทย์ด้วย ไม่แค่นั้นต้องมาบรรยายทฤษฏีอีก ภายในสามชั่วโมงเนี่ยถือว่ามันโหดร้ายทารุณมากครับ!
“หวังว่าพวกเธอจะโชคดีมีชัย เอาล่ะ เลิกได้”
อาจารย์แกก็ยิ้มหวานซ้อนเหี้ยมอย่างเลือดเย็นเอ่ยอวยพรแล้วเลิกคลาสเดินหนีฉับๆ ไปปานพายุ ไม่ฟังเสียงโอดครวญของเหล่าลูกแกะตัวน้อยๆ บ้างเลย เมื่ออาจารย์ไปลับตาคนในห้องก็เริ่มคุยกันเสียงดัง พวกผมเก็บสมุดดินสอเข้ากระเป๋าแล้วเริ่มชวนกันไปกินข้าว ก่อนชั่วโมงเรียนภาคบ่ายจะเริ่ม
“ตอนบ่ายเรียนวิชาอะไรวะ?”
“ไอ้บื้อ! เรียนมาจนจะสอบแล้วมึงก็ยังจำไม่ได้หรือไงวะ?”ไอ้สตางค์หันไปโวยไอ้บู๊ลิ้มที่สะลืมสะลือขึ้นมาเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ไอ้นี่มันนอนสบายเชียว ไม่รับรู้ถึงสายตาอำมหิตของอาจารย์ที่เพียรเพ่งมาเลยสักนิด ไอ้สตางค์มันก็ชอบขัดแข้งขัดขาไอ้บู๊ลิ้มตลอดแหละครับ ไม่รู้ทำไม?
“อ้าว ไอ้คุณบูด! ถามดีๆ นะครับ ทำไมตอบหมาๆ มาแบบนี้ แหม! หน้าบูดแล้วยังปากบูดอีกนะเฮ้ย”ไอ้บู๊ลิ้มมันก็ตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ครับ ปกติแล้วไอ้บู๊ลิ้มมันออกจะรักสงบเป็นคนยิ้มๆ ง่ายๆ แต่พอเป็นไอ้สตางค์เท่านั้นแหละมันก็จะขัดอีกฝ่ายแบบไม่ยอมแพ้
“บูดแล้วไปหนักหัวมึงหรือไง?”
“ไม่หนักหรอกโว้ย แต่มันเหม็น!”
“โอ๊ย! ไอ้เน่าเอ๊ย มึงอ่ะเสี่ยวแดก เหม็นกว่ากูอีก”
“ถึงกูจะเน่า กูเน่าอย่างคุณภาพ ไม่เหมือนมึงหรอก อย่าว่ากูไม่เห็นนะโว้ย”
“มึงเห็นอะไร มึงเห็นอะไร!”
“เหอะ ไอ้พวกประเภทนี้มันมักจะอารมณ์รุนแรงอย่างที่เขาว่า”
“ประเภทไหน มึงพูดให้เคลียร์เลยดีกว่าไอ้บู๊ลิ้มไอ้เน่า!”
“เฮ้ยๆ พอๆ แล้วพวกมึง ทะเลาะกันอยู่ได้”
“เออ!! เป็นห่าอะไรของพวกมึงวะ กูหิวจะตายอยู่แล้ว เดี๋ยวพ่อแหบหัวเลยนิ”
สงครามไอ้เน่ากะไอ้บูดสาดน้ำลายไปมาก็ยุติได้ด้วยไอ้แซมที่เดินฝ่าฝูงน้ำลายอย่างกล้าหาญ เสียสละใบหน้าของตัวเองไปต้องน้ำลายของพวกมันเพื่อที่จะให้พรรคพวกที่ทำหน้าจะตายเพราะความหิวไปห้ามพวกมันสองคนที่เริ่มจ้องหน้าจะท้าชกกันอยู่มะรำมะร่อ
หลังจากที่ไอ้บู๊ลิ้มและไอ้สตางค์มันเชิดใส่กันพวกผมก็ได้ฤกษ์ไปกินข้าวเที่ยงกันสักที จากที่ไปนั่งทานข้าวกันอย่างอิ่มเอมเปรมใจแล้วพวกเราก็ยกพวกมาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ได้มาตีกับเด็กวิดวะหรอกนะครับแต่มาเรียนวิชาการก่อสร้างต่างหากล่ะ! มาทีไรผมก็ไม่ค่อยได้เห็นไอ้วินเซอร์หรอกครับ ไม่รู้มันไปมุดหัวอยู่ไหนหรือบางทีมันอาจจะควงสาวไปกินข้าวที่อื่นล่ะมั้ง เหอะ!
“เฮ้ย! พวกมึงเดินรอไอ้ฮอยมันหน่อยสิวะ! มันยิ่งขาเดี้ยงอยู่น่ะ!”ไอ้โจ้มันเอ่ยออกมาเมื่อเห็นผมพยายามเอาเป็นเอาตายที่จะเดินพร้อมไอ้พวกที่เดินลิ่วๆ ไม่สนใจชาวบ้านเขาว่าจะกะเพรกเดินตามไหวไหม? แล้วพวกมันก็ชะลอความเร็วมาเดินเท่ากันกับผม เออ แบบนี้สิวะถึงได้ดูสมกับเป็นเพื่อนกันหน่อย
“เฮ้ย วินเซอร์มีอะไรวะ?”ผมสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงถาม แถมมันยังมีชื่อไอ้วินเซอร์ดังขึ้นมาซะอีก! พวกผมยืนกันอยู่หน้าลิฟต์รอให้มันลงมาที่ชั้นหนึ่ง ระหว่างนั้นผมก็เหลือบมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นมีไอ้วินเซอร์โผล่มาแต่อย่างใด หรือว่าผมจะหูหลอนไปเองวะ? เสียงลิฟต์ดังติ้งเมื่อมันมาถึง พวกผมก็เดินเข้าไปกันอย่างรวดเร็วแล้วเด็กวิดวะกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาด้วยเหมือนกัน
พอเห็นหนึ่งในกลุ่มนั้นผมก็รีบทำตัวลีบขยับเข้าไปจะแทรกผนังลิฟต์เป็นเนื้อเดียวแน่ะ นั้นมันไอ้วินเซอร์นี่หว่า!! เสียงเมื่อกี้ผมก็ไม่ได้ยินไปเอง มันเรียกไอ้วินเซอร์จริงๆ!! ด้วย ผมพยายามทำตัวล่องหนไร้ตัวตนให้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ไอ้วินเซอร์มันหันมามองนั้นแหละครับ
มันคงไม่รู้หรอก เพราะมันไม่รู้ว่าผมเรียนที่เดียวกับมัน!!ผมถอนหายใจโล่งเมื่อไอ้วินเซอร์หันกลับไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนของมัน ผมจำเพื่อนสองคนนี้ได้ครับ คนหนึ่งตัวสูงพอๆ กับไอ้วินเซอร์ ค่อนข้างหล่อแต่ไม่หล่อจัดแบบไอ้วินเซอร์ ให้บรรยากาศแบบคุณชายกลางแห่งบ้านทรายทองอะไรพวกนั้นแหละครับ ที่สำคัญทำหน้าโคตรดุ! กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่าเรียนวิดวะน่ะ เฮ้อ ส่วนอีกคนแตกต่างจากสองคนนี้มากครับ เขาเตี้ยและใส่แว่นแต่โชคดีที่เขาน่ารัก ยิ้มทีเนี่ยโลกสดใสเลยล่ะครับ น่าจะเป็นคนร่าเริงสดใสหน่อย
“เฮ้ย ไอ้โซ นั้นๆ!”คนเตี้ยๆ ใส่แว่นสะกิดไอ้คุณชายหน้าดุให้หันมามองทางด้านพวกผม อะไรวะ? ไอ้คุณชายนั้นก็เหลือบมามองนิดหน่อยแล้วยิ่งทำหน้าดุเข้มมากขึ้น พวกมันมองมาที่ไอ้พรีสต์ไม่ใช่เหรอวะ? ไอ้วินเซอร์กับเพื่อนเตี้ยๆ คนนั้นก็พยายามจะดึงไอ้คุณชายหน้าดุมายืนใกล้ไอ้พรีสต์
ติ้ง!เสียงลิฟต์ดังขึ้นเมื่อมาถึงชั้นที่พวกเราลงไว้ พวกไอ้พรีสต์ก็เดินออกจากลิฟต์โดยไม่รู้เรื่องอะไรสักนิด ผมก็กะเพรกเดินตามพวกนั้นไป แอบเหลือบมองกลับไปที่ไอ้วินเซอร์ ไอ้บ้านั้นก็หัวเราะเป็นบ้า ไอ้เพื่อนเตี้ยก็ตีไอ้คุณชายหน้าดุที่มองตามพวกเราละห้อย หือ? อะไรกันวะ? อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนั้นมันชอบไอ้พรีสต์น่ะ!!?
“เฮ้ย ยังมีคนเรียนอยู่วะ นั่งรอก่อนล่ะกัน”
ปกติแล้วห้องนี้ตอนเที่ยงครึ่งยังมีเด็กวิดวะเรียนอยู่ครับ ส่วนตอนบ่ายนู้นแหละพวกผมถึงจะได้เรียน แล้วพวกผมก็นั่งรอกันที่ระเบียงตึก ผมมองวิวมองนั้นมองนี้แล้วตกใจกับไอ้สามหนุ่มวิดวะที่มันหายไปกับลิฟต์เมื่อกี้นี้ มันก็วิ่งลงมาทางบันได พวกเรามองพวกมันอย่างงงๆ
ไอ้วินเซอร์มันถือกีต้าร์ตัวเล็กมาด้วย ไอ้สามคนนั้นมันก็มานั่งตรงระเบียงถัดไปอีกเสาหนึ่งครับ พวกไอ้พรีสต์มันก็คุยกันเรื่องอื่นๆ ไม่สนใจแต่ผมสนใจอ่ะ อยากรู้ว่าพวกมันมาทำอะไร? ผมมองไอ้วินเซอร์กับพวกเพื่อนๆ มัน ไม่นานไอ้วินเซอร์มันก็ดีดกีต้าร์แล้วร้องเพลงออกมาทำให้คนอื่นๆ เนี่ยเงียบกริบ
ฉันเพิ่งเข้าใจว่ารักเป็นอย่างนี้
ฉันเพิ่งเข้าใจเมื่อได้มาเจอด้วยตัวเอง
เสี้ยวนาทีก็มีความหมาย เปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ
ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้ว่า รักไม่ต้องการเวลา
( รักไม่ต้องการเวลา - หนูนา )
มันเกิดอะไรกับหัวใจ ควบคุมอะไรไมได้สักอย่าง
จะห้ามยังไงก็ไม่มีทางให้มันหยุดคิดถึงเธอ
จะบอกยังไงก็ไม่ฟัง เมื่อใจมันยังเรียกร้องหาเธอ
คนเดียวในใจชัดเจนคือเธอ
ท่าทางมันคงจะเผลอรักเธอหมดใจ
( เผลอรักเธอหมดใจ - บี้ เดอะสตาร์ )
แต่วันหนึ่ง ฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น
ดวงใจเป็นเดือดมันร้อนช่างทรมาน
ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน
นาทีนั้น.. ฉันรักเธอทันใด
รักแรกพบ แท้จริงเป็นอย่างไร เพราะเธอใช่หรือไม่
ต่างจากใครที่ฉันเป็น จากวันนั้นหัวใจรู้สึกเอง
ชัดเจนว่าทุกสิ่ง เกิดขึ้นจริงใช่ฝันไป
ได้พบจึงเข้าใจ มีอยู่จริง
( รักแรกพบ - Tattoo Colour )
เธอเป็นแฟนฉันแล้ว รู้ตัวบ้างไหม
แล้วเมื่อไรหนอฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ
ก่อนนอนฉันเขียนบันทึกถึงเธอเสมอ
อยากบอกรักเธอ อย่างเป็นทางการแต่ไม่กล้าพอ
( เธอเป็นแฟนฉันแล้ว - กะลา )
ฉันต้องทำ ทำอะไร สักอย่างแล้ว
ให้เธอนี้ ไม่แคล้ว ไม่คลาดกัน
ให้เธอรู้ตัวว่า มีคน อย่างฉัน
แอบมองเธออยู่ตรงนี้
รอคอยเธอตรงนี้ ฉันนี้ไง
( ทำอะไรสักอย่าง - ป้าง นครินทร์ )
ไอ้วินเซอร์เล่นเอาแต่ละเพลงมามิกซ์กันโดยเปลี่ยนสไตล์ได้อย่างรวดเร็วและลงตัว แถมเสียงร้องของมัน เพราะชวนเคลิ้ม! แมร่งเอ๊ย มิน่าสาวๆ หรือหนุ่มๆ ติดมันตรึม!! พวกไอ้โจ้มันก็ยิ้มๆ กันแล้วเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไรครับ พวกมันสะกิดไอ้พรีสต์ที่นั่งเอ๋อมองไปที่ไอ้สามตัวนั้น แต่ไอ้พรีสต์มันก็ไม่สนใจ(ผู้ชาย)เหมือนเดิม เจ้าเตี้ยแว่นนั้นก็พยายามจะผลักดันไอ้คุณชายหน้าดุออกมาจากมุมเสาที่หลบแต่ทำอย่างไงมันก็สำเร็จ จนกระทั่งเด็กวิดวะที่เรียนอยู่ออกมาจากห้อง พวกเราก็ลุกขึ้นไปเรียนทันที
แต่ก่อนแต่ไร หัวใจฉันดั่งภูผา จะพูดจะจา เสียงดังและฟังชัดเจน
ไม่กลัวใครแน่นอน เลือดมันร้อนถอยไม่เป็น แต่เจอะกับเธอ ไม่รู้ฉันกลายเป็นใคร
เป็นตั้งแต่เมื่อพบเธอ เจอหน้าเธอก็ใบ้กิน ลิ้นพันกัน ไม่รู้มันเป็นยังไง
ใจปลาซิวทุกทีที่เจอเธอ แก้มแดงๆ ของเธอทำหัวใจละลาย
พึ่งจะรู้ว่าความรัก ทำให้คนเสียความมั่นใจ ลองรักใคร รักเท่าไหร่ก็ไปไม่เป็น
( ใจปลาซิว - ศร )
“เหมาะกับไอ้โซโล่ชิบหายวะเพลงนี้”
“ไร้น้ำยาวะ”
ผมแอบเห็นด้วยกับสองคนนั้นน่ะเนี่ย ไอ้วินเซอร์กับเพื่อนเตี้ยก็แทบจะปลงตกกับไอ้คุณชายหน้าดุที่ได้แต่แอบเสามองไอ้พรีสต์ อะไรมันจะอายขนาดนั้นวะ!!? ใจปลาซิวอย่างที่เพลงมันบอกจริงๆ วะ!! ผมแอบขำอยู่ในใจแล้วรีบหลบตาเมื่อไอ้วินเซอร์หันมามอง แมร่งเอ๊ย ไปว่าเจ้าคุณชายนั้นแล้วมันก็เข้าตัวเองวะ!!
กูก็ใจปลาซิวเหมือนกัน เฮ้อ~!TBC.มาอัพส่งท้ายและจะขอตัวไปเข้าค่ายยาวห้าวัน!!
อยากจะบอกว่า...เรื่องนี้ยาว(ม๊ากมาก)จริงๆ นะ เอิ่ก!
แถมไม่รู้ทำไมเรื่องนี้ดูดีกรีความหื่นแล้วมันจะมากกว่า
เรื่องคู่กัดซะอีก อืมมม...นั้นเพราะมีวินฮักหรือไงวะ?
ต๊ายแล้วพี่น้องคนอ่าน!!! ดูจากนิสัยของไอ้วินเซอร์แล้ว
Nc หื่นกระจายแถมยังโรคจิต ซาดิสม์เข้าไปอีก 
คิดแล้วกลุ้ม แค่ Nc คู่กัดก็ลำบากโพดๆ แล้วนะ เฮ้อ
ถึงฉาก Nc ยังเป็นอนาคตแต่ก็คิดไว้คร่าวๆ แล้ว(หื่นสันดานชั่วมาก)
เฮ้อ!! ถ้าถึงตอนที่มันโจ๊ะกันแล้วคนแต่งเครียดแหงๆ
บ่นไปงั้นแหละ เพราะมันยังไม่ถึง ก๊ากกกกกกก!!!