Love Sick
- 15 -
“วานิลลา เด็กดี หิวมั้ยคร้าบบ” เจ้าเหมียวขนฟูวิ่งหางชี้เข้ามาหาเมื่อได้ยินเสียงประตูหน้าบ้าน วานิลลากระโดดเกาะหมับเข้าที่ขากางเกงยีนส์ของผมแล้วก็ใช้เล็บจิกแน่น เอ่อ... นี่เป็นนิสัยเสียของวานิลลาในช่วงนี้น่ะครับ หลังจากวันแรกที่มาอยู่วานิลลาเอาแต่นอนลูกเดียว พอวันที่สองเท่านั้นแหละก็ซนอย่างกับลิง แล้วเวลาเห็นคนใส่กางเกงยีนส์มันก็จะชอบกระโดดเกาะด้วยละครับ ห้ามก็ไม่ฟัง - -* ว่ายากเหมือนใครก็ไม่รู้
“ไหนให้พี่เอมหอมหน่อยสิ” วานิลลาดิ้นดุ๊กดิ๊กตอนที่ผมอุ้มขึ้นมา มันห่วงเล่นน่ะครับ เหอะๆ แต่ผมก็คิดถึงมันทั้งวันเหมือนกันอะ อยากฟัดขนนุ่มๆจะตาย
“เดี๋ยวขนก็เข้าจมูกหรอกครับเอม” พี่จินที่เดินตามเข้ามาทีหลังพูดขึ้น ผมทำแก้มป่องแล้วฟัดเจ้าเหมียวน้อยต่อ
“ต่อให้เอมเป็นภูมิแพ้ เอมก็จะฟัดมันแบบนี้แหละ เชอะ”
“เด็กดื้อ” พี่จินขยี้หัวผมแล้วเดินไปนั่งบนโซฟา ก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมไปใกล้ๆ
“มานั่งนี่มา”
ผมเดินไปนั่งข้างพี่จิน วานิลลาก็ยังคงอยู่ในอ้อมกอด เจ้าลูกขนฟูๆเอามือตะปบเสื้อผมอย่างเมามัน น่ารักอ้ะ > <
“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็วาดได้อีกเยอะเลยครับ เอมคิดว่าอีกไม่เกินห้าวันก็เสร็จ ถ้ามีงานแบบนี้บ่อยๆก็ดีนะครับ เพราะว่ามันเป็นงานแบบที่เอมถนัด แล้วค่าตอบแทนก็ดีด้วย” คำนวณโน่นนี่นั่นแล้ว เงินที่ได้รับยังเอาไปเก็บไว้เผื่อฉุกเฉินได้อีก หุหุ หวาน~
“พี่ก็ว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่... พี่กะว่าจะไม่ให้เอมรับงานแล้วละนะ” ผมหันควับไปมองคนที่พูดเรียบเรื่อยด้วยอารมณ์งุนงง
“แล้วถ้าเอมไม่รับงานพิเศษ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายละครับ”
“ก็ไม่ต้องหาเงิน พี่จะดูแลเอมเอง” ปรี๊ดดดดดเลยครับ!
“ได้ยังไง? พี่จินจะมาเลี้ยงเอมยังงั้นเหรอ เอมรู้ว่าพี่จินรวยนะครับ แต่ไม่มีความจำเป็นที่พี่จะต้องเอาเงินของพี่มาให้เอมช่วยใช้ งานพิเศษที่เอมทำมันไม่ได้ลำบากเลย นานๆทีเอมถึงจะรับงาน แถมค่าตอบแทนก็สูง เรื่องค่าเล่าเรียนเอมก็ได้ทุน พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก!” ผมพูดเสียงเหวี่ยง มันหงุดหงิดบอกไม่ถูก แค่ลำพังตอนนี้ผมรับรู้ว่าพี่จินรวย ผมก็รู้สึกแตกต่างราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว พี่จินมีอนาคตสดใสรออยู่ แต่ผมเนี่ยต้องตะเกียกตะกายแทบตายกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้อยากจะให้ใครพูดได้ว่าผมรักพี่จินที่เงิน
“เอมใจเย็นๆ พี่ไม่ได้ดูถูก ไม่ได้คิดจะใช้เงินซื้อเอม แต่พี่แค่อยากให้เอมเก็บเงินที่เอมหามาได้ไว้ต่างหาก เอมอยู่กับพี่ พี่ก็ต้องดูแลเอมให้ดีไม่ใช่เหรอ แบบนี้มันก็เหมือนว่าเอมฝากชีวิตไว้กับพี่แล้วนะ” หา? อยู่กับพี่?
“พี่จินหมายความว่ายังไง อยู่กับพี่งั้นเหรอครับ? เอมแค่จะมาอยู่ชั่วคร-” ผมพูดไม่จบนิ้วเรียวยาวก็มาแตะริมฝีปากผมให้หยุดพูด
“ชู่ว์... อย่าพูดว่าจะมาอยู่ชั่วคราวเด็ดขาดนะ เอมหลวมตัวมาที่นี่แล้ว ก็ต้องอยู่ไปตลอดจนกว่าพี่จะคิดย้ายไปที่อื่น ถ้าเอมไม่อยู่กับพี่ เอมก็จะไม่ได้เจอวานิลลานะครับ เพราะพี่ไม่มีทางให้เอมเอาวานิลลาไปอยู่ในห้องแคบๆแน่ แมวน่ะ ต้องอยู่ในที่กว้างเพียงพอกับการวิ่งเล่นนะ และก็อย่าคิดที่จะไปๆมาๆ เพราะพี่บอกแล้ว ถ้ามา ก็ต้องมาถาวร” พอพี่จินพูดจบผมก็อ้าปากค้าง โอ้มายก็อด....
“อ้าปากค้างแบบนี้ทำไมกัน ไม่เรียบร้อยเลย“ พี่จินเอามือบีบคางผมให้หุบปาก ก่อนจะแตะจูบเบาๆ ตัวผมเองก็เหวอไปเรียบร้อย คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทักท้วงว่ายังไง รู้สึกเหมือนตัวเองเดินมาติดหลุมพรางเองง่ะ ไหนจะกับดักน่ารักๆแบบวานิลลา ไหนจะชอบที่ได้อยู่กับพี่จิน ไหนจะไม่อยากกลับไปอยู่ร่วมกับตองสองต่อสอง...
โอย.....
อยากจะบ้า!!
ผมเหลือบมองวานิลลาที่กระโดดแผล็วไปจากตักผมแล้วก็กระโดดวิ่งเล่นไปทั่ว อา...วานิลลาคงไม่เหมาะกับห้องแคบๆจริงๆแหละ แถมยิ่งพอผมหันมามอง... คนที่นั่งวางท่าเป็นองค์ชายข้างผมเนี่ย... ขายาวๆ ใบหน้าหล่อที่ชอบยิ้มมุมปากน้อยๆ มือที่คอยจะมาลวนลามลูบไล้ตัวผม...
“เอมอยู่กับพี่จินก็ได้...” ผมก้มหน้างุด อายว่ะ รู้สึกเหมือนเป็นเด็กใจแตกเลยแฮะ - -“
“เด็กดี มาให้พี่กอดหน่อยสิ” พี่จินยิ้มอย่างพอใจแล้วก็ดึงตัวผมไปนั่งตัก... อะ...ทะ...ท่านี้... เหมือน...เมื่อคืนนั้น...เลย
“อื๊อ พี่จินปล่อยนะ!” ผมดิ้นสุดฤทธิ์ พี่จินกลับกอดผมไว้แน่นมากขึ้น เสียงหัวเราะในลำคอบ่งบอกว่าพี่จินสนุกสนานมากแค่ไหนที่ทำให้ผมอายได้
“ทำไมละ ไม่ชอบที่ได้อยู่ใกล้พี่เหรอครับ? หืม เจ้าจิ๋ว” อ๋า! อย่ามาเรียกผมว่าจิ๋วนะ > <
“ฮื้อ พี่จินอย่าเอาจมูกมาถูแก้มเอมแบบนี้สิ... อ๊ะ แล้วนั่นอะไรแข็งๆ”
“อยากจับดูมั้ยละครับ หึหึ”
“ไม่อ๊าว ปล่อยนะคนลามก!!”
“ไม่ปล่อย ให้พี่กอดหอมให้หายคิดถึงเถอะ”
“อย่างพี่อ้ะ กอดทั้งวันหอมทั้งคืนก็ไม่พอหรอก ไอ้หื่น!”
“อ้าว ก็รู้นี่นา งั้นเอมจะได้เตรียมใจไว้เลยเพราะว่าพี่จะฟัดเอมไปโดยไม่หยุดพักอีกสามวันเลยละ” ผมระดมทุบๆที่ตัวพี่จิน แต่ก็เหมือนเอากำปั้นไปทุบหินละครับ ไม่สะเทือนเลย ยิ่งเห็นว่าผมทำอะไรไม่ได้ก็ยิ่งย่ามใจเอาปากขบเม้มตามซอกคอ คาง รวมถึงใบหูของผม ไอ้ร่างกายเจ้ากรรมก็ไม่รักดี จะไปโอนอ่อนตามเขาทำไมเนี่ยยยยยยย
“เมี้ยววววว~”
เสียงเล็กๆทำให้การกระทำทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งพี่จินและผมหันไปมองที่มาของเสียงซึ่งกำลังนั่งเอียงคอมองพวกผมอย่างสงสัยประมาณว่า ‘เล่นอะไรกันเหรอฮับ’ เจ้าก้อนขนเดินยักย้ายมาเกาะโซฟาตรงที่ผมถูกจับกดอยู่แล้วยกเท้าหน้ามาเขี่ยๆมือพี่จิน...
อ๊า~~~~~
น่ารักอ้ะวานิลลา~~~~
“พี่จินอะ เห็นมั้ย ทำอะไรอายวานิลลาบ้างสิ” ผมฉวยโอกาสที่พี่จินนั่งอึ้งขยับตัวออกมาจากอ้อมแขน มือทั้งสองของผมช้อนเจ้าตัวจิ๋วมาคลอเคลียที่ข้างแก้ม เหมือนว่าวานิลลาก็คงชอบที่ผมมาเล่นด้วย เพราะมันใช้อุ้งเท้าหน้าตบเบาๆที่แก้มผมกลับเหมือนกัน
“วานิลลาน่ารักที่สุดเลยมั้ยครับ น่ารักที่ซู้ดดดดเลยเนอะ พี่เอมพาวานิลลาไปหาอะไรกินดีกว่าเนอะ” ลูกผมน่ารักที่สุดอะ ขี้เล่นขี้อ้อน วันนี้วานิลลาเป็นเด็กดีช่วยให้พี่เอมหลุดรอดจากอุ้งเท้าพญามาร เพราะฉะนั้นวันนี้พี่เอมจะผสมอาหารเปียกให้กับอาหารเม็ดน้า > <b
“เอ่อ...แล้วพี่ละ...” สุดท้ายคนที่นั่งนิ่งก็รู้สึกตัว และก็เข้าใจเสียทีว่ามารผจญตัวเบิ้มก็คือเจ้าเหมียวขนฟูนั่นเองที่ได้รับการเอ็นดูจากชะเอมยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก
“ฮึ่ม ไอ้แสบวานิลลา” พึมพำแบบหงุดหงิดแล้วก็ตัดใจ วันนี้ไม่สำเร็จก็ยังมีวันหน้า ช้าๆได้พร้าเล่มงามสินะจินเจอร์...
***********************************************************
“อร่อยมั้ยครับวานิลลา” ผมมองเจ้าของเสียงหวานที่พูดจาจ๊ะจ๋ากับไอ้ก้อนขนนั่นด้วยความหมั่นไส้ ทีกับผมนะเอาแต่วิ่งหนี
“พี่จิน ไม่อร่อยเหรอครับ” เจ้าจิ๋วเสียงหวานทำตาเศร้าเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่จ้องแมวจนไม่ยอมตักข้าว แกงจืดวุ้นเส้นหมูบะช่อใส่เต้าหู้ไข่ที่ผมรีเควส กับผัดพริกแกงไก่ใส่ยอดมะพร้าวยังส่งควันกรุ่น ผมมัวแต่หึงแมวสินะ ...
“อร่อยสิครับ แต่พี่อยากรอกินพร้อมเอมมากกว่านะ” ช่วยย้ายก้นจากพื้นมานั่งตักพี่แล้วป้อนข้าวพี่แทนการคลอเคลียแมวจะดีมากเลยครับ... เอ่อ... ขอโทษทีที่ผมคิดอะไรโจ่งแจ้งไปหน่อย
“เอมเพิ่งเคยทำครั้งแรก ปกติแค่เจียวไข่กับต้มไข่ ไม่รู้ว่าจะถูกปากพี่จินแค่ไหน แต่ถ้าพี่จินชอบ เอมจะทำทุกวันเลยนะครับ” ผมยิ้มกลับไปให้เจ้าของใบหน้ามุ่งมั่น แกงจืดนั้นแม้ว่ามันจะจืดไปนิด ผัดพริกแกงก็เผ็ดไปหน่อย แต่โดยรวมทำครั้งแรกได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้วนะครับ ยิ่งเป็นของที่เอมทำให้ ผมว่ามันยิ่งอร่อยเลยแหละ
ไม่นานนักกับข้าวบนโต๊ะก็ถูกจัดการเรียบ ผมเห็นคนทำยิ้มหน้าบานก็มีความสุขไปด้วย ในฐานะที่เอมเป็นคนทำแล้ว ผมก็จะขออาสาล้างจานเอง ปล่อยให้คนกับแมวได้จี๋จ๋ากันต่อไปเถอะครับ
“อ๊ะ วานิลลา อย่าไปกวนปะป๊าสิครับ” หือ? ปะป๊า?
“เฮ้ย!” จู่ๆก็มีบางอย่างที่กระโดดมาเกาะขาผมเต็มรัก แล้วไต่ๆขึ้นมาจนถึงขอบกางเกงยีนส์ ผมก้มมองก็เห็นเจ้าแมวจิกเล็บแน่นบนยีนส์ตัวเก่งของผม อา...รอยเล็บเป็นทางยาวเลย ว่าแต่เมื่อกี้เอมพูดว่าอะไรนะ
“วานิลลา พี่เอมบอกว่าไม่ให้ไปกวนปะป๊าไงครับ” ชัดเลย ผมเป็น ‘ปะป๊า’ ของแมวเหมียวงั้นเหรอ?
“พี่เป็นพ่อแมวเหรอครับ?” พอผมถามแบบนั้นเอมก็ทำตาโต หน้าแดง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“..ใช่ครับ พี่จินตัวโต ก็ต้องเป็นปะป๊า..” ผมวางกองจานชามลงบนโต๊ะ ไอ้แมวแสบก็ยังเกาะขาผมอยู่แบบนั้น
“แล้วใครจะเป็นหม่าม้าละ...” ผมเกลี่ยนิ้วที่แก้มใสแดงเรื่อ ยิ่งอายพี่ก็ยิ่งหมั่นเขี้ยวนะเนี่ย...
“มะ...ไม่มีหม่าม้าครับ..”
“งี้เจ้าวานิลลาก็เป็นแมวกำพร้าสิ มีพ่อ แต่ไม่มีแม่...” อืม...ปากเล็กนั่นน่าจูบเสียจริง...
“เอมเป็นหม่าม้าให้วานิลลาไม่ได้เหรอครับ” ผมรุกต่อเมื่อเห็นเจ้าจิ๋วยังเงียบ หึหึ... วานิลลาทำดีมาก Good Job!
“อะ...เอมเป็นผู้ชายนะ”
“ก็ช่างมันสิ วานิลลาก็อยากให้เอมเป็นหม่าม้าใช่มั้ยครับ เหมียวๆ” ผมหิ้วคอเจ้าเหมียวที่เกาะขาผมอยู่ขึ้นมา จับเอาอุ้งเท้ามันเขี่ยๆแก้มเอม ในที่สุดผมก็รู้ละว่าจุดอ่อนเจ้าจิ๋วอยู่ที่ไหน...
“เป็น..เป็นก็ได้ครับ เอมเป็นหม่าม้าก็ได้” หึหึ เอาแมวมาล่อ คิดไม่ผิดจริงๆ...
“แล้วตอนนี้วานิลลาบอกว่าอยากมีน้อง งั้นหม่าม้ากับปะป๊าก็ต้องทำยังไงน้า..” ผมโยนแมวลงพื้น แล้วกระชับเอวของเอมให้มาแนบชิด ใบหน้าหวานเบิกตากว้าง แต่ผมไม่สนละจังหวะนี้ ไม่ต้องตกใจนะครับเอม เดี๋ยวพี่จินปลอบขวัญเอง..
เพียะ!!
“โอ๊ย!”
“ลามก! บ้า! ฉวยโอกาส!”
คงไม่ต้องบอกว่าหรอกนะว่าผมได้ทำน้องให้วานิลลาหรือเปล่า เพราะว่าการที่ผมมายืนล้างจานพร้อมกับรอยแดงห้านิ้วที่ต้นแขนเนี่ยมันคงอธิบายเรื่องได้ทั้งหมดแหละ..
แต่ถึงแม้จะถูกเล่นงานตอบโต้รุนแรง ผมก็ยังคงจินตนาการถึงร่างเปลือยเปล่าเร่าร้อนของเจ้าจิ๋ว โดยไม่รู้ตัวก็เผลอแสยะยิ้มน้อย ๆ ชนิดที่ถ้าเอมได้เห็นคงต้องรีบหนีห่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หึหึหึหึหึ
***********************************************************
รุ่งขึ้น
“ฮ้าววว~~”
“หาวแต่เช้า ง่วงอะไรนักหนาวะ” พี่พีร์ทักผมเสียงดัง ผมเห็นหน้าพี่พีรืแล้วก็นึกออกเรื่องเมื่อวาน หน้าผมก็เลยสะบัดหนีพี่พีร์โดยอัตโนมัติ
“อะไรวะ ยังโกรธพี่อยู่อีก โอ๋ หายงอนเถอะน้า” ผมกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงง้องอน ใครจะไปคิดละครับว่าพี่พีร์สามารถทำท่าปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้
“แน่ะ หายโกรธแล้วสิ สงสัยสามีดูแลดีเลยไม่ได้นอนใช่มะ” ป๊าดดด ไอ้พี่พีร์ส้นตีน ผมว่าจะหายโกรธละ ดันกวนตีนผมซ้ำอีก
“ปากแบบพี่เนี่ยมันน่าคุยด้วยมะ” ผมเดินหนีไปหยิบที่คาดผมมาคาด ทำงานดีกว่า
“แหม แค่ล้อเล่นน่า เห็นคนมีความสุขพี่ก็อิจฉาอะนะ”
“พี่พูดยังกับว่าชีวิตพี่เนี่ยทุกข์มากมาย”
“ก็นิดนึงอะ อยากจะจีบคนแต่เขาก็ไม่สน” ผมหูผึ่ง พี่พีร์จะจีบคน? ใครเป็นผู้โชคร้ายกันนะ...
“แล้วพี่จะจีบใครละครับ ผมจะได้ไปบอกคนนั้นให้ระวังตัว” ผมพูดกลั้วหัวเราะ พูดเองก็ขำเองอ่ะ อิอิ
“มึงนี่ กวนตีนจริง... พี่จะไปจีบเพื่อนมึงอะแหละ” พี่พีร์ด่าผมแล้วก็พูดเสียงอุบอิบ เพื่อนผม จะจีบเพื่อนผม หรือว่า?
“มันโคตรเงียบเลยว่ะ ไม่คุยกับพี่เลยอะ พี่ไปเคาะห้องก็แล้ว โทรหาก็แล้ว เฮ้อ...” ไม่น่าเชื่อ แค่วันเดียวพี่พีร์เป็นไปได้ขนาดนี้ ผมพยายามนึกว่าพี่พีร์ถูกใจตองที่ตรงไหน? ความเงียบ สุขุม หน้านิ่ง... จะว่าไปตองมันก็สวยนะ ยังไงดีอะ ผู้ชายหน้าสวยประมาณนั้น แล้วยิ่งเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย ก็ยิ่งดูน่าค้นหาแหะ...
“เอ่อ... พี่ก็คงต้องพยายามเยอะๆแหละนะ” ครับ... ผมคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก ในกรณีนี้ผมไม่ควรที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเลยแม้แต่น้อย เพราะอะไรก็คงรู้นะ..
“โห่ มึงนี่ไม่คิดจะช่วยพี่เลยเนอะ เคยเป็นรูมเมทมันแท้ๆ พอผู้ชายมาหาละก็ทิ้งเพื่อนให้อยู่คนเดียว แถมยังไม่คิดจะช่วยพี่อีก” ผมฉุกคิดได้ ไม่ได้โกรธพี่พีร์นะครับที่มันว่าผมติดผู้ชาย แต่ผมนึกได้ว่าตอนนี้ตองต้องอยู่คนเดียว แล้วในสถานการณ์แบบนี้ตองจะรู้สึกแย่แค่ไหนกัน...
พอคิดได้ ผมก็ปลีกตัวออกมาตรงที่เงียบๆและหยิบโทรศัพท์ที่พี่จินให้ผมไว้ติดตัวมาโทรหากิ ผมมีเบอร์กิจดอยู่ในสมุดเล่มเล็กของผม อีกตั้งเกือบสองสัปดาห์กว่าจะเปิดเทอม ให้ตองอยู่คนเดียวต้องเป็นบ้าตายแน่เลย
ตรู๊ดดด ตรู๊ดดด
‘ฮัลโหล ว้อทซับแม้น~~’ โทรศัพท์ดังแค่สองครั้งก็มีคนรับ ยังคงเป็นน้ำเสียงร่าเริงที่ผมจำได้ดี
“กิ นี่เอมเองนะ”
‘เฮ้ย เอมมีมือถือแล้วเหรอ โห เจ๋งว่ะ’
“อืม” ผมยิ้ม นึกออกเลยว่ากิจะทำหน้ายังไงตอนนี้
‘พอได้ยินเสียงเอมก็ชักอยากเปิดเทอมไวๆแล้วดิ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนนนนนน’
“เดี๋ยวก็เปิดเทอมแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะเปิดเทอมอะ เราอยากให้กิช่วยอะไรหน่อย”
‘หือ? ว่ามาสิ’
“คือช่วงนี้ ตองอยู่คนเดียวที่หอน่ะ...”
‘อ้าว เรานึกว่ามันกลับบ้าน แล้วโทรหาก็ไม่รับนะไอ้เวรนั่นน่ะ ว่าจะเข้าไปหาอยู่เหมือนกัน’
“อือ นั่นละ ที่เราอยากให้กิทำ เราอยากให้กิเข้าไปหาตองหน่อย เราไม่อยากให้ตองอยู่คนเดียว” ผมพูดเสียงเศร้า
‘เอม... มีอะไรกันใช่มั้ย... เอมกับตองน่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?’ ผมถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถามของกิ ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหวางตองกับผมให้กิฟัง รวมทั้งเล่าเรื่องพี่จิน และเรื่องที่ผมมาอยู่ที่บ้านพี่จินด้วย
และกิก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจเมื่อกิบอกว่ากิพอรู้ความรู้สึกของตองอยู่แล้ว...
‘ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหกปีนะเอม แค่มองตาก็รู้แล้ว น่าเสียดายที่ไอ้ตองมันไม่เคยรู้สถานะของตัวเอง หึหึ’
“กิหมายความว่ายังไง?”
‘ก็ไอ้ตองน่ะ แค่มองก็รู้ว่ามันเกิดมาเพื่อเป็นรับ ไม่ใช่รุก หน้าสวยขนาดนั้น ใครเห็นก็อยากจับมันกดทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ’ ผมฟังเสียงหัวเราะของกิแล้วก็เหวอไป รุก? รับ? อะไรน่ะ กิคงไม่ได้หมายถึงเรื่องอย่างว่าใช่มั้ย?
‘อ้าว เอม ทำไมเงียบ อะ ฮัลโหล ฮัล-’
ตรู๊ด...........................................
ผมกดวางสายด้วยสีหน้าสับสน... รุก... รับ... จับกด... หน้าสวยต้องถูกจับกด หน้าหวานต้องโดนกด...
ใครที่มันบัญญัติกฎเกณฑ์บ้าๆบอๆแบบนี้มาวะ!!!
ผมไม่ยอมถูกกดหรอกโว้ยยยยยยย!!
***********************************************************
“เอม ทำไมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นแบบนั้นละครับ พี่อุตส่าห์พาวานิลลามารับเอมด้วยนะเนี่ย” ผมรู้สึกตัวก้มมองก้อนขนฟูๆที่หลับสนิทบนตัก พี่จินหันมามองผมด้วยสายตาเป็นห่วง
“ก็...คิดอะไรเพลินๆครับ พี่จินตั้งใจขับรถเถอะ” ผมตอบสั้นๆแล้วก็ถอนหายใจ แต่ดูท่าว่าคงพลาดไป เพราะพี่จินกลับจอดรถเข้าข้างทาง(อีกแล้ว) และก็หันมาจ้องหน้าผมเต็มตา
“พี่ไม่ชอบเวลาเอมเงียบไปแบบนี้ เอมกำลังคิดอะไร มีอะไรบอกพี่ไม่ได้เลยเหรอครับ” ผมนึกถึงเรื่องที่ผมคิด... แล้วผมก็ร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาทันที
“อ้าว แล้วหน้าแดงทำไมเนี่ย” พี่จินเอามือมาแตะหน้าผาก ผมเผลอขยับหนีอัตโนมัติ ในหัวมีแต่เรื่อง จับกด จับกด จับกด เต็มไปหมด!!
“นี่...คงไม่ได้คิดลามกกับพี่ใช่มั้ย...” พี่จินหรี่ตามองผมแล้วแกล้งทำท่าหวาดระแวง อร๊ายยยย อย่ามาดัดจริตใส่ผมนะ!
“บะ...บ้าแล้ว คนอะไรหลงตัวเองชะมัด”
“อะไรกัน แสดงว่าที่พี่คิดว่าเอมรักพี่ ก็กลายเป็นว่าพี่หลงตัวเองเหมือนกันใช่มั้ย” ใบหน้าคมเศร้าสลดจนผมอดใจหายไม่ได้ ผมมองอย่างลังเลแล้วจึงพูดขึ้น
“มะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักสักหน่อย.. รักน่ะเอมก็รักนะ ที่บอกว่าพี่จินหลงตัวเองน่ะ ก็เพราะเอาแต่คิดเองเออเองว่าผมอยากจะมีอะไรกับพี่ละสิ...”
“แล้วเอมไม่อยาก ‘มีอะไร’ กับพี่เหรอครับ พี่น่ะ ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งคลั่งไคล้เอมขนาดนี้...” ไวปานสายฟ้า พี่จินชะโงกร่างมาใกล้แล้วกระซิบเสียงหวานปนตัดพ้อ ก่อนจะจูบเบาๆที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเจ้าตัวเล็กที่อายม้วนจนหน้าแดงไปแล้ว
“...งือ... ไม่ใช่ว่าไม่อยากครับ...แต่...แต่เอมยังไม่พร้อม... เรื่องอย่างนี้มันต้องใช้เวลานะครับ...” ถึงจะสั่น แต่ก็ไม่ได้ผลักไสเพราะไม่อยากให้พี่จินเกิดน้อยอกน้อยใจขึ้นมาอีกถ้าทำท่าสั่นกลัวจนเกินไป...
“พี่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเลยนี่ครับ ถึงยังไง พี่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเอมแบบนี้ที่สุดแล้ว...” โดยไม่รู้ตัวก็เงยหน้ารับจูบจากพี่จินเสียแล้ว จูบอ่อนหวาน เนิบนาบ เชื่องช้า...
“งือ...” บนรถอีกแล้ว ผมจูบกับพี่จินบนรถอีกแล้ว... ทำไมเรี่ยวแรงมันหายไปหมดแบบนี้นะ อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆเหลือเกิน...
“พอเถอะคนดี... ถ้ายังจูบแบบนี้นานๆพี่คงต้องฝืนใจเอมแล้วละ” เสียงพี่จินพึมพำลอดไรฟัน.. ฝืนใจเอม? แล้วไงล่ะ... ก็ช่างมันสิครับ... ถ้าเป็นพี่จิน...เอมยอมทุกอย่าง
“ชะเอม!” พี่จินจับไหล่ผมแล้วดึงผมให้ออกห่าง สติสตังทั้งหมดทั้งมวลถูกกระชากวูบกลับมาที่ตัว ผมหน้าแดง เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ผมคิดอะไรหน้าอายอย่างนั้นได้ยังไงกัน!
“เอ่อ.. เรากลับบ้านกันก่อนเถอะนะ” ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงพี่จินสั่นในขณะที่พูด นับประสาอะไร ผมยังต้องจับเจ้าวานิลลามากอดเรียกสติให้ตัวเองเลย...
“เอม ถึงบ้านแล้วครับ” ประตูรถฝั่งที่ผมนั่งเปิดโดยไม่รู้ตัว ผมชะงักนิดหนึ่งแต่ก็ส่งมือข้างที่ไม่ได้อุ้มวานิลลาให้พี่จิน พี่จินจับมือผมไว้แน่นแล้วปิดประตูรถให้
“วันนี้พี่จินอยากกินอะไรครับ” ผมเงยหน้าถาม
“อืม...อะไรก็ได้นะ”
“ในตู้เย็นมีอะไรบ้างนะ...” ผมคิด มีแครอท หมูสับ หอมใหญ่ มะเขือเทศ... วันนั้นผมเห็นเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยละ
“พี่จินชอบราดหน้ามั้ยครับ”
“ก็กินได้ครับ เอมจะทำเหรอ” ผมพยักหน้า
“ดีเหมือนกัน พี่ไม่ได้กินราดหน้ามานานแล้ว”
“งั้นเอมจะทำราดหน้าหมูสับทรงเครื่องให้ทานนะครับ”
“แล้วเอมทำเป็นหรือเปล่า”
“เอมไม่เคยทำหรอกครับ แต่เคยไปซื้อกิน แค่สับๆ ผัดๆเส้น แล้วก็เอาไปต้มใส่แป้งมันก็ได้แล้วครับ ง่ายๆ” ผมยิ้มร่าเดินนำเข้าไปในครัว โดยไม่ทันได้หันกลับมามองสีหน้าขวัญผวาของพี่จิน และก็คงไม่ได้รู้ด้วยว่าพี่จินคิดอะไรอยู่
‘จะกินได้มั้ยเนี่ย’
....
..
.
.
..
..
.
.
*** ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่าพี่จินหื๊นหื่นค่ะ