[MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!  (อ่าน 61324 ครั้ง)

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

-------------------------------------------------
สวัสดีเพื่อนนักอ่านทุกท่านค่ะ  :กอด1:

หายไปนานมาก นานขนาดที่ว่าตั้งแต่โพสต์เรื่องยาว Beats of Life โน่นแน่ะค่ะ จำไม่ผิดก็ต้นปีที่แล้ว ที่หายไปนี่ไม่ใช่ว่าหยุดเขียนงานไปเสียทีเดียวค่ะ แต่เนื่องจากชีวิตติดภารกิจหลายอย่างมากจริงๆ กว่าจะตัดสินใจเริ่มงานเขียนใหม่ได้ก็ต้องตั้งหลักกันพักใหญ่ทีเดียว

ก่อนหน้านี้ ถ้ายังพอจำกันได้ล่ะก็ เราเขียนนิยายเอาไว้สองเรื่องซึ่งก็เคยเอามาลงในเล้านี้แล้วทั้งสองเรื่อง เป็นนิยายเรื่องยาวเสียด้วย ซึ่งก็ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากนักอ่านหลายท่านเป็นอย่างดี ถึงทุกวันนี้ก็ต้องขอขอบคุณมากเชียวค่ะ ทีนี้การเขียนนิยายเรื่องยาว มันใช้พลังชีวิตเยอะเหลือเกิน แถมเขียนมาแล้วตั้งสองเรื่อง ก็เลยมานั่งคิดว่า ลองเขียนเรื่องสั้นดูจะดีไหมหนอ

แต่แรกเริ่มเดิมที เราลองเขียนขึ้นมาก่อนเรื่องสองเรื่อง โดยตั้งธีมขึ้นมาอันหนึ่ง ซึ่งก็คือ [MOMENT] อย่างที่ขึ้นหัวเอาไว้ ก็ปรากฏว่า ไอเดียลื่นไหลพอสมควรแล้วก็ใช้เวลาไม่มากนัก แถมจบได้ด้วยตัวของมันในตอนได้เลย นับเป็นการเขียนที่สนุกมาก ก็เลยเป็นที่มาของไอเดียว่า ถ้าอย่างนั้นก็ลองเขียนมันหลายๆตอนดู พอมีจำนวนประมาณหนึ่งก็จะเอาลงให้อ่านในเล้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดมุกและหมดสต๊อก นี่จึงเป็นที่มาของรวมเรื่องสั้นชุด MOMENT ค่ะ

พล็อตเรื่องจะเป็นแบบ feel good เกือบทั้งหมดทุกตอน ความสัมพันธ์ก็มากแบบ ตัวละคนก็หลากหลาย จะตายก็อีตอนตั้งชื่อนี่แหละที่ถือเป็นความยากอย่างหนึ่งในการเขียนนิยาย บางเรื่องก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เห็น บางเรื่องก็จินตนาการเอา บางเรื่องก็นำคาแร็กเตอร์ของคนที่มีอยู่จริงมาใส่ ก็ลองเดาๆเอานะคะว่าไปตรงกับใครในใจบ้าง

นิ้วไขว้จะทะยอยนำเรื่องสั้นมาลงเร็วๆนี้แล้วค่ะ ใครที่เคยอ่าน เพลงรัก หรือ Beats of Life และยังจำกันได้ หนนี้ก็ขอกลับมาฝากเนื้อฝากตัวกันอีกครั้งนะคะ หวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุขจากการอ่านกันไปบ้างไม่มากก็น้อยค่ะ

ขอบคุณจากใจค่ะ
นิ้วไขว้ fingers-crossed
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2012 20:34:02 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ Pigstar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #2 เมื่อ06-12-2011 20:10:56 »

เรื่องสั้น 1: Coffee

เขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา ความบังเอิญน่ะมีแน่นอน แต่ไอ้เรื่องที่จะบังเอิญมาเจอคนๆเดียวกันแบบนี้ในรอบหนึ่งชั่วโมงมันก็ออกจะเกินไปหน่อยอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าถึงกับจะบอกว่านี่เป็นโชคชะตา เขาก็คงต้องยืนยันเหมือนเดิมนั่นล่ะว่า ไม่น่าใช่

ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นจิบ ควันหอมกรุ่นของมันชวนให้เคลิบเคลื้มไม่เบาทีเดียว ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังร่างนั้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วเหมือนกัน

จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่ค่อยมีเวลาไปเดินในร้านหนังสือขนาดใหญ่ของห้างขนาดใหญ่กลางเมืองได้อยู่ทุกบ่อย ด้วยหน้าที่รับผิดชอบที่เฉียดคำว่ามหาศาลไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่แล้วในที่สุดเขาก็หาเวลาแวะไปจนได้ และเพราะโอกาสที่ ‘นานๆมาที’ นี่ล่ะ ที่ทำให้เขาเพลิดเพลินอยู่กับการเดินหาตำราทำอาหารภาษาต่างประเทศที่คงจะมีให้เลือกหลากหลายและมากมายจนละลานตาที่สุดที่ร้านแห่งนี้เพียงแห่งเดียวนี่ล่ะ ก็เลยทำให้เขาพลอยตื่นเต้นและสนุกกับการหยิบหนังสือเล่มหนาใส่เอาไว้ในอ้อมแขนแบบไม่ยั้งไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ได้เดินเข้าไปในร้านของเล่นไม่มีผิด

และเพราะความไม่ระวังของเขาเองนั่นแหละที่เผลอไปชน ‘เขา’ เข้าจนได้

หนังสือหล่นลงเสียงดัง โชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย และโชคดีที่เขาตั้งใจจะซื้อหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ที่แย่สุดๆก็คือ คนที่โดนเขาชนเข้าโครมเบ้อเริ่มนั่นล่ะ พอสติกลับมา สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำก็คือปราดเข้าไปหาร่างที่นั่งอยู่บนพื้น ที่กำลังยกมือขึ้นลูบคลำแขนตัวเองป้อยๆ โดยไม่ทันได้มองหน้าอะไรทั้งสิ้น

สะเพร่าจริงหนอไอ้ฟ้า

“ผมขอโทษ... เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” เจ้าตัวระล่ำระลักถาม ขณะที่มือทั้งสองคอยสัมผัสอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงจะทำให้คู่กรณีที่ไม่รู้ว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าเจ็บตัวขึ้นมาอีก “แย่จริงๆเลยผม ไม่ระวังเลย ต้องขอโทษจริงๆนะครับ”

“คุณสิเจ็บ... ผมไม่เป็นไรหรอก” เสียงที่ติดจะขันนิดๆเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเป็นการยืนยันว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่เจ็บอะไร แต่ยังไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรเลยสักนิด

‘แทบจะลืมหายใจ’ คำนี้ล่ะมั้งที่น่าจะเหมาะกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้มากที่สุด เป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปีที่ความรู้สึกเหมือนถูกขโมยลมหายใจไปชั่วครู่ เหมือนโลกหยุดหมุน เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เหมือนเสียงทุกอย่างเงียบงันลงไปเฉยๆ เกิดขึ้นกับเขาแบบจังๆ ใบหน้าที่เขาเพิ่งได้เห็นชัดๆแถมยังอยู่ห่างจากเขาไม่กี่นิ้วตอนนี้ ทำเอาเขาเกือบเพ้อ

“... ครับ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ออกจะผิดกับชื่อที่ฟังดูไม่ค่อยสมตัวของเจ้าของอยู่สักหน่อย ตอบรับตะกุกตะกักทั้งที่ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่า อีกฝ่ายกำลังพูดอะไรกับเขา

“คุณฟังอยู่หรือเปล่า... ผมบอกว่า มือคุณถลอกแน่ะ เป็นรอยแดงขนาดนั้น เจ็บไหมครับ” มือขาวๆของหนึ่งของอีกฝ่ายจับมือข้างที่ตอนนี้เหมือนเพิ่งจะรับรู้อาการเจ็บจี๊ดเพียงเล็กน้อยของฟ้ายกขึ้นดู

“อ๋อ... ไม่ครับ ไม่เจ็บอะไร... คุณสิ ไม่เป็นไรแน่หรือครับ” เมื่อสติกลับมา เจ้าตัวก็ถามโพล่งออกไปทันที

“สบายมากครับ เห็นอย่างนี้ผมแข็งแรงนะ” ไม่รู้เป็นเพราะคำยืนยันที่ติดอารมณ์ขันนิดๆ หรือเพราะน้ำเสียงเนือยๆแต่นุ่มหู หรือเพราะดวงตาคู่สวยจับใจที่จ้องมอบตอบเขากลับมาเหมือนกัน ที่ทำให้เขาหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ถึงขนาดนี้ นี่ถ้าจะบอกว่า บรรยากาศเหมือนดอกไม้บานอยู่รอบๆด้วยล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไอ้เพื่อนตัวดีของเขาคงจะถ่มถุยให้กับอารมณ์เลี่ยนที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยๆกับเขาเหมือนอย่างในตอนนี้แน่ๆ

ฟ้าทำตาโตด้วยไม่คาดคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อร่างขาวๆที่นั่งอยู่ตรงหน้า จู่ๆก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บอกได้เลยว่านี่เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่เอาการ แม้ติดจะผอมเพรียวไปสักหน่อยแต่ไม่ธรรมดาเลย ก็คนอะไรเล่า สวมแต่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แค่นี้ก็ดูเปล่งประกายได้ถึงเพียงนี้แล้ว ผมสีดำสนิทที่ยาวประบ่านั่นยิ่งขับให้ดวงหน้าที่จะว่าสวยก็ไม่ใช่ หล่อก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก ยิ่งดูดีได้อย่างน่าทึ่ง บวกกับรอยยิ้มที่เพิ่งส่งมาให้เขาเมื่อกี้ด้วยเข้าไปอีก เขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นยืนอยู่แล้ว อาจจะฟังดูน่าถีบที่ตัวเองมานั่งพร่ำเพ้อถึงผู้ชายคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้ แต่ใครไม่มาเจอเองกับตัวคงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้อย่างแน่นอนล่ะ

ร่างนั้นก้าวยาวๆออกไปหลังจากหันซ้ายหันขวาอยู่เป็นครู่ ฟ้ายังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่าแค่ยกมือไขว่คว้าอากาศพร้อมกับอ้าปากค้าง ก่อนที่จะทันได้เอ่ยอะไรออกไป ร่างสูงเพรียวนั้นก็เดินกลับมาพร้อมตะกร้าใบหนึ่ง เขาวางตะกร้าลงข้างๆแล้วทรุดตัวลงนั่ง พลางหยิบหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆใส่ลงไปอย่างรวดเร็ว นับคร่าวๆน่าจะเฉียดสิบเล่ม หนักขนาดนี้นี่เอง ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่คนตัวโตอย่างฟ้าจะเสียศูนย์ไปบ้าง

“เรียบร้อยครับ วันหลังถ้าจะซื้อขนาดนี้ ตะกร้าช่วยได้จริงๆนะครับ” พูดติดตลกอีกครั้งก่อนจะเดินผละออกไปพร้อมก้มศีรษะนิดๆติดจะเป็นการบอกลาไปในตัว

กว่าจะรู้ตัวอีกที ตะกร้านั้นก็อยู่ในมือเขาตอนไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่งตอนเดินไปจ่ายเงินค่าหนังสือที่เคาน์เตอร์ ไม่ว่าจะพยายามมองหาสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่เจอเด็กหนุ่มคนนั้นอีกเลย

มันน่าเตะตัวเองให้หายโง่เสียที อย่าว่าแต่จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่เลย ขนาดชื่อยังซื่อบื้อไม่รู้จักถามเขามา เมื่อบอกตัวเองว่าให้ตัดใจได้แล้ว เขาก็ส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆด้วยความเสียดาย ก่อนจะหอบหิ้วหนังสือออกจากร้านด้วยสติที่มีมากกว่าเดิมขึ้นโข

*****************************
ว่าจะตัดใจแล้วแท้ๆ แต่นี่มันอะไรกัน

เขายกกาแฟในมือขึ้นจิบอีกครั้ง หมดความสนใจกับหนังสือตรงหน้าที่อุตส่าห์หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างดีว่า จะหาร้านกาแฟดีๆนั่งเปิดดูให้หายอยากเสียหน่อย แต่สายตาเจ้ากรรมทำอย่างไรก็ไม่อาจละไปจากภาพที่เห็นตรงหน้าได้เลยจริงๆ

แม้จะมองจากด้านหลัง แต่ทรงผมแบบนี้ ช่วงไหล่แบบนี้ เสื้อยืดสีขาวตัวนี้ สร้อยข้อมือและแหวนที่เข้าคู่กันแบบนี้ บวกกับเสี้ยวหน้าที่คงยากจะหาใครมาเปรียบ กับตุ้มหูสีเงินที่กลมกลืนกันดีกับผิวขาวๆของเจ้าตัว มีหรือเขาจะจำไม่ได้ แม้จะด่าตัวเองว่าซื่อบื้อเกินให้อภัย แต่เรื่องความจำเกินมนุษย์ปกติของเขานั้นดูถูกไม่ได้เลย

ร่างนั้นนั่งหันหลังให้เขาอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟชื่อดังที่เขาเองก็แวะมาบ่อยๆ แต่ทำไมหนอจึงไม่เคยเห็น ‘เขา’ เลยสักครั้ง 

เด็กหนุ่ม... เขาคงเรียกว่าเด็กหนุ่มได้เต็มปากอยู่หรอก เพราะไม่ว่าจะดูมุมไหน เขาก็ดูแก่กว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆก็คงมีสักห้าปีนั่นล่ะ เด็กหนุ่มที่เป็นมากกว่าใครสักคนที่ดึงดูดสายตา เพราะให้สารภาพเลยต้องบอกว่ามันข้ามไปถึงขั้นดึงดูดใจไปแล้ว... เออสิ... ภายในระยะเวลาแค่สองสามชั่วโมงนี่แหละ เขายอมรับเลยก็ได้

มีกองหนังสือสามสี่เล่มที่วางอยู่ข้างตัว พร้อมกับปากกาในมือที่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจดอะไรบางอย่างจากหนังสือในมือที่เขาเพิ่งอ่าน ก่อนจะนั่งนิ่งราวกับครุ่นคิดกับอะไรสักอย่างอยู่เป็นนาน แล้วจึงก้มลงเขียนอะไรลงไปสักครั้ง ใบหน้าที่แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวข้างๆยามที่เขาหันไปมองวิวนอกร้านนั้นเคร่งขรึมผิดจากใบหน้าที่เพิ่งยิ้มให้เขาไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้อย่างสิ้นเชิง

มือข้างที่จับปากกาเปลี่ยนไปหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะชะงักไป... และวางแก้วนั้นลง

ชายหนุ่มก้มลงมองกาแฟอุ่นๆที่ยังเหลืออยู่ครึ่งค่อนแก้วในมือของตัวเอง

นานแล้วนะที่เขาไม่ได้นั่งละเลียดกาแฟอย่างสบายอารมณ์แบบนี้ และนานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้รู้สึกราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนอย่างตอนนี้ นานแค่ไหนแล้วหนอที่เขาเอาแต่มุ่งมั่นอยู่กับการเรียนเป็นเชฟจนจบสมความตั้งใจ นานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจแต่จะหาสูตรอาหารที่แปลกใหม่ให้กับงานนักออกแบบอาหารที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ และนานแค่ไหนแล้วที่เขาคิดแต่ว่าจะเปิดร้านอาหารในฝันของตัวเองขึ้นมาให้ได้

ทุกวัน เขาขลุกอยู่แต่ในห้องครัว อาณาจักรเพียงหนึ่งเดียวของเขาและโลกที่เขารักมากที่สุด เขามีเพื่อนอยู่ไม่น้อย แต่จำนวนเพื่อนสนิทนับได้ไม่เกินนิ้วมือทั้งสองข้างที่มีอยู่ ส่วนคนรู้ใจนั้น ต้องบอกว่านานมากแล้วที่เขาไม่เคยคิดอยากจะให้ใครก้าวเข้ามาในชีวิตอีกหลังจากที่รักครั้งล่าสุดทำเอาเขาเสียศูนย์ไปพักใหญ่ พร้อมกับพร่ำบอกตัวเองไม่สิ้นสุดว่า ชีวิตนี้หากไม่มีใครที่จะทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวได้มากกว่าการเป็นเชฟล่ะก็ อย่าได้หวังว่าเขาจะไปเริ่มต้นชีวิตรักกับใครได้อีก ยิ่งที่พ่อแม่บอกว่าเหมาะสม หรือที่เพื่อนฝูงบอกว่าสวยสะน่ารักทั้งหลาย ขอให้ลืมไปได้เลย

ถ้าเขาจะรักใครอีก ครั้งนี้ขอให้เป็นคนที่หัวใจบอกว่าใช่ดีกว่า

ฟ้าหันไปมองถุงหนังสือที่วางอยู่ข้างๆตัว ก่อนจะดึงความสนใจกลับมายังหนังสือตำราอาหารสีสวยสดในมือ เขาเปิดหน้านี้ค้างเอาไว้อยู่น่าจะสักครึ่งชั่วโมงได้แล้ว กาแฟที่เคยร้อน ตอนนี้เหลือแค่ไออุ่นจางๆ หันไปมองรอบๆ ราวกับทุกอย่างจะเป็นใจ เมื่อร้านกาแฟชั้นสองในตอนสายของวันธรรมดาแบบนี้มีเพียงโต๊ะของเขา และโต๊ะของเด็กหนุ่มคนนั้นเท่านั้นที่ถูกครอบครองเอาไว้

เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านหลังของร่างที่แสนดึงดูดใจอีกครั้ง ยิ่งรู้สึกเพลินตามากขึ้นไปอีกที่เด็กหนุ่มในตอนนี้ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง มือทั้งสองข้างประสานกันอยู่ตรงท้ายทอย ท่าทางปลดปล่อยอารมณ์ชวนมองเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า ให้นั่งมองเป็นพวกโรคจิตต่อไปแบบนี้อีกสักครึ่งวันยังไม่เบื่อเลย

ฟ้าวางถ้วยกาแฟในมือลง เขาระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดเสียที

เขาไม่อยากมานั่งเสียดายเหมือนตอนอยู่ในร้านหนังสืออีกแล้ว

ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินลงไปด้านล่างของร้านอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองของร้านกาแฟชื่อดังอีกครั้งด้วยกาแฟสองแก้วในมือ แทนที่จะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง เขากลับเดินไปยังโต๊ะอีกตัวที่มีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว

ร่างขาวๆที่พุ่งความสนใจทั้งหมดให้กับหนังสือตรงหน้า สะดุ้งน้อยๆ เมื่อแก้วกาแฟสีขาวถูกวางเอาไว้ใกล้ๆกับแก้วใบเดิมที่หมดไปนานแล้ว และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่า คนที่นำกาแฟแก้วใหม่มาวางบนโต๊ะให้นั้นเคยพบกันมาแล้ว...สั้นๆ แม้จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนก็ตาม

“คือผม...” ทั้งที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเอาไว้ได้ถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่พอเจอกับสายตาคู่นี้อีกครั้ง ความหวาดหวั่นเจ้ากรรมก็ดูเหมือนจะคืบคลานเข้ามาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย รีรอว่าจะพูดอะไรออกไปดี

ร่างที่นั่งอยู่นั้นได้แต่ทำตาโต ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังรออยู่เหมือนกันว่า ชายหนุ่มที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดีนั้นจะพูดอะไรออกมา

ราวกับจะตัดสินใจเด็ดขาดได้เดี๋ยวนั้น

“ผมชื่อฟ้า... ผมอยากรู้จักคุณ... รังเกียจไหมครับ” ความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกมันเป็นแบบนี้เองสินะ

เด็กหนุ่มมองตอบเขาด้วยดวงตาคู่งาม ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ติดจะประเมินเขาอยู่เป็นครู่ แต่ก็สงบนิ่งเหลือเกิน ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ข้างๆตัวออก

“ผมชื่อวินด์... นั่งด้วยกันสิครับ”

ไม่รู้เป็นเพราะกาแฟแก้วใหม่ที่หอมกรุ่น ใบหน้าที่จริงจังของชายหนุ่ม ท่าทางที่ดูขัดเขิน หรือเพราะอะไรอื่นกันแน่ที่ทำให้อีกฝ่ายตอบรับไมตรีของเขา

แต่ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่า โชคชะตามันเกิดขึ้นในร้านกาแฟง่ายๆแบบนี้ได้ด้วยจริงๆหรือนี่...

------------------------- END ---------------------------

เรื่องแรกค่ะ จบไปแล้วแบบสั้นๆ ไม่รู้จะชอบกันไหม แต่ยังไงก็เอามาลงให้ได้อ่านกันไปแล้วเป็นเรื่องแรก

อีกไม่นานจะเอาเรื่องที่สองมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ ^^

ออฟไลน์ CofFee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #3 เมื่อ07-12-2011 06:43:50 »

มาสั้นๆ เห็นชื่อเรื่องเหมือนชื่อตัวเองเลยมาอ่านฮ่าๆ  โอ้วเย  :mc4: :mc4: :mc4:

wichaiP

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #4 เมื่อ07-12-2011 07:23:05 »

สั้นๆนะ น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #5 เมื่อ07-12-2011 07:23:46 »

 :3123:ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #6 เมื่อ07-12-2011 09:19:58 »

แมนมากตรงกล้าเดินเข้าไปหานิ่งๆ
ใช่ว่าจะกล้าตัดสินใจแบบนี้ทุกคน
รออ่านต่อค่า

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #7 เมื่อ07-12-2011 10:09:10 »

น่ารักดีค่ะ ^^

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #8 เมื่อ07-12-2011 10:44:07 »

มาต้อนรับเรื่องใหม่ของนิ้วไขว้นะคะ
ยังประทับใจกับ 2 เรื่องยาวที่ผ่านมา และกลับไปหยิบมาอ่านอยู่เสมอ
และคิดว่าเรื่องสั้นนี้ก็จะไม่ผิดหวังเช่นกัน

เริ่มเรื่องมาน่ารักมาก ที่เหลือก็จินตนาการต่อไปเอาเองสินะ

เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ



ออฟไลน์ murasakisama

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-4
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
«ตอบ #9 เมื่อ07-12-2011 11:04:53 »

น่ารักมากค่ะ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
« ตอบ #9 เมื่อ: 07-12-2011 11:04:53 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage -
«ตอบ #10 เมื่อ11-12-2011 20:51:15 »

หายไปหลายวัน มัวแต่ไปจัดการชีวิต เคลียร์บ้าน และเขียนนิยายเพิ่มอยู่ค่ะ

มาค่ะ ต่อด้วยเรื่องที่สองกันเลย... ชอบไม่ชอบก็บอกเล่าเก้าสิบกันได้

ย้ำนะคะว่า เรื่องสั้นของนิ้วไขว้มีหลากหลายพล็อต แต่ทุกเรื่องจะเป็นแบบฟีลกู๊ดหมดค่ะ

พร้อมแล้วเชิญทัศนาเรื่องที่สองต่อได้โดยพลัน....

-------------------------------------------
เรื่องสั้น 2: Courage

เขาไม่มีความสุข

เขาคิดว่าเขาเคยมีความสุขกว่านี้ มันน่าแปลกที่ในวันที่มีทุกอย่างพร้อมเหมือนอย่างคิดเคยฝันเอาไว้ เขาน่าจะมีความสุขกับมันมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่กลับไม่ใช่
   
การเป็นเจ้าของบริษัทที่ใหญ่โต มีเงินมากมายขนาดที่ว่าสามารถใช้ได้อย่างสบายไปตลอดชีวิต รวมไปถึงการได้อยู่ในสถานภาพที่สามารถเลือกได้ว่าวันนี้จะเข้าไปทำงานดีหรือไม่ด้วยซ้ำ กลับไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้ยาวนานเหมือนอย่างที่คิด
   
เท่าที่จำความได้ เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มั่งคั่ง มีพ่อแม่ที่รักแสนรักเขา มีทุกอย่างเพียบพร้อมเท่าที่มนุษย์สักคนฝันว่าจะมีได้ แต่น่าแปลกที่เขากลับจำไม่ได้เลยว่า ครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกดีใจที่สุดมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และความสุขของเขาได้กลายเป็นความสุขของคนอื่นมากกว่าตั้งแต่ตอนไหน
   
ตอนที่เขาสอบเปียโนระดับประเทศได้ที่หนึ่งงั้นหรือ หรือจะเป็นตอนที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่พ่อกับแม่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้จนได้ จนกระทั่งตัดสินใจไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจอย่างที่คุณปู่กับคุณย่าต้องการ หรือจะเป็นตอนที่เขาเรียนจบในระดับเกียรตินิยมตอนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกาได้ หรือจะเป็นตอนที่เขาตกปากรับคำครอบครัวรับช่วงดำเนินธุรกิจต่อจากพ่อที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับแถวหน้าของประเทศ
   
เขารู้แต่ว่าทุกอย่างที่ทำไปเป็นเรื่องที่ดี เขาทำให้ทุกคนมีความสุข มันจะไม่ดีไปได้อย่างไร แต่เพราะอะไรหนอเขาจึงจำไม่ได้เลยว่า ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกมีความสุขกับอะไรสักอย่างที่มีความหมายกับตัวเองนั้นมันเมื่อไหร่
   
และตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่า ‘ไม่มีความสุข’ อีกต่อไปแล้ว ถึงขนาดต้องลงมานั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนอยู่แบบนี้
   
สัมผัสอ่อนโยนและแผ่วเบาบนไหล่แข็งแรง ที่น่าจะทำให้เขาตกใจ กลับทำได้แค่เพียงหันไปมองเจ้าของสัมผัสที่ว่าเท่านั้น
   
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มอายุน่าจะอยู่ราวๆ 21-22 เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเจอความเป็นห่วง คนแปลกหน้าจะมาแสดงความเป็นห่วงเขาเพื่ออะไร เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
   
เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดที่น่าจะดูเหมือนทำงานอยู่ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอะไรสักอย่างทรุดตัวลงนั่งอยู่บนม้านั่งโดยทิ้งระยะห่างจากเขาพอสมควร อากาศไม่ร้อนนักเมื่อเทียบกับในช่วงหลายๆเดือนก่อนหน้านั้น ทำให้เขาตัดสินใจยึดม้านั่งตัวนี้เป็นที่สงบสติอารมณ์อันหลากหลายของตัวเองลง โดยไม่คิดว่าจะมีใครใส่ใจ ค่าที่ว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีใครสนใจใครแบบที่คนในเมืองใหญ่ส่วนใหญ่เป็นกันตามปกติอยู่แล้ว
   
แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยรู้จักคนนี้กลับเอ่ยปากทักทายเขา และเขาก็ดันไม่อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยกับใครเสียด้วย
   
เขาได้ยินเสียงเหมือนเด็กหนุ่มที่นั่งลงข้างๆกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าพลาสติกที่มียี่ห้อร้านพิซซ่าชื่อดังติดหราอยู่ ก่อนจะหันไปเห็นว่าขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำอัดลมเอาไว้อยู่เต็มและชัดเจนว่ายังไม่ถูกเปิดเลยถูกยื่นส่งมาให้เขาที่ก้มหน้าก้มตามองพื้นหินอ่อนแบบไม่สนใจโลก
   
“ลูกค้าเขาคืนมา ผมให้” อาจจะเป็นเพราะดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตคู่นั้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะไมตรีที่หยิบยื่นมาอย่างจริงใจจนรู้สึกได้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขายื่นมือไปรับและไม่อาจจะกล่าวคำปฏิเสธออกไปได้ รอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่มที่ส่งมาให้เขานั้นสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้เขาอดยิ้มตอบออกไปบางๆไม่ได้... ถ้านั่นพอจะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มได้ล่ะก็นะ
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณไปเจอกับอะไรมาถึงได้ทำหน้าแบบนั้น” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “แต่ก็หวังว่ามันจะพอช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้บ้างนะครับ” ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าเป็นเชิงขอตัวและเดินจากไป
   
ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่นาทีนั่น เด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่รู้ว่า มันมีความหมายกับเขามากแค่ไหน
   
ชายหนุ่มน้ำตาไหลราวกับอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมานานจนจำไม่ได้ทะลักทะลายออกมา เขาออกแรงเพียงเบาๆก็เปิดขวดน้ำอัดลมที่ยังเย็นเฉียบได้ ก่อนจะยกขึ้นดื่ม
   
ความชื่นใจนั้น ทำให้เขายิ้มออกมาจากหัวใจได้เป็นครั้งแรก

*********************
   
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มคนเดิมกับที่เขาได้เห็นอยู่ทุกวันเอ่ยปากทักทายขึ้น ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา บนม้านั่งตัวเดิม
   
“เสร็จงานแล้วหรือ” เสียงนุ่มทุ้มลึกนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก คนหน้าบึ้งที่เขาไม่เคยรู้จักชื่อคนนี้ให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนได้เหมือนกันเมื่อสายตาคู่นั้นหันมาสบตากับเขาตรงๆแบบนี้ ‘ท่าทางจะดีขึ้นแล้วจริงๆเสียด้วย’ เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง
   
“ยังครับ ช่วงเย็นๆแบบนี้งานชุกเป็นประจำ” เขาชี้ไปที่กระเป๋าสะพายที่ติดยี่ห้อพิซซ่าชื่อดัง “แต่ยิ่งส่งได้มากรอบ ก็ยิ่งได้ทิปดีน่ะครับ” ทั้งที่กำลังพูดถึงเรื่องงานขี่รถส่งพิซซ่าที่น่าจะหนักหนาแท้ๆ แต่ทำไมรอยยิ้มของเด็กหนุ่มจึงได้ดูมีความสุขนัก
   
“แล้วมานั่งคุยกับฉันแบบนี้ ไม่เสียเวลาเธอแย่หรือ” สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยในแบบที่เด็กหนุ่มไม่เคยเห็น ทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถอดหมวกออกและใช้มือข้างหนึ่งขยี้ผมสีดำสนิทนั้นไปมา แต่กลับยังดูเป็นทรงทิ้งตัวได้อย่างน่าทึ่ง และรับกับใบหน้าได้รูปของเจ้าตัวได้อย่างประหลาด
   
“แป๊ปเดียวไม่เป็นไรครับ ผมทำเวลาได้ดี พอจะมีเวลาได้หายใจหายคอบ้าง” ก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลา “แต่... คงต้องไปจริงๆแล้ว ไปก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มทำท่าจะลุกผละออกไป
   
“เดี๋ยว...” น้ำเสียงนั้นมีแววทอดอาลัยเล็กน้อย “เธอ... ชื่ออะไร”
   
“บลูครับ”
   
“ฉันอยากคุยกับเธออีกจะได้ไหม”
   
“ได้สิครับ... ผมไม่ได้ไปไหนไกลอยู่แล้วล่ะครับ” เด็กหนุ่มหันมาบอกเขาติดตลก และส่งยิ้มให้เป็นการบอกลา
   
ชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม มองร่างที่เดินหายเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จนลับสายตา ครั้งนี้เขายิ้มออกมาได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นในแบบที่เขาเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเหมือนกัน

*************************

ระดับผู้บริหารขนาดนี้เนี่ยนะเกิดอยากจะทานพิซซ่าขึ้นมา เขาเองที่ทำงานส่งพิซซ่ามาหลายเดือนเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ในเมื่อนี่คือหนึ่งในลูกค้าของเขา เขาก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติล่ะนะ แค่แปลกใจอยู่นิดหน่อย ตรงที่ ทำไมผู้จัดการร้านถึงต้องเจาะจงให้พนักงานส่งอาหารด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ชีพอย่างเขา เดินขึ้นมาส่งด้วยตัวเองก็ไม่รู้ แต่เพราะทิปที่เยอะกว่าทุกครั้งนี่แหละ จึงทำให้เขาสงบปากสงบคำลงได้ และบอกให้ตัวเองตัดความสงสัยไปเสีย เพราะไม่มีประโยชน์ ยังไงก็งานเหมือนกัน ได้เงินเหมือนกัน ถึงเวลาก็ต้องทำได้อยู่แล้ว
   
“ส่งพิซซ่าครับ... เห็นว่าลูกค้าอยู่ชั้นนี้... หรือเปล่าครับ” หางเสียงตอนท้ายชักจะไม่มั่นใจ เพราะชั้นที่เขาขึ้นมาส่งนี่มันติดจะหรูเกินระดับพนักงานทั่วไปเกินไปอยู่มากทีเดียว ไม่ต้องเป็นถึงระดับเจ้าคนนายคนอย่างเขายังมองออกเลย
   
หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี ขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าเด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่ส่งพิซซ่าด้วยสีหน้าแสดงความเอ็นดูเต็มที่ “ท่านรออยู่ข้างในค่ะ” เธอเดินนำทางก่อนจะเปิดเคาะประตู และเปิดให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะเข้าใจอะไรนัก
   
เมื่อประตูห้องปิดลง เขาจึงได้เห็นว่านี่เป็นห้องขนาดใหญ่... อันที่จริงใหญ่กว่าห้องนอนของเขาไปโขทีเดียว จะฟันธงว่าเป็นห้องทำงานก็ไม่มั่นใจ เพราะมันมีทั้งชุดโซฟาขนาดใหญ่ มีเครื่องเคราอำนวยความสะดวกเกินจะเรียกได้ว่าเป็นห้องทำงานในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม แต่ที่แน่ๆ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนพิงโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่มองมาทางเขานั่นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
   
“คุณเป็นคนสั่งพิซซ่าหรือครับ” เด็กหนุ่มถามออกไปแล้วถึงนึกได้ว่าถามอะไรโง่ๆออกไปได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายที่พยักหน้าตอบรับมานั้นไม่ได้ทำให้เขากระจ่างขึ้นสักกี่มากน้อย เจ้าตัวจึงโพล่งออกไปว่า “คุณเป็น... ผู้บริหาร เลยหรือครับ” คำถามซื่อๆนี้เรียกร้อยยิ้มจากชายท่าทางเคร่งขรึมแต่คุ้นหน้าคนนี้ได้ทันที
   
“ฉันเอง... นั่งสิ ฉันมีอะไรอยากถามเธอสักหน่อย”
   
“ผมก็อยากคุยด้วยนะครับ แต่ว่า...”
   
“ฉันขอร้องหัวหน้าเธอไว้แล้ว ว่าจะขอยืมตัวเธอสักพัก เขาไม่มีปัญหา” ร่างนั้นเดินเข้ามาหยิบพิซซ่าในมือเด็กหนุ่ม ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขกตัวเขื่อง “เธอไม่ว่ากันนะ”
   
บลูยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้า เด็กหนุ่มนั่งลงพร้อมกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารใหญ่ของอาคารแห่งนี้ แน่นอนก็ต้องรวมไปถึงร้านค้าทุกร้านที่อยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกกลัวหรือประหม่าอันใดเลย หรือเป็นเพราะภาพผู้บริหารที่ดูเหมือนคนธรรมดาที่อ่อนแอเป็นเหมือนกันในวันแรกที่ได้เจอกันมันยังติดตาเขาอยู่ก็ไม่อาจจะรู้ได้
   
“ทำไมเธอเลือกที่จะทำงานแบบนี้ล่ะบลู” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขานั้นฟังดูอ่อนโยนอย่างประหลาด
   
“ผมยังเรียนไม่จบนี่ครับ อะไรที่ทำแล้วพอจะช่วยแม่ได้ผมก็อยากช่วย”
   
“แม่เธอเป็นอะไรหรือ”
   
“ไม่ค่อยสบายครับ” บลูเล่าไปเรื่อยๆอย่างไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร “แม่ต้องออกจากงานมาได้พักใหญ่แล้ว ส่วนพ่อก็ยังไม่ถึงกับไม่ดูดำดูดี เขาก็ส่งเงินมาช่วยบ้าง แต่จะรอแต่เงินพ่อก็คงไม่ได้ ผมก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยเหมือนกัน”
   
“ไม่เสียใจหรือ”
   
“เสียใจเรื่องอะไรครับ... เรื่องพ่อกับแม่น่ะหรือครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า “ไม่หรอก ผมรักแม่ แต่พ่อเขาไม่รักแม่แล้ว เขาไปมีครอบครัวใหม่ แยกกันไปแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยแม่ก็ไม่ทุกข์ใจเท่าตอนที่พ่ออยู่”
   
“แล้วทำไมเธอถึงยังมีความสุขอยู่ได้”
   
บลูส่ายหน้าเบาๆ
   
“ผมไม่ได้มีความสุขอยู่ตลอดเวลาหรอกครับ” รอยยิ้มบนใบหน้าที่ไม่ได้จางหายไปเลยตั้งแต่ออกปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟัง ยังคงคลี่ออกอย่างคนที่ไม่ยอมให้ความทุกข์ได้เข้ามากร้ำกรายได้ง่ายนัก “แต่ผมต้องเดินหน้าต่อไป ผมมีความสุขเพราะผมรู้ว่ากำลังทำอะไรให้กับชีวิตตัวเอง มันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่หรอก แต่ผมทำอย่างมีเป้าหมาย และผมก็ชอบในสิ่งที่ผมเลือกทำครับ ก็เลยไม่ค่อยทุกข์กับอะไรนัก”
   
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสุขอะไรนี่นักหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะเงียบไปเป็นครู่ “ทำไมวันนั้นเธอถึงคุยกับฉัน”
   
“ผมเคยเห็นสีหน้าแบบนั้นมาก่อน” บลูเอ่ย “แม่เคยทำหน้าแบบคุณตอนที่ยังอยู่กับพ่อ ผมไม่อยากเห็นใครทำหน้าแบบนั้น” เขาหันไปมองหน้าชายหนุ่ม “มันเป็นสีหน้าของคนหมดอาลัยในชีวิต ผมเข้าใจ ผมก็เลยอยากคุยกับคุณทั้งๆที่รู้ว่าคุณไม่อยากคุยกับใครหรอก”
   
เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณไปเจออะไรมา แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้สักนิดก็ยังดี” บลูส่งยิ้มอ่อนหวานให้กับชายหนุ่มในแบบที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “ซึ่งผมดีใจนะ ที่คุณไม่ได้ทำหน้าเป็นทุกข์แบบนั้นอีกหลังจากนั้น”
   
เขาพูดอะไรไม่ออก รู้เพียงว่าความรู้สึกตื้นตันมันเอ่อท้นขึ้นมาจนไม่สามารถจะเอ่ยอะไรออกมาได้จริงๆ เหมือนอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป บางอย่างที่เขาไม่เคยมี ได้ก่อตัวขึ้น และเขาไม่อยากจะปล่อยให้มันหลุดมือไป
   
“ขอบคุณมาก” บลูยื่นมือไปจับมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มอย่างหนักแน่น เขย่ามันเบาๆเหมือนเป็นการบอกนัยๆว่า ไม่เป็นไร และไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องขอบคุณเขา กว่าจะรู้ตัวอีกที มืออีกข้างของชายหนุ่มก็กุมมือบลูเอาไว้เสียแล้ว
   
“ฉันชอบเธอนะ” บลูทำตาโตกับคำพูดที่ไม่อ้อมค้อมนั้น “ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ ฉันอยากจะรู้จักความสุขให้มากกว่านี้ ให้ฉันได้เรียนรู้จากเธอได้ไหม”
   
ไม่รู้เพราะอะไร บลูจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสอันอ่อนโยนนั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมจึงไม่ปฏิเสธ แต่กลับพยักหน้ายอมรับง่ายๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายแค่ชวนเขาไปทานพิซซ่าเท่านั้น
   
“ทีนี้... ปล่อยผมไปทำงานได้หรือยังครับ”
   
“ยัง...” ชายหนุ่มว่า “ฉันอยากเจอเธออีก”
   
“ผมเลิกงานตอนสามทุ่ม รอไหวไหมล่ะครับ”
   
“ได้สิ...”
   
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอีกครั้ง และรู้สึกเบิกบานขึ้นชนิดไม่อาจจะปฏิเสธได้เสียแล้วเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้ทักทายกันเป็นครั้งแรก
   
“อีกอย่างนึง...” เด็กหนุ่มหันกลับมาราวกับเพิ่งนึกอกะไรออก “จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีครับ”
   
หนนี้ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนจะดึงเด็กหนุ่มเข้าไปสวมกอดเอาไว้หลวมๆก่อนจะกระซิบบอกที่ข้างหูว่า
   
“ฮาน... ฉันชื่อฮาน... อย่าลืมเสียล่ะ” เขาคลายวงแขนแข็งแรงลง
   
เด็กหนุ่มจากไปแล้ว แต่ความอบอุ่นในหัวใจที่เกิดขึ้นไม่ได้จางลงสักนิด นี่คงจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่เขาจะได้ทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเองบ้าง และดูเหมือนมันจะทำให้ชีวิตของเขามีความหมายขึ้นแทบจะทันทีทีเดียว

----------------------------------- END -------------------------------

สั้นๆกันไปอีกเรื่อง หวังว่าจะชอบนะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2011 17:50:50 โดย fingerscrossed »

OTAKKIEZ

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
«ตอบ #11 เมื่อ12-12-2011 12:45:20 »

ยุงขึ้นเต็มโต๊ะแล้วจ้า หวานมาก ~
THIS MADE MY DAY !

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
«ตอบ #12 เมื่อ12-12-2011 13:42:09 »

=v= อ่านแล้วชีวิตดูมีแสงสว่างขึ้น
อารมณ์ตอนเจอคนที่ใช่สินะ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
«ตอบ #13 เมื่อ12-12-2011 14:10:28 »

ถ้ามีเป้าหมาย ก็มีพลังชีวิตเนอะ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
«ตอบ #14 เมื่อ12-12-2011 14:34:16 »

หว๊านนนนหวาน

ออฟไลน์ celegana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
«ตอบ #15 เมื่อ12-12-2011 17:14:08 »

ชอบอ้ะๆๆ อ่านแล้วรู้สึกดีจัง ^^

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 3: Friendship - UP!!!
«ตอบ #16 เมื่อ17-12-2011 16:01:12 »

มาเรื่องที่ 3 กันแล้ว เรื่องนี้อัปให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเดี๋ยววันสองวันนี้คนเขียนจะติดธุระนะคะ อัปช้าเกินไปก็เกรงใจคนอ่านเนาะ

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้หวานมากมาย ติดจะเกรียนหน่อยๆด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบมากเหมือนกัน

อ่านให้สนุกเช่นเคยค่ะ

------------------------------------
เรื่องสั้น 3: Friendship

มันก็น่าสงสัยจริงเหมือนอย่างที่ใครๆในคณะว่านั่นแหละ

ผู้ชายหน้าตาดีสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ไปไหนไปด้วยกัน ตัวติดกันเป็นแฝดสยามขนาดนี้ แถมยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอีกต่างหาก เรื่องหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สำหรับเราทั้งสองคนตัดทิ้งไปได้ จะว่าเลือกมากก็ไม่น่าจะใช่ หมกมุ่นเรื่องตัวเองหรือ ยิ่งไม่ใช่หนักเข้าไปอีก แล้วทำไมถึงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที
   
สำหรับหมอนั่น ผมเองก็ไม่แน่ใจเหตุผลของมันเท่าไหร่หรอก แต่เหตุผลของผมนี่สิ ชัดเจนสุดๆ
   
เกิดมาผมไม่เคยคิดว่าจะชอบผู้ชายสักคนเกินเพื่อนได้เลยจริงๆนะ แล้วก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนด้วย ค่าที่ว่าผมกับหมอนี่เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นแต่หน้าหมอนี่นี่แหละ เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน แถมพ่อแม่ของเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอีก หมอนี่มันจึงเป็นทั้งเพื่อนคนแรกและเพื่อนคนเดียวที่รู้จักผมมากที่สุดเลยก็ว่าได้
   
พอได้รู้จักกัน ก็เหมือนตัดกันไม่ขาด นอกจากจะเข้าโรงเรียนเดียวกันมาตลอดชั้นอนุบาล ประถม ไปจนถึงมัธยมแล้ว ยังผ่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เดียวกันได้ อยู่คณะเดียวแถมวิชาเอกเดียวกันกันอีกต่างหาก ยังดีนะที่เรายังเลือกเรียนไม่ตรงกันบ้างในบางวิชา ให้มันมีอะไรแตกต่างกันบ้างเถอะนะผมว่า แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเราต้องมาเป็นรูมเมตกันด้วยอยู่ดี โธ่เอ๋ย...
   
ขอย้อนกลับไปเรื่องชอบเพื่อนซี้ตัวเองสักหน่อยเถอะ สาบาญได้ว่าผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะไปชอบเพื่อนสนิทตัวเองที่เป็นผู้ชายแท้ๆไปเสียได้ ทั้งที่รู้จักกับหมอนี่มาเกือบตลอดชีวิตของผมนะ แต่ความรู้สึกที่ว่าเนี่ย ผมเพิ่งจะรู้สึกกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เอง
   
ต้องบอกไว้ก่อนว่า ไอ้เพื่อนผมคนนี้นี่ มันออกจะไม่ธรรมดาอยู่สักหน่อย ที่เห็นได้ชัดเลยก็คงจะเป็นหน้าตาและรูปลักษณ์ของมันนี่แหละ อย่างแรกเลย ผมไม่เคยคิดว่าคำว่าสวยงามจะสามารถนำมาใช้กับผู้ชายสักคนได้พอเหมาะพอเจาะขนาดนี้เลยจริงๆ เพื่อนผมคนนี้มันเป็นผู้ชายหน้าสวย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสวยแบบกระเดียดไปทางผู้หญิงอะไรหรอกนะ แต่หน้ามันหวานเกินผู้ชายทั่วไปไปมากโขเลย ผิวงี้ขาวโอโม่มาก ตาสวยกิ๊ง จมูกโด่ง ปากอิ่ม ยิ่งตั้งแต่เราเข้ามาเรียนระดับมหาวิทยาลัยแบบนี้ หมอนี่ก็เริ่มไว้ผมรองทรงยาวๆ ทรงปกติทั่วไปที่ผู้ชายเขาไว้กันนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นมัน กลับยิ่งดูเหมาะเสียจนน่ากลัว อ่านมาถึงตรงนี้ คงนึกหมั่นไส้ผมขึ้นมาแล้วสิว่า จะมาพร่ำเพ้อถึงผู้ชายสักคนจนน่าถีบขนาดนี้ไปทำไม
   
ผมเคยชอบและภูมิใจนะ ที่เวลาไปไหนกับเพื่อนคนนี้มีแต่คนมองด้วยสายตาชื่นชม ผมว่าผมก็หล่อในระดับหนึ่งล่ะ (ขอร้องอย่าเพิ่งอ้วก ผมหล่อจริงๆ) แต่เวลาเดินกับหมอนี่ ผมต้องยอมแพ้กับออร่าของมันเลย ออกจะน่าเห็นใจด้วยซ้ำที่ความสวยเกินผู้ชายของมัน ทำให้มันต้องหมั่นออกกำลังสร้างกล้ามเนื้อให้ดูเป็นแมนขึ้น ซึ่งบอกตามตรงว่าขัดกับใบหน้าของมันสิ้นดี แต่ถึงขนาดนั้นแล้วกลับทำให้มันยิ่งดูสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก หน้าตาดีแล้ว ยังหุ่นดี  ทีนี้ล่ะบรรดามดและแมลงทั้งในคณะและต่างคณะต่างก็มารุมตอมมันไม่หยุด ผมเองถึงแม้จะได้รับอานิสงฆ์จากหมอนี่ไปด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับเสน่ห์ที่เพิ่มขึ้น (เพราะเพื่อน) ของตัวเองเลยจริงๆ ให้ตายสิ
   
เพราะอะไรน่ะหรือ
   
เพราะผมชอบเพื่อนผมคนนี้น่ะสิ!
   
แล้วผมก็ไม่กล้าบอกมันด้วย นึกดูเถอะ คบหาเป็นเพื่อนกันมาทั้งชีวิตขนาดนี้ จู่ๆจะให้ผมเดินเข้าไปบอกมันหน้าตาเฉยว่า ผมดันตกหลุมรักมันขึ้นมา ไม่ใช่แค่มันจะด่าผม เผลอๆมันจะต่อยผมหน้าหงายเข้าให้ด้วยอีกต่างหาก คิดแล้วก็อยากจะตายวันละร้อยรอบกับชีวิตรักเส็งเคร็งของตัวเอง หล่อเลือกได้ขนาดนี้ ดันอุตริไปรักผู้ชายด้วยกันเสียได้ ผมชักเริ่มเข้าใจความรู้สึกผู้หญิงสมัยนี้แล้วสิ
   
แต่ให้ตายเถอะ... ใครจะไม่หลงมันบ้างล่ะ
   
ขนาดผมนั่งมองมันอยู่แบบนี้ ยังต้องยอมรับเลยว่า ภาพที่เห็นตรงหน้านี่ มันเพลิดเพลินเจริญใจเสียจริง ยังกะเทวดาลงมานอนให้เห็นเป็นขวัญตา ต้องบอกว่าเทวดานะครับ ขืนบอกว่าเป็นนางฟ้า มันจะได้ยกเท้าขึ้นประเคนผมปะไร เพื่อนผมมันหวานแค่หน้าเท่านั้นครับ นอกนั้นทั้งห่ามทั้งห้าว ปากก็ร้าย แถมยังเป็นคนเย็นชาน่าดู ซึ่งเป็นธรรมชาติของมันที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปตั้งนานแล้ว
   
ลมหนาวช่วงปลายปีพัดมาที ก็อดที่จะรู้สึกสดชื่นไปกับมันไม่ได้ ดาดฟ้าของอาคารเรียนแห่งนี้เป็นที่ที่ผมกับเพื่อนซี้ของผมชอบขึ้นมานั่งเล่นนอนเล่นระหว่างพักเพื่อรอเข้าเรียนคลาสต่อไปเสมอ บางทีก็นั่งคุยกัน บางทีก็นอน บางทีก็นั่งอ่านหนังสือกันเงียบๆไปตามประสา เราอาจจะไม่ใช่เด็กเรียน แต่ก็ถือว่าเรียนได้ไม่เลวนักหรอก
   
“นิล... นายว่าเราควรทำไงดีวะ” จู่ๆร่างที่ผมคิดว่านอนหลับไปแล้ว ก็เอ่ยถามผมขึ้นมาลอยๆแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยด้วยน้ำเสียงงึมงำในลำคอตามแบบฉบับของมัน
   
“เรื่องเรียนหรือเรื่องแฟนคลับนายล่ะ” อย่างที่คิด จากที่มันนอนเหยียดแข้งเหยียดขาพร้อมไขว้แขนรองเอาไว้ที่ศีรษะพลางนอนหลับตาอยู่นั้น ก็พลันหันมองมาทางผมเขม็ง นี่ขนาดมันไม่ได้พูดอะไรผมยังรู้เลยว่ามันกำลังด่าผมอยู่ในใจ ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
   
“เออ รู้น่า... แซวนิดแซวหน่อยแค่นี้ ทำฉุนไปได้” ผมยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นการยอมแพ้

“คนนี้โคตรตื๊อเลย” น้ำเสียงแสดงความอ่อนใจ
   
“เบนเอ๊ยยย...” ผมเรียกชื่อมันแบบติดจะเห็นใจอยู่หน่อยๆ “ก็นายมันเสน่ห์แรงนี่หว่า”
   
“เป็นคนอื่น ถ้าเราเฉยๆใส่แบบนี้ คงถอยไปแล้ว” ว่าพลางถอนหายใจหนักๆออกมาอย่างคิดไม่ตก “แต่คนนี้นี่ ตื๊อไม่เลิกจริงๆ”
   
เพื่อนผมกำลังพูดถึงสาวสวยระดับดาวคณะคนหนึ่งที่หลงรักมันเข้าอย่างจัง จริงๆ เธอคนนั้นสวยมากนะ ต้องบอกว่าโคตรสวยอย่างนี้น่าจะใกล้เคียงกับความจริงมากกว่า สวยและแรง แถมกล้ามากด้วย เพราะสาวเจ้าเดินเข้ามาบอกรักมันแบบตรงๆ แถมยังเช้าถึงเย็นถึง ขนมนมเนยมีมาให้ไม่ได้ขาด คือถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นน่ะ คงเหมือนขึ้นสวรรค์ล่ะมั้งผมว่า เล่นมีผู้หญิงที่พร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติและทรัพย์สมบัติมามีใจให้ขนาดนี้
   
แต่ขนาดผมเองยังอดแปลกใจไม่ได้เลยที่มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยสักนิด คือที่ผ่านมา ทั้งผมและเบนก็ไม่เคยคบใครเป็นตัวเป็นตนหรอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะรักอิสระกันทั้งคู่ หรือเราตัวติดกันเกินไป หรือรักความสบายเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มากกว่า
   
“นี่เป็นเดือนแล้วนะเนี่ย เกิดมาไม่เคยเจอใครตื๊อเก่งขนาดนี้ เราว่าเราก็บอกเขาไปตรงๆแล้วนะ” คุณสมบัติอีกอย่างของเจ้าเบนมันก็คือความตรงของมันนี่แหละ สมมุติมันไม่ชอบ หรือไม่อยากสานสัมพันธ์กับใคร มันจะบอกเขาไปตรงๆเลย ทำเอาหงายหลังกันมาหลายรายแล้ว บางคนยอมรับได้ บางคนโกรธหาว่ามันใจร้าย แต่ตัวมันน่ะ ให้เหตุผลว่า มันไม่อยากโกหกใคร ไม่อยากโกหกตัวเอง และไม่อยากให้ความหวังลมๆแล้งๆกับใครด้วย ซึ่งผมว่า มันแมนดีออกนะ
   
แต่ท่าทางแม่ดาวคณะนี่จะสร้างความปวดหัวให้เพื่อนผมได้โขอยู่ ถึงขนาดออกปากแบบนี้
   
“ทำไมนายไม่ลองคบหากับเขาดูล่ะ” หนนี้สายตาที่มองมา ไม่ได้แฝงแววอำมหิตแต่อย่างใด ดูจะเป็นสายตาที่แสดงความประหลาดใจมากกว่าอย่างอื่น
   
“นายพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
   
“นายอย่าเข้าใจผิด” ผมว่า อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า จะพระเอกไปไหนวะตู “เราไม่เคยเห็นนายคบกับใครเลย วันๆเราก็ตัวติดกันอยู่แบบนี้ เราก็กลัวว่านายจะเสียโอกาสหรือเปล่า” เห็นผมพูดแบบนั้น ผมก็มีหวิวๆเหมือนกันนะ กลัวว่ามันจะเอาจริงขึ้นมา แต่บอกตามตรง ถึงแม้ผมจะรักเพื่อนผมคนนี้มาก แต่ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมไหม และที่สำคัญ ผมไม่อยากตัดโอกาสเพื่อนด้วย แม่สาวดาวคณะนั่น เห็นว่ากล้าหาญขนาดนั้น แต่จริงๆ เธอก็เป็นผู้หญิงที่ใช้ได้เลยล่ะ
   
“นายนี่...” เบนมันพูดได้เท่านั้น ก็ทำท่าเหมือนกับจะนึกขันผม ก่อนจะส่ายหน้าแล้วหันไปแหงนหน้ามองฟ้าต่อไป เสียงพูดเนือยๆในแบบฉบับของมันดังขึ้นพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “... เหลือเกินจริงๆ”
   
แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ต่ออีก แม้ผมอดจะสงสัยไม่ได้อยู่เหมือนกันว่า มันจะบ้าจี้ทำตามคำแนะนำบ้าๆของผมไปหรือเปล่า ซึ่งถ้ามันทำจริงล่ะก็ งานนี้ผมหัวใจสลายเลยนะ เห็นผมตลกแบบนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเบน ผมไม่เคยไม่ใส่ใจนะขอบอก

**********************

“เบนคะ” เสียงคุ้นๆของหญิงสาวโดยเฉพาะในรอบสองสามเดือนมานี้หลอนหูผมขนาดเก็บเอาไปฝันได้เลย ดังขึ้น ตอนที่ผมกับเบนเสร็จสิ้นจากการเข้าเรียนคลาสสุดท้าย วิชา Writing ของอาจารย์ประไพ บอกตามตรงผมไม่ได้มีปัญหากับตัววิชาเลย ปัญหาของผมคืออาจารย์ที่สอนได้เรียบนิ่งไม่มีความน่าตื่นเต้นใดๆตลอดช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่เรียนนั่นต่างหาก โดยเฉพาะคาบเรียนตอนบ่ายแก่ๆแบบนี้ ผมกับเบนแทบจะหลับเย้ยอาจารย์กันอยู่แล้วตอนที่หมดเวลาเรียนพอดีนั่นน่ะ
   
ดาวคณะคนงามที่ตื้อเก่งจนผมอยากจะสแตนดิ้งโอเวชั่นให้กับความรักแท้ของเธอวันละสามเวลาหลังอาหาร มาดักรอเพื่อนซี้ผมเหมือนเคย เธอทำเป็นประจำทุกวันและทุกครั้งที่มีคาบเรียนตรงกับเบน ผมว่าเธอคงท่องตารางเรียนของเบนเอาไว้จนขึ้นใจแล้วล่ะ แน่นอน วันนี้เธอก็ยังสวยเลิศดึงดูดสายตาคนแถวนั้นเหมือนเดิม เธอดึงดูดสายตาเสมอทุกทีที่เธอไปนั่นแหละ
   
“วันนี้วันเกิดพาย...” อ้อ... ลืมบอกไปว่าเธอชื่อพายครับ “ที่บ้านพายจัดงานเลี้ยง ก็เลย... เอ่อ... จะมาชวนเบนไปด้วย” เธอชวนด้วยความประหม่าสุดๆ พลางยื่นกระดาษที่มีแผนที่บ้านเธอมาให้ด้วยเสร็จสรรพ
   
เบนหันมามองผมเหมือนจะถามความเห็น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า จะมาถามความเห็นผมทำไม เขาชวนมันไม่ได้เอ่ยถึงผมเลยสักนิดเถอะ
   
“ผมพานิลไปด้วยได้ไหม” งานเข้าสิครับท่านผู้อ่าน ไหงเอาผมไปมีเอี่ยวด้วยซะงั้น
   
“เอ่อ...” ผู้หญิงมั่นมาจากไหน เจอเพื่อนผมเข้าไปมีอึ้งทุกรายครับ มันเป็นคนนิสัยประหลาด คิดอ่านอะไรก็ไม่เหมือนใคร แถมตรงไปตรงมาแบบไม่มีอ้อมค้อมด้วย นึกเห็นใจเหมือนกันนะ ถ้าเกิดใครจะคบหาเป็นแฟนกับมันขึ้นมาจริงๆล่ะก็
   
“ค่ะ... ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพื่อนของเบนก็เหมือนเพื่อนพาย” แต่หน้าเธอตอนพูดนี่เจื่อนๆอยู่นะถ้าผมตาไม่ฝาดน่ะ
   
เรายืนมองสาวเจ้าเดินขึ้นรถสปอร์ตคันสีแดงสดก่อนเธอจะขับออกไปอย่างสง่างาม พร้อมเสียงถอนหายใจของผู้ชายอีกหลายสิบชีวิตที่มองตามเหมือนหมามองเครื่องบิน
   
ผมหันไปมองเพื่อนผมทีนึง ก่อนที่มันจะโพล่งออกมาหน้าตาเฉยโดยไม่หันมามองหน้าผมซักนิดว่า “ไปด้วยกันนี่แหละ” แล้วมันก็เดินนำผมไป
   
เพื่อนหรือเจ้าชีวิตวะเนี่ย

************************
   
แล้วเราก็มายืนอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดที่หรูที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา นึกว่าจะมีแต่ในละครหลังข่าว ผู้หญิงสวยร่ำรวย อาศัยอยู่ในบ้านที่น่าจะเรียกว่าคฤหาสถ์มากกว่า เพื่อนฝูงเธอก็น่าจะเยอะอยู่เท่าที่ประเมินเอาจากสายตาผมตอนนี้ แต่ที่ผมประหลาดใจมากก็คือ ทำไมต้องแต่งตัวกันขนาดนี้ หันกลับมาดูตัวเองและคนข้างๆ เราใส่กางเกงยีนส์สีเข้ม แล้วก็เสื้อยืด ดูดีขึ้นมาหน่อยเพราะมีเสื้อเชิ้ตใส่ทับเอาไว้อีกชั้น ไม่มากไม่น้อย แต่ก็ดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
   
แต่เราก็หาได้แคร์ไม่นะ จริงๆ ผมกับเบนเราโชคดีที่แต่งตัวง่ายๆอย่างไรก็ยังดูดีได้อยู่ อย่างที่บอกครับ ต้องขอบคุณสมบัติที่พ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิดจริงๆ เราเดินเข้าไปในงานแบบสบายๆ และไม่ลืมจะหาของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย ฝีมือการเลือกของเพื่อนผมเอง หมอนี่รสนิยมมันดี ตาถึง หยิบจับอะไรก็น่าดูน่าชมไปหมด
   
สาวสวยเจ้าของวันเกิดไม่ปิดบังอาการปลาบปลื้มที่ได้เห็นเบนและของขวัญที่ถือมามอบให้กับมือ เธอทักทายผมพอเป็นมารยาท ก่อนที่จะไม่สนใจผมอีกต่อไป เห็นดังนั้น ผมเลยแตะบ่าเพื่อนเบาๆก่อนจะทำท่าพยักเพยิกให้รู้ว่า ผมจะแยกไปหา อะไรดื่มสักหน่อย
   
พอมานั่งอยู่แบบนี้ ผมชักจะฟันธงได้แทบจะทันทีว่า เบนมันคงไม่ชอบเท่าไหร่หรอก ถ้ามีแฟนแบบนี้เบนมันคงจะอึดอัดเสียเปล่าๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องเดียวเกี่ยวกับเพื่อนผมคนนี้ที่ผมนึกภาพไม่ออก ก็คือผู้หญิงแบบไหนที่มันจะเลือกมาเป็นแฟน เบนมันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผม แม้ผมจะเคยได้ยินมันออกปากชมคนนั้นคนนี้ว่าสวยหรือน่ารักมาบ้างก็เถอะ ผมก็เลยไม่เคยคิดเรื่องจะบอกมันว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่ กลัวมันปฏิเสธยังไม่เท่ากลัวเสียเพื่อนนะ
   
“ไปนิล ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” จู่ๆเพื่อนหน้าสวยของผมก็เดินมาจับบ่าผมแล้วก็ออกปากชวนผมออกจากงานไปหาอะไรกินเสียอย่างนั้น มันหายเข้าไปคุยกับพายครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ผมก็มีสาวๆเดินเข้ามาพูดคุยอยู่บ้างสองสามคน แต่ก็เป็นไปตามมารยาทมากกว่า ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ผมเดาไม่ออกว่า อารมณ์ของมันในตอนนี้เป็นยังไง เพราะหน้ามันนิ่งเกินความสามารถที่จะคาดคะเนอะไรได้ เพื่อนผมก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ
   
“เบนคะ...” พายเดินตามมันออกมา สีหน้าไม่สู้ดีนัก เหมือนเธอกำลังข้องใจจนไม่อาจจะนั่งอยู่เฉยๆโดยปล่อยให้เพื่อนผมเดินออกจากงานไปเฉยๆได้ “ทำไมคะ... ทำไมคิดว่าเราจะไปกันไม่ได้” เธอถามออกมาตรงๆ
   
เอาแล้วไง ไอ้เบน ปฎิเสธผู้หญิงไปเป็นรายที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
   
“ผมไม่ได้ชอบพายครับ ผมว่าผมก็เคยบอกชัดเจนไปแล้วนะ” ทำไมไม่ตีแสกหน้าเขาไปเลยล่ะเพื่อน ผมคิดกับตัวเองอย่างนี้จริงๆนะ บทมันจะไม่รักษาน้ำใจใครมันก็ทำได้โหดร้ายดีจริงๆ
   
“พายไม่เข้าใจ เบนเองก็ไม่ได้คบหากับใคร แล้วทำไมถึงไม่ให้โอกาสพายบ้าง พายไม่ดีตรงไหน ขาดตกบกพร่องอะไร...”
   
“พายพร้อมหมดทุกอย่างนั่นแหละครับ” มันเอ่ยกลับไป “แต่ปัญหาอยู่ที่ผมต่างหาก” ทีนี้ทั้งผมทั้งพายพร้อมใจกันหันไปมองตัวต้นเรื่องราวกับนัดกันไว้
   
เบนมันหันหน้ามาทางผม จะบอกว่าเงยหน้าขึ้นมองน่าจะตรงกว่า ผมสูงกว่ามันหลายเซ็นต์อยู่เหมือนกัน ก่อนจะหันกลับไปมองพาย แล้วก็ยกนิ้วโป้งหันมาทางผมแล้วโพล่งออกมาชนิดไม่ให้ได้ตั้งตัวว่า
   
“ผมคบอยู่กับหมอนี่อยู่ หวังว่าพายจะเข้าใจนะครับ” มันยิ้มให้เขาทีนึง ก่อนจะลากผมเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่ แล้วโยนกุญแจรถให้ผม เป็นการบอกทางอ้อมว่า ผมต้องขับ โดยไม่รอให้ผมเอ่ยอะไรต่อมันก็เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งอย่างรู้หน้าที่ หันไปมองพาย รู้สึกว่ายังยืนตะลึงนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เสียสติไปหรือยัง จู่ๆผู้ชายที่หลงรักก็พูดใส่หน้าว่าคบหาอยู่กับผู้ชายอีกคน
   
ผมสตาร์ตรถแบบไม่ค่อยมีสติ แต่ก็ตบเกียร์ออกตัวไปแบบอัตโนมัติทั้งที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกแบบนั้นแหละ เรานั่งเงียบกันอยู่นาน จนผมทนไม่ไหว ต้องจอดรถเอาไว้ข้างทางก่อนจะหันไปถามไอ้เพื่อนตัวดีแบบเหลืออดเต็มที่
   
“มันอะไรกันวะเบน”
   
“ก็ได้ยินว่ายังไงก็แบบนั้นแหละ” ดูมันตอบเข้า
   
“ไม่ใช่...” ผมครางออกมาเหมือนคนใกล้ตาย “นายไม่ชอบเขา ก็ไม่เห็นต้องเอาเราไปเป็นข้ออ้างเลยนี่หว่า” ผมว่าออกไปทั้งๆที่ในใจมันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แหม... อยากถีบตัวเองเป็นกำลังทีเดียวล่ะอันที่จริง
   
เบนหันมามองผมก่อนมันจะเอียงคอ ทำตาโต เหมือนกับที่ชอบทำทุกครั้งเวลาที่มันสงสัยอะไรสักอย่าง
   
“นายคิดว่านั่นเป็นข้ออ้างจริงๆเหรอ” ถามมาแบบนี้ จะให้ผมตอบว่ายังไงดีล่ะ ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ผมอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมาเหมือนไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน
   
เราสบตานิ่งเงียบกันอยู่ในรถแบบนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป มือข้างหนึ่งของเบนก็คว้าคอผมไว้ก่อนจะใช้แรงดึงชนิดไม่ให้ผมได้ทันตั้งตัวแล้วก็ใช้ริมฝีปากนุ่มนิ่มประกบเข้ากับริมฝีปากของผมหน้าตาเฉย หัวใจผมแทบจะหลุดออกมานอกอก เหมือนเลือดสูบฉีดรุนแรงเสียจนแทบไหลทะลักออกหมดตัว
   
รู้ตัวอีกทีผมก็สอดลิ้นเข้าไปสัมผัสกับปลายลิ้นที่อ่อนนุ่มของเบน ยังไงดีล่ะ มันอุ่นจนร้อน มันช่างเคลิบเคลิ้ม ชวนให้หลงใหล ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยขึ้นไป และก่อนที่สติจะหลุดลอยไปจริงๆ ผมก็ยกมือขึ้นสอดเข้าไปในไรผมตรงท้ายทอยของเพื่อนสนิท บีบเบาๆ ก่อนจะคลายออกแล้วใช้นิ้วโป้งลากไล้อยู่ตรงแก้มใสๆ เบนผิวสวยนุ่มมืออย่างที่คิดจริงๆด้วยสิ ริมฝีปากของเราทั้งคู่เหมือนจะผละออกจากกันเพียงเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอดอีกครั้งแล้วจึงสัมผัสบดเน้นเพื่อหาความหอมหวานจากอีกฝ่ายอีกครั้งชนิดไม่มีใครยอมใครอีกหน
   
ผมลืมหมดทุกสิ่งว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร อยู่ที่ไหน หรือแม้แต่เรื่องที่ว่า กำลังทำอะไรอยู่ ค่าที่ว่าไม่อยากให้ความรู้สึกอันหอมหวานนี้จบลงเร็วนัก ผมตักตวงเอาจากปลายลิ้นนุ่มชื้น ริมฝีฝากอุ่นๆ ก่อนจะค่อยๆผละออกอย่างเสียดาย และคลอเคลียอ้อยอิ่งอยู่ตรงแก้ม ร่องจมูก เปลือกตา ทุกที่ที่ผมลากริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสได้นั่นแหละ เสียงหอบหายใจของเราดังเหลือเกิน ผมจูบที่หน้าผากมนของไอ้เพื่อนตัวดีอีกครั้งราวกับจะตอกย้ำว่า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่ใช่ความฝัน
   
ใครจะไปคิดว่า คนที่ผมรักจะคิดตรงกันกับผม มันเกินความคาดหมายไปมาก แถมเรายังเป็นผู้ชายเหมือนกัน นี่ผมชักเชื่อเรื่องความรักเกิดจากความใกล้ชิดขึ้นมาแล้วสิ แล้วนี่ผมเพ้ออะไรของผมวะเนี่ย
   
“ยังคิดว่านั่นเป็นข้ออ้างอยู่ไหม” ปากแม้จะพูดออกไป แต่ให้ตายเถอะการที่ได้เห็นเบนก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาผม แถมยังใช้มือข้างที่มันใช้โน้มคอผมไปจูบหน้าตาเฉย ปิดปากตัวเองเอาไว้ด้วยความเขินขนาดหนักแบบนี้ ทำให้ผมต้องยอมรับกับตัวเองเสียทีว่า ผมหลงรักเพื่อนสนิทของตัวเองชนิดสมบูรณ์แบบเลยจริงๆ
   
“นายชอบเรา... แบบนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่เบน” ผมถามออกไปอย่างใคร่รู้จริงจัง
   
“ไม่รู้” เบนหันออกไปมองวิวด้านนอกกระจก หลังจากที่ผมตั้งสติได้แล้ว และตัดสินใจขับรถออกไปอย่างไร้จุดหมายในที่สุด “แต่รู้ว่านายชอบเรามาได้พักใหญ่แล้ว”
   
ถ้าไม่กลัวว่ารถจะชน ผมคงจะหันไปมองหน้าเค้นเอาคำตอบจากไอ้เพื่อนหน้าสวยนี่แล้ว ก็เลยทำได้แค่หันไปมองแว่บเดียวก่อนจะอ้าปากค้างแล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม
   
“ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่นายจะพูดอะไรออกมาเสียที พายเขาก็มาคะยั้นคะยออยู่นั่น เรารำคาญ ก็เลยบอกๆไปซะ จะได้หมดเรื่องไป” ดูความห่ามของเพื่อนผมเถอะครับ
   
“นายไม่กลัวเขา... เอาไปบอกคนอื่นเหรอเบน” เสียงผมอ่อยลง แต่ในใจน่ะร่าเริงแบบสุดๆเลยล่ะที่ได้ยินหมอนี่พูดออกมาตรงๆแบบนั้น
   
“ช่างเขา... ยังกับที่ผ่านมานี่นายกับเราไม่โดนคนเอาไปลือถึงไหนต่อไหนแล้วงั้นแหละ” เป็นไงล่ะครับเพื่อนซี้ผม
   
“นี่....” ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งบีบมือขาวๆข้างหนึ่งของเบนเอาไว้ “เราชอบนายนะ”
   
“รู้” เบนว่า
   
“ขอโทษที่ไม่กล้าบอก”
   
“หลงรักเพื่อนตัวเองมันก็น่าจะลำบากใจอยู่หรอก” ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนว่าเบนกำลังรำพึงกับตัวเองมากกว่าก็ไม่รู้ ผมรับรู้ถึงแรงบีบที่กระชับตอบมา
   
“แล้วเอาไงต่อดี” ยอมรับตรงนี้เลยว่า เป็นคำถามโง่ๆ แต่ผมก็ถามออกไปอยู่ดี
   
“ก็ไม่ยังไง ก็เหมือนเดิมแบบนี้แหละ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย” เออจริงของมัน “ใครจะเอาไปลือก็ช่างมัน ไม่มีอะไรต้องเสียมาตั้งนานแล้ว” เบนพูดพลางยักไหล่ “แต่ที่แน่ๆ...” ดวงตาคู่สวยนั้นหันมามองคนขับอย่างผมทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยทำลายบรรยากาศว่า
   
“ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ เราหิวจะตายอยู่แล้ว”
   
ผมจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากหัวเราะออกมา แล้วก็มุ่งหน้าไปยังร้านที่ผมคิดว่าน่าจะพิเศษกว่าร้านอื่นๆที่เคยแวะไปทานมาสักหน่อยน่าจะดีกว่า

--------------------------------- END -------------------------

เป็นไงคะ มันเกรียนดีไหม เราชอบแบบที่ตัวเอกทั้งสองคนของเรื่องมันดูแมนๆแบบนี้น่ะค่ะ เลยต้องทำใจนิดนะคะถ้าใครจะคาดหวังว่านายเอกในนิยายของนิ้วไขว้จะหวานนุ่มนิ่มมาเลย ไม่มีหรอกค่ะ หายากมาก ^^

ชอบไม่ชอบก็บอกเล่าเก้าสิบกันมาได้ตามอัธยาศัยนะคะ

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 3: Friendship - UP!!!
«ตอบ #17 เมื่อ17-12-2011 19:43:25 »

ชอบนะทั้ง3เรื่องเลย
สนุกแปลกแวกแนวดี
ไม่ต้องซับซ้อนอะไร
มากมาย  :L2:
1+เป็นกำลังใจให้เน้อ :กอด1:
มาต่ออีกน๊าอยากอ่านอีก

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #18 เมื่อ25-12-2011 16:53:05 »

วันก่อนดู MV เพลงนาที ของว่านมา ดูจบปุ๊ปให้อารมณ์เหมือนเรื่องสั้นเรื่อง Friendship เลย เพียงแต่ใน MV มันจบแบบเศร้าๆ แต่ของเราดันแฮ็ปปี้ไปเสียนี่ ^^

มาเรื่องที่ 4 กันแล้วนะคะ ยิ่งลงมากเรื่องเข้า ก็ยิ่งกดดันที่จะเขียนเรื่องใหม่ๆต่อไป แต่ก็สนุกดีค่ะ

หวังว่าจะได้รับความเพลิดเพลินในการอ่านเช่นเคยนะคะ

---------------------------------------------
เรื่องที่ 4: Touch
   
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กหนุ่มอย่างเขาจะทำเป็นไม่ใส่ใจกับงานเล็กๆน้อยๆเช่นการวัดตัวนายแบบนางแบบอย่างที่กำลังทำอยู่นี้ได้ ยิ่งยังเป็นหน้าใหม่ทั้งที่อายุน้อยด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทั้งทีมงาน รวมไปถึงนายแบบและนางแบบสำหรับเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นหน้า จะเห็น “ดีไซเนอร์ใหญ่” ลงมาวัดตัว จดนั่น จดนี่เป็นระวิงอยู่แบบนี้
   
จำได้ว่าตอนที่ได้มาสัมผัสกับกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายแบบและนางแบบกับตัวเองเป็นครั้งแรกนั้น เขาอดรู้สึกตื่นใจไม่ได้จริงๆว่า เพราะอะไรหนอโลกจึงได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่สวยงามขนาดนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเป็นผู้ชายก็จริง แต่ก็ชื่นชมของสวยๆงามๆทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ เสียงเพลง เสื้อผ้า ไปจนถึงผู้คน เพียงแต่ว่าความถนัดของเขาคือเรื่องของเสื้อผ้ามากกว่า เขาจึงเลือกเรียนและเลือกที่จะทำงานด้านแฟชั่นแทนที่จะเลือกเป็นนักศิลปะ หรือศิลปิน ซึ่งเขาถนัดเสพแต่เพียงอย่างเดียวจริงๆ
   
เสียอย่างเดียวก็ตรงที่อะไรๆมันก็เลยติดจะฉาบฉวยเกินไปสักหน่อย คนเราพอได้ยกย่องเชิดชูภาพลักษณ์ที่สวยงามเหนือสิ่งอื่นใดก่อนแล้วล่ะก็ ความสำคัญของสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างความจริงใจ จึงถูกลดน้อยลงไปเสียจนน่าใจหาย เขาอาจจะไม่ได้เจอเองกับตัวเสียทีเดียว แต่การทำงานก็ทำให้เขาได้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า ความฉาบฉวยสามารถทำลายอะไรลงอย่างไรได้บ้าง เขาจึงเว้นระยะห่างกับผู้คนในการทำงานเอาไว้พอสมควร ด้วยเพราะเบื่อหน่ายผู้คนที่เข้ามาในชีวิตของเขาด้วยความมักง่ายในเรื่องของความสัมพันธ์ เหลือไว้แต่คนที่มีความจริงใจต่อกันจริงๆเอาไว้เพียงไม่กี่คน
   
เขาเคยต้องเผชิญหน้ากับคนในวงการหรือเพื่อนร่วมงานที่นึกว่าเขา “ง่าย” เพียงเพราะทำงานอยู่ในแวดวงสวยๆงามๆ ที่จะรักกัน คบกัน มีอะไรกัน ง่ายดายพอๆกับการเดินไปซื้อเสื้อผ้าในห้างฯ แม้แต่กับบรรดานายแบบหรือนางแบบที่เขามีโอกาสได้ร่วมงานด้วยหลายต่อหลายคนจนนับไม่ไหว ล้วนแล้วแต่อยากที่จะได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม และไปไกลถึงขนาดอยากจะครอบครองเขา อาจจะเพราะความดูดีของเขา หรืออาจจะเพราะอนาคตรุ่งโรจน์ที่รอเขาอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้ สำหรับคนบางคน แค่ได้เป็นข่าวกับเขาก็นับว่าเป็นการเปิดให้โอกาสดีๆเข้ามาในชีวิตเข้ามาได้แล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันแย่เหลือทนจริงๆ
   
คนที่รู้จักและสนิทกับเขาจริงๆเท่านั้นจึงจะรู้ว่าทำไม ดีไซเนอร์เลือดใหม่มาแรงคนนี้จึงไม่ค่อยออกงานสังคมจนติดจะเก็บเนื้อเก็บตัว หนักเข้าก็ลือกันไปใหญ่ว่าถือเนื้อถือตัวเพราะถือว่ามาจากตระกูลเก่าแก่มีหน้ามีตา จึงติดจะเย่อหยิ่งไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่เหตุผลก็แค่เขาเบื่อการใส่หน้ากากยามที่ต้องเสแสร้งว่ามีความสุขเหลือเกิน ทั้งที่ใจจริงเขาอยากกลับบ้านเพื่อดูทีวีหรือทำอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาจะแย่แล้วเท่านั้นเอง
   
ช่วงเวลาที่เขาชอบที่สุดอีกอย่างก็คือการได้ตั้งอกตั้งใจทำงานอยู่ในโลกของตัวเองแบบนี้แหละ
   
“คุณเคนคะ ช่วยวัดตัวฮารุด้วยค่ะ” ความวุ่นวายขณะทำงานแบบนี้ต่างหากเล่าที่ทำให้เขามีความสุข
   
“อุ๊บ...” ผลจากการนั่งทำงานอยู่นานแล้วพรวดพราดลุกขึ้นทำให้เจ้าตัวเสียหลักไปเพราะความหน้ามืด
   
“เซฟ!” ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างโล่งใจพร้อมๆกับสัมผัสอันหนักแน่นจากท่อนแขนแข็งแรงที่รวบตัวเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่เขาจะร่วงลงไปกองกับพื้นเสียก่อน มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่น้ำเสียงไม่คุ้นหูนั้นดังก้องอยู่ข้างๆหูเขา มือข้างหนึ่งของเขายึดไหล่กว้างและแข็งแรงของร่างตรงหน้าเอาไว้แน่น เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่า ใบหน้าคมแปลกตาที่ไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่อยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่ถึงสามนิ้ว
   
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงนั้นถามเจือแววเป็นห่วง
   
“โอเคครับ... สบายมาก” เขาค่อยๆผละออก ชูมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะถอยออกมาตั้งหลังเพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ “หน้ามืดนิดหน่อย”
   
เขาตาไม่ฝาดแน่นอนที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาแบบลูกครึ่งนั้น ส่งยิ้มมาให้เขาราวกับจะโล่งใจจริงๆที่เห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรอย่างที่ว่า เคนส่งยิ้มน้อยๆกลับไปให้ ก่อนจะเอ่ยออกไปได้ในที่สุด
   
“ขอบคุณครับ”
   
“ผมชื่อฮารุ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ” นายแบบร่างสูงไม่น่าจะน้อยกว่า 185 เซ็นติเมตรยื่นมือให้เขาจับ จากใบหน้าและชื่อเสียงเรียงนาม ให้เดาไม่ผิด คงจะเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ผิวพรรณขาวสะอาดน่ามอง ช่วงไหล่กว้าง หน้าท้องมีกล้ามเนื้อสวยงาม ราวกับไม่มีไขมันเลยแม้แต่นิดเดียว ตามประสาคนเป็นดีไซเนอร์ เขาจึงอดประเมินไม่ได้จริงๆว่าคนๆนี้เกิดมาเพื่อเป็นนายแบบโดยแท้
   
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เคนยื่นมือออกไปเขย่ากับนายแบบที่น่าจะเรียกว่าหน้าใหม่ก็คงจะไม่ผิดนัก จำได้ว่าเขายังไม่ค่อยคุ้นหน้ากับนายแบบลูกครึ่งคนนี้เลยไม่ว่าจะเป็นบนแคทวอล์กหรือบนหน้านิตยสารต่างๆ
   
“นี่เป็นงานแรกของผม ต้องฝากตัวด้วยนะครับ” เคนยิ้มให้กับความใสซื่อของนายแบบหน้าใหม่ที่ถ้าจะให้เดาล่ะก็ อายุคงจะพ้นยี่สิบมาสักไม่กี่มากน้อยแน่ๆ แต่รูปร่างนี่สิใหญ่โตไปโขเลยทีเดียว
   
ดีไซเนอร์หนุ่มลงมือทำงาน เขาเริ่มงานของตัวเองด้วยการใช้สายวัดทาบเข้ากับผิวเนื้อของนายแบบตรงนั้นทีตรงนี้ทีอย่างขยันขันแข็ง จนลืมไปแล้วว่านายแบบคนนี้ก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน
   
“เอ่อ...” อดรนทนไม่ได้ นายแบบหน้าใหม่จึงเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ “ขอโทษนะครับถ้าผมอาจจะรบกวนคุณไปบ้าง คือ...” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มติดจะขัดเขินว่า “ผมไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนเลย บอกตามตรง ผมเขินมากแล้วก็ทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ”
   
ดีไซเนอร์หนุ่มที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้ออกจากปากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายแบบ ถึงกับขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป นี่เขาชักจะเริ่มรู้สึกดีกับนายแบบหนุ่มคนนี้เสียแล้วสิ
   
“แค่ทำตัวสบายๆก็พอ...” เคนว่ายิ้มๆ “ว่าแต่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว” คำถามนั้นรู้สึกได้ว่าเป็นการชวนคุยเพื่อลดความอึดอัดของอีกฝ่ายลง เพื่อไม่ให้นายแบบเกร็งเสียจนไม่ต้องหายใจหายคอกันพอดี
   
“23 ครับ เรียนจบแล้วก็พอดีมีเอเจนซี่เขาสนใจ ก็เลยชวนผมมาทำงานเป็นนายแบบ”
   
“ยังเด็กอยู่เลยนี่”
   
“ผมว่าคุณดูเด็กกว่า” นายแบบว่า “อายุเท่าไหร่แล้วครับ ถึงได้เป็นถึงดีไซน์เนอร์ขนาดนี้แล้ว”
   
แสดงว่าเด็กคนนี้คงจะไม่รู้จักเขาเลยจริงๆ ต้องบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่าจะถูกกว่า ดูไปดูมาก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กซื่อๆในร่างกายใหญ่โตแต่สง่างามเหมือนรูปปั้นแบบนี้ ดูขัดแย้งดีเหมือนกัน ที่สำคัญมันทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นโขเลยทีเดียว รอยยิ้มที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆเวลาอยู่กับคนแปลกหน้า กลับปรากฏอยู่ตลอดช่วงเวลาที่พูดคุยกัน
   
“25”
   
“แก่กว่าผมแค่สองปี แต่ดูเด็กกว่าผมเยอะเลย” เจ้าตัวยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก
   
“อ๊ะ อย่าเพิ่ง ขอฉันวัดตรงนี้ก่อน”
   
“ขอโทษครับ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะยกมือขอโทษเขาจริงๆ ทำเอาเคนหลุดหัวเราะออกมาชนิดห้ามไม่อยู่ นี่เขาถูกใจเด็กคนนี้ขึ้นมาจริงๆแล้วหรือนี่
   
บรรยากาศในการทำงานดูสบายมากขึ้นกว่าเดิมอย่างรู้สึกได้ เมื่อได้พูดคุยทำความรู้จักกันบ้างแล้ว ดีไซเนอร์หนุ่มจึงเผลอวัดตัวไปด้วยฮัมเพลงไปด้วยอย่างนึกสบายอารมณ์ โดยไม่รู้ตัวว่า ไอ้ที่เขาสอดแขนอ้อมไปด้านหลังเพื่อวัดช่วงอกที่แข็งแรงของนายแบบหน้าใหม่นั้น มันชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกแปลกๆประสาคนที่ยังไม่คุ้นกับการฟิตติ้งแบบนี้จริงๆ ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าหุ่นมีชีวิตของเขากำลังพยายามสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดจนรู้สึกได้นั้น ทำให้เคนอดเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายไม่ได้ และตอนนั้นเองก็เป็นจังหวะที่ฮารุก้มลงมองลงมาสบตาเข้ากับเขาพอดี
   
แว่บเดียวเท่านั้น ที่เคนรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วครู่ และหัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดเดียว
   
แค่นิดเดียวจริงๆ
   
“เอ่อ...” จู่ๆเขาก็คิดคำพูดไม่ออก ก่อนจะหลบสายตาคมที่เหมือนจะยิ้มให้เขาไปเสียอย่างนั้น และถ้าเขาตาไม่ฝาด เขารู้สึกได้ถึงอาการขัดเขินเล็กๆที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นด้วยเหมือนกัน “หันหลังหน่อยนะ ผมขอวัดช่วงไหล่หน่อย” คำพูดที่กลืนหายไปเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง แต่สำหรับเจ้าตัวแล้ว ทำไมมันจึงฟังดูสั่นๆไม่มั่นคงชอบกล
   
หุ่นมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบนั้น หันหลังทันทีโดยอัตโนมัติ
   
‘ค่อยยังชั่ว’ น่าจะเป็นความรู้สึกในตอนนี้ของทั้งดีไซเนอร์และนายแบบ
   
“คุณนี่” เสียนั้นดังขึ้นด้านหลัง จนนายแบบเลิกคิ้วขึ้นด้วยไม่แน่ใจว่าคนตัวกว่าที่ง่วนอยู่กับการวัดตัวเขาอยู่นั้น กำลังพูดกับเขาอยู่หรือเปล่า “เหมือนไม้แขวนเสื้อมีชีวิตเลยจริงๆ” ดีไซเนอร์หนุ่มเอ่ยอย่างชื่นชม และด้วยความรู้สึกชื่นชมอย่างแท้จริงนี่เองที่ดูจะทำให้เขาลืมความรู้สึกอุ่นจนร้อนที่เอ่อขึ้นบนใบหน้าของตัวเองเมื่อครู่ไปจนหมด เขาคว้าแขนข้างหนึ่งของนายแบบให้หันกลับมาอย่างเบามือ และอ่อนโยนยิ่ง
   
“ตั้งแต่ผมเจอนายแบบมา ผมยังไม่เคยเจอใครที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบได้เท่าคุณเลยจริงๆนะเนี่ย” ใบหน้านั้นยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายราวกับเด็กที่กำลังพูดถึงของถูกใจ ทำเอาคนถูกชมถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะเบาๆด้วยความเขินเต็มที่
   
“หรือครับ” ก่อนจะยิ้มในแบบที่ทำให้ใบหน้าหล่อคมนั้นดูเด็กลงไปเป็นอักโข ดีไซเนอร์หนุ่มพยักหน้ายืนยันแข็งขัน ในใจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่ว่า นี่เป็นรูปร่างในอุดมคติที่ทำให้เขาอยากจะตัดเสื้อผ้าสวยๆให้ใส่มากเหลือเกิน
   
“ไม่มีใครเคยบอกเลยหรือ” ร่างตรงหน้าที่แม้จะสูงตามมาตรฐานผู้ชายทั่วไป ประเมินดูแล้วอาจจะประมาณ 175 เซ็นติเมตร แต่เมื่อมายืนเทียบกันแบบนี้ ดูเล็กลงไปถนัดตา เงยหน้าขึ้นถามแบบไม่เชื่อหู
   
“มีครับ แต่ไม่มีใครลงรายละเอียดขนาดนี้เลยจริงๆ” เขาว่าอย่างนึกขัน “อย่างมากก็บอกว่าหุ่นดีนะ แค่นี้เอง”
   
“อย่างคุณไม่ใช่แค่หุ่นดี ต้องเรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยล่ะ” รอยยิ้มแสดงความพึงพอใจนั้นดูอ่อนโยนเหลือเกินในความคิดของฮารุ
   
“ถ้าคุณว่าดี ผมก็ดีใจครับ”
   
“เอาไว้ผมจะจองตัวคุณไว้ทำงานบ่อยๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า วัดตัวให้คุณแค่นี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย” คนพูดคงไม่รู้หรอกว่าทำให้คนฟังรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจมากเพียงไร แต่การวัดตัวที่เหลืออยู่นั้น บรรยากาศมันช่างชื่นมื่นเหลือเกินในความรู้สึกของเขา
   
“เรียบร้อย” เคนว่าอย่างพอใจ “ต่อไปคงต้องฝากนายแบบอย่างคุณเอาไว้ด้วยนะครับ” ดีไซเนอร์ว่าอย่างไม่ถือตัว ก่อนจะยื่นมือไปรับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดที่อีกฝ่ายส่งให้อย่างนึกเกรงใจ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีร่างสูงแบบบางยืนมองเขาอยู่เป็นนานไม่ใกล้ไม่ไกล
   
“ฮารุ” เสียงนั้นเรียกขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปเจอเพื่อนนางแบบอีกคนยืนอยู่ จะบอกว่าเพื่อนนางแบบก็คงไม่ถูกนัก เพราะเพิ่งจะรู้จักกันก่อนที่จะเข้ามาวัดตัวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ที่จริงผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแค่รูปร่างดีสมเป็นนางแบบ แต่ต้องเรียกว่าสวยจัด อาจจะจัดไปหน่อยสำหรับเขา แต่ก็นับว่าสวยชนิดผู้ชายที่ไหนเห็นคงแทบหยุดหายใจทีเดียว
   
“ว่ายังไงครับ” เขาส่งยิ้มให้กับหญิงสาวท่าทางมั่นใจที่เดินตรงมาทางเขา
   
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม ไว้ลินดาจะโทรไปคุยด้วย” รอยยิ้มมั่นใจนั้นคลี่ออก สีลิปสติกที่สดใสบาดตานั้นดึงดูดสายตาดีจริงๆ แต่ก็เหมาะกับหญิงสาวชนิดเหมาะเจาะลงตัว ผู้หญิงจะทาลิปสติกสีแดงสดขนาดนี้ได้ ก็ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูงอยู่แล้วล่ะ เขาบอกเบอร์โทรกับเธอไปเพราะไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังอะไร แต่ประโยคต่อมานี่สิ ทำเอาเขาลำบากใจไม่น้อย
   
“ไปหาอะไรทานด้วยกันไหม... หิวจังเลย เผื่อจะได้ไปแดนซ์กันคืนนี้ด้วย” เธอกันไปทางเพื่อนๆของเธอที่ยืนรออยู่เป็นการบอกเป็นนัยว่า ไปกันหลายคนนะ
   
ฮารุไม่รังเกียจการรู้จักผู้คน หรือการสังสรรค์กับกับคนอื่น แต่เวลาที่ถูกรุกมากๆ แถมลักษณะคล้ายถูกมัดมือชกแบบนี้ด้วยแล้ว ทำเอาเขานึกขยาดขึ้นมาติดหมัด  เขาทำท่าอึกอัก ก่อนจะหันซ้ายหันขวา พยายามจะประวิงเวลาระหว่างคิดว่าจะหาทางปฏิเสธอย่างไรดี
   
“ตกลงเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันอีกทีนะครับคุณฮารุ” เสียงสวรรค์ช่วยเขาเอาไว้แท้ๆ เมื่อหันไปแล้วเห็นใบหน้าอ่อนโยนของดีไซเนอร์หนุ่มยิ้มให้เขา
   
“อ่า... ครับ คุณเคน” ก่อนจะยิ้มแหยๆส่งให้กับหญิงสาว ที่ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
   
“อ้าว... นี่นัดกันไว้แล้วหรือคะ” น้ำเสียงเหมือนประหลาดใจ แต่ทำไมคนฟังจึงรู้สึกเหมือนติดจะเย้ยหยันอยู่ในทีก็ไม่รู้ “แหม ไวจริงๆเลยค่ะคุณเคน” คนพูดฉีกยิ้ม แต่แววตากลับไม่ยิ้มไปด้วย
   
“พอดีผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณฮารุนิดหน่อยครับ” ดีไซเนอร์หนุ่มพูดออกไปซื่อๆ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
   
เมื่อเห็นนายแบบหนุ่มพยักหน้าแข็งขัน หญิงสาวได้แต่ทำหน้าเซ็งพร้อมพ่นลมหายใจแสดงความไม่สบอารมณ์ชนิดไม่ปิดบัง ก่อนจะยักไหล่
   
“ไม่เป็นไรค่ะ โอกาสหน้ายังมี ลินดาขอตัวนะคะฮารุ” ก่อนจะยกมือลูบที่ปกเสื้อชายหนุ่มอย่างอ้อยอิ่งติดจะมีจริตอยู่สักหน่อยเป็นการหว่านเสน่ห์
   
เมื่อร่างนั้นเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนนางแบบนายแบบของเธอ ฮารุจึงหันมามองเคนด้วยสีหน้าโล่งใจ “ขอบคุณมากครับ” เขาโค้งน้อยๆเป็นการแสดงว่ารู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจไม่ใช่แค่ตามมารยาท
   
“ถ้าคุณไม่เข้ามาช่วย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีจริงๆ” ฮารุถอนหายใจ
   
“ไม่เป็นไร ผมพอจะดูออกว่าคุณไม่อยากไป แล้วก็...” เคนหยุดไปเป็นครู่ ราวกับตัดสินใจว่าจะพูดออกไปดีไหม “ลินดาเขาชั่วโมงบินสูง ถ้าไม่อยากลำบากใจก็อยู่ห่างๆเขาไว้ก็ดีครับ” แม้รู้ดีว่า การพูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่ดีสำหรับฝ่ายผู้หญิง แต่เพราะความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ ทำให้เขาอดเป็นห่วงนายแบบหน้าใหม่แสนซื่อคนนี้ไม่ได้ “ฟังดูไม่ดีใช่ไหม แต่ว่า การเป็นนายแบบนางแบบเนี่ย สิ่งยั่วยุมันมากเหลือเกิน ผมไม่อยากให้ใครเสียคนเพราะอะไรแบบนี้น่ะ”
   
“เป็นห่วงผมหรือครับ”
   
“จะบอกว่าไม่ก็คงโกหกล่ะนะ” เคนพูดตรงๆ
   
“ถ้างั้น...” ฮารุ พูดแค่นั้นก่อนจะสบตากับคนที่เพิ่งจะช่วยเขาทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ “เย็นนี้ยังจะไปด้วยกันไหม”
   
เคนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะประเมินอะไรบางอย่างในใจ
   
“คือ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า คุณแค่อยากจะช่วยผม หรืออยากจะไปจริงๆหรือเปล่า” นายแบบหนุ่มหลบสายตาที่มองตอบเขากลับมา “แต่ผมอยากรู้จักคุณให้มากขึ้น... ดังนั้นถ้าไม่ติดอะไร เย็นนี้ไปหาอะไรทานด้วยกันนะครับ” พูดจบเจ้าตัวก็โค้งให้เขาครั้งหนึ่ง ดูอย่างไรก็คนญี่ปุ่นชัดๆ
   
เคนหัวเราะชอบใจออกมา ก่อนจะเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
   
“ปกติแล้ว ผมไม่ค่อยยอมไปไหนกับใครง่ายๆนะ เพราะผมน่ะขี้ระแวงพอตัว” แล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างออกไปอีกเมื่อเห็นสีหน้าที่ติดจะผิดหวังนิดๆของอีกฝ่าย “แต่ผมชอบคุณนะ ดังนั้น ผมจะไปด้วยก็ได้”
   
“ได้จริงๆหรือครับ” เด็กหนอเด็ก เคนนึกในใจเมื่อเห็นสีหน้าของฮารุ
   
เขาพยักหน้า
   
“จะรอหรือหาอะไรทำไปก่อนก็ได้ ขอผมทำงานตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน” เคนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่เต็มความสูง “นะครับ”
   
ไม่รู้เพราะอะไรฮารุถึงหน้าแดงและใจเต้นกับแค่คำว่า “นะครับ” ที่อีกฝ่ายเอ่ยแก่เขา
   
แต่ที่แน่ๆ เขาตั้งตารอคอยมื้อเย็นในวันนี้ชนิดใจจดใจจ่อเลยก็แล้วกัน

--------------------------------------- END ------------------------------

ชอบไม่ชอบบอกกันได้ค่ะ เบาเบา ^^

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #19 เมื่อ25-12-2011 22:01:49 »

อ่านแล้วยิ้มอ่ะ...ทุกเรื่องเลย ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
« ตอบ #19 เมื่อ: 25-12-2011 22:01:49 »





ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #20 เมื่อ25-12-2011 22:36:21 »

โถถถถถพ่อหนุ่มน้อยฮารุ อิอิ

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #21 เมื่อ25-12-2011 23:23:43 »

ชอบทุกเรื่อง
รอเรื่องต่อไปนะ
+1

ออฟไลน์ ต่ายน้อย

  • กระต่ายน้อยลอยคอ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-3
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27719.0
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #22 เมื่อ26-12-2011 03:11:21 »

เพิ่งเข้ามาเสมิรฟ์ ชอบคู่เคน กะฮารุครับ  น่ารัก

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #23 เมื่อ26-12-2011 10:16:19 »

33 เรื่องแรกดูมันก็จบแบบไม่ติดค้างอะไร แต่เรื่องที่ 4 นี่เหมือนมันยังไม่จบเลยอ่ะ อยากอ่านต่อ แหะๆๆ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #24 เมื่อ26-12-2011 22:34:17 »

33 เรื่องแรกดูมันก็จบแบบไม่ติดค้างอะไร แต่เรื่องที่ 4 นี่เหมือนมันยังไม่จบเลยอ่ะ อยากอ่านต่อ แหะๆๆ


ยกมือเห็นด้วยคนค่ะ 

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
«ตอบ #25 เมื่อ27-12-2011 15:16:28 »

เอ่อ... กลายเป็นว่ามีคนอยากอ่านความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ของคู่เคนกับฮารุกันด้วย นี่เป็นอะไรที่ผิดคาดมากค่ะ ^^''' เอางี้มั้ยคะ เดี๋ยวพอเราลงเรื่องสั้นไปได้สักระยะ อาจจะมีให้โหวตกันว่า ใครอยากอ่าน ตอนพิเศษของคู่ไหนมากที่สุดดีไหมคะ อันนี้แค่คิดเล่นๆก็จริง แต่ถ้ามีคนจะเอาด้วยจริงๆ เราก็เอาจริงนะเออ

ดังนั้น ลองอ่านไปก่อนอีกซักหลายๆคู่ดูนะคะ คนเขียนเองก็อยากจะทราบค่ะว่าคนอ่านชอบและประทับคู่ไหนกันเป็นพิเศษบ้าง

สะสมแต้มกันไป ระวังอย่ารักพี่เสียดายน้องนะคะ ^^ ว่าแล้วก็ถือโอกาสขอบคุณทุกวิวและทุกความเห็นที่แวะเข้ามาอ่านและทักทายกัน ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่า เวลาที่เข้ามาแล้วได้เห็นว่ามียอดวิวเพิ่มขึ้น หรือมีคนมาแสดงความเห็น หัวใจมันพองฟูสุดๆ แล้วก็เลยพลอยทำให้มีกำลังใจในการเขียนเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ

ขอบคุณและโปรดติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ  :กอด1:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ต้องขออภัยเพื่อนนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะที่หายหน้าหายตาไปพักนึง

ช่วงปีใหม่กลับต่างจังหวัดค่ะ ประจวบเหมาะกับอินเตอร์เน็ตที่โน่นปลวกได้ใจเหลือเกิน อย่าว่าแต่จะเข้ามาโพสต์นิยายเลย เข้าอินเตอร์เน็ตยังไม่ได้ เพลียมาก...

เผลอแป๊ปเดียว นี่ก็เข้าเรื่องที่ 5 เข้าไปแล้ว เร็วมากค่ะ และแอบกดดันคนเขียนเล็กๆ เพราะจะมาทำอู้ ไม่ยอมเขียนเรื่องใหม่ๆต่อไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวจะไม่มีลง ทีนี้ล่ะ โดนคนอ่านแช่งชักหักกระดูกแบบไม่มีข้อแก้ตัวแน่ๆล่ะค่ะ

สำหรับเรื่องที่ 5 นี้ ถือเป็นเรื่องแรกรับปีใหม่ที่จะเอามาลงให้อ่าน และเนื่องจากแอบยาวเบาๆ ก็เลยจะลงพาร์ตแรกให้อ่านกันไปก่อน ส่วนพาร์ตสองจะตามมาเร็วๆนี้ค่ะ

เชิญอ่านกันตามอัธยาศัย ชอบไม่ชอบอย่าลืมบอกเล่าเก้าสิบกันด้วยนะคะ คนเขียนก็อยากรู้นะเออว่าคนอ่านเขาพึงใจมากน้อยแค่ไหน ^^

------------------------------------------

เรื่องที่ 5: Guardian [Part I]
   
ผมทำงานคลุกคลีกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักร้อง หรือถ้าจะเรียกให้ดูดีขึ้นมาอีกหน่อยก็ต้องบอกว่าเป็นศิลปินมานานหลายปี พบปะคนดังในวงการมาก็มากมาย ตั้งแต่สมัยที่ผมยังต้องยกมือไหว้ใครต่อใครจนกระทั่งทุกวันนี้มีคนยกมือไหว้ผมก่อนที่ผมจะทันได้รู้ตัวสักครึ่งค่อนวงการไปแล้ว
   
ก่อนหน้าเมื่อนานมาแล้ว ผมเคยทำงานเป็นทั้งพีอาร์และเออาร์ในค่ายเพลงอยู่พักใหญ่ ซึ่งต้องขอบคุณช่วงเวลาเหล่านั้นที่ทำให้ผมมีวันนี้ วันที่ผมสามารถสร้างคอนเน็กชั่นของตัวเองขึ้นได้และผันตัวมาเป็นผู้จัดการของศิลปินในที่สุด
   
ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่า ผู้จัดการศิลปินคนอื่นน่ะเขาทำงานกันอย่างไร เพราะผมไม่ค่อยได้ไปรู้จักมักจี่กับผู้จัดการศิลปินคนอื่นๆเขาเท่าไหร่ ผมรู้จักคนเยอะก็จริง แต่ผมก็ค่อนข้างเลือกและมีเงื่อนไขในการทำงานที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ไม่น้อยทีเดียวล่ะนะผมว่า
   
ระหว่างผู้จัดการกับศิลปิน หลายคนอาจจะมองว่า คนเป็นผู้จัดการก็คือลูกจ้างที่คอยเป็นที่รองมือรองเท้านักร้องพวกนี้ ต้องคอยมีลูกล่อลูกชนในการรับงาน และต้องฉลาดในเรื่องของส่วนแบ่งรายได้ในการรับงานให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายจ้างในแต่ละครั้ง ถ้าคนที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวนักร้องส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ ผมก็คงพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่า ผมคงเป็นคนส่วนน้อยแล้วล่ะ
   
ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดผนังที่เข้ากันดีกับห้องขนาดกลางค่อนไปทางกว้างขวางมากกว่าคับแคบแห่งนี้ ใกล้จะเที่ยงคืนเต็มที ก่อนจะหันไปมองห้องที่ปิดประตูเงียบมาตั้งแต่หลังทานมื้อค่ำเสร็จ
ให้เวลาอีกสักครึ่งชั่วโมงก็แล้วกัน

นั่นล่ะ แม้แต่ขณะที่ผมกำลังนั่งจัดตารางการทำงานของนักร้องที่ผมดูแลอยู่ตอนนี้ ผมก็ยังอดคิดขึ้นมาไม่ได้จริงๆว่า ถ้าเป็นผู้จัดการคนอื่นๆ เขาจะทำเหมือนอย่างที่ผมทำไหมหนอ

ก่อนหน้านี้ผมเคยดูแลนักร้องชื่อดังระดับประเทศคนหนึ่ง ใช่แล้ว ผมดูแลศิลปินได้ครั้งละหนึ่งคนหรือหนึ่งวงเท่านั้น ไม่เคยรับมากกว่านั้น เพราะผมว่า มันออกจะไม่แฟร์กับคนที่ผมดูแลไปสักหน่อย หากผมจะใช้วิธีวิ่งรอก รับงานให้กับศิลปินครั้งละหลายๆคน ซึ่งแม้มันจะหมายถึงค่าตอบแทน หรือเปอร์เซ็นต์ที่จะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย อาจจะเป็นเพราะผมโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ได้ทำงานกับแต่คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับแถวหน้า จึงไม่ลำบากหรือขัดสนจนถึงขนาดชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ถ้าใช้ชีวิตแบบผมล่ะก็ โอกาสชักหน้าไม่ถึงหลังคงแทบไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก จริงๆนะ

ผมทำงานกับนักร้องคนที่ว่ามานานหลายปีทีเดียว คงมีสักห้าปีนั่นแหละ น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจ “ขอพักงาน” เป็นการชั่วคราวแบบไม่มีกำหนด อาจจะเป็นเพราะเบื่อกับชีวิตที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ เบื่อที่ต้องตกเป็นข่าว เบื่อที่ไม่เคยได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะระหว่างเรา นอกจากความเป็นเพื่อนที่ออกจะผิวเผินแล้ว เราเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันมากกว่า เขาชอบที่ผมทำงานให้เขาอย่างตรงไปตรงมา ไม่พูดมาก ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ผมเองก็ชอบที่เขาทำงานได้อย่างมืออาชีพ เป็นผู้ใหญ่ และยุติธรรมดี

แม้ไม่ได้ทำงานกับเขาแล้ว ผมก็ยังมีงานเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ไม่ได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการให้กับใครเป็นพิเศษเท่านั้นเอง ข้อดีของการทำงานในวงการนี้ก็คือ ถ้าเราทำงานดีจนเป็นที่รู้จัก เราจะไม่มีทางตกงานอย่างแน่นอน ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณศิลปินคนก่อนๆที่ผมมีโอกาสได้ทำงานให้พวกเขาด้วยนั่นแหละ เวลาที่พวกเขาโด่งดัง ผมในฐานะที่เป็นผู้จัดการก็จะพลอยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วยเสียทุกครั้ง

ที่จริงผมก็ออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะแต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะมาลงเอยด้วยการทำอาชีพแบบนี้ ซึ่งโดยธรรมชาตินิสัยของผมแล้ว ผมไม่ใช่คนที่ช่างเอาอกเอาใจ ไม่ประจ๋อประแจ๋ ไม่ชอบการเข้าสังคม และยังมีอีกหลาย “ไม่” ที่ไม่น่าจะเหมาะทำงานดูแลใครเลยจริงๆ แต่ให้เดาดู ผมว่า น่าจะเป็นการเป็นคนจัดการกับอะไรได้ดี รับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ไม่เลว แถมยังมีบุคลิกน่าเชื่อถือ บวกกับจริงใจต่อคนรอบข้าง พอกลายเป็นที่รู้จัก ก็มีคนเอาไปพูดต่อเสียจนผมดูเลิศเลอ ก็เลยทำให้มีงานดีๆเข้ามาหาผมไม่ได้ขาด อ้อ... ต้องไม่ลืมเรื่องของโชคช่วยด้วยสินะ

ไม่อย่างนั้น ผมก็คงไม่ได้ดูแลคนคนนี้ด้วยเหมือนกัน

ถูกแล้วครับ ตอนนี้ผมมีศิลปินที่ต้องดูแลอีกจนได้ หลังจากที่ทิ้งช่วงจากคนก่อนอยู่พักใหญ่ทีเดียว เพียงแต่คราวนี้มันมีอะไรที่แตกต่างจากงานที่ผ่านๆมาอยู่โขทีเดียว

“เขา” ยังเด็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ตอนที่ได้เห็นเขาผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ ผมคิดว่า เขาน่าจะอายุสัก 23 หรือ 24 ไม่ใช่ว่าหน้าแก่เกินวัยหรืออะไรหรอก คงเป็นเพราะภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านหน้าจอแบบนั้น บางทีมันก็หลอกตาไปเยอะอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญ หน้าตาของเจ้าตัวดูติดจะบึ้งตึงบอกบุญไม่รับอย่างไรพิกล อันนี้ไม่ต้องดูผ่านทางหน้าจออย่างเดียวหรอก ตัวจริงๆก็เป็นแบบเดียวกันนั่นแหละ

“ทำไมถึงเลือกผมล่ะครับ” ผมจำได้ว่าถามออกไปหลังจากที่รู้ว่า “เขา” คือหน้าที่ใหม่ที่จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผมไปอีกกนานเลยทีเดียว

“ถือว่าช่วยผมหน่อยก็แล้วกัน” น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ติดจะมีอำนาจอยู่ในทีนั้นเอ่ยขึ้น ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักหรือคุ้นเคยกันก็คงคิดว่า นี่เป็นคำสั่งมากกว่าการขอร้อง แต่สำหรับผมที่เดินเข้าออกค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งนี้มานานหลายปีนั้น คุ้นเคยกับมันไปเสียแล้ว

“ผมไม่ใช่ไม่อยากรับนะครับ แต่สงสัยมากกว่า ว่านักร้องวัยรุ่นที่เริ่มจะโด่งดังขนาดนี้ ไม่ต้องเป็นผมก็ได้แท้ๆ แต่ทำไมคุณพลถึงต้องเจาะจงให้เป็นผมด้วย” ผมเอ่ยกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารใหญ่ของที่นี่อย่างใคร่รู้มากกว่าอย่างอื่น

“เด็กคนนี้มันเก่งนะ” ชายวัยกลางคนรูปร่างภูมิฐานว่า “แต่มันเป็นเด็กที่... ยากจะรับมือ” เขาถอนใจก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ “ผมเสียดายเด็กคนนี้ เขาเป็นเหมือนเพชรที่สักยี่สิบปีที่จะเจอสักคน ผมก็เลยตัดใจทิ้งเขาไปไม่ได้จริงๆ”

นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ผมอยากได้ยินอยู่ดี

“เขาเป็นหลานของผมเอง” นั่นปะไรล่ะ นึกเอาไว้แล้วเชียว

“ไม่ใช่ว่าผมเล่นตัวอะไรนะครับ” ผมพูดติดตลก แต่ก็หมายความตามนั้นจริงๆ “ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า...”

“คนที่ผมไว้ใจมีแค่คุณคนเดียว ที่สำคัญเด็กคนนี้รับมือยาก ทั้งดื้อ ทั้งเอาแต่ใจ แถมยังไม่เปิดใจรับใครสักคนด้วยอีกต่างหาก คนเดียวที่เขาไว้ใจก็คือผมที่เป็นลุงของเขานี่แหละ”

ท่าทางจะงานหินจริงๆเสียด้วย ประเด็นก็คือ ผมไม่เคยทำงานให้ศิลปินที่เด็กขนาดนี้ วัยผมก็ปาเข้าไปตั้งปูนนี้แล้ว ผมยังสงสัยว่าผมจะคุยกับเด็กรู้เรื่องไหม ไม่ต้องว่าเป็นเด็กที่รับมือยากหรอก แค่เด็กธรรมดาทั่วไป ผมก็ยังนึกสงสัยตัวเองอยู่

“รับงานนี้เพื่อพี่หน่อยได้ไหมเชษฐ์” คุณพล หรือพี่พล เปลี่ยนสรรพนามที่เป็นทางการแทนตัวเองว่าพี่เหมือนยามปกติที่เราพบกันข้างนอก ก่อนจะออกปากขอร้องผม

แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่า

“ก็ได้ครับ” ผมรับปาก “แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับพี่ ว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน”

“เท่าที่เธอทำได้ แล้วก็ด้วยวิธีของเธอเอง ถ้าพี่อยากได้ผู้จัดการทั่วไปที่ไหนก็ได้ พี่ก็คงไม่เรียกเธอมา เข้าใจพี่ใช่ไหม”

“แสดงว่า งานช้างเลยสินะครับ” ผมเอ่ยออกไป

“ทั้งงานของเธอแล้วก็งานของเด็กคนนี้เลยล่ะ” พี่พลยิ้มออกมาได้ในที่สุด “เด็กคนนี้จะต้องดังแน่นอน เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่เขาจำเป็นที่จะต้องมีคนดูแลเท่านั้นเอง”

“และผมก็เป็นคนคนนั้น” พี่พลพยักหน้า พลางเดินเข้ามาจับไม้จับมือกับผมด้วยความขอบอกขอบใจ

การดูแล “โซ่” หนักหนากว่าที่คิดเอาไว้มาก

ผมไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่ราศีจับเท่ากับเด็กคนนี้ แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็กในวัยเดียวกันนี้คนไหนที่ดูมืดมนเท่าเด็กคนนี้เลยเหมือนกัน โซ่เป็นเด็กหนุ่มวัยไม่เต็มยี่สิบดีที่สูงเพรียว ไม่เพียงแต่รูปร่างดีราวกับกระโดดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ แต่ยังมีใบหน้าที่ชวนมองอย่างยิ่ง ดวงตาคู่นั้นสวยคมจับใจ รับกับจมูกโด่งกำลังดี และริมฝีปากที่แทบจะไม่เคยยิ้มแย้มเลยนั้นได้อย่างลงตัว
ผลงานเพลงที่เจ้าตัวทำขึ้นเองกับมือยิ่งน่าทึ่ง ผมอาจจะไม่ใช่นักร้อง อาจจะไม่ใช่ศิลปินผู้เก่งกาจ แต่การที่ได้คลุกคลีอยู่กับโลกของเสียงเพลงมานาน ทำให้ฟันธงได้เลยว่า ทั้งตัวผลงานและเด็กโซ่คนนี้จะต้องดังระเบิด ใช่แล้ว ทั้งที่อายุน้อยแค่นี้นี่แหละ เด็กคนนี้พิเศษและไม่ธรรมดาอย่างที่พี่พลว่าเอาไว้จริงๆ

แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือทัศนคติในการใช้ชีวิตและการทำงานของเด็กคนนี้ต่างหากที่ทำให้ผมแปลกใจว่า ไอ้ซิงเกิ้ลแรกที่ทำให้เด็กคนนี้โด่งดังกลายเป็นที่รู้จักน่ะ มันหลุดรอดออกมาโดยที่ไม่มีการฆ่ากันตายได้ยังไง เพราะโซ่ทั้งดื้อดึง ทั้งไม่น่ารักเอาเสียเลย ซึ่งทำให้การทำงานแต่ละขั้นตอนนั้นลำบากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ทำเพลงออกมาแค่เพลงเดียว ก็เปลี่ยนโปรดิวเซอร์ไปไม่รู้ตั้งกี่คน นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา ถ้าไม่ถูกใจมากๆ พ่อเจ้าประคุณก็พร้อมที่จะเดินออกจากห้องหายไปเลยแบบไม่สนใจว่างานจะเสร็จหรือไม่อย่างไร นี่แค่กิตติศัพท์ที่ผมได้ยินมาเท่านั้นนะ

ไอ้ที่เจอกับตัวในช่วงเดือนแรกของการทำงาน ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าใจเย็นอย่างผมแทบจะกระโดดเข้าขย้ำคอ “เด็กเปรต” คนนี้วันละหลายๆครั้ง แค่คิดหรอกนะ เพราะผมยังไม่เคยแสดงทีท่าหงุดหงิดอารมณ์เสียต่อหน้าใครหรือแม้แต่เด็กโซ่นี่เลยสักทีเท่านั้นเอง

“ผมบอกลุงพลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากได้ผู้จัดการ” คำพูดกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาช่างเป็นสัดส่วนที่ผกผันกับหน้าตาสิ้นดี “ผมไม่ได้อยากได้คนมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของผม โดยเฉพาะพวกมนุษย์ผู้จัดการส่วนตัวหน้าเงินทั้งหลาย”

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพลขอ เธอนึกว่าฉันอยากจะทำงานกับเธองั้นหรือ” ผมสวนกลับไปนิ่งๆ ท่าทางเด็กคนนี้จะไม่มีใครกล้าขัดใจสักเท่าไหร่ พอเจอคำพูดกวนหลังมือของผมเข้า สีหน้าและแววตาหมอนี่เหมือนกับอยากจะเอามีดมาแทงผมให้ตายก็ไม่ปาน

“งั้นจะมาเสนอหน้าอยู่อีกทำไม ผมเกลียดหน้าคุณ คุณไม่อยากทำงานกับผม ก็อย่ามาเจอหน้ากันอีกจะดีกว่า” สาบาญได้ว่าผมเห็นรอยยิ้มเหี้ยมๆตรงมุมปากหมอนั่นแน่ๆ

“เสียใจ ลุงเธอจ้างฉัน ไม่ใช่เธอ ฉันรับงานมาแล้ว จะให้ทิ้งงานไปชุ่ยๆ แบบ ‘ไม่เป็นมืออาชีพ’ ได้ยังไงกัน ฉันทำไม่เป็น หรือเธอทำบ่อยล่ะ” ผมกวนเท้ากลับไปอีกดอก “ถ้าอยากจะเป็นมืออาชีพล่ะก็ ถึงเวลาที่จะต้องทำในสิ่งที่ควรทำได้แล้ว ไม่ใช่งอแงทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้ เธอไม่จำเป็นจะต้องชอบฉัน ฉันเองก็เหมือนกัน แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไปเท่านั้น เธอทำได้ไหม ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก อยู่ที่เธอนั่นแหละ ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ฉันก็จะได้รู้เอาไว้ว่าเธอน่ะเก่งแต่ปาก ฉันจะได้เดินไปบอกลุงของเธอตามนี้”
ผมเห็นหมอนั่นทำท่ากำหมัดแน่น พร้อมกับเม้มปากจนเป็นเส้นตรง สายตานั่นถ้าฆ่าคนได้ ผมคงจะตายไปแล้ว แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเด็กคนนั้นเอ่ยตอบกลับมาว่า “ก็ได้ มาลองกันดูสักตั้งก็ยังได้ ผมจะทำให้ลุงพลเป็นคนเตะคุณออกจากชีวิตผมเอง” ก่อนจะเดินอย่างอวดดีหายเข้าไปในห้องอัด

นั่นล่ะคือความประทับใจครั้งแรกระหว่างเรา

ระหว่างการทำงานในห้องอัด โดยผมต้องคอยจัดตารางเวลา ไปรับส่งบ้างตามโอกาส และคอยดูแลทุกสิ่งอย่างให้เด็กคนนี้ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า อะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและรูปลักษณ์ อีกทั้งยังไม่เคยต้องลำบากเพราะมาจากครอบครัวที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลคนหนึ่ง กลายมาเป็นเด็กที่มีแต่ความแข็งกร้าว และมืดหม่นถึงเพียงนี้ อะไรที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเกลียดมนุษย์อย่างที่สุด ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจใคร ไม่เชื่อในเรื่องของการผูกสัมพันธ์กับใคร และเผลอๆน่าจะเกลียดตัวเองไม่น้อยเสียด้วย

หลายครั้งผมแอบเห็นแววของความเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่มที่ไม่น่าจะเกิดการทำงานอย่างแน่นอน และแววตาที่แข็งกร้าวคู่นั้นบางคราวก็ดูเศร้าจับใจ


********* To be continue ***********
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2012 19:00:46 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อายุต่างกันขนาดไหนเนี่ย

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อพาร์ต 2 ตอนจบของเรื่องนี้ให้แล้วนะคะ ^^

-----------------------------------------
เรื่องที่ 5: Guardian [Part II - จบ]

จนกระทั่งวันหนึ่ง น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมต้องไปรับโซ่จากบ้านเพื่อที่จะมาเข้าห้องอัดเหมือนเคย แล้วได้พบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของเด็กคนนี้ ชายหญิงวัยกลางคนที่ดูดีและภูมิฐานอย่างยิ่ง นั่งอยู่ในห้องรับแขกที่ใหญ่โตโอ่โถงของบ้านหลังใหญ่ที่น่าจะเรียกว่าเป็นคฤหาสถ์มากกว่า ดูอย่างไรก็เหมือนกับภาพที่ได้เห็นในละครหลังข่าวไม่มีผิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกเอามากๆก็คือ เจ้าของบ้าน และตัวบ้านช่างให้ความรู้สึกที่เหมือนกันจนน่าตกใจ บ้านหลังใหญ่แต่ไร้ชีวิตชีวา บ้านที่ตกแต่งหรูหราแต่กลับไม่น่าอยู่ ทั้งที่มันควรจะเป็นบ้านที่น่าจะมีความเป็นครอบครัวอยู่เต็มเปี่ยม แต่กลับไม่มีอะไรอย่างนั้นให้รู้สึกได้เลยจริงๆ ห้องพักในคอนโดมิเนียมของผมที่หรูน้อยกว่านี้สักสิบเท่า ยังน่าอยู่มากกว่าเป็นอักโข

“ผู้จัดการส่วนตัวโซ่มันงั้นหรือ” น้ำเสียงหยามหยันไม่ปิดบังดังขึ้นจากมุมที่คุณผู้หญิงของบ้านนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ โซ่หน้าตาดีเหมือนแม่ และท่าทางปากคอแบบนั้นก็คงไม่ได้มากจากใครอื่นเช่นกัน “เห็นทีต้องบอกให้พี่พลเลิกจุ้นจ้านกับโซ่มันเสียที” เธอพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“ผมจ้างให้คุณเลิกทำงานนี้ คิดเท่าไหร่” ประมุขของบ้านที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือเอ่ยขึ้นบ้าง
   
เออหนอ... คำว่าเอาเงินฟาดหัวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
   
“คงไม่ได้ครับ ผมรับงานจากคุณพลมาอีกที คุณต้องไปคุยกับคุณพลกันเอง อีกอย่าง...” ผมไม่ยากพูดคำนี้เลยให้ตายสิ “ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน”
   
“แหม อุดมการณ์สูงส่งจริง” หนนี้ผมแน่ใจว่า น้ำเสียงนั้นจงใจหยามผมจริงๆ
   
“โซ่มันลูกนักธุรกิจ คิดได้ยังไงว่าจะเป็นนักร้อง ฉันเป็นพ่อเป็นแม่มันยังไม่เคยเห็นว่ามันทำอะไรได้เลย แล้วนี่ถ้าออกเทปไป เกิดไม่ดังขึ้นมา ไม่ใช่แค่ตัวมันจะขายหน้า มันจะเสียถึงวงศ์ตระกูลด้วยน่ะสิ”
   
ผมว่าผมชักเข้าใจแล้วแฮะว่าโซ่ต้องเจอกับอะไรมาทั้งชีวิต จนทำให้เด็กคนนั้นเป็นแบบนี้
   
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมทำอะไรแล้วต้องขอพ่อกับแม่” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น “แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พ่อกับแม่สนใจว่าผมจะทำอะไรกับชีวิตบ้าง” ร่างนั้นก้าวเดินลงจากบันไดชั้นบนด้วยน้ำเสียงที่ห่างไกลกับคำว่าเป็นมิตรเต็มที
   
“พอมีลุงให้ท้ายเข้าหน่อย ก็กล้าพูดกับพ่อกับแม่แบบนี้ขึ้นมาเลยนะ” ผู้พ่อกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเสียหน้ามากกว่าที่ลูกชายมาต่อว่าพ่อแม่ตัวเองต่อหน้าคนอื่น เพราะลองฉะกันได้แบบไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ ผมว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกของบทสนทนาทำนองนี้หรอก
   
“เปล่า” โซ่กล่าวเยือกเย็น “แต่ไอ้การที่พอเห็นผู้จัดการของผมแล้วได้ทีพูดข่มผมให้คนอื่นฟัง ผมว่ามันก็แย่เหมือนกันนั่นแหละ” ไม่น่าเชื่อว่าคำว่า ‘ผู้จัดการของผม’ จะทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาดแบบนี้ “คงกะว่า จะเอาเงินฟาดหัวเขาเหมือนอย่างคนอื่นๆในชีวิตผมได้สินะ”
   
“ถ้าเงินมันไม่สำคัญสำหรับแกล่ะก็ ทำไมไม่ไปอยู่ที่อื่นซะล่ะ” ริมฝีปากแดงสดที่ของผู้เป็นแม่เอื้อนเอ่ยท้าทายลูกชายที่ผมดูยังไงก็ห่างไกลจากคำว่าครอบครัวไปมากจริงๆ “ที่แกอยู่สุขสบายทุกวันนี้ ก็เพราะเงินที่พวกฉันหามาไม่ใช่หรือไง เชื่อเถอะว่า ต่อให้แกโด่งดังขึ้นมา ก็เพราะนามสกุลของแกนี่แหละ ดังนั้นจงสำนึกไว้ซะว่าสิ่งที่พ่อกับแม่ทำให้แกต่างหากที่กรุยทางให้แก ทำให้ชีวิตแกง่ายขึ้น”
   
“พ่อกับแม่คิดแบบนั้นใช่ไหม” ถ้าผมตาไม่ฝาดล่ะก็ ผมเห็นประกายที่กราดเกรี้ยวในดวงตาของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจนเลย และเป็นประกายตาของคนที่ดูเหมือนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเสียด้วย
   
“พี่เชษฐ์ ไปกันเถอะครับ” ผมกับโซ่ไม่ได้อยู่รอฟังคำพูดบาดหูอะไรอีก ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถพร้อมกับขับออกไป
   
จากวันนั้นก็น่าจะหกเดือนเข้าไปแล้ว
   
ผมไม่ได้พบกับพ่อแม่ของโซ่อีก และภาวนาว่าไม่ต้องพบกันอีกเลยนั่นแหละดีที่สุด
   
แต่ที่เปลี่ยนไปมากๆ คงไม่ใช่แค่โซ่คนเดียว ตอนนี้โซ่ดูมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่ใช่เด็กที่รับมือยากคนเดิม แน่ล่ะ อาจจะยังคงดื้อไม่เบาเหมือนเดิม นิสัยคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นยิ่งแก้ยาก แต่โซ่เป็นเด็กที่น่ารักขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจนแม้แต่พี่พลเองยังตกใจว่าผมทำได้ยังไง
   
นึกย้อนกลับไป วันนั้นวันที่ผมกับโซ่ขับรถออกจากคฤหาสถ์หลังใหญ่ ผมโทรไปที่ห้องอัดเพื่อบอกเลื่อนนัดกับทีมงาน เพราะผมเห็นว่า มีเรื่องที่ต้องคุยกับ “ศิลปินในความดูแล” ของตัวเองเยอะเลยทีเดียว
   
ผมเลี้ยวรถเข้าไปในย่านที่คนไม่พลุกพล่าน หาร้านน่านั่งเพื่อสั่งอะไรมาดื่ม และถือโอกาสให้โซ่ได้สงบสติอารมณ์ด้วยไปในตัว เราไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำจนเครื่องดื่มที่สั่งมาวางอยู่ตรงหน้าแล้วนั่นแหละ
   
“ดีขึ้นหรือยัง” ผมเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
   
“มันไม่เคยดีขึ้นหรอก” คนพูดเอ่ยขึ้นพร้อมมองออกไปนอกร้าน “แต่ผมคงต้องออกจากบ้านนั้นเสียที”
   
“แล้วจะทำยังไงต่อ” ผมถาม เพื่อที่จะได้พบกับการส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ
   
“ผมไม่ได้เกลียดพ่อกับแม่หรอกนะ” โซ่หันมาคนแก้วกาแฟเบาๆ “และถ้ายังอยากจะรู้สึกแบบนั้นต่อไป ผมว่าผมต้องออกจากที่นั่น มันถึงเวลาแล้วล่ะ” โซ่เงยหน้าขึ้นมองผมชัดๆเป็นครั้งแรก “พี่เชษฐ์ ที่ผมเป็นคนแย่ๆอย่างทุกวันนี้น่ะ ไม่ใช่ผมไม่รู้นะ แต่ผมไม่รู้จะรับมือกับมันยังไง เพราะไม่มีใครบอกผมเลย ที่ผมโกรธอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะผมเกลียดตัวเอง และเวลาที่มันมีแต่ความโกรธและเกลียด ผมก็ทำงานไม่ได้ สำหรับคนที่อยากจะร้องเพลง อยากจะทำงานดนตรีแทบตายอย่างผม ถ้าทำงานไม่ได้ ผมจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร”
   
เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ผมได้ยินคำพูดยาวๆจากปากเด็กคนนี้ ไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นเรื่องราวของโซ่ที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวเอง “ผมอาจจะเรื่องมากกับเพื่อนร่วมงาน นั่นเพราะผมอยากให้สิ่งดียวที่ผมทำได้ดีออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ผมรู้สึกว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผมถึงเป็นคนแบบนี้”
   
ถ้าผมไม่ได้รู้สึกไปเอง ผมว่านี่คือคำขอโทษในแบบของโซ่นะ
   
“แต่มันก็น่าเจ็บใจนะ ที่ไม่ว่าผมจะพยายามยังไง พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเห็นมันเสียที จนผมจะมีผลงานออกมาอยู่แล้ว เขายังไม่รู้เลยว่าผมร้องเพลงได้ เล่นดนตรีได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไปเรียนด้านนี้มา” คำพูดผิดหวังยังพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ผมว่าผมเห็นน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในตาคู่สวยของเขา แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ยอมไหลออกมาเสียที
   
“โซ่...” ผมเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยนที่สุดนับตั้งแต่รู้จักกันมาหลายเดือน “พี่เข้าใจ เข้าใจทุกอย่างเลย ยิ่งวันนี้ พี่เห็นแล้วพี่ก็ยิ่งเข้าใจ” ผมบีบมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น “ที่ผ่านมา พี่ว่าเราไปกันได้ไม่เลวทีเดียว เธอเห็นด้วยกับพี่ไหม” โซ่พยักหน้าติดจะขัดเขินอยู่สักหน่อยที่ต้องยอมรับกับความจริงในข้อนี้
   
“งั้นก็ช่างคนอื่นเขาปะไร” ผมว่า “โซ่ก็เป็นตัวเองไปอย่างนี้แหละ ค่อยๆปรับตัวไปก็ได้ แล้วก็ฟังพี่ให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ที่พี่มาทำงานกับเรา ก็เพราะพี่เห็นแก่ลุงของโซ่ แต่ต่อไปนี้ พี่จะทำเพราะพี่เห็นแก่โซ่ ดังนั้น เราก็ต้องร่วมมือกันด้วย พี่ขอแค่นี้ โซ่ทำให้พี่ได้ไหม” ดวงตากลมโตที่มองตอบกลับผมมา ให้ความรู้สึกว่าโซ่เป็นเด็กหนุ่มสมวัยจริงๆเป็นครั้งแรก และนั่นน่าจะเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ผมเห็นรอยยิ้มจากใจจริงๆของเขา

ผมเงยหน้าขึ้นมองเวลาอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจว่าหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว จะเดินเข้าไปบอกให้คนในห้องข้างๆเข้านอนเสียที
   
เสียงประตูทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองร่างที่เดินออกมาอย่างช่วยไม่ได้
   
“พี่กำลังจะเข้าไปเตือนให้นอนได้แล้วอยู่พอดี”
   
“ไม่เตือนผมก็ว่าจะนอนแล้ว” ผมแทบหลุดขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้ามุ่ยๆที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่สบอารมณ์อย่างมากของอีกฝ่าย “หัวไม่แล่นเลยให้ตายสิ แค่เพลงเดียว ใช้เวลาเป็นชาติยังไม่เสร็จ จะทำมาหากินได้ยังไง” น้ำเสียงที่ออกอาการฉุนจัดทำเอาผมแทบหลุดก๊ากออกมา แต่ต้องสั่งให้ตัวเองหุบปากเอาไว้ หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงจะออกอาการอาละวาดฟึดฟัดหนักกว่านี้อีกเป็นแน่
   
“ไม่เอาน่า ไหนมานี่ซิ” ผมดึงแขนของอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวนุ่มหลังจากคอมพิวเตอร์ชัตดาวน์ลงเรียบร้อยแล้ว “แต่งเพลงไม่ได้เลยหงุดหงิดงั้นสิ” พอเห็นอีกฝ่ายเบ้ปาก นั่งไหล่ตก แถมยังทำหน้าเซ็งโลกขนาดนั้น ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้ไปที่ศีรษะเบาๆอย่างนึกเอ็นดู “แต่งเพลงใครเขาเครียดกันขนาดนั้น แล้วจะแต่งได้ดีได้ยังไง วันนี้พักก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยมาทำใหม่ก็ยังไม่สายน่า”
   
เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ถ้าพี่ว่ายังงั้น ก็เอายังงั้นแหละ” หนนี้ผมหลุดก๊ากออกไปจนได้ในที่สุด
   
“โซ่...” เด็กหนุ่มข้างตัวเงยหน้าขึ้นสบตา เห็นได้ชัดว่ายังเซ็งไม่หาย “ทำไมเดี๋ยวนี้ว่าง่ายดีจัง” ผมถามทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
   
“ก็ พี่บอกเองว่าให้เชื่อฟังพี่บ้าง ผมก็ทำอยู่นี่ไง” แน่ล่ะ ผมหัวเราะชอบใจกับคำตอบนั้น
   
“เด็กดี...” ผมบอกออกไป “แล้วนี่ นอนหลับสบายขึ้นบ้างหรือยัง” ที่ถามออกไปเพราะตอนที่โซ่ตอบตกลงเข้ามาพักอยู่กับผมนั้น ผมถึงได้รู้ว่าเขาเป็นโรคนอนไม่หลับมานาน ผมต้องใช้สารพัดวิธีเพื่อทำให้เขานอนหลับได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับที่เจ้าตัวสารภาพว่า นานๆจะใช้สักครั้งเวลาที่รู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ และปรากฏว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือการนอนเป็นเพื่อน และฟังเขาเล่าเรื่องที่อัดอั้นอยู่ในใจมานาน ระยะหลังก็ค่อยเป็นเรื่องทั่วๆไป บ่อยครั้งก็เริ่มมีเรื่องที่เบิกบานใจเข้ามาแทนที่มากขึ้น
   
โซ่พยักหน้า ก่อนจะเอนตัวมาพิงผมอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำจนติดเป็นนิสัยของเด็กคนนี้ไปแล้ว
   
“พี่เชษฐ์”
   
“ครับ”
   
“วันนี้พี่มานอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม” ผมก้มหน้าลงมองไปที่ศีรษะกลมๆที่ซบอยู่กับต้นแขนของผม
   
“ทำไมหรือ ระยะหลังนี่ก็หลับได้เองแล้วนี่” ผมถามอย่างนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ
   
“ก็แล้วถ้าผมอยากให้พี่มานอนด้วยเฉยๆไม่ได้หรือไง” น้ำเสียงแบบนี้ คนพูดกำลังหงุดหงิดแน่ๆ “ไม่เป็นไร ผมก็ถามไปยังงั้นเอง” ไม่ทันได้ฟังอะไรต่อ โซ่ก็ผลุนผลันลุกขึ้นไป อาศัยความมือไว ผมจึงคว้าข้อมือข้างหนึ่งของเจ้าเด็กเฮี้ยวเอาไว้ได้พอดี
   
“ปล่อย”
   
“เดี๋ยวซี”
   
“ผมจะไปนอนแล้ว”
   
“อ้าว... ไม่ให้พี่ไปนอนเป็นเพื่อนแล้วเหรอ” เจ้าตัวดีไม่ยอมมองหน้าผม เสหันไปมองทางอื่น แต่อาการขัดขืนนั้นคลายลงไปแล้ว
   
“ก็นึกว่าไม่อยาก...” น้ำเสียงนั้นอ้อมแอ้ม
   
ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับออกน้ำหนักดึงมือข้างนั้นเข้ามาหาตัว ร่างที่เล็กกว่าของโซ่จึงเซถลาเข้ามาในอ้อมกอดของผมพอดิบพอดี ผมจึงได้ทีกอดร่างนั้นเสียเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าโซ่ไม่ทันได้ตั้งตัว และตกใจกับการกระทำปุบปับนั้น ผมได้ใจจึงอดจะกดจมูกลงข้างแก้มที่นุ่มนวลของโซ่ไม่ได้จริงๆ จำได้ว่าตอนที่ผมหอมเขาครั้งแรกนั้น ทำเอาเจ้าตัวตาค้างไปไม่เป็นเลยทีเดียว แต่ก็ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก เพราะกะว่าคราวนั้นคงจะต้องแลกกับกำปั้นลุ่นๆเสียแล้ว หนนี้ผมจึงได้ใจว่า ไม่ถูกต่อยแน่นอน ถึงยอมลองเสี่ยงดูอีกครั้ง ผลที่ออกมาก็คืออาการเขินจัดจนหน้าแดงของคนในอ้อมกอด ก่อนจะผลักผมออกเบาๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไป
   
“ไอ้ผู้จัดการทะลึ่ง” เสียงนั้นลอยลมขึ้นมาเบาๆแต่คงกะให้ผมได้ยินด้วยนั่นแหละ แต่อาการที่เจ้าตัวยกมือข้างหนึ่งแตะแก้มข้างที่โดนหอมเข้าไปนั้น ทำเอาผมยิ้มไม่หุบเลยจริงๆ
   
ครับ ผมตกหลุมรักศิลปินที่ผมดูแลอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยและผิดจรรยาบรรณเอามากๆถ้าเกิดใครมารู้เข้า แต่ผมชอบเขาจริงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้อีกทีผมก็เกิดชอบเข้าไปแล้ว ตอนที่ผมออกปากถามเขาว่าจะย้ายมาอยู่กับผมไหม แล้วเขาดันรับปาก ผมก็ยังนึกประหลาดใจอยู่ แต่ยิ่งพอเวลาผ่านไปผมว่า เขากับผมมันใช่แล้วล่ะ
   
ถึงจะเป็นการพูดแบบเห็นแก่ตัวและเข้าข้างตัวเองอยู่สักหน่อย ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่า ยังไงการทำงานที่ได้ดูแลคนที่เรารักมากๆ ก็น่าจะดีกว่า ปล่อยให้คนอื่นมาทำแทนล่ะนะผมว่า
   
“จะรอให้พระอาทิตย์โด่งฟ้าก่อน แล้วค่อยมานอนหรือไงพี่เชษฐ์!” น้ำเสียงคุ้นหู เอ่ยทำลายบรรยากาศดีๆที่ผมสร้างขึ้นพังครืนลงไม่เป็นท่า ก็นี่ไงล่ะ คนที่ผมรัก ถ้าไม่ใช่ผม ใครกันจะรับมือเขาได้
   
ผมปิดไฟ ตรวจความเรียบร้อยเสร็จ จึงเดินเข้าห้องที่น่าจะเข้าไปนอนบ่อยกว่าห้องตัวเองเสียอีกในรอบหลายๆเดือนมานี้

--------------------------- END ---------------------------

จบไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วค่ะ อ่านให้สนุกนะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2012 00:10:11 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
นึกว่าน้องโซ่จะกดผู้จัดการซะอีก 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด