Now, Flooding แฟนผมลั้ลล้า?!!!
ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี5เพื่อมาดูน้ำ ส่วนไอ้พี่กรีนยังหลับอุตุอยู่เลย=_= ก็ยังดีที่เมื่อคืนช่วยผมอุดท่อชั้นล่างในบ้าน ไม่งั้นคงไม่ได้มานอนบนเตียงหรอก- -+
โว้ยยย!!!แต่เรื่องเมื่อคืนผมโมโหจริงๆนะ!! มาว่าผมโรคจิตได้ไงวะ!!! ที่ทำไปไม่ใช่ว่าเพราะห่วงเหรอ?! บ้านนี่มันก็บ้านพี่กรีน ถึงผมจะช่วยออกค่าเฟอร์นิเจอร์(บ้าง)ก็เหอะ แต่นั่นมันก็แค่เศษเสี้ยวราคาบ้านด้วยซ้ำนะเว้ย แล้วถามจริงถ้าน้ำมาจะอยู่ยังไง? ที่เครียดนี่เรื่องพี่กรีนทั้งนั้นเลยนะ อุตส่าห์เตรียมพร้อมทุกอย่าง…..แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการกลายเป็นคนโรคจิตใช่มั้ย?
ถามจริงๆ…..ผมผิดมากเลยเหรอ….?
ผมเลิกคิดแล้วโฟกัสไปที่เรื่องน้องน้ำอย่างเดียวแทน ไม่ได้ๆ ตอนนี้น้องน้ำสำคัญที่สุด-_-+ ผมเดินลงมาที่ชั้นล่างก่อนจะออกไปดูที่หน้าบ้าน ประตูรั้วผมเป็นไม้ซี่ๆจึงมองเห็นข้างนอกไม่ชัดต้องไปเปิดประตูรั้ว…..
น้องน้ามมมมมมมมม-0-!!!!!!!
ผมยืนเหวออยู่หน้าประตู ภาพตรงหน้าคือคลองแสนแสบ…ไม่ใช่ ถนนหน้าบ้านผมน่ะแหละ แต่ที่แปลกไปคือน้ำที่ขึ้นมาท่วมประมาณซัก10เซนต์ได้เพราะบ้านผมอยู่สูงกว่าถนนประมาณ20เซนต์มันก็ขึ้นมาครึ่งนึงแล้วอ่ะ นี่ขนาดยังไม่ถึง24ชม.เลยนะ แล้วมันจะขึ้นสูงถึงเท่าไหร่วะเนี่ยยยย!!
“ปุยๆ!”เสียงเรียกผมดังผมเลยต้องโผล่หน้าออกไปก็พบว่าเป็นพี่สองที่อยู่ข้างบ้าน ขณะนี้พี่แกยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองพร้อมกระเป๋าเดินทางในมือ ใส่รองเท้าบู๊ตเรียบร้อย ดูจากทรงผมแล้วคงจะพึ่งตื่นได้ไม่นาน=_=
“ค…ครับ…?”
“พี่จะย้ายไปอยู่กาญจนบุรีซักพักนะ ฝากบ้านด้วย=_=”
อ้าวววววว!!!!
“เฮ้ยพี่ มันท่วมแค่นี้เองนะ….”
“ก็แป้งเขาบอกว่าเดี๋ยวมันจะขึ้นเรื่อยๆ เนี่ยในห้องน้ำพี่ก็ขึ้นละเพราะพี่ไม่ได้อุด พี่ว่ารีบออกก่อนจะออกไม่ได้ดีกว่า จะให้พี่จองห้องที่นั่นเผื่อมั้ย?”
ไปกันใหญ่แล้วววววว-0-
“ไม่เป็นไรฮะ เดินทางดีๆนะพี่”
“อ้าวคุณสอง จะไปแล้วเหรอคะ?”
เสียงทักดังมาจากฝั่งตรงข้าม พี่นุชในชุดกางกันน้ำและรองเท้าบู๊ตเดินฝ่าน้ำมาใกล้ๆเราสองคน ผมมีบู๊ตอยู่นะ แต่ตอนนี้ขอช็อคแป๊ป น้ำท่วมแถมเพื่อนบ้านยังจะทิ้งไปอีก
“ครับ พอดีบ้านผมไม่ได้อุดท่อ แป้งเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าของรีสอร์ทในกาญฯก็เลยจะไป แล้วพี่นุชล่ะครับ?”
“โฮะๆๆๆ บ้านพี่สู้ตายค่ะ พนังก็มี กระสอบทรายก็มี เสบียงในบ้านก็เยอะ อุดท่อเรียบร้อยหมดแล้ว ปั๊มสูบน้ำมีอยู่สามตัว เราเตรียมพร้อมมานานแล้วค่ะ โฮะๆ”
อยากให้ไอ้พี่กรีนมาฟังพี่นุชจริงๆ=_=
ผมยืนคุยต่อประมาณ10นาทีก็ขอตัวเข้าบ้านมาเตรียมการต่อก็พบพี่กรีนเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในครัว
“วันนี้ป้าอิ่มกับสมชายมาไม่ได้นะ แววด้วย ติดน้ำท่วม”
ผมพยักหน้าเฉยๆ ป้าอิ่มกับแววเป็นคนมาทำความสะอาดบ้านผมเอง ส่วนสมชายก็เป็นคนทำสวนที่อีกไม่นานคงไม่มีสวนให้ทำเพราะมันคงท่วมเรียบ โว้ยยยย!! เกิดมา25ปีพึ่งจะเจอน้ำท่วมเนี่ยแหละ จะอยู่ได้มั้ยวะเนี่ย
ผมถอนหายใจอย่างเครียดๆ เดี๋ยวต้องเดินเช็ครอบบ้านอีก พูดตรงๆว่าตอนนี้พี่กรีนไม่อยู่ในสายตา จะทะเลาะอะไรไปเป็นหลังน้ำท่วมละกัน ตอนนี้ผมต้องป้องกันบ้านก่อน จะอยู่ยังไงและจะทำยังไงต่อไป ถึงมีกระสอบทรายแต่ผมก็ไม่ไว้ใจหรอก-_-+ เดี๋ยวต้องไปห่อตู้เย็น เครื่องซักผ้าผมยกไปข้างบนแล้ว อะไรอีก? อ่อใช่ ต้องไปสับคัทเอาต์ข้างล่าง อยู่แม่งแต่ข้างบนน่ะแหละ……..
“ปุย เครียดไปมั้ย? น้ำก็มาแล้วไง”
ไอ้พี่กรีนครับ นั่งจิบกาแฟเฉยอย่างโคตรลั้ลล้าหลังจากออกไปดูหน้าบ้านมาเรียบร้อย แม่ง…กวนตีนจริงๆ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเรายังทะเลาะกันไม่จบนะ
“ก็ใช่สิ ปุยมันโรคจิตนี่ ประสาทกับเรื่องน้ำท่วม จะเลิกมั้ยล่ะปุยจะได้เก็บของไปอยู่กับเฮียเลย”
“ปุย…..น้ำมันก็มาแค่นั้นแหละ ไม่ขึ้นหรอก จะไปเครียดกับมันทำไม?”
กุเครียดเพราะมีมึงอยู่ด้วยนี่แหละ!!!
อยากจะพูดออกไปเต็มทีแต่ผมก็ทำแค่เงียบแล้วหันหน้าไปอีกทาง รองจากเรื่องปกป้องบ้านแล้วอีกเรื่องที่ผมเป็นห่วงคือพี่กรีนจะอยู่ยังไงจะกินยังไงน่ะแหละ ซึ่งมันก็….ไม่ได้รู้ตัวเลย ผมน่ะไม่ได้โกรธอะไรมากมายหรอกนะแต่เสียใจมากกว่า คบกันมาตั้ง6ปีเลยนะ ผมยอมรับว่าผมอาจจะไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเท่าที่ควรก็จริง แต่ก็น่าจะเข้าใจกันบ้าง…..
ใช่….แค่เข้าใจผมบ้าง…
จิตตกได้ไม่นานผมก็ต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง ไอ้พี่กรีนไปทำงานเงียบๆไม่ได้พูดอะไรเพราะคงจะรู้ว่าผมโกรธอยู่ รู้ก็ดี!
หลังจากสำรวจบ้านแล้วผมก็พบว่าสวนผมเริ่มจะท่วมเพราะน้ำมันเอ่อมาจากดิน จากการคาดการณ์ว่าน่าจะเข้าบ้านผมเลยเอาพาเลทมาปูเป็นทางเดินในบ้านต่อด้วยยกหม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ แก๊สปิกนิกและกระทะขึ้นข้างบน กล้ามจะขึ้นเอาจริงๆนะเนี่ย=_= หลังจากเช็คเรียบร้อยแล้วว่าคงมีชีวิตอยู่ที่ชั้นบนได้สบายๆผมก็ขึ้นไปบนห้องทำงานแต่งนิยายต่อ ผมแต่งนิยายรักโรแมนติกคู่ธรรมดาๆชายหญิงน่ะแหละ ไม่ค่อยเข้ากับนิสัยผมเท่าไหร่แต่ก็แต่งเพลินๆดีเหมือนกัน ทะเลาะกับพี่กรีนแทบตายกว่าจะได้ทำงานนี้….
นึกแล้วโมโห ไอ้พี่กรีน!!!!
พี่กรีนกลับบ้านมาตอนทุ่มนึง น้ำเสมอขอบรั้วพอดี=_= คงจะเอารถออกไม่ได้แล้วเพราะเครื่องดับแหงๆ แต่รู้มั้ยครับว่ามันพูดว่าอะไร….
“เดี๋ยวมันก็ลดน่าปุย คิดมากแล้วนะเรา^^”
ที่ผมโกรธนี่มันเรื่องเล่นๆเหรอ?!!!
ผมแทบจะกระชากคอเสื้อไอ้พี่กรีนลงมาคุย เรื่องแพรอะไรนั่นก็ยังไม่เคลียร์นะ พยาบาลบ้าอะไรไม่รู้ โทรมาตรงเวลาแทบทุกวันอย่างกับนาฬิกาปลุก แล้วผมก็รับทุกครั้งไง พอถามว่ามีอะไรก็หัวเราะงุงิแล้วบอกว่าจะคุยกับพี่กรีนเอง ก็คงไปคุยที่โรงพยาบาลน่ะแหละ เพราะผมไม่เคยให้พี่กรีนโทรกลับเลย แล้วจะให้ผมคิดยังไง ดูก็รู้ว่ายัยนี่ตั้งใจสร้างความร้าวฉาน
“คิดมากอะไร? ดูก็รู้ว่าเดี๋ยวน้ำมันก็ขึ้น แล้วไม่ต้องเลยนะพี่กรีน เรื่องเมื่อวานยังไม่เคลียร์เลย”
ผมว่าขณะติดตั้งปั๊มสูบน้ำที่กลางบ้านให้สายยางออกไปที่นอกกระสอบทราย ยังไงน้ำเข้าบ้านแหง เครียดโว้ยยยยย ผมจะบ้าตาย ไหนจะน้ำไหนจะพี่กรีน ไม่รู้จะสนใจเรื่องไหนก่อน รู้งี้ไปเชียงใหม่กับเฮียผิงก็ดี บางทีมันคงจะดีกว่ามานั่งเป็นไอ้โรคจิตอย่างนี้!!
“เคลียร์อะไร? พี่ก็พูดไปหมดแล้ว โอเค พี่ขอโทษที่พูดอย่างนั้น พี่แค่เป็นห่วงว่าปุยจะเครียดเกินไปเลยคุยกับไอ้ต้องอย่างนั้น…..พี่ไม่ได้ตั้งใจ…”
อีกฝ่ายดึงผมให้หันหน้าไปคุยกัน เสียงเว้าวอนที่ไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรมากไปกว่าเฉยชาเท่าเดิม ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมๆๆๆเต็มไปหมด ผมเหนื่อยแล้ว เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ ทั้งเรื่องน้ำ เรื่องงานของเฮียผิง นิยาย แล้วไหนจะพี่กรีนอีก ทุกอย่างมันรุมเร้าจนผมคิดอะไรไม่ออก ไม่อยากจะรับรู้อะไรซักพัก
“ปุย…..”
“ช่างมันเถอะพี่กรีน ปุยเหนื่อยแล้ว เราห่างกันซักพักละกัน
อาทิตย์นึงแล้วที่ผมกับพี่กรีนใช้ชีวิตอยู่ที่ชั้นสองเนื่องจากน้ำมันเข้ามาในบ้านถึงบันไดขั้นที่สาม นี่ขนาดสูบออกนะเนี่ย แต่พูดตรงๆว่าผมรู้สึก…..เรียกว่าไงดี ปลอดโปร่งกว่าตอนที่น้ำยังไม่มาอีก ไม่รู้สิ คงเพราะไม่ต้องมาคอยพะวงล่ะมั้งว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ แต่แน่นอนว่าสถานการณ์ของผมกับพี่กรีนยังเหมือนเดิม เราไม่ได้คุยกันเลย นอนผมก็นอนที่ห้องทำงานเพราะจะปั่นนิยาย ไอ้บ.ก.ก็เร่งตอนต่อไปยิกๆทั้งที่รู้ว่าบ้านผมน้ำท่วมน่ะแหละ-_- ผมไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไงต่อไป….ถ้าน้ำไม่ท่วม….ผมก็คงออกจากบ้านไปแล้ว
เรื่องของแพรอะไรนั่น…ความจริงผมก็รู้ๆมาบ้างอยู่แล้วและก็แน่ใจว่าพี่กรีนไม่ได้คิดอะไร แต่ที่ผมโมโหคือที่พี่กรีนไม่พูดชัดๆต่างหาก แค่พูดชัดๆให้ผมแน่ใจ….ยังทำไม่ได้เลย
โมโห เครียด เซ็งงงงงงงงงงงงง
ผมก้มหน้าก้มตาเขียนนิยายต่อ ไม่ได้ๆ งานต้องมาก่อนอารมณ์ รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ผมเดินลากเท้าไปที่ห้องเก็บของซึ่งกลายเป็นห้องครัวชั่วคราว กะจะชงกาแฟกินก็เจอร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่แล้ว ดวงตาสีเข้มหันมามองทำให้ผมเบือนหลบทันที
“ปุย….จะไม่คุยอะไรกันเลยใช่มั้ย?”
ผมเลือกที่จะเงียบแล้วเดินออกมาจากห้องนั้น แต่ตอนนั้นเองที่จู่ๆไฟทั้งหมดก็ดับวูบลง…
“แฮ่มๆ ประกาศ ทางหมู่บ้านจะตัดไฟฟ้าตั้งแต่ทุ่มนึงถึงเที่ยงคืนเป็นต้นไปเพื่อกันไฟรั่ว ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบด้วยนะคะ…”
สงบบ้าอะไรล่ะ?!!!
ผมยืนตัวแข็งท่ามกลางความมืด มือชื้นไปหมด ใจเต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก มันมืดจริงๆนะ มองไม่เห็นอะไรซักอย่าง…
มืด…ทำไมมันมืดอย่างนี้…
“ปุย…ปุย…อยู่ไหน?”
ผมพูดไม่ออกได้แต่ยืนนิ่งๆอย่างนั้น รู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันขึ้นมาจุกที่คอก่อนจะกลั่นมาเป็นน้ำตา ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินมาใกล้ๆตามมาด้วยอ้อมกอดที่คุ้นเคยที่ทำให้ผมซุกแน่นอย่างอัตโนมัติ หัวใจค่อยเต้นแผ่วลงจนเป็นปกติ
“ไม่เป็นไรนะปุย…พี่อยู่นี่….”
ครับ…ผมกลัวความมืด
ที่ระเบียงริมห้องนอน ผมกับพี่กรีนนั่งกันคนละฝั่งโดยมีตะเกียงไฟฟ้าอยู่ตรงกลาง มองไปข้างล่างก็เห็นอดีตสวนที่กลายเป็นคลองลางๆ=_= ดีที่วันนี้ยุงไม่มี ไม่งั้นได้แต่นั่งร้อนอยู่ในบ้านแน่
ผมถอนหายใจขณะมองดาวนั่นนี่เรื่อยเปื่อย ภาวนาให้เวลาผ่านไปเร็วๆ น้ำท่วมแล้วยังไฟดับอีก นึกไม่ออกว่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วผมก็ดันกลัวความมืดไง ถ้ามีคนอยู่ด้วยก็เฉยๆแต่ถ้ารู้สึกว่าอยู่คนเดียวจะทนไม่ได้เหมือนบวกโรคกลัวการอยู่คนเดียวไปด้วย โรคบ้าๆที่ดูโคตรอ่อนแอ…พี่กรีนก็รู้ ถึงมานั่งด้วยไง
“นึกถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรกเนอะ…ปุยจำได้มั้ย?”
ผมเงียบยังคงมองดูดาวเช่นเคยทั้งๆที่ข้างในแน่ใจว่าไม่มีวันลืม… เราเจอกันครั้งแรกที่ค่ายอาสาฯ ตอนนั้นผมอยู่ปี2เศรษฐศาสตร์ ส่วนพี่กรีนก็แพทย์ฯปี3 แรกๆกัดกันอย่างกับอะไรดี คนอะไรไม่รู้โคตรกวนตีน แต่ไปๆมาๆจากการทะเลาะมันก็กลายเป็นใส่ใจกันได้ไงไม่รู้ ตอนนั้นผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลยนะเพราะรู้อยู่แล้วว่าความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย มันไม่น่าจะยืนยาวอยู่แล้ว มีหลายครั้งที่ทะเลาะจนเลิกกันแต่ที่สุดแล้วเราต่างก็รู้ดีว่าขาดกันและกันไม่ได้ มันอาจจะดูน้ำเน่าแต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…พี่กรีนคือส่วนนึงในชีวิตของผม…เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้…
แล้วพี่กรีนล่ะ….จะคิดเหมือนผมรึเปล่า…?
“ตอนที่พี่เจอปุยครั้งแรก…พี่นึกว่าเด็กมัธยมตามพี่มาเข้าค่ายซะอีก เด็กบ้าอะไรไม่รู้โคตรปากจัด”
คนข้างๆผมหัวเราะครับขณะที่ผมอยากจะหันไปค้อนซักที เอาเข้าจริงเราก็ไม่ได้นั่งห่างกันมากหรอก ผมนั่งชิดริมแต่พี่กรีนนั่งค่อนมาจนจะถึงตะเกียงอยู่แล้ว
“ดีแต่สร้างปัญหา ดื้อไม่เลิก ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงแล้วยังหว่านเสน่ห์ไปทั่วอีก บอกตามตรงว่าน่าหมั่นไส้”
ยังคงมาเป็นชุดจนผมชักอยากจะเดินเข้าบ้าน นี่ตกลงว่ากุไม่มีอะไรดีเลยใช่มั้ย?
“แต่สุดท้ายแล้ว….ไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นว่าพี่ห่วงปุยมากกว่าใครๆ รู้อีกที…พี่ก็มองแต่ปุยแล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมเคยปรามาศว่าก็งั้นๆหันมายิ้มที่ชวนใจสั่นให้ผม ยิ้มที่ทำให้ผมได้แต่นิ่งอย่างนั้น
“คนเดียวที่พี่จะรัก….มีแค่ปุยคนเดียวเท่านั้น…”
“…..แล้วแพร?”
ลำคอผมตีบตันไปหมดด้วยความตื้นตัน น้ำตาจะไหลออกมาทั้งๆที่มันไม่สมกับเป็นผู้ชายซักนิด ขอสาวแตกกับพี่กรีนซักครั้งละกัน คำพูดอย่างนี้ใช่ว่าจะหลุดออกมาจากปากพี่กรีนบ่อยๆที่ไหน รายนั้นไม่ชอบพูดแต่ชอบทำเลยมากกว่า แล้วก็นะ…แต่ละครั้งผมก็แทบจะลุกไม่ขึ้น
“พี่เป็นเจ้าของไข้แม่ของเขาเฉยๆ…”
“แล้วทำไมต้องโทรมาบ่อยขนาดนั้น?”
“เขาชอบพี่มั้ง แต่ปุยก็รับทุกรอบนี่ แล้วจะเครียดทำไม? ไม่ไว้ใจพี่เหรอ?”
ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายที่ตอนนี้เขยิบมานั่งข้างๆผมแล้ว ทีอย่างนี้ล่ะไว
“จะรู้ได้ไงในเมื่อพี่กรีนไม่บอกอะไรซักคำ”
“ก็บอกแล้วไงว่ารัก แล้วจะไปมีคนอื่นได้ไง หืม?”พี่กรีนว่าขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจเป่ารดหู ขนลุก=_= ไม่ได้! ยังเคลียร์กันไม่จบ!
“แล้วที่พี่ว่าปุยโรคจิต?”
“นั่นมันพี่ไม่ได้ตั้งใจ ปุยถามตัวเองเหอะว่าตอนนั้นเครียดจริงรึเปล่า แล้วจะให้พี่ทำไง ปุยไม่สนใจพี่เลย”
สรุป ผมผิด?-0-
“ยังมีอีกเยอะนะพี่กรีน ไหนบอกว่าไม่ท่วมไง? แล้วนี่อะไร? ถ้าปุยไม่เตรียมจะอยู่กันได้เหรอ?”
ผมพยายามดันอีกฝ่ายออกแต่พี่กรีนก็ใกล้ผมเท่าเดิม ใบหน้าขาวดูยียวนจนน่าถีบเพราะรู้แล้วว่าผมไม่ได้โกรธเท่าเดิม
“ก็ดีแล้วไงที่ปุยเตรียม พี่คิดผิดเอง”
เหรอ แต่หน้าตาไม่สำนึกเลยนะ- -+
ผมปั้นหน้านิ่งทำให้อีกฝ่ายยกนิ้วขึ้นจิ้มแก้มผมทันที ไม่ใช่เด็กนะเว้ยยยย
“พี่กรีน…..!!!”
“โอ๋ น้องปุย อย่างอนพี่กรีนนะครับ พี่กรีนขอโทษ”
ผมชะงักมือทันทีเมื่อเห็นท่าทางหงอยๆน่าขำของอีกฝ่าย จนผมหลุดหัวเราะอ่ะ ไม่ดีเลย ผมควรจะโกรธต่อสิ….!!
แต่ประโยคถัดมาของคนเป็นหมอก็ทำให้ผมชะงักได้อีกครั้ง….
“น้ำจะท่วมไม่ท่วมมันไม่สำคัญหรอกปุย….มันสำคัญที่ว่าปุยอยู่กับพี่รึเปล่าก็แค่นั้นเอง”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบภาคที่สองแล้วววว
อาจจะมีภาคต่อสุดท้ายให้ครบไตรภาค555
พยายามเขียนโดยเปรียบเทียบกับสถานการณ์จริง อย่างพี่สองกับพี่นุชคือตัวแทนคนสองประเภทเวลาน้ำท่วม คือจะอยู่หรือไป55
กะจะให้เรื่องสั้นนี้มีข้อคิดซักเล็กน้อยเลยพยายามแทรกๆมาตั้งแต่ภาค1 ไม่รู้มันจะชัดจนมีใครสังเกตเห็นรึเปล่า เพราะแต่งเองยังคิดว่ามันแอบไร้สาระ
สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่คอมเมนต์และ+มานะคะ รักทุกคน