ปฐมลิขิต :: ช่วงนี้เกรียนคนเขียนต้องยอมรับกับเกรียนคนอ่านอย่างลูกผู้ชาย (?) ว่าไม่ค่อยได้อัพ
(คนอ่าน : หลักฐานก็คาตากูอยู่แล้ว!)
และเอิ่ม..ผมไม่มีเหตุผลในเรื่องนั้นเลยครับ.. 
ขอโทษนะ คือ บางที ถ้าอารมณ์ไม่มี ผมเพียงแค่ไม่อยากแต่งน่ะครับ ไม่อยากอัพส่งๆ
วันนี้รู้สึกโอเค ก็มาเขียนให้ได้ติดตามกันต่อไป
ที่อัพแต่เรื่องนี้เพราะเรื่องอื่นยังเขียนไม่ออกครับ
ไม่เครียด ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมาย เพียงแต่บางขณะเราก็ทำอย่างอื่น นะครับนะ แต่ไม่ลืมเกรียนคนอ่านแน่นอน
ส่วนเรื่องนี้ โปรดอ่านเรื่อยๆ ถ้าเหนื่อยก็อย่าอ่าน เพราะผมยังไม่รู้เลยว่าจะจบตรงไหน (
)
มันไม่ได้หมายความว่าผมเอาน้ำมาอัพแต่ไม่มีเนื้อ เพราะเนื้อเรื่องก็ไม่ยอมไปไหนกันสักที
เพียงแต่ถ้าเกรียนคนอ่านเกรียนให้มากหน่อย(
) ก็จะเข้าใจผมเอง Chapter 10 : ตั้งแต่ครั้งที่เราจากกันแสนไกล..ยอดดอยสูงตระหง่านงดงามเหลือเกินในความสดใสของท้องฟ้าหลังสายฝนในวันนั้น
อย่างน้อย..เราก็ขอบคุณฟ้า ที่ทำให้เราได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงหนึ่งที่นี่..
ที่ได้ทำประโยชน์ที่นี่.. ได้พบความรักความอบอุ่นของคนต่างภาษาที่นี่..
และได้เป็นเทียนเล่มน้อย..ของที่นี่..
สายหมอก..หยอกลมฟ้า..ป่าฝน
สายใจ..ในจิตคน..บ่นหา
สายรุ้ง..รุ่งรางแต่ง..แต้มนภา
แห่งยอดดอย..เสียดฟ้า..ข้าเคยเนา
..ผมปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าเก็บลงกระเป๋าหลังจากหยิบมาอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย
บันทึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมรักและผูกพัน..
สี่ล้อและสองเท้าพาผมก้าวมาถึงอาณาเขตขุนเขาอันไพศาลแห่งนี้แล้ว ..แม่ฮ่องสอน
ผมออกจากบ้านที่อำเภอแม่ริม..ไปม.ช...และไปอาเขต
จากนั้นจึงเดินทางทางด้วยรถโดยสารประจำทางมาถึงอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
จุดมุ่งหมายของผม..คือหมู่บ้านแม่ละ
บ้านบนดอยของชาวปกากะญอ..
ปกากะญอ หรือที่คนพื้นราบเรียกว่าชาวกะเหรี่ยง
แต่จริงๆพวกเขาเรียกตัวเองว่าปกากะญอ ..คำนี้แปลว่าคน
ไม่มีรถโดยสารใดไปส่งผมที่บ้านแม่ละบนดอยสูงท่ามกลางเส้นทางที่ค่อนข้างยากลำบากได้
ผมจึงยืนคอยอยู่ที่ถนนใหญ่..รอให้มีรถของชาวบ้านสักคันมุ่งหน้าเข้าไป..และผมจะทำการโบก ขออาศัยไปลงที่บ้านแม่ละด้วย..หรือไม่ ก็ไปไกลที่สุดเท่าที่เขาจะไป ผมเดินเท้าเข้าไปเองได้หากเหลือระยะทางไม่ไกลนัก
ในที่สุดพระเจ้าแม่ฮ่องสอนก็เข้าข้าง..รถที่มาส่งกะหล่ำปีกำลังจะขึ้นกลับไปหมู่บ้านพอดี
“ขอหื๊อผมไป๋โตยคนเน้อครับ พะตี”
“เกยหันตี๊ไหนน้อ เกยไปแม่ละแม่นก่อ”
ลุงคนขับ ที่ผมเรียกว่า พะตี ซึ่งเป็นคำใช้เรียกลุงในภาษาปกากะญอมองผมแล้วถามขึ้นเป็นภาษาคำเมืองที่ไม่ชัดนัก
ผมยิ้มให้ ก่อนตอบตามตรง
“ผมเกยยะค่ายอาสาครับ พักอยู่ที่บ้านปาพะแก่ ผมใค่ปิ๊กไป๋เยี่ยมเปิ่น”
เป็นที่แน่นอนว่าพะตียินดีต้อนรับผมขึ้นรถ โดยจุดหมายคือบ้านแม่ละ และเหตุผลคือ..ผมเคยไปที่นั่น.. พร้อมกับใครบางคน..
ผมปีนขึ้นไปนั่งท้ายกระบะ..
บนนั้นประกอบด้วยผู้โดยสาร สาขาโบกรถเฉกเช่นผมหลายคนด้วยกัน
ฝั่งตรงข้ามถัดจากผมเป็นหญิงปกากะญออุ้มลูกน้อยไว้แนบอก ถัดไปเป็นผู้เฒ่า และมีอ้ายผู้บ่าวอีกสี่ห้าคน ผมยิ้มและยกมือไหว้ทุกๆคนแล้วนั่งกอดเข่าขณะรถแล่นไปช้าๆ..
ผมกอดกระเป๋าเป้แนบอก ..มองฝั่งตรงข้ามอย่างพินิจพิจารณา
..มองเพื่อจะไม่เสียใจกับเรื่องนี้อีกตลอดกาล..
ใบหน้าไอ้โจยิ้มตอบกลับมาจากอีกฟากของท้ายรถ
..เราเคยนั่งตรงข้ามกันเมื่อเกือบสี่ปีก่อน..คราที่เราขึ้นดอยครั้งแรก..
ตั้งแต่ครั้ง..ที่เราจากกันแสนไกล ..เหตุและผลมากมายไม่เคยสำคัญ..
..เท่ากับความรู้สึกที่ใจของฉันนั้นเก็บให้เธอ
เฮ้อ..
ให้ตายเถอะ
ผมเบื่อตัวเองที่เป็นพวกอินกับบทเพลง
เพลงบางเพลง..ผมฟังซ้ำกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อ..
เพลงบางเพลง..ผ่านไปนานแค่ไหน..ผมก็ยังมีน้ำตา
ผมสะบัดหัวไล่ แค่ได้คิดถึง ของสาวญารินดาออกไปจากหัว
และฮัมเพลงบางระจันแทน
ซึ่งก็..ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
คำถามเดิมผุดขึ้นมาอีกรอบ ..แล้วผมจะเสือกกลับมาที่นี่ทำไม?
ผมบวชมาแล้ว..โจอโหสิกรรมให้ผมแล้ว..
แล้วผมจะกลับมาที่ที่เรารักกันทำไม..
เหตุผลง่ายๆที่ผมรู้ดี..
ก็เพราะผมยังคงรักมันน่ะสิครับ..
..แล้วทำไมผมถึงจะไม่อยากกลับมาที่ที่ผมมีความทรงจำดีๆร่วมกับคนที่ผมรัก..
ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นเพียงอดีต.. ตราบใดที่มันเป็นอดีตที่งดงาม..มันก็จะเบ่งบานในใจผม..เสมอไป
ผมล้วงหยิบภาพถ่ายที่เคยถ่ายกับมันสมัยมอปลายออกมาดูอีกครั้ง..
เคยดูมิวสิควิดิโอ..ไม่แปลกครับ
พระเอกเอ็มนางเอกวีหยิบรูปเก่ามาดูแทบจะทุกเพลงอกหัก
ถ้ายังคิดเติงหาแต๊คิดเติงหาว่าเนี่ย ก็จะต้องร้องไห้คร่ำครวญ
หรือหากจะตัดใจไปหาคนใหม่ก็จะต้องปล่อยรูปทิ้งไปในสายลม
..แต่ผมไม่ทำทั้งสองอย่าง
ผมไม่ร้องไห้..และผมไม่ทิ้ง
แม้ในใจ..ไม่เคยคิดสักวินาทีให้โจย้อนกลับมาหา..ให้เรากลับมารักกัน
เพราะสำหรับบางความรัก..ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ได้อยู่ร่วมกันหรือสานต่อ..
รักบางรัก..อาจมีไว้เพียงเพื่อให้..รัก
ผมเก็บรูปถ่ายสอดไว้ในกระเป๋าเช่นเดิม..
รถจอดที่ทางเข้าหมู่บ้าน ผมไหว้ขอบคุณพะตี แล้วสะพายเป้ขึ้นบ่า เดินช้าๆเข้าไปในหมู่บ้าน
..แม่ละเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโขอยู่..
เริ่มจากอาคารเรียนที่สร้างเสร็จแล้ว..
คราวที่ผมกับไอ้โจมาค่ายอาสาสมันมอปลาย เราทำไว้เพียงโครงสร้างอาคารเพราะขาดงบประมาณ
จากนั้นโรงเรียนจึงท่าผ้าป่าและได้สร้างจนสำเร็จ
จากที่เคยใช้โซล่าเซลส์ ขณะนี้ไฟฟ้าก็เข้ามาถึงแล้ว..ประปาหมู่บ้านมีแล้ว
ยังมีใครจำผมได้ไหม..ผมไม่รู้..
สายลมหนาวพัดผ่านแผ่วเบา..
ขุนเขาโอบล้อม มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ เว้นว่าจะเงยหน้าตรง ก็จะเห็นแผ่นฟ้ากว้าง..
“พี่นุ่ม นั่นพี่นุ่ม!”
เสียงเด็กที่ล้อมวงเล่นอยู่ด้วยกันคนหนึ่งในนั้นตะโกนและพรรคพวกเพื่อนที่เหลือจึงหันมองตามที่มือเด็กน้อยนั่นชี้
..หันมาที่ผม
“อ้ายนุ่ม!”
เสียงคนหนึ่งตะโกน คนที่ผมจำได้ว่าชื่อบือพอ
ผมยิ้มและอ้าแขน..
บือพอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผม
เด็กคนอื่นๆกิ่งกรูเข้ามาหาด้วย
ผมเคยมาอยู่ที่นี่ราวครึ่งเดือน
..เวลาแค่นั้นก็เพียงพอที่ผมและคนที่ได้สัมผัสกายสัมผัสใจกันที่นี่จะผูกพัน ..เพราะเราไม่มีอะไรให้กันนอกจากน้ำจิตน้ำใจ
ผมให้แรงกายแรงใจสร้างที่ทางศึกษา..พวกเขาให้อาหารเลี้ยงกายและความรักเลี้ยงใจ
เราเป็นครอบครัว..
แม้ในคราวนั้น..ผมพูดปกากะญอไม่เป็นเลยสักคำเดียว
“พี่มาคนเดียวหรือคะ”
เด็กน้อยคนหนึ่งถามขึ้น
เด็กปกากะญอรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เรียนหนังสือไทย พูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาปกากะญอ แม้ว่าสำเนียงจะไม่เป็นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สื่อสารกับคนพื้นราบได้เข้าใจ
ผมพยักหน้า
“ครับ พี่มาคนเดียว”
“พี่โจ้ไม่มาด้วยหรือคะ”
..ไม่ใช่พี่โจ้จ๊ะน้อง ..พี่โจ
ให้ตายสิผมว่าผมจะไม่อะไรแล้วนะ..
แต่จากที่ยืนอยู่..ผมก็คุกเข่าลงและส่ายหน้า
“ไม่ได้มาครับ ..และจะไม่มา”
แต่ละครั้งที่เราผ่านมาพบกัน..อาจบังเอิญได้ยินข่าวคราวของเธอ
..นั่นคือความรู้สึกที่ดีที่ฉันคอยอยู่เสมอ..น้องบือพอพาผมมาที่เรือนหลังเดิมที่ผมเคยอยู่ นั่นคือเรือนของปาพะแก่
คำว่า'ปา' ในภาษาปกากะญอหมายถึง'พ่อ'ครับ
เรือนของปาพะแก่ปลูกเหมือนชาวปกากะญอทั่วไป คือเป็นบ้านไม้ ยกพื้นสูง มีใต้ถุน บ้านหลังไม่ใหญ่นัก ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกทำฝาผนังและมุงด้วยสังกะสีบางส่วนและบางส่วนใช้ใบตองตึง..
ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นขั้นบันไดบ้าน ที่ใช้เพียงไม้ท่อนตอกเป็นบันได
เปล่าเลย.. ผมไม่ได้รู้สึกว่ายากลำบากในการขึ้นบ้าน
แต่..ผมเคยนั่งมองฟ้ากับไอ้โจที่บันไดขั้นบนสุด..
ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย..หยิงวัยกลางคนนุ่งซิ่นแดงคนหนึ่งเดินออกมาจากครัว และตกตะลึงเมื่อเห็นผม
พลันสายตาแห่งความตกตะลึงก็เปลี่ยนเป็นความดีใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ลงมาจับตัวผมเขย่า
..ผมยิ้มและโอบกอดเธอ
“โอมึเชอเปอ..โม”
ผมสวมกอดเอาไว้..
โอมึเชอเปอ หมายถึง สวัสดี ในภาษาปกากะญอ
ส่วนคำว่าโม หมายถึง แม่
เธอเป็นหญิงปกากะญอโดยแท้..เธอพูดภาษาไทยไม่เป็นเลย
เธอเป็นคนแม่ฮ่องสอน..ผมเป็นคนเชียงใหม่..เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่เกือบสี่ปีที่แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นคนดูแลผม..ทำกับข้าวให้ผมกิน..และรักผมเสมือนหนึ่งลูกชายแท้ๆ
“ปา?”
ผมถามพลางหันมองหา
เธอพูดภาษาปกากะญอและชี้ไปทางสวนกะหล่ำปลี เป็นทำนองให้รู้ว่าปายังไม่กลับจากสวน
ผมพยักหน้ารับ และเอ่ยเบาๆ
“กาโมทีซ่านา..”
โมยิ้มและพยักหน้าเช่นกัน
“กาโมทีซ่านา”
แปลว่าคิดถึง..
ผมเอาเป้ขึ้นไปไว้บนเรือน โมยินดีต้อนรับผมตามคาด
สเต็ปแรกของผมจึงไปช่วยโมทำกับข้าวในครัว
เรายังใช้การก่อไฟหุงหาอาหารกันอยู่ ใช้ตะเกียงให้แสงสว่าง..
ผมรู้ว่าไฟเข้ามาก็คงทำให้ชาวบ้านสะดวกสบายขึ้น
แต่ความสบายของคนบางคนก็ไม่ได้อยู่ที่ความยากลำบากในวิถีชีวิต
และที่ยิ่งไปกว่านั้น..คนเรามองความยากลำบากได้ไม่เท่ากัน
ผมไม่เห็นความลำบากใจของการก่อไฟหุงข้าวต้มแกงของโมเลย..
ผมไม่เคยเห็นความยากลำบากของชาวบ้านที่อาบน้ำซักผ้าในลำธารเช่นกัน..
ทำกับข้าวเสร็จผมก็ออกมาเดินเล่น พบผู้คนที่ยังจำผมได้บ้าง ผมก็ยิ้มและคุยทักทายหากใครพอจะพูดไทยได้
..ผมยืนอยู่ริมห้วยที่ไหลลงมาจากเขาสูงเบื้องบน
สายน้ำใสแจ๋ว..ปลาน้อยว่ายเวียน..
ผมทำได้เพียงยืนดูอยู่นิ่งๆ..
..ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมายผมทรุดนั่งลงใต้ร่มไม้ ..หย่อนเท้าแอบอิงสายน้ำเย็นใส
คิดถึงโจ..ก็คิดถึง
แต่ก็ไม่ได้คิดถึงแบบโหยหาคร่ำครวญ
แต่คิดถึง..เพราะผมมีความสุขทุกครั้งที่สัมผัสได้ว่า..ครั้งนึงเราเคยรักกัน..
และใช้ชีวิตด้วยกัน..ที่นี่
..ผมพิงต้นไม้และแหงนมองฟ้า หลับตาลงพัก..
เพียงพัก..มิใช่ยอมตาย
ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“อ้ายหนุ่มบ่เฮียนแล้วก๋า”
ลูกชายของปาและโมที่พูดภาษาไทยได้เอ่ยถามผมในวงข้าวใต้แสงเทียนของบ้านเรา ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“เฮียน แต่อ้ายดร็อปไว้ คือหยุดเอาไว้ก่อน พี่ปิ๊กไปเฮียนแหมรอบแต๊ แต่จะยะหยังก่อนซักกำ”
ผมบอกว่าอยากทำอะไรบางอย่างก่อน
ผมกลับไปเรียนแน่นอน..แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และก็ไม่ได้นานนักหลังจากนี้..
ผมไม่ใช่คนเพื่อชีวิตที่มองว่ามหาวิทยาลัยไม่ให้อะไรนอกจากใบปริญญาและไม่เคยคิดว่าการศึกษาไม่ใช่สิ่งสำคัญ..
เท่าๆกับที่ผมไม่ได้มองว่าการได้เรียนและจบมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่จะต้องชิบหายหากไม่สำเร็จ
มหาวิทยาลัยเป็นชีวิตจำลอง..ที่คุณจะได้รับสิ่งต่างๆมากมายแน่ถ้าคุณใช้ชีวิตเป็น
แต่ในขณะเดียวกัน..หากคุณไม่มีโอกาสเรียนและจบมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่ดีงามของคุณจะสิ้นสุดเพียงแค่นั้น..
มันไม่ได้สำคัญที่คุณเป็นใครและอยู่ที่ไหน..มันสำคัญที่คุณทำอะไร..
เช้าวันรุ่งขึ้น..ผมขึ้นเนินลงเนินตามปาออกไปทำสวนกะหล่ำ
อาชีพของชาวบ้านที่นี่ก็คือการทำนา ทำไร่ ทำสวน
ส่วนหนึ่งก็เพื่อยังชีพและอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อส่งไปขายยังพื้นราบ
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งทุบตีกันเลย
ครั้งผมถามปาว่าเคยมีไหม ปาก็ตอบว่า ไม่มี.. ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องช่วยๆกัน อย่างทำนา สร้างบ้าน พอใครทำ ทุกคนที่รู้ก็จะไปช่วย..
ผมรู้สึกจุกแทนคนเมืองนิดๆ..
พวกเขาไม่มีอะไรจะแย่งกันอย่างพวกเราๆ พวกเขาจึงไม่ต้องทะเลาะกัน..
ชีวิตของก้าวเดินต่อไปช้าๆ..และผมก็ไม่ได้รีบวิ่งไปไหน..
ผมทำสิ่งที่ผมมีความสุข..
บางวันผมก็ไปช่วยสอนหนังสือที่โรงเรียนเล็กขนาดเพียงสองสามอาคารเตี้ยๆหน้าหมู่บ้าน
..และบางวัน..ผมก็นั่งเขียนบทกวีอยู่ใต้ต้นไม้สักต้น..
ผมกับสมุดบันทึกและปากกากลายเป็นแฝดสามที่ชินตาชาวแม่ละเป็นอย่างดี
ผมตื่นพร้อมกับไก่ขันและหลับลงพร้อมสกุณาเกาะกิ่งไม้เข้าสู่ภวังค์..
เงียบ..สงบ..สะอาด
แม้บางคืนในสายลมหนาวเย็น..ผมจะอดเดินไปตามแนวขั้นบันไดใหญ่ที่ชาวบ้านเอาไว้ทำนาไม่ได้..
ผมย่างก้าวช้าๆ..
ผมเคยเดินตามหลังใครบางคนที่ตรงนี้..ในสายลมหนาว..ใต้แสงดาวจรัส
..โจ
ผมนั่งผิงไฟจิบเหล้าต้มร่วมกับชาวบ้านและมองเด็กๆหยอกล้อเล่นกัน
อากาศบนดอยนั้นหนาวเหลือใจ..การต้มเหล้าและใส่สมุนไพรลงไปเป็นวิถีของชาวบ้านที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่ใช่ขี้เหลาเมายาอย่างที่เราเราบางคนเข้าใจผิดกัน
“อ้ายโจบ่มาโตยก๋า”
..เฮ้อ เอาอีกแล้ว คำถามนี้..
ผมยิ้ม..และส่ายหน้า
“ออซิ ออซิ”
พะตีท่านหนึ่งยื่นแก้วมาให้ ผมพยักหน้าขอบคุณ
ออซิ คือชวนดื่มเหล้า ผมจิบพอให้ร่างกายอบอุ่นไปองสามแก้ม (จิบ?)
<< วิจารณญาณครับ “หนุ่ม ออเมเลี๊ยะ”
แม่เฒ่าท่านหนึ่งถามอย่างใจดีและยื่นปลาย่างมาให้
ผมยิ้มและตอบ “ออริ”
เขาถามว่ากินข้าวหรือยังและยื่นปลามาให้
แม้ผมจะตอบรับว่ากินแล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจ คงรับปลาย่างมาแกะกิน
ในวันที่อากาศหนาวมากๆหรือเป็นช่วงหัวรุ่ง..ผมจะซุกตัวในผ้าห่ม แทนที่จะเป็นเพียงเสื้อหนาว
ชาวปกากะญอขันกิริยานี้น่าดู แต่ผมหัวเราะแล้วบอกว่า “ก็ผมหนาวนี่”
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน..ผมเดินขึ้นมาบนโบสถ์
อ้อ..ชาวปกากะญอส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ครับ เนื่องจากมีเพราะมีนักบุญคนหนึ่งเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้านตั้งนมนานมาแล้ว ก่อนหน้านั้นนับถือผีสางตามแบบชาวเขาทั่วไป งบประมาณสร้างโบสถ์ให้ชาวบ้านก็มาจากบาทหลวงท่านหนึ่ง
จากบนโบสถ์มองลงไปเห็นทิวทัศน์ของขุนเขาและหมู่บ้านกว่าห้าสิบหลังคาเรือน..
ผมกระชับผ้าห่มแนบลำตัว..สมุดและปากกากำแน่นอยู่ในมือ
ค่ายอาสาเมื่อสี่ปีที่แล้ว..
มีคนนั่งตรงข้ามกับผม
คนที่ก่อไฟ..
คนที่ไม่กลัวฝน..
คนที่ไม่เคยทอดทิ้งผมไม่ว่าในภาวะใด..
..ผมขอบคุณ
..เม็ดฝนสาดกระทบ ผืนดิน
ทุกถิ่นเรือนยลยิน กู่ก้อง
ไอน้ำปนไอหนาว จึ่งก่อ..ไฟฟืน
ไออุ่นเอื้อโอบอุ้ม ..กรุ่นร้อน หนาวคลาย..มันเป็นบทกวีที่ผมแต่งโดยไม่ใส่ใจฉันทลักษณ์ในวันนั้น..วันที่ไอ้โจยังอยู่ตรงนี้..
แต่จนบัดนี้..มันก็ไม่สำคัญว่าไอ้จักรินทร์อยู่ที่ไหน..และมีชีวิตอย่างไร..
แม้เหตุผลที่ทำให้มันอยู่ตรงนั้น..และผมอยู่ตรงนี้..ก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคงเป็นเพียง..
ผมหลับตา..โอบกอดตัวเอง
“กาโมทีซ่านา..”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียน(มิใช่)น้อย
ปล้นลาว : รักษาสุขภาพด้วยล่ะพวกเกรียนทั้งหลาย! ห่ะ คราวก่อนหลงวัน หลังจากนั้นหลงเพจ วันนี้นับวันถอยหลังอีก อะไรวะเนี่ย ฮ่ะๆ! แก้ละเน้อ! อย่าคิดมากนะ ถือซะว่ากรูเกรียน 