ถามว่าหลังจากวันลอยกระทงวิปโยคนั้นมีอะไรต่อหรือเปล่าน่ะเหรอ? หึ! ไม่มี!! ผมก็ทำตัวเลวๆ เกรียนๆ เหมือนๆ เดิมนั้นแหละหรืออาจจะมากกว่าเดิมเลยก็ได้มั้ง ไม่รู้โว้ย!! ตอนนี้แค่ไม่อยากกลับห้องเท่านั้นเอง ไม่อยากเจอหน้าไอ้แว่นนั้น!
“นานแล้วนะครับที่คุณวินเซอร์ไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้”ลีโอเอ่ยขึ้นพร้อมกับรินน้ำเมาใส่แก้วทรงเหลี่ยมให้กับผม ผมมองเขานิดหน่อยแล้วยิ้มรับที่มุมปากไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับ วันนี้ผมก็มาเที่ยวอย่างที่เคยๆ ทำมาแต่พวกไอ้โซโล่ไม่ได้มาด้วยหรอกนะครับ เหล่าพวกผ่องที่มาเที่ยวด้วยกันก็ชวนคุยกันเสียงหึ่มๆ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย น่ารำคาญวะ จะพูดอะไรนักหนา!
“คุณวินเซอร์ นี่ครับ”ลีโอยิ้มหวานหยดแล้ววางแก้วที่ชงให้กับผมยื่นมาให้ ผมรับไว้แล้วยกกระดกแก้วนั้นกลืนน้ำสีอำพันลงคอไปหมดแก้วก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะ เสียงวี๊ดว๊ายของสาวๆ ที่นั่งคลอเคลียส่งเสียงชื่นชมแล้วเชียร์ให้ดื่มอีก ผมนั่งทำตัวเริงรมย์ไปกับพวกเขา แต่ไม่รู้ทำไมในใจผมรู้สึกแปลกๆ มันรำคาญกึ่งหงุดหงิด
ผมนั่งดื่มมันอยู่ค่อนคืนรู้สึกวิงเวียนหัวและกึ่งหลับกึ่งตื่น นี่ผมดื่มจนเมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? อ่า ให้ตายสิ ผมไม่เคยดื่มเมาจนไม่มีสติแบบนี้เลยนะ แน่นอนว่าผมต้องขับรถกลับเองแต่วันนี้แมร่งไม่ไหวจริงๆ วะ ปวดหัวสัด! ผมรู้สึกเหมือนมีใครบางคนพาผมออกจากผับนั้นแล้วขึ้นรถ
“ห้องอยู่ไหนครับคุณวินเซอร์?”
อ๋อ ลีโอนี่เองผมเหลือบตาไปมองอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วตอบไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งแล้วหลับตาลง ส่วนห้องน่ะเหรอ? ผมไม่อยากจะกลับห้องเท่าไรถึงตอนนี้มันจะดึกมากแล้วก็เถอะ แต่กลับไปแมร่งก็ตามหลอกหลอนผมไปแทบจะทุกที่ ให้ตายสิ ผมนี่มันแย่สุดๆ เป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ บอกว่าไม่สนใจไง ไม่ได้ชอบเลยสักนิด แต่แมร่งเป็นเหี้ยอะไรของผมก็ไม่รู้ เอาแต่คิดเรื่องของมันอยู่นั้นแหละ ทั้งๆ ที่คิดว่าผมน่ะชอบเลิฟมีต่างหาก ไอ้แว่นอย่างมันคนอย่างผมจะไปชอบทำไม!?
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกพยุงให้นอนลงบนเตียงนั้นแหละครับ ผมลืมตาขึ้นนิดหน่อย เจ้าลีโอนั้นก็บอกให้ผมขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ผมขยับตัวเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แล้วผมก็รู้สึกเย็นๆ ตามแขน ลืมตามองเห็นเจ้าลีโอมันกำลังเช็ดตัวให้
“เช็ดตัวให้สบายแล้วค่อยนอนนะครับ”
“ไม่จำเป็น ปล่อยไว้แบบนี้แล้วนายก็กลับไปซะ”ผมสะบัดแขนออกจากมันแล้วพลิกตัวนอน เสียงของเจ้านั้นก็ยังตามมาไม่ยอมไปเสียที
“ให้ผมดูแลคุณนะวินเซอร์”
“ทำไม?”
“ผม...ผมน่ะรักคุณ รักมานานแล้วด้วย ขอโทษแต่ผม...”
“อยากมีอะไรกับฉันงั้นเหรอ?”
“...คือ..ผม...”
ผมพลิกตัวกลับมาแล้วลุกขึ้นนั่งมองตรงไปที่ลีโอ หน้าขาวๆ ของมันแดงระเรื่อ ลีโอขยับตัวเข้ามาใกล้ผมแล้วโอบกอดรอบคอของผมไว้ มือของเขาลูบไล้ไปตามร่างกายของผม เสียงกระซิบเบาแผ่วที่ทำให้ผมกระตุกยิ้ม
“ผมต้องการคุณ...มาก”
“...หึ”
หลังจากนั้นผมกับลีโอก็มีสัมพันธ์กันแต่ก็นั้นแหละผมก็แค่สนองเมื่ออีกฝ่ายเสนอมา ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาแน่นอน ก็แค่เพื่อนเที่ยวคนหนึ่ง ไม่ได้ชอบหรือถูกใจด้วยซ้ำ ผมไม่ได้เจอกับเจ้าแว่นมาหลายวันแล้วไม่ได้กลับห้องเลยก็ว่าได้ เอาง่ายๆ ก็คือผมกำลังหลบหน้ามันอยู่ไงล่ะครับ! ไม่รู้ทำไมแต่ก็ไม่อยากเห็นหน้ามันตอนนี้!
“วินเซอร์น่ะเหรอ? กูไม่เห็นวะ”
“ขอบใจ งั้นฉันไปก่อนนะ”
“เออ ถ้าเห็นจะบอกนะโว้ย”
“อืม”
เสียงพูดคุยเงียบลง
“ออกมาสิวะไอ้วิน มันไปแล้ว”
ผมเดินออกมาจากที่ซ่อนแล้วมานั่งรวมตัวกับไอ้โซโล่และไอ้ชินเหมือนเดิม เมื่อกี้ไอ้แว่นมันเดินว่อนไปทั้งคณะเพื่อตามหาตัวผม ทำอย่างกับกูเป็นลูกมึงมาตามได้ทุกวี่ทุกวัน ไอ้โซโล่มองผมนิ่ง อะไรของมึง? ผมมองมันตอบกลับไอ้บ้านั้นก็เสือกยิ้มเยาะๆ มาให้
“ไอ้ปรมาจารย์ไหงมึงหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้วะ?”
“ก็แค่ไม่อยากเห็นหน้า รำคาญ”
“อ๋อเหรอ?”ไอ้ชินมันตอบรับได้น่าถีบสุดๆ ไอ้โซโล่ก็พยักหน้ารับนิ่งๆ แต่สาบานได้ว่าหน้าแมร่งโคตรกวนตีนเลยอ่ะ
“ทำอย่างกับกลัว”
“เออ เห็นด้วยกับไอ้โซ มึงเหมือนกับเป็นคนตาขาวเลยวะไอ้วิน”
“เหี้ยมึงสิ”ผมสบถอย่างไม่พอใจแล้วหลบตาไอ้พวกนั้น
“ถึงมึงจะมั่วไปทั่วแต่กูรู้ว่าลึกๆ แล้วมึงก็อยากจะจริงจังกับใครสักคนอยากจะมีใครสักคนรักมึงจริงๆ แต่พอมีขึ้นมามึงก็เสือกวิ่งหนีเขาซะงั้น ที่มึงทำตัวแบบนี้เพราะมึงกลัวที่จะรักใครแล้วผิดหวัง! มึงกลัวว่าตัวมึงจะเสียใจ! กูพูดถูกไหมไอ้ปรมาจารย์?”
“...”ผมไม่พูดอะไรตอบกลับ นั่งฟังไอ้โซโล่มันสวดต่อ ไอ้นี่ปกติก็ไม่ค่อยพูดแต่พอได้พูดนะหยุดมันไม่ได้หรอกครับ พูดฉอดๆ อย่างกับมันสวดแผ่เมตตา ไอ้ชินมันก็ทำหน้าซาบซึ้งในรสพระธรรมที่พระโซกะโล่สวด
“ชีวิตคนเราไม่มีใครไม่ผิดหวัง ไม่มีใครไม่เสียใจ ชีวิตมันคือการเรียนรู้ที่ไม่จบสิ้น เรียนรู้ที่จะรัก เรียนรู้ที่จะเสียใจ เรียนรู้ที่จะผิดหวัง เรียนรู้ที่จะมีความสุข กูรู้ว่ามึงกลัวแล้วในโลกนี้ใครจะไม่กลัวแบบมึงบ้าง กูก็ยังกลัว ไอ้ชินมันก็กลัว วินเซอร์แม้จะล้มเหลวผิดหวังเสียใจเป็นหมื่นครั้งแต่ใช่ว่าในความผิดหวังนั้นมันจะไม่มีความสุขเลยนี่ ทำใจเข้มแข็งหนักแน่นไปจนกว่าจะได้เจอคนที่เกิดมาเพื่อรักษาฟื้นฟูหัวใจสิวะถึงจะเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม”
แปะๆๆๆ!!!
“ซาบซึ่งเลยกู”
“เหี้ยชิน ซาบซึ้งโว้ย!!”
ไอ้ชินมันก็ทำหน้าร้องไห้ซาบซึ้งโดนมะเหงงของไอ้โซโล่มันหล่นใส่ เออ สม!! แต่การที่ได้ฟังบทสวดของไอ้โซโล่ยาวขนาดนี้ก็เป็นอะไรที่แปลกเหมือนกันวะ ผมมองไอ้สองตัวที่เถียงกันแล้วมีการลงไม้กันเล็กน้อย ไอ้โซโล่มันก็พูดถูกนั้นแหละ ยิ่งอย่างผมยิ่งต้องกลัวมากกว่าชาวบ้านเขา ก็แน่ล่ะ อาจจะเป็นการอวดตัวสักหน่อยแต่ผมก็มีพร้อมทุกอย่าง หน้าตาที่โคตรจะดูดี เงินทองมีใช้แบบไม่อั้น ตลอดมาคนที่เข้าหาผมก็อยากจะได้บางสิ่งบางอย่างกลับไปทุกคน แล้วไอ้แว่นจืดนั้นมันต้องการอะไรล่ะ?
หลังจากเลิกเรียนผมก็ไปบริษัทเพื่อทำโปรเจ็คท์หนังฟอร์มยักษ์ที่ฉลองครบรอบยี่สิบปีของบริษัทครับ ผมนั่งประชุมในห้องที่มีแต่ระดับมือทองของบริษัท ผู้กำกับมือทองที่ถนัดเรื่องเอฟเฟ็คส์ ทีมงานชั้นยอดในแต่ละด้าน ตอนนี้เราเขียนบทเรียบร้อย ออกแบบฉากและเสื้อผ้า ทุกอย่างพร้อมเหลือเพียงแต่นักแสดงเท่านั้น โปรเจ็คท์นี้เราดำเนินมาได้ครึ่งปีแล้วครับ
“เปิดออดิชั่นหานักแสดงดีไหมครับ?”
“ตัวหลักๆ นั้นวางตัวไว้เรียบร้อยแล้วเหลือแต่บทที่ยังว่างอยู่ การออดิชั่นก็เป็นทางเลือกที่ดี”พ่อที่เป็นประธานนั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยยิ้มๆ คนอื่นๆ ก็พยักหน้าตาม ผมขมวดคิ้วมุ่น บทหลักวางนักแสดงไปแล้ว? ตอนไหนวะ? ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่อง?
การประชุมก็ดำเนินไปเรื่อยจนดึกดื่นมันไม่ใช่ประชุมแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกครับ แต่มันมีการประชุมหลายต่อเป็นเหมือนวันแห่งการประชุมอย่างไงอย่างนั้น แต่มองไปที่พ่อรู้สึกขัดตาอย่างไงชอบกล คนที่เข้าประชุมก็มีผลักเปลี่ยนเวียนมาประชุมเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบแต่สำหรับพ่อของผมที่รับผิดชอบทุกอย่างอนุมัติทุกอย่างกลับดูผ่องใสยิ้มระรื่นเหมือนเดิม ขณะที่คนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งผมหมดแรงที่จะขยับปากพูดด้วยซ้ำ
และแล้วการประชุมก็จบลงผมเนี่ยแทบจะล่องลอยออกจากห้องประชุมเลยครับ แต่พ่อของผมกลับส่งยิ้มละมุนให้กับทุกคนก่อนจะกลับห้องไปทำงานต่อ ก็เป็นแบบนี้ล่ะนะที่ทำให้ผมคิดว่าพ่อเนี่ยสุดยอดที่สุด! ผมเดินออกจากบริษัทหลังจากเคลียร์งานค้างคาของตัวเอง ดูเวลาแล้วถอนหายใจ จะเที่ยงคืนอยู่แล้ววะ กลับไปอาบน้ำนอนต้องปาไปตีหนึ่งตีสองแหงๆ
ผมขับรถกลับมาที่คอนโดของตัวเองไม่ได้กลับมานานแล้ว ถ้าพูดถึงบ้านล่ะก็...มันก็มีนะครับแต่ไม่มีใครอยู่ พ่อน่ะไปอยู่บ้านของปู่ หลังจากที่แม่ของผมตายบ้านหลังนั้นก็ไม่มีใครอยู่สักคน แน่ล่ะ ใครจะไปกล้าอยู่กัน บ้านที่มีความหลังเลวร้ายแบบนั้น! ผมจอดรถไว้ที่เดิมแล้วเดินเข้าคอนโดกดลิฟต์ไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อลิฟต์เปิดติ้งผมก็เดินเฉื่อยๆ ไปที่ห้องแต่แล้วขาก็ชะงัก ตาจ้องเขม็งไปที่ห้องของตัวเอง
“วินเซอร์”
“...”
ไอ้แว่นนี่เอง กูนึกว่าผี!!!“ทำไมมึงมาอยู่ที่นี้?”ผมขมวดคิ้วแล้วเดินมาที่ห้องของตัวเองเบียดเจ้าแว่นให้ถอยออกจากหน้าห้องแล้วเปิดประตูห้องเดินเข้าไปไม่สนใจเจ้าแว่นที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมปลดกระดุมเสื้อวางข้าวของไว้บนโต๊ะแล้วหันไปมองหน้าประตู เจ้าแว่นนั้นโผล่หน้าเข้ามาในห้องมองประตูอย่างแปลกใจ
“ทำไมไม่ล็อกประตู?”
“ล็อกแล้วมึงจะเข้าได้ไหม?”
ถามแปลกวะไอ้บ้านี่! ก็กูไม่ล็อกเพราะจะให้มึงเข้ามาเนี่ยแหละ! พอให้เข้าก็แปลกใจพอไม่ให้เข้าก็โวยวาย ไม่ต้องมามองกูเลย อยากเข้ามาก็รีบเข้ามาสิโว้ย ยุงจะเข้าห้องกู! ไอ้แว่นมันก็เดินเข้ามาและไม่ลืมที่จะล็อกประตูด้วย มันเดินมาหยุดตรงโซฟา
“มีธุระอะไร? ดึกดื่นไม่รู้จักกลับบ้าน”
“เปล่า แค่อยากเจอ”เจ้านั้นก็ตอบกลับมาหน้าตาเฉย ผมขมวดคิ้ว มึงไม่มีอะไรจะทำเลยหรือไงวะถึงได้ว่างจัดมานั่งรอหน้าห้องผู้ชายแบบนี้! ไม่เข้าใจจริงๆ ที่เข้ามาแวะเวียนไปมาเนี่ยจริงๆ แล้วมึงต้องการอะไรกันแน่วะ กูชักจะไม่สนุกแล้วนะโว้ยที่มีคนเข้ามาป่วนชีวิตขนาดนี้ ผมเดินมาหยุดตรงหน้าของไอ้แว่น จะว่าไปแล้วมันก็สูงพอตัวถึงจะยืนกับผมแล้วมันดูเตี้ยก็เถอะ แหงล่ะผมสูงตั้ง 188 ซม.เชียวนะ ใครมายืนกับผมมันก็คล้ายเป็นคนแคระหมดแหละ
“สนุกมากใช่ไหมที่เอาแต่ปั่นหัวกู”
“อืม สนุก”
มันตอบกลับแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด เหี้ยแว่น!! คิ้วของผมกระตุกยิกๆ เป็นสัญญาณเตือนกำลังมีคนกวนโมโหกูอยู่! ผมผลักมันนั่งลงบนโซฟาอย่างหงุดหงิด อ้อ มึงสนุกนักใช่ไหม? พอใจงั้นสิที่เห็นกูสับสนหนีมึงหัวซุกหัวซุน! ไอ้แว่นมันมองผมนิ่งๆ ไม่มีอะไรเลยในแววตาของมัน ไม่มีความกลัว ไม่มีความแปลก นั้นล่ะที่มันทำให้ผมโมโหมากขึ้น!!
“กูถามมึงจริงๆ มึงต้องการอะไรจากกู? เงิน? บ้าน? รถ? ชื่อเสียง? หรือว่า...มึงต้องการเซ็กส์จากกู!”ผมก้มตัวจ้องหน้าจืดๆ นั้นแล้วเอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น ตอนนี้ผมไม่ได้ล้อเล่น หมดเวลาล้อเล่นแล้ว! ไอ้แว่นทำหน้านิ่งมากดวงตาของมันมั่นคงไม่หวั่นไหวเลยสักนิด พอผมเอ่ยจบมันก็เงียบไปไม่ตอบอะไร ผมก็ไม่พูดอะไรเราสองคนจ้องตากันนิ่งสุดท้ายไอ้แว่นมันก็เอ่ยออกมา
“ถ้ามีนายจะให้งั้นเหรอ?”
“อ่า กูจะให้มึงทุกอย่างเลย รถหรือบ้านกูซื้อให้ได้ หรือว่าชื่อเสียงกูทำให้มึงเป็นดาราดังได้! แม้แต่เซ็กส์ก็ได้นะ กูจะหลับตากลั้นใจทำให้!”ผมเอ่ยตอบรับไป นั้นไง! ไม่มีใครไม่อยากได้อะไรจากผมหรอก!! ที่เข้ามาหาทำนั้นทำนี้ให้มันมีจุดประสงค์นั้นแหละ!! ผมกับมันก็ยังเล่นเกมจ้องตากันไม่มีใครยอมแพ้ เจ้าแว่นนั้นฟังผมสาธยายจบมันก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“ทั้งหมดที่เป็นนาย วินเซอร์”ผมเลิกคิ้วมองลึกลงไปในแววตานั้น มันนิ่งสงบและมุ่งมั่น ไม่มีแม้แววจะหวั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย เจ้าแว่นเอ่ยพร้อมกับขยับตัวเข้ามาใกล้ผม
“ใบหน้า ร่างกาย เสียง ความคิด แม้กระทั่งหัวใจ ทุกๆ อย่างที่เป็นนายทั้งหมด ขอให้ฉันได้ไหมล่ะ? เดี๋ยวฉันจะดูแลและรักษาให้เป็นอย่างดีเองวินเซอร์”พูดจบเจ้านั้นก็ดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น ผมก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่ง
ของแบบนี้กูจะไปยกให้มึงได้อย่างไงงงงง!!? “คิดถึงนาย”เสียงกระซิบนุ่มละมุนข้างหูกับสัมผัสโอบกอดที่อบอุ่นทำเอาใจของผมสั่นไหว แย่มาก!! มันแย่สุดๆ!! เสียงหัวใจมันเต้นรัวรับจนเจ้าของมันอยากจะควักออกมาแล้วโยนไปไกลๆ ไม่อยากได้ยินเสียงของมันที่เต้นรัวแบบนี้เลย!
“...”
“รักนายมากนะวินเซอร์”“...”
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!! พอที!!!! อย่าพูดอะไรอีกได้ไหม กูจะทนไม่ไหวแล้ว ผมเม้มริมฝีปากแน่น
“วินเซอร์...”“...”
“หนักอ่ะ”“...”
“...ลุกที หนัก”
“...”ผมสูดอากาศเข้าปอดแล้วรีบลุกพรวดขึ้นจากตัวไอ้แว่นหันหลังให้กับมันทันที ไอ้เวรเอ๊ย!!!
“วินเซอร์ นายเจอคนอย่างไงมาฉันไม่รู้หรอกนะแต่อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับคนพวกนั้นมันไม่เหมือนกัน ฉันไม่ได้อยากได้อะไรจากนายหรอก ไอ้ประโยคเน่าๆ ที่พูดตอนแรกนั้นน่ะพูดเล่น ทำใจให้สบายแล้วก็เป็นตัวของนายเองเถอะ...”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
ไปเลย!!! มึงจะไปทางไหนก็ไป!!! ผมรีบโบกมือไล่มันโดยที่หันหลังอยู่นั้นแหละครับ เสียงประตูปิดลงผมก็หันไปมองแล้วถอนหายใจเฮือก เมื่อกี้กูเกือบแล้ว!!! เกือบไปแล้วจริงๆ! เกือบเคลิ้มคล้อยตามมันไป เกือบทำเรื่องที่แม้แต่ผมเองยังตกใจ! ถ้านี่มันไม่พูดทำลายบรรยากาศขึ้นมาล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาชีวิตจะเปลี่ยนไปขนาดไหน!!? เกือบหลงผิดจับมันทำเมียแล้วไง เฮ้อ~ รอดตัวไป!!
“พรุ่งนี้...?”ผมขมวดคิ้วครุ่นคิด พรุ่งนี้มัน...
วันเลี้ยงรุ่นนี่หว่า!!!ผมยืนอยู่ในงานเลี้ยงรุ่นของคณะวิศวะ เออ คณะของผมนั้นแหละ เป็นงานเลี้ยงรวมรุ่นปัจจุบันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่นั้นแหละครับ คล้ายๆ งานเลี้ยงประจำปีของคณะครับ เสียงดนตรีคลาสสิคดังไปทั่วงาน ผมมองไปรอบๆ งานแล้วสงสัยสุดๆ ว่าคณบดีของคณะผมเนี่ยแกไปรีดไถเงินจากอธิการมาเท่าไรในแต่ละปี! ก็ดูสิครับ งานเลี้ยงของคณะวิศวะปานงานเลี้ยงเต้นรำในกรุงโรมแน่ะ!!
นักศึกษาแมร่งก็บ้าจี้ตามคอนเซ็ปต์ใส่ชุดหรูหราอลังการใส่หน้ากากปิดหน้ากันทุกคน ผมเห็นแล้วนึกย้อนไปอดีตอันรุ่นโรจน์ของพวกจักรวรรดิเลยนะเนี่ย บ่นอยู่ตั้งนานแต่ตัวของผมก็ไม่แตกจากพวกนั้นเท่าไรหรอกครับ จัดมาเต็มเหมือนกัน ไม่ว่าเสื้อผ้าหน้าผม คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมก็คือไอ้โซโล่ครับ ส่วนไอ้ชินน่ะนู้นเลยกลางฟลอร์เต้นรำครับ! มันเอาแฟนมาด้วย ส่วนหนุ่มโสดอย่างผมกับไอ้โซโล่ก็ยืนขาแข็งกันแบบนี้แหละ
ใช่ว่าจะไม่มีใครเต้นรำด้วยหรอกนะแต่มันไม่มีอารมณ์ต่างหากล่ะครับ ผมน่ะรู้สึกกังวลปนตื่นเต้นนิดหน่อยก็วันนี้ที่ผมนัดเจอกับบุรุษปริศนาคนนั้นนี่น่า! แล้วการที่ไอ้แว่นจืดนั้นมันพูดว่าแล้วเจอกันวันพรุ่งนี้มันจงใจหรือบังเอิญผมก็สุดจะคาดเดา แต่ได้สอดส่องสายตาไปมาในห้องรับรองของทางมหาวิทยาลัย ห้องนี้กว้างมากเป็นห้องที่สร้างขึ้นเพื่อจัดงานต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัยครับ
“มึงไม่เต้นรำเหรอวะโซ?”
“ไม่วะ”
ผมมองไอ้โซโล่เล็กน้อย มันจะอะไรกับผู้ชายคนนั้นกันนักกันหนาวะ ไอ้โซโล่เนี่ยมั่นในรักจริงๆ! นับถือวะ นี่ขนาดเขายังไม่รู้จักมันเลยน่ะเนี่ย ถ้าแมร่งพวกมันรักกันจริงๆ มันจะเป็นอย่างไงวะ ไอ้โซโล่มันจะไม่ตามหึงตามหวงเป็นปู่โสมเฝ้าสมบัติเลยหรือไง?
ผมยืนจิบไวน์แล้วยิ้มตอบรับสายตาของสาวๆ ที่มองมา อ่า ถ้านี่การเต้นรำไม่ใช่ฝ่ายผู้ชายต้องไปขอเต้นรำฝ่ายหญิงล่ะก็ไอ้เจ้าของสายตาเร่าร้อนทั้งหลายนั้นต้องแห่มารุมขอเต้นรำกับผมกับไอ้โซโล่แน่ๆ ผมถอนหายใจแล้วรีบเงยหน้ามองไปฝั่งตรงกันข้ามของฟลอร์เต้นรำ
ร่างสูงเพรียวในชุดทักซิโด้สีดำยืนมองตรงมาที่ผม ริมฝีปากแดงระเรือนั้นยิ้มยั่วเล็กน้อย ดวงตาที่แม้จะมีหน้ากากปกปิดแต่มันก็ระยิบเป็นประกาย ผมกระพริบตาปริบๆ รีบยัดแก้วไวน์ให้กับไอ้โซโล่แล้วเดินไปตรงนั้น ไอ้โซโล่เรียกผมแต่ผมก็ไม่หันไป เพราะกลัวจะคลาดสายตาจากร่างสูงนั้น หัวใจของผมเต้นถี่มันตื่นเสียจนอืออึงไปหมด ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็เขาคนนั้นคือ...
เลิฟมี!!ผมรีบเดินตามหลังเขาคนนั้นไป ผมสีดำที่รวบเป็นหางม้าแกว่งไปมาคลอเคลียหลังเล็กนั้น หมอนั้นเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้! และไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนั้นเรียนคณะเดียวกันกับผมด้วย!? ไม่จริงน่ะ!!? ก่อนที่ผมจะไปถึงตัวของเขาดันชนเข้ากับรุ่นน้องปีหนึ่งแล้วพอละสายตาไปแค่แวบเดียว เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย! เวรเอ๊ย!!! หายไปเลย!! กำลังจับตัวได้อยู่แล้ว!!!
“วินเซอร์มีคนอยากเจอมึงแน่ะ”ไอ้โซโล่มันมาตามผมแล้วชี้ไปที่ระเบียงของห้อง เออ ช่างเรื่องเลิฟมีก่อน แล้วคนที่อยากเจอผมเนี่ยเป็นคนที่ผมนัดไว้หรือเปล่าวะ? ผมสูดอากาศเข้าปอดตบไหล่ขอบคุณไอ้โซโล่ที่อุตส่าห์เดินมาบอกแล้วไปที่ระเบียงห้อง มันเป็นระเบียงกว้างเป็นลานหย่อมๆ เลยล่ะครับ สุดระเบียงนั้นมีร่างสูงผอมเพรียวยืนอยู่ ผมเดินเข้าไปมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณาแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ริว...?”
“สวัสดีครับคุณวินเซอร์”
ผมเดินมายืนตรงหน้าของเขาแล้วเอ่ยเรียกเสียงเบา หนุ่มร่างบางก็หันมาส่งยิ้มให้กับผมแล้วถอนหน้ากากออกเอ่ยตอบรับเสียงใส ผมขมวดคิ้วมุ่น ในใจเริ่มสับสน อย่าบอกนะว่าริวคือ...
“คุณวินเซอร์ ผมเป็นเจ้าของเสื้อและชีทนั้นครับ ที่ผมทำไปเพราะผมแอบชอบคุณมานานแล้ว ขอโทษที่ปกปิดคุณมาตลอด ผมรักคุณจริงๆ ครับวินเซอร์”
ผมยืนแข็งทื่อปล่อยให้ตัวเองถูกอีกฝ่ายกอด ตอนนี้ผมตกใจสับสนงุนงงไปหมด มันเกินจากที่คาดเดา! ผมไม่คิดว่าก่อนเลยว่าคนที่คอยทำอะไรให้ผมก่อนหน้านั้นคือ...ริว? ผมนึกว่า...เป็นหมอนั้นซะอีก? ณ เวลานี้ผมไม่รู้จะทำอะไรได้แต่ปล่อยให้ริวกอดไปจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูตรงระเบียงปิด เห็นใครบางคนเดินเข้างานไป สงสัยจะออกมาที่ระเบียงแล้วเห็นภาพคนกำลังกอดกันก็เลยเข้าไปในงานเหมือนเดิมล่ะมั้ง ผมกำลังจะแกะริวออกจากตัว ตาที่มองตามไปคนที่เพิ่งเดินจากไปนั้นเบิกกว้างอย่างตกใจ
ไอ้แว่นจืด!? TBC.เห็นมีคนเม้นไว้ว่าเรื่องนี้มันดราม่าไม่ใช่เหรอ?
แต่ดูแล้วมันไม่เห็นดราม่าเลย เออ มันจะดราม่าได้ไง
ก็คนแต่งไม่ทำให้มันดราม่านี่น่า อยากให้ดราม่างั้นเหรอ~
แต่ไม่เอาหรอก แต่งตามแนวที่ถนัดเนี่ยแหละ ดราม่าไม่เป็น!
สำหรับหัวเรื่องแต่ละคนตอบแทนน้องแว่นเนี่ยเด็ดๆ ทั้งนั้น
ชอบสุดคือ...ต้องการมึงไง! ตรง...และสมเป็นฮักดี 555
เนื้อเรื่องตอนนี้แอบทำให้ค้างกันเล็กน้อย(???) ฮิๆ
วินเซอร์จะทำอย่างไง? จะเชื่อริวหรือตามน้องแว่นไป?
ติดตามได้ในตอนหน้า~