Love Sick
- 11 -
หลังจากที่ผมเพิ่งผ่านพ้นจากการสอบปลายภาคเทอมหนึ่งเรียบร้อย ก็ถึงเวลาแห่งการรับจ๊อบแล้วครับ เป็นธรรมดาของเด็กมหา’ลัยที่มักจะชอบหางานทำตอนปิดเทอมใช่มั้ยละ ผมถามพวกเพื่อนๆดูแล้ว กิบอกว่าจะไปช่วยงานแม่ที่ร้านจิวเวลรี่ อั๋นเองก็จะไปกับกิ ส่วนตองไม่ได้ทำอะไร ก็คงอยู่หอไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็อาจจะไปนั่งวาดรูปเล่นตามสวนบ้าง
ตัวผมเองก็รับจ๊อบพิเศษช่วงปิดเทอมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ปิดเทอมคราวนี้ผมได้รับการอนุเคราะห์จากพี่พีร์(จำพี่รหัสผมได้มั้ย?) ให้ไปช่วยวาดรูปตกแต่งผนังให้กับบริษัทรับตกแต่งภายในที่กำลังจะเปิดใหม่ และเจ้าของบริษัทนั้นก็คือพี่พิงค์ พี่ชายพี่พีร์นั่นเองครับ
ตอนแรกผมก็ถามพี่พีร์ว่างานแบบนี้ให้คนที่มีประสบการณ์ทำดีกว่าไหม? แต่พี่พีร์ก็บอกว่าไม่จำเป็น เพราะพี่ชายแกอยากได้อะไรที่ไม่ต้องเป๊ะ อยากให้มันอาร์ตๆ แถมจ้างนักศึกษาแบบผมยังมีค่าแรงถูกกว่าพวกมืออาชีพอีก - -“
แต่ถึงพี่พีร์จะบอกว่าค่าแรงผมถูกกว่ามืออาชีพ เอาเข้าจริงค่าตอบแทนที่ผมจะได้รับก็ดีกว่าไปทำงานพาร์ตไทม์ในฟาสต์ฟู้ดมากโข อา...ทีนี้ผมจะได้มีเงินมาซื้อขาตั้งเฟรมอันใหม่สักที...
“มึงคิดว่าช่วงปิดเทอมเนี่ยจะทำเสร็จมั้ย?” พี่พีร์ถามผมอีกครั้งเพื่อความชัวร์ เพราะว่าบริษัทของพี่ชายพี่พีร์จะเปิดอย่างเป็นทางการคือหลังจากที่ผมเปิดเทอมแล้ว และหน้าที่ของผมก็คือการออกแบบและลงมือละเลงตามกำแพงภายในบริษัทให้หนำใจ (พี่พีร์ก็จะช่วยด้วยครับ ไม่ใช่ผมทำคนเดียวหรอก) ผมลองกะคร่าวๆจากสมัยที่เคยวาดผนังพิธีจบการศึกษามาแล้ว อันนั้นแค่สัปดาห์เดียวก็เสร็จ ถ้าเป็นที่นี่ก็คงไม่นานนัก
ผมรับปากพี่พีร์แล้วก็ตกลงกันเสร็จสรรพว่าจะไปลงมือกันพรุ่งนี้เลย
********************************************************
“พี่พิงค์ นี่ไอ้เอม น้องรหัสกู เอ๊ย ผม” เพราะมือใหญ่ๆของพี่ชายตัวเองที่เงื้อจะฟาดหัวทำให้พี่พีร์ต้องเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองโดยด่วน พี่พิงค์เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ผิวสีน้ำผึ้ง แลดูดุไม่เข้ากับชื่อหวานแหวว ทำเอาผมชักหวั่นๆแล้วสิ...
“มึงนี่พูดให้มันเพราะๆเหมือนคนไม่ได้เลยนะ ต้องพูดจาหมาๆตลอด” เสียงก็ห้าวครับ ผมฟังแล้วก็เผลอขยับไปแอบหลังพี่พีร์โดยอัตโนมัติ
“พี่พิงค์อย่าดูดิวะ เอมมันกลัวแล้วเนี่ย” พี่พีร์พูดเสียงหงุดหงิดแล้วหันมาดึงแขนผมให้ออกมายืนข้างๆ แล้วแนะนำผมกับพี่พิงค์หน้ายักษ์
“นี่พี่พิงค์ พี่ชายกูเอง” ผมยกมือไหว้พี่พิงค์ สายตาพี่พิงค์มองผมอย่างสำรวจ
“ตัวแค่เนี้ยนะไอ้พีร์ จะไหวเหรอวะ” บ๊ะ! นี่ผมโดนดูถูกใช่มั้ยเนี่ย
“โหพี่ ไอ้เนี่ยดีกรีเด็กทุนเลยนะ ฝืมือยังงี้” ผมเห็นพี่พีร์ยกนิ้วโป้งขึ้นมาประกอบคำพูด เอ่อ..เขินนิดๆแฮะ พี่พีร์มันชมผมแหละ
“เออดี งั้นวันนี้พวกมึงลองออกแบบคร่าวๆก่อนว่าจะละเลงผนังออฟฟิศกูยังไง แล้วเอามาให้กูดู ถ้ามันโอเคก็ลงมือทำวันนี้เลย”
แล้วพี่พิงค์ก็พาผมและพี่พีร์ไปดูบริเวณที่จะให้วาด เป็นโซนของล็อบบี้ด้านหน้าครับ และก็ตามทางเดินแต่ละจุดๆ กำแพงก็ทาสีพื้นไว้เป็นสีขาวเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาผมก็ละเลงได้เลยไม่ต้องมาทาสีรองพื้นอีกรอบ
“ลูกค้าของพี่ส่วนมากจะเจาะตลาดไปที่คนวัยทำงาน พี่ก็เลยอยากได้อะไรที่มันโมเดิร์นหน่อยนะ เรียบง่ายแต่ว่าดูดีน่ะ”
“ขอบเขตกว้างขนาดนี้ทำเองเถอะมึง” ประโยคแรกคือพี่พิงค์พูดกับผม ส่วนประโยคเหน็บแนมอันหลังคือพี่พีร์กระซิบให้ผมได้ยินอ่ะครับ พี่น้องคู่นี้ปากหมากันทั้งคู่จริงๆครับ
ผมกับพี่พีร์ใช้เวลาตลอดช่วงเช้าถกเถียงกันเรื่องออกแบบอย่างเมามัน พี่พีร์มันจะเอาโทนสีแบบที่ฉูดฉาด แนวๆแดง ดำ แต่ผมน่ะอยากได้สีโทนพื้นๆ ขาว น้ำตาล เบจอะไรประมาณนี้ จนใกล้เที่ยงก็ยังไม่ลงตัว พี่พิงค์จึงเป็นฝ่ายเข้ามาตัดสินพร้อมลูกน้องอีกหลายคนช่วยกันเลือก
“พี่ชอบแบบของเอมว่ะ” พี่พิงค์บอกหลังจากดูของผม
“แต่ผมชอบแบบพีร์นะพี่” อันนี้ลูกน้องพี่พิงค์พูดครับ ดูเหมือนว่าแบบของผมกับของพี่พีร์จะมีคนชอบเท่าๆกัน สุดท้ายก็เลยดูความเหมาะสมของจุดที่จะวาดมาประกอบการเลือกครับ พี่พิงค์บอกว่าล็อบบี้ด้านหน้ามันจะเป็นที่รับแขก ลูกค้าจะเดินฝ่าอากาศร้อนๆเข้ามาทางหน้าล็อบบี้ เพราะว่าที่จอดรถแถวนี้แดดแรงจัด ต้นไม้ไม่ค่อยมี พี่พิงค์จึงอยากให้ล็อบบี้ด้านหน้าใช้การออกแบบโทนเย็นของผม และของพี่พีร์นั้นจะเอาไปใช้ภายในออฟฟิศเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้องกระฉับกระเฉงในการทำงาน
“เอาตามนี้แล้วกัน พวกแกโอเคนะ” ผมและพี่พีร์พยักหน้า เป็นการสรุปผลที่แยบยลมากครับพี่พิงค์
ผมชอบบริษัทของพี่พิงค์มากเลยครับ ที่นี่เป็นกันเองและอบอุ่น บรรยากาศในการทำงานก็โคตรเจ๋ง มีการเปิดเพลงผ่านลำโพงที่ฝังไว้ตามจุดต่างๆด้วยนะครับ
ผมนั่งฮัมเพลงระหว่างที่เริ่มกะขนาดพื้นที่เป็นตาราง เพลงเร็วกับเพลงช้าเล่นสลับกันไปชวนให้เพลิดเพลิน ส่วนมากจะเป็นเพลงสากลครับ แถมบางเพลงผมก็ไม่เคยฟังมาก่อนเลย
เพลงที่ผมกำลังฮัมจบลงไปแล้ว เพลงใหม่ค่อยๆดังขึ้นมา มีเสียงเปียโนช่วงอินโทรไม่นานนักเสียงร้องก็ขึ้นต้นเพลง เสียงที่ผมรู้สึกคุ้น... แค่เพียงพยางค์แรกที่ได้ยิน... เสียงทุ้มนุ่มเหมือนที่เคยฟังมาก่อน
Come and see me
Sing me to sleep
Come and free me
Or hold me if I need to weep
Or maybe it's not the season
Or maybe it's not the year
Or maybe there's no good reason
Why I’m locked up inside
Just cause they wanna hide me
The moon goes bright
The darker they make my night
ผมฟังจนจบท่อนนี้ก็เป็นเสียงผู้หญิงร้องขึ้นท่อนต่อไป เสียงหวานแหลมและแหบน้อยๆในคราเดียวกัน ยามที่เสียงร้องทั้งสองคนดังพร้อมกันผมรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งวูบขึ้นมาในใจ มันรู้สึกอย่างไรนะ...จี๊ดๆงั้นเหรอ?
เหมือนว่าผมจะหึง...
ผมกำลังหึงเสียงผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าเป็นใครกับเสียงผู้ชายที่เหมือนพี่จิน...
ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมลืมสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง สิ่งที่คนทั่วไปเขาจะต้องคิดได้เมื่อต้องห่างไกลจากคนรัก
Unplayed pianos
Are often by a window
In a room where nobody loved goes
She sits alone with her silent song
Somebody bring her home
เสียงร้องของนักร้องผู้หญิงยังคงดังก้องจนมือผมสั่น เพลงเพราะเหลือเกิน เสียงของหล่อนก็เพราะเหลือเกิน...
มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อก่อนหน้านี้...เรื่องของผู้ชายคนที่จากผมไปเพื่อไปหาคนที่เขารักมากกว่า
ถ้าหากผมต้องเจอแบบนั้นอีกครั้งผมคงรับไม่ไหว...
‘...’
ผมสูดหายใจลึกๆ เสียงร้องแค่คล้าย จะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ใจผมมันหวั่นไหวเกินไป บางทีมันคงจะเกิดจากการที่ต้องรอนานเกินไป ผมอาจจะไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่ผมก็รู้อยู่ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน ในความเป็นจริงผมคิดถึงพี่จนทนไม่ไหวด้วยซ้ำ ผมอยากจะไปหา อยากจะไปยืนตรงหน้าและจับมือของพี่จินไว้... แต่ผมก็ไม่มีปัญญาที่จะทำอย่างนั้น เด็กกำพร้าปากกัดตีนถีบอย่างผมจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเครื่องบินละ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่รอเท่านั้นเอง...
ผมพยายามนึกถึงใบหน้าพี่จินที่อยู่ในความทรงจำ ถึงจะเหมือน ถึงเขาจะเป็นฝาแฝดกัน ก็ไมได้แปลว่าจะต้องมีนิสัยเลวๆเหมือนกัน..
สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือเชื่อใจ... ผมเชื่อใจ เชื่อใจพี่จินที่สุด...
********************************************************
“เฮ้ย ไอ้น้องรหัสมึงนี่เวลาทำงานเป็นคนละคนจริงๆว่ะ” เสียงห้าวทุ้มของคนตัวโตยืนออกความเห็นกับน้องชายอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ชะเอมกำลังทำงานเท่าไรนัก สายตาคมๆในตอนแรกเปลี่ยนเป็นประหลาดใจไม่แพ้กับคนเป็นน้อง
“นั่นดิ ปกติเวลากูเห็นมันที่มหา’ลัยนะพี่ มันจะเรียบร้อยโคตรอะ หงิมๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะดูขึงขังจริงจังได้ขนาดนี้” ภาพของร่างเล็กบางที่กำลังวาดลวดลายบนกำแพงด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าอยู่เพียงคนเดียวบนโลกนี้
จากความสดใสและบอบบาง กลายเป็นนิ่งเงียบและดำมืดเหมือนผิวน้ำยามค่ำคืน มือเล็กคู่นั้นทำงานโดยไม่หยุดพัก จากผนังสีขาวเริ่มเต็มไปด้วยลวดลายมากมาย
“เหมือนมันไม่พักหายใจเลยว่ะพีร์” คนเป็นพี่ชายออกความเห็นอีกครั้ง
“นั่นดิ.. กูว่าไปลากมันมากินข้าวก่อนดีมะพี่พิงค์”
“เออ ดีๆ เดี๋ยวมันหมดแรงตายซะก่อน ตัวก็แค่นั้นด้วย”
‘ตัวก็แค่นั้น’ ในสายตาของพีร์ แต่ทำไมจึงดูเหมือนคนที่แบกโลกเอาไว้ทั้งใบ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นก็ถูกชะตา คงเพราะว่าความที่อยากได้น้องชายมาแต่เด็ก (เพราะมีพี่ชายถึกควาย ก็เลยอยากมีน้องละมั้ง) พอเห็นเจ้าตัวเล็ก ตาเศร้า ท่าทางบอบบางก็อยากจะดูแล...
ในความรู้สึกของพีร์ก็คงอยากจะพูดประมาณว่า ‘จริงนะครับกูสาบาน กูไม่ได้คิดเกินเลยสักนิด กูเห็นมันเป็นน้องกูจริงๆนะ...
และที่แน่ๆกูต้องสนิทกับมันให้มากกว่านี้ให้ได้ กูอยากจะรู้เรื่องของมันเยอะๆนี่ครับ...’
“เอม ไปกินข้าวกัน กู เอ๊ย พี่หิวแล้วว่ะ” พอตัดสินใจได้ว่าอยากจะเป็นพี่ชายกับเขาบ้างก็เลยลองเปลี่ยนสรรพนาม หวังว่าไอ้จิ๋วมันคงไม่สังเกตนะว่ากูพูดเพราะขึ้น...
********************************************************
ในตอนนั้นสิ่งแรกที่ผมคิดหลังจากพี่พีร์มาชวนไปกินข้าวก็คือ
‘ทำไมพี่พีร์มันพูดเพราะจัง สงสัยหิวจัดจนหน้ามืดตาลาย’
......
...
.
.
.
“แล้วพี่พิงค์ไม่มากินเหรอครับ”
“ไม่อะ มันก็กินกับพวกลูกน้องมันแหละ” พี่พีร์ตักข้าวใส่ปากเสียจนผมเห็นแล้วอิ่มแทนเลยครับ
“พี่พีร์ ผมถามหน่อยสิ พี่ไม่มีแฟนเหรอ?” ผมเขี่ยข้าวในจานเล่น ปากคุยกับพี่พีร์ แต่ใจลอยนึกไปถึงคนอีกคน...
“ไม่อะ อย่างมากก็แค่คุยๆ ถามทำไมวะ”
“เปล่าหรอก ผมก็แค่สงสัยว่าปกติเนี่ย คนคบกันเขาก็ต้องอยากเห็นหน้ากัน ใช้เวลาด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดาใช่มั้ย”
“มึงนี่พูดอย่างกับกำลังน้อยใจแฟน นี่ มึงโดนสาวเมินมาใช่มั้ย” เอ่อ...ผมก็ยิ้มอะครับ ไม่บอกแกหรอกว่าไม่ใช่สาวที่เมินผม แต่เป็น ‘หนุ่ม’ ต่างหาก
“เมินอะไรพี่ ผมยังไม่มีแฟน”
“ก็เห็นทำหน้าหมาหงอย กูก็นึกว่าคิดถึงแฟน อ้าว แล้วหน้าแดงทำไมวะ” เฮ้ย จริงดิ ผมหน้าแดงเลยเหรอ ไม่นะ ผมไม่ใช่แฟนไอ้พี่จินสักหน่อย!
“ก็...ก็... พี่มาพูดทำไมอะเรื่องแฟนเฟิน ผมไม่มีหรอก จนจะตายใครเขาจะชอบ!”
“บ้าแล้ว ถ้าเป็นกูจะคบใครนะ กูไม่สนเรื่องอื่นหรอก จะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอื่นไปทำไมวะ” โอ๊ะ พี่พีร์พูดจาเข้าท่าอะครับ อืม...จะว่าไปนะ ผมก็อยากจะระบายเรื่องในใจผมให้เขาฟังเหมือนกัน พี่พีร์ดูเป็นคนที่... เหมือนพี่ชายน่ะ พออยู่ใกล้แล้วมันก็สบายใจ ผมลองมองพี่พีร์ที่ยังคงกินข้าวต่อ คิดวนไปเวียนมาว่าจะเล่าให้พี่พีร์ฟังดีมั้ย?
“.พี่พีร์..”
“หืม?”
“ผมน่ะ เคยอกหักแหละ”
“...” พี่พีร์เงยหน้ามามองผมนิดหนึ่งแล้วก็กินต่อ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพี่พีร์กำลังตั้งใจฟัง
“มันเจ็บมากเลยนะพี่...ตอนนั้นน่ะ...” ผมเขี่ยต้นหอมออกจากผัดกะเพรา ว่าแต่ผัดกะเพราที่ไหนใส่ต้นหอมวะ!
“แต่แล้วมันก็ดีขึ้น ผมไม่ค่อยนึกถึงเรื่องนั้นแล้วละ เพราะมันมีคนที่ทำให้ผมคิดถึงมากกว่า” ผมเงยหน้าขึ้น เห็นพี่พีร์มองผมอย่างตั้งใจ ความรู้สึกประหลาดแผ่ซ่านขึ้นมาในอก
อบอุ่น...
“ผมกับคนๆนี้อยู่ห่างกันมากครับ เราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่เค้าก็ยังติดต่อมาเสมอ” ผมยิ้ม และก็เห็นว่าสายตาของพี่พีร์ก็ยิ้ม
“ไม่เจอกันนานเท่าไรแล้วละ”
“... จะสองปีแล้วครับ ที่ผมเห็นแต่รูปถ่าย กับโน้ตใบเล็กๆที่เค้ามักจะแนบมาให้เวลาส่งรูปถ่ายมาให้ผม”
“ไม่โทรคุยกันเลยเหรอ?” ผมส่ายหัว
“แล้วแชทละ?” ผมส่ายหัวอีก
“เฮ้ย! พวกมึงจะอาร์ตไปไหนวะ ไม่คิดถึงหรือไง”
“คิดสิครับ แต่เพราะผมคิดว่ายังไงสักวันเค้าก็ต้องกลับมา และผมก็เชื่อ... เชื่อใจเค้าที่สุด...”
“...เออ... ก็แล้วแต่มึงเถอะนะ ต่างคนต่างใจ แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจการกระทำของมึงจริงๆว่ะ” พี่พีร์พูดแล้วก็เกาหัว ขนาดผมเองยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลยครับพี่
“ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยนะครับ”
“ไอ้กิก็ไม่รู้เหรอ?”
“ครับ”
“รูมเมทมึงก็ไม่รู้” ผมส่ายหัวอีก
“แล้วเล่าให้กูฟังทำไม?”
“ผมคุยกับพี่แล้วรู้สึกสบายใจ” พอได้ยินผมบอกแบบนี้ พี่พีร์ก็นิ่งไม่พูดเลยครับ ผมพูดอะไรผิดไปเปล่าเนี่ย > <
“ก็กูเป็นพี่มึงนี่” มือใหญ่ข้ามโต๊ะมาขยี้หัวผมจนหัวกระเซิง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะน่ารำคาญหรือไม่ชอบเลยนะเนี่ย แต่ถ้าพี่พีร์รู้ว่าคนที่ผมพูดถึงไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย พี่พีร์จะว่ายังไงน้อ...
********************************************************
** มีคนถามว่าพี่จินกับเอมติดต่อกันได้ยังไง?
อ้างอิงจากตอนที่แปดค่ะ คือครั้งแรกที่พี่จินส่งรูปมาให้เอมและเรื่องสำคัญ หลังจากพวกรุ่นพี่จบไปประมาณสี่เดือน ก็มีจดหมายปิดผนึกส่งมาถึงผมฉบับหนึ่ง ซองจดหมายจ่าหน้าถึงผม ผู้ส่งไม่มีชื่อ มีแค่ที่อยู่... จากที่ไกลแสนไกล... Paris
ข้างในซองเป็นรูปหนึ่งใบ รูปที่ทำให้ผมสับสนจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง รูปที่มีเด็กชายตัวเล็กยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มหล่อเหลา ใบหน้าที่เย็นชากับสายตาคมปลาบ แต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง นั่นคือบรรยากาศรอบๆในรูปนั้น ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอบอวลอยู่เต็มรูปภาพ ผมเผลอหยิบรูปมาแนบอก ลมหายใจติดขัด... และตอนที่ 9 คือตอนที่เอมทำใจกล้าบอกที่อยู่ตัวเองให้กับผู้ชายค่ะ -//-หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจส่งรูปถ่ายงานจบการศึกษาของผมกลับไปให้พี่จินโดยจ่าหน้าช่องที่อยู่ของผมเป็นที่นี่ ผมจึงได้รับพัสดุกล่องนี้มา มันเป็นการบอกพี่จินอ้อมๆน่ะครับว่าผมย้ายมาอยู่หอในมหาวิทยาลัยแล้วนะ เอ่อ...ผมรู้สึกเขินจัง -//- *** อันนี้ลิงค์เพลงที่เอามาใส่ในเรื่องค่ะ โคตรเพราะเลย > <bhttp://youtu.be/NgQUBecM7OMเพลงเขาเนื้อหาดีด้วยนะ