พิมพ์หน้านี้ - ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: HuskyLover ที่ 09-04-2017 17:26:07

หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 09-04-2017 17:26:07
เข็นรักขึ้นภูเขา

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)

ผม { แพ้ความขาวน่ารัก } ของเขาตั้งแต่แรกเจอ
ผู้ชายอะไร { ปากโคตรชมพู } นมชมพู อยากรู้ว่าตรงนั้นจะชมพูด้วยไหม? 555
ผมเพ้อจนเผลอคิดว่าถ้า { ปล้ำคนพิการ } ขึ้นมาจะบาปหรือเปล่า?

แต่...เราสองคนก็ { ต่างกันมาก }

ผมเดิน  { เขาใช้วีลแชร์ }
ผมเป็นนายแบบ  { เขาเป็นลูกคุณหนู }
ผมจน  { เขารวย }
ผมเป็นพลังงาน  { เขาเป็นทิศทาง }


สำหรับผม - ใครๆ ก็คงคิดว่าผมแค่หวังมาหลอก (แดก) แม้กระทั่งคนพิการ
{ สำหรับเขา - ใครๆ ก็คงแอบนินทาว่าพิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์อีก }


สรุปว่า...เราสองคนจะไปด้วยกันได้ไหม?


นิยายเรื่องนี้เป็นจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ไม่มีเค้าโครงความจริงหรืออ้างอิงความจริงจากหน่วยงานหรือบุคคลใดๆ บุคคลในภาพประกอบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนิยายที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/101328489-member.jpg)

-----------------------------------------------------------------

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

------------------------------

สารบาญ

EP01 ♿ เขาทำผมใจสั่นไหว ☕ https://goo.gl/355YMn
EP02 ♿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม ☕ https://goo.gl/8gLJsV
EP03 ♿ ผมอยากได้กำลังใจจากเขา ☕ https://goo.gl/pSX6jg
EP04 ♿ ผมแพ้ผู้ชายน่ารักซะแล้ว ☕ Part 1 https://goo.gl/8k3C62 - Part 2 https://goo.gl/wPZBZS
EP05 ♿ พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก? ☕ https://goo.gl/AiAK22
EP06 ♿ ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ☕ https://goo.gl/C85Xet
EP07 ♿ พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ ☕ PART 1 - https://goo.gl/9edNKO PART 2 - https://goo.gl/TeB0pO
EP08 ♿ พรุ่งนี้ไม่สาย ☕ Part 1 - https://goo.gl/oplukT Part 2 - https://goo.gl/UP4VYm
EP09 ♿ พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ☕ https://goo.gl/aNBWTC
EP10 ♿ โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ☕ Part 1 - https://goo.gl/vRVcYm Part 2 - https://goo.gl/TR2ezz
EP11 ♿ ไอ้อินด้านมืด ☕ Part 1 https://goo.gl/8FSZQ8 - Part 2 https://goo.gl/gO5Qdz
EP12 ♿ คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก ☕ Part 1 https://goo.gl/7uWp3Z - Part 2 https://goo.gl/0U2WHh
EP13 ♿ เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ - https://goo.gl/hCC7FD
EP14 ♿ เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย ☕ Part 1 https://goo.gl/BiQ8qu - Part 2 https://goo.gl/YGT3yf
EP15 ♿ เป็นเมียก็ยอม ☕ Part 1 https://goo.gl/yR5QLe - Part 2 https://goo.gl/v2ZEuc
EP16 ♿ อุดมการณ์และความรัก ☕ Part 1 https://goo.gl/TtKV6W - Part 2 https://goo.gl/ZgGcph
EP17 ♿ เมื่อผมต้องการพิสูจน์ ☕ Part 1 https://goo.gl/SwtjX2 - Part 2 https://goo.gl/d5KwbY
EP18 ♿ เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ ☕ Part 1 https://goo.gl/C93y9A - Part 2 https://goo.gl/SZTk3i
EP19 ♿ เมื่อผมหึงเขา ☕ Part 1 https://goo.gl/MHizEK - Part 2 https://goo.gl/UvB1aF
EP20 ♿ คิวท์บอยผู้น่าสงสาร ☕ https://goo.gl/3j1WfB
EP21 ♿ แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ ☕ Part 1 https://goo.gl/deHDBT - Part 2 https://goo.gl/ghKFsZ
EP22♿ เวลา... ☕ Part 1 https://goo.gl/aGHjoE - Part 2 https://goo.gl/2xo16g
EP23♿ แฟนผมเป็นคนใจกว้าง ☕ Part 1 https://goo.gl/AHjLXz - Part 2 https://goo.gl/92RG9M
EP24♿ รุมเร้า ☕ Part 1-2 https://goo.gl/es9KCu Part 3 - https://goo.gl/eEdR3d
EP25♿ เย็นเศร้า คืนซี๊ด ☕ Part 1 - https://goo.gl/hYDVar Part 2 - https://goo.gl/vjn8EN Part 3 - https://goo.gl/r7w4JQ
EP26♿ หลอกแดกคนพิการ ☕ Part 1 - https://goo.gl/AmEQ5C Part 2 - https://goo.gl/N3QFJe
EP27♿ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ☕ Part 1 - https://goo.gl/xACakN Part 2 - https://goo.gl/KQYquT Part 3 - https://goo.gl/DHShof
EP28♿ คุณแม่ขอร้อง ☕ Part 1 - https://goo.gl/6gyaT8 Part 2 - https://goo.gl/8nUpd9 Part 3 - https://goo.gl/WLWDyc
EP29♿ ความจริงที่ยากจะรับได้ ☕ Part 1 - https://goo.gl/2wtsE9 Part 2+3 - https://goo.gl/EjdXKv
EP30♿ Moving Forward (จบ) ☕ Part 1 - https://goo.gl/eomppp Part 2 - https://goo.gl/sDx5SW
EP31♿ พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) - ตอนพิเศษ ☕ Part 1 - https://goo.gl/V4ZiNZ Part 2 - https://goo.gl/5GSNPj Part 3 - https://goo.gl/gckE3R

------------------------------

หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 เขาทำผมใจสั่นหวั่นไหว - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 09-04-2017 17:30:52
EP01
เขาทำผมใจสั่นหวั่นไหว

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

​อีกแล้ว! แม่โทรมาอีกแล้ว ตั้งแต่ตื่นลืมตา ผมต้องคอยรับโทรศัพท์แม่ไม่รู้กี่รอบแล้ว จะไปเรียนสายก็เพราะคุยกับแม่นี่แหละ ไม่รู้ว่าจะเป็นห่วงอะไรผมนักหนา บางทีผมก็ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ผมก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว แต่แม่ก็ยังคงห่วงผมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสมอ จนบางทีผมว่ามันก็มากเกินไป

"ต่อไปกัปตันไม่ทำแบบนี้อีกนะลูก แม่เตือนหลายครั้งแล้วว่าอย่ากินของข้างทาง ตัวเราก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ด้วย แล้วแน่ใจนะว่าไปเรียนไหว"

"ไหวสิครับแม่ ผมไม่ได้เป็นไรมากซะหน่อย อีกอย่างเรียนวันแรกด้วย ยังไงก็ต้องไปครับ"

"แม่รู้ แต่ว่าพักสักวันก่อนดีไหมลูก ถ้าเกิดท้องเสียในห้องเรียนขึ้นมาอีกจะทำไง ห้องน้ำห้องท่าก็ยิ่งไม่ค่อยสะดวกอยู่"

"โธ่แม่ แม่ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมหายแล้ว ตอนนี้โอเคแล้ว ส่วนเรื่องห้องน้ำ เมื่อวานพี่โดมพาผมไปดูแล้วว่ามันมีห้องน้ำที่ผมเข้าได้อยู่ตรงไหนบ้าง"

"แล้วมันไกลหรือเปล่าล่ะลูก เกิดฉุกเฉินขึ้นมาจะไปทันไหม ยังไงแม่ว่าพักก่อนสักวันดีกว่านะกัปตัน พรุ่งนี้ค่อยไปเรียนก็ได้ เดี๋ยวแม่จะพาไปหาหมอ"

"ผมหายแล้วแม่ ตอนนี้ผมก็ไม่ปวดแล้ว เมื่อคืนพี่โดมเอายามาให้กิน หายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ" ผมค้าน แต่แม่ก็ยังไม่วายบ่นกระปอดกระแปด แถมยังต่อรองนั่นนี่จนผมชักอ่อนอกอ่อนใจ แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอม แม่ก็เลยเป็นฝ่ายถอย

"งั้นกัปตันรออยู่ที่ห้องก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะโทรบอกพี่โดมให้ไปหา ให้พี่เขาช่วยพาไปที่ห้องเรียนดีกว่า เผื่อมีอะไรพี่เขาจะได้ช่วยกัปตันได้ทันไง"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมออกมาแล้ว อีกอย่าง วันนี้พี่โดมมีเรียนบ่ายด้วย ผมไม่อยากกวนเขา ผมไปเองได้น่ะแม่ ผมโตแล้วนะ" ผมเถียงอย่างเหนื่อยใจ

เมื่อวานพี่โดมกับเพื่อนพาผมไปกินอาหารข้างหลังหอพักนานาชาติ รสจัดเอาเรื่องเลย ผมก็เลยกินได้เป็นบางอย่าง ถึงพี่โดมจะสั่งของที่ไม่เผ็ดมากมาให้กิน หรือไม่ก็ให้เขาใส่พริกน้อยลง แต่เพราะไม่เคยกินมาก่อน พอกลับถึงหอพักผมก็ท้องเสีย

หลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ จู่ๆ แม่ก็โทรมาต่อว่าผมใหญ่เลยว่าไม่ควรไปกินอาหารข้างทางจนท้องเสีย ตอนแรกแม่ว่าจะมาดูผมที่หอพัก ผมต้องหว่านล้อมสารพัดไม่ให้แม่มาหา ดีที่พี่โดมเอายามาให้ผมซะก่อน แม่ก็เลยเปลี่ยนใจไม่มาหาผมกลางดึก มีพี่โดมอยู่ใกล้ๆ ก็ดีอย่างนี้แหละ แต่พี่โดมอาจจะไม่คิดอย่างผมก็ได้ เจอคุณแม่จอมแพนนิคของผมเข้าไป ชีวิตคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ

"ตายจริง แล้วกัปตันออกไปยังไงล่ะลูก ขับรถไปหรือเปล่า" แม่ผมขึ้นเสียงสูง

"ใกล้แค่นี้เองครับแม่ ผมไปเองได้ แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ผมต้องรีบไปเรียน จะไม่ทันแล้ว"

ผมถือโอกาสตัดบทเอาดื้อๆ ไม่อย่างนั้นแล้วผมคงไม่ได้ไปไหน ผมรับโทรศัพท์แม่ไปหลายรอบแล้ว แกเทียวไล้เทียวขื่อจะให้ผมไปโรงพยาบาลและหยุดเรียนให้ได้ แต่ผมไม่อยากพลาดวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ เพราะได้ข่าวมาว่าข้อสอบยากสุดๆ คนที่อยากผ่านต้องมาเรียนและจดด้วยตัวเองเท่านั้น

ผมใช้แผนที่กูเกิ้ลวัดระยะทางจากหอพักมาที่ตึกเรียนคณะสถาปัตย์ ทั้งสองที่ห่างกันแปดร้อยเมตร ต้องข้ามถนนสองจุด อยู่ในวิสัยและระยะที่ผมพอจัดการได้ ผมจึงไม่ขับรถมา เพราะขี้เกียจหาที่จอด แต่บางวันอาจจะต้องใช้บ้าง โดยเฉพาะถ้าต้องออกไปข้างนอก

ผมมาถึงทางเดินลอดใต้ถนน ข้ามตรงนี้ไปอีกหน่อยก็จะถึงรั้วมหาลัยฝั่งตรงข้าม ตึกเรียนของผมอยู่ถัดเข้าไปอีกหน่อย เสียดายที่ผมไม่สามารถใช้ทางลอดนี้ได้ จึงต้องเสี่ยงข้ามถนนเอา อาศัย รปภ. ที่อยู่แถวนั้นให้ช่วยโบกรถให้

ในที่สุดผมก็ข้ามถนนมาได้ จากนั้นก็ตรงไปยังตึกเรียนของคณะ เหลืออีกแค่ห้านาทีเท่านั้นจะเก้าโมง วิชานี้เช็คชื่อตรงเวลาเป๊ะ เพราะฉะนั้นผมจะสายไม่ได้ ถ้าไม่มัวแต่เสียเวลาคุยกับแม่ ป่านนี้ผมคงถึงห้องเรียนไปนานแล้ว ทั้งที่อุตส่าห์รีบตื่นแต่เช้า

"ถึงห้องเรียนหรือยัง"

ข้อความไลน์ผมเด้งขึ้นมาขณะที่ผมมาหยุดอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้น พี่โดมส่งข้อความมาถามนั่นเอง ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่นึกว่าจะตื่นเช้าขนาดนี้ สงสัยแม่ผมคงโทรไปกวนแน่ๆ

"กำลังจะถึง หูชาตั้งแต่เช้าเลย 555" ผมกดพิมพ์ตอบไป

"พี่ขอโทษ น้าเล็กถามเยอะไงเมื่อคืน พี่ก็เลยเผลอบอกแกไปว่าเราท้องเสีย" พี่โดมบอกสาเหตุที่ทำให้แม่ผมรู้เรื่องนี้ ที่จริงก็บอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ

"ไม่เป็นไรพี่ 555" ผมตอบไปอย่างอารมณ์ดี ใครเจอแม่ผมซักก็จะเป็นแบบนี้แหละ ถ้าแม่อยากรู้อะไร คนที่ถูกถามจะโดนซักจนหลงและเผลอคายความจริงออกมาจนได้

"หารูมเมทมาอยู่ด้วยสิ น้าเล็กจะได้ไม่ห่วง" พี่ชายสุดหล่อของผมเสนอทางออกให้

ที่จริงผมก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่แม่ผมดันซื้อคอนโดขนาดห้าสิบตารางเมตรให้ ใครจะกล้ามาเป็นรูมเมทกับผมล่ะ ห้องใหญ่ขนาดนี้ ค่าเช่าคงไม่ต้องพูดถึง เกินหมื่นบาทต่อเดือนแหงๆ นักศึกษาส่วนมากยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ใครจะกล้ามาเช่าคอนโดแพงๆ แบบนี้อยู่ ที่จริงผมจะคิดค่าเช่าถูกๆ ก็พอได้ แต่ก็ยังกังวลหลายเรื่องถ้าจะมีคนมาแชร์ห้องด้วย

ถ้ามีคนมาอยู่ด้วยแล้วทำให้แม่ห่วงผมน้อยลง ผมว่ามันก็น่าสนใจไม่น้อย แต่จะเป็นใครดีล่ะ ผมยังไม่สนิทกับใครเลย

"จะขึ้นเหรอ"

เสียงทุ้มๆ นุ่มๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อผมหันไปดู ก็เห็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมมาหยุดยืนใกล้ๆ เจ้าตัวหอบเล็กน้อย สงสัยจะรีบวิ่งมา

แม้จะเห็นเป็นเวลาสั้นๆ ผู้ชายคนนี้ก็มีรายละเอียดหลายอย่างที่น่าสนใจ เขาใส่ชุดนักศึกษาแขนยาวสีขาว ผูกไทด์สีกรมท่าซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของมหาลัยอยู่ กางเกงสแล็คสีดำ รองเท้าหนังมันวาว ถูกระเบียบเป๊ะแต่ก็ดูทันสมัย เขามีรูปหน้าแหลม ดวงตาคมโต รูปร่างสูงชะลูดอย่างกับนายแบบ มาพร้อมกับเป้สีดำสะพายไพล่ข้างหลัง

แต่สิ่งที่น่าสะดุดตามากที่สุดในตัวเพื่อนใหม่คนนี้ก็คือใบหน้าหล่อใสทว่าคมคาย แถมยังซ่อนความกวนและแววทะเล้นไว้ในคู่ดวงตาที่มองมาด้วย

"ใช่" ผมรับคำ ก่อนถาม "เรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์เหมือนกันเหรอ"

"ใช่ๆ แล้วจะขึ้นยังไงล่ะ" คิ้วหนามุ่นเข้าหากันขณะมองไปรอบๆ ตรงทางขึ้นอาคารมีแต่บันไดสามสี่ขั้น ไม่มีจุดไหนที่ผมสามารถขึ้นได้เลย

"มีทางลาดอยู่ข้างหลัง" นักศึกษาชายรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาบอก เขาเข้ามาเมียงคล้ายกับอยากจะช่วย

ผมทำท่าครุ่นคิด ถ้าไปขึ้นข้างหลังคงไม่ทันแน่ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวซะแล้วในตอนนี้

"ขี่หลังกูดีกว่า" เพื่อนใหม่ของผมอาสา ก่อนหันไปบอกรุ่นพี่ผู้ชายคนนั้น "ผมวานพี่ช่วยยกอันนี้ขึ้นไปไว้รอข้างบนหน่อยครับ ฝากกระเป๋าด้วย"

"ได้ๆ" รุ่นพี่ชายผู้ชายคนนั้นยิ้มเต็มใจ ก่อนรับกระเป๋าเป้ที่เพื่อนใหม่ผมส่งให้ไปสะพายร่วมกับของตัวเอง

"ขี่หลังเร็ว" คนหน้าคมเร่ง เขาย่อตัวลงต่ำ ผมไม่มีเวลาลังเลมากนักจึงรีบกอดคอเขาไว้ เขายืดตัวขึ้นและรีบก้าวเดินขึ้นบันไดอย่างมั่นคง ท่าทางจะแข็งแรงไม่น้อย ส่วนรุ่นพี่ผู้ชายคนนั้นก็รีบยกรถวีลแชร์ของผมขึ้นไปรอไว้ เมื่อเพื่อนใหม่พาผมเดินมาถึงวีลแชร์ เขาก็ย่อตัวลงต่ำเพื่อให้ผมลงไปนั่งได้ง่าย

"ขอบใจมาก ขอบคุณนะครับพี่" ผมยิ้มขอบคุณทั้งสองคนพร้อมกับจัดท่านั่งให้เรียบร้อย

"รีบไปเหอะ จะไม่ทันแล้ว" เพื่อนใหม่เริ่มลนลานเพราะใกล้เวลาเต็มที

เราสองคนลารุ่นพี่แล้วรีบมุ่งตรงไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ส่วนมากนักศึกษาทั่วไปจะไม่ได้ใช้ แต่ผมได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ โชคที่กดปุ๊บมันก็เปิดปั๊บ จึงไม่ต้องเสียเวลารอ ไม่นานมันก็พาเราเลื่อนระดับมาอยู่ชั้นสาม ตอนนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งนาที เราสองคนจึงต้องรีบตรงไปยังห้องเลคเชอร์สุดชีวิต คนหนึ่งเข็น คนหนึ่งวิ่ง โชคดีที่มาทันอย่างฉิวเฉียด

เราสองคนเลือกนั่งอยู่หลังสุด แต่ก็ยังเป็นเป้าสายตาเพื่อนๆ อยู่ดีเพราะมาสาย แถมยังย้ายเก้าอี้ดังเอี๊ยดอ๊าด แต่พออาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ทุกคนก็เบนความสนใจไปทางนั้นแทน

"แล้วมึงจะจดไงวะ" เพื่อนใหม่ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ อาจารย์ผู้หญิงที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ชี้บอก "ของเธอใช้โต๊ะได้เลยนะคะ อาจารย์เตรียมไว้ให้แล้ว ใครก็ได้ช่วยเอาโต๊ะให้เพื่อนหน่อย"

ใครก็ได้คนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนใหม่ของผมที่เพิ่งเจอกันนั่นเอง เขารีบลุกไปลากโต๊ะนักเรียนสีขาวซึ่งทั้งเล็กและเบามาให้ผมอย่างไว ผมรู้สึกดีไม่น้อยที่ทางมหาลัยเข้าใจความต้องการของผมขนาดนี้

ไม่นานเราก็พร้อมที่จะเรียน นักศึกษาวันนี้ค่อนข้างหนาตา เพราะนักศึกษาจากทุกภาควิชาจะเรียนด้วยกันในช่วงปีที่หนึ่งเพื่อปรับพื้นฐาน ก่อนที่บางส่วนจะค่อยๆ แยกกันไปในปีที่สองและสาม และแยกกันเรียนโดยสมบูรณ์ในปีที่สี่และห้า

"เฮ้ย มึงมีปากกาเปล่าวะ กูลืมเอามาว่ะ" เพื่อนใหม่ผมหันมาถาม ในขณะที่มือก็ควานหาของในกระเป๋าเป้ไปด้วย

ผมหยิบกระเป๋าเป้มาค้นบ้าง ไม่นานก็ได้ปากกาหนึ่งแท่งส่งให้เพื่อนใหม่ ปกติผมก็จะเตรียมไว้หลายๆ แท่งอยู่แล้ว เพราะถ้าใครจะเรียนคณะนี้ อุปกรณ์และเครื่องเขียนต้องพร้อม

"ขอบใจ โห…ใช้ของดีซะด้วยเว้ย แพงนะเนี่ยยี่ห้อเนี้ย" เพื่อนใหม่ผมชม ผมหันไปยิ้มแล้วก็หันไปสนใจฟังอาจารย์บรรยายต่อ ในขณะที่เพื่อนใหม่ก็ยังอยากรู้และถามไม่เลิก

"มึงชื่ออะไร กูชื่ออะตอม"

"กัปตัน" ผมแวบไปมองสั้นๆ ด้วยความที่เป็นเด็กเรียน ผมจึงค่อนข้างสนใจการเรียนมากกว่าอย่างอื่น

"ทำไมมาสายล่ะ ตื่นสายเหรอ"

"เปล่า มีปัญหานิดหน่อย" ผมตอบโดยไม่หันไปมอง

"เมื่อเช้าบีทีเอสคนแน่นมาก เกือบมาไม่ทัน" อะตอมบอก ก่อนถามกลับ "แล้วมึงมาไง อย่าบอกนะว่าเข็นมา"

"เออ" ผมตอบสั้นๆ กระนั้นน้ำเสียงและท่าทางของผมก็เป็นมิตร คงเป็นเพราะถูกชะตากับเพื่อนใหม่ผู้มีน้ำใจ เขาเข้ามาช่วยผมโดยไม่ต้องร้องขอ แถมยังไม่แสดงท่าทางแปลกแยกให้เห็น น่าจะเป็นคนมีทัศนคติดีมากคนหนึ่ง

อะตอมคงเห็นว่าผมสนใจฟังอาจารย์มากกว่า เจ้าตัวจึงหยุดชวนคุยโดยปริยายและหันมาตั้งใจจดเลคเชอร์ ตอนนี้มีแต่เสียงของอาจารย์ สลับด้วยเสียงวัตถุต่างๆ กระทบกันและเสียงพูดคุยเบาๆ ของนักศึกษาในห้องเป็นระยะๆ วันแรกๆ ก็คงเป็นแบบนี้ แต่พออยู่ไปสักพักและเริ่มเก๋า ภาพที่เห็นในวันนี้ก็คงจะเปลี่ยนไป


<<<ATOM>>>

​หลังเรียนภาคเช้าเสร็จ ท้องเราก็เริ่มหิว แม้ว่าจะยังไม่เหนื่อยมากเพราะเพิ่งเรียนวันแรก แต่พวกเราก็ตื่นเต้นกับชีวิตในรั้วมหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศไม่น้อย หนึ่งเรื่องที่น่าตื่นเต้นก็คือการกินนี่แหละ เพราะที่นี่มีโรงอาหารหลายแห่งให้เลือก มีเจ้าอร่อยหลายเจ้า รุ่นพี่บอกว่าถ้าเบื่อเจ้านี้ก็ไปกินเจ้าอื่น หรือจะออกไปกินข้างนอกก็ยังได้ เพราะแถวนี้ห้างเพียบ ฟังๆ ดูแล้วก็น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่จริงผมมีแผนว่าจะไปกินข้าวคณะนิเทศ ผมนัดอั้มแฟนผมไว้แล้ว ว่ากันว่าโรงอาหารคณะของเธอนั้นมีของอร่อยๆ ให้กินหลายอย่าง เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาของที่นี่ ที่สำคัญ คณะนี้มีสาวๆ สวยๆ ละลานตา หนุ่มๆ จึงชอบไปเพราะได้กินทั้งอาหารกายและอาหารตาพร้อมกัน

พอเลิกคลาส ผมยังไม่ได้ไปทันที กะว่าจะช่วยกัปตันซื้อข้าวกินเสียหน่อย แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่เป็นไร

"มึงมีธุระไม่ใช่เหรอ ก็ไปดิ ไม่ต้องมาช่วยกูหรอก แค่นี้สบายมาก"

ผมยืนหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็จะรีบไปหาอั้มเพราะเธอส่งไลน์มาเร่งแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ห่วงเพื่อนใหม่เพราะไม่แน่ใจว่าจะถือจานข้าวไปวางที่โต๊ะเองได้หรือเปล่า

"มึงทำได้เองแน่นะเว้ย" ผมไม่วายเป็นห่วง

"เออ เดี๋ยวแฟนมึงรอ" กัปตันบอกยิ้มๆ

ที่จริงผมไม่ได้บอกกัปตันว่าผมมีแฟนหรอก แต่อาการผมคงจะฟ้องว่าอยากไปหาคนสำคัญ คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร

เมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น ผมจึงค่อยสบายใจ "เออๆ งั้น...เดี๋ยวตอนบ่ายเจอกันนะเว้ย"

"เออ กินข้าวให้อร่อยเพื่อน" กัปตันบอกอย่างอารมณ์ดี

ผมค่อยๆ ถอยออกจากแถวซึ่งมีนักศึกษายืนต่อคิวกัน จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอั้ม เมื่อฝ่ายนั้นรับ ผมก็รีบบอก

"กำลังจะไปแล้วนะ รอแป๊บนึง"

"รีบมาเลย หิวจะแย่แล้ว ทำอะไรอยู่ตั้งนาน" แฟนผมบ่น แต่น่าจะยังไม่งอนเท่าไหร่

"โอเคๆ อีกห้านาทีเจอกัน"

ผมบอกพลางเร่งฝีเท้า พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนจานหรือข้าวของบางอย่างตกพื้นเสียงดัง ตามด้วยเสียงร้องวี้ดว้ายตกใจ

"ว้ายน้อง พี่ขอโทษๆ โอ๊ย ทำไงดี เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวพี่เก็บให้"

เมื่อหันไปมอง ผมก็เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเก็บจานที่หล่นอยู่บนพื้นทางเดินขึ้นมาวางบนโต๊ะใกล้ๆ ดีที่มันเป็นจานพลาสติกจึงไม่แตกเสียหาย เธอหน้าซีดและดูตกใจมากทีเดียว ผมจึงรีบเดินไปดูเพราะเห็นว่ากัปตันก็อยู่ตรงนั้นด้วย ไม่รู้ว่ามีอะไรกัน

"ตายแล้ว เปื้อนหมดเลย ทำไงดี" รุ่นพี่ผู้หญิงหน้าเสีย

"มีอะไรเหรอกัปตัน” มาถึงผมก็ถาม แต่พอเห็นคราบอาหารเปรอะเปื้อนบนเสื้อของเพื่อนจึงไม่ต้องการคำตอบ

พี่ผู้หญิงเปิดประเป๋าถือพลางหยิบกระดาษทิชชู่ออกมา ทำท่าจะเช็ดคราบอาหารที่เปรอะตามเสื้อและกางเกงของกัปตันให้ แต่มันก็เลอะเทอะจนไม่สามารถใช้กระดาษทิชชู่เช็ดทำความสะอาดได้

"ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมพาเพื่อนไปห้องน้ำดีกว่า" ผมรีบบอกพี่คนนั้นก่อนที่เธอจะลงมือ

"ไม่ต้องทำอะไรนะคะ เดี๋ยวป้าทำความสะอาดเอง" แม่บ้านที่ทำความสะอาดโรงอาหารเดินมาบอก บนพื้นมีข้าวมันไก่หกเรี่ยราด ส่วนเสื้อและกางเกงของกัปตันก็มีทั้งเม็ดข้าว น้ำจิ้มข้าวมันไก่และน้ำซุปเลอะกระจายตามตัว

"พี่ขอโทษนะคะน้อง เมื่อกี้พี่ไม่เห็นจริงๆ เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่นะ" พี่ผู้หญิงทำหน้ารู้สึกผิด

"ไม่เป็นไรครับพี่" กัปตันบอก พยายามยิ้มให้อีกฝ่าย แต่สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงอายสายตาคนอื่นๆ ที่มองมา

“ไปเหอะ” ผมให้สัญญาณ ก่อนรีบเข็นเพื่อนออกไป

รถเข็นคันนี้ดูเล็กกะทัดรัด มีน้ำหนักเบา ดีไซน์สวย คงจะราคาแพงไม่น้อย กัปตันจึงดูไม่เหมือนคนนั่งวีลแชร์ที่น่าสงสาร เหมือนที่เรามักพบเห็นตามโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่มันเป็นรถวีลแชร์ที่ช่วยให้ผู้นั่งดูเท่มากทีเดียว

"ห้องน้ำวีลแชร์อยู่ตรงไหนครับพี่" ผมถามรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งระหว่างทาง เขาชี้ไม้ชี้มือให้ดู ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็รีบเข็นเพื่อนไปตามนั้น

โชคดีที่มันไม่ถูกล็อคไว้ ผมรีบเลื่อนประตูบานเลื่อนออก ทางเข้ากว้างพอสมควรทีเดียว พื้นที่ข้างในก็กว้างจนแทบจะนอนเล่นได้ น่าจะออกแบบตามหลักสากลนั่นเอง ที่คณะนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องยูนิเวอร์แซลดีไซน์หรือการออกแบบที่เป็นสากล จึงไม่ลืมทำสิ่งอำนวยความสะดวกแบบนี้ไว้ให้ด้วย

พอล็อคประตูห้องน้ำ ผมก็สั่ง "ถอดเสื้อออก เดี๋ยวกูจะล้างให้"

กัปตันหน้าเหวอ แต่สักพักเขาก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ ก่อนถอดออกและส่งมาให้ผม เหลือเสื้อกล้ามสีขาวปิดบังผิวเนื้อบางส่วนไว้ เจ้าตัวมีผิวขาวจัด ปากสีแดงอมชมพูโดยธรรมชาติ ผิวเนียนละเอียดสวยจนเหมือนผิวผู้หญิง สะดุดตาผมมากทีเดียว

ผมรับเสื้อของกัปตันมา ก่อนเดินไปที่อ่างล้างหน้าและเปิดน้ำ ใช้น้ำล้างตรงบริเวณที่มีคราบเปื้อนให้ออกก่อน จากนั้นก็เอาสบู่เหลวซัก ส่วนกัปตันดึงม้วนกระดาษทิชชู่ตรงโถส้วมออกมาหลายๆ ทบ ก่อนเช็ดคราบเปื้อนตามรถและกางเกงสแล็คออก

"พี่เขาเดินชนมึงเหรอ" ผมหันไปถาม

"เออ เดินมาข้างหลังกูเว้ย แล้วเขาก็มัวแต่คุยโทรศัพท์ ไม่ดูอะไรเลย" กัปตันบ่นระคนขำ "เออ...แล้วมึงไม่ไปกินข้าวกับแฟนเหรอ"

เมื่อถูกเตือนผมก็หน้าเสีย เมื่อกี้ผมมัวแต่ห่วงเพื่อนจนลืมว่าต้องไปหาอั้ม ป่านนี้คงรอแย่ ผมรีบปิดน้ำแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดู อั้มส่งไลน์มาบอกผมสองสามข้อความ ข้อความสุดท้ายเขียนว่า

"ไม่ต้องมาแล้ว เดี๋ยวอั้มจะไปกินกับเพื่อน"

เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันไปบอกเพื่อน "ไม่ไปแล้ว"

"แล้วเขาจะไม่โกรธมึงเหรอวะ" กัปตันสงสัย

"ช่างเหอะ ไม่ใช่นัดพิเศษอะไรหรอก เออ...สงสัยกูว่ามึงต้องถอดกางเกงมาซักด้วยนะเนี่ย น้ำจิ้มเต็มเลย เข้าไปเรียนในห้องแอร์คงเหม็นทั้งห้อง" ผมถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง

"เอางั้นเหรอ" กัปตันหน้าแหย

"เออ หรือมึงอยากเผื่อแผ่กลิ่นน้ำจิ้มข้าวมันไก่ให้เพื่อนๆ ดมแก้ง่วงยามบ่ายวะ" ผมกระเซ้า

"หันไปทางนู้น" กัปตันบอก คงจะทำใจได้แล้วว่ายังไงก็คงต้องถอดกางเกงซัก

"มึงก็หันวีลแชร์มึงไปทางอื่นสิวะ" ผมบอกพลางขำ

กัปตันเบี่ยงวีลแชร์หลบตามที่ผมบอก ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงถอดเข็มขัด ตามด้วยเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับผิว สักพักก็มีกางเกงสแล็คสีดำยื่นมาให้ผม ผมรีบรับมาและเปิดน้ำล้างตรงที่เปื้อน จากนั้นจึงกดสบู่เหลวแบบปั๊มเพื่อเอามาใช้ซักแทนผงซักฟอก

"ห้องน้ำของมึงนี่โคตรดีเลยว่ะ มีอ่างล้างมือ มีสบู่ล้างมือ อ้อ มีเครื่องเป่าแห้งด้วย ดีเลย จะได้เป่าเสื้อกับกางเกงให้มึง"

ผมเรียกห้องน้ำนี้ว่า "ห้องน้ำของมึง" เพราะน่าจะทำไว้ให้คนที่ใช้รถวีลแชร์โดยเฉพาะ ผมไม่เคยเข้ามาในห้องน้ำแบบนี้มาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดูมันอลังการงานสร้างดีเหมือนกัน

เมื่อซักเสร็จ ผมก็เอาเสื้อกับกางเกงไปอังที่เป่ามือจนแห้งพอใส่ได้ เสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้กัปตันไป

"ขอบใจเพื่อน"

ปากสีชมพูแย้มยิ้ม สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ผมแทบไม่เคยเห็นใครมองผมด้วยสีหน้าแบบนี้มาก่อนเลย

"เออๆ รีบใส่เหอะ จะได้ไปกินข้าว" ผมบอก สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างสีขาวๆ ผมมองล่วงล้ำต่ำลงไปแล้วก็ทำหน้าทะเล้น "เฮ้ย มึงใส่เกงในยี่ห้ออะไรวะ สวยดี"

กัปตันรีบเอาเสื้อกับกางเกงไปปิดตรงนั้น ก่อนสั่งเสียงดุๆ "หันไปเลยมึง"

ผมหัวเราะชอบใจและหันไปทางอื่นตามที่เพื่อนบอก ตอนแรกผมเข้าใจว่าขาของกัปตันคงจะเล็ก แต่เท่าที่เห็นก็ไม่เล็กเท่าไหร่ ทว่าก็ยังไม่สนิทพอที่จะถามว่าเพื่อนไปทำอีท่าไหนถึงได้นั่งวีลแชร์มาเรียน ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยมีเพื่อนแบบนี้เลย แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกแปลกแยก

เมื่อหันหน้ามาดูอีกที ผมก็เห็นกัปตันกำลังง่วนกับการผูกเนคไท จึงรีบอาสาเข้าไปช่วย "เดี๋ยวกูผูกให้ กูผูกสวย"

กัปตันหยุดทันทีและยิ้มเขินๆ ให้ คงจะสำนึกความสามารถในการผูกเนคไทของตัวเองดี ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆ วีลแชร์ของเพื่อน ก่อนจะรับหน้าที่ผูกเนคไทต่อ แต่สักพักก็ตัดสินใจรื้อออกและทำใหม่ตั้งแต่ต้น

"มึงชอบผูกเนคไทเหรอ" กัปตันถาม

"มั้ง ก็กูผูกบ่อยๆ ไง ผูกมาตั้งแต่มอสี่แล้ว"

"มึงเรียนที่ไหนวะ ทำไมใช้เนคไทตั้งแต่มอสี่" กัปตันสงสัย

"เปล่าเว้ย กูเป็นนายแบบ เวลาถ่ายแบบมันต้องใส่เนคไทบ่อยๆ ไง ก็เลยต้องฝึกผูกให้มันสวยๆ ก็ได้พวกพี่ๆ นั่นแหละช่วยสอน"

"มึงเป็นนายแบบตั้งแต่มอสี่เลยเหรอ" กัปตันทำหน้าฉงน

"เออ เดี๋ยวตอนไปกินข้าวจะเล่าให้ฟัง" ผมบอก พลันสายตาก็ไปสะดุดกับปากสีชมพูเรื่อๆ อีกแล้ว ผู้ชายอะไรปากแดงอมชมพูขนาดนี้ พอเผลอมองไปสักพักก็ชักใจสั่น สงสัยว่าริมฝีปากสวยน่าสัมผัสนั้นจะอยู่ใกล้เกินไป ผมจึงรีบผูกเนคไทให้เสร็จเร็วๆ

"นี่ มึงดูเลย ใช้ได้ไหม"

ผมพูดพลางเข็นเพื่อนไปดูที่หน้ากระจกตรงอ่างล้างมือ ห้องน้ำนี้มีกระจกด้วย ดูเหมือนมีทุกอย่างครบจนน่าอิจฉา

"ไหนวะ ไม่เห็นเลย เห็นแต่หัว" กัปตันบ่นพลางขำ

ก็จริงอย่างว่า มีกระจกก็จริง แต่พอนั่งรถวีลแชร์ส่องก็เห็นแค่หัว ผมจึงเสนอไอเดีย "มึงพอยืนได้เปล่าวะ เดี๋ยวกูพยุงให้"

"ได้ๆ กูพอยืนได้อยู่" กัปตันบอก

ผมมายืนข้างๆ รถวีลแชร์ของกับตัน ก่อนใช้มือสอดใต้รักแร้สองข้างแล้วพยุงเพื่อนลุกขึ้นยืนตัวตรง กระจกตรงหน้าจึงมีภาพเราสองคนยืนเคียงคู่กัน กัปตันเห็นฝีมือผูกเนคไทของผมก็ยิ้มชอบใจ

"เออ สวยดีว่ะ"

ผมยิ้มชอบใจที่เพื่อนชอบ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกคันยุบยิบตรงก้น น่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนและมีเหงื่อ แบคทีเรียก็เลยเริ่มก่อตัวและสร้างความระคายเคือง ด้วยความลืมตัว ผมจึงเผลอปล่อยมือเพื่อจะเกาตรงที่คันของตนเอง ร่างของกัปตันจึงเสียหลักและเซเพราะอีกข้างไม่สมดุล ด้วยความตกใจ คนที่จะล้มก็เลยหมุนตัวพลิกมากอดผมไว้

เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมก็เห็นตาแป๋วๆ และปากสีชมพูเรื่อๆ อยู่ใกล้แค่คืบ เราจ้องตากันด้วยความรู้สึกบางอย่าง แม้เพียงไม่กี่วินาทีผมก็รู้สึกกับสิ่งที่เห็นอย่างรุนแรงจนปั่นป่วน หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว

เมื่อได้สติ ผมก็พยุงให้กัปตันนั่งลงบนวีลแชร์เหมือนเดิม แต่หัวใจข้างในยังเต้นตุบๆ จนน่าแปลกใจว่ามันตื่นเต้นอะไรของมันนักหนา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนผมหรือเปล่า แต่สีหน้าเรียบเฉยนั้นคงพอเป็นคำตอบได้

"ไปเหอะ กูหิวแล้ว" ผมตัดบท กัปตันพยักหน้าตกลง


TBC


// ฝากนิยายเรื่องนี้ในอ้อมใจคนอ่านด้วยนะครับ
// อีกหนึ่งเรื่องที่คนเขียนภูมิใจมากที่ได้เขียน
// ช่วงแรกอาจมีบางอย่างให้รู้สึกหงุดหงิดหรือระแวง
// ผมจำได้ว่ามีคนเลิกอ่านด้วย ทั้งๆ ที่อ่านต่ออีกนิดเดียวก็จะเข้าใจแล้ว
// นิยายแบบนี้หาอ่านยากครับ
// โดยเฉพาะนิยายที่ไม่ทำให้คนพิการกลายเป็น "ชายน้อย" เหมือนบ้านทรายทอง
// อ่านจบแล้ว ถ้าไม่รบกวนก็อยากฟังความคิดเห็นด้วยครับ
// หวังว่าจะชอบและได้อะไรไปบ้างจากเรื่องนี้
// ขอให้อ่านให้สนุกนะครับ Enjoy your reading :)



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)

หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 สู่รั้วมหาลัย - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-04-2017 18:58:58
  สนุกอะ อะตอมใจสั่นแถมยังชอบมองปากด้วย 555 ชอบฉากเผลอกอดแล้วปากห่างกันนิดเดียว ฮ่าๆ
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 ใจสั่นครั้งแรก - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 10-04-2017 01:33:01
เมื่อมีคนจุดธูปเรียกเราก็มา 555

เริ่มต้นได้น่าสนใจมากค่ะ  ไม่ค่อยบ่อยนักที่เจอตัวละครแบบกัปตัน
กับอะตอมนี่เป็นบุคลิกที่เราค่อนข้างชอบนะคะ
คิดว่าที่ช่วยนี่ก็คือใจที่ปราณีพอได้มองใกล้ๆก็เจอสิ่งที่ถูกตาต้องใจ
ตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 ใจสั่นครั้งแรก - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: maicy ที่ 10-04-2017 01:36:12
มาเป็นกําลังใจให้นักเขียนค่ะ. รอตอนต่อไปค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 ใจสั่นครั้งแรก - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 10-04-2017 02:01:00
แปะ ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 ใจสั่นครั้งแรก - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-04-2017 01:15:26
กัปตันเดินไม่ได้แต่เกิดเลยเหรอ หรือว่าเป็นอุบัติเหตุว่า
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP01 ใจสั่นครั้งแรก - 9.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-04-2017 11:35:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 11-04-2017 12:06:49
EP02
ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)


<<<ATOM>>>

หลังเลิกเรียน นักศึกษาก็จับกลุ่มคุยกันตามที่นั่งที่จัดไว้ตามมุมต่างๆ ของคณะ หลักๆ เราก็คุยกันเรื่องการเรียนวันแรก รวมทั้งประสบการณ์รับน้องที่เพิ่งผ่านมาด้วย พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่ตอนรับน้องแล้ว มีแต่กัปตันเท่านั้นที่ไม่ค่อยสนิทกับใคร แถมเพื่อนๆ ก็ยังชอบมองมันแปลกๆ ไม่ค่อยชวนมันคุยด้วย ผมสังเกตเห็นว่ามันดูอึดอัดพอสมควร มันก็เลยนั่งกดโทรศัพท์เล่นมากกว่าจะคุยกับใคร

ขณะที่ผมกำลังคุยอย่างสนุก ผมก็เห็นไอ้อินเดินแกมวิ่งมาหาพวกเรา ไอ้หมอนี่มันหล่อมาก แต่ชอบพูดกวนและแรงขัดกับหน้าของมัน เพื่อนที่โรงเรียนเก่าเรียกมันว่า "ไอ้หล่อปากหมา" ได้ข่าวว่ามันคบกับสาวคนไหนไม่ได้นานเพราะปากของมันนี่แหละ พอแทรกตัวนั่งลงได้มันก็หันมาคุยกับผมก่อนใคร แถมยังแสดงแสนยานุภาพของปากมันตั้งแต่ประโยคแรก

"ไงอะตอม ได้ข่าวว่ามึงใจบุญสุดๆ ช่วยเข็นรถให้ไอ้เป๋ทั้งวันเลย แถมยังเบี้ยวไม่ไปกินข้าวกับแฟนอีก ใจบุญแบบนี้ จบไป กูว่ามึงน่าจะเปิดสถานสงเคราะห์รับเลี้ยงคนพิการนะเว้ย"

ไอ้อินหัวเราะราวกับเรื่องที่พูดตลกมาก เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ทำหน้าเลิ่กลั่ก มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ส่วนกัปตันถึงกับหยุดเล่นมือถือ ค่าที่มันผิวขาวจัด หน้ามันจึงแดงมาก คงจะทั้งโกรธและอาย ผมก็ไม่รู้จักหลักการสิทธิมนุษยชนอะไรหรอก แต่ก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เพื่อนพูดโคตรจะเป็นการดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีเลย

"เฮ้ยไอ้อิน กัปตันมันก็มีชื่อหรือเปล่าเหอะ ทำไมไม่เรียกชื่อมันวะ" ผมปรามเพื่อนด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ต้องข่มใจไม่ให้โกรธพอสมควร

"อ้าว มันชื่อกัปตันเหรอ นึกว่าชื่อเป๋" ไอ้อินหัวเราะเหมือนยังไม่สำนึก สมกับเป็นไอ้หล่อปากหมาอย่างที่ร่ำลือ

"กูกลับก่อนนะเว้ย" กัปตันบอกเสียงทุ้มต่ำและห้วนสั้น ก่อนที่จะปลดล็อครถเข็นแล้วเข็นออกไปอย่างรวดเร็ว

"ฉิบหาย ทำไมพวกมึงไม่บอกกูว่ามันนั่งอยู่ตรงนี้วะ" ไอ้อินหน้าเสียพร้อมกับมองตามเพื่อนที่เข็นออกไป

"เชี่ยเอ๊ย" ผมสบถอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับไอ้หล่อปากหมาดี ทางที่ดีผมควรจะตามกัปตันไปก่อนดีกว่า เพราะผมไม่อยากให้มันรู้สึกว่าเพื่อนไม่สนใจ ผมจึงคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งตามมันไปทันที แต่ก็ไม่ลืมร่ำลาเพื่อนๆ

"พรุ่งนี้เจอกันนะเว้ย"

กัปตันเข็นเร็วจี๋ไปถึงตรงทางลาดด้านหลัง มันยกล้อหน้าขึ้นแล้วปล่อยรถไถลลงอย่างคล่องแคล่ว เท่าที่เห็นผมว่ามันเป็นคนแข็งแรงมาก เพราะตอนที่มันถอดเสื้อผมเห็นกล้ามแขนของมันด้วย

"กัปตัน รอกูด้วย เดี๋ยวกูไปส่ง" ผมตะโกนเรียก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารถวีลแชร์จะเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้ แค่มันเข็นธรรมดาผมก็เดินตามแทบไม่ทัน ต้องเดินแกมวิ่งเอา กัปตันแวบหันมามอง สักพักมันก็ลดความเร็วลงจนกระทั่งผมตามมันทัน

"มึงไม่ต้องไปสนใจไอ้อินมันหรอก มันก็ปากหมาอย่างนี้แหละ" ผมพยายามปลอบใจเพื่อน ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน แต่ก็คงดีกว่าไม่พูดอะไรเลย

กัปตันไม่พูดอะไร มันเข็นไปเงียบๆ ผมก็เลยไม่ชวนคุยและเซ้าซี้ รอให้มันหายโกรธก่อนดีกว่า เราจึงเคลื่อนที่ไปด้วยกันเงียบๆ สองคน ผมไม่ได้ช่วยเข็นเพราะเมื่อตอนบ่ายกัปตันบอกว่าไม่จำเป็น มันเข็นของมันเองง่ายกว่า ควบคุมทิศทาง ความเร็วและความแรงได้ดีกว่ามีคนช่วย ผมว่ามันฝึกการช่วยเหลือตัวเองมาดีพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างนี้ไม่ได้ ผมรู้สึกทึ่งไม่น้อย

เราข้ามถนนจุดแรกด้วยความช่วยเหลือของ รปภ. เมื่อข้ามฝั่งมาได้แล้วเราก็ไปต่อ ที่จริงมันมีรถป๊อบสำหรับนักศึกษาด้วย แต่กัปตันขึ้นไม่ได้ ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ที่กัปตันต้องมาเสี่ยงชีวิตข้ามถนนแบบนี้ ถ้าผมออกแบบเก่งแล้วจะลองหาวิธีปรับรถป๊อบดู เผื่อจะมีวิธีทำให้วีลแชร์ขึ้นได้

"แล้วมึงไม่ไปส่งแฟนมึงเหรอ" อยู่ดีๆ กัปตันก็หันมาคุยด้วย สงสัยคงจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว

"มึงรู้ได้ไงว่ากูมีแฟน" ผมถามกวนๆ แต่สีหน้าก็ยิ้ม คงเป็นเพราะดีใจที่เห็นเพื่อนหายเศร้า

"ก็ตอนเที่ยงๆ กูเห็นมึงดูนาฬิกาบ่อยๆ เหมือนกับคนมีนัด เมื่อกี้ไอ้อินก็พูด แล้วมีจริงหรือเปล่าล่ะ"

"เออ" ผมยอมรับไปตามตรง

"คบกันมานานยัง"

"ก็ตั้งแต่มอห้า"

"โห ก็นานเหมือนกันนะเนี่ย ส่วนมากกูเห็นเพื่อนกูคบกันสามสี่เดือนก็เปลี่ยนคนแล้ว นี่คบมาได้สองปี แสดงว่าต้องรักกันจริง"

"ก็คงอย่างงั้น แล้วมึงล่ะ" ผมถามกลับบ้าง แต่พอถามไปแล้วก็นึกได้ว่าไม่น่าถาม

"ใครจะมาชอบกูวะ" น้ำเสียงที่พูดฟังดูเรื่อยๆ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างในน้ำเสียงเช่นนั้น

"ก็ไม่แน่นะเว้ย กูเห็นสาวๆ เหล่มึงหลายคนเลยนะเว้ยวันนี้ ตอนนั่งกินข้าวไง มึงไม่สังเกตเหรอ" ผมพยามพูดให้ฟังดูตลกเพราะกลัวเพื่อนจะคิดมาก

กัปตันเข็นรถต่อไปเงียบๆ โดยไม่ตอบคำถาม จนกระทั่งมาถึงจุดข้ามถนนที่สอง รปภ. รีบเดินมาช่วยโบกรถให้เช่นเคย ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับกัปตันดีแล้ว คิดดูละกันว่ากรุงเทพที่รถติดๆ แต่รถทุกคันก็ต้องหยุดเพื่อมันคนเดียว ผมว่าไปกับมันก็ดีเหมือนกัน เพราะได้เรียนรู้ชีวิตที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน

ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เราก็มาถึงหอพักนานาชาติซึ่งอยู่นอกรั้วมหาลัย ตึกสูงหลายสิบชั้นเด่นตระหง่านตรงหน้า การตกแต่งที่หรูหราบอกฐานะคนที่จะมาพักที่นี่ได้เป็นอย่างดี ที่จริงผมเคยมาดูหอพักที่นี่แล้ว แต่เห็นค่าเช่าแล้วก็สยอง ผมไม่ใช่ลูกคนมีเงินเหมือนนักศึกษาคนอื่นๆ จะเอาเงินมาเสียค่าที่พักแพงๆ แบบนี้คงไม่ไหว ต่อให้แบ่งครึ่งกับรูมเมทก็ยังแพงอยู่ดี ผมจึงเลือกนั่งสองแถวออกจากบ้านแถวตลาดบางแคมาลงที่บีทีเอสบางหว้า จากนั้นก็นั่งยาวมาจนถึงสถานีสยาม นับได้ทั้งหมดสิบสามสถานีพอดี

ก่อนขึ้นไปบนห้อง กัปตันพาผมแวะไปดูสระว่ายน้ำและฟิตเนสก่อน มันเล่าให้ฟังด้วยว่าที่นี่มีห้องสมุดและห้องประชุมให้นักศึกษาใช้ ข้างล่างก็มีร้านสะดวกซื้อเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เดินไปอีกหน่อยจากตึกนี้ก็จะมีศูนย์การค้าอยู่ใกล้ๆ มีที่กินและซื้อของต่างๆ ช่างสะดวกสบายจนผมชักอยากมาอยู่ด้วย

พอเข้ามาในห้องของกัปตัน ผมก็เบิกตาโตเพราะตกตะลึงในความอลังการ มันใหญ่กว่าห้องในบ้านผมสองสามห้องรวมกันเลยก็ว่าได้ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างครบ มีที่นั่งเล่น ทีวีจอใหญ่ ตู้เย็นขนาดใหญ่ โต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์อย่างดี มีห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอนแยกต่างหาก มีระเบียงข้างนอกด้วย ทุกอย่างเป็นสัดเป็นส่วน พื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ สวรรค์ชัดๆ

"โห…นี่ห้องมึงเหรอกัปตัน ทำไมมันใหญ่อย่างนี้วะ" ผมอุทานพลางมองไปรอบๆ

"แม่กูซื้อให้เว้ย จริงๆ กูก็ไม่ได้อยากได้ห้องใหญ่ขนาดนี้หรอก ดูแลยากจะตาย อีกอย่างนะเว้ย ต่อไปก็ต้องเรียนหนัก ห้องนี้ก็คงมีไว้แค่ซุกหัวนอนเท่านั้นแหละ"

"มีแม่บ้านทำความสะอาดให้หรือเปล่าวะ" ผมถามเพราะนึกไม่ออกว่ามันจะทำความสะอาดห้องใหญ่ขนาดนี้คนเดียวไหวหรือเปล่า

"ก็เรียกใช้บริการได้ แต่ของกูไม่ต้อง แม่ให้คนที่บ้านมาช่วยทำให้อาทิตย์ละครั้ง เออ ถ้ามึงจะกินน้ำหรืออยากกินอะไรก็จัดการเองเลยนะเว้ย กูขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน มันยังเหม็นๆ อยู่" กัปตันพูดติดตลกตอนท้าย

"เออๆ ตามสบาย" ผมบอก

กัปตันเข็นรถเข้าไปในห้องนอนของมัน ส่วนผมเดินออกไปดูวิวตรงระเบียงห้อง แสงสียามเย็นจากมุมสูงเปลี่ยนภาพกรุงเทพให้ต่างจากที่เห็นบนท้องถนนจนคุ้นชิน ผมชอบวิวแบบนี้มาก ถ้ามีเงินมากพอก็จะซื้อห้องแบบนี้สักห้องไว้อยู่

อิ่มตาแล้วผมก็กลับเข้ามาในห้อง เดินไปเปิดดูตู้เย็น มีของกินเพียบ แถมยังมีไอศครีมยี่ห้อแพงๆ แช่ไว้หลายถ้วยอีก เจ้าของห้องเพิ่งบอกว่าอยากกินอะไรก็ให้จัดการเอง ถ้างั้นผมก็จะไม่เกรงใจ ว่าแล้วก็หยิบออกมาสองถ้วย เผื่อกัปตันจะกินด้วย

เมื่อเอาของมาวางลงบนโต๊ะนั่งเล่นเตี้ยๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งวางไว้ตรงมุมห้อง ผมเคยอยากเล่นมากๆ ตอนมอปลาย แต่ไม่ค่อยมีเวลาฝึก ก็เลยเล่นไม่เป็น ด้วยความตื่นเต้น ผมจึงวิ่งไปหากัปตันที่ห้องนอน เลื่อนประตูบานเลื่อนซึ่งเป็นฝ้าใสๆ ออกและเยี่ยมหน้าไปคุยด้วย

"เฮ้ยกัปตัน มึงเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอวะ"

กัปตันสะดุ้งตกใจและหันมามองผม มันกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บนเตียงพอดี ใส่กางเกงแล้ว แต่ท่อนบนเปลือยเปล่า ผิวตัวของมันขาวเนียนจัด มีกล้ามขึ้นพองาม ผมเห็นอุปกรณ์ออกกำลังกายในห้องของมันด้วย แสดงว่ามันคงออกกำลังกายบ้างถึงได้มีกล้ามสวยแบบนี้ นอกจากปากของมันจะสีเป็นสีชมพูเรื่อๆ แล้ว หัวนมของมันก็เป็นสีชมพูเรื่อๆ ด้วยเช่นกัน เห็นแล้วผมเริ่มใจสั่น พลันก็เผลอคิดว่าถ้าเกิดวันหนึ่งผมหน้ามืดปล้ำคนพิการขึ้นมา ผมจะบาปหรือเปล่า?

"เออ อยากฟังเหรอ เดี๋ยวกูเล่นให้ฟัง" กัปตันบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย คงเป็นเพราะตกใจนั่นเอง

ผมยิ้มดีใจ ก่อนเลื่อนปิดประตูให้ จากนั้นก็เดินไปหยิบกีตาร์มาวางไว้ตรงมุมนั่งเล่น ไม่นานกัปตันก็ออกมาจากห้อง ใส่เสื้อยืดสีขาวของซีเคดูเรียบหรูดี ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ที่เพื่อนผมจะใส่เสื้อผ้าแพงๆ ส่วนมากคนที่มาเรียนมหาลัยนี้ก็เป็นลูกคุณหนูกันแทบทั้งนั้น แม้กระทั่งแฟนผมด้วย

ที่จริงผมว่าเย็นนี้จะไปพาอั้มไปหาอะไรกินซะหน่อย แต่พอเห็นกัปตันโดนไอ้อินพูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกเป็นห่วงจิตใจเพื่อนจึงเปลี่ยนใจไม่นัดอั้มออกไปข้างนอก ป่านนี้ที่บ้านคงส่งคนมารับเธอกลับไปแล้ว คงจะงอนผมด้วยเพราะไม่ยอมโทรมาคุยด้วยเลย ไลน์ก็ไม่มี

"กินไอติมก่อน" ผมเชื้อเชิญเมื่อกัปตันเข็นมาถึง ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่

เราสองคนหยิบไอติมกันคนละถ้วยมาตักกิน จากนั้นผมก็ชวนคุย

"เมื่อกี้กูออกไปดูวิวตรงระเบียง โคตรสวยเลย ถ้ามีตังค์นะ กูจะซื้อห้องแบบนี้แหละ กูชอบอยู่ที่สูงๆ"

"อ้าว มึงไม่ได้อยู่หอเหรอ" กัปตันเอียงคอมอง

"ไม่ได้อยู่ กูอยู่บ้าน อยู่บางแคโน่น โคตรไกลเลย ดีที่มันมีบีทีเอสอยู่ไม่ไกลมาก ก็เลยเข้าเมืองไม่ลำบากเท่าไหร่" ผมอธิบาย แอบนึกเสียดายเล็กน้อย ตอนแรกผมกะว่าจะขอเป็นรูมเมทกับมันซะหน่อย ถ้าเป็นห้องธรรมดา แบ่งกันจ่ายสักเดือนละห้าหกพันก็พอไหว แต่เจอห้องขนาดนี้เข้าไป ผมว่าค่าเช่าคงไม่ต่ำกว่าสองหมื่นบาทต่อเดือนแน่ๆ ก็เลยไม่กล้าเอ่ยปากขอเป็นรูมเมทกับมัน ผมคงไม่หน้าด้านจ่ายแค่หกพันเพื่ออยู่ห้องหรูขนาดนี้

"โห อยู่ไกลขนาดนั้น ถ้ามีเรียนเช้า มึงไม่ต้องตื่นตีห้าเลยเหรอวะ" กัปตันถาม

"ก็เออดิ จริงๆ กูก็กำลังหาหอพักใกล้ๆ แถวนี้อยู่เว้ย ถ้ามึงรู้จักใครที่กำลังหารูมเมทอยู่ บอกกูได้นะเว้ย แต่ว่า…ไม่เอาห้องใหญ่ขนาดนี้หรอก ไม่งั้นกูได้กินแกลบแน่ๆ" ผมหัวเราะ กัปตันก็ขำด้วย ขณะเดียวกันผมก็เผลอมองปากชมพูของมันอย่างลืมตัว

"เออ รู้สึกว่าจะมีอยู่นะ กูได้ยินกลุ่มไอ้กวินมันคุยๆ กันอยู่"

"อ๋อ เออๆ เดี๋ยวกูจะลองถามพวกมันดู กูก็ไม่อยากแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาเรียนแล้ว โคตรเหนื่อยเลย" ผมหัวเราะอีก แต่ในใจลึกๆ ก็อดเสียดายห้องนี้ไม่ได้ ยิ่งมีสระว่ายน้ำและฟิตเนสด้วยก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะผมจำเป็นต้องฟิตหุ่นเพื่องานถ่ายแบบ อยู่ที่นี่มีครบทุกอย่างเลย ผมไม่ต้องถ่อสังขารเข้าเมืองเหมือนที่ผ่านมา

พอกินไอติมหมด กัปตันก็หยิบกีตาร์ขึ้นมา ก่อนเล่นก็ไม่ลืมเล่าที่มาที่ไปของเพลงที่จะเล่นให้ฟังก่อนด้วย "เพลงนี้กูแต่งเองนะเว้ย แต่งไว้หลายปีแล้วล่ะ เก่าๆ หน่อย แต่กูอยากเล่นให้มึงฟัง"

ผมมองเพื่อนด้วยความรู้สึกทึ่ง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน เพราะคนเรียน "ถาปัตย์" ก็ติสต์แตกกันแทบทั้งนั้น ทั้งการพูด การกิน การแต่งตัว การใช้ชีวิต ดูมีเอกลักษณ์มากกว่าคณะไหนๆ สาวๆ จึงมักชอบหนุ่มๆ คณะนี้

เมื่อกัปตันเริ่มกรีดสายกีตาร์ ผมก็รับรู้ถึงอารมณ์เศร้าๆ เหงาๆ ของเพลงนี้ได้ตั้งแต่โน๊ตตัวแรก ยิ่งได้ฟังเนื้อหาแล้วก็ยิ่งขนลุก เสียงร้องของมันก็ยังน่าฟังอีกต่างหาก ยังกับนักร้องมืออาชีพเลย

A1: แปลกดีที่คนหนึ่งคน ที่แปลกหน้ากันก่อนนี้ ได้เข้ามาเปลี่ยนสี...โลกใบเดิมๆ / ปัดฝุ่นหัวใจที่ปล่อยร้าง สิ่งที่หายไปคอยแต่งเติม ค่อยๆ เสริมพลัง...ให้คนที่ถอดใจ

B1: วันที่ฝันเลือนลาง วันที่โลกเดียวดาย ก็รู้ยังมีอีกคน...ข้างกัน

Hook: นี่คือหัวใจของคนหนึ่ง ใส่กล่องสีเทาไว้มานาน หากว่ารักกัน ก็ให้เก็บไว้ / ขอบคุณเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งมากมาย อยากให้เธอรู้ไว้ เกิดมาโชคดีที่เธอรักกัน

A2: ถ้าหากไม่เจอกับเธอ จะเดินสู้ไปกับใคร โลกนี้คงจะเหลือ...แค่คนๆ หนึ่ง / ขอบคุณที่มองเห็นค่ากัน ให้ความรักจริงที่เอื้อมถึง และวันนี้เธอจึง...ได้ใจในกล่องนี้

B2: เมื่อมีแสงนำทาง ก็ปลุกฝันดีๆ และพร้อมเดินทางจากนี้...ไม่หวั่น

Hook: นี่คือหัวใจของคนหนึ่ง ใส่กล่องสีเทาไว้มานาน หากว่ารักกัน ก็ให้เก็บไว้ / ขอบคุณเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งมากมาย อยากให้เธอรู้ไว้ เกิดมาโชคดีที่เธอรักกัน

B3: วันที่ฝันเลือนลาง วันที่โลกเดียวดาย ก็รู้ยังมีอีกคน...ข้างกัน

Hook: นี่คือหัวใจของคนหนึ่ง ใส่กล่องสีเทาไว้มานาน หากว่ารักกัน ก็ให้เก็บไว้ / ขอบคุณเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งมากมาย อยากให้เธอรู้ไว้ เกิดมาโชคดีที่ได้รักเธอ / เก็บความรักไว้ในกล่องสีเทา

https://www.youtube.com/v/D5l3P1DXOKs

เมื่อจบเพลงผมก็ปรบมือรัวๆ เกือบสิบวิ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชื่นชม เพราะผมรู้สึกได้ว่ากัปตันร้องเพลงนี้ออกมาจากหัวใจ โดยเฉพาะตรงท่อนที่ร้องเสียงสูงๆ ไม่รู้ว่าเคยรักใครมาก่อนหรือเปล่าถึงได้แต่งเพลงได้กินใจขนาดนี้

"โคตรเพราะเลยว่ะ มึงแต่งเองจริงๆ เหรอวะ"

"เออ" กัปตันหัวเราะพลางวางกีตาร์ลงบนโซฟา

"ทำไมต้องเป็นกล่องสีเทาวะ สีอื่นก็มีตั้งหลายสี" ผมสงสัย

"เวลาพูดถึงสีเทา มึงนึกถึงอะไรล่ะ" กัปตันถามกลับ

ผมทำท่าคิด "อืม…ความหม่น เศร้า เหงา อะไรประมาณนี้มั้ง"

กัปตันพยักหน้ายิ้มๆ "แล้วถ้ามึงเก็บหัวใจมึงไว้ในกล่องสีเทา มันน่าจะแปลว่าอะไรวะ"

"โห…ล้ำลึกนะเนี่ย คิดได้ไงวะ" ผมทึ่งมากขึ้นไปอีก "ถามจริง มึงแต่งเพลงนี้ให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่าวะ"

กัปตันชะงักและสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย ไม่นานก็พยักหน้ายอมรับ "เออ"

"แล้วตอนนี้…"

"ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว" กัปตันพยายามยิ้ม แต่ก็ยังดูเศร้า

ผมยอมรับว่ารู้สึกสะเทือนใจไปด้วยอย่างมาก ความสงสารแล่นเข้าจับขั้วหัวใจทันที นึกถึงตอนที่ไอ้อินเรียกกัปตันว่า "ไอ้เป๋" แล้วก็ยังสะเทือนใจไม่หาย กัปตันคงผ่านเรื่องราวแบบนี้มามาก แม้กระทั่งความรักของมันเองก็คงมีอุปสรรคแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงต้องเก็บหัวใจของตัวเองไว้ในกล่องสีเทามาหลายปี หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะมีโอกาสมอบกล่องหัวใจสีเทานี้ให้ใครสักคนบ้าง

อยู่ๆ ผมก็นึกอยากกอดเพื่อน ไม่ได้คิดจะลวนลามหรอก แต่ผมอยากปลอบใจมันมากกว่า ว่าแล้วผมก็ยืนขึ้นและเขยิบไปอยู่ตรงหน้าวีลแชร์ ก่อนใช้สองมือยกตรงใต้รักแร้และดึงตัวกัปตันยืนขึ้น มันดูแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ผมจ้องตากัปตันชั่วครู่ ยิ้มบางๆ ให้ แล้วก็ดึงมันมากอดไว้

"ไม่เป็นไรนะเว้ย กูจะเป็นกำลังใจให้มึง สู้ๆ นะเพื่อน ห้าปีที่กูกับมึงจะเป็นเพื่อนกัน เดี๋ยวกูจะดูแลมึงเอง กูสัญญาว่ากูจะไม่ทิ้งมึง กูจะพามึงไปทุกที่ที่พวกกูไป ขึ้นเขาลงห้วยกูก็จะเข็นมึงขึ้นไปด้วย โอเคไหม"

กัปตันไม่พูดตอบ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยรู้สึกอบอุ่นหัวใจขนาดนี้เลย ไม่คิดว่ากอดกับผู้ชายจะฟีลกู๊ดขนาดนี้ แต่กอดไปกอดมา ความอบอุ่นก็ชักจะเริ่มร้อน ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมปั่นป่วนหัวใจอีกแล้ว อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่ผมเพิ่งถามตัวเองเมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมา…

ถ้าผมหน้ามืดปล้ำคนพิการขึ้นมาจะบาปไหม?

แต่ก่อนที่ผมจะปล่อยให้ตัวเองหน้ามืด ผมก็คลายอ้อมแขนออกเสียก่อน ก่อนช่วยพยุงให้กัปตันลงนั่งบนวีลแชร์ตามเดิม

"มึงหิวยัง" กัปตันถาม ผมเห็นมันตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้ด้วย แต่ก็ไม่เห็นน้ำตา

"ก็…ยังไม่หิวเท่าไหร่" ผมตอบด้วยสีหน้าที่ยังวางไม่สนิท สัมผัสจากกอดและกลิ่นกายหอมๆ ของมันยังติดจมูกผมอยู่เลย

"มึงชอบกินสเต๊กเปล่า"

ผมพยักหน้า

"มึงรีบกลับบ้านไหม ตรงห้างข้างๆ มีร้านสเต๊กร้านหนึ่ง อร่อยใช้ได้เลย ไปกินไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง"

"เลี้ยงทำไม ไม่ต้องหรอก" ผมบอกอย่างเกรงใจ

"เอาเหอะน่า วันนี้มึงช่วยกูตั้งหลายอย่าง ถ้าไม่ได้มึง กูก็แย่เลยนะเว้ย"

"เอางั้นเหรอ" ผมทำท่าลังเล

"เออน่า อย่าลีลา เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจนะเว้ย" กัปตันขู่

"โอเคๆๆ" ผมรีบตอบรับและยิ้มเขินๆ ก่อนหัวเราะด้วยกันทั้งคู่

ค่าที่มันเป็นเจ้าถิ่น ผมจึงให้กัปตันเข็นนำทางไป ทางเท้าแถวนี้ค่อนข้างใช้ได้ มีทางลาดขึ้นลงให้ทุกจุด ไม่เหมือนแถวบ้านผม นอกจากจะไม่มีทางลาดให้แล้ว ยังมีพ่อค้าแม่ค้า เสาไฟฟ้า ป้ายและบรรดาสิ่งกีดขวางสารพัด กัปตันคงเข็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่จริงก็น่าแปลก อยู่กรุงเทพมาตั้งนานแต่ผมก็ไม่เคยสังเกตของพวกนี้เลย ถ้าไม่มีเพื่อนใช้รถวีลแชร์ก็คงนึกไม่ถึง

ห้างที่เราไปมีทางลาด ลิฟต์และห้องน้ำคนพิการเตรียมไว้พร้อม ผมว่ามันช่วยให้ชีวิตของกัปตันง่ายขึ้นมากทีเดียว เพราะถ้าไม่มีของพวกนี้ก็คงลำบาก ปวดหนักปวดเบาขึ้นมาคงต้องกลับบ้านท่าเดียว แบบนี้ก็คงไม่อยากออกไปไหน

เราสั่งสเต๊กกันมาคนละจาน นั่งกินชิลๆ และคุยกันไปเรื่อยๆ มีโทรศัพท์และการสื่อสารรูปแบบอื่นแทรกมาบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเสียสมาธิคุยกัน ไม่น่าเชื่อว่าผมจะสามารถใช้เวลากับเพื่อนใหม่ได้นานขนาดนี้ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนตอนนี้หนึ่งทุ่มแล้ว

"ทำไมตอนรับน้องกูไม่เห็นมึงวะ" ผมถามขึ้นมาตอนหนึ่ง

กัปตันหยุดกิน ก่อนขำเบาๆ "ก็แม่กูน่ะดิ เขาไปส่งกูเว้ยวันนั้น พอไปถึงเขาก็ให้กูรออยู่ในรถ แล้วเขาก็ไปซักรุ่นพี่ใหญ่เลยว่าจะให้ทำอะไรกันบ้าง ลำบากไหม ตากแดดตากฝนไหม จริงๆ กูว่ามันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง รุ่นพี่เห็นกูใช้วีลแชร์ เขาคงไม่ให้กูเล่นแผลงๆ หรอกมั้ง แต่แม่กูไม่ยอมเว้ย เขากลับมาบอกกูว่าไม่ต้องร่วมกิจกรรมรับน้องแล้วเพราะว่ามันลำบาก มันมีทั้งวิ่ง เล่นเกม ร้องเพลง ตากแดด ตากฝน แล้วเขาก็พากูกลับบ้านเฉยเลย"

ผมไม่รู้ว่าจะขำด้วยดีหรือเปล่า เพราะลึกๆ ไม่เห็นด้วยที่แม่กัปตันตัดสินใจอย่างนั้น ไม่งั้นป่านนี้กัปตันก็คงมีกลุ่มเพื่อนสนิทบ้างแล้ว แต่ผมจะไปว่าแม่เพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันก็ไม่ถูก จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ไปตามประสา "เออ ก็ลำบากจริงแหละ"

"กูก็เลยยังไม่มีเพื่อนสนิทไง" กัปตันบอกสีหน้าเศร้าๆ

"อ้าว ก็กูนี่ไง" ผมแย้ง

"เออ จริงด้วย" กัปตันหัวเราะแหะๆ แก้เก้อ น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันดูน่ารักเหลือเกิน

"ทำไมมึงหน้าใสจังวะกัปตัน ใช้ครีมอะไรเหรอ เผื่อกูจะได้ลองใช้มั่ง ถ้าหน้ากูใสเหมือนมึงอีกสักหน่อย งานกูมาตรึมแน่"

"แม่กูซื้อให้น่ะ ของขายตรงยี่ห้อจากเมกามั้ง ก็หลายตังค์อยู่"

"เหรอๆ กูขอลองใช้ได้ไหม ถ้าได้ผล กูจะลองซื้อมาใช้มั่ง"

"ได้ๆ แต่หวังว่ากูจะไม่เสียเพื่อนนะเว้ย"

ผมหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากัน "ยังไงวะ ทำไมแค่ลองใช้ครีมต้องเสียเพื่อนด้วย"

กัปตันหัวเราะ พอหยุดขำจึงเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง "กูมีเพื่อนคนหนึ่งเว้ย รู้จักกับมันตั้งแต่ประถมเลย ก็ค่อนข้างสนิทแหละ เมื่อปีที่แล้วกูเจอมัน คุยไปคุยมา มันบอกว่ามันกำลังขายครีมตัวหนึ่งอยู่ มันบอกว่าดีมาก อยากให้กูช่วยมันขายหน่อย แต่ว่าไม่ต้องทำอะไรมาก แค่โพสต์เฟสว่าใช้แล้วได้ผลดี หน้าใส อะไรประมาณนี้แหละ กูเห็นมันเป็นเพื่อนก็เลยขอเอามาลองใช้ก่อน เผื่อดีจะได้โฆษณาให้ มึงรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น สิวกูขึ้นเว้ย ขึ้นเต็มหน้าเลย แม่กูตกใจมาก รีบพากูไปหาหมอเลย หมอบอกกูว่ากูแพ้สารเคมีจากครีมที่ใช้นั่นแหละ หมอเลยให้กูหยุดใช้ครีมทุกชนิดเดือนหนึ่ง แต่พอกูบอกเพื่อนกู มันเสือกบอกว่าหน้ากูไม่ดี มีสารพิษตกค้าง ต้องใช้ครีมของมันต่อจะได้ขับสารพิษออกให้หมด แต่กูไม่กล้าใช้ต่อไง ก็เลยบอกมันว่าไม่ใช้แล้ว มันก็พยายามอธิบายว่าครีมของมันมีแต่ส่วนผสมดีๆ ได้มาตรฐานระดับโลก กูก็เลยบอกมันว่าสงสัยหน้ากูจะไม่ได้มาตรฐานระดับโลก ก็เลยใช้ครีมมันไม่ได้ กูไม่ใช้ละกัน แม่งโกรธกูเฉยเลยเว้ย ทุกวันนี้มันไม่คุยกับกูอีกเลย"

ผมยอมรับว่าผมชอบฟังเวลากัปตันพูด ไม่ใช่ชอบเสียง แต่ชอบดูปากชมพูเรื่อๆ ของมันขยับขึ้นขยับลง มันดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด มันชอบเลียปากตัวเองบ่อยๆ ด้วย บอกตรงๆ เลยว่ามันดูเซ็กซี่ยั่วยวนน่าจูบไม่น้อย ผมจึงเผลอมองอย่างหลงใหลโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นอะไรปัดไปปัดมาตรงหน้าพร้อมกับเสียงเรียก

"อะตอม มึงเป็นอะไรของมึงวะ" กัปตันถามพลางปัดมือไปมาตรงหน้าผม

พอรู้ตัวผมก็สะดุ้ง ก่อนทำเป็นหัวเราะแก้เขิน "ก็มึงประชดมันแบบนั้น มันก็โกรธสิวะ"

"อ้าว ก็เห็นมันบอกครีมมันได้มาตรฐานโลก กูก็เลยนึกว่าหน้ากูไม่ได้มาตรฐานไง"

เราสองคนหัวเราะ คุยกันไปคุยกันมาก็เกือบสามทุ่ม คงได้เวลาที่ผมจะกลับบ้าน ก่อนแยกกันผมเดินไปส่งกัปตันที่หน้าทางเข้าคอนโด มันบอกให้ส่งแค่ตรงนี้ก็พอ

"แล้วมึงจะถึงบ้านกี่ทุ่มวะเนี่ย"

ผมทำท่านึก "ปกติก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็น่าจะสี่ทุ่มกว่าๆ"

"โห ดึกนะเนี่ย ถ้าวันไหนมีกิจกรรมแล้วเลิกดึก มึงจะนอนที่ห้องกูก็ได้นะเว้ย หรือจะนอนคืนนี้เลยก็ได้" กัปตันเสนอ

ที่จริงผมก็อยากอยู่ แต่กลัวอดใจไม่ไหว เห็นผิวขาวๆ และปากแดงๆ ของมันแล้วใจคอไม่ค่อยดี "ไม่เป็นไร ไม่ดึกหรอก แค่นี้สบายมาก ถ่ายแบบเลิกดึกกว่านี้อีก"

"เออ ตามใจ งั้นก็เดินทางกลับบ้านดีๆ นะเว้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน ขอบใจมากเพื่อน"

"เออ มึงก็…นอนหลับฝันดีนะ พรุ่งนี้เจอกัน" ผมยิ้มเขินเมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรถึงเขิน พูดกับเพื่อนเหมือนพูดกับแฟนเลย

เราส่งท้ายคืนนี้ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้าย ผมเดินออกมาได้หน่อยก็หยุดและหันกลับไปมองตึกสูง ที่จริงผมก็ยังอยากขอเป็นรูมเมทกับกัปตันอยู่ แต่เห็นห้องของมันแล้วผมก็เกรงใจ ถ้าจะจ่ายแค่ห้าหกพันแล้วอยู่ห้องดีขนาดนี้ ผมคงหน้าด้านมาก แต่ไม่อยู่กับมันก็ดีเหมือนกัน เพราะผมกลัวตัวเองจะห้ามใจไม่ไหวเข้าสักวัน เมื่อกี้ก็เผลอมองปากมันไปหลายทีแล้ว

ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหมเนี่ย แล้วทำไมผมถึงคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้!!!


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)


// ช่วงนี้เป็นวันหยุด ก็เลยมีเวลาเขียน แต่ถ้าช่วงไหนยุ่งๆ อย่างน้อยจะได้อ่านวันอาทิตย์นะครับ :) ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-04-2017 12:23:30
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 11-04-2017 12:43:29
เดี๋ยวๆ อะตอม ห้ามใจหน่อย มีแฟนแล้วนิ  /  ส่วนอิน :z6:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: gongiotherin ที่ 11-04-2017 13:07:28
สนุกดีค่ะ ตามอ่านนะคะ :pig2:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-04-2017 19:56:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-04-2017 21:11:24
  ตอนนี้มุ้งมิ้งมากๆ ชอบๆ มีเผลอจ้องปากเพื่อนอีก
  ช่วงนี้หยุดยาวผู้แต่งคงมาลงได้ทุกวันเลยสิคับ ฮ่าๆ  รออ่านตอนต่อไปคับ
 
   ** สวัสดีปีใหม่ สงกรานต์นะคับ **
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 11-04-2017 21:14:33
 :-[ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 11-04-2017 22:01:20
อินนี่ปากแบบนี้รอดตีนมาได้ไง ต้องโดนสักทีมะถึงจะเข็ด  :z6: :z6: :z6:

น่ารักดีค่ะ อ่านเพลินๆ อะตอมหวั่นไหวงี้รีบเคลียกะแฟนก่อนเน้อออ  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP03 ผมอยากได้กำลังใจจากเขา - 12.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 12-04-2017 17:24:06
EP03
ผมอยากได้กำลังใจจากเขา

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)

<<<CAPTAIN>>>

วันนี้ผมมาถึงมหาลัยตั้งแต่เช้า มาถึงก่อนเวลาเรียนประมาณเกือบๆ ชั่วโมง เอารถมาด้วยเพราะเมื่อคืนแม่โทรมาบอกให้ใช้รถ เพราะถ้าไม่ใช้แม่จะขับรถมารับผมที่คอนโด เจอไม้นี้เข้าไปผมก็เลยต้องเอารถมาด้วย

ถ้าจะถามว่าทำไมแม่ถึงรักและตามใจผมขนาดนี้ เรื่องมันก็ยาวทีเดียว สั้นๆ ก็คือว่าแม่ผมรู้สึกผิด เพราะเขาโทษความเผลอเรอของตัวเองที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ หลายครั้งที่ผมต้องยอมแม่บ้างก็เพราะเรื่องนี้แหละ แม้กระทั่งเรื่องการรักษาซึ่งผมแสนจะเบื่อหน่าย แม่พาผมเข้าออกโรงพยาบาล สถานฟื้นฟูหรือแม้กระทั่งวัดเป็นว่าเล่น ผมไปมาแทบจะทุกวัดแล้ว แต่ก็ไม่หาย โชคดีที่แม่เริ่มถอดใจและค่อยๆ ยอมรับสิ่งที่ผมเป็นในช่วงหลังๆ คงทำใจได้แล้วว่ารักษาผมไม่ได้ ผมก็เลยไม่ต้องไปรักษาหรือกินน้ำมนตร์วัดไหนอีก

ผมขับรถเป็นตั้งแต่อยู่มัธยมปลายแล้ว ป๊าหาคนมาช่วยสอนให้ อุตส่าห์ไปค้นหาจนเจอบริษัทที่สอนขับรถสำหรับคนพิการแถวๆ ภาษีเจริญ ตอนแรกแม่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอเห็นผมขับได้ก็เลยปล่อย พออายุสิบแปดแม่พาผมไปสอบใบขับขี่เองเลย พอผมสอบติด "ตุลาฯ" แม่ก็ให้ของขวัญเป็นบีเอ็มคันหนึ่ง ป๊าช่วยหาช่างมาช่วยทำเกียร์ คันเร่งและเบรกมือให้ แถมยังติดที่เก็บรถวีลแชร์บนหลังคารถให้ด้วย เป็นระบบอัตโนมัติ ผมจึงไม่ต้องหาคนมาช่วยเก็บวีลแชร์ให้ เมื่อเช้าตอนที่ผมลงจากรถ มีคนมามุงดูเต็มเลย สงสัยจะไม่เคยเห็นกัน

พอมาถึงคณะ เพื่อนสามคนก็วิ่งมาหาคล้ายกับรออยู่ก่อนแล้ว หนึ่งสาวสองหนุ่มมีชื่อเสียงเรียงนามว่าน้ำหวาน แบงค์และกวิน เมื่อวานตอนเย็นผมก็นั่งอยู่กับพวกมันนั่นแหละ ก่อนไอ้อินปากหมาจะทำวงแตกและแยกย้ายกันไป

น้ำหวานเป็นผู้หญิงที่ชื่อขัดกับบุคลิกภาพมากเพราะเธอห้าวเกินหญิง ไว้ผมสั้นจนดูเกือบเหมือนผู้ชาย ผู้หญิง "ถาปัตย์" ขึ้นชื่อเรื่องความอึดถึกบึกบึน เพราะไม่งั้นเรียนคณะนี้ไม่รอด ส่วนแบงค์กับกวินก็หน้าตาพิมพ์นิยมของชายไทยสมัยนี้ ไม่ถึงกับหล่อมากแต่ก็ดูดีพอสมควร

"วันหลังมาถึงแล้วโทรมาบอกนะเว้ย จะได้ไปช่วย" น้ำหวานพูดกับผมเป็นคนแรก ฟังแล้วผมก็งงๆ ไม่น้อย

"ไม่เป็นไร มาเองได้" ผมตอบ

"มึงโกรธพวกกูหรือเปล่าวะ" แบงค์ถามด้วยท่าทางไม่แน่ใจ

"โกรธเรื่องอะไรวะ" ผมทำหน้าฉงน

"ก็…ที่พวกกูไม่ค่อยชวนมึงคุยไง จริงๆ ไม่มีอะไรนะเว้ย พวกกูแค่…ไม่รู้จะคุยกับมึงยังไงเท่านั้นแหละ กลัวพูดแล้วทำร้ายจิตใจมึงไง" แบงค์เฉลย คราวนี้ผมจึงขำเบาๆ

"ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ก็พูดคุยกันธรรมดานี่แหละ กูไม่ใช่คนขี้ใจน้อยขนาดนั้นซะหน่อย"

"แล้วแบบที่ไอ้อินมันพูดเมื่อวานล่ะ" กวินโพล่งถามด้วยความอยากรู้

"จะถามทำไมวะไอ้บ้า คนดีๆ ที่ไหนเขาพูดจาแบบนั้นกันวะมึง" น้ำหวานหันไปว่าเพื่อนไม่จริงจังนัก แบงค์กับกวินหัวเราะชอบใจกันใหญ่

"แล้วนี่…อะตอมมาหรือยัง" ผมถามพลางมองหา

"มาถึงก่อนมึงอีก ไปหาแฟนมันที่คณะแล้วมั้ง เมื่อวานได้ข่าวว่าแฟนมันงอนน่าดูเลย" กวินบอก

ผมได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเสีย คงเป็นเพราะอะตอมมัวแต่ห่วงผมแน่เลยถึงได้ผิดนัดกับแฟน ทำให้ผมอดรู้สึกผิดด้วยไม่ได้เลย

"แปลกว่ะ ตั้งแต่กูรู้จักมันมา กูไม่เคยเห็นมันผิดนัดแฟนมันเลยนะเว้ย ครั้งนี้ครั้งแรก แสดงว่ามึงต้องพิเศษมากๆ เลยนะเว้ยกัปตัน" แบงค์ให้ข้อสังเกต

ถ้าเป็นอย่างที่แบงค์ว่าก็น่าแปลกจริงๆ ทำไมอะตอมถึงยอมผิดนัดแฟนล่ะ สงสัยแฟนมันคงโกรธอะตอมน่าดูเลย คิดแล้วก็ชักเป็นห่วง

"มึงกินอะไรมาหรือยัง ไปหาอะไรกินกันไหม" น้ำหวานถาม แต่ท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากคุยด้วยซะมากกว่า

ผมพยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเล แม้ว่าจะกินมาแล้ว แต่ค่าที่อยากสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนกลุ่มนี้ ผมจึงไม่เรื่องมากและตามพวกมันไปที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ไม่นานเราก็ได้เครื่องดื่มคนละอย่างมาเป็นองค์ประกอบการคุยกัน ถ้าพูดตามตรงผมก็ไม่ค่อยกินของพวกนี้หรอก ที่บ้านสอนให้ผมดูแลเรื่องโภชนาการพอสมควร แม่ผมสกรีนอาหารการกินผมละเอียดยิบ

"มึงเคยเห็นแฟนไอ้อะตอมยัง" น้ำหวานถามหลังดูดกินน้ำในแก้วใสๆ ซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยน้ำแข็งซะมากกว่า

ผมส่ายหน้าไปมา "ไม่เคย พวกมึงเคยเห็นแล้วเหรอ"

"ก็เห็นตอนรับน้องนั่นแหละ แฟนมันสวยนะเว้ย คุณหนูสุดๆ เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดเลยว่ะ" กวินพูดพลางขำ

ผมขมวดคิ้วเพราะประโยคหลังนี่แหละ น่าแปลกที่อะตอมไม่เล่าเรื่องแฟนของมันให้ผมฟังเลย ดูเหมือนมันจะชอบถามแต่เรื่องของผมมากกว่า ถามแล้วก็ปล่อยให้ผมพูด ส่วนมันก็นั่งมอง มองไปก็ยิ้มไป ไม่รู้ว่าชอบเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังหรืออะไรกันแน่

"ยังไงวะ"

"อ้าว ก็แฟนมันน่ะโคตรรวยเลย ส่วนไอ้อะตอม มันเป็นนายแบบก็จริงนะเว้ย แต่มันก็ไม่รวยหรอก เงินค่าเทอมของมัน มันก็หาเอง ก็ได้จากงานถ่ายแบบของมันนั่นแหละ สงสัยมึงไม่รู้แน่ๆ เลย ไอ้อะตอมกับแฟนมันน่ะแอบคบกันเว้ย บ้านฝ่ายหญิงยังไม่รู้เรื่องเล้ย" น้ำหวานเล่าอย่างออกรสออกชาติ แล้วก็หันไปถามเพื่อน "เอ๊ะ แฟนมันชื่ออะไรนะ กูจำไม่ได้"

"อั้มไง" แบงค์บอก

"เออใช่ ชื่ออั้ม เขาก็น่ารักดีนะ ไม่หยิ่งหรอก แต่เหมือนจะติดหรูไปหน่อย" น้ำหวานพูดยิ้มๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง "อ้อ คืออย่างงี้…กูจะถามมึงหน่อย มึงสนิทกับไอ้อะตอมแค่ไหนวะ เมื่อวานกูเห็นมันตามมึงทั้งวันเลย"

"ก็ยังไม่สนิทมากหรอก เพิ่งเจอกันเมื่อวานเอง มีอะไรเหรอ" ผมสงสัย

"มึงดูนี่ กูละเสียวแทน ถ้าอาจารย์รู้นะมึงเอ๊ย มีสิทธิ์โดนเรียกไปเตือนแน่ ที่นี่เขายิ่งรักษาภาพลักษณ์เขาอยู่" น้ำหวานพูดพลางส่งโทรศัพท์ตัวเองมาให้ผม

พอเห็นแล้วผมก็ตกใจ หน้าเว็บนั้นมีภาพถ่ายของอะตอมสิบกว่ารูป แทบไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลยนอกจากกางเกงในตัวเดียว อวดหุ่นและรูปร่างจนแทบจะเห็นทุกขุมขน ที่จริงหุ่นมันก็เซ็กซี่ไม่น้อย แต่ถ้าอาจารย์เห็นก็อาจจะเป็นเรื่องอย่างที่น้ำหวานกังวล

"มึงเตือนๆ มันหน่อยได้ไหมวะ" กวินพูดเหมือนขอร้อง

ผมทำหน้าหนักใจ เพราะต่อให้เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน เรื่องแบบนี้ก็พูดยากอยู่ดี

"มันจะไปเตือนได้ไงวะ เพิ่งรู้จักกัน" แบงค์ว่า จากนั้นก็ทำหน้ากังวล "แต่ถ้ามันไม่ทำ มันก็คงไม่มีเงินมาเรียนหนังสือที่นี่หรอก ค่าเทอมแพงจะตาย แต่มันก็เก่งนะ หาเงินเรียนเองได้ กูโคตรนับถือเลย"

"มึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ไงวะ" ผมถามแบงค์

"รู้ดิ ก็กูเรียนมัธยมปลายโรงเรียนเดียวกับมัน" แบงค์ตอบ

"อ้าว งั้นมึงก็สนิทกับมันดิ ทำไมมึงไม่คุยวะ" ผมสงสัย

แบงค์ส่ายหน้าเดียะ "ไม่เอาหรอก ไอ้นี่มันเป็นคนคุยยาก ติสต์แตก ถ้าเข้าไม่ถูกจังหวะ เดี๋ยวมันจะด่าเอา" แบงค์ว่า ก่อนทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ "อ้อ มันน่ะอยากเช่าหอพักอยู่ในเมืองจะตาย เพราะมันไม่อยากเดินทางไกล แต่มันงก ก็ไม่เชิงงกหรอก เพราะเงินที่มันหามาได้น่ะ ส่วนมากมันเปย์แฟนมันทั้งนั้น มันก็เลยไม่อยากเอาเงินมาเช่าหอเพิ่ม ยอมอยู่บ้าน เดินทางไกลๆ เอา อั้มเขาเป็นลูกคุณหนูไง กินเที่ยวธรรมดาที่ไหน ไอ้อะตอมมันก็ตามใจ ไอ้นี่มันบ้าผู้หญิงน่ารัก เมื่อก่อนนะ มันเรียนไม่เก่งมากหรอก แต่พอมันจีบอั้มได้ มันเปลี่ยนไปเลยเว้ย ขยันอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะมันอยากเข้าตุลาให้ได้ มึงคิดดูนะ เมื่อก่อนมันได้เกรดเฉลี่ยสองกว่าๆ แต่มอหกเทอมสุดท้ายมันได้สามจุดเจ็ดเว้ย แถมยังเข้าตุลาได้อีก มันก็หวังสูงแหละ เพราะถ้ามันเข้าที่นี่ได้ เรียนจบ มีงานทำ บ้านฝ่ายหญิงอาจจะยอมรับมัน แต่อั้มมันก็แปลกนะ มีผู้ชายรวยๆ มาจีบเยอะเลย แต่ก็ปฏิเสธหมด"

เมื่อได้ฟังเรื่องของเพื่อนใหม่ผ่านเพื่อนอีกคน ผมก็รู้สึกทึ่งอะตอมไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าการมีแฟนจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนได้ขนาดนี้

"อ้อ เมื่อวานกูถามมันเรื่องหาหอพัก มันบอกกูว่ามันเจอรูมเมทที่มันอยากพักด้วยแล้ว พวกมึงรู้ไหมว่าเป็นใคร กูถามแล้วมันไม่ยอมบอกกู" แบงค์กวาดสายตามีคำถามมองเพื่อนๆ แต่ทุกคนก็ส่ายหน้า ไม่มีใครรู้ว่ารูมเมทที่อะตอมอยากอยู่ด้วยคือใคร

"เออ แล้วมึงมีรูมเมทยังวะกัปตัน" กวินหันมาถามผม

"ยังไม่มี" ผมตอบ

"เฮ้ย ถ้างั้นก็ดีเลย มึงลองชวนมันมาเป็นรูมเมทมึงดิ ไอ้อะตอมมันจะได้ช่วยดูแลมึงด้วยไง กูเห็นมันชอบดูแลมึง" แบงค์เสนอไอเดีย

"มึงถามเขายังว่าเขาอยากมีรูมเมทหรือเปล่า" น้ำหวานขัดขึ้น

"เออ จริงด้วย แล้วมึงอยากมีรูมเมทเปล่าวะ" แบงค์หัวเราะแหะๆ

ไอ้อยากน่ะมันก็อยาก แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ห้องที่แม่ผมซื้อให้ราคาสูงมาก อะตอมไม่น่าจะจ่ายค่าเช่าได้ อีกอย่าง แม่ก็แอบซื้อให้ผมโดยไม่บอกป๊าด้วย ผมยังไม่รู้เลยว่าถ้าป๊ารู้เข้าจะว่ายังไง ดีไม่ดีอาจจะต้องขายห้อง

"แล้วห้องมึงเช่าเดือนเท่าไหร่วะ" กวินถาม

"ไม่ได้เช่าเว้ย ซื้อเลย" ผมรีบบอก

"ซื้อเลยเหรอ ที่ไหน ใกล้ๆ แถวนี้เปล่า" กวินซักต่อ

ผมบอกชื่อคอนโดของผมไป พวกมันสามคนมองหน้ากัน ก่อนน้ำหวานจะหันมาถามผม

"กี่ตารางเมตรวะ"

"ห้าสิบ"

"หา! ห้าสิบตารางเมตรเลยเหรอ" พวกมันสามคนอุทานพร้อมกัน

"โห…แค่ห้องสตูดิโอมันยังบ่นแพง นี่ล่อไปตั้งห้าสิบตารางเมตร สงสัยมันคงต้องขายที่มาเช่าห้องกับมึงแล้วมั้ง" น้ำหวานพูดพลางหัวเราะ

"แล้วมึงคิดค่าเช่ามันถูกๆ ไม่ได้เหรอวะ สักห้าพันไหวไหม" แบงค์ต่อรอง

"ขอกูถามแม่กูก่อนนะ" ผมแบ่งรับแบ่งสู้

"ถ้ามึงช่วยมันได้มึงก็ช่วยมันหน่อยละกัน ไอ้อะตอมมันน่าสงสาร มีสามเรื่องนะเว้ย เรื่องที่หนึ่ง ช่วยเตือนมันเรื่องถ่ายแบบวาบหวิวหน่อย ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ารับ เดี๋ยวจะปลิวออกจากที่นี่ไม่รู้ตัว เรื่องที่สองก็เรื่องเป็นรูมเมทกับมัน ส่วนเรื่องที่สาม ถ้ามึงเตือนได้ก็ช่วยเตือนๆ มันเรื่องใช้เงินกับแฟนมันหน่อย มันจะหมดตัวก็เพราะแฟนมันนี่แหละ ไม่ต้องพากันกินหรูเที่ยวหรูขนาดนั้นก็ได้" แบงค์ช่วยสรุปประเด็นให้ผมเข้าใจง่ายๆ

ดูเหมือนเพื่อนๆ กลุ่มนี้จะรักและเป็นห่วงอะตอมน่าดู ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน แต่เรื่องที่พวกมันขอให้ช่วยก็น่าหนักใจทุกเรื่องเลย

"กูจะลองดูละกัน แต่กูยังไม่กล้ารับปากนะเว้ย อย่าเพิ่งคาดหวังมาก" ผมพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด


<<<CAPTAIN>>>
พอถึงเวลาเข้าเรียน ปรากฎว่าอะตอมมาช้าไปสิบกว่านาที อาจารย์คณะนี้ขึ้นชื่อเรื่องความติสต์แตกและดุๆ กันแทบทั้งนั้น ถ้ามันทำบ่อยๆ อาจจะโดนเรียกไปเตือนได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก อาจารย์จึงเพียงแต่มองด้วยสายตาและสอนต่อไปตามเดิม

ตอนนี้ผมมานั่งอยู่กับกลุ่มสามคนนั้นแล้ว อะตอมจึงต้องนั่งอยู่กับคนอื่น ผมหันไปมองมันด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะเห็นสีหน้ามันไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าง้อแฟนสำเร็จหรือเปล่า จึงได้แต่ยิ้มบางๆ ให้กำลังใจ มันก็ยิ้มตอบผมและทำท่าเหมือนอยากจะมานั่งด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวย

เช้านี้เราเรียนการวาดภาพ "ตีฟ" หรือภาพเพอร์สเปคทีฟ อาจารย์ที่สอนให้เราลองวาดภาพเก้าอี้แบบที่เราชอบ ใส่องค์ประกอบลงไปด้วยว่าเก้าอี้นี้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ในสวน ในป่า ในห้อง บนผิวน้ำ หรือบรรยากาศแบบไหนก็ได้ที่จินตนาการเราไปถึง พอได้ฝึกทำก็ช่วยให้การเรียนไม่น่าเบื่อ จึงมีเสียงคุยกันและเสียงหัวเราะตลอด วาดเสร็จก็เอาภาพมาอวดกัน มีแต่อะตอมคนเดียวเท่านั้นที่ดูหงอยๆ

พอถึงเที่ยงอะตอมก็หายตัวไปเลย แบงค์น่าจะเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนจึงเฉลยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "สงสัยจะมีงานถ่ายแบบมั้ง เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้แหละ โดดเรียนไปบ่อยๆ แต่ก็อย่างว่า มันต้องหาเงินน่ะ พ่อมันก็ไม่เอาไหน"

"ทำไมวะ" ผมถามอย่างสงสัย ขณะที่เข็นช้าๆ ไปตามทางเดิน วันนี้พวกเราตกลงกันว่าจะไปกินของอร่อยๆ ที่คณะนิเทศ

"พ่อแม่มันเลิกกันหลายปีแล้ว มันอยู่กับพ่อสองคน ส่วนน้องสาวมันก็ไปอยู่กับแม่ พ่อมันทำใจไม่ได้มั้ง ก็เลยไม่ทำอะไรเลย มันก็เลยต้องทำงานเลี้ยงพ่อ แต่มันก็ได้เงินเยอะนะ ยิ่งช่วงปิดเทอมมันยิ่งได้เยอะ น่าจะเก็บเงินได้หลายแสน ไม่งั้นมันมาเรียนที่นี่ไม่ได้หรอก"

ยิ่งได้ฟังข้อมูลจากแบงค์ ผมก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจในชะตาชีวิตของเพื่อน ถึงผมจะใช้รถวีลแชร์ แต่ชีวิตผมก็ไม่เคยต้องลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนบ้านผมก็ยังฐานะไม่ดีมาก ช่วงที่ผมเกิดเป็นช่วงที่ป๊ากับแม่กำลังสร้างตัวด้วยธุรกิจส่งออกบะหมี่ไปต่างประเทศ แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยให้ผมลำบากเลย แม้ว่าป๊ากับแม่จะค่อนข้างลำบากก็ตาม

เมื่อมาถึงโรงอาหารคณะนิเทศ พวกเราก็ไม่ได้สนใจเรื่องของใครแล้วนอกจากหาของอร่อยๆ กิน พวกมันสามคนดูตื่นเต้นกันมาก แต่ผมไม่รู้สึกอยากกินอะไรเป็นพิเศษ จึงสั่งข้าวมันไก่มากินเหมือนเดิม คราวนี้ผมไม่ต้องไปยกมาเอง น้ำหวานช่วยจัดการให้เสร็จสรรพ เพราะพวกมันกลัวผมโดนชนเลอะอีก

ขณะที่เรากำลังกินไปคุยกันไป ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนคอยเมียงมองผมอยู่ แถมยังกระซิบคุยกันและชี้ไม้ชี้มือมาทางผมด้วย ตอนแรกผมมองผ่านๆ แต่พอเห็นยังไม่ไปไหนผมจึงหรี่ตามอง สองคนนั้นรีบส่งยิ้มแล้วเดินเข้ามาทักผมทันที

"น้อง…เป็นเด็กใหม่หรือเปล่าคะ" หนึ่งในนั้นถามก่อน

"ครับ" ผมตอบและมองอย่างสงสัย เพื่อนๆ อีกสามคนก็สงสัยด้วย

"เรียนคณะไหนล่ะ" ผู้หญิงคนนั้นถามต่อ

"ถาปัตย์ครับ"

"จริงเหรอ" สองคนทำท่าตื่นเต้น ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่

"คืออย่างงี้ พี่ชื่อปริมนะ นี่พี่สา อยู่นิเทศปีสี่ พอดีว่าเราทำเพจตุลาคิ้วบอย ตอนนี้กำลังมองหาน้องๆ เฟรชชี่ๆ มาร่วมทำกิจกรรมซีโร่เวสท์อยู่ สนใจไหม" รุ่นพี่ที่ชื่อปริมบอกด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะคิดว่าตัวเองได้เจอคิ้วบอยที่ต้องการแล้ว

ผมกับเพื่อนๆ มองหน้ากัน พวกเราพอรู้จักเพจนี้กันมาบ้าง สาวๆ ชอบเข้าไปดูเพราะมีผู้ชายหล่อหลากหลายคณะมาให้เชยชม เพจนี้แนะนำคิ้วบอยในรั้วมหาลัยให้คนรู้จัก มีชวนไปทำกิจกรรมบ้าง หนุ่มคนไหนมีรูปขึ้นเพจนี้ ไม่นานก็จะฮ็อตและมีสาวๆ ติดตาม บางคนมีแฟนคลับด้วย

"ก็สนใจอยู่นะพี่ แต่พี่…คิดดีแล้วเหรอครับ" ผมถามยิ้มๆ

พี่ปริมกับสามองหน้ากัน ก่อนจะหันมาพยักหน้าและพูดพร้อมกัน "อื้ม"

ผมปล็อดล็อกรถวีลแชร์ จากนั้นก็เข็นถอยหลังออกมาจากโต๊ะที่นั่ง รุ่นพี่สองคนถึงกับผงะและหน้าเหวอเมื่อเห็นตัวจริงของผม

"หา! น้องเป็นคนพิการเหรอ!" สองสาวอุทานเสียงดังเกือบจะพร้อมกัน คนในโรงอาหารหันมามองกันเพียบ แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่รู้สึกอายเท่าไหร่

"ครับ น่าสนใจไหมครับ" ผมยิ้มยียวน

"เอ่อ…" พี่ปริมหันไปมองเพื่อนอีกคนด้วยท่าทางลังเล

"ทำไมอะพี่ นั่งวีลแชร์ก็เป็นคิ้วบอยได้ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นแปลกเลย ผมว่ากัปตันมันก็หล่อออก หน้าก็ใส ปากชมพู ทรงผมก็เท่ แต่งตัวก็ดี" กวินให้เหตุผล

"อืม…พี่ว่า…พี่ขอคิดดูก่อนนะคะ ช่วงนี้เรายังไม่มีโปรเจคต์รับของแปลกน่ะ" พี่สาอ้างด้วยสีหน้าแหยๆ จากนั้นทั้งสองคนก็เผ่นออกไป ผมกับเพื่อนๆ จึงพากันนั่งหัวเราะ

"ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกเลยว่ะ อะไรมันจะขนาดนั้นวะ" น้ำหวานหัวเราะ

"มึงนี่ก็โคตรกล้าเลยนะเว้ยกัปตัน" แบงค์ชม

"ชินแล้ว มันก็ต้องอย่างนี้แหละ ป๊ากูสอนว่าไม่ต้องไปเสียเวลาสนใจคนที่ชอบมองเราแปลกๆ หรอก คนพวกนี้มองคนแต่เปลือก ข้อดีของกูก็คือ…ถ้าใครจะมาคบกับกู เป็นเพื่อนกู หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ต้องมาด้วยใจเว้ย ต้องยอมรับกูในแบบที่กูเป็นให้ได้ ป๊าบอกว่า…มันจะช่วยให้กูมีแต่เพื่อนดีๆ เหมือนพวกมึงไง" ผมแอบหยอดเพื่อนๆ ตรงประโยคท้ายด้วย พวกมันอมยิ้มชอบใจกันใหญ่

"ก็จริงเนอะ" น้ำหวานหันไปพยักเพยิดกับเพื่อน

"แต่ตอนแรกที่พวกกูยังไม่คุยกับมึง ไม่ใช่พวกกูมองแต่เปลือกนะเว้ย แค่ไม่กล้าคุยเฉยๆ" กวินอธิบายอีกครั้ง

"เออ กูรู้แล้ว รีบๆ กินเหอะ เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน พากูมาซะไกลเลย" ผมว่าไม่จริงจังนัก เพราะถึงจะไกลแค่ไหน ผมเข็นเร็วๆ แป๊บเดียวก็ถึง คนเดินสองขาต่างหากที่จะตามผมไม่ทัน

… … …

บ่ายวันนี้อะตอมไม่เข้ามาเรียน น่าจะรับงานอย่างที่แบงค์บอก แต่ผมก็ไม่เหงาแล้วเพราะมีอีกสามคนเป็นเพื่อน ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็เริ่มคุยกับผมมากขึ้น ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนมีวี่แววว่าจะไปได้ดี ทำให้ผมค่อยหายกังวลขึ้นมาบ้าง

เลิกเรียนเสร็จผมก็บึ่งรถไปหาแม่ที่โรงงานในเขตทวีวัฒนา บุกไปแบบไม่ให้แม่ตั้งตัวทันเลย แม่แปลกใจไม่น้อยที่ลูกชายบุกมาหาถึงที่ ดีที่ไม่ยุ่งมากและพอมีเวลาคุยกับผม หลังคุยสัพเพเหระแล้วผมก็ชวนแม่เข้าเรื่อง

"แม่ว่าผมหารูมเมทมาอยู่ด้วยดีไหม"

แม่ผมดูแปลกใจตอนแรก แต่ไม่นานก็พยักหน้าช้าๆ คล้ายกับจะเห็นด้วย "แม่ว่าก็ดีนะ เผื่อเพื่อนจะได้ช่วยดูแลกัปตันด้วย แม่จะได้ไม่ห่วงมาก ว่าแต่…กัปตันมีเพื่อนอยากมาแชร์ห้องด้วยหรือยังล่ะ"

"ใครจะกล้ามาแชร์ล่ะแม่ ห้องตั้งแพง เขาจ่ายค่าเช่าไม่ไหวหรอก" ผมใส่อารมณ์ให้ดูสมจริงไปด้วย

"อืม…ก็จริงของกัปตัน แม่ก็ลืมคิดไป เอ…คิดเท่าไหร่ดี สักเดือนละแปดพันดีไหมลูก" แม่เสนอราคาให้ อย่างนี้แปลว่าแม่เห็นด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะคุยง่ายกว่าที่คิดไว้

"ห้าพันได้ไหมแม่" ผมต่อรอง แม่ถึงกับสะดุ้ง

"ห้าพันเหรอ" แม่ถามทวน ท่าทางดูคิดหนัก ผมจึงต้องหว่านล้อมต่อ

"แปดพันไม่มีใครมาอยู่หรอกแม่ เดี๋ยวนี้นักศึกษาตุลาก็ไม่ได้รวยทุกคน เพื่อนผมจ่ายไม่ไหวหรอก อีกอย่างก็ซื้อไปแล้ว ถ้ามีคนมาอยู่ด้วย ผมก็จะมีเงินค่าขนมเดือนละห้าพัน จะได้ไม่ต้องขอแม่เยอะไง ดีกว่าให้ผมพักเฉยๆ ไม่มีรายได้ แม่ว่าไม่ดีเหรอ"

แม่ยังดูคิดหนักอยู่ เพราะแปดพันก็ถือว่าน้อยแล้ว ผมดันมาต่อเหลือห้าพันอีก

"แล้วเพื่อนเขาเป็นคนดีหรือเปล่า ค่าเช่าน่ะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก แม่กลัวกัปตันจะโดนเพื่อนไม่ดีมาหลอกมากกว่า" แม่เตือนด้วยสีหน้ากังวล

"เอ…งั้น…เอาไงดีล่ะแม่" ผมก็ชักจะกังวลไปด้วย

"แม่ว่า…ต้องทดสอบคนที่จะมาอยู่ด้วย จะได้มั่นใจ"

"ยังไงครับ" ผมโน้มตัวเข้าหาอย่างสนใจ

หลังจากแม่บอกวิธีให้ผมแล้ว ผมก็ขอตัวกลับคอนโดเลย ส่วนแม่ก็อยู่เคลียร์งานต่อ ผมกลับมาถึงห้องพักเกือบๆ สองทุ่ม จากนั้นก็แวะไปกินข้าวที่ห้างข้างๆ กินเสร็จก็เข็นกลับห้องพัก ก่อนจะเข้าไปก็สะดุดตากับใครบางคนจนต้องหยุดหันไปมอง

"อะตอม" ผมเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนเข็นเข้าไปหาใกล้ๆ "มาหากูเหรอ ทำไมไม่โทรบอกล่ะ กินอะไรมาหรือยัง"

อะตอมพยักหน้ายิ้มๆ ดูเหมือนจะดีใจไม่น้อยที่เจอผม "กินแล้ว"

"ถ่ายแบบเสร็จแล้วเหรอ" ผมถาม แต่ยังไม่กล้าละลาบละล้วงว่าถ่ายแบบ "แบบไหน"

"อืม" อะตอมพยักหน้า ก่อนยิ้มเศร้าๆ ท่าทางดูเนือยๆ "ขอโทษนะเว้ย วันนี้ไม่ได้มาดูแลมึงเลย"

"ไม่เป็นไร" ผมยิ้ม ยังไม่ทันอ้าปากพูดต่อ อะตอมก็พูดขึ้นก่อน

"คืนนี้…กูพักห้องมึงได้เปล่า"

คนถามทำท่าเกรงใจ ทว่าสีหน้าก็ดูยิ้มๆ แต่ดูอีกทีก็เหมือนเขินๆ ชอบกล

"ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก"

"ขอบใจมากเพื่อน" อะตอมทำหน้าซึ้งๆ ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ นิดหน่อย

"ไปเหอะ มึงจะได้พักผ่อน เหนื่อยแย่แล้ว" ผมบอกพลางเข็นนำมันเข้าไปในคอนโด ถ้าเดินได้ก็ว่าจะโอบไหล่มันซะหน่อย เพราะดูมันอ่อนล้าเหลือเกิน

พอเข้ามาในห้อง อะตอมก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าวีลแชร์ผม หน้ามันดูเศร้าๆ ชอบกล เหมือนคนมีเรื่องไม่สบายใจ

"มึงกับแฟน…เข้าใจกันดีแล้วใช่ไหม" ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้

อะตอมถอนหายใจทันที แสดงว่าผลลัพธ์น่าจะตรงข้ามกับที่ผมเข้าใจ หน้ามันดูเศร้ามากขึ้นไปอีก

"กัปตัน…กูขอกอดมึงหน่อยได้ไหม กูต้องการกำลังใจว่ะ" อะตอมพูดเสียงสั่นเหมือนคนจะร้องไห้

ผมไม่ตอบคำถาม แต่ก็ไม่มีท่าทางปฏิเสธ เท่านี้อะตอมก็น่าจะเข้าใจได้ มันจึงเอื้อมมือมาจับใต้รักแร้ผมแล้วยกตัวผมยืนขึ้น ไม่นานก็กอดผมแน่น แน่นกว่าทุกครั้งที่มันเคยกอดผมเลย ตัวมันสั่นๆ ด้วย คล้ายกับคนกำลังจะร้องไห้ ไม่รู้ว่ามันไปเจออะไรมาบ้าง เหมือนจะหนักไม่ใช่เล่นเลย


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)


// ถ้าอ่านแล้วชอบ อย่าลืม "บวกเป็ด" ในตอนที่ชอบด้วยนะครับ
// ห้ามพลาดตอนต่อไปอย่างเด็ดขาด เตรียมหมอนมาจิกได้เลย :)
​// ถ้าสะดวกก็อย่าลืมคอมเมนต์ตามเนื้อหานิยายด้วยนะครับ
// ใครที่คาดหวังจะเห็นคนพิการเศร้าสร้อย ป่วย อ่อนแอ ไม่แอคทีฟ น่าสงสาร ฯลฯ จากเรื่องนี้ อาจจะต้องผิดหวังนะครับ :)
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP03 ผมอยากได้กำลังใจจากเขา - 12.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 12-04-2017 17:37:25
อะตอม สู้ สู้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP03 ผมอยากได้กำลังใจจากเขา - 12.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 12-04-2017 18:07:49
ถ้าอะตอมเลิกกับแฟนก็ดีสิ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP03 ผมอยากได้กำลังใจจากเขา - 12.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 12-04-2017 19:37:50
ตอนอะตอมขอนอนที่ห้องกัปตันดูเขินๆ แต่พอถามถึงแฟนกลับเศร้าซะงั้น555555 สรุปยังไงๆๆ  :katai2-1: :katai2-1:

เราว่าเราคงมองโลกในแง่ร้ายไปนะ ทำไมอ่านแล้วเรามีความรู้สึกว่าอะตอมจะมาเกาะกัปตันแปลกๆอ่ะ ที่จริงคงไม่ใช่ แต่เรารู้สึกอย่างงี้จริงๆนะ ทั้งๆที่มีเงินกลับเอาไปเปย์แฟนเยอะๆ เงินเอาไปเช่าหออื่นก็ได้
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP03 ผมอยากได้กำลังใจจากเขา - 12.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-04-2017 20:40:06
รีบๆเลิกกับแฟนทีเถอะะะะะะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP03 ผมอยากได้กำลังใจจากเขา - 12.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 12-04-2017 22:27:27
 น่ารักอะ ชอบๆ อะตอมเลิกกับแฟนแล้วแน่ๆ  ตอนพูดถึงอะตอมถ่ายแบบหวาบหวิวนึกถึงข่าวนักศึกษาชายที่เป็นนักเรียนทุนมหาลัยแล้วถ่ายชุดเกงในอะ  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 13-04-2017 21:05:23
​เอามาเรียกน้ำย่อยก่อนนะครับ อดใจรอ ไม่เกินพรุ่งนี้ได้อ่านแน่ ที่นี่ เร็วๆ นี้ :)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1093178138-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 13-04-2017 22:13:40
ขอบคุณที่แต่งเรื่องรักอบอุ่นแบบนี้ให้อ่านครับ
ชอบเรื่องนี้มาก จะตามอ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 13-04-2017 23:38:17
สนุกมากติดตามจ้า 
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 14-04-2017 13:01:15
ขอบคุณที่ติดตามครับ ขออีก 4 คอมเมนต์ได้ไหมครับ จะได้เอานิยายลงหน้าใหม่ได้เลย
ตอนนี้เขียนเสร็จแล้ว อยากให้อ่านมากๆ คนเขียนฟินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 14-04-2017 13:36:43
อยากอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 14-04-2017 13:37:22
 :L2:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 14-04-2017 13:38:07
ลงให้อ่านเลยนะ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 14-04-2017 13:38:38
 :L2:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 14-04-2017 13:44:12
อะตอมเลิกกับแฟนแล้วรึเปล่า , _ ,
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 14-04-2017 13:44:22
EP04 (Part 1)
ผมแพ้ผู้ชายน่ารักซะแล้ว

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)


<<<ATOM>>>

"ถ้ามึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟัง ก็เล่าได้นะเว้ย เรื่องไหนเล่าได้ก็เล่า กูพร้อมจะฟังทุกเรื่อง แต่ถ้ามึงแค่อยากพักผ่อนเงียบๆ ไม่อยากเล่าอะไรก็ไม่เป็นไร หรือว่ามึงจะเล่นเกม จะฟังเพลง จะดูหนัง จะออกไปดูวิวตรงระเบียง จะซื้อเบียร์มากิน ก็ตามสบายเลยเพื่อน ทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้มึงสบายใจขึ้น ถ้ากูช่วยมึงได้ กูก็ยินดีช่วย"

ฟังแล้วผมก็ซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำให้ผมรู้สึกดีและอบอุ่นใจได้ขนาดนี้ วันทั้งวันผมรอให้เสร็จงานเพื่อจะมาหาคนนี้คนเดียว

"ขอเวลาทำใจสงบๆ แป๊บนึงนะเว้ย เรื่องมันเยอะไปหมดเลยว่ะ แต่ยังไงกูก็ต้องเล่า มึงทนฟังกูหน่อยนะเว้ย"

"เออ กูจะฟังมึงพูดจนเช้าเลย มึงพูดมาให้หมดเหอะ"

"งั้นมึงไม่ได้นอนแน่" ผมพยามพูดติดตลก เผื่อจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ที่จริงแค่ได้มาเห็นหน้ากัปตันผมก็รู้สึกดีแล้ว ยิ่งได้กอดก็ยิ่งอุ่นใจ

ที่จริงกัปตันก็แค่นั่งรถวีลแชร์ นอกนั้นเขาก็เหมือนคนทั่วไป เป็นเพื่อนผมได้ ให้กำลังใจผมได้ เป็นที่พึ่งยามท้อใจให้ผมได้ ถ้าจะเป็นมากกว่านี้ ผมก็เชื่อว่าเป็นได้

"พอยัง กูยืนเมื่อยแล้ว" กัปตันเตือน

"ขอโทษๆ" ผมหัวเราะเขินๆ เมื่อนึกได้ จากนั้นจึงคลายอ้อมแขนออกและพยุงกัปตันลงนั่งบนรถวีลแชร์ตามเดิม

"มึงจะอาบน้ำก่อนไหม จะได้สดชื่น" กัปตันเสนอ

"มึงอาบก่อนเหอะ กูขอไปยืนดูวิวตรงระเบียงๆ เงียบๆ แป๊บหนึ่ง อนุญาตเปล่า"

"ตามสบาย งั้น…กูอาบน้ำก่อนนะ ส่วนมึงก็ดูวิวให้สบายใจละกัน รับลมเย็นๆ จะได้สบายใจ"

ผมพยักหน้าเห็นด้วย วันนี้ผมเจอคนและเจอปัญหาหลายเรื่องแล้ว ขอพื้นที่สงบๆ ให้ตัวเองซะหน่อยก็ดี

"อ้อ จะกินอะไรก็ตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าเป็นห้องของมึง" กัปตันยิ้มกว้างให้ผม อวดเสน่ห์ฟันเขี้ยวแหลมเล็ก

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นกัปตันยิ้มกว้างขนาดนี้ ปกติเขาจะดูเป็นคนหน้าเฉยๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกมาก เดายากว่ารู้สึกยังไง พอยิ้มแบบนี้แล้วกัปตันดูสดใสมากทีเดียว หัวใจที่มืดๆ ของผมก็พลอยสว่างไสวไปด้วย

"เออ" ผมรับคำ

"งั้นกูไปอาบน้ำก่อนนะเว้ย" กัปตันบอกแล้วหมุนรถ ก่อนเข็นเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง

ผมเอากระเป๋าที่สะพายมาด้วยวางบนโซฟา จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดปิดเครื่อง คืนนี้จะไม่มีใครสามารถติดต่อและรบกวนผมได้ เพราะผมจะใช้เวลากับกัปตันให้เต็มที่ ผมจะเปิดพื้นที่ส่วนตัวให้เขาเข้ามาหาผมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผมก็คงจะมีโอกาสเข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวของกัปตันบ้างเหมือนกัน น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นดี

ผมเดินไปที่ระเบียงและเหม่อมองไกลออกไป แสงสีกรุงเทพยามค่ำคืนดูเย็นตา ผิดจากตอนกลางวันที่ดูร้อนและวุ่นวายสับสน ลมเย็นๆ พัดมาต้องผิวกายผม ผมหลับตาและสูดหายใจลึกๆ ไม่นานเท่าไหร่ใจก็เริ่มสงบเย็น

ตอนแรกผมว่าจะยืนชมวิวตรงนี้เงียบๆ คนเดียวสักพัก แต่พอนึกได้ว่าเพื่อนตัวเองใช้วีลแชร์ ผมก็เกิดสงสัยว่ากัปตันจะอาบน้ำยังไง ต้องการให้ช่วยหรือเปล่า

คิดแล้วผมก็กลับเข้ามาในห้อง ก่อนเดินไปดูห้องน้ำซึ่งก็กว้างขวางพอสมควร น่าจะพอให้วีลแชร์เข้าไปได้ทั้งคันได้ แบ่งพื้นที่เป็นส่วนเปียกและแห้ง มีผ้าม่านสีครีมๆ เอาไว้รูดกั้น ตรงที่อาบน้ำมีเก้าอี้พลาสติกสีขาวๆ ชนิดผิวหยาบวางอยู่ ผมเดาว่ากัปตันน่าจะใช้นั่งอาบน้ำ

ผมออกจากห้องน้ำแล้วเดินไปที่ห้องนอน ก่อนเลื่อนประตูเปิดและเยี่ยมหน้าเข้าไปถาม "มีอะไรให้ช่วยไหม"

กัปตันเอาผ้าเช็ดตัวพันตัวอยู่บนเตียงพอดี เขาหยุดมองผมแล้วก็ตอบ "ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก กูทำอะไรเองหมดมาตั้งแต่เด็กแล้ว"

"กูรู้ แต่ว่า…กูขอช่วยมึงได้ไหม วันนี้กูยังไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลย" ผมต่อรอง ก่อนสาวเท้าเข้าไปใกล้

"จะเข็นเหรอ" กัปตันเอียงคอ

"เปล่า" ผมยิ้ม ก่อนจะย่อตัวลงหน้ากัปตันและหันหลังให้ "ขี่หลังกูดีกว่า เดี๋ยวกูจะพามึงไปอาบน้ำ"

"เฮ้ยไม่เอา" กัปตันปฏิเสธแทบจะทันที

ผมหันไปนิ่วหน้า "อะไรวะ ไหนมึงเพิ่งบอกไงว่ายินดีทำทุกอย่างให้กูสบายใจ ถ้ากูได้ช่วยบริการมึงนะ กูจะโคตรสบายใจเลยรู้เปล่า"

เจอไม้นี้เข้าไปกัปตันก็คงยอมแพ้ กระนั้นก็ยังดูลังเล

"ถ้าไม่ขี่หลัง งั้นกูอุ้มมึงนะ กูว่ากูน่าจะอุ้มได้ มึงตัวไม่หนักเท่าไหร่" ผมเปลี่ยนข้อเสนอ

กัปตันหน้าเหวอ "เฮ้ย เอางั้นเลยเหรอวะ"

ผมลุกขึ้นยืนและยิ้มกรุ้มกริ่ม "น่า กูอยากรู้ว่ากูจะอุ้มมึงไหวเปล่า เผื่อวันหลังไปไหนด้วยกัน กูจะได้รู้ไงว่ากูอุ้มมึงคนเดียวไหวไหม หรือต้องหาคนมาช่วย"

กัปตันไม่ตอบ ผมจึงถือวิสาสะช้อนตัวเขาขึ้นมาอุ้มในท่าอุ้มเจ้าสาว กัปตันดูตกใจเล็กน้อย แต่สักพักก็ทำหน้าเฉยๆ ทว่าผมกลับเห็นสีแดงเรื่อๆ ปรากฎบนแก้มสองข้าง ผิวเนื้อขาวๆ อยู่ในอ้อมแขนของผมแล้ว กัปตันมีกลิ่นกายเฉพาะตัวที่ผมชอบ ไม่หอมแบบผู้หญิงแต่ก็เย้ายวนใจอย่างประหลาด

ผมอุ้มกัปตันเข้าไปในห้องน้ำและพาไปวางบนเก้าอี้พลาสติกสีขาวๆ ตัวนั้น กัปตันคอยใช้มือจับปมผ้าเช็ดตัวไว้เพราะมันจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่

"อาบเสร็จแล้วเรียกกูนะ" ผมกำชับ

กัปตันพยักหน้า ตอนแรกผมว่าจะออกไปเลย แต่พอก้าวขาไปได้สองสามก้าวผมก็หยุดกึก

"เฮ้ย กูว่า…กูอาบน้ำพร้อมมึงเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาไง"

"เฮ้ย!" กัปตันอุทานด้วยสีหน้าตกใจ

"อายทำไมวะ ผู้ชายเหมือนกัน มึงไม่เคยอาบน้ำกับเพื่อนเหรอ" ผมแสร้งถาม ที่จริงตั้งใจจะต้อนให้เข้ามุมต่างหาก

"ไม่เคย" กัปตันส่ายหน้าเร็วๆ

"งั้นมึงก็ต้องเคยไว้ ผู้ชายสนิทกันเร็วเพราะแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันนี่แหละ" ผมอ้าง แต่ไม่รับประกันว่ามีงานวิจัยที่ไหนรองรับสมมติฐานนี้หรือเปล่า

กัปตันดูอึ้งๆ ผมก็เลยถอดเสื้อผ้าซะเลย ไม่ถึงนาทีผมก็ล่อนจ้อนไปทั้งตัว อวดหุ่นนายแบบต่อหน้าต่อตากัปตันหน้าตาเฉย ผมเห็นกัปตันมองอึ้งๆ ก็เลยยักคิ้วกวนๆ ให้

"ไง หุ่นกูใช้ได้ไหม" ผมแกล้งพูดหยอก ก่อนเอาเสื้อผ้าไปแขวนกับราวตรงประตู ขณะแขวนก็พูดไปด้วย "กูขอยืมเสื้อผ้ามึงใส่หน่อยนะเว้ยคืนนี้"

"เออ" กัปตันบอกสั้นๆ

ผมแขวนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมาหาคนที่นั่งอยู่ มาถึงก็ยื่นมือขอ "เอาผ้าขนหนูมา เดี๋ยวกูเอาไปแขวนให้"

กัปตันหน้าเหวอหน่อยๆ คงประหม่าน่าดู ผมจึงเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังและย่อตัวลงนั่งอธิบายข้างๆ "มึงรู้ไหมว่าทำไมกูถึงอยากแก้ผ้าอาบน้ำกับมึง เพราะกูอยากให้มึงรู้ว่ากูพร้อมจะยอมรับมึงในแบบที่มึงเป็นไง ไม่ต้องอายกูหรอก"

ผมไล่สายตามองตามตัวของกัปตัน หุ่นมันค่อนข้างดีเพราะไม่มีพุง มีลายกล้ามเนื้อตรงแขนและอกพองาม แถมผิวยังขาวเนียนจนสาวๆ คงอิจฉา ครู่หนึ่งผมก็เงยหน้ามาสบตาด้วย สีหน้ามันยังดูประหม่าอยู่ ผมเดาว่ามันคงไม่เคยเปิดเผยรูปร่างของมันให้ใครเห็น คงจะอายขาตัวเองนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่คิดว่าแปลกถ้าขามันจะมีกล้ามเนื้อน้อยไปบ้าง

"มึงไม่รังเกียจกูเหรอ" กัปตันถามเสียงสั่นๆ

ผมส่ายหน้าและยิ้มให้ "กูจะรังเกียจมึงทำไมวะ มึงรู้ไหม…กูอยากเป็นเพื่อนมึงมากเลยนะเว้ย กูยอมผิดนัดกับแฟนกูตั้งสองครั้งก็เพราะกูอยากรู้จักมึงให้มากขึ้นนี่แหละ รู้ไหม…พอเลิกงานถ่ายแบบ กูก็มาหามึงก่อนใคร กูเลือกมาหามึงคนเดียวนะเว้ย มึงอยากให้กูรู้จักมึงมากกว่าที่ใครๆ รู้จักมึงหรือเปล่าวะ กูอยากรู้จักมึงนะเว้ย อยากรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่กูจะรู้จักได้"

สงสัยผมจะกดดันเพื่อนมากไป เพราะสีหน้าของกัปตันยังดูไม่สบายใจเหมือนเดิม ถ้างั้นผมก็ไม่ควรรีบเร่ง

"โอเค สงสัยกูจะทำให้มึงเครียด งั้น…กูออกไปรอข้างนอกก็ได้ มึงอาบน้ำคนเดียวละกัน"

ผมลุกขึ้นและทำท่าเดินออกไป พลันกัปตันก็คว้ามือผมไว้

"เดี๋ยวก่อน"

ผมหยุดกับที่และหันไปมอง มือนิ่มๆ อุ่นๆ ของมันทำเอาผมใจเต้น กัปตันก็ปล่อยมือจากผม ก่อนกลับมาจัดการดึงปมผ้าขนหนูของตัวเองออก ไม่นานก็ส่งผ้าเช็ดตัวผืนนั้นมาให้ ผมยิ้มพอใจเมื่อได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเพื่อน

"เอาไปเก็บให้กูหน่อย" เจ้าตัวบอกเขินๆ

ผมพยักหน้าและรับผ้าขนหนูผืนนั้นมา ก่อนเอาไปวางไว้บนอ่างล้างหน้าซึ่งมีที่ว่างอยู่ ครู่เดียวผมก็กลับมายืนข้างๆ เตรียมพร้อมจะอาบน้ำด้วยกันครั้งแรก

"เห็นไหม ไม่เห็นมีอะไรเลย อายทำไม" ผมพูด สีหน้าประหม่าของกัปตันหายไปบ้าง

"ปิดผ้าม่านด้วย เดี๋ยวพื้นเปียก" กัปตันเตือน ผมพยักหน้าแล้วทำตามที่เพื่อนบอก

"เชี่ย _วยมึงจะทิ่มหน้ากูอยู่แล้ว" กัปตันประท้วงขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปเลื่อนปิดผ้าม่านกั้นพื้นที่เปียกกับแห้ง

เนื่องจากกัปตันนั่งอยู่บนเก้าอี้อาบน้ำ แต่ผมยืนและยืดตัวออกไป ระดับสายตาของกัปตันจึงอยู่ใกล้เคียงกับอาวุธลับของผม ผมรีบเอามือข้างหนึ่งกุมตรงนั้นไว้ อดขำไม่ได้เมื่อเห็นกัปตันหน้าแดง มันดูน่ารักจนผมแทบอดใจไม่ไหว เพราะปกติผมก็แพ้คนน่ารักอยู่แล้ว แต่เพิ่งจะรู้ตัวว่าแพ้ผู้ชายน่ารักก็วันนี้

พอเลื่อนผ้าม่านปิดเรียบร้อย ผมก็แซวอย่างอารมณ์ดี "มันไม่ทิ่มหรอก ถ้ามึงไม่เล่นกับมัน"

"อาบน้ำได้แล้ว" กัปตันเปลี่ยนเรื่องด้วยท่าทางเขินๆ

ผมหัวเราะชอบใจเบาๆ ก่อนหมุนก๊อกเปิดน้ำ ไม่นานน้ำเย็นๆ จากฝักบัวกลมใหญ่เท่ากาละมังบนเพดานก็ไหลลงมารดกายเราสองคน ก่อนเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นสบายในไม่ช้า พอตัวเปียกดีแล้ว ผมก็ปิดน้ำและมองหาสบู่ กัปตันคงรู้ว่าผมมองหาอะไรจึงชี้บอก ผมหยิบมาดูยี่ห้อแล้วก็ถาม

"มึงใช้มายเวย์ด้วยเหรอ"

"อืม ใช้มาตั้งแต่เด็กๆ เลย ใช้ดีนะเว้ย ใช้นิดเดียวเอง อาบสะอาดมาก ฟองนุ่ม หอมด้วย" กัปตันถือโอกาสโฆษณาผลิตภัณฑ์ "มายเวย์" ที่ตัวเองใช้เสียเลย บ้านเพื่อนผมที่ฐานะดีๆ ก็ใช้ยี่ห้อนี้หลายคน

พอบีบมาใช้ ผมก็พบว่ามันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนจมูกเหมือนยี่ห้อท้องตลาด พอเอามาชโลมผิวอาบน้ำ ผมก็ได้สัมผัสกับฟองละเอียดอ่อนละมุนอย่างที่กัปตันโฆษณาไว้ ผมบีบใส่มือแล้วถูเป็นฟอง ก่อนแกล้งเอาไปถูและลูบไล้ตรงหน้าออกของมัน กัปตันถึงกับสะดุ้ง

"เชี่ย ทำไร"

"เสียวเหรอ" ผมเย้า

"เสียวห่าไรล่ะ ตกใจเว้ย" กัปตันแก้ตัว หน้าแดงอีกแล้ว ยิ่งทำให้ผมชอบใจ

"ตกใจทำไม ผู้ชายเขาก็เล่นกันแบบนี้แหละ" ผมอ้าง

"ก็กูไม่เคยอาบน้ำกับเพื่อนแบบนี้นี่หว่า" กัปตันพูดเสียงมุบมิบ

ผมพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นต่างคนต่างก็จัดการกับการทำความสะอาดตัวเอง ที่จริงผมอยากช่วยขัดถูให้ แต่กลัวอาวุธลับของตัวเองจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป กระนั้นผมก็แกล้งแอบจับตรงนั้นตรงนี้ของมันเรื่อยๆ จนมันเลิกตกใจและชินไปเอง ก็เหลือแค่ที่เดียวเท่านั้น

พอกัปตันเอามือไพล่ไปทำความสะอาดหลัง ผมก็อาศัยทีเผลอแกล้งคว้าหมับเข้าที่อาวุธลับของมันทันที มันถึงกับร้องโวยวาย

"เฮ้ย เล่นเหี้ยอะไรวะ"

"ขอโทษๆ โกรธเหรอวะ ปกติกูก็เล่นกับเพื่อนแบบนี้แหละ มึงไม่เคยเล่นเหรอ" ผมทำหน้าสงสัย

สีหน้าของกัปตันอ่อนลง ผมเดาว่าเขาคงไม่เคยเล่นกับเพื่อนแบบนี้มาก่อน สำหรับผู้ชายทั่วไปแล้ว เรื่องนี้ถือว่าธรรมดามาก มันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชาย บางคนเล่นถึงขนาดชักให้กันก็มี แต่ผมยังไม่เคยทำถึงขนาดนั้นหรอก

"งั้นกูให้จับคืน" ผมแกล้งแอ่นตรงนั้นให้มัน กัปตันหน้าเหวออีก แต่ผมก็หน้าด้านอีกเหมือนกัน "จับดิ"

กัปตันเงยหน้ามองผมด้วยอาการประหม่า สักพักก็ลดระดับลงมามองตรงนั้นของผมอีกครั้ง ดูท่าจะคิดหนักทีเดียว ผมก็ปล่อยให้มันคิด ถ้ามันจะไม่จับก็ไม่เป็นไรหรอก แต่สุดท้ายกัปตันก็กล้า มันเอื้อมมือมาจับและบีบของผมเบาๆ ก่อนจะปล่อยอย่างรวดเร็ว หน้ามันแดงจัดอีกแล้ว ผมชอบหน้าแดงๆ ของมันจริงๆ

"ถ้ามึงไม่เคยเล่นแบบนี้กับเพื่อนคนไหน เล่นกับกูได้นะเว้ย มันสำคัญมากนะมึงรู้เปล่า ผู้ชายน่ะ…ถ้าไม่เล่นแบบนี้ มันไม่สนิทกันหรอก จริงไหม"

กัปตันพยักหน้ายอมรับอย่างเขินๆ ผมว่ามันคงรู้สึกบ้างแหละที่เห็นเพื่อนเล่นจับของลับกัน แต่ไม่มีใครกล้าเล่นกับมันแบบนี้

พอล้างฟองสบู่หมด ผมก็เสนอ "เดี๋ยวกูสระผมให้"

กัปตันไม่มีท่าทางตกใจหรือลังเลอีกแล้ว ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขที่มีคนอาบน้ำเป็นเพื่อน ผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน แทบจะลืมเรื่องปวดหัวๆ ที่เจอมาตลอดวันไปเลย

ผมไปยืนด้านหลัง บีบยาสระผมและสระล้างรอบแรกให้ก่อนเพื่อเอาคราบไขมันออกจากเส้นผม จากนั้นจึงสระซ้ำ คราวนี้มีฟองมากขึ้น ผมสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ พร้อมกับหลับตาพริ้ม จากนั้นก็ก้มไปคุยกับคนที่นั่งข้างหน้า

"โคตรหอมเลย สงสัยต้องหามาใช้บ้างแล้ว"

สระผมให้เพื่อนไปสักพัก ผมก็แกล้งยืนแอ่นให้อาวุธลับของผมไปโดนหลังมัน กัปตันรีบหันมาขู่ทันที

"เดี๋ยวกูบีบไข่แตกเลย"

เราสองคนหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะหันกลับมาสนใจการสระผมต่อ สระเสร็จก็ล้างให้สะอาดหมดจด ขณะหยิบขวดครีมนวดมา ผมก็แกล้งถาม

"ถามจริง อย่างมึงเอากับผู้หญิงได้เปล่าวะ"

"งั้นกูขอลองกับมึงก่อนละกัน" กัปตันหันมายิ้มยียวนใส่ผม

"จริงเปล่า งั้นออกไปกูพามึงขึ้นเตียงเลยนะ"

"เชี่ย เรื่องไร" พอกวนสู้ผมไม่ได้มันก็สบถ

"ไรวะ ไม่ลองหน่อยเหรอ ถึงกูจะยังไม่เคยลองกับผู้ชาย แต่กูคิดว่าทำได้นะเว้ย สนเปล่า" ผมแหย่ต่อ

"ไม่เอา"

"ไม่เอาแล้วทำไมหน้าแดงวะ ไม่รู้เหรอ เดี๋ยวนี้เขามีเซ็กซ์เฟรนด์กันเยอะแยะ ธรรมดาจะตาย"

"เชี่ยนี่ พอแล้ว" กัปตันทำเสียงมุบมิบ

"เออ กูพูดเล่นไปงั้นแหละ" ผมหัวเราะ ก่อนก้มไปยิ้มมีเลศนัยใส่มัน "แต่ถ้าได้ก็เอา"

"นี่แน่ะ" กัปตันเอื้อมมือมาจับของลับผมแล้วบีบ ไม่ถึงกับแรงมากแต่ก็เกือบจุก

"โอ๊ย มึงบีบของกูเหรอ" ผมทำท่าขึงขังใส่ ก่อนย่อตัวลงไปนั่งข้างๆ และจ้องตรงนั้นของมัน

กัปตันคงรู้ว่าผมจะจับคืน มันจึงรีบเอามือปิด ผมก็เลยแกล้งดึงมือมันออก เสียงหัวเราะของเราดังลั่นห้องน้ำ มันร้องห้ามใหญ่เลย แต่จู่ๆ เราก็หยุดและมองหน้ากันนิ่ง เหมือนที่เรามักเห็นในทีวีบ่อยๆ ผมเคยสงสัยว่าทำไมพระเอกและนางเอกต้องมีโมเมนต์แบบนี้ก่อนตกหลุมรักกัน คราวนี้ผมคงจะหายสงสัยแล้ว

ผมรู้สึกว่าปากสีชมพูเรื่อๆ ของมันส่งสัญญาณเชิญชวนอีกแล้ว ที่จริงผมคงมโนไปเองนั่นแหละ กระนั้นใบหน้าของผมก็เลื่อนเข้าไปหา นึกอยากจูบและบดขยี้ริมฝีปากสวยๆ ให้สะใจสักครั้ง คงจะเสียวซ่านรัญจวนใจดีไม่น้อย ก็เกือบได้ทำสมใจนึกแล้ว แต่กัปตันดันได้สติซะก่อน

"กูจะนวดผมแล้ว"

ผมเผลอถอนหายใจอย่างเสียดาย หรือจะโล่งใจด้วยก็ว่าได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมนวดผมให้เพื่อน เอาเถอะ จะว่าไปผมก็ไม่ควรจะจูบมันหรอกเพราะผมยังมีแฟนอยู่ เดี๋ยวจะสร้างปัญหาให้มันเปล่าๆ

อาบน้ำเสร็จ เราก็เช็ดตัวให้ ปกติกัปตันจะเช็ดโทนเนอร์ ทาครีมและทาโลชั่นหลังจากนั้น แต่พอไม่ได้เอาวีลแชร์เข้ามาด้วยก็ทำเองไม่สะดวก ผมจึงหยิบขวดโทนเนอร์และสำลีมาให้ แต่กัปตันก็บ่น

"กูต้องดูกระจกด้วย"

"งั้นเดี๋ยวกูเช็ดให้" ผมอาสา กัปตันก็ไม่ว่าอะไร แถมยังส่งโทนเนอร์และสำลีคืนให้ผม

ผมบีบโทนเนอร์ใส่สำลีแผ่น จากนั้นก็เช็ดทำความสะอาดใบหน้าใสๆ ให้อย่างเบามือ ผู้ชายอย่างผมสมัยนี้เริ่มใช้เครื่องสำอางค์มากขึ้น ส่วนหนึ่งผมก็ได้เรียนรู้จากงานถ่ายแบบด้วย

เพื่อนผมหลับตาพริ้มสบาย ท่าทางคล้ายเชิญชวนให้รุกล้ำอีกแล้ว ผมคงจะเป็นเอามากถึงได้ตีความท่าทางของเพื่อนไปในทางนั้นตลอด ก็เลยต้องรีบสลัดความคิดแผลงๆ ทิ้งโดยเร็ว

เช็ดหน้าเสร็จผมก็ทาครีมให้ แต่ไม่ทาโลชั่นให้มันเพราะกลัวอาวุธลับแผลงฤทธิ์ ในขณะที่กัปตันทาโลชั่น ผมก็เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ ตามด้วยครีมบำรุงผิว ถือโอกาสลองใช้ครีม "มายเวย์" ของมันไปด้วย

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ความเครียดในสมองผมหายไปแทบหมด ทั้งที่อยู่กับกัปตันยังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ทว่าก็น่าหนักใจไม่น้อย เพราะผมยังไม่มีคำตอบว่าต่อไปจะเป็นยังไง รู้แค่ว่ามีความสุขที่อยู่กับมันอย่างเดียว

ผมอุ้มกัปตันออกจากห้องน้ำไปวางบนเตียง ปล่อยให้มันใช้วีลแชร์และจัดการหาเสื้อผ้ามาใส่ พร้อมกับเผื่อแผ่ให้นายแบบผู้ยากไร้อย่างผมด้วย


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 14-04-2017 13:45:20
EP04 (Part 2)
ผมแพ้ผู้ชายน่ารักซะแล้ว

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)


<<<ATOM>>>

หลังใส่เสื้อผ้า ผมกับกัปตันก็มานั่งคุยกันตรงระเบียงสบายๆ ผมเอาเก้าอี้มานั่งด้วย เพราะไม่งั้นกัปตันต้องเงยหน้าคุยกับผม เดี๋ยวจะเมื่อยคอเปล่าๆ เราไม่มีเครื่องดื่มอะไรประกอบการคุยกัน เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยติดเหล้าเบียร์ ที่จริงก็เป็นคนงกพอตัว อะไรที่สิ้นเปลืองผมจะไม่ซื้อ เพราะกว่าจะทำงานหาเงินมาได้ก็ลำบาก มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ผมกัดฟันใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยด้วย

"เอาเรื่องที่บ้านกูก่อนละกัน" ผมเกริ่นนำ ก่อนเล่าสืบไป "พ่อกับแม่กูน่ะ…แยกทางกันตอนกูเพิ่งขึ้นมอสี่ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยว่ะ ตอนปิดเทอมใหญ่ น้องสาวกูไม่สบาย พ่อกูก็เลยขึ้นไปเช็ดตัวให้ กูก็ไม่รู้ว่ายังไงนะเว้ย อยู่ดีๆ แม่กับน้องกูเขาบอกว่าพ่อกูลวนลามลูกสาวตัวเอง ตอนนั้นดราม่ากันสุดๆ พ่อแม่กูทะเลาะกันทุกวันเลย แม่กูเขาระแวงมาก เขารับไม่ได้ สุดท้าย…เขาก็เลยขอหย่า แม่เอาน้องไปอยู่ด้วยที่อยุธยา แล้วเขาก็บอกให้กูอยู่กับพ่อ กูก็ต้องอยู่แหละ ไม่งั้นพ่อกูจะอยู่กับใครวะ หลังจากนั้น…พ่อกูก็เฟลไปเลย เขาไม่ทำงาน กินเหล้าทุกวันจนถูกไล่ออกจากงาน เพิ่งจะมาดีขึ้นช่วงหลังๆ นี่แหละ" ผมแค่นหัวเราะ ก่อนถอนหายใจสั้นๆ และเล่าเรื่องต่อไป

"กูบังเอิญรู้จักกับพี่คนหนึ่ง เขาเป็นช่างภาพ ชื่อพี่แอร์ ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงนะ แล้วเขาก็ทำหนังสือภาพขายด้วย ขายออนไลน์นั่นแหละ ส่วนมากลูกค้าก็จะเป็นกลุ่มเพศที่สาม เขาเจอกูที่สยามตอนมอสี่ เขาขอเบอร์กูไป แล้วก็โทรมาชวนกูไปถ่ายแบบ ก็ก็ไปเพราะกูอยากหาเงิน ตอนนั้นพ่อกูก็ตกงาน เอาเงินเก็บมาใช้จะหมดอยู่แล้ว กูรอดช่วงนั้นมาได้เพราะงานถ่ายแบบนี่แหละ พี่แอร์เขาเอ็นดูกูพอสมควร หางานถ่ายแบบหรือเดินแบบเล็กๆ น้อยๆ ให้กูทำเรื่อยๆ ก็ไม่ดังมากหรอก พอมีคนรู้จักบ้าง มีงานเข้ามาเรื่อยๆ เก็บเงินได้พอสมควร" ผมหยุดเว้นจังหวะอีกครั้ง ส่วนกัปตันก็คอยฟังอย่างตั้งใจ

"ตอนอยู่มอห้า กูเจอแฟนกูเป็นครั้งแรก เขาชื่ออั้ม เป็นลูกคนมีฐานะเลยล่ะ หน้าตาน่ารัก เห็นครั้งแรกกูก็ชอบเลย ก็เจอเขาที่สยามนี่แหละ เขามาเดินเที่ยวกับเพื่อน กูก็ลองจีบดู ไม่คิดว่าจะจีบติดหรอก ยังไงไม่รู้ เขาเล่นด้วยว่ะ แต่ที่บ้านเขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เขาไม่อยากให้ลูกสาวมีแฟนตอนเรียน ก็เลยต้องแอบคบกัน กูยอมรับว่ากูพราวด์เหมือนกันนะเว้ยที่จีบเขาได้ เหมือนมีนางฟ้าอยู่ข้างกายเลย แต่ก็เปลืองเงินเหมือนกัน เพราะเขากินใช้แต่ของดีๆ แต่ถ้ากูรักเขา กูก็ต้องพยายามไม่ใช่เหรอวะ อ้อ ที่เขางอนกูคราวนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องผิดนัดหรอก เขาโกรธที่กูรับงานถ่ายแบบหนังสือเซ็กซี่นั่นแหละ ไม่รู้มึงเห็นยัง เมื่อก่อน…อย่างมากูก็แค่ถอดเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้น อวดหุ่นนิดๆ หน่อยๆ แต่เล่มนี้ พี่แอร์เขาอยากให้แรงขึ้น ก็เลยให้ใส่กางเกงใน เพราะเขาให้โฆษณากางเกงในไง ได้เงินเยอะอยู่ ก่อนมาเรียนที่นี่ กูต้องหาเงินค่าเทอมเตรียมไว้ไง อีกอย่าง…จะถึงวันเกิดอั้มแล้ว เขาอยากได้สร้อยเส้นหนึ่ง กูก็เลยอยากซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้เขา ก็เลยรับงานนี้ แต่พออั้มเห็น เขาก็ไม่พอใจ เขาบอกกูว่าถ้ากูทำแบบนี้ ก็ยากที่บ้านเขาจะยอมรับกู มันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ แต่มึงจะให้กูทำไงวะ" ผมพ่นลมหายใจ จากที่หายเครียดก็กลับมาเครียดอีกจนได้

"แล้วตอนนี้ พี่แอร์ก็ชักแปลกๆ เขาบอกมีเสี่ยสนใจกู จะให้ค่าเลี้ยงดูเดือนหลายๆ หมื่น แต่ต้องไปเป็นเด็กเสี่ย แถมยังจะให้กูไปถ่ายหนังวายอีก ไม่ใช่วายน่ารักๆ นะเว้ย วายอีโรติกเลย กูโคตรหนักใจ เพราะพี่เขาช่วยกูเยอะ ถ้าไม่ได้เขาช่วย ป่านนี้กูก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน ก็เกรงใจเขานั่นแหละ แต่กูเรียนที่นี่แล้ว มึงว่ากูจะไปรับงานอย่างงั้นได้เหรอวะ" ผมพูดอย่างหนักใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยปัญหาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเมื่อเร็วๆ นี้ "อ้อ ตอนนี้พ่อกูหางานทำได้แล้ว เป็นมูลนิธิเล็กๆ แถวๆ บ้านนั่นแหละ แต่พอไปทำงาน เขาก็มีแฟนใหม่ จะพาผู้หญิงเข้าบ้าน รุ่นลูกเลยนะเว้ย กูว่ามาหลอกพ่อกูชัวร์"

แม้เรื่องที่ผมเล่าฟังดูเครียด แต่กัปตันกลับยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่แฝงความชื่นชมจนผมรู้สึกได้ "มึงเก่งมากเลยนะเว้ยอะตอม ถ้ากูเป็นพ่อมึงนะ กูคงจะภูมิใจกับมึงมาก เพราะมึงไม่ทิ้งพ่อ หาเลี้ยงพ่อ ดูแลตัวเองก็ได้ หรือถ้ากูเป็นแฟนมึง กูก็คงรักมึงมากเหมือนกัน เพราะมึงทุ่มเทกับความรัก กูไม่แปลกใจเลยที่เขาเลือกมึง"

ที่จริงกัปตันพูดดีทุกประโยคเลย แต่ผมรู้สึกสะดุดใจตรงที่กัปตันพูดว่า "ถ้ากูเป็นแฟนมึง กูก็คงจะรักมึงมากเหมือนกัน" นี่แหละ มันทำให้ผมต้องทบทวนว่าผมรู้สึกยังไงกับกัปตันกันแน่ หรือจะเป็นแค่ "โบรแมนซ์" เฉยๆ หรือควรจะเรียกว่า "โฟรแมนซ์" เพราะเราเป็นเพื่อนกัน แต่มันมีด้วยหรือ "โฟรแมนซ์" นี่คืออีกหนึ่งปัญหาของผมที่เพิ่มเข้ามาตอนนี้

"ชมกูซะ ไม่เคยมีใครพูดกับกูแบบนี้เลยนะเว้ย แต่กูก็ไม่ดีอะไรขนาดนั้นหรอก" ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนถามกลับ "แล้วมึงล่ะ เคยรักใครแบบนี้หรือเปล่า"

"เดี๋ยวกูค่อยเล่าของกูละกัน เอาของมึงให้หมดก่อน" กัปตันแย้ง

"ก็ได้ แต่กูขอถามมึงอย่างได้ไหม" ผมต่อรอง

กัปตันพยักหน้า "ได้"

"มึงเคยเหงาไหม มึงอยากมีแฟนหรือเปล่า หรือว่ามึงอยากมีคนอยู่ข้างๆ มึงไหม"

กัปตันหัวเราะและยิ้มเศร้าๆ ก่อนมองไกลออกไปข้างหน้า "มึงก็พูดแปลกๆ ใครๆ ก็อยากมีหรือเปล่าเหอะ แต่กูยังไม่รีบ เพราะคนที่จะรักกูได้ เขาต้องรับกูได้ก่อนนะเว้ย"

"เหมือนที่กูรับมึงได้ใช่ไหม" ผมพูดสวนทันที

กัปตันชะงักและหันมามองผม เราสบตากันและครุ่นคิด สักพักกัปตันก็หันหน้าหนีและพูดเฉไฉ "ไม่รู้เว้ย ตอนนี้กูยังไม่อยากรักใคร กลับมาที่เรื่องของมึงก่อน เดี๋ยวกูจะลองปรึกษากับป๊ากูให้ อาทิตย์หน้าป๊าก็จะกลับแล้ว ป๊ากูเก่งนะเว้ย เขาเรียนโทจิตวิทยามา แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ กูจะไม่บอกหรอกว่ามึงเป็นใคร เขามีกฎจรรยาบรรณเว้ย"

ผมยิ้มชื่นชมให้กับคนข้างๆ ความรู้สึกดีๆ เต็มตื้นจนนึกอยากจับมือกัปตันขึ้นมา แล้วผมก็ตัดสินใจทำอย่างที่อยากทำเสียด้วย ผมจับมือกัปตันไว้ เขาหันมาสบตากับผมทันที

"อะตอม…เป็นพลังงาน เพราะฉะนั้น…เรื่องใช้พลังงานหรือใช้แรงเนี่ย…กูถนัดมาก แต่กู…ขาดคนนำทางว่ะ ชีวิตแม่งก็เลยวุ่นวายไปหมด เออ…แล้วมึงชื่ออะไรนะ" ผมแกล้งถามยิ้มๆ

"กัปตันไง" อีกฝ่ายตอบงงๆ

"แล้วกัปตันทำหน้าที่อะไร" ผมถามสวนกลับทันที

กัปตันอึ้งไปเลย เขาดูหวั่นไหวจนเก็บซ่อนความรู้สึกในดวงตาไม่ได้ จู่ๆ สายตาผมก็มาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากชมพูเรื่อๆ ของกัปตันอีกแล้ว ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อข่มความรู้สึก แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยเท่าไหร่ ตั้งแต่ตอนอาบน้ำจนถึงตอนนี้ ผมข่มใจเป็นร้อยรอบแล้ว ตอนนี้อารมณ์นั้นคงสุกงอมเต็มที่ สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวจริงๆ มือผมเผลอโน้มคอกัปตันเข้าหาและประทับจูบลงไปอย่างเร็ว รู้สึกเสียวสะท้านเพียงแค่ได้สัมผัสกับริมฝีปากที่ผมถวิลหาเป็นครั้งแรก

ให้ตายเถอะ ผมแพ้ผู้ชายน่ารักอย่างกัปตันไปแล้ว!

กัปตันตัวแข็งทื่อ ดูท่าว่าจะตกใจมาก เขาไม่ยอมเปิดปากให้ผมล่วงล้ำ แต่ผมก็หน้ามืดไปแล้ว จึงพยายามจะส่งลิ้นสอดเข้าไปให้ได้ ซ้ำยังเอามือสอดเข้าใต้ชายเสื้อของกัปตันและลูบไล้ผิวเนื้อขาวเนียนไปด้วย ไม่นานกัปตันก็เผลอครางเพราะความเสียว ก่อนเผลอเผยอปากให้ผมสอดลิ้นเข้าไปหา ผมไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอย จึงรีบสอดลิ้นและบดขยี้จูบหน่วงๆ ซอกซอนลิ้นหารสหวานจากอีกฝ่าย ผมพบว่านอกจากกัปตันจะสีปากสวยแล้ว รสปากยังหวานรื่นลิ้นดีเหลือเกิน

กัปตันร่างสั่นสะท้านและครางฮือ เผลอกอดผมแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ส่วนผมก็เพลิดเพลินและอิ่มสุขกับจูบแรกจนแทบสำลัก เผลอครางสะท้านด้วยความซ่านเสียวแข่งกับคู่จูบในอ้อมแขนไปด้วย แต่อยู่ดีๆ สวรรค์ก็พลันล่ม กัปตันผลักหน้าอกผมออกอย่างเร็วและแรงพอสมควร

"เหี้ย! มึงทำอย่างนี้ทำไมวะ มึงมีแฟนอยู่แล้วนะเว้ย"

กัปตันเงื้อมือทำท่าจะต่อยผม น้ำเสียงและสีหน้านั้นบ่งบอกว่าไม่พอใจมาก มือไม้ของกัปตันสั่นเทาด้วยอารมณ์โกรธ กระนั้นก็ยังไม่ซัดลงมาสักหมัด อารมณ์เราเปลี่ยนสุดขั้วจนผมแทบปรับตามไม่ทัน

"ต่อยกูเลย กูยอมให้มึงต่อย เอาให้เจ็บเลย" ผมท้า จากนั้นก็หลับตารอคอยความเจ็บปวด ทว่าผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงลืมตาดูและพูดท้าทายอีก "กูบอกให้มึงต่อยกูไง! สั่งสอนคนไม่รู้จักหักห้ามใจอย่างกูหน่อยได้ไหม ต่อยกูเลยกัปตัน"

กัปตันยังเงื้อมือค้างไว้ แต่ไม่นานก็ค่อยๆ ลดลงและตกข้างตัว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่คิดไปคิดมาก็รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก ผมมาหาเพื่อนเพราะอยากได้ความสบายใจ เท่านี้ก็รบกวนเพื่อนมากแล้ว ไม่ควรมาสร้างปัญหาให้เจ้าของห้อง

"กูจะกลับบ้านแล้ว ขอโทษนะเว้ย…ที่ทำให้มึงมีปัญหาไปด้วย"

สีหน้ากัปตันเปลี่ยนเป็นตกใจ แต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว จึงกลั้นใจเอ่ยลา "ไปแล้วนะเว้ย พรุ่งนี้เจอกัน"

ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้น กัปตันก็โผเข้ากอดผมไว้ เล่นเอาผมตกใจเหมือนกัน กระนั้นผมก็แอบยิ้มพอใจ อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเมื่อครู่ลดลงจนเป็นปกติ

บางอย่างบอกผมว่ากัปตันคงรู้สึกเหงา เขาก็คงเหมือนคนทั่วไปที่อยากมีความรักและมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง ผมก้มลงดอมดมเส้นผมหอมๆ ของเพื่อนเบาๆ ก่อนวาดสองมือโอบกอดกัปตันไว้ ปล่อยให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านซึมทั่วกายของเรา

พลันผมก็นึกสงสัย ควรจะเป็นผมหรือเปล่าที่จะช่วยให้ผู้ชายคนนี้หายเหงา? ความรักของผมหรือเปล่าที่จะแต่งเติมสีสันให้ชีวิตของคนๆ นี้? หรือผมควรจะปล่อยให้กัปตันไปเจอคนอื่นที่ดีกว่า แต่คิดแล้วก็เสียดาย เพราะผมอยากเป็นอะตอมที่ให้พลังงานกับกัปตัน ในขณะเดียวกันก็อยากมีกัปตันช่วยนำทางชีวิตผมด้วย

อะตอมกับกัปตันมาเจอกันเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า!?


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก (P2) - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 14-04-2017 14:08:55
ขอบคุณค่ะ
อะตอม  ต้องเลิกกับอั้มแฟนของคุณก่อนนะ
ถึงจะพัฒนาความสัมพันธ์กับ กัปตันได้ 
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก (P2) - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 14-04-2017 14:27:26
อะตอมเฮ้ยไปหาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ก่อนดึกว่า อย่าเห็นกัปตันเป็นตัวแทนใครเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 14-04-2017 15:00:21
ฟินมากตอนนี้
หวานนิดๆหวามหน่อยๆ
ขอบคุณคนแต่งมากค้าบ  ^^
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก (P2) - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-04-2017 17:38:38
 :L2: :pig4:


ติดตาม
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก (P2) - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 14-04-2017 18:29:06
  อ้าว จูบกัปตันเองสับสนเองเลย 555
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารักซะแล้ว (P2) - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 14-04-2017 21:37:15
จากตอนที่ 1
กัปตันดูมุ้งมิ้งมากเลยค่ะ ตอนแรกดิฉันก็ออกจะหน่ายๆ คุณแม่ของกัปตันนะคะ แต่พอทราบเหตุ เลยเข้าใจความรู้สึก เป็นดิฉันก็คงรู้สึกว่าทำใจลำบากไม่น้อยทีเดียวค่ะที่จะปล่อยกัปตันให้ห่างตัว +เป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารักซะแล้ว (P2) - 14.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-04-2017 23:25:24
อะตอมเคลียร์ตัวเองก่อนไหม ถ้ายังไม่เคลียร์คนที่น่าสงสารคือกัปตันนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP05 พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก? - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 15-04-2017 19:07:38
ไม่เกินพรุ่งนี้ (16.04.2017) จะได้อ่านนะครับ :)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1257510049-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP05 พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก? - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 15-04-2017 20:06:03
รออ่านนะครับ

ดูตัวอย่างตอนต่อไปแล้ว หวังว่า กัปตันจะไม่เสียใจมากนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เข็น ❤ ขึ้นภูเขา - EP05 พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก? - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 15-04-2017 22:16:06
รออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา ☕ EP05 พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก? ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 16-04-2017 02:22:23
อะตอมรุกแรงมาก เคลียร์เรื่องแฟนก่อนดีกว่าไหม ทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเองด้วย อย่าดึงกัปตันลงไปในความไม่ชัดเจนของนาย
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา ☕EP05 พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 16-04-2017 14:19:23
EP05
พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก?

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)

อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดให้คนเขียนด้วยนะครับ :)

<<<CAPTAIN>>>

แปลกดีที่เช้าวันนี้ผมตื่นก่อนนาฬิกาปลุกตั้งหลายนาที สงสัยร่างกายผมคงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ข้างๆ ตั้งแต่น้องชายผมไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกา ผมก็แทบไม่เคยตื่นมาเจอใครนอนข้างๆ ในตอนเช้าอีกเลย นี่คือครั้งแรกในรอบหลายปีที่ต่างไปจากทุกเช้า

ว่ากันว่าเรามักจดจำสิ่งสำคัญที่สุดได้ก่อนเสมอ เมื่อสมองพร้อมทำงาน ผมก็นึกทบทวนเรื่องเมื่อคืน สิ่งแรกที่โผล่พรวดมาในความคิดดันเป็นตอนที่ผมโดนคนนอนข้างๆ จูบซะงั้น ตามด้วยตอนที่ผมจับ "ของลับ" ของมันตอนอาบน้ำ แต่สำคัญสุดคือเรื่องโดนจูบนี่แหละ ที่จริงผมควรจะโกรธและไล่มันไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่ปรากฎว่ามันก็ยังนอนที่นี่และคุยกับผมจนดึก

เอาเถอะ ทุกอย่างบนโลกนี้คงมีข้อยกเว้นบ้างแหละ

ผมลงจากเตียงไปนั่งบนวีลแชร์ที่จอดข้างๆ อย่างคล่องแคล่ว ป๊าให้ผมฝึกทำอะไรเองหลายอย่างตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นับว่าโชคดีที่ป๊าไม่ปกป้องผมมากเกินไปเหมือนแม่ ไม่งั้นผมคงทำอะไรเองไม่เป็นสักอย่าง

ครู่เดียวผมก็พาตัวเองมาที่ครัว จัดการตักโปรตีนผงและฉีกซองอาหารเสริมซึ่งใช้กินแทนมื้ออาหารใส่แก้วเชค เติมน้ำเย็นๆ จากนั้นก็เขย่าๆ เมื่อเข้ากันดีแล้วผมก็เทใส่แก้ว ก่อนทำเพิ่มอีกหนึ่งที่ เตรียมไว้สำหรับผมและอะตอม

เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ผมดังขึ้น ไม่นานก็เงียบเสียงไป ครู่ใหญ่ๆ อะตอมก็เดินมาหา มันใส่แค่บอกเซอร์ตัวเดียว ตรงเป้ามันดูตุงๆ เล็กน้อย ผมมันดูยุ่งๆ หน้าก็ยังดูง่วงๆ เห็นหุ่นมันแล้วผมก็อดมองไม่ได้ ตัวมันสูงชะลูดสมกับเป็นนายแบบ กล้ามท้อง ขาและแขนของมันแน่นเปรี๊ยะ แต่ดีที่ไม่ดูล่ำบึ้ก ถ้าจะถามเรื่องความขาว มันขาวสู้ผมไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องความเซ็กซี่ผมคงยอมแพ้

"ทำอะไรวะ" มันถามเสียงงัวเงีย เอามือเกาหัวไปด้วย

"อาหารเช้า" ผมบอก

อะตอมยืนมองงงๆ ในขณะที่ผมส่งแก้วซึ่งมีของเหลวสีชมพูอ่อนๆ อยู่เกือบเต็มให้

"แก้วเดียวเหรอ"

"เออ มีโปรตีน คาร์โบนิดหน่อย วิตามินครบ เกลือแร่ครบ มีไฟเบอร์ด้วย อันนี้รสเชอรี่ กินแล้วอิ่มถึงเที่ยงเลยนะมึง กูกินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ที่บ้านกูกินแบบนี้แหละ สะดวกดี"

อะตอมรับไปดมๆ พอเห็นว่ากลิ่นโอเคก็ลองดื่ม ก่อนยกซดรวดเดียวหมดแก้ว

"อร่อยดี" อะตอมยิ้มแฉ่ง มีคราบขาวๆ ติดที่ปากมันด้วย ผมจึงชี้บอก

"ปากเลอะ"

"เช็ดให้กูหน่อยดิ"

อะตอมรีบเดินไปดึงกระดาษทิชชู่มาส่งให้ผม ก่อนโน้มตัวลงมาหา ผมจึงเช็ดปากให้มัน เช็ดเสร็จอะตอมก็เอามือยีหัวผมเบาๆ

"น่ารักนะมึง"

นี่มันจะให้ผมเขินแต่เช้าเลยหรือไง หวังว่ามันจะไม่ชวนอาบน้ำด้วยอีกล่ะ ปรากฎว่ามันไม่ชวนจริงๆ ด้วย เราจึงต่างแบ่งเวลาทำธุระส่วนตัว ไม่นานก็พร้อมออกเดินทางไปหาความรู้

อะตอมตื่นเต้นมากตอนที่เห็นผมใช้อุปกรณ์เก็บวีลแชร์ขึ้นบนหลังคารถ ถึงกับเอามือถือมาถ่ายคลิปไว้ ปากก็ร้องบอกว่าสุดยอดๆ ส่วนมากใครเห็นครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ เพราะคิดไม่ถึงว่าคนอย่างผมขับรถได้ หรือถ้าขับได้ก็คงยุ่งยากหาคนมาช่วย แต่ป๊าผมก็ช่วยทำให้มันง่ายขึ้น

… … …

เช้าวันนี้เราฝึกวาดภาพตีฟอีกแล้ว ช่วงปีหนึ่งเราจะยังไม่ได้ใช้ห้องสตูดิโอเพราะต้องปรับพื้นฐานก่อน แต่หลังจากนั้นคงจะได้ฝึกทำงานกันมากขึ้น โดยเฉพาะการตัดโมเดล เป็นประสบการณ์ที่รุ่นพี่ทุกคนประทับใจไม่รู้ลืม เพราะทำให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนสามสี่วันติดต่อกันหรือมากกว่านั้น

นักศึกษานั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ตามกลุ่มเพื่อนที่สนิท อะตอมนั่งข้างๆ ผมเหมือนเคย มันวาดไปก็อวดไป แถมยังชอบคลอเคลียเหมือนแมวอีก เพื่อนในกลุ่มเดียวกันเริ่มจับตามอง โดยเฉพาะน้ำหวาน แบงค์และกวิน ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไรมาก คิดว่าพวกมันคงแค่อยากรู้ความคืบหน้าสามเรื่องที่ฝากผมไว้มากกว่า

"มึงว่าบ้านหมาลอยน้ำมันต้องมีที่เก็บอึหมาไหมวะ หรือว่าให้มันอึลงน้ำไปเลย ถ้างั้นก็ต้องมีช่องให้มันอึ เอ๊ะ แล้วหมามันจะรู้ไหมว่ามันต้องอึตรงไหน" อะตอมถามเองก็ตอบเองไปบางส่วน มันเอียงภาพในกระดาษให้ผมดูและเอียงหัวมาชิดกับไหล่ผมด้วย

"ไม่รู้เว้ย ยังนึกไม่ออกเลย" ผมหัวเราะแหะๆ อาจารย์ก็ช่างสรรหาโจทย์พิศดารมาให้ทำ วันนี้ให้พวกเราวาดภาพบ้านหมาลอยน้ำ

"แต่กูว่าหมามันคงไม่ชอบอึในน้ำหรอก ทำสะพานเชื่อมให้มันไปอึบนบกดีกว่า" อะตอมพูดงึมงำขณะมุ่นคิ้วและจ้องดูภาพตีฟของตัวเอง แล้วก็หันมาถามผมอีก "มึงว่าดีไหม"

เราสบตากันโดยไม่ตั้งใจ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าอะตอมมันมองปากผม เพราะจุดเด่นของผมอยู่ที่ปากสีชมพูเรื่อๆ นี่แหละ เพื่อนมัธยมตั้งฉายาผมว่า "ไอ้ปากลอย" เพราะมองไกลๆ จะเห็นปากผมลอยเด่น แต่พวกนั้นมันก็แค่แซวปากผมเล่น ส่วนไอ้คนนั่งข้างๆ มันทำมากกว่าแซวไปแล้ว

ว่าแต่ผมจะวนเวียนคิดเรื่องจูบเมื่อคืนทำไมนักหนา หรือว่าผมชอบที่โดนมันจูบกันแน่!?

ผมรีบหลบสายตาอะตอมแล้วหันมาสนใจงานตัวเอง แต่ปากก็แสดงความคิดเห็นไปด้วย "หมามันไม่กล้าเดินหรอก มันกลัวตกน้ำ มันชอบน้ำที่ไหน กูว่าให้มันอึลงน้ำนั่นแหละ แต่ต้องฝึกมันหน่อย หมามันฉลาด แป๊บเดียวมันก็จำได้แล้ว"

"เออ ก็จริงของมึง" อะตอมเออออด้วย

จะว่าไปผมก็แอบประทับไอ้คนข้างๆ ที่ฉวยโอกาสจูบผมพอสมควร โดยเฉพาะตอนที่อาบน้ำด้วยกันเมื่อคืน ผมรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันเป็นคนจิตใจดี รู้จักใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องจับจู๋กัน อะตอมก็พูดถูก ผมเห็นเพื่อนเล่นกันแบบนี้บ่อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าเล่นกับผมเลย อะตอมเป็นคนแรกที่ทำให้ผมมีประสบการณ์นี้ ก็ดีอย่างที่มันว่าแหละ เพราะอย่างน้อยผมกับมันก็สนิทกันมากขึ้น

จู่ๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นไอ้อินซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล ดูเหมือนมันคอยแอบมองผมอยู่ แถมยังยิ้มแปลกๆ เล่นเอาผมระแวงเหมือนกัน ตอนนี้ผมเหมือนวัวสันหลังหวะที่กลัวอีกาบินโฉบมาจิกแผล น่าจะมีคนเห็นแผลผมบ้างแล้วแน่ๆ

อยู่ๆ ก็มีเสียงกระแอมเบาๆ และตามด้วยเสียงพูด "จะคุยกันแค่สองคนหรือไงวะ"

ผมกับอะตอมหันไปมองน้ำหวานผู้เป็นเจ้าของเสียง เห็นสายตาที่น้ำหวานมองมาแล้วผมก็ทำหน้าไม่ถูก

"ไหนกูขอดูของมึงหน่อยดิ" อะตอมทำเป็นชะโงกหน้าไปดูของเพื่อน ก่อนเอ่ยปากชมและแซวขำๆ "ไอเดียดีนี่หว่า มีโดรนด้วย เอาไว้ให้หมามันบินไปอึที่อื่นเหรอวะ เดี๋ยวมันอึใส่หัวนะเว้ย"

"เออ อึใส่หัวมึงคนแรกเลย" น้ำหวานว่า

ไม่นานแววตาสงสัยของเพื่อนๆ ก็ค่อยๆ หายไป นับว่าอะตอมมันรู้จักแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว

… … …

เวลาเที่ยงคงกลายเป็นฤกษ์ไม่งามยามไม่ดีของผมไปซะแล้ว เพราะสองวันที่ผ่านมาผมมีเรื่องตอนเที่ยง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อนๆ ให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะ ส่วนพวกมันไปเดินเลือกซื้ออาหารมากิน ที่จริงผมจะไปด้วยก็ได้ แต่ผมมักเลือกของเดิมๆ จึงฝากอะตอมซื้อข้าวมันไก่มาให้

พลันผมก็เห็นไอ้อินเดินมากับกลุ่มเพื่อนๆ ไม่น่าเชื่อว่าปากอย่างมันจะมีคนอยากเป็นเพื่อนด้วย พอมันเห็นผม มันก็ปลีกตัวเดินมาหา ผมก็ชักหวั่นๆ มาถึงมันก็สำรากคำพูดเน่าๆ ออกมา

"ไงไอ้เป๋ แหม...ระริกระรี้เชียวนะมึง กูเห็นนะเว้ย อยู่ในคลาสจ้องตากันหวานเยิ้มเลย มึงนี่ยังไงวะ พิการแล้วยังเสือกเป็นเกย์อีก"

พูดจบไอ้อินก็หัวเราะชอบใจ ผมนี่หน้าชาไปหมดเพราะนักศึกษาที่นั่งใกล้ๆ หันมามอง ทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่ ไม่รู้ว่ามีคณะอื่นด้วยหรือเปล่า ผมอายจนอยากกระชากคอเสื้อมันมาต่อยสักหมัด

มันไม่หยุดแค่นั้น ไม่รู้ว่าโกรธแค้นผมมาแต่ชาติปางไหนถึงหาเรื่องผมไม่เลิก "ช่างกล้าเนอะ อะตอมมันมีแฟนแล้วนะเว้ย มึงคิดว่ามันจะมาเอาคนพิการอย่างมึงเหรอวะ"

"แล้วมึงมายุ่งอะไร" ผมสวนเสียงห้วน แต่ไม่กล้าพูดดังมากเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน

อินโน้มตัวลงมาใกล้ผม ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนพูดด้วยเสียงที่เบาลง "ก็เตือนมึงไง ไอ้อะตอมน่ะมันหน้าหม้อ ขี้อ่อย ฟันแล้วทิ้ง มันหวังจะเกาะมึงไม่รู้เหรอ หรือมึงอยากโดน"

"เชี่ย" ผมสบถอย่างโกรธจัด

ว่าจะกระชากคอมันมาต่อยแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็มีใครสักคนกระชากคอมันไปก่อนผม อะตอมนั่นเอง ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่

"มึงมาหาเรื่องอะไรเพื่อนกูอีก" อะตอมพูดเสียงเข้มและยกคอเสื้อของอินสูงขึ้น

"กูไม่ได้มาหาเรื่องเว้ย กูแค่มาเตือนมัน" อินบอกเสียงสั่น ท่าทางดูหวาดกลัวจนน่าแปลก คนปากหมาอย่างมันไม่น่ากลัวเรื่องชกต่อยเลย

"แล้วมึงมาเสือกอะไร" อะตอมกำเสื้ออินแน่นขึ้น นักศึกษาเริ่มแตกตื่น ผมเห็นท่าจะไม่ดีก็เลยรีบเตือน

"อะตอม พอเหอะ"

"มึงอย่ายุ่ง เดี๋ยวกูจัดการไอ้ปากหมานี่เอง" อะตอมหันมาห้ามผมเสียงเข้มพอกัน ก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าอินต่อ

"ขอโทษกัปตันเดี๋ยวนี้"

"ขอโทษเรื่องอะไรวะ" อินหน้าซีด

น้ำหวาน แบงค์และกวินวิ่งมาสมทบ พวกมันยังไม่ได้ซื้ออะไรเลยสักอย่างเพราะกำลังเดินดูอยู่ พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตกใจ

"เฮ้ยอะตอม ใจเย็นๆ เพื่อนกันนะเว้ย อย่ามีเรื่องกันเลย" แบงค์ร้องห้าม คงจะรู้จักนิสัยของอะตอมดีว่าเป็นคนใจร้อนแค่ไหน

"พวกมึงไม่ต้องมายุ่ง" อะตอมหันมาตวาดเพื่อนอีก คนที่จะเข้ามาห้ามจึงหยุดกึก ไม่นานมันก็หันไปเล่นงานอินต่อ "เร็วดิ กูบอกให้มึงขอโทษ"

"มีเรื่องอะไรกันน่ะ"

เสียงเข้มๆ ของใครบางคนดังแทรกขึ้นมาจากจุดใดจุดหนึ่ง ทุกคนรีบหันไปมองหาเจ้าของเสียงทันที ครู่เดียวเขาก็ปรากฎกายขึ้น พอผมเห็นก็ยิ้มดีใจ

"พี่โดม"

พี่ชายผมเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ด้วยแววตาสงสัย อะตอมกับอินหันมามองคนมาใหม่ด้วย สักพักอะตอมก็ปล่อยมือออก อินไอแค่กๆ สองสามครั้ง

"มีเรื่องอะไรกัน" พี่โดมถามซ้ำขณะมายืนข้างๆ ผม

"เปล่าครับพี่ พอดีเข้าใจอะไรกันผิดนิดหน่อยครับ" อินบอกหน้าแหย

พี่โดมขมวดคิ้วสงสัย ดูเหมือนจะมองอินนานเป็นพิเศษ ถ้ามาทันได้ยินมันพูดเมื่อกี้ ผมว่าพี่โดมนั่นแหละจะต่อยปากไอ้อินเป็นคนแรก เมื่อเห็นว่าไม่น่ามีอะไร พี่โดมก็หันมาคุยกับผม

"กัปตันกินข้าวยัง ไปกับพี่หน่อย"

"ยังเลย" ผมบอก

"งั้นก็ไปกินกับพี่ เดี๋ยวพี่จะพาไปสมัครคิวท์บอยที่คณะนิเทศ"


<<<CAPTAIN>>>

​หลังกินข้าวเสร็จ พี่โดมก็พาผมขึ้นไปห้องประชุมใหญ่ของคณะนิเทศ ที่นั่นจัดโต๊ะลงทะเบียนให้นักศึกษาใหม่มาลงสมัครคิวท์บอย พี่โดมเป็นสมาชิกคิวท์บอยมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว มีแฟนคลับเยอะพอตัว จึงเป็นที่รู้จักดีของคนในมหาลัย

พอเข้ามาในห้อง ผมก็เห็นนักศึกษาชายหนุ่มปีหนึ่งยืนต่อคิวกันอยู่สี่ห้าคน แต่คาดว่าน่าจะมาอีกเรื่อยๆ

"จะดีเหรอพี่ ผมกลัวเขาปฏิเสธผมน่ะ" ผมบอกพี่ชายด้วยท่าทางไม่มั่นใจ

"เดี๋ยวพี่จัดการเอง ไม่ต้องกลัวหรอกน่า" พี่โดมปลอบ พลันก็นึกสงสัย "อ้อ ว่าแต่ไอ้หน้าหล่อนั่นมันมีปัญหาอะไรกับกัปตันหรือเปล่า"

"ไอ้อินเหรอ"

"มั้ง ไอ้คนที่มันเตี้ยๆ หน่อย"

"อ๋อ ไอ้อิน"

"แล้วสองคนนั้นมันจะต่อยกันเรื่องอะไร" พี่โดมหยุดเดิน ผมก็หยุดเข็นด้วย

"ถ้าผมบอกพี่ พี่โดมอย่าเล่าให้แม่ผมฟังนะ เดี๋ยวผมไม่ได้เรียน"

"เออ คราวนี้พี่จะไม่หลงกลน้าเล็กแล้ว" พี่โดมรับปากเป็นมั่นเหมาะ

"ไอ้อินน่ะ...มันชอบเรียกผมว่า...ไอ้เป๋ เมื่อกี้...อะตอม...คนที่ตัวสูงๆ มันก็เลยโกรธ" ผมบอกความจริงส่วนหนึ่งไป เพราะนอกจากเรื่องถูกมันเรียกว่า "ไอ้เป๋" แล้ว เมื่อกี้มันยังว่าผมว่า "พิการแล้วยังเสือกเป็นเกย์" อีกด้วย

"จริงเหรอ" พี่โดมแสดงสีหน้าเห็นใจระคนตกใจ คราวนี้คงเข้าใจดีว่าน้าสาวจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด "แม่งเอ้ย เดี๋ยวพี่จัดการมันให้เอง ดูท่าทางมันหงอๆ นะ ไม่น่าเชื่อว่าจะปากเสียขนาดนี้"

"อย่ามีเรื่องนะพี่ อีกปีเดียวพี่ก็จะจบแล้ว" ผมเตือน พี่โดมเป็นคนเรียนเก่งมาก มีแววจะได้เกียรตินิยมคณะวิศวะ ผมไม่อยากให้เสียประวัติ

"เออน่า พี่มีวิธีละกัน" พี่โดมยกยิ้ม ดูเจ้าเล่ห์ชอบกล สักพักก็เตือน "รีบไปสมัครดีกว่า"

ผมรีบเข็นตามพี่โดมซึ่งเดินนำไปก่อน นักศึกษาที่ยืนอยู่เมื่อครู่กระจายไปตามจุดต่างๆ หลังได้รับใบสมัครแล้ว ตอนนี้กำลังตั้งหน้าตั้งตากรอกใบสมัครกันใหญ่

"อ้าวโดม จะมาสมัครอีกเหรอ เขารับเฉพาะนักศึกษาปีหนึ่งนะ" พี่ผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะรับสมัครยิ้มให้ ผมจำได้ดีเลยล่ะ เธอชื่อปริม อีกคนชื่อสา แต่ผมไม่รู้จักอีกสองคนที่กำลังง่วนหาอะไรบางอย่างอยู่

"เปล่า พาน้องชายมาสมัคร" พี่โดมเอามือล้วงกระเป๋าสองข้างและฉีกยิ้มให้สองสาว

พี่ปริมกับพี่สาจำผมได้แน่นอน ตอนที่ผมเข็นเข้ามาก็มองผมแปลกๆ แล้ว คราวนี้หน้าเหวอไปเลย

"สมัครได้ไหม" พี่โดมถามเสียงเรียบ

รุ่นพี่สองสาวมองหน้ากัน ก่อนหันมาหัวเราะร่วน พี่สาเป็นฝ่ายตอบ "ได้ๆๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"

"อ้าว ก็ได้ข่าวว่าไม่ให้สมัครไม่ใช่เหรอ" พี่โดมถามกวน

"ไปเอามาจากไหน ไม่มี้ เราไม่เคยเลือกปฏิบัติเลย จริงไหมน้องอั้ม น้องมี่" พี่ปริมพูดเสียงสูงและหันไปพยักเพยิดกับรุ่นน้องที่เธอดึงมาช่วยงาน

"ค่ะ" หญิงสาวที่ชื่ออั้มกับมี่รับคำงงๆ พร้อมกัน

แค่ได้ยินชื่อผมก็สะดุดใจ ผู้หญิงที่สวยน่ารักจนเด่นสะดุดตาน่าจะชื่ออั้ม ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นแฟนของอะตอมแน่ๆ

"งั้นก็ดี ขอใบสมัครด้วย" พี่โดมพูดเหมือนสั่ง

"ได้ๆๆ สมัครกับน้องอั้มเลย น้องอั้มเอาใบสมัครให้เขากรอกหน่อยเร้ว" พี่ปริมยังคงพูดเสียงสูง รุ่นพี่สองสาวดูเกรงใจพี่โดมของผมไม่น้อย

พี่โดมยิ้มพอใจ เมื่อกี้ไปหาผมถึงคณะก็เพราะเรื่องนี้ น้องมีปัญหามีหรือที่พี่จะไม่ช่วย อีกอย่างแม่ของผมก็ขอร้องไว้แล้ว ถ้าพี่โดมไม่รับปาก ผมคงไม่ได้มาเรียนและอยู่นอกบ้านได้ง่ายๆ ครั้งหนึ่งผมเคยขอแม่ไปเรียนต่างประเทศกับน้องชาย แต่แม่ก็ไม่ให้ไปเพราะความเป็นห่วง

"นี่ใบสมัคร ได้หมายเลขซีบียี่สิบสองนะ อย่าลืมถ่ายรูปเต็มตัวแล้วก็รูปครึ่งตัวอย่างละรูปส่งมาให้ด้วย ส่งมาตามอีเมล์นี้เลย หรือจะส่งทางไลน์ ทางเฟสก็ได้ แจ้งหมายเลขใบสมัครมาด้วย จะได้รู้ว่าเป็นใคร" หญิงสาวที่ชื่ออั้มอธิบายอย่างคล่องแคล่ว น่าจะเป็นเพราะพูดซ้ำๆ เหมือนเดิมมาหลายรอบแล้ว

"ครับ" ผมยิ้มบางๆ บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกยังไงตอนนี้

"มี่ ขอเอกสารแจกเพิ่มด้วย หมดแล้ว" อั้มหันไปบอกเพื่อน เมื่อได้มาแล้วเธอก็ยื่นให้ผม "อันนี้เป็นรายละเอียดการประกวด อีเมล์ ไลน์ เฟสก็อยู่ในนี้ เข้าไปอ่านในเฟสก็ได้ สงสัยอะไรก็โทรถามได้นะ"

"ครับ" ผมรับคำสั้นๆ ก่อนรับเอกสารมาวางไว้บนตัก ก่อนผมจะเข็นออกไป อั้มก็ถามด้วยท่าทางไม่แน่ใจ

"ใช่...เพื่อนอะตอมหรือเปล่า"

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าเจื่อน หรือไม่ก็อาจจะซีดไปแล้ว ไม่รู้ว่าอั้มคิดยังไงบ้างที่อะตอมผิดนัดกับเธอแล้วมานั่งกินข้าวกับผม

"ใช่ แฟนอะตอมเหรอ" ผมถามกลับ

อั้มยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้ายอมรับ เธอดูไม่หยิ่งอย่างที่น้ำหวานบอก แต่ดูจากการแต่งกายแล้วก็บ่งบอกถึงระดับคุณภาพชีวิตที่ดีเลิศ

"อ้อ ประกวดวันที่สามเอ็ดนี้นะ เตรียมตัวให้ดีล่ะ" หญิงสาวที่ชื่อมี่ให้ข้อมูลเพิ่ม ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงเข็นออกไปหาที่กรอกใบสมัครเหมือนคนอื่นๆ

... ... ...

ช่วงเย็น ผมไปเที่ยวห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด์กับเพื่อน เป็นครั้งแรกที่ผมพาเพื่อนในคณะนั่งรถไปด้วย เย็นวันนี้อะตอมมีงานเดินแบบแฟชั่นที่นั่น พวกเราจะแวะไปดูด้วย

งานแฟชั่นโชว์วันนี้เป็นการนำเสนอเสื้อผ้าสุภาพบุรุษและสตรีคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดของดีจี ผมชอบยี่ห้อนี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นคอลเลคชั่นใหม่ ปกติผมไม่ได้ตามแฟชั่นหรอก ที่บ้านผมจะมีแม่คอยดูแลเรื่องพวกนี้ให้

ราวทุ่มเศษๆ งานเดินแฟชั่นโชว์ก็เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเพลง นายแบบและนางแบบเริ่มเซ็ตแรกด้วยชุดลำลองเท่และหรู เซ็ตต่อๆ มาเสื้อผ้าก็เริ่มน้อยชิ้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายมาเป็นชุดชั้นในในเซ็ตสุดท้าย เรียกเสียงกรี๊ดดังลั่น แสงแฟลชรัววูบวาบไปทุกจุด กระทั่งผมเองก็อดหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายด้วยไม่ได้

อะตอมเดินออกมาด้วยชุดชั้นในสีขาวแบบบรีฟ ดูดีและเซ็กซี่ไม่น้อย ไม่รู้ว่ามันเขินหรือเปล่าที่เพื่อนๆ มานั่งดู เห็นแต่ทำหน้านิ่งเฉย น่าแปลกที่แฟนมันไม่ได้มาดูด้วย คงเป็นเพราะเมื่อวานทะเลาะกันหนักเรื่องอะตอมถ่ายแบบวาบหวิวแน่

หลังงานเดินแบบ ผมชวนอะตอม น้ำหวาน แบงค์และกวินไปกินข้าวเย็นด้วยกันในห้าง อะตอมโดนเพื่อนแซวใหญ่เลยเรื่องหุ่น เราคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย มิตรภาพของพวกเราค่อยๆ งอกงาม น่าแปลกที่ไม่มีใครพูดเรื่องผมกับไอ้อินเมื่อกลางวัน คงเป็นเพราะเพื่อนๆ กลัวผมคิดมากแน่ๆ

กินเสร็จผมก็ขับรถไปส่งเพื่อนๆ ที่หอใน แต่ไม่ได้ขับเข้าไปข้างในเพราะประตูใหญ่ปิดแล้ว เหลือแค่ประตูเล็กๆ ให้คนเดินเข้าออกได้ น้ำหวาน แบงค์และกวินจึงร่ำลากับผมแค่ตรงนี้ ก่อนไป น้ำหวานกำชับอะตอมเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แถมยังฟังดูน่ากลัวด้วย

"เฮ้ยอะตอม ถ้ามึงยังไม่แน่ใจอะไรน่ะ ก็อย่าเพิ่งทำอะไรนะเว้ย ไม่งั้น...พวกกูเอามึงตายแน่"

อะตอมยิ้มแหยๆ ก่อนรับปากเพื่อน "เออ"

จากนั้นผมก็ขับรถออกไป คืนนี้ผมมีเรื่องอยากคุยกับมันด้วย อะตอมก็เลยว่าจะค้างกับผมอีกคืน

"กูโคตรชอบกางเกงในของดีจีเลยว่ะ เพิ่งเคยใส่ แม่งโคตรเท่เลย เนื้อผ้าก็โคตรดี กูโคตรอยากได้ ขอเขาก็ไม่ให้ เขาบอกว่าถ้าจะเอา เขาจะหักค่าตัวกูสี่พัน มึงรู้ไหมว่ากางเกงในตัวนั้นราคาตั้งสี่พันแน่ะ" มาถึงห้อง อะตอมก็เล่าความประทับใจที่มีต่อกางเกงในให้ฟัง

"รู้ดิ ก็กูใช้ยี่ห้อนี้อยู่" ผมบอกสีหน้าเรียบๆ

อะตอมทำหน้าอึ้งๆ "เหรอ เออนั่นแหละ กางเกงในบ้าอะไรวะแม่งแพงชิบหาย จ่ายค่าหอได้เลยนะมึง"

"มึงอยากได้เหรอ" ผมหันไปถาม

"เออ แต่ไม่กล้าซื้อว่ะ ว่าแต่...มึงจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้กูไหมล่ะ" อะตอมพูดทีเล่นทีจริง

"เชี่ย เกิดมากูยังไม่เคยซื้อกางเกงในให้ใครเป็นของขวัญเลยนะมึง" ผมหันไปว่า

"งั้น...ให้กูเป็นคนแรกของมึงนะ" อะตอมโน้มมาทำตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่ผม

ผมแกล้งจะเอาสองนิ้วเจาะตามัน มันรีบหลบและหัวเราะชอบใจ สักพักมันก็ถาม "มึงอยากนั่งบนโซฟาสบายๆ ไหม นั่งรถวีลแชร์ทั้งวันเมื่อยแย่เลย"

ผมพยักหน้า ไม่ทันไรมันก็โน้มตัวมาอุ้มผมขึ้น ก่อนพาผมไปวางไว้บนโซฟานุ่มๆ วางผมเสร็จมันก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คล้ายคนหมดแรง ซ้ำยังเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่

"รู้อย่างนี้...กูไม่น่ารีบมีแฟนเลยว่ะ" เจ้าตัวพูดโดยไม่หันมามองผม

"เขายังไม่หายโกรธมึงอีกเหรอ ทำไมมึงไม่ไปคุยกับเขาให้เข้าใจล่ะ" ผมหันไปถาม

อะตอมถอนหายใจอีก ดูท่าจะเครียดอีกแล้ว "กูก็ผิดอยู่ดีแหละ บางทีกูก็เคยคิดนะเว้ยว่าเราต่างกันเกินไปหรือเปล่า"

ผมครุ่นคิดตาม ไม่ถึงกับเห็นด้วยซะทีเดียว "มึงกับกูก็ต่างกันนะเว้ย ต่างกันเยอะเลย คนเรามันต้องเหมือนกันขนาดไหนวะถึงจะคบกันได้"

อะตอมหันมามองผม สายตาดูครุ่นคิด "ไม่รู้ว่ะ กูรู้แต่ว่าเวลากูอยู่กับมึง กูรู้สึกสบายใจ ทั้งๆ ที่กูกับมึงก็โคตรต่างกัน แต่เวลาอยู่กับเขา...กูรู้สึกเหมือนกูต้องพยายามทำอะไรสักอย่างตลอดเวลา มันกดดันว่ะ"

ผมนิ่งเงียบ เพราะไม่รู้จะพูดต่อจากที่มันพูดยังไงดี

"ที่ไอ้อินมันพูดเมื่อกลางวันน่ะ มึงอย่าคิดมากนะเว้ย" อยู่ดีๆ อะตอมก็กระโดดมาอีกเรื่อง สงสัยมันคงจะรู้ว่าผมแอบคิดอะไรบางอย่าง

"เออ กูเจอคำพูดแบบนี้มาเยอะแล้ว ไม่ชินหรอก แต่พอทนได้" ผมยิ้มยืนยัน

อะตอมทำหน้าเห็นใจ แต่ก่อนที่เราจะคุยเรื่องเครียดๆ กันต่อ ผมก็ชิงเปลี่ยนเรื่องซะก่อน "กูถามอะไรมึงหน่อย"

"อะไร"

"มึงยังอยากมีรูมเมทอยู่ไหม" ผมเปรย

"อยากสิ"

"งั้น...มึงมาอยู่กับกูไหม" ผมตัดสินใจชวนตรงๆ

"ไม่มีตังค์จ่ายหรอก ห้องมึงใหญ่ขนาดนี้" อะตอมนิ่วหน้า ท่าทางดูเกรงใจ

"เดือนห้าพันพอไหวไหม ส่วนน้ำไฟ ช่วยกันจ่าย"

"มันก็พอไหวอยู่ แต่...กูเกรงใจเว้ย จะจ่ายห้าพันได้ไงวะ ห้องเบ้อเร่อเบ้อร่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูลองหาที่อื่นละกัน" อะตอมยังคงเกรงใจอยู่

"มึงไม่อยากอยู่กับกูเหรอ" ผมถามสวนไป

เพื่อนนายแบบของผมอึ้ง ก่อนรีบแก้ตัว "ไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมกูจะไม่อยากอยู่กับมึงวะ แต่กูไม่อยากเอาเปรียบมึงเว้ย"

"กูคุยกับแม่แล้ว แม่กูโอเค แต่ถ้า...มึงไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร" ผมอดทำท่าน้อยใจไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ

อะตอมนิ่งคิด คล้ายกับกำลังชั่งใจ สักพักมันก็เอาข้อศอกมาแตะๆ ข้อศอกผม "กัปตัน...กูไม่ได้รังเกียจมึงนะเว้ย ห้ามคิดเด็ดขาด เมื่อวานก็แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ความจริง...กูก็ว่าจะถามมึงเรื่องนี้ตั้งนานแล้วแหละ แต่กูไม่กล้า"

"ตกลงมึงจะเอาไง อยู่หรือไม่อยู่" ผมถามกึ่งคาดคั้น

"อยู่ดิ" อะตอมรีบตอบเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ

"ถ้ามึงจะมาเป็นรูมเมทกู มึงต้องตกลงและยอมรับเงื่อนไขกับกูสามข้อก่อน" ผมพูดเสียงจริงจัง

"สบาย ว่ามาเลย" อะตอมพูดยิ้มๆ

"ข้อแรก ห้ามซกมก ห้ามทำห้องรก กูไม่ชอบคนซกมกอย่างรุนแรง"

"อุ้ย" อะตอมสะดุ้งเล็กน้อย

"ข้อที่สอง ห้ามพาผู้หญิงมานอนในห้องทุกกรณี"

คราวนี้มันหน้าเหวอและโอดครวญ "หา! แล้วมึงจะให้กูไปไหนวะ บอกไว้ก่อน กูงกนะเว้ย ไม่เคยจ่ายค่าโรงแรมเพราะเรื่องพวกนี้หรอก"

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "เรื่องของมึง ให้คู่ขามึงจ่ายดิ ไม่งั้นก็ไปทำในสวน ใต้ต้นไม้ ในห้องน้ำ หรือไปคอนโดเขา มีที่เยอะแยะ แต่ห้ามใช้ห้องนี้เว้ย"

"แม่งโหดว่ะ" อะตอมบ่นอุบ แต่สีหน้าก็ยิ้ม

"ข้อที่สาม โหดกว่านี้อีก" ผมเกริ่นเรียกความสนใจ

อะตอมสะดุ้งอีกครั้ง "โหดกว่านี้อีกเหรอ! อะไรวะ"

"ห้ามหลงรักกู!" ผมพูดเสียงหนักแน่น

อะตอมหน้าตาเลิ่กลั่ก สักพักก็สบถ "เชี่ย!!! กูเนี่ยนะจะหลงรักมึง ผู้ชายนะเว้ย"

"ไม่รู้เว้ย ก็กูเคยเจอนี่หว่า ว่าแต่มึงจะตกลงทั้งสามข้อหรือเปล่า" ผมยกยิ้มมุมปาก หน้าเหวอๆ ของมันตลกดี

"เออ ก็ได้วะ" อะตอมรับปากเสียงอ่อยๆ แต่สักพักก็ยิ้มกว้าง แววตาดูซาบซึ้ง "ขอบใจมึงมากนะเว้ย กูจะพยายามรบกวนมึงให้น้อยที่สุด ให้กูนอนในห้องน้ำหรือโซฟาก็ได้นะ เรื่องทำความสะอาดบ้านกูก็เก่งนะเว้ย ทำเป็นทุกอย่าง ซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าวก็ได้ เดี๋ยวกูจะดูแลมึงเอง"

"ไม่ต้องขนาดนั้น" ผมหัวเราะ

"เหอะน่า ให้เป็นหน้าที่กูละกัน ค่าห้องห้าพันใช่ไหม ค่าแรงกูก็อีกซักห้าพัน รวมเป็นหมื่นหนึ่งพอดีเลย"

แม้อะตอมพูดให้ฟังดูตลก แต่ผมรู้ว่ามีความหมายแฝงในนั้น ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบเอาเปรียบใคร ถึงงกแต่ก็ยุติธรรม

"เฮ้ย มึงใส่เกงในดีจีจริงเหรอ กูขอดูหน่อยดิ" อยู่ๆ อะตอมก็เปลี่ยนเรื่องและทำหน้าทะลึ่งใส่ผม

"ไม่เอา" ผมทำท่าจะเขยิบหนี

"น่า ขอดูหน่อย กูเห็นของมึงหมดแล้ว จะอายทำไม" มันว่า จากนั้นมันก็เอามือเลิกเสื้อนักศึกษาผมขึ้น ทำท่าจะถอดกางเกงผมออก ผมพยายามป้องกันตัวเอง แต่ไม่จริงจังนักเพราะรู้ว่ามันหยอกเล่น ผมปล่อยให้มันถกขอบกางเกงผมลง พอเห็นขอบกางเกงในผมมันก็หยุด

"เออ จริงด้วย"

อยู่ๆ เราก็เผลอสบตากันอีกแล้ว จะกี่ครั้งที่สบตากันก็เห็นแต่ความหวั่นไหวในนั้น คำถามก็เต็มหัวไปหมด ไม่นานอะตอมก็หันหน้าไปทางอื่น สักพักก็ค่อยๆ เอนตัวมาซบไหล่ผม สีหน้ามันแลดูเศร้าอีกแล้ว

"กูรู้สึกอย่างนี้จริงๆ นะกัปตัน กูไม่น่ารีบมีแฟนเลยว่ะ"

สิ่งที่อะตอมพูดคงมีความหมายสำคัญบางอย่าง แต่พอผมนึกถึงคำพูดของไอ้อินเมื่อกลางวันแล้ว ผมก็ไม่อยากรู้ความหมายที่แอบซ่อนในคำพูดนั้น เพราะแค่พิการอย่างเดียวชีวิตก็ยากแล้ว ถ้าเป็นเกย์ด้วยคงไปกันใหญ่


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)

// ฝากแสดงความคิดเห็นกับตัวละคร/ฉาก/เหตุการณ์/ความประทับในตอนนี้ด้วย ถ้าถูกใจ อย่าลืมกดบวกคะแนน/บวกเป็ด/หรืออื่นๆ ตามศรัทธา ขอบคุณที่ติดตามครับ ใครอยากติดตามความเคลื่อนไหว เชิญที่เพจ "นิยายวายละมุน" HuskyLover ได้นะครับ
​// คาดว่าตอนต่อไปจะมาวันศุกร์นะครับ ช่วงนี้หมดสงกรานต์แล้ว คงยุ่งๆ เหมือนเดิม :)
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา ☕EP05 พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 16-04-2017 14:35:10
อะตอมให้เคลียร์ตัวเองให้ชัดเจนก่อนเดินต่อนะ ชอบกัปตันอะไม่รู้น้องพิการเพราะอะไร แต่อยากให้กลับมาเดินได้มากๆๆๆๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 16-04-2017 15:43:56
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 16-04-2017 15:45:44
ขอบคุณค่ะ

อยากฟังความคิดเห็นน่ะครับ ถ้าสะดวกนะครับ :)
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-04-2017 17:13:25
ชอบค่ะ ละมุนมาก สิ่งที่อินทำทรามมาก ไม่ใช่แค่ปากหมา นี่คือการรังแกกันเเล้ว
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Rosary ที่ 16-04-2017 17:35:44
ชอบอ่านนิยายแนวนี้มากกกก :hao5: น้องอะตอมต้องเคลียร์ตัวเองก่อนนะ :m15:
อยากอ่านต่อไวไวจัง 555555 :hao6: :katai4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 16-04-2017 19:20:46
ชอบนิยายแนวนี้เหมือนกัน
อ่านแล้ว รู้สึกอบอุ่นดี เหมือนได้ที่พักสมองพักใจ
รออ่านตอนต่อไปนะคับ ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-04-2017 19:27:22
น่าจะเคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้แล้วนะอะตอม
เพราะถ้าอะตอมรักอุ้มจริงจะไม่มีทางคิดเลยว่าตัวเองไม่น่ามีแฟน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 16-04-2017 20:58:12
อยากให้อะตอมไปเคลียร์ตัวเองเร็วๆ
นี่นั่งเดาไปร้อยแปดว่าน้องกัปตันเป็นอะไรถึงเดินไม่ได้
รอเฉลยๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 16-04-2017 22:47:17
 :pig4: รอติดตามตอนต่อไปนะ เนื้อเรื่องมันดูสนุกๆ นะ แต่ก็แอบหงุดหงิดกับความครึ่งๆ กลางๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-04-2017 02:46:55
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 17-04-2017 08:54:14
สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP05 พิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์?✍16.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 17-04-2017 17:40:12
อินปากแบบนี้ระวังไม่ได้แก่ตายนะ ปากเสียจริงๆ
ส่วนนายอะตอมไปเคลียร์ตัวเองก่อนเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 18-04-2017 17:06:27
ตอนใหม่พร้อมแล้ว ขออีก 1 คอมเมนต์นะครับ มันจะได้ไม่อยู่หน้าเดียวกัน :)
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 18-04-2017 19:11:55
รออ่านตอนใหม่ค้าบ ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 18-04-2017 19:24:53
กัปตันอย่าใจอ่อนถึงอะตอมจะอ่อยบ่อยๆก็เถอะ  :3123:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 18-04-2017 19:30:41
EP06
ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)

อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดให้คนเขียนด้วยนะครับ :)

<<<DOME>>>

บอกตรงๆ ว่าผมขึ้นมากที่รู้ว่ามีคนมาล้อเลียนน้องผมแบบนั้น แม้เป็นเพียงญาติแต่กัปตันก็เป็นน้องที่ผมรักและผูกพันด้วย ตอนกัปตันเด็กๆ ผมมักพาเขาไปเที่ยวและคอยดูแลอย่างดีเสมอ น้าเล็กเองก็ไว้ใจผม ถ้าไม่ใช่ผมพาไปแล้ว น้าเล็กก็แทบไม่ยอมให้กัปตันไปไหนกับคนอื่นเลย ส่วนมากน้าเล็กมักจะพาไปเอง เพราะฉะนั้น ผมยอมไม่ได้แน่ถ้าใครมารังแกน้องรักของผม ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ

ผมสืบข้อมูล "ไอ้หล่อปากหมา" มาแล้ว ได้ข้อมูลจากสายรหัสของมันที่ผมพอรู้จักนั่นแหละ พี่รหัสติดตัวของมันชื่อดิน ผมพอรู้จักอยู่เพราะเคยให้กลุ่มมันมาช่วยออกแบบบู๊ธให้เมื่อปีที่แล้ว ผมจึงแอบถามข้อมูลของมันจากดินนี่แหละ มีอยู่สองเรื่องสำคัญที่ผมจำได้แม่น

เรื่องแรก มันชอบกินน้ำพริกหรือของเผ็ดๆ มาก เรื่องที่สอง มันเป็นลูกคนเล็ก พ่อแม่ตามใจ จึงทำให้มันเอาแต่ใจและปากไม่ค่อยดี ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยกล้ามีเรื่องกับใครเพราะมันตัวเล็ก มันเคยปากไม่ดีกับเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่ซ่าๆ หน่อย โดนยำซะเละเลย หลังจากนั้นมันก็ไม่กล้าปากดีกับพวกนี้อีก ยกเว้นกับคนที่มันเห็นว่าอ่อนแอกว่าเท่านั้น

ผมรออยู่เกือบสิบนาที ในที่สุดมันก็มาหาตามที่ผมสั่ง แต่ไม่ได้สั่งโดยตรงหรอก ผมบอกให้ไอ้ดินมันสั่งน้องรหัสมันอีกทอด ที่นัดหมายอยู่ข้างหลังอาคารหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดรั้ว เดินไปอีกหน่อยจากตรงนี้ก็จะถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยปกติจะไม่ค่อยมีคนมาแถวนี้เท่าไหร่ มันจึงปลอดผู้คนเป็นบางช่วงเวลาเหมือนตอนนี้

พอเห็นร่างของมันปรากฎในลานสายตา ผมก็ลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อนแล้วเดินไปหามัน มันหยุดชะงักและลังเลเพราะจำผมได้ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่หนี พอเดินมาถึงมัน ผมก็เอามือที่ไพล่หลังออกและยื่นของบางอย่างให้มัน

"กูได้ข่าวว่ามึงชอบกินน้ำพริก ก็เลยซื้อมาฝาก"

"พี่ให้ผมเหรอ" อินถามพลางมองดูขวด "น้ำพริกแมงดา" ที่ผมยื่นให้ ทว่าไม่กล้ายื่นมือมารับ

"เออ รุ่นพี่ซื้อของมาฝาก มึงน่าจะรู้นะว่ามึงต้องทำไง ถ้าไม่ใช่มึง กูไม่ซื้อให้นะเว้ย" ผมทำเสียงดุ

"อ้าว" อินหน้าเหลอ กระนั้นมันก็ค่อยๆ ยื่นมือมารับขวดน้ำพริกไปจากผม

"ขอบคุณครับ พี่รู้ได้ไงว่าผมชอบกินน้ำพริกแมงดา หรือว่าเมื่อวานพี่ดมกลิ่นผมก็เลยรู้"

"เชี่ยนี่" ผมสบถแล้วตบหัวมัน ไม่ถึงกับแรงมากแต่มันก็นิ่วหน้าเจ็บ "ว่ากูเป็นหมาเหรอ ปากหมาสมคำร่ำลือจริงๆ นะมึง คิดว่ากูเป็นเพื่อนเล่นมึงหรือไง"

อินเอามือลูบๆ ตรงเนินหน้าผากไกล้ไรผมที่โดนตบ มันคงงงไม่น้อย เพราะปกติจะเล่นตบหัวกันได้ต้องสนิทกันระดับหนึ่ง มันจึงบ่นอุบอิบ

"ทำไมต้องตบหัวด้วยวะ"

"บ่นไร" ผมพูดเสียงดุ

"เปล่า แล้วพี่ให้ผมมาหาทำไม" อินถามเรื่องที่สงสัยมากที่สุด

"เดี๋ยวมึงก็รู้" ผมยกยิ้มมุมปาก หัวเราะหึๆ ในลำคอ "เอ...ชอบกินน้ำพริกขนาดนี้ แสดงว่าปากมึงก็ไม่ควรแตก เพราะถ้าปากมึงแตก มึงก็กินน้ำพริกไม่ได้ จริงไหม"

"ครับ" อินทำหน้างงเข้าไปใหญ่ คงสงสัยเต็มทีว่าผมต้องการอะไรกันแน่

"ถ้างั้น...มึงก็ต้องเลิกล้อเลียนน้องกู ไม่งั้นกูจะทำให้ปากมึงแตกแล้วเอาน้ำพริกขวดนี้ยัดปากมึง!" ผมกระแทกเสียงและขึงตาดุใส่มัน

อินหน้าเหวอและออกอาการกลัวผมอย่างเห็นได้ชัด มันมองซ้ายขวาคล้ายกับจะหาทางหนี พอผมลองแกล้งเดินเข้าไปใกล้ อินก็เขยิบถอยหลัง พอผมหยุด มันก็หยุดตาม

"ยังไม่รับปากกูอีก แสดงว่ามึงอยากลองดีเหรอ" ผมขู่พลางชี้หน้า

คราวนี้อินถึงกับหน้าซีด "เปล่าครับพี่"

พูดจบมันก็หันหลังกลับและจะวิ่งหนี ผมรีบตามไปล็อคคอมันไว้ทันที ร่างขาวเล็กดิ้นขัดขืนและร้องโวยวายใหญ่

"พี่จะทำอะไรผมน่ะ ปล่อยผมนะ"

"มึงจะรับปากหรือไม่รับปาก เร็ว! ตอบกูมา!" ผมแย่งเอาขวดน้ำพริกมาถือไว้แล้วขู่มันอีกที "ถ้ามึงไม่รับปาก กูจะเอาขวดนี้กระแทกปากมึง แล้วก็เอาน้ำพริกแมงดาของโปรดยัดปากมึงด้วย มึงจะได้รู้ไงว่ากินน้ำพริกตอนไหนมันแซ่บกว่ากัน ระหว่างตอนปากธรรมดากับตอนปากแตก"

"เฮ้ยพี่อย่า!" อินร้องห้ามเสียงหลง มันพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต แต่ยิ่งดิ้นผมยิ่งล็อคแน่น พอมันรู้ตัวว่าสู้แรงผมไม่ไหวก็ยกธงขาวเอาง่ายๆ "ผมยอมแล้วพี่ ผมจะไม่ทำแล้วครับ"

"แน่ใจ" ผมถามย้ำ

"ครับพี่ ต่อไปผมจะไม่ว่าน้องพี่อีกแล้ว"

"งั้นมึงมานี่"

ผมลากคอเสื้อมันและพามานั่งตรงโต๊ะม้าหินอ่อน ผมให้มันนั่งลงและปล่อยมันเป็นอิสระ

"มึงเรียกน้องกูว่าไอ้เป๋ทำไม"

ตอนแรกผมว่าจะปล่อยมันไปแล้วล่ะ แต่อยู่ดีๆ ก็นึกอยากคุยกับมันและถามหาสาเหตุ จะว่าไปหน้าหล่อๆ ของมันก็มีเสน่ห์ใช้ได้อยู่ เสียแต่ปากของมันเท่านั้นแหละ

"กูถามทำไมไม่ตอบ มึงมีปัญหาอะไรกับน้องกูเหรอ น้องกูไปทำอะไรให้มึง" ผมถามย้ำเสียงดุอีกรอบเพราะมันยังนั่งสั่นกลัวอยู่

"เปล่าครับพี่"

ผมขมวดคิ้วและจ้องหน้ามัน "เปล่าเหรอ ถ้ามึงไม่มีอะไร มึงจะหาเรื่องน้องกูทำไม"

"ผมไม่ได้หาเรื่องซะหน่อย"

"อ้าว ก็มึงเรียกน้องกูว่าไอ้เป๋ ไม่เรียกหาเรื่องแล้วจะเรียกอะไร" ผมชักหงุดหงิด แต่เห็นมันกลัวจนหน้าซีดก็เลยต้องลดท่าทางขึงขังลง "กูถามจริง มึงมีปัญหาอะไร บอกมา"

"ผมก็แค่อยากเตือนเขาเท่านั้นแหละ" ในที่สุดอินก็ยอมบอก

"เตือน" ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนแค่นหัวเราะ "เรียกน้องกูแบบนี้ มึงว่าเตือนเหรอ เตือนห่าอะไรของมึงวะ นี่มันล้อเลียนชัดๆ"

"ใช่ ผมยอมรับว่าผมล้อมัน แต่ผมก็เตือนมันด้วย ไม่ได้ล้ออย่างเดียวซะหน่อย" อินเถียงก่อนก้มหน้าเล็กน้อย

"เตือนเรื่องอะไร"

อินนั่งนิ่ง สักพักมันก็เงยหน้ามาพูดด้วย "พี่จำคนที่จะต่อยกับผมได้หรือเปล่าล่ะ"

ผมพยายามนึกหน้าไอ้คนตัวที่สูงกว่า ถึงจะเห็นไม่นานแต่ก็คิดว่าพอจำได้ "เออ แล้วไง"

"มันมีแฟนแล้ว แต่มันน่ะ...ชอบมาอ่อยไอ้เป๋"

"ไอ้เหี้ย!" ผมตบหัวมันอีกทีด้วยความโมโห อินยกมือมาป้องกันตัวเองไว้

"ขอโทษครับ ติดปากไปหน่อย" อินหน้าแหย

"แล้วตกลงมันยังไงวะ มันมีแฟนแล้วยังไง" ผมถามต่อ เมื่อกี้มัวแต่โมโหเลยจำไม่ได้ว่ามันพูดอะไร

"มันอ่อยน้องพี่ไง"

"อ่อยน้องกู" ผมทวนเสียงเกือบสูง พลันก็นึกสงสัย ไอ้หมอนั่นมันเป็นผู้ชาย แล้วมันจะมาอ่อยน้องผมทำไม "มึงพูดอะไรของมึงวะ นี่มึงกลัวจนพูดไม่รู้เรื่องหรือเปล่าเนี่ย"

"ผมพูดจริงๆ ผมสังเกตดูหลายทีแล้ว ไอ้อะตอมน่ะ...มันจะหลอกใช้...เอ่อ...ชื่ออะไรนะ" อินพยายามนึกชื่อน้องชายผม

"กัปตัน" ผมบอกชื่อน้องผมไป

"ใช่...ผมว่าไอ้อะตอมมันต้องมาหลอกกัปตันแน่ๆ เพราะตอนนี้มันก็เกาะผู้หญิงที่รวยกว่ามันอยู่"

"น้องกูเป็นผู้ชายนะเว้ย ไม่ได้เป็นเกย์" ผมค้านเสียงหนักแน่น

"ผมไม่รู้ ผมก็บอกตามที่ผมเห็นน่ะ ไอ้อะตอมน่ะ...ฐานะที่บ้านมันไม่ดี มันต้องหาเงิน ผมได้ข่าวว่ามันขายตัวให้พวกอาเสี่ยด้วย"

ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อที่มันพูด แต่ตอนนี้ผมก็ชักเขวและเริ่มเป็นห่วงกัปตันซะแล้ว ที่ผ่านมากัปตันถูกน้าสาวของผมปกป้องยังกะไข่ในหิน ไม่ค่อยให้ออกมาสุงสิงกับเพื่อนๆ ทักษะการเรียนรู้สังคมและเพื่อนของกัปตันจึงน้อยกว่าคนวัยเดียวกัน โอกาสที่จะไม่ทันคนหรือถูกหลอกย่อมมีสูง

"พี่ไม่เชื่อผมเหรอ เดี๋ยวผมจะให้ดูอะไร" ว่าแล้วอินก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา กดๆ พิมพ์ๆ สักพักก็ส่งมือถือมันมาให้ผม ในหน้าเว็บเพจที่เปิดไว้มีภาพของเพื่อนน้องชายผมหลายภาพ ล้วนแต่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นทุกภาพ บางภาพไม่มีเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ แต่ดีที่ยังใช้มุมหลบเอียงซ่อนของสงวน

"แล้วไง" ผมส่งโทรศัพท์กลับคืนให้อิน ที่จริงผมก็ไม่รู้สึกว่าผู้ชายถ่ายภาพแบบนี้เป็นเรื่องแปลกในยุคนี้ ผมเองยังเคยถ่ายภาพตัวเองใส่ชุดว่ายน้ำขึ้นเฟสเลย

"พี่ไม่รู้เหรอ คนที่ถ่ายภาพเซ็ตนี้ชื่อแอร์ เขาชอบหลอกเด็กผู้ชายมาทำงานถ่ายแบบด้วย แต่เบื้องหลังน่ะ เขาเป็นเอเย่นต์ส่งเด็กขายเสี่ย เพื่อนผมก็โดนไปแล้ว พี่คิดดูดิ ไอ้อะตอมมันทำงานกับพี่คนนี้มาหลายปีแล้ว พี่ว่าจะเหลือเหรอ ที่มันมาเรียนที่นี่ได้ ก็เพราะมันหาเงินแบบนี้แหละ น้องพี่มันไร้เดียงสาจะตาย เดี๋ยวก็โดนมันหลอกเอาหรอก"

ผมยอมรับว่าคล้อยตามและรู้สึกตกใจกับเรื่องที่อินเล่าให้ฟังไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างที่มันว่ามา ผมคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนจะสายเกินไป กระนั้น สิ่งแรกที่ผมควรทำคือสืบหาความจริงก่อน เพราะถ้าเกิดไม่เป็นจริงขึ้นมาผมจะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ผมไม่ชอบให้ตัวเองเป็นคนแบบนั้นเสียด้วย

"เออ เรื่องนั้นน่ะ เดี๋ยวกูจัดการเอง ถ้ากูอยู่ ไม่มีใครมาหลอกน้องกูได้หรอก แต่มึง...รับปากกูแล้วนะเว้ยว่าจะเลิกล้อเลียนน้องกู"

"โธ่พี่ ผมก็ลูกผู้ชาย รับปากแล้วผมไม่คืนคำหรอกน่า" อินยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ

"ก็ดี" ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ "กูจะไปละ กูมีแค่นี้แหละ อะ เอาไปแดกซะ" ผมส่งน้ำพริกคืนใส่มือมัน

"อ้าว แล้วไม่คิดจะขอบคุณผมบ้างเหรอ" อินทวงด้วยสีหน้าตัดพ้อ

ผมหยุดชะงัก ก่อนหัวเราะหึๆ "ก็น้ำพริกนั่นไง กินให้อร่อยละกัน" ผมยกยิ้มและหันหลังเดินออกไป

"เดี๋ยวสิครับพี่" อินร้องเรียกผมไว้อีก

ผมหยุดและหันไปมอง ชักเริ่มรู้สึกรำคาญบ้างแล้ว "อะไรของมึงอีกวะ"

"พี่ชื่ออะไรน่ะครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เลย"

ผมขมวดคิ้ว พลางนึกทบทวนว่าผมบอกชื่อมันหรือยังเพราะคุยกันตั้งนานสองนาน แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้บอกจริงด้วย

"โดม" ผมตอบสั้นๆ

"ผมชื่ออินนะครับ ชื่อจริง...สาริน"

"กูรู้แล้ว" ผมกระแทกเสียงห้วน

"แล้วพี่จะไม่บอกชื่อจริงผมหน่อยเหรอ" อินทวง

"ไปหาเอาเองเว้ย กูจะรีบไป" ผมหันหลังเดินหนีเป็นครั้งที่สอง แต่มันก็ยังเรียกไว้อีก

"เดี๋ยวสิพี่"

"อะไรวะ" ผมหันไปตวาดเพราะชักโมโห

"ผม...ขอเบอร์พี่ได้ไหม ไลน์ก็ได้ หรือเฟสก็ได้" อินถามกล้าๆ กลัวๆ

"มึงจะเอาไปทำอะไร" ผมขมวดคิ้ว

"ก็...เผื่อมีอะไรอัปเดต ผมจะได้โทรไปบอกพี่ไง"

"อัปเดตเรื่องอะไรวะ" ผมงง

"อ้าว ก็เรื่องไอ้อะตอมไงพี่ ผมเรียนคณะเดียวกับมัน ภาควิชาเดียวกัน เจอมันแทบทุกวัน ถ้ามีอะไรผิดปกติ ผมจะได้โทรไปบอกพี่ไง ไม่ดีเหรอ"

ผมหัวเราะหึๆ ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ "กูไม่ให้เว้ย ถ้าอยากได้ ไปขอน้องกูเองละกัน"

พูดจบผมก็เดินแกมวิ่งออกไป มันไม่เรียกตามหลังแล้ว ทว่าผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอมยิ้มให้กับหน้าหงอๆ ของมันตอนโดนผมแกล้ง แถมกลิ่นตัวหอมแปลกๆ ของมันก็ยังติดปลายจมูกผมอยู่ จะว่าไปมันก็น่ารักดี แต่ก็ดูตลกๆ ด้วย นึกหน้ามันแล้วผมก็เผลอหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง


<<<CAPTAIN>>>

​เย็นวันศุกร์ หลังกลับมาถึงคอนโดที่พัก กัปตันก็ชวนผมไปซื้อของที่ห้าง เพราะของบางอย่างในตู้เย็นพร่องไปบ้างแล้ว ผมเองก็กะว่าจะไปซื้อของใช้ส่วนตัวบางอย่างด้วย กัปตันจึงขับรถพาผมไปห้างตรงรถไฟฟ้าบีทีเอสใกล้ๆ ที่ชั้นล่างมีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย ระหว่างทางผมก็ถามมันถึงสาเหตุที่นั่งรถวีลแชร์ แต่ก็คุยได้ไม่จบเพราะมาถึงห้างเสียก่อน

หลังลงจากรถและเข้ามาในห้าง ผมก็ชวนคุยต่อ

"เอ...แต่กูได้ยินข่าวนะเว้ยว่าประเทศไทยไม่มีเชื้อโปลิโอตั้งยี่สิบปีได้แล้วมั้ง ถึงแม่มึงจะลืมพาไปฉีดวัคซีน แต่มันก็ไม่น่ามีเชื้อให้ติดไม่ใช่เหรอวะ"

"ก็ใช่ ตอนที่กูเกิดน่ะ เขากวาดล้างหมดแล้ว ป๊ากูเขาเคยถามหมอเหมือนกันว่าทำไมกูถึงติดเชื้อนี้ได้ หมอเขาก็เลยถามป๊ากูว่าเคยพากูไปต่างประเทศ หรือไปอยู่ตรงที่มันสกปรก ติดเชื้อง่ายหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่ สุดท้าย...หวยมันมาออกที่พี่เลี้ยงกูนี่แหละ"

"พี่เลี้ยงมึง...พิการเหรอ" ผมเลิกคิ้ว

"ไม่ใช่ ตอนนั้นป๊ากับแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงกู กูอยู่กับพี่เลี้ยงคนลาว ตอนเด็กๆ กูพูดลาวได้นะเว้ย" กัปตันหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดสืบไป "พอถึงสงกรานต์พี่เลี้ยงกูเขาก็จะกลับลาวทุกปี กูยังจำได้เลยว่าเขาอยู่แขวงเซียงของ พอหมดสงกรานต์เขาก็กลับมาใหม่ เชื้อก็น่าจะติดมากับเขานั่นแหละ เพราะที่ลาวมันยังมีระบาดอยู่"

ผมพยักหน้าเข้าใจ อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ กัปตันเล่าว่าป๊ากับแม่งานรัดตัวมาก ก็เลยลืมพาลูกไปหยอดวัคซีนโปลิโอซ้ำตอนสามขวบ มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปหลายเดือน แต่ก็กัปตันก็ได้รับเชื้อไปแล้ว ยังดีที่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนหน้านั้น จึงพอลดความรุนแรงไปได้บ้าง บวกกับแม่คอยพาไปบำบัดรักษาตามที่ต่างๆ กล้ามเนื้อจึงไม่ถูกทำลายมากเกินไป แต่ก็ไม่แข็งแรงพอให้เดินเองได้

"ถึงว่า...แม่มึงถึงรู้สึกผิดมากขนาดนี้" ถึงผมจะไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมีลูกได้ แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่บ้าง

"เออดิ กูถึงต้องระวังไง อะไรยอมได้บางทีกูก็ต้องยอม ตอนกูอยู่มอต้นนะเว้ย กูเคยโมโหเขาที่เขาวุ่นวายกับกูเยอะไปหน่อย ก็เลยเถียงเขา แม่กูร้องไห้หนักเลย ตอนหลังๆ กูก็เลยไม่ค่อยกล้าเถียงเขามาก"

"ก็ดีแล้ว มึงยังดีนะที่แม่มึงรัก แม่กูดิ ทิ้งกูไปเลย" พอพูดถึงแม่ตัวเองทีไร ผมก็นึกน้อยใจทุกที แม้จะพยายามไม่คิด แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้

"มึงน้อยใจแม่เหรอ" กัปตันถามด้วยสีหน้าเห็นใจ

ผมหยุดเดิน กัปตันก็หยุดตาม "มึงว่ามันน่าน้อยใจไหมล่ะ กูเป็นลูกเขาทั้งคนนะเว้ย ทิ้งกูไปแบบนี้ มึงจะให้กูคิดไงวะ แต่ช่างเหอะ กูอยู่ของกูได้แล้ว ไปซื้อของดีกว่า" ผมตัดบท จากนั้นก็เดินนำกัปตันเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเรามาถึงพอดี

ผมบอกให้กัปตันรอแล้วเดินไปหยิบรถเข็น จากนั้นก็เดินซื้อของด้วยกัน ช่วงหนึ่งผมเข็นผ่านมาทางช่องทางเดินก่อนถึงแคชเชียร์เพื่อหาของบางอย่าง สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเข้า ซ้ำยังบังเอิญที่ใครคนนั้นก็หันมาเจอผมด้วย อั้มนั่นเอง น่าจะมาซื้อของกับแม่ เพราะผมเห็นแม่ของเธอกำลังจ่ายเงินพอดีตรงแคชเชียร์พอดี

ผมหยุดยืนนิ่ง กัปตันคงสงสัยจึงมองตามสายตาผมไป ครู่เดียวอั้มก็หันไปคุยกับแม่ ไม่นานก็พากันเข็นรถเข็นออกไปโดยไม่สนใจผม

"ยังไม่หายโกรธกันอีกเหรอ" กัปตันถาม เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด

"ยัง" ผมบอกเสียงเครียด สายตาคอยมองตามแฟนตัวเองจนหายลับตาไป

"อย่าหาว่ากูยุ่งเรื่องส่วนตัวของมึงนะเว้ย แต่กูว่าทิ้งไว้นานไม่ดีว่ะ กูเห็นมึงเครียดมาหลายวันแล้ว มึงไม่อยากลองคุยกับเขาหน่อยเหรอ" กัปตันแนะ สีหน้าดูเกรงใจหน่อยๆ

ผมถอนหายใจเบาๆ "ก็ดีเหมือนกัน"

... ... ...

หลังได้ของที่ต้องการหมดแล้ว เราก็เข็นมาที่แคชเชียร์ ผมช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง และน่าจะเป็นข้อตกลงของเรานับจากนี้เวลามาซื้อของที่ต้องกินใช้ด้วยกัน เมื่อจ่ายเงินเสร็จและเข็นรถออกไป ผมก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นอั้มมายืนรออยู่ตรงด้านหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต เธอเดินเข้ามาหาผมทันที

"ไม่คิดว่าเราควรจะคุยกันหน่อยเหรอ" น้ำเสียงที่พูดฟังดูขุ่นเคืองระคนน้อยใจอยู่ในที

ผมหันมามองกัปตัน เขาพยักเพยิดเป็นสัญญาณว่าผมควรจะทำอย่างที่อั้มขอ ผมจึงหันไปตอบแฟน "เดี๋ยวเอาของไปเก็บก่อนนะ อั้มรออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมา"

พูดจบผมก็เข็นรถเข็นของนำกัปตันไป ผมเอาของใส่หลังรถจนหมดจึงพากัปตันเข้ามาในห้างใหม่ กัปตันขอแยกตัวไปร้านหนังสือและปล่อยให้ผมกับอั้มคุยกันสองคน

ผมพาอั้มไปนั่งในร้านคอฟฟี่ช็อพเล็กๆ คนไม่ถึงกับมากแต่ก็พอคุยกันส่วนตัวได้ นางฟ้าของผมยังคงหน้าเครียด เพราะดูเหมือนความรักของเรายากขึ้นทุกทีๆ จากเดิมที่มันก็ยากอยู่แล้ว

"แล้วแม่ล่ะ" ผมถามถึงอีกคนที่มากับเธอ

"ไปดูของ" อั้มตอบสั้นๆ ก่อนถามกลับ "เพื่อนเหรอ"

ผมเดาว่าอั้มคงหมายถึงกัปตัน จึงพยักหน้ายอมรับ

"ดูสนิทกันดีนะ"

ไม่รู้ว่าพูดประชดหรืออะไรกันแน่ แต่ผมเลือกที่จะไม่ต่อความยาว อั้มคงรู้ว่าผมไม่ต้องการให้กัปตันเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอจึงวกมาเรื่องของเรา

"เลิกเดินแบบได้ไหม หรือไม่ก็...ทำงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่แอร์"

นั่นคือข้อเสนอที่อั้มบอกผมเป็นครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่ามันยากแค่ไหน

"อะตอมบอกอั้มแล้วไง ถ้าไม่เดินแบบ จะเอาเงินที่ไหนมาเรียนล่ะ อีกอย่าง...ถึงไปทำกับคนอื่น อั้มคิดว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเดิมเหรอ"

"แต่พี่แอร์เขาเป็นเอเย่นต์ส่งเด็กให้เสี่ยไม่รู้เหรอ หรือว่าอยากทำ" อั้มถามกึ่งประชด

"พี่แอร์เขาช่วยอะตอมเยอะนะ ที่อะตอมรอดมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะพี่แอร์ช่วย" ผมบอกเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลำบาก

"ก็รู้" อั้มสวนขึ้นมาทันควัน "แล้วยังไงล่ะ ต้องตอบแทนด้วยการไปเป็นเด็กเสี่ยอย่างนี้เหรอ อั้มว่ามันไม่ใช่แล้วมั้ง" เสียงหวานๆ เริ่มขม ใบหน้าหวานๆ ก็เริ่มไม่น่ามองเหมือนก่อน

ที่จริงแล้วพี่แอร์ไม่จำเป็นต้องรอผมก็ได ติดที่เสี่ยคนนี้เจาะจงผมคนเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นเด็กเขาไม่ได้ เขาก็มีอีกทางเลือกให้ผมคือนอนกับเขาครั้งเดียวและเอาเงินหนึ่งแสนไป บางทีผมก็นึกอยากเลือกแบบนี้ไปเลยจะได้จบๆ แต่ดูท่าทางพี่แอร์ไม่ค่อยอยากได้แบบนี้เท่าไหร่ เพราะค่าหัวคิวคงน้อยกว่าแบบหลัง ที่สำคัญ มีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไปตามมา

เมื่อก่อนผมเป็นเด็กมัธยม ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พี่แอร์จึงให้ผมถ่ายแบบอย่างเดียว หางานที่ไม่หวือหวามากให้ทำ แต่พอจบมัธยมแล้ว แกก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการกับงานของผมมากขึ้น งานที่หาให้ก็เริ่มล่อแหลมขึ้นทุกทีๆ เด็กๆ ในสังกัดหลายคนก็เจอแบบผม ส่วนมากเข้ามาตอนเรียนมัธยมปลาย มีงานให้ทำ มีเงินให้ใช้ ความเกรงใจก็ย่อมมีเป็นธรรมดา แต่ก็ถูกใช้นำมาเป็นเครื่องมือกดดันในภายหลัง บางคนก็เต็มใจทำ บางคนก็จำใจทำ แต่ที่ไม่ยอมก็มีบ้าง

"ทำไมถึงตัดสินใจไม่ได้ล่ะอะตอม ถามจริง ยังรักกันอยู่หรือเปล่า" อั้มเริ่มแสดงท่าทีคาดคั้นเอาคำตอบมากขึ้น

"ทำไมอั้มถามอย่างงั้นล่ะ" ผมถามสวนไป

"ก็ตอบมาสิ" อั้มย้อน พลันก็ถอนหายใจเบาๆ "ถ้าอะตอมทำแบบนั้น อั้มบอกตรงๆ นะว่าอั้มคงรับไม่ได้หรอก อั้มไม่เคยขออะไรอะตอมเลยนะ แต่ครั้งนี้...อั้มต้องขอ ถ้ารักกันจริง...อะตอมก็ต้องทำได้ ที่ผ่านมาอะตอมไม่เคยเป็นแบบนี้เลย" อารมณ์ของอั้มเริ่มปะทุ กระนั้นก็พยายามไม่แสดงสีหน้ามากเกินไปในที่สาธารณะ

ฟังแล้วผมก็เหนื่อยใจ ทำไมผมจะไม่อยากทำเพื่อความรักล่ะ ผมก็เหนื่อยกับความรักมาตลอดไม่ใช่หรือ อั้มควรจะเข้าใจผมบ้างว่าบางอย่างมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด

"ที่บ้านเริ่มสงสัยแล้วว่าอั้มมีแฟน ถ้าอะตอมเป็นแค่นักศึกษาก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าที่บ้านรู้เรื่องพวกนี้ เราจะไม่ได้คบกันนะอะตอม เอาอย่างงี้ไหม อะตอมก็กู้ กยศ. แล้วก็เลิกทำพวกนี้ไปซะ"

นี่คือทางออกใหม่ที่อั้มเสนอ สำหรับผม เงิน กยศ. อย่างเดียวไม่พอใช้อยู่แล้ว แถมจบไปก็เป็นหนี้อีก อีกอย่างผมยังต้องการเงินกินใช้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย บางส่วนก็ต้องให้พ่อ ถ้าไม่ถ่ายแบบ ผมก็นึกไม่ออกว่าผมจะหาเงินมากพอได้จากไหน

"อั้มรู้ไหมว่าคนที่เขาลำบาก บีบคั้น เกือบจะอดตายมันเป็นยังไง" ผมถามอย่างน้อยใจ

"แล้วไง มันเป็นความผิดของอั้มเหรอที่อั้มไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นน่ะ อะตอมจะเอายังไงกันแน่ ตกลงยังรักกันเหมือนเดิมหรือเปล่า ตอนเรียนมัธยม...เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะอะตอม" อั้มทำท่าจะร้องไห้

"อะตอมขอโทษ" ผมเอื้อมมือไปหมายจะจับมืออั้มไว้ แต่เธอกลับถดหนี

"ไม่ต้องขอโทษหรอก เอาอย่างงี้ไหม เดี๋ยวอั้มเอาเงินในบัญชีอั้มมาให้อะตอมครึ่งหนึ่ง แล้วอะตอมก็เลิกทำ"

"อย่าเลยอั้ม" ผมขัดขึ้นเสียงหนักแน่น

อั้มชะงักด้วยท่าทางขัดใจ ก่อนจะตัดพ้อ "ทำไมล่ะอะตอม อะตอมไม่อยากเลิกอาชีพนี้เหรอ"

"อะตอมไม่อยากให้ใครมาว่าได้ว่าเกาะผู้หญิงกิน แค่นี้...คนก็มองอะตอมไปในทางนั้นอยู่แล้ว" คราวนี้เป็นผมบ้างที่นึกอยากจะร้องไห้ อั้มไม่เคยมีชีวิตแบบผม เธอจึงคิดอะไรเหมือนเด็กๆ ในขณะที่ผมมีความคิดเกินคนวัยเดียวกันไปหลายเรื่อง เพราะต้องปากกัดตีนถีบมาหลายปี

นางฟ้าคนสวยของผมถอนหายใจด้วยสีหน้าหงุดหงิด "โอ๊ย ทำไมคุยกันแล้วมันไม่ไปถึงไหนเลย"

ก็ถูกของเธอ แต่ครั้งนี้มันเป็นเพราะว่าผมตามใจเธอไม่ได้เหมือนเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว อยู่ที่ว่าอั้มจะเข้าใจและเห็นใจผมบ้างหรือเปล่าเท่านั้น

เสียงโทรศัพท์ของอั้มดังขึ้น เธอหยิบมาดูแล้วก็รีบบอกผม "เดี๋ยวอั้มต้องไปแล้ว แม่โทรตาม"

สรุปว่าเราก็คุยกันไม่จบเหมือนคราวที่แล้ว ผมพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าและมองตามอั้มที่รีบเดินออกไป ก่อนเรียกพนักงานเสิร์ฟมาเก็บเงินค่าเครื่องดื่มที่แพงเอาเรื่อง ระหว่างรอเงินทอนก็ส่งไลน์บอกกัปตันว่าผมเสร็จธุระพร้อมจะกลับบ้านแล้ว กัปตันส่งสติ๊กเกอร์โอเคตลกๆ มาให้ ผมจึงพอยิ้มได้บ้าง

เรานัดมาเจอกันที่รถ กัปตันเอารถขึ้นเองเสร็จสรรพโดยไม่ต้องลำบากผม เขานั่งฝั่งคนขับ ส่วนผมนั่งข้างๆ ก่อนจะขับออกไปกัปตันก็ถาม

"เป็นไง เคลียร์กันได้เปล่า"

ผมส่ายหน้าไปมา สีหน้าตอนนี้คงบอกได้ดีว่าผมเศร้ามากแค่ไหน "กูถามอะไรมึงหน่อยได้ไหมกัปตัน"

"อืม ว่ามาสิ" มือที่กำลังจะสตาร์ทรถของกัปตันหยุดชะงัก

"ถ้าเกิดว่ากูต้องไปเป็นเด็กเสี่ยจริงๆ มึงคิดว่ายังไงวะ" ผมตัดสินใจถามคำถามนี้ เพราะผมอยากรู้ว่าคำตอบของกัปตันกับอั้มจะเหมือนกันหรือเปล่า เผื่อจะช่วยให้ผมตัดสินใจอะไรได้

กัปตันขมวดคิ้วและทำท่าครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบผมมา "อืม...กูไม่ได้เป็นมึง กูตัดสินใจแทนมึงไม่ได้หรอก เพราะมึงรู้ปัญหาของมึงเองดีกว่ากู ถ้ามันจำเป็น แล้วไม่มีทางเลือกอื่น กูก็เข้าใจนะเว้ย แต่ถ้าถามว่ากูอยากให้มึงทำไหม กูก็ไม่อยากให้มึงทำหรอก แต่กูเข้าใจแหละว่ามึงลำบาก ต้องหาเงินเยอะ หรือว่า...มึงลองบอกพี่แอร์ตรงๆ ดีไหมว่ามึงไม่อยากทำ มึงเรียนที่นี่แล้ว ถ้าทำแบบนั้นมีสิทธิ์ถูกไล่ออกแหงๆ พี่เขาช่วยมึงมาตั้งหลายปี กูว่าเขาคงไม่ใจร้ายกับมึงหรอก"

ผมอ้าปากค้าง ก่อนโผเข้ากอดกัปตันแน่นและร้องเรียกชื่อ

"กัปตัน"

ผมรู้สึกตื้นตันใจจนอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ นี่แหละกัปตันนำทางชีวิตที่ผมต้องการ ในขณะที่อีกคนกดดันให้ผมทำเพื่อความรัก แต่ไม่เคยเข้าใจเงื่อนไขชีวิตผมเลย ส่วนคนที่ผมกอดอยู่ตอนนี้กลับเข้าใจผมมากกว่า ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันด้วยซ้ำ

"ใจเย็นๆ เว้ยอะตอม" กัปตันกอดและลูบหลังผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ

"ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่เข้าใจกู"

ที่จริงผมก็แค่ต้องการคนเข้าใจเท่านั้น เพียงเท่านี้ผมก็พร้อมที่จะทำตามที่คนๆ นั้นขอร้องทุกอย่าง แต่อั้มไม่เคยแสดงความรู้สึกนั้นให้ผมเห็นเลย เมื่อก่อนผมยอมปล่อยผ่านได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งผมก็อยากขัดขืน

พอสงบสติอารมณ์ได้ผมก็คลายอ้อมแขนออกและคืนสู่ท่านั่งปกติ รู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่ได้ร้องไห้และปลดปล่อยความอัดอั้นที่เก็บไว้นานนับเดือน ผมคลี่รอยยิ้มออกและส่งไปให้คนนั่งข้างๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือกัปตันไว้และบีบเบาๆ คำตอบของเขาเมื่อกี้ช่วยให้ผมได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว

"มึงไม่ต้องห่วงนะเว้ย ยังไงกูก็ไม่ยอมเป็นเด็กเสี่ยหรอก แต่ว่า..." ผมยังไม่กล้าพูดต่อทันทีจึงละไว้

"แต่อะไรวะ" กัปตันทำหน้าฉงน

ผมยิ้มเขิน เห็นกัปตันทำหน้าอย่างนั้นก็รู้สึกขำจนอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ผมไล่สายตามองหนุ่มน้อยในชุดโปโลสีเทาเข้มแขนสั้นจากล่างขึ้นบน หยุดสายตาเชยชมแขนซึ่งถูกขับขาวเนียน แลดูน่าทะนุถนอม ก่อนมาหยุดสายตาที่ใบหน้าขาวหล่อใส ริมฝีปากสีชมพูเรื่อลอยเด่นชัดล่อตาผมเป็นพิเศษ ผมโน้มตัวเข้าไปหาจนใกล้ ก่อนกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของกัปตัน

"กูไม่อยากเป็นเด็กเสี่ยหรอก กูอยากเป็นเด็กมึงมากกว่า ได้ไหมครับเสี่ยกัปตัน"

"เชี่ย!!!"


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-04-2017 19:43:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 18-04-2017 19:45:10
สนุกปนหวาน  o13
ขอบคุณมากคับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-04-2017 20:19:10
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-04-2017 20:35:30
เลือกดีๆก็แล้วกันนะตอม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-04-2017 21:36:47
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 18-04-2017 23:41:43
 เป็นเด็กกัปตันก็ดีนะ 555 เป็นแฟนกับอั้มฐานะไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ฝ่ายหญิงจะว่าอะตอมหวังรวยมากกว่าอะ
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 19-04-2017 08:52:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็น ❤️ ขึ้นภูเขาᄿ☕EP06 ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ✍18.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 19-04-2017 17:43:04
ละมุนตามกันไปเรื่อยๆ ยังหวังว่าจะเป็นนิยายที่ทำให้หัวใจละมุน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมจะรักใครได้ ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 20-04-2017 00:08:19
​พบกันไม่เกินวันอาทิตย์นี้นะครับ :)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/429606165-member.jpg)

"แค่มึงเมา กูยังไม่มีปัญญาพยุงมึงเดินเลย มึงคิดดูดิ ถ้าเกิดต่อไปกูมีแฟน มึงคิดว่ากูจะดูแลเขายังไงวะ มึงคิดว่าคนอย่างกูควรจะมีความรักหรือเปล่าล่ะ" ผมตัดพ้อจนได้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมจะรักใครได้ ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 20-04-2017 06:53:25
รออ่านตอนต่อไปนะคับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมจะรักใครได้ ✍ SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 20-04-2017 18:48:47
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 21-04-2017 09:35:13
EP07 (Part 1)
พิการอย่างผมจะดูแลใครได้

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

ผมถอดหูฟังแบบเฮดโฟนออกวางบนโต๊ะ ก่อนละสายตาจากหน้าจอแมคบุ๊คแล้วเหลือบไปดูนาฬิกาบนผนังห้อง เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะสามทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าอะตอมเป็นยังไงบ้าง วันนี้เขานัดกับอั้มเพื่อเคลียร์ปัญหากันอีกรอบ เห็นบอกว่าคราวนี้จะต้องได้ข้อสรุปชัดเจน นั่นแปลว่าถ้าไม่รักกันต่อก็คงจะเลิกกันไปเลย

อะตอมออกไปตั้งแต่เลิกคลาสสุดท้ายแล้ว ผ่านไปเกือบห้าชั่วโมงก็ยังไม่กลับ ไม่รู้ว่าทะเลาะกันหนักหรือเปล่า เพราะเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ดูจะหนักหนาเกินวัยของทั้งสองคนไปมากทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับอั้มซึ่งมีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างจากอะตอมมาก โชคดีที่ป๊าสอนผมว่าถึงเราไม่เข้าใจชีวิตของคนอื่น เราก็ไม่ควรตัดสินใครจากมุมมองของเรา เพราะเราไม่ได้มีชีวิตแบบเขา ผมจึงไม่ตัดสินอะตอมเหมือนที่ผมพยายามไม่ตัดสินแม่ นี่คือเหตุผลหลักที่ป๊าสอนผมเรื่องนี้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วผมกับแม่คงขัดแย้งกันมากกว่านี้

ก่อนหยิบหูฟังมาฟังเพลงสากลในยูทูปต่อ เสียงกดกริ่งห้องก็ดังขึ้น คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอะตอม รอยยิ้มดีใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของผม ผมรีบละจากโต๊ะทำงานแล้วเข็นไปรอรับเพื่อนทันที

เมื่ออะตอมเปิดประตูเข้ามา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก ดูเหนื่อย เศร้าและเครียดระคนกัน

"เป็นไงบ้างอะตอม" ผมอยากรู้ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

อะตอมไม่ตอบคำถามผมทันที เขายืนนิ่งคิดอยู่ตรงประตู สักพักก็พ่นลมหายใจยาวและก้มหน้าเล็กน้อย หรือจะเรียกว่าคอตกก็พอได้

"มันจบแล้วว่ะ" อะตอมพูดเบาๆ โดยไม่มองหน้าผม

ผมเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจเล็กน้อย แม้ว่าที่จริงก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่ "มึงหมายถึง…เลิกกันเหรอวะ"

อะตอมพยักหน้า ก่อนทรุดลงนั่งชันเข่ากับพื้นและพิงประตูห้อง เมื่อสังเกตดีๆ ผมก็เห็นว่าอะตอมตาบวมๆ ด้วย แสดงว่าคงร้องไห้มาแน่ๆ

ผมเข็นเข้าไปไกล้แล้วถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง "เฮ้ย มึงไหวเปล่าวะอะตอม"

อะตอมเงยหน้ามามองผม แม้กระทั่งจะตอบว่าไหวหรือเปล่าเขาก็ยังลังเล

"มึงอยากไปปลดปล่อยไหม เดี๋ยวกูพาไป" ผมเสนอ ที่จริงผมไม่เคยไปที่แบบนี้หรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขานิยมไปที่ไหน อีกอย่าง แม่ผมคงด่าหูชาแน่ถ้ารู้ว่าผมไปเที่ยวกลางคืน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ผมว่าจะลองแอบขัดคำสั่งแม่บ้าง

"ไม่เอาหรอก เปลือง" อะตอมส่ายหน้า ขนาดอกหักมันยังงกเลย คิดดูเอาเองละกัน

"เฮ้ย เดี๋ยวกูช่วยจ่ายก็ได้ กูอยากไปดู กูยังไม่เคยไปเลย" ผมบอกไปตามตรงและยิ้มเก้อเขิน

อะตอมมองผมอย่างแปลกใจ คิ้วหนาสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อย "เอางั้นเหรอวะ"

"ไม่รู้ดิ มึงอยากไปหรือเปล่าล่ะ" ผมถามอย่างไม่มั่นใจ

"ถ้ามึงอยากไปกูก็จะพาไป ดีเหมือนกัน กูไม่อยากเครียดกับเรื่องนี้แล้ว"

ผมอดยิ้มดีใจไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเพื่อนกำลังเศร้าอยู่ก็ตาม ไม่รู้ว่าใครต้องการสนองความต้องการของใครกันแน่ เอาเถอะ ถึงผมจะแค่อยากไปดู แต่อะตอมก็จะได้ปลดปล่อยอย่างแน่นอน ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

… … …

ในที่สุดผมก็ได้มาเที่ยวผับครั้งแรกกับเขาเสียที เรามาถึงเกือบๆ สี่ทุ่ม อะตอมเป็นคนแนะนำให้มาผับแห่งหนึ่งแถวรัชดาซอยสี่ เพราะมันเคยมาเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่ถ่ายแบบด้วยกันบ้าง หลังจากหาที่จอดรถได้ เราก็ตรงมายังทางเข้าด้านหน้า มีบันไดอยู่สี่ห้าขั้น ไม่มีทางลาดเลยแม้แต่จุดเดียว ผมแอบเคืองเจ้าของผับที่ช่างไม่มีวิสัยทัศน์เอาซะเลย คงไม่คิดว่ามนุษย์ล้ออย่างผมก็อยากมาเป็นลูกค้าที่นี่

"คนพิการเข้าไม่ได้นะน้อง" พี่ผู้ชายที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าทางเข้าเดินเข้ามาบอก หลังเห็นเราเมียงๆ มองๆ ว่าจะเข้าทางไหน

"ผมอายุเกินสิบแปดแล้วนะครับพี่ เดี๋ยวผมให้ดูบัตร" ผมบอกพลางทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา

"ข้างในคนเยอะ เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก อย่าเข้าไปเลยดีกว่า" พี่ผู้ชายคนนั้นยืนยัน

"เขามากับผม เดี๋ยวผมดูแลเพื่อนผมเองครับพี่" อะตอมพูดขึ้นมาบ้างหลังเห็นท่าไม่ดี

"มันเป็นกฎของที่นี่น้อง เราไม่ให้คนพิการเข้า" พี่ผู้ชายยังคงยืนกรานอย่างเดิม สีหน้าไม่ยิ้มแย้มบ้างเลย

"โธ่พี่ พิการก็มีหัวใจนะครับ เขาก็อยากมาเที่ยวหาความสุขเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้เหรอพี่ นะครับ เห็นใจเพื่อนผมหน่อย มันกำลังอกหัก ถ้าไม่ได้ปลดปล่อยคืนนี้ มันคงอัดอั้นตันใจตายแน่ๆ เลย นะครับพี่ แค่ครั้งเดียวเอง" อะตอมขอร้องแทนผม ทำท่าอ้อนวอนสุดฤทธิ์ทั้งๆ ที่มันเพิ่งอกหักมาหยกๆ

พี่ผู้ชายยังคงลังเล อะตอมจึงพยายามขอร้องอ้อนวอนอีกสองสามรอบ พี่ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่บนบันไดทางเข้าคงรำคาญ จึงพูดกึ่งตะโกนแทรกมา

"เฮ้ย ให้น้องมันเข้าไปเหอะน่า นั่งริมๆ ก็ได้ จะได้ไม่เกะกะคนอื่น"

ที่จริงก็พูดไม่เข้าหูเท่าไรนัก แต่ผมก็พอยอมๆ ให้ผ่านไปได้ ขอให้ได้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า ในที่สุดพี่ผู้ชายคนนั้นก็ยอมให้ผมกับอะตอมเข้าไป แถมยังช่วยยกวีลแชร์ผมขึ้นบันไดตรงทางเข้าด้วย อะตอมจับที่จับด้านหลังสองข้าง ส่วนพี่ผู้ชายช่วยกันจับด้านหน้าคนละข้างแล้วยกขึ้น ทุลักทุเลพอสมควร

เมื่อเข้ามาข้างในได้ผมก็ตาโตกับไปแสงสีเสียงของผับแห่งนี้ มันดูมืดๆ สลัวๆ เหมือนที่ผมเคยเห็นในทีวีนั่นแหละ แต่สีสดๆ ของดวงไฟและการตกแต่งก็ช่วยให้มันดูมีชีวิตชีวามากทีเดียว วงดนตรีสดบรรเลงเพลงสุดมัน หนุ่มสาววัยรุ่นและวัยทำงานละลานตาเต็มไปหมด

ผมกับอะตอมถูกพามานั่งริมๆ อย่างที่พี่ผู้ชายคนนั้นบอกไว้ พอนั่งลงอะตอมก็สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารมาเป็นกับแกล้มสองสามอย่าง ส่วนผมยังไม่กล้าดื่มจึงสั่งพวกเครื่องดื่มเบาๆ อีกอย่างผมต้องขับรถกลับด้วยจึงไม่อยากเมามาก เอาเป็นว่าแค่ได้มาเห็นผับและชีวิตคนราตรีก็ดีใจแล้ว มันดูสนุกคึกคักและน่าสนใจไม่น้อย

สาวพริตตี้ในชุดรัดรึงมาบริการเครื่องดื่มให้เราสองคน เธอชวนคุยไปด้วย แต่ผมก็รู้สึกว่าสายตาของเธอมองผมแปลกๆ คงเพราะเห็นผมนั่งวีลแชร์นั่นเอง

“ไปโดนอะไรมาเหรอคะ” พี่สาวคนนั้นถามผมด้วยสายตาอยากรู้

“เปล่าครับ” ผมปฏิเสธและทำท่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ เพราะไม่ค่อยชอบใจที่คนเพิ่งเจอกันครั้งแรกถามละลาบละล้วง พี่สาวคงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของผม เธอจึงหันกลับไปสนใจหน้าที่ของเธอต่อ

ดูเหมือนอะตอมไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวมากนัก มันเอาแต่กระดกเหล้าเข้าปาก ไม่นานเสียงก็ชักอ้อแอ้และแสดงอาการเมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เท่าไหร่ก็คร่ำครวญถึงความรักที่ผิดหวังของมันให้ผมฟัง ตอนแรกผมก็ฟังไปด้วย มองดูสาวๆ เต้นเพลงสากลบนเวทีไปด้วย ค่าที่ไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้ก็เลยอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าต้องฟังเพื่อนอย่างจริงจังแล้ว

"มึงคิดดู กูโคตรรักเขาเลยนะเว้ย สองปี…กูไม่เคยทำอะไรเขาเลย อย่างมากก็แค่จับมือถือแขน เพราะเขาเป็นนางฟ้าของกู กูให้เขาอยู่ที่สูง เพราะกูจะปีนขึ้นไปหาเขาเอง กูจะทำทุกอย่างให้กูคู่ควรกับเขา ขนาดกูไม่มีจะกิน กูก็ยังยอมแดกมาม่าเลย จะได้มีเงินพาเขาไปกินไปเที่ยวหรูๆ แต่เขาน่ะ…ไม่เคยเห็นใจกูเลยว่ะ กูโคตรน้อยใจ มึงคิดว่ากูอยากจะขายตัวเหรอวะ แม่ง…กูก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้นซะหน่อย กูก็กำลังหาวิธีปฏิเสธอยู่ แต่เขาจะให้กูเลิกเป็นนายแบบอย่างเดียวเลย แล้วกูจะเอาที่ไหนกินวะ กูไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองนะเว้ย ทำไมเขาไม่เห็นใจกูบ้างวะ"

พอเห็นมันเมาและคร่ำครวญเศร้าโศก ขัดกับบรรยากาศรอบตัวในตอนนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจซะแล้วว่าพาอะตอมมาถูกที่หรือเปล่า เพราะเขาคงต้องการที่ระบายความรู้สึกมากกว่ามาสนุก แทนที่ผมได้จะรับฟังและปลอบใจเพื่อนอย่างเต็มที่ ความวุ่นวายในนี้ก็ทำให้ผมไม่มีสมาธิเลย

"เดี๋ยวมึงก็ได้เจอคนที่เหมาะสมกับมึง อดทนอีกหน่อยนะเว้ย ตอนนี้มึงก็ตั้งใจเรียน ตั้งใจประสบความสำเร็จ วันไหนมึงได้ดีเขาก็จะเสียดายมึงเองแหละ ทำให้เขาเห็นดิว่ามึงทำได้ เชื่อกูดิ คนขยันอย่างมึงน่ะ…ยังไงก็ต้องได้ดี ป๊ากับแม่กูเขาก็มีนิสัยคล้ายๆ มึงนี่แหละ" ผมตะโกนปลอบใจอะตอมแข่งกันเสียงดนตรี

"เออใช่ กูจะทำให้เขาเสียดายกูให้ได้เลยคอยดูดิ" อะตอมกระดกเหล้าเข้าปาก ไม่นานก็หมดไปอีกแก้วอย่างรวดเร็วจนผมชักกังวล สาวที่มาบริการคงรู้ว่าอะตอมกำลังอกหัก เธอจึงเพียงแต่ทำหน้าที่โดยไม่กวนใจ เสร็จแล้วก็ไปโต๊ะอื่น แต่ก็จะคอยแวะเวียนมาดูเรื่อยๆ

มันเมาขนาดนี้คงเดินไม่ไหวแน่ แล้วผมจะพามันกลับคอนโดยังไงล่ะ? ถึงพากลับได้ แล้วผมจะพามันขึ้นไปบนห้องได้ยังไง? อะตอมคออ่อนกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ แสดงว่ามันไม่ค่อยกินเหล้าอย่างที่มันเคยบอกไว้นั่นแหละ ผมนี่ช่างรนหาเรื่องแท้ๆ ลืมคิดไปเลยว่าตัวเองใช้วีลแชร์ ต่อไปถ้ามาที่แบบนี้ต้องพาเพื่อนมาด้วยอย่างน้อยสักคนสองคน เอาไว้พยุงคนเมากลับบ้านแทนผม

เวลาผ่านล่วงเลยไปพอสมควรแล้ว อะตอมเมาจนคอพับคออ่อนและพูดไม่รู้เรื่อง ดูเหมือนจะไม่สนุกอย่างที่คิด ผมจึงเรียกพนักงานมาเช็คบิล ในขณะที่กำลังเครียดๆ ว่าจะพาอะตอมกลับบ้านยังไง คนหน้าคุ้นๆ ก็โผล่เข้ามาในลานสายตาของผม ไอ้อินนั่นเอง ไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง หรือรู้ได้ยังไงว่าผมกับอะตอมนั่งอยู่ตรงนี้

"เดี๋ยวกูพยุงมันเอง" อินบอก จากนั้นก็ย่อตัวลง จับมืออะตอมโอบคอและพาลุกขึ้นยืน

"มึงมาได้ไงวะ" ผมถามหน้าแหยๆ คงเป็นเพราะเข็ดขยาดปากมันนั่นแหละ ไม่รู้ว่ามันจะว่าอะไรผมอีกหรือเปล่า

"มีคนบอกกูว่าเห็นพวกมึงสองคนอยู่นี่ แม่งเป็นอย่างนี้แล้วยังอยากมาเที่ยวอีกนะมึง" อินเหน็บผมจนได้ มันส่ายหน้าไปมาด้วย ผมหน้าเสียไปเลยเพราะน้องที่เอาใบเสร็จมาให้มองผมแปลกๆ

จากนั้นเราก็พากันออกไปจากผับ พนักงานชายสามคนมาช่วยพากันยกผมลงบันได ส่วนอินก็ช่วยพยุงคนเมาอ้อแอ้นำหน้าไปก่อน ดูเหมือนมันไม่คิดจะรอผมเลย

พอตามอินมาทัน ผมก็ชี้มือบอกว่าจะให้มันพาอะตอมไปทางไหน "รถกูจอดอยู่ตรงนู้น"

อินหยุดเดิน ก่อนหันมายกยิ้มใส่ผม "แล้วไง"

"กูจะพามันกลับด้วย"

"มึงมีปัญญาพามันกลับเหรอ" อินยิ้มเยาะ "เดี๋ยวกูจะพามันกลับคอนโดกูเอง มึงกลับของมึงไปเหอะ ทีหลังก็หัดเจียมสังขารด้วยนะเว้ย คนพิการอย่างมึงดูแลใครไม่ได้หรอก"

ผมโดนอินมันว่าอีกแล้ว เล่นเอาผมหน้าชาไปหมดเลย แต่ผมก็หมดคำพูดที่จะโต้เถียงกับมัน จะว่าไปมันก็พูดถูกนั่นแหละ คนพิการอย่างผมจะดูแลใครได้ ขนาดเพื่อนเมาผมยังไม่มีปัญหาพากลับบ้านเลย

อินพาอะตอมเดินแยกไปอีกทาง ผมได้แต่นั่งมองดูสองคนเดินไปด้วยกันอย่างเศร้าใจ อะตอมยังคงส่งเสียงพูดคุยอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงของมันค่อยๆ เบาลงและไกลออกไปทุกที จนกระทั่งหายไปจากการรับรู้ของผมในที่สุด


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)

// Part 2 จะตามมาวันสองวันนี้ครับ รู้สึกว่าคนอ่านช่วงแรกๆ จะค่อยๆ หายไปอีกแล้ว ถ้ายังอ่านอยู่ รบกวนแสดงตัวเป็นระยะๆ ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่ายังไม่ได้หายไปไหน :)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-04-2017 10:35:35
อินกวนตีนว่ะ  :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-04-2017 10:39:42
จากตอนที่ 2
ขอยืนยันนะคะว่า บาปตั้งแต่คิดแล้วค่ะ
อะตอมแอบหื่นตลอดอ่ะ 555+ ขอบคุณที่ตั้งใจทุ่มเทให้ทุกตัวอักษรที่เขียนค่ะ ทุกครั้งที่อ่านนิยายของคุณ จะรู้สึกได้ตลอดว่า คุณตั้งใจเขียนมากและใส่ใจทุกตัวอักษรที่เรียงร้อยออกมาจริงๆ ยิ่งอ่านมาถึง part นี่ที่มีเพลงด้วย ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมาก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-04-2017 10:41:49
จากตอนที่ 3
สงสารอะตอมเบาๆ หงอยเป็นน้องหมาเลย  :o7:
ตอนจบแอบหน่วงนะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-04-2017 10:44:25
จากตอนที่ 4
เรื่องนี้สไตย์การเขียนให้ความรู้สึกว่า นี่ฉีกแนวกว่าที่เคยเขียนไปพอสมควรนะคะ

เหมือนอะตอมยังเล่นๆ อยู่มาก เหมือนเด็ก ไม่ใช่ไม่จริงจัง แต่ว่าให้ความรู้สึกเหมือนจะชอบง่ายหน่ายง่าย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-04-2017 10:46:09
จากตอนที่ 5
ถึงตรงนี้จริงๆ แอบสงสารฝ่ายหญิงเหมือนกัน ความรู้สึกส่วนตัวรู้สึกว่า อะตอมจะใช้ผู้หญิงเป็น self-esteem booster เลย เราว่าอาจเป็นเพราะปมปัญหาในครอบครัวที่บ่มเพาะนิสัยเด็กๆ แบบนี้ขึ้นมา โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว ส่วนกัปตันนี่ทำให้ดิฉันชื่นชมค่ะ เป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่นมากดูจากกฎที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ สรุปคือ #ทีมกัปตัน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-04-2017 10:47:33
จากตอนที่ 6
ตอนจบแทบจะตบหัวอะตอม ขำขำนะคะ 555+ แอบน่าหมั่นไส้มากเลยค่ะ พอมีโอกาสหน่อยนี่เสียบตลอด เปิดช่องให้ไม่ได้เลย บางทีเราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอะตอมกับอั้ม เราว่า ไม่มีใครผิดหรอก ทั้งสองมาจากครอบครัวที่มี background ต่างกันมาก ไม่แปลกที่จะต่างนึกไม่ออกถึงเหตุผลของอีกฝ่าย ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แสดงออกแบบนี้ ส่วนหนูกัปตันยังน่ารักเหมือนเดิมเลยค่ะ ตะมุตะมิ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-04-2017 11:35:53
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 21-04-2017 12:05:25
อินนี่ผีเจาะปากมาหรอ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 21-04-2017 14:20:23
ปากอินนี่นะ คำพูดคำจา  :angry2: :angry2: :angry2: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 21-04-2017 14:34:34
เอาใจช่วยอะตอม/กัปตัน
รออ่าน part 2 นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 มนุษย์ล้ออย่างผมดูแลใครไม่ได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 21-04-2017 17:24:05
ชอบกัปตัน :mew1: :mew1:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 21-04-2017 21:22:07
สงสารกัปตันน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ ✍21.4.2017 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 21-04-2017 21:44:28
EP07 (Part 2)
พิการอย่างผมจะดูแลใครได้

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

ผมรู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังลูบๆ คลึงๆ ตรงเป้าของผม จนกระทั่งอาวุธลับของผมเริ่มตื่นสู้มือ ในขณะเดียวกันก็มีบางอย่างสากๆ เย็นๆ สัมผัสบริเวณหน้าอกผม และน่าจะมีสัมผัสอื่นๆ ด้วยที่ผมระบุลักษณะและจุดเกิดเหตุบนเนื้อตัวผมไม่ได้แน่ชัด รู้แต่ว่ารู้สึกเสียวๆ จนกระทั่งผมเกิดความต้องการขึ้นมา กระนั้นก็ไม่สามารถลุกขึ้นมามีส่วนร่วมได้เลย พยายามลืมตามองก็เห็นแต่ความมืดสลัว เหมือนห้องทั้งห้องไม่มีแสงไฟ

"กัปตันเหรอ ตามสบายเลยนะเว้ย กูม่ายหวายแล้ว" ผมพูดเหมือนละเมอ

"อือ" มีเสียงตอบเบาๆ กลับมา

สักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างครอบลงไปบนอาวุธลับของผมที่แข็งตัวเต็มที่ ผมครางเบาๆ และปล่อยให้คนที่ผมเข้าใจว่าเป็นกัปตันทำต่อไป อีกพักใหญ่ๆ ต่อมาผมก็รู้สึกได้ถึงแรงขย่ม สงสัยกัปตันคงเห็นว่าผมเมามาก จึงจัดการหาความสุขด้วยตัวเองโดยไม่ต้องง้อผม

พอใกล้จะถึงช่วงวิกฤติ ไม่รู้ว่าผมเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนจึงลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายกระทำบ้าง เมื่อช่วงนั้นใกล้มาถึง ผมเชื่อว่าผู้ชายทั้งร้อยไม่ยอมให้ใครทำแทนแน่ ขนาดเมาแค่ไหนผมยังไม่ยอมเลย

ได้ยินเสียงร้องครวญครางของกัปตันผมยิ่งฮึกเหิม พยามเพิ่มความเร็วและแรงกระแทกกระทั้นเท่าที่ร่างกายจะทำได้ ไม่นานก็ปลดปล่อยของเหลวทะลักทลายพร้อมกับร้องครางเสียงดังไปด้วย ก่อนจะหมดแรงและฟุบตัวลงนอน จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

… … …

แค่ลืมตาขึ้นมาผมก็รู้สึกถึงอาการปวดหัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามกันแน่ รู้แต่ว่ามีแสงจ้าๆ จนต้องหยีตา ผมเอามือกุมหัวตัวเองและใช้ต้นฝ่ามือทุบเบาๆ พอหายมึนๆ ไปบ้างผมจึงลืมตาตื่นขึ้นได้เต็มตา หันมองซ้ายขวาก็รู้สึกว่าแปลกที่ กระนั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน จนกระทั่งเห็นร่างขาวๆ ในชุดชั้นในสีขาวๆ เดินมาหยุดดูที่ปลายเตียง ตอนแรกผมคิดว่าเป็นกัปตัน แต่กัปตันเดินไม่ได้จึงไม่น่าใช่

"ตื่นแล้วเหรอ" เสียงนั้นถามมา

เมื่อมองให้ชัดๆ ผมก็พบว่าไม่ใช่กัปตันจริงๆ ด้วย ผมรีบลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้สมองผมรับรู้แล้วว่าไม่ใช่ห้องของกัปตัน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือผมไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย ผมก้มดูและเอามือลูบไปตามตัวก็ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น นอกจากผ้าห่มที่ปิดคลุมท่อนล่างไว้

"เชี่ยอิน! นี่กูมานอนในห้องมึงได้ยังไงวะ!" เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็ตกใจปานถูกผีหลอก อาการปวดหัวและความงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง

ร่างเกือบเปลือยของมันเดินเข้ามาหาผม ก่อนยกยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์ "ลองใช้สมองฉลาดๆ ของมึงคิดดูสิ"

ผมพยายามคิดทบทวนว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่ก็แทบจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าพากัปตันไปผับและดื่มไปเยอะ แต่หลังจากนั้นผมก็นึกอะไรไม่ออกเลย ถ้าเป็นอย่างที่ผมจำได้ผมก็ควรจะอยู่ในห้องกัปตัน แต่ทำไมผมถึงมาอยู่กับอินได้ แถมยังไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นอีก

อินนั่งลงบนเตียง ยิ้มให้ผมแปลกๆ ชนิดที่ผมเดาไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ "เมื่อคืนมึงเมามาก กูไปเจอมึงที่ผับพอดี ก็เลยพามึงกลับ"

"อ้าว แล้วกัปตันล่ะ" ผมมองอินอย่างหวาดระแวง

"ก็กลับบ้านมันสิวะ มึงเมามากนะเว้ย กัปตันไม่มีปัญญาพยุงมึงกลับหรอก กูก็เลยต้องพามึงมานี่ไง" อินบอกหน้าตาเฉย

"เชี่ย" ผมสบถ นึกโมโหที่ปล่อยให้ตัวเองเมามากขนาดนี้เลย แล้วที่เสื้อผ้าหายไปหมดแปลว่าอะไร คิดแล้วผมก็ตกใจอีกรอบ "แล้วมึงกับกู…"

อินยิ้มเขินๆ มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบตระกร้าเล็กๆ ตรงมุมห้องมา ก่อนเอียงให้ผมดูของบางอย่างในนั้น มีถุงยางอนามัยใช้แล้วทิ้งไว้ คราวนี้ผมตกใจยิ่งกว่าถูกผีหลอกซะอีก

"เฮ้ย! นี่มึงล้อกูเล่นหรือเปล่า"

อินหัวเราะราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเต็มที ที่จริงมันก็ควรเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมด้วย เพราะผมเองก็พอมีประสบการณ์แบบนี้กับสาวๆ มาบ้าง โดยเฉพาะพวกนางแบบในวงการด้วยกัน แต่พอเป็นผมกับอิน ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

อินวางตะกร้าใบนั้นลง มันยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว "มึงอยากดูร่องรอยไหม เดี๋ยวกูจะถอดให้ดู"

"ไม่ต้อง!" ผมรีบร้องห้าม ก่อนลงจากเตียงและลนลานเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่หล่นตามพื้นมาใส่อย่างลวกๆ เสร็จแล้วก็เดินมาเอาเรื่องไอ้อิน

"มึงทำอะไรกู!"

อินเลิกคิ้วและทำหน้าแปลกใจ "กูดิต้องถามมึง กูเป็นฝ่ายถูกทำนะเว้ย"

ผมรีบเอามือคลำๆ ทางด้านหลังของตัวเอง ไม่มีอาการเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น แสดงว่าผมไม่ได้ถูกกระทำแน่ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าผมจะไปทำอย่างนั้นกับไอ้อินได้ยังไง

"กูไม่เชื่อ มึงต้องวางแผนอะไรแน่ๆ ถึงได้พากูมาห้องมึง แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูไปผับกับกัปตัน" น้ำเสียงผมเริ่มโมโห พลันก็นึกทบทวนถึงตอนรับน้อง ผมจำได้ว่าไอ้อินพยายามเข้ามาตีสนิทกับผม บางทีมันก็ซื้อของมาให้ผมกินคล้ายกับอยากเอาใจ แถมยังชอบชมว่าผมหล่อบ่อยๆ ผมยังเคยแอบคิดเลยว่ามันชอบผมหรือเปล่า แต่ตอนนั้นผมยังไม่เอะใจมาก แต่ตอนนี้ผมหายสงสัยแล้ว

"อ้าว กูก็ไปเที่ยวของกูมั่งดิวะ แปลกตรงไหน แล้วมึงจะมาโวยวายทำไม กูต่างหากต้องเป็นฝ่ายโวยวาย มึงได้กูไปแล้วนะเว้ย!" อินพูดเน้นตรงประโยคสุดท้าย ทำท่าเหมือนน้อยใจผมด้วย

ผั่วะ!

ผมซัดหมัดใส่ปากไอ้อินเข้าไปหนึ่งเปรี้ยง มันถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนเอามือลูบปากซึ่งมีเลือดไหลซิบๆ ผมชี้หน้ามันด้วยความโมโหสุดขีด

"ไอ้เหี้ย!"

จากนั้นผมก็รีบออกไปจากห้องของมัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องรีบกลับไปที่คอนโดของกัปตันให้เร็วที่สุด

… … …

ผมใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงจึงพาตัวเองมาถึงห้องพัก ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าๆ แล้ว โชคดีที่วันนี้มีเรียนวิชาเลือกตอนบ่าย พอมาถึงห้องผมก็รีบใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไป

"กัปตัน มึงอยู่หรือเปล่า" ผมร้องถาม เมื่อไม่มีเสียงตอบ ผมก็วิ่งถลันเข้าไปดูในห้องนอน

กัปตันกำลังใส่เสื้อนักศึกษาอยู่พอดี เจ้าตัวหยุดชะงักและหันมามองผมด้วยแววตาที่ผมเองก็บอกไม่ถูก ถ้าผมมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว ผมรีบถลาไปนั่งลงบนเตียงของกัปตันทันที

"กัปตัน กูขอโทษ" ผมนึกอยากจะดึงกัปตันเข้ามากอด แต่สีหน้าและแววตาของมันที่มองผมมา ทำให้ผมไม่กล้าทำอย่างนั้นแม้แต่น้อย

"ขอโทษกูเรื่องอะไรวะ กูดิต้องเป็นฝ่ายขอโทษมึง แค่เพื่อนเมา…กูยังไม่มีปัญญาจะพามึงกลับห้องเลย" กัปตันแค่นหัวเราะ น้ำเสียงเหมือนกำลังน้อยใจ

"มึงอย่าพูดอย่างงั้นดิวะกัปตัน" ผมสะท้อนใจ รู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะร้องไห้

"แล้วจะให้กูพูดไงวะ" กัปตันย้อนถาม

"เอาอย่างงี้ ต่อไปเวลาไปไหนกับมึง กูจะไม่เมาแบบนี้อีก" ผมรีบสัญญา หวังว่าจะทำให้กัปตันรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่เปล่าเลย

"มึงไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่า…ถ้าจะไปแบบเมื่อคืนอีก กูจะไม่ไปด้วย มึงไปกับคนอื่นละกัน เพราะกู…ดูแลใครไม่ได้หรอก"

"กัปตัน" ผมร้องคราง รู้สึกสงสารเพื่อนขึ้นมาจับจิตจับใจ "มึงน้อยใจกูเหรอ"

กัปตันนั่งนิ่ง ท่าทางดูมึนตึงไปบ้าง สักพักใหญ่ๆ มันก็แสร้งยิ้มเฝื่อนๆ และหัวเราะ "ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวกูจะไปเรียนแล้ว"

"คุยกันก่อนดิ เรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ" ผมห้ามไว้

"เดี๋ยวก็เที่ยงแล้ว กูจะไปกินข้าวที่มหาลัย" กัปตันยืนกราน พยายามจะทำเหมือนไม่คิดมาก แต่สีหน้าน้อยใจของมันยังทิ้งร่องรอยเอาไว้

คราวนี้ผมตัดสินใจดึงกัปตันเข้ามากอดไว้ จำได้ว่าเคยทำกับอั้มอย่างนี้บ่อยๆ เวลาโกรธกัน ก็ได้ผลดีพอสมควร ผมเลือกที่จะกอดมันไว้เงียบๆ ให้เวลาเราสองคนสงบจิตใจและคิดทบทวน ทว่าก็น่าแปลกที่คราวนี้กัปตันไม่ยอมกดผมตอบเลย

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ผมก็ปล่อยมือออก กัปตันก้มหน้าน้อยๆ ก่อนจะเหลือบขึ้นมามองผมและพูดเตือนเบาๆ "มึงคิดดีๆ นะอะตอมถ้ามึงจะคบกับกู"

ผมไม่รู้ว่า "คบ" ของกัปตันหมายถึงคบแบบไหน แต่ช่างเถอะ สิ่งสำคัญตอนนี้คือผมต้องทำให้กัปตันมั่นใจและเชื่อใจผมต่างหาก

"กูคิดดีแล้ว คิดมาตั้งหลายวันแล้วด้วย ที่กูตัดสินใจเลิกกับอั้มก็เพราะว่า"

"มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะเว้ย" กัปตันขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบ

ผมหยุดชะงักและมองหน้า ก่อนเถียงมันไป "ทำไมวะ กูกับมึงก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า"

กัปตันนิ่งคิด ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอีกแล้ว สีหน้ามันดูเศร้ามากขึ้นกว่าเดิมด้วย "กูเคย…ชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่…กูก็ไม่กล้าบอกว่าชอบเขา บางทีกูก็เคยคิดนะเว้ยว่าถ้าตอนนั้นกูแค่จับมือเขาเดินเหมือนที่ผู้ชายคนอื่นๆ ทำได้ กูก็อาจจะได้เป็นแฟนกับเขาไปแล้ว แต่แค่จับมือกันเดิน กูยังทำไม่ได้เลย ตอนไปเที่ยวด้วยกัน เขาต้องมาดูแลกูอีก จับมือเขาเดินไม่ได้ ถือของให้เขาไม่ได้ ตรงไหนที่มีบันไดก็ไปกับเขาไม่ได้ ถ้ามีใครมารังแกเขา กูก็คงช่วยเขาไม่ได้เหมือนกัน"

"แล้วทำอะไรไม่ได้อีก พูดมาให้หมด" ผมพูดเหมือนสั่ง

"เยอะแยะ" กัปตันแบ่งรับแบ่งสู้

"อะไรล่ะที่มึงว่าเยอะแยะ พูดมาดิ" ผมท้า

กัปตันคงชักเริ่มงงว่าผมต้องการอะไรกันแน่ "ก็…อย่างตอนไปดูหนัง กูก็ไปนั่งกับเขาไม่ได้ ตอนกินข้าวที่โรงอาหาร กูก็ไปซื้อข้าวให้เขากินไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง…ถ้ามีเซ็กซ์กัน กูก็ไม่แน่ใจว่ากูจะทำให้เขาพอใจเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ หรือเฮ้ย!"

กัปตันตกใจเมื่อถูกผมผลักลงนอนบนเตียงโดยที่มันยังพูดไม่จบ ผมโถมตัวลงไปทาบทับไว้ทันที

"มึงจะทำอะไร เดี๋ยวเสื้อกูยับ" กัปตันมองผมด้วยสายตาหวาดระแวง

"ก็ใส่ตัวอื่น" ผมบอก

พอมันจะพูดอีกผมก็รีบปิดปากของมันด้วยปากของผม รวดเร็วปานงูฉกเหยื่ออันโอชะที่เผลอผ่านมา กัปตันพยายามดิ้นและผลักผมออก แต่ผมก็หน้าด้านต้านแรงมันไว้ มือผมก็ไม่ปล่อยไว้ให้ว่างๆ จึงสอดใต้ชายเสื้อและลูบไล้ผิวขาวเนียนของมันเล่น ขัดขืนได้ก็ขัดขืนไป อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะทนเสียงเรียกร้องของตัวเองได้มากสักแค่ไหน

กัปตันต้านทานด้วยการไม่ยอมเปิดปากให้ผมจูบอีกแล้ว ผมจึงเลื่อนปากลงมาซอกไซร้และดูดตามซอกคอของมัน ที่จริงก็ไม่อยากทำหรอกเพราะเท่ากับแสดงความเป็นเจ้าของ แถมยังจะมีรอยดูดประจานคนอื่นอีก แต่อารมณ์มันก็พาไปแล้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่อาบน้ำของมันก็ช่างเย้ายวนใจดีเหลือเกิน ผมทั้งสูดหอมดอมดมและดูดดึงอย่างหลงใหล

ไม่นานกัปตันก็ผวากอดผม ผมอาศัยจังหวะนี้กลับขึ้นไปจูบปากกับมันใหม่ มันไม่ต่อต้านผมอีกแล้ว แถมยังยอมให้ผมเอาลิ้นเข้าไปแลกแต่โดยดี เราต่างครางฮือด้วยความพอใจกับรสจูบที่ทั้งหนักหน่วงและหวานรื่นรมย์ ผมเบียดกายแนบแน่นและจงใจเบียดส่วนที่แข็งขันของผมเข้าหาของๆ มันด้วย เพราะอยากให้มันรู้ว่าผมเกิดอารมณ์กับมันแล้ว

ผมตัดสินใจหยุดและดันตัวออก กัปตันทำหน้าเหมือนงงหรือไม่ก็คงเสียดาย ปากมันห้อแดงเพราะโดนผมดูดค่อนข้างแรง จากที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงจัด เห็นแล้วก็นึกอยากจะจูบซ้ำอีกซักรอบ มันหอบหายใจแรงด้วยความปรารถนา แววตาที่มองผมเต็มไปด้วยความหวั่นไหว

"เป็นไง ได้คำตอบหรือยัง" ผมถามด้วยเสียงหอบเล็กน้อย

"คำตอบอะไร" กัปตันถามงงๆ

"ถามใจมึงดิ"

"ถามอะไรวะ" กัปตันยังงงอยู่

"เออ ช่างเหอะ" ผมขำเบาๆ จ้องตามันแล้วยิ้มอย่างมีความหมาย ก่อนถามเรื่องที่ผมอยากบอกมาหลายวันแล้ว “กัปตัน…มึงอยากคบกับกูไหม”

"คบแบบไหน กูก็เป็นเพื่อนมึงอยู่แล้วไง"

"เป็นแฟนกูไง" ผมพูดสวน

กัปตันหยุดชะงัก สีหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าผมพูดความจริง สักพักมันก็พูดย้ำเรื่องเดิม "กูบอกมึงแล้วไงว่าให้คิดดีๆ"

"คิดมาหลายวันแล้วเว้ย" ผมยืนยัน

"แต่มึงรับปากกูแล้วนะเว้ย มึงจำไม่ได้เหรอที่กูให้มึงสัญญากับกูสามข้อ มึงก็รับปากแล้ว" กัปตันทวง

"จำได้ สำหรับมึง…มึงให้ข้อนี้เป็นข้อสามที่กูต้องสัญญา แต่สำหรับกู…มันเป็นข้อแรกที่กูอยากจะผิดสัญญาเลยนะเว้ย"

กัปตันตะลึงไปอีก สติคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปแล้ว "หมายความว่าไงวะ"

"กูชอบมึง ชอบตั้งแต่วันแรกที่กูเจอมึงแล้ว" ผมสารภาพ โน้มใบหน้าลงต่ำเข้าไปใกล้อีกหน่อย จ้องมองคู่ดวงตาของมันโดยไม่หลบสายตาไปไหน

"แต่กู…ดูแลมึงไม่ได้นะเว้ย" กัปตันเถียงเบาๆ

"มึงไม่ต้องมาดราม่าเลย มึงให้กูมาอยู่ด้วย ขับรถให้กูนั่ง ชงโปรตีนให้กูกิน เล่นกีตาร์ให้กูฟัง แล้วก็ทำอะไรให้กูอีกตั้งหลายอย่าง ทำไมจะดูแลไม่ได้วะ"

"แต่กูก็ทำอะไรไม่ได้ตั้งหลายอย่าง" กัปตันเถียงอีก

"อันไหนทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิวะ ถือของไม่ได้ ก็ไม่ต้องถือ เอาวางบนตักมึงก็ได้ เวลาไปดูหนัง เดี๋ยวกูอุ้มมึงไปนั่งข้างๆ กูเอง ถ้าเจอบันได มึงก็ขี่หลังกูได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็มีทางลาดเยอะขึ้นแล้วนะเว้ย แล้วถ้ามึงจับมือกูเดินไม่ได้ ก็นั่งจับมือกันสิวะ ไม่เห็นจะยาก ส่วนเรื่องเมา ต่อไปกูจะไม่เมาแบบนี้อีก เพราะถ้ามึงอยู่ด้วยกูต้องดูแล ไม่ต้องห่วงนะเว้ย กูไม่ได้ชอบกินเหล้าขนาดนั้น ไม่กินก็ไม่เดือดร้อน ส่วนเรื่องเซ็กซ์…" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มใส่มัน ส่วนกัปตันก็แสดงท่าทางอยากรู้จนผมอดนึกเอ็นดูไม่ได้

"ถ้ากูไม่เกรงใจแม่มึง กูไม่ทำแค่นี้หรอก"

"ไอ้เหี้ย" กัปตันเผลอสบถเบาๆ

"ทำหน้าแบบนี้ เขาเรียกว่ายั่วรู้เปล่า"

"ไอ้สัส" กัปตันสบถเบาๆ อีก

"ด่าเก่งแบบนี้ กูยิ่งชอบ เดี๋ยวกูจะจูบให้จำชื่อตัวเองไม่ได้เลย" ผมแกล้งขู่ เลียปากยั่วมันด้วย

คราวนี้กัปตันเงียบ คงกลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งทำให้ผมเกิดอารมณ์มากขึ้น

"ว่าไง…จะลองคบกับกูไหม กูรับรองนะเว้ย กูจะไม่ทำให้มึงรู้สึกแบบนั้นเหมือนที่คนอื่นเคยทำให้มึงรู้สึกหรอก แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีแต่กูที่จะคอยดูแลมึง กูก็มีหลายเรื่องจะให้มึงคอยดูแลกู มึงอย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน กูใช้มึงแน่" ผมขู่แล้วหัวเราะชอบใจเบาๆ

"กูคิดก่อนได้เปล่า" กัปตันต่อรอง

"ยังจะลังเลอีกนะมึง จูบกับกูซะขนาดนี้แล้ว เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันวะ" ผมแย้ง

"กูกลัวน่ะ" กัปตันสารภาพ สีหน้าหม่นลงเล็กน้อย

ที่จริงผมก็เห็นใจอยู่หรอกที่มันกลัว พอเข้าใจความรู้สึกของมันได้ "ก็ได้ เอาที่มึงสบายใจละกัน กูแค่อยากให้มึงรู้เท่านั้นแหละว่ากูชอบมึง ส่วนมึงจะอยากคบกับกูหรือเปล่าก็แล้วแต่มึงนั่นแหละ กูไม่บังคับหรอก"

"โกรธเหรอ" กัปตันหน้าเสีย

"เปล่า ไม่โกรธหรอก กูเข้าใจมึงนะเว้ย" ผมรีบปฏิเสธ "แต่กูก็อยากให้มึงรู้ มึงไม่ใช่ผู้ชายที่กูจะมาหลอกเล่น ถ้าจะทำอย่างนั้น กูไปหลอกคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอ จะมาหลอกมึงทำไมวะ"

กัปตันมองผมนิ่ง สีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับกำลังรวบรวมข้อมูลบางอย่าง ผมกลัวมันจะเครียดอีกก็เลยชวนเปลี่ยนเรื่อง

"มึงมีเสื้อคอเต่าหรือเปล่า"

"ทำไม" กัปตันสงสัย

"เมื่อกี้…กูดูดคอมึงแรงไปหน่อย เป็นรอยเลย ถ้าคนเห็น…เขาต้องคิดว่ามึง…" ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจ

"ไอ้เหี้ย งั้นกูไม่ไปเรียนแล้ว" กัปตันหน้าแหยระคนเขินอาย เอามือลูบคอตัวเองไปมา

"เออ งั้นวันนี้มึงก็อยู่กับกูนี่แหละ กูก็ไม่ไปเหมือนกัน โคตรเพลียเลย มึงดูแลกูหน่อยนะเว้ย หาอะไรให้กูกินด้วย โคตรหิวเลย ยังไม่ได้กินอะไรแม้แต่คำเดียว"

"อ้าว ใช้กูเลยนะมึง" กัปตันเผลอประท้วง

ผมหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจุ๊บปากมันเบาๆ ให้มันตกใจเล่น "เดี๋ยวกูให้จูบเป็นรางวัล"

"นึกว่ากูอยากได้เหรอ" กัปตันลอยหน้าลอยตา

"ก็เห็นครางซะ แถมกอดกูแน่นเชียว" ผมล้อ

"ก็ทำไปงั้นแหละ กลัวมึงเสียเซลฟ์" กัปตันยักคิ้วล้อเลียนผม น่ารักจนผมอยากจะจูบเข้าให้อีกสักรอบ

"อ๋อเหรอ" ผมลากเสียงยาวล้อเลียน แล้วก็ขู่มันอีก "งั้นกูจะจูบมึงทุกวัน จูบทุกครั้งที่มีโอกาส จูบจนมึงร้องขอชีวิต จูบจนมึงปากเปื่อย ไม่ตกลงรับรักกูก็ให้มันรู้ไป"

กัปตันผลักผมออกโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว แต่พอมันจะหนีไปขึ้นรถเข็น ผมก็คว้าตัวมันมากอดไว้ซะก่อน ช่วยไม่ได้ที่มันคงต้องเสียเปรียบผมเรื่องนี้

แต่ก่อนที่จะปล่อยให้มันน้อยใจเพราะหนีผมไม่ได้ ผมก็ให้รางวัลมันด้วยจูบหนักๆ อีกหนึ่งจูบเป็นค่าชดเชยความเสียเปรียบ และถือโอกาสปลอบขวัญเรื่องที่มันเจอเมื่อคืนด้วย พอจูบเสร็จ ผมก็ถามมันอีกรอบด้วยสีหน้าอ้อนวอน

"มาเป็นแฟนกูนะกัปตัน"


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)

// อ่านจบ อย่าลืมบวกเป็ดและคอมเมนต์นะครับ (ถ้าสะดวก)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ P2 ✍21.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-04-2017 22:08:16
ง่าาา อีอินมันร้ายมากๆเลย เลวมาก แล้วอะตอมยังไงละเนี่ยะถ้ากปตันรู้ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ P2 ✍21.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 21-04-2017 22:31:32
ไม่น่าเชื่อว่าอินจะเป็นคนแบบนี้ เสียเพื่อนอะตอมไปเลย
 คบกัปตันเป็นแฟนจะเจออะไรบ้างอะ ลุ้นๆ จะมีฟินกันมั้ยอะ 555
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ P2 ✍21.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 22-04-2017 00:10:31
ผิดคาดมากค่ะ นึกว่าอินจะโดนพี่โดมงาบก่อน ชร้อย! แอบหนีมางาบอะตอม งองอกยาวมากอ่า นี่ๆ เดี๋ยวเขาจะคบกันแล้วยะ อย่ามาดราม่า

ตาม + เป็ดย้อนหลังค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ P2 ✍21.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-04-2017 01:57:59
โอ้ยยยยยย นี่มันนิยายอะไรกันเนี่ย

ทำไมมันดีงามพระรามเเปดเเบบนี้

ชอบมากๆๆๆๆๆชอบทุกตัวละคร

พระเอกของเราโอ้ยยยยชอบอ่ะ
พระเอกของเราก็ดีอ่าาาา
ไม่เคยอ่านนิยายเเนวนี้เท่าไรเเต่ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆ

ประทับใจตั้งเเต่อ่านทีเซอร์แล้ว
ยิ่งพอมาได้อ่านเื้อหาเเล้วบอกเลยว่าชอบมากๆๆๆๆๆ

เเล้วมาต่อให้ได้อ่านกันบ่อยๆน้าาา
ห้ามๆๆๆๆๆๆทิ้งนิยายเรื่องนี้เด็ดขาดนะผู้เเต่ง

โอ้ยยยชอบติดดาวชอบเรื่อวนี้เลยอ่ะ

อ่ออีกอย่างภาพประกอบมันฟีลกู๊ดอ่ะ
ให้ความอบอุ่นมากๆๆๆๆๆๆๆ

รักลเยยยย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ P2 ✍21.4.17 [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 22-04-2017 02:20:22
สรุปอีอินนี่คืออยากกินผู้นะคะพอนกเขาชอบคนอื่นเลยนิสัยฮีๆ สมน้ำหน้าแรง อะตอมเอาแอลกอฮอล์อาบน้ำนะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 22-04-2017 08:31:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-04-2017 09:07:38
บวกเป็ดตรงไหนเค้าทำไม่เป็นนนนนนน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-04-2017 09:08:26
บวกเป็ดตรงไหนเค้าทำไม่เป็นนนนนนน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 22-04-2017 09:45:39
กัปตันอย่าตอบรับง่ายๆนะลูก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 22-04-2017 11:15:53
เรายังอยากอ่านนิยายนิยายเนอะ คนชั่วร้ายต้องได้รับบทเรียน ส่วนคนรักกันปล่อยให้เดินกันไป รออ่านกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 22-04-2017 11:40:44
อิน ไอ้เห้ สายเก็บแต้มนี่หว่า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 22-04-2017 19:13:01
เดี๋ยวอินก็มาทำให้เขาแตกแยกอีก ปากก็ไม่ดี
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 23-04-2017 22:58:35
มันละมุนตรงไหนห้ะ ตรงหน๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:    โอ้โห ช็อท นังอินนี่ ดิฉันไปไม่เป็นเลยค่ะ แบบอะไรนะห้ะ โอ้วววววววววววววววววววววว อิผี !!  ช้อคไป10แปดตลบ  โถ่หนูลูกสงสารนายเอกไปอีก 10ระดับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 23-04-2017 23:08:34
อยากอ่านเเล้วน้าาาาารีบมาๆๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Mississippi ที่ 24-04-2017 00:17:31
เอาจริงๆอินไม่สมควรได้คู่กับใคร
เอามันไปเผาค่ะะะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 24-04-2017 14:41:54
มันละมุนตรงไหนห้ะ ตรงหน๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:    โอ้โห ช็อท นังอินนี่ ดิฉันไปไม่เป็นเลยค่ะ แบบอะไรนะห้ะ โอ้วววววววววววววววววววววว อิผี !!  ช้อคไป10แปดตลบ  โถ่หนูลูกสงสารนายเอกไปอีก 10ระดับ

555 ชอบคอมเมนต์นี้จังเลย
คงจะมีละมุนบ้าง กระด้างบ้างนะครับ :)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 24-04-2017 21:03:25
เดินเรื่องเร็วมากถูกใจป้ามากคะ ต่อไปอะตอมจะโดนว่าคบแต่คนรวยไหม ส่วนนังอิน ป้าอยากตบหน้าแล้วกระทืบคะร่านมากกกก คาวพี่โดมก็ทีละ นี้ป้าสงสัยนะคะ นางมีอดีตเป็นตุ๊ดหัวโปกหรือเปล่าคะ

ไม่ไหวจะซี //// แบะปากจิกตาใส่นาง
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 25-04-2017 14:06:47
กลัวปัญหาจะตามมานะสิ

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP07 พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ (100%) ✍21.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 25-04-2017 17:46:30
ทำไมหายไปหลายวันอีกแช้ววว
รีบๆๆมาต่อน้าาา
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [50%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 27-04-2017 07:59:36
EP08 (Part 1)
พรุ่งนี้ไม่สาย

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)

<<<CAPTAIN>>>

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาชอบผม ครั้งก่อนเกิดขึ้นตอนผมอยู่มอห้า ด้วยความที่แม่อยากให้ผมเรียนหมอ ก็เลยส่งผมไปค่ายวิทยาศาสตร์บ่อยๆ ครั้งนั้นแม่ส่งผมไปค่ายวิทยาศาสตร์ตอนปิดเทอม เป็นค่ายที่ให้เราได้สัมผัสชีวิตของหมอและพยาบาลห้าวันหกคืนด้วยกัน

ผมพักที่หอพักนักศึกษาแพทย์ ก็ไม่ค่อยสะดวกหรอก ช่วงกลางวัน แม่ผมจ้างหลานชายซึ่งเป็นญาติฝั่งป๊าของผมให้มาคอยช่วยเพราะพี่โดมไม่ว่าง ส่วนช่วงกลางคืนผมจะพักรวมกับเพื่อนอีกสามคน หนึ่งในนั้นนั่นเองที่แอบชอบผม หน้าตาเขาไม่ถึงกับหล่อ อัธยาศัยดีพอใช้ เขาคอยตามช่วยผมไม่ห่าง ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็จะไปกับผม พยามอยู่กลุ่มเดียวกับผม กินข้าวกับผม เหมือนเป็นเงาตามตัว แต่ผมก็ดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็น

พอวันกลับเขาก็เฉลยความในใจ ผมจำได้ว่าเขาพูดเสียงสั่นจนฟังไม่ได้ศัพท์ ต้องถามสามสี่ครั้งว่าพูดอะไร พอฟังเข้าใจแล้วผมก็ช็อค ทำใจอยู่นานจึงตอบกล้อมๆ แกล้มๆ ไปว่าผมคิดกับเขาแค่เพื่อน เขาหน้าจ๋อยไปเลย คงเสียใจพอสมควร หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

ไม่เคยคิดเลยว่าไม่กี่ปี่หลังจากนั้น ผมจะมาเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันอีกครั้งในวันนี้ ครั้งนั้นว่าลำบากใจแล้ว แต่ครั้งนี้ลำบากใจยิ่งกว่า เพราะครั้งที่แล้วผมปฏิเสธด้วยหัวใจที่ชัดเจนว่าไม่ได้คิดอย่างนั้น ส่วนครั้งนี้หัวใจของผมขุ่นมัวจนมองทะลุไม่เห็นความจริงชัดเจน

พอผมเงียบและทำหน้าไม่ถูก คนพูดคงรู้สึกได้ว่าผมลำบากใจที่จะตอบว่าอยากเป็นแฟนด้วยหรือเปล่า อะตอมจึงยิ้มเก้อๆ หน้าเสียเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ แก้เก้อ

"เออ ไม่เป็นไร สงสัยกูจะใจร้อนไปหน่อย"

ผมไม่แน่ใจว่าใช่เหตุผลนั้นหรือเปล่า ถ้าเราชอบใครสักคนแล้วเป็นแฟนกันได้ในสองสามวันก็คงดี เมื่อพอใจแล้วความเร็วคงไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ผมตอบไม่ได้ว่าเพราะมันเร็วไปหรือเปล่า จะว่าเร็วก็เร็วเพราะเราเพิ่งรู้จักกันได้อาทิตย์กว่าๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นเหตุผลนั้นอยู่ดี

"กูเป็นผู้ชาย…แล้วก็พิการด้วย มึงแน่ใจเหรอว่ามึงจะรักกูได้" ผมเอ่ยหลังเงียบไปสักพัก หรือจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ผมไม่ชัดเจนกับตัวเอง

"อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดดิวะ กูบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่เคยคิดแบบนั้น" อะตอมลุกขึ้นนั่ง หย่อนขาลงพื้นและหันหลังให้ผม ก่อนเอียงหน้ามาคุยด้วย "มึงนั่นแหละ รังเกียจเหรอวะถ้าผู้ชายกับผู้ชายจะชอบกัน"

ผมสะอึกไปเลยกับคำพูดนี้ ดูไปแล้วอะตอมเป็นคนใจร้อน คิดเร็ว ทำเร็ว แม้กระทั่งยอมรับเรื่องผู้ชายรักกันมันก็ยังทำได้เร็วกว่าผม

"เอาเป็นว่า…เก็บไว้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ก็ไม่สายหรอก" อะตอมสรุป คงรูัสึกอึดอัดใจและอยากจบการสนทนาเรื่องนี้ซะที

"โกรธเหรอวะ" ผมลุกขึ้นนั่งข้างๆ อะตอม พลางก็ใส่กระดุมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไปด้วย พออะตอมไม่ตอบผมจึงพูดต่อ "มึงเพิ่งอกหักมาเองนะเว้ย"

"กูทำใจมาเป็นเดือนๆ แล้ว เมื่อก่อนกูรักอั้มมากนะเว้ย ถ้ามึงรู้จักกับกูสักสองสามเดือนที่แล้ว มึงก็จะเห็นเองแหละว่ากูให้เวลากับเขามากแค่ไหน ว่างปุ๊บกูก็จะไปหาเขาปั๊บ ไม่งั้นก็โทรคุย ติดต่อกันแทบตลอดเวลา ไม่มีเวลานั่งคุยกับมึงแบบนี้หรอก แต่พอเกิดเรื่องพี่แอร์ขึ้น กูก็เสียความรู้สึกไปเลยว่ะ จากที่กูเคยหลงเขามากๆ มันก็สะดุดไปเลย เพราะว่าความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม กูไม่เคยชอบคนสองคนพร้อมกันนะเว้ย ตอนที่กูเจอมึงน่ะ กูถอนใจกูออกจากเขาไปเยอะแล้ว เพราะงั้น…มึงไม่ต้องห่วงกูเรื่องอกหักหรอก มันจบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กูจะมีชีวิตใหม่ของกูจริงๆ ซะที"

อะตอมอธิบายเสียยืดยาว แต่ก็ช่วยให้ผมเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ดีมากขึ้น เพราะมันทำใจมาได้พอสมควรแล้วนี่เองถึงได้…

"แล้วมึง…แน่ใจเหรอวะว่าความรู้สึกของมึงที่มีให้กูตอนนี้…เป็นความชอบ เหมือนที่มึงชอบผู้หญิง มันเปลี่ยนขั้วเลยนะเว้ย มึงจะไม่สงสัยตัวเองหน่อยเหรอวะ" ผมถามไปตรงๆ

"มึงเคยชอบใครไหม" อะตอมย้อนถาม

ผมชะงัก สักพักก็พยักหน้ายอมรับ

"แล้วมึงแยกออกไหมว่าชอบอย่างเพื่อนกับชอบอย่างแฟนต่างกันยังไง หัวใจของมึงเต้นตอนไหน ตอนอยู่กับเพื่อน…หรือตอนที่มึงเจอคนที่ชอบ" อะตอมถามเข้าจุด ชงลูกมาสวยขนาดนี้ คนเล่นต่อคงได้แต้มงามๆ แน่ แต่ผมกลับปล่อยลูกตกดังแป้กต่อหน้าต่อตา อะตอมไม่ย่อท้อ รีบชงลูกใหม่มาให้ "เวลากูอยู่กับมึง หัวใจกูเต้นบ่อยๆ"

ว่าแล้วอะตอมก็เขยิบตัวเข้ามาใกล้ผม จากนั้นก็ดึงมือผมไปทาบลงบนอกซ้าย "มึงรู้สึกไหม กูไม่เคยหัวใจเต้นกับเพื่อนนะเว้ย แล้วมึงล่ะ เวลาอยู่ใกล้ๆ กู…หัวใจมึงเต้นหรือเปล่าวะ"

สีหน้าอะตอมดูแดงๆ คาดว่าผมก็น่าจะแดงเหมือนกันเมื่อเห็นสายตาของอะตอมที่มองมา ผมไม่กล้าตอบอีกตามเคย ค่อยๆ ดึงมือกลับมาและก้มหน้าลงต่ำ เหลือบมองอะตอมอย่างประหม่า นึกอยากเขยิบตัวออกห่างอีกหน่อยแต่ก็ไม่กล้า เดี๋ยวมันจะหาว่าผมหยิ่ง

อยู่ๆ อะตอมก็เอียงตัวเอาหูมาแนบกับอกซ้ายของผม ผมหน้าตาตื่นตกใจเพราะกลัวมันจับได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถอยหนี ปล่อยให้มันเอาหูแนบฟังหัวใจผมเต้นตึกตักโดยไม่ผลักใส เขาว่าเสน่ห์ของผู้หญิงคือความอ่อนหวาน แต่ผมว่าเสน่ห์ของผู้ชายคือความอบอุ่น รูปร่างผู้หญิงสวยที่ส่วนโค้งเว้า แต่ผมว่ารูปร่างผู้ชายมีเสน่ห์ตรงความแข็งแกร่งทว่าน่าซุกตัวเข้าหา กลิ่นกายผู้หญิงหอมอ่อนละมุนชวนหลงใหล แต่ผมว่ากลิ่นกายผู้ชายหอมลุ่มลึกน่าค้นหา

อะตอมเงยหน้าขึ้นมามองผม แววตาของมันดูแปลกหลังได้ฟังเสียงหัวใจผมแล้ว เรามองหน้ากันค้างไว้ สักพักมันก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงตามเดิม เขาว่าสายตาของผู้หญิงอ่อนโยนและงดงาม แต่ผมว่าสายตาของผู้ชายบาดคมหรือไม่ก็อาจจะร้อน เพราะผมรู้สึกเหมือนตัวจะละลายไปแล้ว

"ที่กูขอมึงเป็นแฟนเมื่อกี้ ลืมมันไปก่อนดีกว่านะ ตอนนี้…ก็เป็นเพื่อนกันไปก่อน"

เสียงของอะตอมทำให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด ถึงแม้มันจะบอกอย่างนั้น แต่ผมก็อดเครียดไม่ได้ อะตอมจึงเอามือมาลูบหัวผมเป็นเชิงหยอกเล่น

"เฮ้ย ไม่ต้องเครียดหรอกน่า ไม่มีอะไรแล้ว มึงกับกูก็เป็นเพื่อนกันนี่แหละ หรือว่า…มึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกู"

"เปล่าเว้ย" ผมรีบค้าน

"ก็ดี อ้อ ที่กูจูบมึงไปสองสามครั้งน่ะ กูไม่รู้จะถอนคืนให้มึงยังไงว่ะ ลืมๆ มันไปละกันนะ แต่ถ้าวันไหนมึงเปลี่ยนใจมาชอบกู จะมาเอาคืนทีหลังก็ได้นะเว้ย" อะตอมพูดติดตลก ค่อยทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาหน่อย

ถึงอย่างนั้นผมก็อดคิดไม่ได้ว่าผมทำให้อะตอมเสียใจหรือเปล่า ก็คงมีบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะเสียความมั่นใจ สงสัยคงแอบด่าผมในใจว่าพิการแล้วยังเสือกหยิ่งไปแล้ว

"จะเที่ยงแล้ว มึงหิวยัง" อะตอมเปลี่ยนเรื่อง

"นิดนึง" ผมบอก

"เดี๋ยวกูทำกับข้าวให้มึงกิน อยากลองกินนี่ไหม ข้าวคลุกกะเพราหมูสับ กูทำอร่อยนะเว้ย" อะตอมโว

"เผ็ดเปล่าวะ ถ้าเผ็ดมาก กูกินไม่ค่อยได้" ผมทำหน้าแหยไว้ก่อน พูดถึงของเผ็ดๆ ทีไรผมมักทำหน้าแบบนี้

"ถ้าจะให้อร่อยก็ต้องเผ็ดนิดหนึ่ง เดี๋ยวกูจะใส่พริกให้มึงน้อยๆ ละกัน โทษทีนะเว้ย…กูทำอาหารไฮโซไม่เป็น" อะตอมออกตัว แต่ก็ฟังดูเหมือนมันประชดผมเล่น

"เดี๋ยวกูหัดกิน" ผมแบ่งรับแบ่งสู้ คราวที่แล้วก็ท้องเสียเพราะไปหัดกินกับพี่โดมนี่แหละ

ครู่หนึ่งเราก็ย้ายที่คุยกันมาที่ครัว อะตอมให้ผมช่วยหุงข้าวและเด็ดใบกะเพราที่ซื้อมาใส่จาน ส่วนมันก็ตำพริกกับกะเทียมใส่ครกเล็กๆ ที่ซื้อมา ก่อนเอาไปเทใส่กะทะที่มีน้ำมันเดือดๆ ห้องผมมีเครื่องดูดควันและเครื่องกรองอากาศอย่างดีที่กรองกลิ่นและฝุ่นได้ดีมาก จึงไม่ค่อยห่วงเรื่องกลิ่นเท่าไหร่

เมื่อเริ่มมีกลิ่นหอม อะตอมก็ใส่เนื้อหมูสับที่ซื้อมาลงไปผัด กลิ่นหอมฉุยน่ากินจนผมน้ำลายไหล

"หอมว่ะ น่ากินมากเลย" ผมเข็นเข้าไปสูดกลิ่นใกล้ๆ

"มึงไม่เคยกินข้าวผัดกะเพราจริงๆ เหรอวะ" อะตอมสงสัยไม่หายที่รู้ว่าผมไม่เคยกินข้าวผัดกะเพราเลยตั้งแต่เกิด ทั้งๆ ที่คนไทยแทบทุกคนเคยกินมาแล้ว

"เออดิ"

"ส้มตำปลาร้าล่ะ"

"เคยแล้ว พี่โดมเพิ่งพาไปกินอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ท้องเสียเลย" ผมหัวเราะอายๆ

"มึงสนิทกับพี่โดมขนาดไหนวะ" อะตอมเปลี่ยนมาถามเรื่องลูกพี่ลูกน้องผมแทน

"ก็สนิทเลยล่ะ เพราะตอนเด็กๆ กูไม่ค่อยได้ไปไหนเอง ไปแต่กับป๊ากับแม่ แต่ถ้าพี่โดมพาไปนะ แม่กูจะไม่ว่าเลย ไปไหนก็ได้ เวลาไปเที่ยวกับพี่โดมนะ…โคตรมีความสุขเลย เหมือนนกออกจากกรง พี่โดมนะ…โคตรใจดีเลย เลี้ยงกูไม่อั้น กูอยากกินอะไรเขาจะพาไปทุกที่ อยากไปดูอะไรเขาก็จะพาไปดู" ผมเล่าไปยิ้มไป สีหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขจริงๆ

ตะหลิวของอะตอมหยุดส่งเสียงช้งเช้ง มันมองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ สักพักก็คลี่ยิ้ม "เดี๋ยวกูจะทำให้มึงมีความสุขมากกว่านั้นอีก"

… … …

ไม่นานเราก็ได้กะเพราหมูสับหอมฉุยมาเป็นกับข้าวมื้อกลางวัน แค่ได้ลองกินครั้งแรกผมก็ตะลึงในความอร่อยของมันแล้ว เผ็ดนิดหน่อยพอกินได้ รสชาติออกเค็มเล็กน้อยและหอมใบกะเพรามากๆ

"เออ…เมื่อคืน…มึงพักห้องไอ้อินเหรอ" ผมถามเมื่อนึกได้ น่าแปลกที่อะตอมดูชะงักและทำท่าคล้ายตกใจ แต่สักพักสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ

"เออ เซ็งเลย" อะตอมก้มหน้า จากที่กินอร่อยๆ ก็เขี่ยช้อนในจานไปมา

"เซ็งเรื่องอะไรวะ" ผมงง

"ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่า…อย่าไปยุ่งกับมันละกัน แต่ถ้ามันมาทำอะไรมึง บอกกูนะเว้ย เดี๋ยวกูจัดการให้" อะตอมกำชับ จากนั้นก็ตักข้าวกินตามเดิม แต่สายตาดูลอยๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่าง

"แต่กูก็ไม่เข้าใจนะเว้ยว่ามันไม่ชอบกูหรือเปล่า หรือว่ากูไปทำอะไรให้มันไม่พอใจ มันถึงได้ชอบมาหาเรื่องกู เสือกมาเรียนคณะเดียวกับมันซะด้วย" สีหน้าผมเริ่มเครียด มือเริ่มเขี่ยอาหารไปมาบ้าง นึกถึงตอนที่มันพาอะตอมหนีกลับคอนโดเมื่อคืนแล้วก็ยังเคืองไม่หาย นี่มันดูถูกผมชัดๆ

"มึงไม่ต้องกลัวมันหรอก กูอยู่นี่ทั้งคนนะเว้ย ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ไอ้อินน่ะ…มันปากหมาไปงั้น แต่อีแอบอย่างมันน่ะ…ไม่กล้าหรอก"

"อีแอบยังไงวะ" ผมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย อะตอมชะงักไปอีกแล้ว ท่าทางดูอึกๆ อักๆ

"ก็มันไม่กล้าไง คนขี้ขลาดเขาก็เรียกว่าอีแอบทั้งนั้นแหละ" น้ำเสียงของอะตอมฟังดูเหมือนโกรธหรือไม่พอใจ พลันก็เปลี่ยนทั้งเรื่องคุยและสีหน้าอย่างรวดเร็ว "มึงอยากไปดูหนังไหม ไหนๆ ก็โดดเรียนแล้ว"

"อ้าว ไหนว่ามึงจะนอนพักไง" ผมถามกลับ

"ไม่นอนแล้ว ไปดูหนังดีกว่า ไปตอนนี้ดีนะเว้ย คนน่าจะไม่ค่อยเยอะ ว่าแต่มึงชอบดูหนังแนวไหนวะ"

"ก็ดูได้เกือบทุกแนว"

"แล้วมีแนวไหนที่มึงอยากดูเป็นพิเศษไหม"

"ยังไม่เคยดูแนวสยองขวัญ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีไหม"

"งั้นก็ไปดูที่โรง ถ้ามีก็ดู เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง มึงอยากกินอะไร อยากดูอะไร อยากไปที่ไหน…บอกกู" อะตอมกางแขนยกแล้วเบ่งกล้าม ส่งสัญญาณว่าเขาพร้อมจะแบกผมไปทุกที่ที่ผมไปเองไม่ได้

"มึงกินยาลืมเขย่าขวดเปล่าวะ" ผมแกล้งแซวเล่นๆ แต่คิดว่ามันไม่ถือหรอก เพราะอะตอมยอมรับความจริงว่ามันค่อนข้างใช้เงินประหยัด กว่าจะกระเด็นออกมาแต่ละบาทมันก็คิดแล้วคิดอีก แสดงว่าครั้งนี้ต้องมีบางอย่างพิเศษ

"ไม่รู้เว้ย แต่คนอย่างกูน่ะ ถ้ารู้สึกดีกับใคร ชอบใคร กูไม่งกหรอกเว้ย ว่าแต่มึงจะไปเปล่า อย่าลีลา"

"เออ ไปก็ไป แต่โรงหนังส่วนมากมันไม่ค่อยสะดวกสำหรับกูนะเว้ย" ผมเตือนมันไว้ก่อน

"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เออ…แล้วมึงอยากนั่งที่นั่งตรงไหนล่ะ เอาแบบที่มึงไม่เคยนั่งนะเว้ย เดี๋ยวกูพามึงไป แต่ห้ามบอกว่าหลังคา เพราะมันร้อน" อะตอมหัวเราะ

"ตรงกลางสุดแถวกลาง กูไม่เคยไปนั่งตรงนั้นเลย เขาชอบให้กูนั่งแถวล่างสุด ติดทางเดิน เวลาดูต้องแหงนคอ โคตรเมื่อยคอเลย" ผมทำท่าแหงนหน้าและปวดคอไปด้วย

อะตอมขำเบาๆ ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ "ได้ เดี๋ยวกูพามึงไปนั่งตรงนั้น อ้อ ต่อไปน่ะ…ไม่ต้องไปรบกวนพี่โดมบ่อยๆ หรอก อยากไปไหน…บอกกู"


TBC


// อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดนะครับ :)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [50%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-04-2017 10:49:27
 :L1: :3123: :pig4: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [50%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 27-04-2017 13:40:16
อะตอมมมมมม
ผช.เเบบี้อยู่หนได
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [50%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 27-04-2017 14:46:54
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 27-04-2017 15:29:59
EP08 (Part 2)
พรุ่งนี้ไม่สาย

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<DOME>>>

หลังจากเสร็จเรื่องวุ่นๆ ช่วงเช้า ผมก็เลยโทรหากัปตันเพราะมีเรื่องอยากถาม แต่โทรไปแล้วไม่มีคนรับสาย ไลน์ก็ไม่อ่าน ก็เลยตัดสินใจขอตัวเพื่อนๆ มาที่คณะสถาปัตย์ ดันมาเจอคนรู้จักอีก ก็เลยใช้เวลาคุยกับเพื่อนๆ อีกเกือบสิบนาที

เสร็จจากทักทายกับเพื่อนที่รู้จักในคณะนั้น ผมก็เจอกับอินโดยบังเอิญ เหมือนมันเพิ่งจะเข้ามาเรียน ตอนแรกว่าจะไม่คุยด้วย แต่นึกไปนึกมา ผมยังไม่รู้จักเพื่อนๆ ของกัปตันเลยสักคน ก็มีแต่อินนี่แหละที่ผมน่าจะพอถามไถ่ได้ วันนั้นมันโดนผมขู่ซะหงอ คราวนี้มันอาจจะทำตัวดีก็ได้ คิดแล้วผมก็เลยเดินไปหามัน พอมันเห็นผมก็หยุดชะงัก

"ไง เพิ่งมาเหรอ" ผมร้องทักและเดินเข้าไปหาคนที่หยุดยืนมอง มันทำหน้าเลิ่กลั่กและหันรีหันขวาง คล้ายกับจะเดินหนีอีกแล้ว

"ครับ" อินตอบอย่างเสียไม่ได้

"น้ำพริกอร่อยไหม" ผมถามยิ้มๆ

"ยังไม่ได้กินเลยครับ" อินตอบเสียงเรียบ จากนั้นมันก็เดินเบี่ยงตัวหลบผม "ขอตัวก่อนนะครับพี่ ผมจะเข้าเรียนแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน"

"เดี๋ยวก่อนสิวะ" ผมจับต้นแขนมันไว้แล้วลากกลับ อินทำหน้ายุ่งยากใจและดูเหมือนไม่ค่อยกล้าสบตากับผมเท่าไหร่ "กูแค่จะถามว่ามึงเห็นกัปตันไหม กูติดต่อมันไม่ได้"

"ยังไม่ตื่นมั้งครับ" อินตอบสั้นๆ

ผมขมวดคิ้ว ปกติกัปตันไม่ใช่คนนอนตื่นสาย นี่จะบ่ายแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ "มึงรู้ได้ไงว่ามันตื่นสาย"

"งั้นก็ปล่อยผมดิ เดี๋ยวผมเอาอะไรให้ดู" อินต่อรอง

ผมมุ่นคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง สักพักก็ปล่อยแขนมันให้เป็นอิสระ อินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาบางอย่าง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมอีก หวังว่าคงไม่ใช่รูปเพื่อนของกัปตันถ่ายแบบโป๊หรอกนะ

อินส่งมือถือมาให้ผมดู สีหน้าจอออกโทนแดงๆ มืดๆ เมื่อดูดีๆ ผมก็เห็นว่าเป็นผับหรืออะไรสักอย่าง

"เมื่อคืน…น้องพี่กับอะตอมไปเที่ยวด้วยกัน" อินถือโอกาสฟ้องเสียเลย

ผมเพ่งดูดีๆ ก็เห็นว่าเป็นกัปตันกับอะตอมจริงๆ ด้วย นี่ถ้าน้าเล็กรู้เข้า กัปตันคงได้กลับไปอยู่บ้านแน่ๆ แล้วทำไมถึงได้ออกไปเที่ยวที่แบบนั้นทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าแม่ไม่อยากให้ไป ผมเองยังไม่เคยพากัปตันไปเลย

"พี่โดมไม่รู้เหรอว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้ว" อินให้ข้อมูลเพิ่ม ยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่

"อยู่ด้วยกันยังไงวะ เป็นรูมเมทกันน่ะเหรอ" ผมถามกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ ที่จริงผมรู้แล้วและไม่คิดว่ามันจะแปลกตรงไหน แตดูเหมือนไอ้หน้าหล่อนี่พยายามทำให้มันแปลก

"ครับ แต่…พี่จำไม่ได้เหรอว่าผมเคยบอกอะไรพี่ไว้" อินทวนความจำ ก่อนเก็บโทรศัพท์คืนใส่กระเป๋า

ที่จริงผมก็จำได้ แต่ก็ยังไม่อยากปักใจเชื่ออยู่ดี "แล้วไง"

"เมื่อคืน…กัปตันเป็นคนจ่ายทั้งหมด ส่วนอะตอม ไม่ออกอะไรเลยสักบาท แม้กระทั่งค่าห้อง มันก็ออกแค่ห้าพัน ทั้งๆ ที่ควรจะจ่ายเป็นหมื่น ถ้าไม่เรียกว่ามาหลอกน้องชายพี่ จะเรียกว่าอะไรครับ"

พอได้ฟังอย่างนี้ มันก็พอมีเค้าอยู่บ้าง ถ้าเป็นอย่างที่อินว่า น้องชายผมก็ตกอยู่ในสถานการณ์น่ากลัวไม่น้อย "แล้วมึงรู้ได้ไง"

อินชะงัก สีหน้าส่อพิรุธ "ก็…รุ่นพี่โทรมาบอกผมว่าเห็นสองคนนี้ในผับ ผมก็เลยตามไปดู"

"ตามไปดูทำไม" ผมยังไม่เข้าใจ

"ก็จะได้รู้ไงครับว่าน้องพี่ถูกหลอกหรือเปล่า"

"หืม…" ผมลากเสียงและทำหน้าสงสัย "แล้วมึงจะรู้ไปทำไมวะ ห่วงน้องกูเหรอ…ก็ไม่น่า มึงต้องการอะไรกันแน่วะ อย่าให้กูรู้นะเว้ยว่ามึงคิดจะทำอะไรน้องกู"

"ผมไม่ทำเขาหรอกน่า ที่จริงพี่ควรจะขอบคุณผมด้วยซ้ำที่ผมช่วยตามไปดูให้" อินทวงบุญคุณ

ผมอยากรู้จริงๆ ว่าอินตามน้องชายผมไปทำไม แต่ผมคิดว่ามันจะไม่ยอมบอกง่ายๆ ชักไม่ชอบมาพากลทั้งอินและอะตอม เห็นทีเย็นนี้ผมจะต้องแวะไปคอนโดกัปตันซะหน่อย

"มึงจะไปเรียนก็ไป" ผมออกปากไล่ด้วยเสียงรำคาญๆ อินทำหน้างงๆ แต่สุดท้ายมันก็ไปตามที่ผมไล่จริงๆ


<<<CAPTAIN>>>

ผมไม่ได้มาดูหนังหลายเดือนแล้ว ครั้งที่แล้วมากับพี่โดมช่วงกลางๆ เทอมตอนมอหก เพิ่งจะได้มีโอกาสมาอีกครั้งก็วันนี้ ส่วนอีกคนที่มาด้วยเพิ่งมาเมื่อเกือบๆ สองเดือนที่แล้วกับใครคนหนึ่ง แต่วันนี้คนที่มาด้วยเป็นผม ไม่ใช่เธอคนนั้นอีกแล้ว

หลังได้ป๊อบคอร์นมาหนึ่งถ้วยใหญ่ๆ และเครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลมสองแก้ว เจ้าหน้าที่โรงหนังก็พาเราไปอีกทางซึ่งไม่ใช่ทางเข้าหลักเหมือนคนทั่วไป ไม่นานเราก็มาโผล่ที่พื้นที่ด้านล่างสุดของโรงหนัง ขวามือผมเป็นจอฉายสีขาวนวลๆ ส่วนซ้ายมือผมเป็นแถวที่นั่งสูงขึ้นไปเป็นขั้นๆ ปกติเวลามาดูหนังผมจะได้นั่งแถวล่างสุดชิดแนวทางเดิน เพราะจะได้ไม่ต้องลำบากคนพามา แต่ครั้งนี้ผมจะนั่งแถวกลางและที่นั่งตรงกลาง

“มา ขี่หลังกู” อะตอมส่งถ้วยป๊อบคอร์นและเครื่องดื่มให้เจ้าหน้าที่ที่มาด้วยช่วยถือไว้ ก่อนย่อตัวลงหน้าวีลแชร์ของผมในลักษณะหันหลังให้

ผมเงยหน้าขึ้นมองแถวที่นั่งด้านบนๆ เพื่อดูว่ามีใครสนใจมองหรือเปล่า ปกติผมไม่ค่อยชอบสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนทั่วไปนัก โดยเฉพาะเมื่อผมต้องทำอะไรด้วยวิธีที่แตกต่างจากคนอื่น มีคนเริ่มจับจองที่นั่งบ้างแล้ว คนไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอาย ถ้ามีวิธีที่ดีกว่าแบกขึ้นไปคงจะดีไม่น้อย นี่แหละคือเหตุผลที่ผมเลือกเรียนสถาปัตย์ เพราะผมอยากออกแบบสิ่งต่างๆ ให้คนใช้รถวีลแชร์เหมือนผมใช้งานได้สะดวกขึ้น จะได้ทำได้เองอย่างอิสระและพึ่งคนอื่นน้อยลง มีศักดิ์ศรีมากกว่ารอให้คนมาคอยช่วย

ไม่นานผมก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปเกาะไหล่ของอะตอม จากนั้นมันก็ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างมั่นคง น้ำหนักตัวของผมเทลงไปบนตัวมันทั้งหมด ร่างกายของผมแนบชิดกับแผ่นหลังและส่วนหลังแข็งแกร่ง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะได้กลิ่นสาบหนุ่มเฉพาะตัวของอะตอม แถมอาวุธลับของผมยังแนบชิดกับส่วนหลังเหนือสะโพกเล็กน้อย เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริงๆ

ผมกับอะตอมตกเป็นเป้าสายตาของสายตาทุกคู่ไปแล้ว แม้จะมืดสลัวเพราะผมมองย้อนแสงขึ้นไป แต่คนข้างบนก็น่าจะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า อะตอมก้าวเดินขึ้นไปอย่างมั่นคง เจ้าหน้าที่ชายหนุ่มคนนั้นเดินตามมาด้วย ไม่นานก็มาถึงแถวที่นั่งของเรา โชคดียังไม่มีใครนั่งขวางตรงที่เราจะเดินไป อะตอมจึงพาผมไปยังที่นั่งได้โดยไม่ต้องขอให้คนอื่นช่วยหลีกทางให้

เมื่อมาถึงที่นั่ง อะตอมก็หันหลัง ย่อตัวลงและหย่อนผมลงไปนั่งอย่างนิ่มนวล ก่อนที่มันจะนั่งบนที่นั่งของมันที่ติดกับผม เจ้าหน้าที่ส่งป๊อบคอร์นและแก้วน้ำพลาสติกคืนให้เรา ก่อนไปก็ไม่ลืมกำชับอีกครั้ง

“ก่อนหนังจบสิบนาที ผมจะเอาวีลแชร์มาเตรียมไว้ให้นะครับ”

“ครับพี่ ขอบคุณมากครับ” อะตอมเป็นฝ่ายกล่าวขอบคุณและยิ้มให้

เจ้าหน้าที่คนนั้นเดินลงไปตรงที่เราเข้ามา เขาพับวีลแชร์ของผมและนำไปจอดไว้ริมๆ ประตู พอหนังใกล้จะจบเขาก็จะเอามากางให้ เป็นขั้นตอนปฏิบัติที่ผมคุ้นเคยดีเวลามาดูหนัง

“เป็นไง ชอบไหมนั่งตรงนี้” ขณะถามอะตอมก็ส่งแก้วเครื่องดื่มให้ผมหนึ่งแก้ว ผมรับมาวางไว้ตรงที่วางแก้วของตัวเอง

“โคตรชอบเลย อยากนั่งมานานแล้ว” ผมยิ้มอย่างตื่นเต้น

“ต่อไปนะ ถ้ามึงไปไหนกับกู อะไรที่มึงไม่เคยทำ กูจะช่วยให้มึงทำได้ โอเคไหม”

“แน่ใจ” ผมท้าทาย อะตอมพยักหน้า

“แน่ใจ”

“ถ้ากูจะไปเที่ยวภูเขาล่ะ มึงจะเข็นกูขึ้นภูเขาไหวไหม” นี่แหละคือหนึ่งในความฝันของผม ภูเขาและทะเลเป็นที่ที่ผมไปเที่ยวแล้วอึดอัดและหงุดหงิดมากที่สุด เพราะมีหลายอย่างที่ผมอยากทำแต่ทำเองไม่ได้ ทั้งเข็นลำบากเพราะขรุขระ ทรายติดล้อ ลงน้ำไม่ได้ เข็นเข้าไปในป่าหรือพงหญ้าไม่ได้ แถมก็ยังลาดชันเป็นทางยาวอีก

“สบายอยู่แล้ว ช่วงไหนหยุดยาว เดี๋ยวกูพามึงไป มึงอยากไปไหนก่อนล่ะ ภูเขาหรือทะเล”

ผมทำท่าคิด ไม่นานก็ตอบ “ภูเขาดีกว่า”

“ได้เลย” อะตอมยิ้ม

“แต่กูต้องขอแม่กูให้ได้ก่อนนะเว้ย” ผมหัวเราะแหะๆ พลันก็เกิดความคิดบางอย่าง “เอ…สงสัยกูว่ากูต้องพามึงไปบ้านกูบ้างแล้วล่ะ”

“ทำไมวะ” อะตอมถามทันที

“อ้าว ถ้าแม่กูรู้จักมึง เห็นมึงบ่อยๆ เขาจะได้ไว้ใจไง เพราะถ้าเขาไม่ไว้ใจ เขาไม่ให้กูไปไหนกับมึงง่ายๆ หรอก นอกจากจะแอบไป แต่มันก็ไม่ดีหรอก เพราะถ้าเขารู้ขึ้นมา เขาก็จะแพนนิคอีก”

อะตอมพยักหน้าเข้าใจ หลังจากผมเล่าสาเหตุที่ผมพิการให้อะตอมฟัง เขาก็คงพอเข้าใจว่าทำไมแม่ผมถึงหวงลูกชายคนโตขนาดนี้ ที่เราไปเที่ยวผับกันมาเมื่อคืน ถ้ามีใครไปบอกให้แม่รู้ แม่คงตกใจมาก เผลอๆ จะเรียกผมกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม ผมก็เลยไม่กล้าบอกพี่โดม เดี๋ยวพี่แกโดนแม่ผมหลอกถามอีก

“อืม…งั้น…ดูหนังเสร็จ ไปบ้านมึงไหม” อะตอมเสนอความคิด

“เอางั้นเหรอ” ผมเลิกคิ้ว

อะตอมพยักหน้าเร็วๆ ก่อนหยิบป๊อบคอร์นที่มันถือค้างไว้มาเคี้ยวตุ้ยๆ ผมหยิบมากินบ้าง จุดสนใจของเราเปลี่ยนไปที่จอฉาย ช่วงนี้เป็นช่วงโฆษณา คนเริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่มากนักเพราะเป็นช่วงบ่ายวันธรรมดา ตอนแรกอะตอมว่าจะนอนพัก แต่นอนไปได้หน่อยก็ชวนผมมาดูหนังซะงั้น

ไม่นานหนังที่เราซื้อตั๋วเข้ามาดูก็เริ่มฉาย มันเป็นหนังฝรั่งสยองขวัญซึ่งผมยังไม่เคยดูเลย เริ่มเรื่องมายังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่พอผ่านช่วงเกริ่นนำเรื่องไปแล้ว มันก็ทวีความสยองขวัญมากขึ้นเรื่อยๆ

อะตอมเอาถ้วยป๊อบคอร์นวางบนพื้นข้างล่าง พอถึงฉากหวาดเสียว อะตอมก็ดึงต้นแขนผมไปแล้วเอียงหน้ามาซบ ไม่วายแอบชำเลืองดูด้วยว่าเหตุการณ์ไปถึงไหนแล้ว ผมนึกขำที่เห็นมันกลัวขนาดนั้น

“กลัวเหรอ” ผมกระซิบถามเบาๆ

“เออ เฮ้ย…มาอีกแล้ว” อะตอมซบหน้าหลบตรงแขนผมเมื่อเห็นปีศาจโผล่มาตามล่าพระเอก ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายแมนๆ อย่างมันจะกลัวหนังแบบนี้ไปได้

“ทำไมมึงไม่บอกกูล่ะ”

“ก็มึงอยากดูนี่ ช่างเหอะ กูพอดูได้อยู่ แต่ขอหลบเป็นช่วงๆ”

“แล้วทำไมมึงไม่หลับตาล่ะวะ” ผมสงสัย

“ไม่ได้เว้ย” อะตอมไม่ได้อธิบายต่อว่าทำไม มันคอยชำเลืองดูจอฉายอย่างหวาดระแวงและเตรียมหลบฉากหวาดเสียวไปด้วย เป็นอย่างนี้จนกระทั่งจบเรื่อง

คนเริ่มทยอยเดินออกไปกันแล้ว ผมกับอะตอมยังนั่งประจำที่อยู่ กะว่าคนออกหมดแล้วถึงค่อยออกไป เพราะจะได้ไม่เกะกะขวางทางคนอื่น ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนนั้นก็เอาวีลแชร์มากางให้ผมเตรียมไว้แล้ว

“สนุกไหม” ผมถามอะตอม สีหน้ามันยังไม่หายกลัวดีนัก

“สนุกดิ น่ากลัวชิบหาย กูไม่ชอบเห็นเลือดน่ะ ดีนะไม่เป็นลม” อะตอมขำตัวเอง

“มึงกลัวเลือดขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออดิ เคยเป็นลมมาแล้วด้วย” อะตอมยอมรับ ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณนะที่ให้กูซบแขน ปกติมาดูกับเพื่อนกูจะเอามือปิดหน้า ไม่เคยซบแบบนี้หรอก”

“แล้วกับอั้มล่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากรู้ แต่ก็ถามไปแล้ว

“ไม่เคยดูหนังแนวนี้กับเขาหรอก เขาไม่ชอบไง”

“อ๋อ” ผมลากเสียงยาว “เออ…ขอบคุณนะเว้ยที่ให้กูขี่หลังมา”

“ด้วยความยินดีครับผม” อะตอมยิ้มร่า ก่อนจะชวนคุยเรื่องชวนคิด “มึงเห็นไหม กูขอบคุณมึง มึงขอบคุณกู มึงกับกูพึ่งพาอาศัยกันได้ ทีหลังก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องทำนั่นทำนี่ไม่ได้อีกนะเว้ย มึงยังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ”

“เออ” ผมรับคำหน้าจ๋อยๆ แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่มันพูด ถ้าไม่ใช่พี่โดมแล้ว ผมอยู่กับเพื่อนหรือใครคนไหนก็มักจะรู้สึกว่าเป็นภาระ บางทีก็อึดอัด แต่กับอะตอม ผมกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระเลย ทัศนคติและการมองคนของอะตอมดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ

“กูว่าจะบอกมึงเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่ลืมบอกทุกทีเลย” อะตอมเกริ่นและยิ้มแปลกๆ

“อะไร” ผมอยากรู้อีกตามเคย

“มึงนี่หน้าโคตรหวานเลยนะเว้ย ผิวก็ขาวจั๊วะอีก ถ้าเป็นผู้หญิงนะ กูจะไม่ให้มึงออกจากห้องไปเห็นเดือนเห็นตะวันเลย”

มันหยอดผมเรื่องนี้อีกแล้ว ปากก็บอกว่าเป็นเพื่อนกันไปก่อน แต่ดูมันคุยกับผมแต่ละอย่างสิ อีกอย่าง ขนาดผมไม่ใช่ผู้หญิง ผมก็เกือบจะไม่ได้ออกจากห้องเพราะมันหลายทีแล้ว

“กูว่ากูโคตรโชคดีเลยว่ะที่เกิดเป็นผู้ชาย”

“ทำไม มึงกลัวไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเหรอ”

“เปล่า กลัวมึงจะน้ำหมดตัวตายซะก่อนต่างหาก” ผมหัวเราะกวนๆ ใส่มัน

“เชี่ย น้ำกูเยอะเว้ย ไม่หมดง่ายๆ หรอก”

เราสองคนหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข ยิ่งตอกย้ำว่าผมกับอะตอมมีเคมีที่เข้ากันได้ดี ถ้าจะถามว่าผมหวั่นไหวหรือเปล่า อะตอมคงได้คำตอบไปแล้วตอนที่เอาหูมาแนบฟังหัวใจผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากปล่อยตัวและใจไปกับความรู้สึกมากนัก

เมื่อเรายังรู้จักกันไม่มากพอก็อาจจะเห็นกันไม่ครบกันทุกด้าน อาจจะมีบางด้านที่เรารับไม่ได้ก็ได้


TBC

// อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดนะครับ :)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 27-04-2017 15:56:39
ช่างดีต่อใจๆๆๆๆ
ชอบอ่ะ
รำคาญอีตัวโกงอย้างอินจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-04-2017 16:56:34
  หายากนะแบบอะตอมอะ ขำอะตอมกลัวหนังสยอง 555
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2017 19:14:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 27-04-2017 19:24:17
ขอบคุณที่มาต่อครับ

หวังว่า ต่อไป จะไม่มีดราม่า ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ทีมภูเขา ที่ 27-04-2017 23:08:29
ชอบบบบ รอตอนต่อไปจ้าาา
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-05-2017 21:02:06
 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP08 พรุ่งนี้ไม่สาย [100%] ✍27.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-05-2017 22:07:01
หวังว่าจะได้เห็นทั้งด้านดีและไม่ดีในตัวองแต่ละคนก่อนที่อินมันจะยุแยงตะแคงรั่วพี่โดมมากไปกว่านี้


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย)[soon] ✍5.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 04-05-2017 09:34:51
// ตอนต่อไป

ตัวอย่างตอนที่ 9

"มึงชอบน้องกูเหรอ"

อะตอมทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิมอีกคราวนี้ หน้ามันซีดๆ ด้วย แถมยังมองผมอย่างกลัวๆ "แล้ว…พี่รู้ได้ยังไงเหรอครับ"

หา! นี่มันกำลังยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ!? ผมย่นคิ้วเข้าหากันแน่น รู้สึกตกใจยิ่งกว่าอะตอมซะอีก "มึงพูดงี้หมายความว่าไงวะ ตกลงมึงชอบน้องกูจริงๆ เหรอ"

"ครับ" อะตอมรับคำกล้าๆ กลัวๆ

"เชี่ย!" ผมเผลอสบถและหน้าเหวอ ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันจะปฏิเสธซะอีก ที่ไหนได้มันกลับยอมรับซะงั้น เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย "นี่มึงจะไม่ปฏิเสธกูหน่อยเหรอวะ"

"ปฏิเสธทำไมล่ะพี่ ก็ผมชอบเขาจริงๆ พี่ถามผมตรงๆ ผมก็บอกพี่ตรงๆ ไม่ดีเหรอครับ"

ผมโดนย้อนอีกดอก แต่จะว่าไปก็จริงของมันนั่นแหละ ถ้ามันโกหกสิผมควรจะต้องกลัว แต่พอนึกได้ว่าสองคนนี้พักด้วยกัน ผมก็นึกกลัวบางอย่างขึ้นมาทันที "แล้ว…มึงทำอะไรน้องกูหรือเปล่า"

"ทำอะไรเหรอครับ" อะตอมถามงงๆ

ผมทำหน้ายุ่งยากใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง ทีอย่างนี้มันทำไร้เดียงสา สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจกัดฟันพูดตรงๆ "ก็…มีอะไรกันไง"

ตัวอย่างตอนที่ 10

"มึงอยากรู้ไหมว่าคืนนั้นที่กูพาอะตอมกลับห้อง กูกับอะตอมสองคนทำอะไรกัน" อินยิ้มอย่างมีเลศนัย มันหน้าหล่อก็จริง แต่บุคลิคของมันเล่นบทตัวโกงได้สบายเลย

"ไม่อยากรู้เว้ย มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนกูไม่ใช่เหรอ ถึงเพื่อนกูจะมีอะไรกับมึง ก็_วยมัน ไม่ใช่_วยกูเว้ย" ผมบอกไปอย่างรำคาญ แรกๆ ก็กลัวมันอยู่หรอก แต่หลังๆ ผมชักรำคาญที่มันชอบมากวนใจ

อินชะงัก ท่าทางมั่นใจเมื่อกี้ลดวูบลงจนดูไม่มั่นคง แต่ไม่นานก็ยิ้มแสยะหรืออะไรทำนองนั้น "เป็นอย่างนี้แล้วยังปากดีอีกนะมึง"

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย)[soon] ✍5.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 04-05-2017 13:43:42
 :z6:อ่านตัวอย่างแล้วเริ่มอยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะ    เพิ่งเจอเรื่องนี้เอง อ่านรวดเดียวจนมาถึงตอนนี้เลย ไม่รู้พลาดไปได้อย่างไร ชอบพล็อตเรื่องที่นายเอกนั่งรถเข็น เป็นมุมที่ดีจัง ชอบอะตอมมากๆ ถึงรุกเร็วแต่มีทัศนคติดีเยี่ยม  กัปตันก็ดูมีนิสัยเรียลจริงๆ เหมือนคนที่ไม่มั่นใจจริงๆ  มองในมุมที่โดนสังคมล้อปมด้อย มันพีคจริงๆค่ะ  ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย)[soon] ✍5.4.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 04-05-2017 14:03:47
มารอตอนต่อไปค่ะ ไม่ต้องไปกลัวไอ้อินมันหรอก หมาเห่าใบตองแห้ง เก่งแต่ปาก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 04-05-2017 17:16:41
EP09
พี่ชายจอมหวง (น้องชาย)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<DOME>>>

พอเลิกเรียน ผมว่าจะไปหากัปตันที่คอนโดซะหน่อย แต่น้าเล็กโทรมาบอกว่ากัปตันกลับบ้าน จะพาเพื่อนที่เป็นรูมเมทไปด้วย ผมก็เลยเดินทางไปที่บ้านของน้าเล็กแทน รู้สึกแปลกใจที่น้าเล็กยอมให้กัปตันพาเพื่อนมาบ้านเหมือนกัน เพราะปกติน้าสาวผมไม่เคยให้เพื่อนกัปตันไปที่บ้านเลย มันแปลกตรงที่กัปตันเพิ่งรู้จักกับเพื่อนคนที่ว่าได้ไม่นานนี่แหละ แถมน้าเล็กเองก็ยังไม่เคยเจอหน้าค่าตามาก่อน คนหวงลูกชายอย่างน้าเล็กไม่น่าไว้ใจเพื่อนใหม่ของกัปตันง่ายขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นคงต้องมีความพิเศษบางอย่างแล้วล่ะ

ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกอคติต่อเพื่อนน้องชายจึงลดลงไปบ้าง ผมค่อนข้างเชื่อการดูคนของน้าสาว เพราะเธอทำธุรกิจและคลุกคลีกับคนมากหน้าหลายตา มีเทคนิคคัดกรองคนที่เชื่อถือได้แน่นอน

เมื่อมาถึงบ้าน ผมก็เห็นน้าเล็กกับแม่บ้านง่วนกับการจัดเตรียมอาหาร พวกเรามากันกะทันหันไปหน่อย น้าเล็กให้แม่บ้านทำอาหารไม่ทัน ก็เลยสั่งเป็ดย่างเจ้าอร่อยจากร้านประจำมาให้กิน ผมกับกัปตันชอบมาก เวลาญาติมาพบปะกันมักจะสั่งมากินบ่อยๆ แต่วันนี้นอกจากเป็ดย่างแล้ว ก็มียังมีของกินอย่างอื่นที่แม่บ้านช่วยกันทำเพิ่มด้วย

"อ้าวโดม มาถึงไวจัง นั่งก่อนๆ เดี๋ยวน้าให้ป้ามะลิเอาน้ำมาให้ ป้ามะลิจ๋า เอาน้ำมาให้หลานฉันหน่อย" พอน้าเล็กเห็นผมก็ร้องทักและยิ้มกว้าง คนที่บ้านนี้คุ้นเคยกับผมดี ถ้าได้ยินน้าเล็กเรียกว่า "หลานฉัน" ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผม

ผมยกมือไหว้น้าสาว พลางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ "กัปตันไม่อยู่เหรอครับ"

"ออกไปซื้อของกับอะตอมตรงคอมมิวนิตี้มอลล์จ้ะ พอดีของที่ซื้อไว้หมดไปหลายอย่าง เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ" น้าสาวพาผมไปนั่งที่โซฟานั่งเล่นและรับแขก ไม่นานน้ำดื่มเย็นๆ จากป้ามะลิก็วางอยู่ตรงหน้า

"หายไปหลายวันเลยนะคะคุณโดม" ผู้สูงวัยกว่ายิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย

"ยุ่งๆ ก่อนเปิดเทอมนิดหน่อยครับป้ามะลิ เดี๋ยวก็ได้มาบ่อยๆ เหมือนเดิมแล้วครับ" ผมยิ้มและยกน้ำขึ้นมาดื่มจนพร่องไปครึ่งแก้ว

"วันนี้ป้าทำบัวลอยน้ำขิงของโปรดไว้ให้คุณโดมด้วยนะคะ เสียดายเพิ่งรู้ว่าจะมาเมื่อกี้ ก็เลยไม่ได้ทำอย่างอื่นให้ด้วย"

"ไม่เป็นไรครับป้ามะลิ เอาไว้มาคราวหลังผมจะบอกแต่เนิ่นๆ ครับ วันนี้กินเป็ดย่างหมี่หยกแล้วก็บัวลอยน้ำขิงนี่แหละ กินน้อยๆ จะได้ไม่อ้วนไงครับ"

"จ้า" ป้ามะลิหัวเราะ จากนั้นก็ขอตัวไปเตรียมอาหารต่อ

"น้าเล็กให้กัปตันไปซื้อของเข้าบ้านแล้วเหรอครับเดี๋ยวนี้" ผมหันไปคุยกับน้าสาว

"ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกจ้ะ ตอนแรกน้าว่าจะไปเอง แต่อะตอมเขาอาสาไปช่วยซื้อให้ ก็เลยให้เขาไปกับกัปตัน"

"อ๋อเหรอครับ" ผมพยักหน้ารับรู้ช้าๆ รู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ "น้าเล็ก...รู้จักกับเพื่อนกัปตันนานแล้วเหรอครับ"

เท่านี้น้าสาวผมก็หัวเราะร่วน คงพอเข้าใจเรื่องที่ผมพยายามสื่อ "เพิ่งเจอเขาวันนี้นี่แหละ เขาเป็นคนใช้ได้เลยนะ โดมเคยเจอหรือยัง"

"เจอครั้งเดียวสั้นๆ ครับ ยังไม่ได้คุยกันเลย" ผมทำหน้างงเล็กน้อย แต่ไหนๆ ก็ถามไปแล้ว ผมก็เลยถามต่อ "แต่ถ้าน้าเล็กบอกว่าเขาใช้ได้ แสดงว่า"

"น้าให้กัปตันทดสอบแล้ว" น้าเล็กรีบบอก จากนั้นก็พูดต่อ "ไม่งั้นน้าไม่ให้มาเป็นรูมเมทกัปตันหรอก โดมก็รู้ว่าน้าหวงลูกชายจะตาย"

"ทดสอบยังไงเหรอครับ" ผมอยากรู้

"หลายอย่างเลย ตั้งแต่เรื่องเงิน คนเรานะ ถ้าเรื่องเงินไว้ใจไม่ได้ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว" น้าเล็กเกริ่น ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นน้าเล็กก็พูดต่อ "อย่างเช่น น้าให้กัปตันลองพาเพื่อนไปกินข้าว ไปซื้อของเข้าบ้าน กัปตันบอกน้าว่าอะตอมช่วยจ่าย ออกกันคนละครึ่งทุกครั้ง อย่างวันนี้ก็พากัปตันไปเลี้ยงหนัง โดมรู้ไหมว่าอะตอมเขาให้กัปตันขี่หลังแล้วก็พาไปนั่งที่นั่งแถวกลางด้วย ได้ยินแค่นี้น้าก็สบายใจแล้ว เด็กคนนี้ใช้ได้เลย โดมว่าไหม"

"ครับน้า" ผมพยักหน้ายอมรับ จะว่าไปผมเองก็ยังไม่กล้าทำขนาดนั้น เวลาพากัปตันไปดูหนัง ผมมักจะนั่งกับน้องตรงที่นั่งล่างสุด หรือไม่ก็หาคนมาช่วยยก แต่จะไม่ทำถึงขนาดให้ขี่หลัง ถ้าจะถามว่าทำไม ผมก็ต้องตอบว่าผมอายสายตาคนเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น ผมกับกัปตันก็ไปเที่ยวด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา

"แล้วก็เรื่องค่าเช่าห้อง กัปตันเขาบอกน้าว่าอะตอมจ่ายได้แค่ห้าพัน มากกว่านั้นจ่ายไม่ไหว ตอนแรกน้าก็จะไม่ยอมแหละ แต่ก็ฉุกใจคิดว่ากัปตันเลือกคบเพื่อนคนนี้จนถึงกับอยากให้มาอยู่ด้วย แสดงว่าเพื่อนคนนี้ต้องมีอะไรดี อีกอย่างกัปตันเขาก็พอดูคนเป็น เพราะน้าสองคนก็ช่วยสอนเขาเรื่องดูคนบ่อยๆ น้าก็เลยตกลง แต่มีข้อแม้ว่าให้เขาทดสอบเพื่อนคนนี้ตามวิธีที่น้าแนะนำก่อน อย่างเรื่องออกเงินค่าห้องห้าพันน่ะ ถ้าเขารู้ว่ามันน้อยไป เขาจะเสนอช่วยอย่างอื่นด้วย กัปตันบอกน้าว่าตอนนี้อะตอมช่วยทำงานบ้านให้หมดเลย กวาดถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าวให้กัปตันกินด้วย น้าไม่ต้องส่งคนที่บ้านไปทำให้แล้ว เนี่ย เขาเรียกคนไม่เอาเปรียบคน คนที่ไม่ซื่อสัตย์เขาจะตุกติกและตั้งข้อแม้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่นี่ไม่มีเลย คนแบบนี้หายากนะ อ้อ...แล้วอีกอย่าง กัปตันบอกน้าว่าวันที่ไปเรียนวันแรก อะตอมเป็นคนวิ่งมาช่วย แล้วก็ให้กัปตันขี่หลังพาขึ้นบันไดข้างหน้าตึก น้าว่าเด็กคนนี้โอเคเลยนะ มีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบ ไม่โกงเพื่อน แล้วก็ขยันด้วย รู้จักทำงานหาเงินเรียนเอง ถ้าหาเงินมาเรียนเองที่ตุลาฯ ได้ น้าก็ว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะ"

เห็นน้าสาวผมปลื้มเพื่อนของกัปตันขนาดนี้ ผมก็หายกังวลใจไปมาก ถ้าน้าเล็กหาวิธีพิสูจน์มาแล้วก็ย่อมเชื่อถือได้ ผมพลันนึกถึงเรื่องที่อินบอกเมื่อกลางวัน ข้อมูลที่ได้ฟังช่างต่างกันลิบลับ แสดงว่าเด็กนั่นต้องมีอะไรบางอย่างกับอะตอมและกัปตันแน่ๆ ถึงได้มาใส่ร้ายเพื่อนแบบนี้

"อย่างนี้น้าเล็กก็สบายใจได้แล้วสิครับ"

"ก็หายห่วงไปเยอะเลย น้าน่ะก็อยากให้กัปตันมีเพื่อนนะ แต่ที่ผ่านมา น้าไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนของกัปตันเหมือนอะตอมเลย แล้วกัปตันเองก็ไม่เคยพูดถึงเพื่อนคนไหนแบบนี้เหมือนกัน น้าก็เลยเอะใจไงว่าเพื่อนคนนี้น่าจะมีอะไรพิเศษ แล้วก็พิเศษจริงๆ ด้วย"

ผมไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่าพยักหน้ารับรู้ ก็อย่างที่บอกว่าผมค่อนข้างไว้ใจน้าสาวในเรื่องนี้ "แล้ว...มันจะเป็นไปได้ไหมครับที่เขาจะแกล้งทำเพราะว่า"

"ไม่หรอกโดม" น้าเล็กรีบสวนมาก่อนที่ผมจะพูดจบ "น้ารู้จักคนมาเยอะ กว่าจะมีวันนี้ได้ น้าก็ต่อสู้กับคนโกงสารพัดรูปแบบมาแล้ว ใครก็ตามนะที่ตุกติกหรืออิดออดเรื่องเงิน ถึงจะเล็กๆ น้อยๆ ก็เถอะ คนพวกนี้...คบไปก็จะมีปัญหา น้าก็พยายามถามกัปตันนะว่าอะตอมเขาตุกติก อิดออดหรือโอดครวญอะไรไหม เขาก็บอกว่าไม่มี ขนาดกัปตันชวนมาอยู่เขายังปฏิเสธเลย เพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีตังค์จ่าย เนี่ย...ทัศนคติใช้ได้เลย ไม่คิดจะเอาเปรียบเพื่อน คนอื่นจะทดสอบคนยังไงน้าไม่รู้นะ แต่น้าทดสอบด้วยเรื่องเงิน เพราะเรื่องนี้ทำให้คนมีปัญหากันเยอะที่สุด ถ้าผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ ก็คบกันยาก"

"จริงครับน้าเล็ก" ผมพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้งก่อนสัพยอก "แหม...ถ้ากัปตันมีเพื่อนดีขนาดนี้ สงสัยงานนี้พี่ชายจะตกกระป๋องซะล่ะมั้ง"

"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีคนมาแบ่งเบาโดมบ้างก็ดีแล้ว จะได้มีเวลาไปหาแฟนไง เจอสักคนหรือยังล่ะ ปีสี่แล้วนะ ยังไม่อยากมีแฟนอีกเหรอ เมื่อวานน้าก็คุยกับแม่เราเรื่องนี้ สงสัยจะกลัวลูกชายขายไม่ออก เป็นไปได้ยังไงกันนะ หน้าตาอย่างโดมนี่...สาวๆ น่าจะชอบเยอะนะ" น้าเล็กถามเรื่องนี้อีกจนได้

ผมยิ้มแห้งๆ และหัวเราะ "เยอะเหมือนกันครับ"

"แต่ยังไม่ถูกใจใครว่างั้น" น้าเล็กพูดดักอย่างรู้ทัน ผมจึงได้แต่หัวเราะเก้อๆ

"ยังครับ"

"เรื่องที่มันผ่านมา ก็ให้มันผ่านไปเถอะโดม" นานๆ ทีน้าเล็กจะพูดถึงเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่าหมายถึงอะไร

ผมเป็นเด็กสายวิทย์ เรียนหนังสือหนักมาก ถึงจะหน้าตาหล่อขนาดไหนก็แทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นหรือจีบใคร เสาร์-อาทิตย์ก็เรียนพิเศษ ถ้าว่างก็มักจะพากัปตันไปเที่ยวมากกว่าไปกับเพื่อน พอเข้าตุลาฯ ได้ ผมก็ค่อยๆ ลดความบ้าเรียนลงไปบ้าง จึงพอมีเวลาเหล่สาวบ้าง แต่ยังไม่จีบจริงจัง

จนกระทั่งได้เป็นคิวท์บอย สาวๆ ก็เข้ามาหาเยอะขึ้น ทั้งเข้ามาหาตัวเป็นๆ กับเข้าหาทางออนไลน์ แล้วผมก็มาพลาดกับสาวที่คุยกันทางเฟสคนหนึ่ง เธอสวยและน่ารักมาก เรียนที่มหาลัยในเมืองแห่งหนึ่งไม่ไกลกันนัก เราคุยกันถูกคอดี ก็เลยนัดเจอกัน คบกันอยู่หลายเดือนทีเดียว แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งเธอก็ท้อง ผมตกใจมากเพราะไม่คิดว่าเป็นฝีมือผมแน่

ตอนหลังผมถึงรู้ว่าเธอคบกับผู้ชายระดับนายพลคนหนึ่งอยู่ ทางนั้นมีเมียแล้วแต่ไม่มีลูก ก็เลยมาจ้างแฟนผมให้ผลิตลูกให้ หรือรับจ้างท้องนั่นแหละ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาแค่เอาเด็กมาฝากใส่ท้องให้อุ้มแทน แต่ท้องเพราะมีความสัมพันธ์กันโดยที่คนเป็นเมียก็รับรู้ พอเธอคลอดลูกก็มีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่านั้นอีก เพราะปรากฎว่าลูกหน้าไม่เหมือนพ่อ จนฝ่ายนั้นต้องขอตรวจดีเอ็นเอ ปรากฎว่าเป็นลูกของแฟนผมกับคนอื่น ไม่ใช่นายพลคนนั้น และไม่ใช่ผม

ผมไม่รู้ว่าชีวิตเธอเป็นยังไงบ้างหลังจากที่เลิกกันไป แต่เธอคือรักแรกที่ฝากแผลใหญ่ไว้ให้ เล่นเอาผมขยาดผู้หญิงไปเลย แม้ว่าจะมีเข้ามาหาไม่ขาดสาย แต่ผมก็ไม่จริงจังกับใคร คุยเล่นสนุกไปวันๆ เท่านั้น จนพ่อแม่และญาติๆ เริ่มเป็นห่วงแล้วว่าผมจะขายไม่ออก

กัปตันกับอะตอมกลับมาพอดี ผมกับน้าเล็กจึงยุติการสนทนาเรื่องนี้เพียงเท่านี้ ขณะที่กัปตันกำลังรอรถเข็นที่กำลังเลื่อนลงมาจากที่เก็บด้านบน อะตอมก็กุลีกุจอหอบหิ้วของเข้ามาเก็บในตู้เย็นหรือในครัว ส่วนมากเป็นพวกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มต่างๆ เขาไม่ลืมสวัสดีผมขณะที่หอบของพะรุงพะรังด้วย

พอได้เห็นหน่วยก้านเต็มๆ ของอะตอม ผมก็เริ่มคล้อยตามที่น้าเล็กเล่าให้ฟังมากขึ้น แต่ถึงน้าเล็กกับกัปตันได้ลงมือพิสูจน์มาแล้วระดับหนึ่ง ผมก็ยังอยากพิสูจน์เพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจมากขึ้น


<<<DOME>>>

"เมื่อวานหนุนโทรมาบอกว่าอยากกินทุเรียนทอดน่ะแม่" กัปตันบอกแม่เสร็จก็ตักกินเป็ดย่างและหมี่หยกอย่างเอร็ดอร่อย ร้านเจ้าประจำของเราเปิดมาหกสิบกว่าปีแล้ว เป็นสูตรกวางตุ้งที่มีรสชาติพิเศษกว่าเจ้าไหนๆ ผมกับกัปตันชอบกินด้วยกันทั้งคู่

"ตายจริง พรุ่งนี้แม่มีงานยุ่งทั้งวันเลย ทำไงดี ป๊าก็ยังไม่กลับ" น้าเล็กทำหน้ากังวลเล็กน้อย

"จะซื้อส่งพัสดุไปเหรอครับ" อะตอมถาม ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงแค่อยากรู้เฉยๆ

"ใช่จ้ะ ปกติก็จะส่งไปให้เขาทีละเยอะๆ หนุนเขาชอบกิน ที่อเมริกามันหากินยาก" น้าเล็กอธิบาย

กัปตันมีน้องชายชื่อลมหนุน เรียกสั้นๆ ว่าหนุน น้าสาวกับน้าเขยก็เลยตั้งชื่อลูกชายอีกคนว่าลมหนุน เพราะเมื่อเรือมีกัปตันนำทางแล้วก็ควรจะมีลมหนุนให้เรือเดินทางถึงที่หมายเร็วขึ้น ทั้งสองคนอายุห่างกันสามปี ตอนนี้หนุนเรียนไฮสคูลอยู่ที่อเมริกา พักอยู่กับญาติฝ่ายน้าเขยของผมซึ่งแต่งงานกับคนอเมริกัน กัปตันเคยขอไปเรียนที่เมืองนอกกับน้องชายด้วย แต่น้าเล็กไม่ให้ไป นอกจากเป็นห่วงแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหนุนชอบข่มพี่ชาย มักแสดงท่าทีออกคำสั่งหรือดื้อกับกัปตันบ่อยๆ

"ให้ผมไปส่งให้ไหมครับ พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนช่วงบ่าย ไปได้ครับ" อะตอมอาสาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมว่าจะเสนอตัวซะหน่อย โดนตัดหน้าไปซะแล้ว

"รบกวนหรือเปล่าจ้ะ เดี๋ยวน้าให้เด็กที่โรงงานไปซื้อส่งให้ก็ได้" น้าเล็กบอกอย่างเกรงใจ

"อ๋อ...ไม่รบกวนเลยครับ ผมก็ชอบกิน รู้จักร้านที่ขายอยู่ครับ ของเขาอร่อยมาก ไม่มีกลิ่นหืนด้วยครับ"

"งั้นน้าก็รบกวนหน่อยนะ" น้าเล็กยิ้มด้วยสายตาชื่นชม

"อ้าว แล้วไม่ไปดูกัปตันถ่ายรูปขึ้นเฟสคิวท์บอยเหรอ" ผมถามอะตอม พรุ่งนี้แอดมินเพจตุลาคิ้วท์บอยนัดคนที่เข้าประกวดไปถ่ายรูป จากนั้นก็จะเอาขึ้นให้คนเข้ามากดไลค์ จำนวนคนกดไลค์จะนำมาใช้พิจารณาตัดสินในวันประกวดจริงด้วย

"อ๋อ...ไม่ได้ไปครับพี่" อะตอมตอบหน้าเจื่อนๆ จนผมนึกสงสัยและอยากถามว่าทำไม ก็พอดีกัปตันเอามือมาสะกิดที่ขาผมเบาๆ ซะก่อน

"เดี๋ยวผมส่งไลน์บอกหนุนแป๊บนึงนะครับแม่ เขารอคำตอบอยู่" อยู่ๆ กัปตันก็วกกลับมาพูดเรื่องน้องชายอีกครั้ง ก่อนละมือจากอาหารและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ขยุกขยิก พอกัปตันกดส่ง ผมกลับได้ยินเสียงไลน์ของตัวเองเด้ง ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนส่งมา ซึ่งส่วนมากก็ชวนคุยเล่น ผมจึงกะจะเปิดดูหลังจากกลับบ้านแล้ว แต่แปลกที่กัปตันสะกิดขาผมอีกครั้ง

"แล้วน้องว่าไงล่ะลูก" น้าเล็กถามลูกชาย

"อ๋อ ยังไม่อ่านครับแม่ สงสัยจะยังไม่ตื่นมั้ง ที่นั่นยังเช้าอยู่เลย" กัปตันหันไปตอบแม่

ผมรู้สึกว่าคงมีบางอย่างในข้อความไลน์แน่ๆ จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข้อความที่ส่งมา ปรากฎว่าคนที่ส่งมาให้คือกัปตัน เจ้าตัวเขียนมาบอกผมว่า

"แฟนเก่าอะตอมอยู่คณะนิเทศ ช่วยจัดงานพรุ่งนี้ เขาเพิ่งเลิกกัน อะตอมเลยไม่อยากไปเจอ"

เมื่อได้อ่านข้อความผมก็ถึงบางอ้อ สงสัยจะเป็นหนึ่งในสองสาวปีหนึ่งที่ผมเจอวันที่พากัปตันไปสมัครก็ได้ เอ...ดูเหมือนน้องชายผมจะห่วงเพื่อนคนนี้ซะด้วยสิ ชักยังไงๆ แล้ว

"แล้วกัปตันจะไปถ่ายรูปอะไรเหรอลูก" น้าเล็กวกกลับมาถามเรื่องที่ผมเพิ่งเกริ่นไว้

"อ๋อ...พอดีผมพากัปตันไปสมัครประกวดคิวท์บอยครับน้าเล็ก พรุ่งนี้บ่ายเขานัดให้คนที่เข้าประกวดไปถ่ายรูป แล้วก็จะเอารูปขึ้นเฟส ให้คนมากดไลค์ ใครได้ไลค์เยอะสุดก็มีโอกาสชนะครับ" ผมชิงบอกแทนกัปตัน

"ประกวดคิวท์บอยเหรอ" น้าเล็กทำหน้าไม่เข้าใจ

"ครับ คณะนิเทศเขามีแฟนเพจตุลาคิวท์บอยอยู่ ทุกปีเขาจะจัดประกวดคิวท์บอยหรือว่าผู้ชายหน้าตาดีของมหาลัยน่ะครับ ผมก็เคยประกวดตอนอยู่ปีหนึ่ง น้าเล็กจำได้ไหมครับ ตอนนั้นผมโทรไปบอกให้ญาติๆ ช่วยกันเข้าไปกดไลค์ แล้วผมก็ได้ที่สามไงครับ" ผมทวนความจำให้

น้าเล็กทำท่านึก "อ๋อ...จำได้ๆ ขนาดลูกพี่ลูกน้องของน้า น้ายังโทรไปบอกให้ช่วยไปกดไลค์เลย"

"ใช่ครับ นั่นแหละครับ"

"เอ...แต่..." น้าเล็กหันไปทางลูกชาย สีหน้าดูเครียดๆ จนผมรู้สึกได้ว่าคงมีอะไรบางอย่าง

"คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวนี้สังคมเปิดกว้างขึ้นเยอะแล้ว เขายอมรับคนที่ความสามารถมากกว่าครับ อีกอย่าง...ผมว่ากัปตันเขาก็ดูดีในแบบของเขา วีลแชร์ของเขาก็เท่ดีนะครับ ผมยังชอบเลย ไม่ดูน่าสงสารด้วย เป็นคิวท์บอยได้สบายๆ ที่สำคัญนะครับน้า...กัปตันเขาเป็นคนเก่ง ผมเห็นเขาครั้งแรกผมยังชื่นชมเลย เพื่อนๆ พี่ๆ ที่มหาลัยหลายคนก็ชื่นชมเขา เนี่ย...ผมได้ข่าวว่าพี่ๆ คณะถาปัตย์จะช่วยโปรโมทให้คนไปกดไลค์ให้กัปตันด้วยครับ รับรองคะแนนของกัปตันถล่มทลายแน่ๆ ผมก็มีแฟนคลับอยู่ เดี๋ยวผมจะโปรโมทให้แฟนคลับของผมมาช่วยกันกดไลค์ให้กัปตันอีกแรง อ้อ แฟนคลับของพี่โดมก็มีอีกเยอะนะครับ ถ้าแฟนคลับพี่โดมรู้ว่ากัปตันเป็นน้องพี่โดม ผมว่าคนต้องมากดไลค์ถล่มทลายเลย ใช่ไหมครับพี่โดม" อะตอมหันมาถามผมหลังคุยกับน้าเล็ก

"ใช่ครับน้าเล็ก" ผมรีบยืนยันให้น้าเล็กสบายใจ นึกขอบคุณอะตอมที่หัวไวและนึกออกว่าน้าผมกำลังกังวลเรื่องอะไรกันแน่ น้าสาวผมกลัวกัปตันจะได้คะแนนน้อยเพราะเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะทำให้กัปตันน้อยใจและมีปมด้อย หรือไม่ก็เสียความมั่นใจไปเลย ตอนพากัปตันไปสมัครผมก็ลืมคิดเรื่องนี้

"ผมคุยกับพี่ที่เป็นสไตลิสต์ที่สนิทกันไว้แล้วครับ ก่อนประกวด เดี๋ยวเขาจะมาช่วยให้คำแนะกัปตันว่าคนนั่งวีลแชร์ควรใส่เสื้อผ้าแบบไหนถึงจะดูดี พี่เขาบอกว่ามันมีวิธีนะครับ พี่คนนี้เก่งมาก เคยทำงานกับดาราดังๆ มาแล้ว พี่เขาสนใจอยากมาช่วย ไม่คิดตังค์ด้วยนะครับ" อะตอมช่วยสร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

"โห...ขนาดนั้นเลยเหรอ" น้าสาวของผมยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดูท่าทางคงจะเบาใจขึ้นมาก

"ครับ"

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน ทำไมดูเหมือนรักและเป็นห่วงน้องชายผมมากขนาดนี้ แถมยังรู้จักคิดแม้กระทั่งบางเรื่องที่ผมคิดไม่ถึงด้วย

"แต่เขาไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำประกวดใช่ไหมพี่โดม" กัปตันหันมาถามผม น่าจะถามเล่นสนุกมากกว่า

"ไม่ต้อง เขาให้แต่งตัวแบบไหนก็ได้ที่เป็นตัวเรามากที่สุด แล้วก็แสดงความสามารถหนึ่งอย่างบนเวที" ผมบอกน้องชาย

"แล้วตอนนั้นพี่โดมแสดงความสามารถอะไรเหรอครับ"

"ร้องเพลง" ผมบอกน้องแล้วก็ขำ เพราะตอนนั้นนึกไม่ออกว่าจะทำอะไร ง่ายสุดก็คือร้องเพลงนี่แหละ ผมพอร้องเป็นอยู่ แต่ไม่ถึงกับเพราะมากหรอก

"พี่โดมก็ร้องเพราะอยู่นะ" กัปตันชม

"งั้นมึงก็เล่นกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงดิ" อะตอมเสนอความคิดให้กัปตัน

"เหรอ กูว่าจะวีลแชร์แดนซ์ซะหน่อย"

"เป็นยังไงวะ กูไม่เคยเห็น" คิ้วของอะตอมเลิกขึ้นสูง ดูท่าทางจะอยากรู้มาก

"เดี๋ยวกลับไปกูทำให้ดู" กัปตันขำเบาๆ ผมเคยเห็นกัปตันเล่นวีลแชร์แดนซ์อยู่ เขาใช้วีลแชร์คล่องมาก ถึงขนาดยกล้อหน้าค้างไว้ได้ แถมยังหมุนเป็นวงรอบ หรือทิ้งตัวลงด้านหลังแล้วใช้แขนผลักตัวขึ้นมาได้ด้วย ดูแล้วตกใจเพราะนึกว่าวีลแชร์จะคว่ำทุกที

หลังคุยเรื่องกัปตันไปสักพัก เราก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องชีวิตของอะตอม น้าเล็กเป็นคนถามเข้าเรื่อง เมื่อได้รู้ว่าชีวิตนายแบบคนนี้ลำบากขนาดไหน ผมก็ถึงกับทึ่ง อะตอมเล่าไปจนกระทั่งถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังจะถูกกดดันให้เป็นเด็กเสี่ย อีกหนึ่งสัปดาห์เขาจะต้องให้คำตอบกับพี่เจ้าของบริษัทโมเดลลิ่งแล้ว กัปตันเสนอว่าจะให้อะตอมปรึกษากับป๊า ซึ่งน่าจะให้คำแนะนำในการเจรจากับพี่คนนั้นได้ดีกว่า พวกเราก็เห็นด้วย

เห็นแววตาและท่าทางของน้าเล็กแล้ว ผมก็รู้ว่าเธอทั้งเอ็นดูและชื่นชมอะตอม คงเป็นเพราะเธอเคยลำบากมาก่อน จึงชื่นชมคนที่รู้จักสู้ชีวิต

หลังอาหารเย็นเราก็ทานผลไม้และของหวาน บรรยากาศการพูดคุยยังคงเป็นกันเอง มีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ อะตอมดูจะสนใจเรื่องที่น้าสาวผมสร้างธุรกิจบะหมี่จากเล็กๆ จนใหญ่โตเป็นพิเศษ น้าเล็กชอบเล่าเรื่องนี้อยู่แล้ว เธอจึงเล่าอย่างสนุกและไม่เคยเบื่อ

ถ้าอะตอมเป็นผู้หญิงและเป็นแฟนกัปตัน ต้องนับว่าการพามาเปิดตัวที่บ้านประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะน้าเล็กยอมรับอะตอมเป็นอย่างดี พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็นึกเรื่องที่อินพูดอีกจนได้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่อะตอมจะมาหลอกกัปตันหรอก แต่คิดถึงเรื่องที่ผู้ชายสองคนจะชอบกันต่างหาก เพราะเมื่อสังเกตดูแววตาและวิธีที่อะตอมปฏิบัติต่อกัปตันแล้ว ผมก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง จะว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นแฟนก็ไม่เชิง

จนกระทั่งอะตอมขอตัวไปห้องน้ำ ผมจึงขอตัวตามไปด้วยเหตุผลเดียวกัน ปล่อยแม่กับลูกสองคนนั่งคุยกันไปก่อน โชคดีที่ห้องน้ำอยู่แถวๆ ด้านหลังบ้าน ผมจึงสบโอกาสที่จะคุยกับอะตอมเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็ต้องรออะตอมทำธุระในห้องน้ำเสร็จก่อน

พออะตอมเดินออกมา ผมก็เข้าชาร์จทันที "เมื่อคืนพากัปตันไปเที่ยวผับเหรอ"

อะตอมดูตกใจเล็กน้อย คงไม่คิดว่าผมจะรู้ "พี่โดมรู้ได้ไงครับ"

"คู่อริมึงบอกกู ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย" ผมคิดว่าอะตอมน่าจะรู้ดีว่าคู่อริของเขาคือใคร

"ครับ" อะตอมรับคำสั้นๆ

"ทีหลังอย่าทำนะเว้ย น้าเล็กรู้ขึ้นมา กัปตันได้กลับมาอยู่บ้านเลยนะเว้ย เดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนอีก" ผมทำเสียงตำหนิกลายๆ

อะตอมพยักหน้า "ครับพี่ ผมขอโทษครับ"

คำขอโทษของอะตอมช่วยให้ผมพอใจขึ้นมาระดับหนึ่ง ผมจึงลดท่าทางขึงขังลงเล็กน้อย "เออ อย่าให้กูรู้อีกนะเว้ยว่ามึงพากัปตันไปอีก"

"ครับ พี่จะเข้าห้องน้ำหรือเปล่าครับ" อะตอมทำท่าเหมือนจะเดินไป

"เดี๋ยวดิ" ผมร้องห้าม

อะตอมหยุดชะงักและหันมามองอย่างสงสัย ในขณะที่ผมซึ่งเป็นคนที่จะถามกลับรู้สึกประหม่าซะเอง แต่เมื่ออยากรู้และคาใจแล้ว ผมก็ไม่อยากเก็บไว้

"มึงชอบน้องกูเหรอ"

อะตอมทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิมอีกคราวนี้ หน้ามันซีดๆ ด้วย แถมยังมองผมอย่างกลัวๆ "แล้ว...พี่รู้ได้ยังไงเหรอครับ"

หา! นี่มันกำลังยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ!? ผมย่นคิ้วเข้าหากันแน่น รู้สึกตกใจยิ่งกว่าอะตอมซะอีก "มึงพูดงี้หมายความว่าไงวะ ตกลงมึงชอบน้องกูจริงๆ เหรอ"

"ครับ" อะตอมรับคำกล้าๆ กลัวๆ

"เชี่ย!" ผมเผลอสบถและหน้าเหวอ ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันจะปฏิเสธซะอีก ที่ไหนได้มันกลับยอมรับซะงั้น เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย "นี่มึงจะไม่ปฏิเสธกูหน่อยเหรอวะ"

"ปฏิเสธทำไมล่ะพี่ ก็ผมชอบเขาจริงๆ พี่ถามผมตรงๆ ผมก็บอกพี่ตรงๆ ไม่ดีเหรอครับ"

ผมโดนย้อนอีกดอก แต่จะว่าไปก็จริงของมันนั่นแหละ ถ้ามันโกหกสิผมควรจะต้องกลัว แต่พอนึกได้ว่าสองคนนี้พักด้วยกัน ผมก็นึกกลัวบางอย่างขึ้นมาทันที "แล้ว...มึงทำอะไรน้องกูหรือเปล่า"

"ทำอะไรเหรอครับ" อะตอมถามงงๆ

ผมทำหน้ายุ่งยากใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง ทีอย่างนี้มันทำไร้เดียงสา สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจกัดฟันพูดตรงๆ "ก็...มีอะไรกันไง"

"เฮ้ย! ยังครับพี่" อะตอมถึงกับสะดุ้งโหยง

"จริงนะเว้ย" ผมถามย้ำเสียงเข้ม

อะตอมพยักหน้า "จริงครับพี่"

"แล้วกัปตันชอบมึงหรือเปล่า" ผมรุกต่อ

"ไม่รู้ครับ"

"แล้วกัปตันรู้ไหมว่ามึงชอบกัปตัน" ผมซักเสียงเข้ม

"รู้ครับ"

"ฉิบหาย แล้วตกลงพวกมึงสองคนเป็นอะไรกันแน่วะ" ผมชักงง อะตอมชอบกัปตัน แต่ไม่รู้ว่ากัปตันชอบตอบหรือเปล่า ในขณะที่กัปตันก็รู้ว่าอะตอมชอบตัวเอง แล้วตกลงสถานะของสองคนนี้คืออะไรกันแน่

"เพื่อนกันครับ"

"เพื่อนเหรอ" ผมทวน แต่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่

"ครับ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันอยู่ครับ แต่ต่อไป...อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้"

"น้องกูเป็นอย่างนี้ มึงชอบจริงๆ เหรอ" ผมไม่แน่ใจนักว่าเด็กหนุ่มนายแบบอย่างอะตอมจะสามารถมีความรักที่จริงจังกับกัปตันได้ หน้าตามันก็ดี แถมยังเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง อยู่ดีๆ มาชอบน้องผมซึ่งเป็นผู้ชาย แค่คิดก็แปลกแล้ว

"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ กัปตันเขาน่ารักจะตาย ทำไมผมจะชอบเขาไม่ได้ล่ะพี่" อะตอมย้อน

"กูไม่รู้เว้ย แต่อย่าให้กูรู้นะเว้ยว่ามึงทำน้องกูเสียใจ มึงคิดให้ดีๆ ซะก่อน เพราะถ้ากัปตันเกิดชอบมึงขึ้นมา แล้วมึงก็เกิดเปลี่ยนใจ กัปตันมันจะเสียใจมากนะเว้ย มึงต้องเข้าใจด้วยว่ามันไม่เหมือนคนอื่น"

คราวนี้อะตอมเงียบและครุ่นคิด ไม่พูดหรือรับปากง่ายๆ เหมือนเมื่อกี้แล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าท้ายที่สุดมันจะรักกัปตันจริงไหม แต่ถ้ามาหลอกน้องผมแล้วล่ะก็ ข้ามศพผมไปก่อน

"มึงยังไม่ต้องตอบตอนนี้หรอก ไปถามใจตัวมึงเองให้ดีๆ ก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ เพิ่งรู้จักกันไม่นานเองนะเว้ย จะรีบไปไหนวะ ได้คำตอบแล้วค่อยมาบอกกู ถ้ามึงรักน้องกูจริงและทำให้กูเชื่อใจได้ กูจะช่วยมึง แต่ถ้าไม่...กูจะขัดขวางทุกวิถีทาง กูพูดจริงนะเว้ย" ผมขู่ ก่อนจะเตือน "กลับเข้าไปได้แล้ว"

"ครับพี่" อะตอมยิ้มบางๆ ให้ผม แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมพูดจะรบกวนใจมันไม่น้อย เพราะอะตอมยังทำหน้าเครียดๆ และครุ่นคิด

พออะตอมเดินไปแล้วผมก็พ่นลมหายใจเบาๆ คิดๆ แล้วก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ หวังว่าผมคงจะไม่ต้องมีน้องเขยเป็นผู้ชายขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตอันใกล้ซะล่ะ

แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางของกัปตันที่มีต่ออะตอมแล้ว แนวโน้มที่จะเป็นไปได้ก็มีสูง!


TBC

// อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดนะครับ :)
// ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์ครับ
// ฝากคอมเมนต์นิยายสม่ำเสมอถ้าเป็นไปได้นะครับ ตอนที่แล้วหายไปเยอะมากจนตกใจเลย


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 04-05-2017 17:37:21
อ่าน3ตอนรวด นังอินนนนนนนน

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-05-2017 17:40:44
อะตอมสู้ๆ....

 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 04-05-2017 18:43:55
ขอบคุณที่มาต่อครับ
ชอบตอนนี้ อบอุ่นดีครับ

ตอนที่แล้ว อ่านแล้วหน่วงๆใจ
แอบหวังว่าตอนต่อไป จะไม่ดราม่าคับ ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 04-05-2017 19:58:17
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-05-2017 22:07:07
ขำช่วงท้ายหน้าห้องน้ำอะ 555 ถามตรงๆก็ตอบตรงๆ 555 อะตอมทำดีแล้ว
 รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 04-05-2017 22:08:02
ค่อยๆเรียนรู้กันนะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-05-2017 04:30:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 05-05-2017 09:29:43
พี่โดมตั้งป้อมเสียแล้ว แต่ดูท่าทางไม่น่าฝ่ายากเท่าไหร่
มีความรู้สึกว่าเรื่องอินต้องแดงขึ้นในภาวะ dilemma situation ชัวร์!
อยากรู้ตอนต่อไปไวๆ มากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 06-05-2017 04:27:34
อะตอมชัดเจนดีจัง แอบกลัวถ้ากัปตันรู้เรื่องอินเลย สงสารน้องงง
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-05-2017 13:07:07
โชคชะตาพาคนสองคนมาเจอกัน มีความรู้สึกดีต่อกัน

กัปตันน่ารักนะ จิตแข็งพอสมควรเลย พ่อสอนมาดี ถึงแม่จะเข้มงวดไปนิดก็เหอะ แต่เค้าเคยพลาด

อะตอมสู้คน สู้งาน ไม่มีก็บอกไม่มี ไม่ถูกเงินหลอม ใครจะว่ายังไงแต่เค้าไม่ได้ให้เงินใช้นี่นา
ชัดเจนดี ออกตัวแรงมาก 55555

โดมก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี ถึงจะหวง จะห่วง แต่ความอายก็ยังมี ไม่แปลกหรอก กัปตันยังเป็นเลย

อินคนบ้า ชอบอะตอมอยู่ล่ะสิ ถึงหงอกับเค้าขนาดนั้น แถมยังมาเนียนอีก ร้ายมาก



หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 07-05-2017 22:01:16
EP10 (Part 1)
โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

บรรยากาศงานถ่ายภาพผู้สมัครตุลาคิวท์บอยวันนี้คึกคักไม่น้อย รวมๆ แล้วมีน้องใหม่มาสมัครกันเป็นร้อย ต่อมาทางผู้จัดได้คัดเลือกเหลือห้าสิบคน ซึ่งก็คือคนที่มาถ่ายภาพในวันนี้ ผมเองก็แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะติดมากับเขาด้วย นึกว่าจะโดนคัดออกตั้งแต่รอบแรกซะแล้ว

เงื่อนไขสำหรับการถ่ายภาพคือทุกคนต้องแต่งชุดนิสิต ห้ามแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางค์ใดๆ ต้องหล่อธรรมชาติเท่านั้น แม้กระทั่งเจลใส่ผมก็ห้ามใส่ นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมคำพูดสั้นๆ ไม่เกินหนึ่งร้อยตัวอักษรมาด้วย เป็นข้อความเชิญชวนให้คนใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่า ทั้งภาพและข้อความนี้จะโพสต์ขึ้นไปพร้อมกัน ใครได้ไลค์เยอะสุดจะได้รางวัลขวัญใจมวลชน แถมยังจะได้คะแนนฟรีซึ่งจะนำไปบวกเพิ่มในวันประกวดจริงด้วย

สถานที่ถ่ายรูปเป็นลานใกล้ๆ พระรูปด้านนอก เน้นแสงธรรมชาติ สีเขียวของใบไม้ สีฟ้าของท้องฟ้าและบรรยากาศร่มรื่นภายในมหาลัย นิสิตที่มาถ่ายรูปรวมตัวกันอยู่ใต้อาคารแห่งหนึ่งใกล้สระน้ำใหญ่ หลังจากรุ่นพี่คณะนิเทศให้ข้อมูลว่าจะต้องทำอะไรบ้างแล้ว นิสิตก็ทยอยออกไปถ่ายรูปตามคิวทีละคน คนที่ถ่ายรูปเสร็จแล้วจะเลือกรูปที่ดีที่สุดของตัวเองหนึ่งรูป เสร็จขั้นตอนนี้ก็สามารถกลับได้ แต่ส่วนมากยังนั่งดูเพื่อนๆ คนอื่นๆ ถ่ายรูปต่อ

“โห มหาลัยเรามีแต่คนหล่อๆ เยอะเลยนะเนี่ย” น้ำหวานตาโตไปกับหนุ่มหล่อที่เดินว่อนไปมา ถึงเธอจะเป็นหญิงแกร่งบึกบึน แต่ก็ยังชอบดูชายหนุ่มหล่อๆ

“กูไม่ค่อยมั่นใจเลยว่ะ” ผมออกอาการประหม่า เพราะทุกคนที่มาล้วนแต่หล่อและหุ่นดีๆ ทั้งนั้น มีผมแตกต่างอยู่คนเดียว ถึงจะฝึกจิตใจมาขนาดไหนก็ยังกลัวๆ

“เฮ้ย…มึงผ่านรอบห้าสิบคนมาได้ ก็ไม่ธรรมดาแล้วนะเว้ย กลัวทำไมวะ มึงเห็นไหม ไม่มีใครขาวสู้มึงได้ ปากมึงก็แดงมากกว่า หน้าก็หวานกว่าอีก มาตรฐานคิวท์บอยชัดๆ ข้อความที่มึงเขียนก็โคตรเด็ด” แบงค์พยายามให้กำลังใจ ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ลึกๆ ก็ยังประหม่าอยู่ดี

“เออ ไหนมึงเอาข้อความที่มึงเขียนมาอ่านอีกทีสิ” น้ำหวานยื่นมือมาขอสมุดที่ผมถือไว้ ผมจึงส่งให้เธอดูอีกครั้งว่าผมเขียนอะไร จากนั้นน้ำหวานก็อ่านเสียงเจื้อยแจ้ว “สามอย่างที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า คือ ทรัพยากรธรรมชาติ ความดีและศักยภาพของคน แค่นี้โลกเราก็จะดีขึ้นและน่าอยู่แล้วครับ เฮ้ย…ดีนะเว้ย แค่คำคมมึงก็ชนะแล้ว นี่มึงคิดเองเลยเหรอวะ”

“เออ อะตอมช่วยตบๆ ให้นิดหน่อย แต่ไม่ได้ลอกใครมาแน่นอน เพราะถ้ากูไปลอกเขามา กูก็ใช้ความดีไม่คุ้มค่าเว้ย” ผมโวอย่างภูมิใจ

วันนี้น้ำหวานกับแบงค์มาเป็นเพื่อนผม กวินมีธุระเรื่องเอกสารการเรียนจึงแยกตัวไป ส่วนอะตอมออกไปงานเดินแบบ แต่จะแวะส่งทุเรียนทอดให้น้องชายผมก่อนไปงาน เสร็จงานเดินแบบแล้วอะตอมก็จะกลับบ้านที่บางแค วันอาทิตย์เย็นๆ ถึงจะกลับ เพราะเขาต้องไปแวะไปดูแลพ่อบ้าง แม้ว่าตอนนี้จะมีเมียใหม่อายุคราวลูกมาอยู่กับพ่อก็ตาม แปลว่าผมจะไม่ได้เจออะตอมอย่างน้อยๆ ก็สองวันเต็มๆ

“เฮ้ย นั่นมันไอ้อินนี่หว่า มันมาทำไมวะ” น้ำหวานอุทานพลางมองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินแกมวิ่งเข้ามา

“มันสมัครด้วยเหรอวะ” แบงค์มองตามด้วยแววตาสงสัย

“มันมาหาคนรู้จักแถวนี้มั้ง” ผมบอกเพื่อนด้วยท่าทางหวาดระแวง แค่ได้ยินชื่อมันผมก็แขยงแล้ว

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อินหันมาเห็นพวกเราสามคนนั่งอยู่พอดี มันจึงรีบเดินเข้ามาหา สีหน้ามีรอยยิ้ม แต่ก็ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจนัก

“ไง ลงสมัครด้วยเหรอมึง” อินร้องทักผมเป็นคนแรก พวกเราสามคนมองหน้ากันไปมา เพราะต่างคนต่างก็ไม่แน่ใจว่าอินจะมาหาเรื่องหรือเปล่า

“อย่าบอกนะว่ามึงก็สมัครด้วย” น้ำหวานถามกลับ

อินนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพวกเรา มันยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็เป็นบุคลิกของมันอยู่แล้ว “เออ เกือบไม่ทันแน่ะ สมัครเป็นคนสุดท้ายพอดี”

ถ้าอินอ่านแววตาของพวกเราออก มันคงจะรู้ว่าพวกเรากระอักกระอ่วนใจที่มีมันมานั่งอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนมันจะไม่แคร์เท่าไหร่

“อืม ก็ดี” น้ำหวานพูดสั้นๆ จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบและไม่มองหน้าอิน

“อ้าว อะตอมไปไหนซะล่ะ หรือว่าวันนี้โดนทิ้งอีกแล้ว” อินหันมาถามผม ยิ้มเยาะไปด้วย

“เฮ้ยไอ้อิน มึงมีปัญหาอะไรกับกัปตันเหรอวะ พูดกับมันดีๆ ไม่ได้หรือไง” แบงค์ชักจะเหลืออดแทนผม

“อะไร กูถามเฉยๆ แค่นี้ จะโวยวายทำไมวะ” อินเถียง ชักสีหน้าไม่พอใจ

“นี่เรียกว่าถามดีๆ เหรอวะ กูเห็นมึงพูดกวนตีนมันทุกวันเลยนะเว้ย หรือว่ามึงอิจฉามันที่มันสนิทกับอะตอม มึงอย่านึกว่ากูไม่รู้ ตอนรับน้องน่ะ…กูเห็นนะเว้ย” แบงค์ยิ้มเยาะบ้าง สิ่งที่มันพูดทำให้ผมอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่ามันเห็นอะไร

อินหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่สักพักมันก็แค่นหัวเราะและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “รู้ก็ดีแล้ว”

“แล้วมึงคิดว่าอะตอมมันจะเอามึงเหรอ” แบงค์ว่าต่อ

อินชะงัก มันเปลี่ยนมานั่งตัวตรงแล้วยิ้มมุมปาก “เอาหรือไม่เอากูไม่รู้ รู้แต่ว่า…ลีลามันใช้ได้เลยเว้ย”

คราวนี้อินหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่มันจะลุกเดินหนีไปนั่งที่อื่น อากาศตรงนี้จึงเบาลงและหายใจง่ายขึ้นหน่อย

“มันหมายความว่าไงวะ” น้ำหวานสงสัย

“อย่าไปสนใจมันเลย มันก็เพ้อเจ้อไปงั้นแหละ กูรู้ว่าอะตอมไม่เอามันหรอก อีกอย่าง…อะตอมมันชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชายซะหน่อย”

แบงค์คงพูดไม่ทันระวัง แต่ก็ดีที่ทำให้ผมได้คิด ที่จริงอะตอมชอบผู้หญิงมาตลอด ขนาดหนังโป๊มันยังดูชายหญิง อยู่ดีๆ จะมาชอบผู้ชายอย่างผมก็คงแปลก บางทีอาจจะเป็นแค่โฟรแมนซ์ก็ได้ อย่าว่าแต่อะตอมเลย ผมก็คิดว่าตัวเองก็อาจจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

ผมกับน้ำหวานมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในบรรดาเพื่อนสามคนนี้ มีน้ำหวานนี่แหละที่เชื่อว่าอะตอมน่าจะคิดกับผมเกินเพื่อนมากกว่าใคร ในขณะที่แบงค์และกวินแค่แซวเล่นสนุกๆ แต่น่าจะไม่คิดจริงจังเท่ากับน้ำหวาน

“พี่โดมมา” น้ำหวานร้องบอกและยิ้มดีใจ

เมื่อพี่ชายผมปรากฎขึ้น ผมก็รู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นมาทันที พี่โดมเดินแกมวิ่งขึ้นมาหาผมกับเพื่อน เมื่อนั่งลงร่วมโต๊ะก็รีบออกตัว “ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย เพิ่งคุยกับเพื่อนเสร็จ แล้วนี่ถ่ายไปหรือยัง”

“ยังครับพี่ แต่ใกล้แล้ว เขาเรียงตามหมายเลขผู้สมัครครับ” ผมบอกพี่ชาย

“เมื่อกี้ไอ้อินมันมาพูดกวนตีนกัปตันอีกแล้วค่ะพี่โดม” น้ำหวานได้โอกาสก็ฟ้องซะเลย

“ไหน มันอยู่ไหน แล้วมันมาทำไม” พี่โดมถามพลางหันไปมองหา

“มันสมัครคิวท์บอยเหมือนกันค่ะพี่ โน่น…นั่งอยู่ตรงนั้น” น้ำหวานชี้บอก

“เดี๋ยวพี่มานะ” พี่โดมพูดจบก็ลุกขึ้น ก่อนเดินปรี่ไปหาอินซึ่งกำลังนั่งคุยกับผู้สมัครคนอื่นๆ ที่รอคิวอยู่ไม่ไกลนัก ระยะขนาดนี้ พอทำให้เราได้ยินการสนทนาของพี่โดมกับอินบ้าง

“ไหนว่ามึงรับปากกับกูแล้วไงว่าจะไม่หาเรื่องน้องกูอีก”

อินดูตกใจที่จู่ๆ พี่โดมก็ปรากฎตัวให้เห็น มันรีบลุกขึ้นและแก้ตัว “อะไรพี่ ผมเปล่าหาเรื่องซะหน่อย พี่ไม่ให้ผมเรียกไอ้เป๋ ผมก็ไม่เรียกแล้วไง เมื่อกี้ผมแค่คุยกับมันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย พี่จะเอาอะไรอีกล่ะ”

“มึงอย่ามากวนตีนกูนะเว้ย” พี่โดมชี้หน้าด้วยท่าทางเอาเรื่อง “ถ้ากูได้ยินอีกครั้งเดียว มึงกินน้ำพริกไม่ได้แน่ๆ”

“อยากให้กัปตันโดนหลอกเหรอ” อินพูดสวน

“มึงอย่ามาเสี้ยมนะเว้ย”

“ผมไม่ได้เสี้ยม ผมพูดเรื่องจริง” อินเถียงคอเป็นเอ็น “พี่ก็โดนสาวหลอกไปคนหนึ่งแล้ว ยังจะให้น้องโดนหลอกอีกคนเหรอ”

“ไอ้เหี้ย” พี่โดมสบถอย่างโกรธจัด เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ดีที่ยังหักห้ามใจไม่ให้ทำร้ายมันได้ “ดี! ถ้ามึงไม่หยุด อะไรที่มึงเคยทำไว้ กูจะเอามาประจานให้หมด!”

ขู่เสร็จพี่โดมก็เดินกลับมาหาพวกเรา ส่วนอินหน้าซีดไปเลย ดูเหมือนจะกลัวคำขู่ของพี่ชายผมไม่น้อย กลับมาถึงพี่โดมก็พูดอย่างหัวเสีย

“ไอ้เด็กเหี้ยเอ๊ย มึงเจอกูแน่”

“พี่โดมจะประจานอะไรมันเหรอคะ” น้ำหวานสงสัย ถือเป็นการถามแทนพวกเราไปด้วย

“เดี๋ยวพี่จะส่งให้ดู” พี่โดมพูดสั้นๆ เพราะอารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ผมเข้าใจดีเพราะรู้ว่าพี่โดมฝังใจกับเรื่องผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน ไม่รู้ว่าไอ้อินรู้ได้ยังไง

“หมายเลขยี่สิบสองค่ะ อยู่ไหมคะ” เสียงขานหมายเลขของผมดังขึ้น เมื่อพวกเราหันไปมองก็เห็นอั้มมายืนรออยู่และเมียงมองหาผม แม้จะเพิ่งเลิกกับอะตอมได้ไม่กี่วัน แต่ผมก็ไม่เห็นร่องรอยความเศร้าในดวงตาคู่สวยเลย

พวกเราทั้งหมดลุกขึ้นและเดินตามอั้มไป ทิ้งความขุ่นเคืองใจไว้แค่ตรงนี้ ผมแยกไปลงทางลาดข้างๆ บันได เวลาลงผมจะยกส่วนหน้าของวีลแชร์ขึ้นและปล่อยให้ล้อไถลลงไป อาศัยมือบีบจับวงล้อโลหะช่วยควบคุมความเร็ว

ไม่นานพวกเราก็มาอยู่ทางเดินริมสระน้ำใหญ่ มีตากล้องและทีมงานส่วนหนึ่งรออยู่แล้ว แต่แปลกที่ไม่เห็นพี่สาวสองคนนั้นเลย สงสัยจะติดงานอื่น

“เจ๋งว่ะน้อง เดี๋ยวพี่จะถ่ายภาพน้องให้สุดฝีมือเลย” พี่ช่างภาพผมยาวบอกผมด้วยสีหน้าชื่นชม ผมได้ยินคนที่มาสมัครเรียกกันว่าพี่โป้ง เป็นนิสิตในคณะนิเทศนี่แหละ อยู่สาขาภาพยนต์และภาพนิ่ง

พี่โป้งเดินวนรอบๆ ตัวผมเพื่อช่วยหามุมที่ดีที่สุดให้ จากนั้นก็ช่วยจัดท่าทางและลองถ่ายดูสองสามรูป แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกใจเพราะพี่แกยังมุ่นคิ้วอยู่ “เมื่อกี้พี่เห็นเรายกล้อลงมาจากทางลาด แสดงว่าเราน่าจะทำอะไรผาดโผนได้ใช่ไหม”

“ครับพี่”

“งั้นลองทำให้พี่ดูหน่อย พี่ว่านั่งวีลแชร์เฉยๆ มันไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่ เรามีความแตกต่างจากคนอื่น ก็ต้องมีวิธีนำเสนอที่แตกต่าง จะได้ดูน่าสนใจไง” พี่โป้งให้เหตุผล

ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ยกล้อหน้าวีลแชร์ขึ้นและหมุนควงเป็นวงกลม ตามด้วยการเล่นหวาดเสียว ผมทิ้งน้ำหนักลงไปด้านหลัง วีลแชร์ผมทำท่าเหมือนจะหงายหลัง ก่อนใช้มือดันพื้นและยันวีลแชร์กลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา สาวๆ กรี๊ดกันลั่น น่าจะกลัววีลแชร์ผมหงายหลังมากกว่าอย่างอื่น แต่ผมก็ฝึกมาดีจึงไม่กลัว อีกอย่างวีลแชร์ที่แม่ผมซื้อให้คุณภาพดีมาก ทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ แข็งแรงและเบามาก จึงช่วยให้ผมเล่นผาดโผนกับมันได้อย่างไม่ต้องกังวล

พี่โป้งถ่ายรูปเสร็จก็ถอดแฟลชการ์ดออก ก่อนส่งให้นิสิตที่ดูแลคอมพิวเตอร์ก๊อปปี้ภาพของผมลงเครื่อง จากนั้นก็ให้ผมดูภาพถ่ายเพื่อเลือก น้ำหวาน แบงค์และพี่โดมมาช่วยดูและให้ความเห็นด้วย ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าให้เลือกรูปที่ผมเอามือยันพื้นและวีลแชร์หงายไปข้างหลัง เพราะรอยยิ้มสดใส แถมยังดูมีพลังซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวด้วย

“ถ้ายังไม่ชอบ พี่ถ่ายให้อีกได้นะ ให้เป็นพิเศษเลย” พี่โป้งบอกพวกเรา

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมว่ารูปนี้โอเคเลย พี่ถ่ายภาพสวยมากนะครับ ขอบคุณนะครับพี่” ผมหันไปยิ้มให้พี่โป้งที่มายืนสมทบด้วยสายตาชื่นชม

“ยินดีครับ” พี่โป้งยิ้มเขินๆ “อ้อ พี่ขอเบอร์เราไว้หน่อยได้ไหม เดี๋ยววันหลังพี่จะให้มาช่วยเป็นแบบให้หน่อย พี่มีโปรเจกต์ทำงานส่งอาจารย์ชิ้นหนึ่ง พี่ว่าเราเหมาะกับงานชิ้นนี้มากเลย เดี๋ยวพี่นัดคุยรายละเอียดให้ฟังทีหลัง”

“ได้ครับพี่” ผมพยักหน้าตกลง ก่อนบอกเบอร์ให้พี่โป้งบันทึกลงโทรศัพท์ พร้อมกับโทรเช็คให้แน่ใจด้วย

“ถ้างั้นผมไปแล้วนะครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้และหันไปยิ้มขอบคุณทุกคน มีคนชมผมว่านักรักแว่วมาให้ได้ยินด้วย

เสร็จจากตรงนี้พี่โดมก็พาพวกเราไปเลี้ยงขนมที่ตุลาสแควร์ ถือโอกาสคลายเครียดจากเรื่องที่ไอ้อินมากวนตีนไปด้วย ผมแอบนึกเป็นห่วงพี่โดมเรื่องที่โดนอินว่าถูกสาวหลอกเหมือนกัน เพราะพี่โดมฝังใจกับเรื่องนี้พอสมควร เป็นเหตุให้เจ้าตัวยังไม่มีแฟนจนป่านนี้ ถ้าผมเดินได้คงต่อยปากไอ้อินสักสองสามหมัดไปแล้ว

กินขนมเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกัน พี่โดมจะไปกับเพื่อนต่อ น้ำหวานกับแบงค์จะกลับหอพัก ส่วนผมว่าจะกลับบ้านเพราะวันเสาร์นี้ป๊าจะกลับแล้ว ก่อนแยกย้าย น้ำหวานกับแบงค์เดินมาส่งผมที่หน้ามหาลัยด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าผมข้ามถนนได้อยางปลอดภัย วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาเพราะเบื่อหาที่จอด ที่นี่มีที่จอดรถค่อนข้างน้อย

“กูว่ามึงเนี่ย…น่าจะเป็นสเป๊คเกย์นะเว้ย” น้ำหวานพูดพลางขำเมื่อเรามาถึงหน้ามหาลัยและรอจังหวะข้ามถนน

“ทำไมวะ” ผมทำหน้างง

“อ้าว พี่โป้งเขาดูชอบมึงมากเลยนะเว้ย มึงไม่เห็นเหรอ” น้ำหวานเฉลย

“หมายความว่าไงวะ”

“อย่าไปเชื่อน้ำหวานมันมาก พี่เขาไม่เป็นหรอก ดูไม่เห็นเหมือนเลย” แบงค์แย้งพลางขำ

“มึงเชื่อกูดิ เกย์เดี๋ยวนี้เขาไม่จำเป็นต้องตุ้งติ้งนะเว้ย กูดูไม่เคยพลาด พี่โป้งเนี่ย…เป็นชัวร์” น้ำหวานคุยโว ผมได้แต่ยิ้มๆ และไม่ต่อความ เมื่อ รปภ. โบกรถได้แล้วเราจึงเดินข้ามถนนและหยุดพูดคุยเรื่องนี้

ส่งผมเสร็จแล้ว น้ำหวานกับแบงค์ก็แยกเดินไปทางหอพัก ส่วนผมเดินทางต่อคนเดียว ขณะที่กำลังเข็นๆ ไปอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งตามหลังมา สักพักคนๆ นั้นก็มาดักหน้าผม ไอ้อินนั่นเอง ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมหยุดรถและมองมันด้วยสายตาขุ่นเคืองใจ “อะไรอีกวะ”

“กูมีเรื่องสำคัญจะบอกมึงเว้ย” อินยิ้มแปลกๆ

“มีอะไรก็ว่ามา” ผมชักรำคาญ

"มึงอยากรู้ไหมว่าคืนนั้นที่กูพาอะตอมกลับห้อง กูกับอะตอมสองคนทำอะไรกัน" อินยิ้มอย่างมีเลศนัย มันหน้าหล่อก็จริง แต่บุคลิคของมันเล่นบทตัวโกงได้สบายเลย

"ไม่อยากรู้เว้ย มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนกูไม่ใช่เหรอ ถึงเพื่อนกูจะมีอะไรกับมึง ก็_วยมัน ไม่ใช่_วยกูเว้ย" ผมบอกไปอย่างรำคาญ แรกๆ ก็กลัวมันอยู่หรอก แต่หลังๆ ผมชักรำคาญที่มันชอบมากวนใจ

อินชะงัก ท่าทางมั่นใจเมื่อกี้ลดวูบจนดูไม่มั่นคง แต่ไม่นานก็ยิ้มแสยะหรืออะไรทำนองนั้น "เป็นอย่างนี้แล้วยังปากดีอีกนะมึง"

“มีแค่นี้ใช่ไหม” ผมถามเสียงห้วน

“เออ อ้อ…กูบอกมึงไว้ก่อนนะเว้ย กูไม่ปล่อยอะตอมให้มึงง่ายๆ หรอก คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะได้เป็นแฟนมันก่อนกัน แต่ที่แน่ๆ มันเสร็จกูไปแล้ว”

อินหัวเราะแล้วก็เดินหนีไป ตอนนี้ผมเข้าใจชัดเจนแล้วว่าอินต้องการอะไรกันแน่ ที่แท้มันแอบชอบอะตอมและพยายามจะกันผมออกไปนี่เอง แต่เรื่องที่มันบอกก็น่าตกใจไม่น้อย คืนนั้นอะตอมกับอินมีอะไรกันจริงหรือเปล่า

ถ้าใช่…ผมควรจะยอมรับเรื่องนี้ยังไงดี?


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 07-05-2017 22:02:28
EP10 (Part 2)
โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

สองวันที่ไม่เจออะตอม ผมรู้สึกว่าชีวิตผมแปลกไปจนรู้สึกได้ ไม่รู้ว่าชีวิตผมเริ่มชินกับการมีมันอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อมันไม่อยู่ แค่ลืมตาตื่นผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปแล้ว เพราะไม่มีคนนอนอยู่ใกล้ๆ และตื่นมายิ้มให้กัน ถ้าวันไหนผมขี้เซามันก็จะมาปลุก แต่ไม่ปลุกเฉยๆ หรอก มันแกล้งผมด้วย ยิ่งเห็นผมโวยวายมันยิ่งชอบ แต่สองวันนี้ผมตื่นขึ้นมาเผชิญโลกอย่างเหงาๆ

ดูเหมือนผมจะชินที่มีอะตอมคอยอยู่ใกล้ๆ ไปแล้ว ขนาดหายไปแค่สองวัน ผมยังรู้สึกเลยว่าชีวิตไม่เหมือนเดิม ผมได้คุยทางไลน์กับอะตอมบ้างแต่ก็ไม่มาก เพราะนอกจากกลับบ้านแล้ว อะตอมก็ยังรับงานด้วย เลยไม่ค่อยมีเวลาคุยกับผม

นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสามทุ่ม หลังกลับมาที่คอนโดตอนเย็นๆ ผมก็นั่งดูซีรี่ส์วายที่โต๊ะคอมจนถึงตอนนี้ ที่จริงผมก็ไม่เคยดูหรอก แต่นึกอยากดูขึ้นมาก็เลยค้นหามาดู มาเจอเรื่องหนึ่งน่าสนใจ ชื่อเรื่องพาให้นึกถึงยาเสพติด เป็นซีรี่ส์จีนที่มีคนไทยแปลไว้ครบทุกตอน แรกๆ ก็ดูแบบมีระยะห่าง แต่ดูไปดูมาก็เพลินจนลืมอาบน้ำไปเลย ดีที่ว่ากินข้าวจากบ้านมาแล้ว

ผมดูจนเกือบจะจบอยู่แล้ว เสียงกดกริ่งห้องก็ดังขึ้น อะตอมน่าจะกลับมาแล้วแน่ๆ ผมจึงรีบกดหยุดเล่นและย่อหน้าจอลง ก่อนเข็นมารอเพื่อนที่ประตูอย่างไว แต่อะตอมก็เปิดประตูเข้ามาก่อนผมมาถึงซะอีก

"ดูอะไรเหรอ เมื่อกี้กูได้ยินเสียง" มาถึงอะตอมก็ถามเรื่องนี้ซะแล้ว เจ้าตัวยิ้มสดใสอย่างอารมณ์ดี

"อ๋อ…ดูซีรี่ส์" หน้าตาผมเลิ่กลั่กหน่อยๆ ถึงจะไม่โกหกแต่ก็ไม่บอกทั้งหมด

"เหรอ แล้วทำไมไม่ดูต่อล่ะ" ตะตอมมองไปที่โต๊ะคอมผมอย่างสงสัย ก่อนหันไปปิดประตูห้อง

"เดี๋ยวเอาไว้ค่อยดูทีหลังก็ได้"

"นั่นแน่ ดูหนังอาร์หรือเปล่า หรือว่าหนังโป๊" อะตอมแกล้งแหย่

"เปล่าเว้ย ดูซีรี่ส์จีน" ผมรีบตอบทันที ไม่รู้ว่าท่าทางผมมีพิรุธหรือเปล่า แต่คาดว่าคงมีอะไรสักอย่างแสดงให้เห็น อะตอมจึงไม่เลิกสงสัยซะที

"เรื่องอะไร สนุกเปล่า"

"เฮโรอีน" ผมบอกชื่อเรื่องไป แค่ชื่อเรื่องก็ทำเอาอะตอมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

"ยาเสพติดเหรอ มึงดูซีรี่ส์แบบนี้ด้วยเหรอวะ"

"มันไม่ใช่เรื่องยาเสพติดนะเว้ย ชื่อมันเป็นอย่างนั้นเฉยๆ" ผมอธิบาย

"เหรอ กูขอดูได้เปล่า มึงเปิดอยู่ไหม" อะตอมไม่พูดเปล่า มันเดินไปที่โต๊ะคอมผมด้วย ผมรีบตามไปทันที ดีที่อะตอมไม่ถือวิสาสะเปิดดูโดยไม่ถามผมก่อน "เปิดดูได้ไหม"

ที่จริงก็ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก แต่ไอ้ฉากที่ผมเพิ่งหยุดไว้นี่สิ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

อะตอมขำเบาๆ ก่อนหันไปเปิดหน้าจอที่ผมย่อไว้กลับมา จากนั้นกดปุ่มเพลย์ ฉากที่ผมกำลังดูค้างไว้จึงเล่นต่อทันที พระเอกผลักนายเอกลงบนเตียงและตามลงมาจูบอย่างเร่าร้อน อะตอมถึงกับตาโต มันยืนดูสักพักก็หันมายิ้มแปลกๆ กับผม ผมได้แต่ทำหน้าแหยๆ

"อืม…น่าสนใจ เดี๋ยวมีเวลากูจะขอดูมั่งนะ" อะตอมหันมายิ้มสายตาเป็นประกาย ก่อนหันไปกดหยุดเล่น

"อ้าว มึงไม่เคยดูเหรอ ดังนะเว้ย" ผมพยายามพูดให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ

"ยังเว้ย ไม่เคยดูซีรี่ส์วายเลย มึงดูมากี่เรื่องแล้วล่ะ"

"เรื่องนี้เรื่องแรก"

"เพิ่งดูเหรอ" อะตอมทำหน้าแปลกใจ

"เออ ก็เพิ่งดูนี่แหละ"

อะตอมยิ้มแปลกๆ อีกแล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ผม ทำเอาผมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว "ทำไมมึงถึงอยากดูล่ะ อยากทำแบบเมื่อกี้เหรอ"

"เชี่ยนี่" ผมต่อยแขนอะตอมเบาๆ มันถึงกับเอามือลูบๆ ตรงที่โดนต่อยเร็วๆ ทำหน้าเหยเกและซี๊ดปาก

"อูย เจ็บว่ะ"

ผมยอมรับว่าทำหน้าไม่ถูกเลย จึงต้องเข็นหนีมันมาที่โซฟา ส่วนอะตอมยืนหัวเราะถูกใจ ก่อนจะเอากระเป๋าเป้ไปวางบนโต๊ะ

"มึงกินข้าวแล้วเหรอ" อะตอมถามโดยไม่หันมามองผม

"กินแล้ว แล้วมึงล่ะ" ผมถามกลับ

"เรียบร้อย อ้อ กูซื้อทุเรียนทอดมาฝากมึงด้วย มึงชอบกินเหมือนน้องมึงเปล่าวะ ซื้อมาจากร้านเดียวกันเลย อร่อยนะเว้ย" อะตอมพูดพลางดึงเอาถุงทุเรียนทอดออกจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะ

"เออ ขอบใจเว้ย ชอบกินเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยกิน แม่ไม่อยากให้กิน เดี๋ยวอ้วน" พูดจบผมก็ย้ายตัวไปนั่งบนโซฟา เหยียดแขนขาสบายๆ

"จะกินเลยไหม" อะตอมหันมาถาม

"ยัง เอาไว้ก่อน"

อะตอมเดินมาหยุดอยู่กลางห้อง มันจับตรงคอเสื้อของตัวเองแล้วเขย่าๆ ดูท่าทางจะร้อน

"แม่งร้อนฉิบหายเลย" อะตอมไม่พูดเปล่า มันถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าต่อตาผมด้วย เหลือแต่กางเกงในรอสโซ่สีขาวซีดเก่า ขอบสีดำๆ คิดแล้วก็ขำ ตอนเป็นนายแบบมันใส่แต่ของเท่ๆ ดีๆ ตัวหนึ่งหลายร้อยหรือหลายพัน แต่ชีวิตจริงของมัน ตัวที่ใส่อยู่ผมไม่แน่ใจว่าถึงร้อยบาทหรือเปล่า

อะตอมเดินมาที่โซฟา ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมและหันมายิ้มให้ ผมตีสีหน้าไม่ถูกอีกแล้ว ซ้ำยังเผลอมองทั้งหน้ามันและต่ำลงไปอีก ซีรี่ส์เมื่อกี้ทำให้ผมยิ่งพบว่าผู้ชายมีเสน่ห์น่าค้นหาหลายอย่าง ซ้ำหลายๆ อย่างที่ว่าก็มีอยู่ในตัวอะตอมซะด้วย

"เป็นไง รอสโซ่ แมนๆ อยากลองใส่ยี่ห้อเดียวกับกูไหม" อะตอมถามยิ้มๆ

ผมไม่ตอบคำถาม ได้แต่หันหน้าไปทางอื่น แต่ไม่มีปลายทางสายตาที่แน่ชัด

"เป็นไรหน้าแดงๆ" อะตอมยื่นหน้ามาถามใกล้ๆ ผมเผลอผงะเล็กน้อย

"เปล่า หน้ากูก็แดงๆ แบบนี้อยู่แล้ว" ผมตอบเสียงงุบงิบ

"หราาาาา" อะตอมลากเสียงยาวล้อเลียน จากนั้นมันก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักผมหน้าตาเฉย "เหนื่อยจัง ขอนอนแป๊บหนึ่งนะ"

ถึงจะตกใจแต่ผมก็ไม่กล้าผลักมันออก จึงปล่อยให้มันนอนบนขาผมต่อไปอย่างสบายๆ นอนไปสักพัก อะตอมก็ชวนคุย

"ตอนกูไปบ้านมึงน่ะ กูเห็นไม้ค้ำยันด้วย มึงใช้ด้วยเหรอวะ"

"อืม"

"งั้นมึงก็เดินได้สิ" อะตอมเงยหน้ามามอง

"ก็พอได้ แต่กูไม่ค่อยใช้แล้ว มันช้า ไปไหนก็ไม่ทันใจ ก็เลยใช้สลับๆ กับวีลแชร์ แต่หลังๆ เนี่ยกูแทบไม่ได้ใช้ไม้ค้ำเลย ก็เลยเอาไว้ที่บ้าน กูว่าใช้วีลแชร์สะดวกกว่า"

"อืม ก็จริงแหละ แต่ไม่เป็นไรหรอก ตรงไหนที่มึงไปไม่ได้ก็ขี่หลังกู"

"ขอบใจเว้ย" ผมก้มมองอะตอมด้วยแววตาเอ็นดู นึกอยากจะเอามือลูบผมมันเล่นแต่ก็ไม่กล้า

ที่จริงอะตอมเป็นน้องผม เพราะผมเรียนช้าไปหนึ่งปี ผมเริ่มเรียนปอหนึ่งตอนอายุแปดขวบ ก่อนหน้านั้นแม่พาผมไปฟื้นฟูที่สถาบันการแพทย์แห่งหนึ่ง พอกลับมาเรียนปอหนึ่งแม่ก็ไม่ให้ผมบอกอายุใคร และยังขอครูที่โรงเรียนให้ช่วยเก็บเป็นความลับ เพราะไม่อยากให้ผมโดนเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กโข่ง

ตอนเด็กๆ ผมใช้ไม้ค้ำยันเป็นหลักเพราะโรงเรียนมีบันไดทุกจุด ไม่สามารถใช้วีลแชร์ได้ ผมจึงใช้ไม้ค้ำยันจนถึงมัธยมต้น เพิ่งเปลี่ยนมาใช้วีลแชร์ตอนมัธยมปลายเนื่องจากที่โรงเรียนมีทางลาด ลิฟต์และห้องน้ำคนพิการให้พร้อม ใช้ไปใช้มาก็เริ่มติดเพราะมันคล่องตัวกว่า หลังๆ ก็เลยไม่ใช้ไม้ค้ำยันตลอด

อะตอมเผลอถอนหายใจเหมือนมีเรื่องเครียด แต่ผมยังไม่ถามเพราะคิดว่ามันคงจะพูดเอง ไม่นานเท่าไหร่มันก็เล่าให้ผมฟัง

"ตอนกูไปส่งของให้น้องมึง มันทำให้กูคิดถึงคนๆ หนึ่งมากเลยว่ะ"

"ใครเหรอ" ผมอยากรู้

"น้องสาวกูไง กูไม่เจอหน้าน้องกูมาสามปีแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นไงมั่ง" อะตอมหน้าเศร้า คราวนี้ผมเผลอเอามือลูบผมมันจนได้ คงเป็นเพราะผมอยากปลอบใจมันก็เลยเผลอทำโดยไม่รู้ตัว

"แสดงว่ามึงรักน้องมึงมาก"

"เออดิ โตมาด้วยกัน กูคอยดูแลเขา ไม่ให้ใครมารังแก น้องกูรักกูมาก มันขี้อ้อน อยากได้อะไร อยากให้พี่ช่วยอะไร เขาจะมาอ้อนกูทุกครั้งเลย กูผูกพันกับน้องมาก แต่แม่กูโคตรใจร้ายเลยว่ะ เขาไม่เคยพาน้องมาหากูเลย แล้วกูก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนที่อยุธยา ไม่รู้จะไปหายังไง" อะตอมพูดเหมือนรำพัน เสียงฟังดูเศร้าจนผมรู้สึกสงสาร ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะต่อความเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของเพื่อน

"มึงรู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นกูถึงรักอั้มมาก" อะตอมถามเกริ่น ผมทำท่าคิดแล้วก็ส่ายหน้าไปมา

"เขาเหมือนน้องกูไง" อะตอมเว้นจังหวะ พักหนึ่งก็พูดต่อ "เขาทำให้กูนึกถึงน้องสาวของกู เขาทำหลายๆ อย่างเหมือนน้องสาวกู แต่แม่ง…สุดท้ายมันก็จบเหมือนกันหมด ไม่มีใครเห็นใจกูเลย"

"ก็กูนี่ไง" ผมรีบบอก

อะตอมพลิกหน้ามามองผมทันที สายตาเราประสานกันนิ่ง ทุกอย่างเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น ร่างเปลือยจนเกือบเปล่าปรากฎในลานสายตาของผม จะว่าไปก็ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย

"ตอนไปถ่ายรูป มึงเจออั้มไหม" อะตอมถามหลังเงียบไปสักพัก

"เจอ"

"แล้วเขาถามถึงกูเปล่า"

ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบตรงๆ ดีหรือเปล่า ก็เลยเงียบ แต่นั่นก็น่าจะเป็นคำตอบในตัวไปแล้ว

"เขาดูเศร้าไหม" อะตอมถามต่อ

"ไม่รู้ว่ะ กูไม่ได้คุยกับเขาเท่าไหร่ อั้มเขาทำงานยุ่งๆ น่ะ" ผมตอบอย่างระวังที่สุดเพราะกลัวทำให้เพื่อนเสียใจ แต่พลันก็นึกสงสัยขึ้นบ้าง "มึง…ยังไม่ลืมอั้มเหรอวะ"

"ลืมน่ะคงไม่ลืมหรอก ยังไงก็เคยคบกัน กูแค่สงสัยว่าทำไมแม่กู น้องกู หรือคนที่กูคบเป็นแฟนด้วย…ถึงไม่มีใครเคยเห็นใจกูเลย ไม่แคร์กูแม้แต่นิดเดียว ขอโทษนะเว้ยที่กูดราม่า แต่กู…"

"เออ ไม่เป็นไรหรอก มึงดราม่ากับกูได้ ใครไม่เห็นใจมึง แต่กูเห็นใจมึงนะเว้ย แม่กูก็เห็นใจมึง พี่โดมอีกคน อ้อ ป๊ากูด้วย กูเพิ่งเล่าเรื่องของมึงให้ป๊ากูฟัง แม่กูก็โปรโมทมึงน่าดูเลย ป๊ากูเลยอยากเจอมึง เขาอยากช่วยมึงนะเว้ย"

"ขอบใจมากนะกัปตัน" อะตอมซุกหน้าลงตรงหน้าท้องของผม ซ้ำยังกอดผมไว้ด้วย ไม่รู้ว่ามันร้องไห้หรือเปล่าเพราะตัวสั่นๆ ตอนนี้จิตใจมันคงอ่อนแอพอสมควร ผมจึงยอมให้มันกอด เอามือลูบผมมันเบาๆ เป็นการปลอบโยนไปด้วย มันทำให้ผมรู้สึกดีจบแทบไม่สนใจเลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่

ผมมารู้สึกแปลกใจอีกทีก็ตอนที่ทุกอย่างนิ่งสนิท เมื่อก้มมองอีกทีอะตอมก็หลับไปแล้ว ผมจึงปล่อยให้มันหลับคาตักผมอยู่อย่างนั้น แต่สายตาผมนี่สิ อยู่ดีๆ ก็เกิดซุกซนขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะซีรี่ส์เรื่องเมื่อกี้แน่ๆ ที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป สายตาผมไล่ไปตามลำตัวของอะตอมไปเรื่อยๆ ก่อนมาหยุดตรงส่วนที่ถูกปกปิดไว้ด้วยชั้นในรอสโซ่แมนๆ มันตุงพอสมควรเพราะอะตอมมีขนาดอาวุธลับที่ใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะเคยเห็นของจริงมาแล้ว ผมก็ยังอดใจสั่นๆ ไม่ได้

แต่มันน่าตกใจตรงที่อาวุธลับของผมดันเริ่มขยายตัวนี่สิ ทั้งๆ ที่อะตอมก็ยังคงนอนบนตักผมอยู่ อาวุธลับของผมน่าจะดุนดันอยู่แถวๆ คอของมันนี่แหละ แต่จะผลักมันก็ออกก็ใช่ที่ จึงต้องปล่อยเลยตามเลยและรอให้มันสงบลงเอง

ผมดึงสายตาออกมาจากตรงนั้นแล้ว แต่อาวุธลับของผมก็ยังไม่สงบ ถ้าไม่คิดไปเอง ผมรู้สึกว่าหัวของอะตอมหนักขึ้น เหมือนมันซุกตัวเบียดกับอาวุธลับของผมยังไงยังงั้น แทนที่มันจะสงบโดยเร็วก็ถูกลากยาวออกไปอีก ผมจึงนั่งตัวแข็งทื่อ โชคดีที่สุดท้ายมันก็สงบลง แต่มันน่าแปลกตรงที่อะตอมก็ดันมารู้สึกตัวตอนนี้ซะด้วย

เพื่อนนายแบบขายาวของผมทำท่างัวเงีย สักพักมันก็ลุกขึ้นและถาม "กี่โมงแล้ววะ"

"จะสี่ทุ่มแล้ว" ผมบอก

"ยังไม่ได้อาบน้ำเลย มึงอาบน้ำยัง"

"ยัง ก็มัวแต่ดูซีรี่ส์อยู่" ตอบเสร็จผมก็ก้มหน้าเล็กน้อย เรื่องของเรื่องก็คืออายนั่นแหละ

อะตอมเอามือยีหัวผมและหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู "ไปอาบน้ำกันไหม กูไม่ได้อาบน้ำกับมึงมาหลายวันแล้ว"

ที่ผ่านมาผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจ เมื่อกี้แค่มันนอนตักผมยังขึ้น ถ้าแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันคงโด่ชี้หน้ามันแน่ เพราะผมก็ไม่ได้ทำอะไรกับอาวุธลับมาหลายวันแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยักหน้าตกลงไปแบบงงๆ

อะตอมช่วยถอดเสื้อผ้าให้ผมและเอาไปใส่ตะกร้าผ้าให้ ก่อนเดินมาอุ้มผมเข้าไปในห้องน้ำและวางผมไว้บนเก้าอี้ตัวเดิม โชคดีที่อาวุธลับของผมไม่ขึ้นชี้หน้ามันอย่างที่คิด ผมจึงอาบน้ำกับมันได้อย่างสบายใจ

อะตอมนั่งกับพื้นให้ผมช่วยสระผมให้ จึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะชวนมันคุยเรื่องที่อยากรู้

"มึงเคยได้ยินคำว่าโฟรแมนซ์เปล่า"

"ไม่อะ ไม่เคยได้ยินเลย เคยได้ยินแต่โบรแมนซ์"

"มันย่อมาจาก เฟรนด์โรแมนซ์ไง" ผมเฉลยพลางนวดหัวและเส้นผมให้อะตอมไปด้วย

"เหรอ แล้วมันเป็นยังไง" อะตอมถามเหมือนอยากรู้

"โบรแมนซ์เป็นเรื่องผู้ชายสองคนที่อายุต่างกันแล้วมาถูกชะตากัน สนิทกันจนดูเหมือนเป็นแฟนกัน แต่จริงๆ ไม่ใช่ ส่วนโฟรแมนซ์ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ แต่เป็นเพื่อนสองคนที่ถูกชะตากัน สนิทกัน ดูเผินๆ เหมือนเป็นแฟนกัน แต่ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน"

อะตอมพยักหน้าหงึกๆ หลังฟังผมอธิบาย "แล้วไง มึงกำลังจะบอกกูว่า…กูกับมึงเป็นโฟรแมนซ์งั้นเหรอ"

"กูก็ไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายมันจะเป็นยังไง แค่…มีคำถามเฉยๆ" ผมพูดด้วยสีหน้าไม่มั่นใจนัก

เราเงียบกันไปสักพัก อะตอมจึงล้างผมในช่วงจังหวะนี้ ก่อนจะนั่งลงให้ผมช่วยนวดผมต่อ

"เมื่อกี้ตอนที่กูนอนตักมึง กูรู้นะเว้ยว่ามึง…" อะตอมละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก่อนหันหน้ามาและเงยหน้ามองผม "แล้วเมื่อกี้…กูก็จงใจด้วย มึงว่าโฟรแมนซ์ทำแบบนี้ได้ไหมล่ะ"

ผมโดนอะตอมย้อนศรจนได้ เถียงมันไม่ออกเลยสักคำ แถมยังรู้สึกอายด้วยที่โดนมันจับได้

"หน้าแดงแล้วมึง" อะตอมแซวพลางส่งมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ อย่างเอ็นดู ทำเอาหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก

อะตอมหันหน้ากลับไปตามเดิม ส่วนผมก็นวดผมให้มันต่อ แต่ในหัวกลับไพล่คิดไปถึงเรื่องไอ้อิน เท่านี้ผมก็เริ่มเครียดอีกแล้ว เพราะเรื่องที่ผมอยากรู้และอยากถามอะตอมให้ชัดเจนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าไม่ถามก็จะคาใจและกินแหนงแคลงใจไม่หยุดหย่อน

"กูมีอะไรจะสารภาพมึงน่ะกัปตัน" อยู่ๆ อะตอมก็หันมาบอกผมด้วยประโยคนี้

"อะไรวะ" ผมมุ่นคิ้ว

อะตอมหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผม สีหน้ามันดูเศร้าๆ ชอบกล "ตอนแรกกูไม่กล้าบอกมึงเรื่องนี้ แต่คิดไปคิดมา กูว่ามึงควรจะรู้ไว้ แต่มึงสัญญานะเว้ย มึงต้องฟังจากปากกูคนเดียว คนอื่นจะพูดยังไงมึงไม่ต้องสนใจทั้งนั้น เพราะกูพูดความจริง ถ้ามึงได้ยินอะไรที่ไม่ตรงกับที่กูพูด มึงแน่ใจได้เลยว่าคนนั้นโกหก"

น้ำเสียงของอะตอมฟังดูหนักแน่น ผมพยักหน้าตกลงโดยไม่รีรอ อะตอมหยุดคิดเพียงครู่เดียวก็พูด "คืนนั้นที่ไอ้อินมันลากกูไปที่ห้องของมันน่ะ มันลักหลับกู ตอนนั้นกูเมามาก แล้วกูก็คิดว่าเป็นมึง กูก็เลยไม่ขัดขืน"

แม้จะรู้เลาๆ มาบ้างแล้ว แต่ผมก็อดตกใจไม่ได้ ไม่ใช่ตกใจอะตอม แต่ตกใจสิ่งที่อินทำมากกว่า สีหน้าแบบนี้ก็เลยทำให้อะตอมหน้าเสีย เพราะมันคงคิดว่าผมรับไม่ได้

"กูขอโทษนะเว้ย กูแม่งพลาดอย่างแรงว่ะ เมาจนดูแลมึงไม่ได้ แถมยังถูกไอ้เหี้ยนั่นหลอกไปทำทุเรศๆ อีก มึงคอยดูนะเว้ย ยิ่งมันทำตัวแบบนี้ กูก็จะยิ่งเกลียดมัน ยิ่งมันอยากได้กูมากเท่าไหร่ กูก็จะทำให้มันเจ็บมากเท่านั้น เรื่องคืนนั้น ถือว่าทำบุญให้หมาจรจัดมันแดกละกัน แล้วถ้ายังเสือกมายุ่งกับกูอีก คราวนี้กูจะให้แดกตีนกูแทน" อะตอมพูดอย่างอาฆาต

เท่านี้ความคลางแคลงใจผมก็หายไปหมดสิ้น ถึงอะตอมจะไม่ได้บอกผมตั้งแต่แรกที่เกิดเรื่อง แต่ผู้ชายคนนี้ก็มีความจริงใจมากที่กล้าสารภาพเรื่องแบบนี้ให้ผมฟัง ถ้าผมเจอแบบอะตอมบ้าง ก็คงไม่กล้าบอกตั้งแต่ครั้งแรกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมเข้าใจและไม่มีข้อสงสัยเลย รู้สึกตื้นตันใจจนเกือบน้ำตาซึมด้วยซ้ำ อีกอย่างก็นึกโกรธตัวเองด้วยที่เผลอคิดในทางไม่ดีกับอะตอมไปบ้างแล้ว

"กูรู้แล้ว" ผมบอกไปสั้นๆ

"มันมาบอกมึงเหรอ มันมาเยาะเย้ยมึงใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปจัดการมัน ไอ้เหี้ยนี่ หน้าตาก็ดี แต่ทำตัวโคตรเลว" อะตอมอดด่ามันอีกไม่ได้

"อย่าทำรุนแรงมากนะเว้ย เพิ่งเข้าไปเรียน กูไม่อยากให้มึงมีปัญหา" ผมเตือนด้วยความหวังดี

"เออ กูไม่ทำตัวแย่ให้โดนไล่ออกหรอกน่า กูอยากเรียนกับมึงจนครบห้าปีเว้ย" อะตอมเริ่มมีรอยยิ้มแล้วหลังจากเครียดไปเมื่อกี้

ผมยิ้มตอบให้อะตอม ความรู้สึกดีๆ แล่นเข้าท่วมท้นใจจนเอ่อ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ผมคงเผลอรักมันเข้าจนได้ "ที่กูพูดเรื่องโฟรแมนซ์เมื่อกี้ กูขอโทษนะเว้ย เอาเป็นว่า…ถ้ากูจะรักใครต่อจากนี้ กูจะพิจารณามึงเป็นคนแรกเลย"

อะตอมยิ้มแฉ่งและหน้าบานขึ้นมาทันที ไม่เหลือร่องรอยความขุ่นเคืองใจใดๆ บนใบหน้าอีกแล้ว มันคงจะดีใจมากที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ พลันอะตอมก็ลุกขึ้นพรวด ผมไม่ทันตั้งตัวมันก็ก้มลงมาขโมยหอมแก้มซะแล้ว ผมหน้าเหวอและเอามือลูบแก้มตัวเองไปมาเบาๆ ส่วนอะตอมหัวเราะชอบใจและยิ้มมีความสุข ก่อนคุยโวใส่ผมอย่างมั่นหน้า

"ถ้ากูทำตัวน่ารักๆ กับมึงทุกวันๆ เดี๋ยวมึงก็รักกูเองแหละ ไม่รอดมือกูหรอก"

อะตอมยักคิ้ว ผมเลยเอามือตีก้นมันหนึ่งเผียะ มันถึงกับสะดุ้งโหยงและทำท่าเหมือนเจ็บ แต่สักพักก็หัวเราะและยิ้มให้ผม ยิ้มของมันทำเอาผมแทบใจละลายลงตรงนี้ อะตอมบอกว่ามันหลงปากสีแดงเรื่อๆ ของผมมาก คราวนี้ผมก็คงจะหลงรอยยิ้มน่ารักๆ แบบนี้ของมันมากเหมือนกัน


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-05-2017 22:30:57
 :กอด1: :L1: :3123: :pig4: :3123: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ทีมภูเขา ที่ 08-05-2017 00:44:32
 :man1: :กอด1:  จัดการไอ้อินเลยอะตอม เอาขั้นเด็ดขาด
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-05-2017 02:08:07
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 08-05-2017 06:23:57
ขอบคุณที่มาต่อครับ ^^
โล่งใจที่ไม่มีดราม่า
คนอย่างอินต้องโดนกรรมตามสนองให้เข็ด
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 08-05-2017 09:13:06
เป็นการมั่นหน้าที่น่ารักได้น่าหมั่นไส้มากอ่ะอะตอม
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: orangesmooty ที่ 08-05-2017 12:21:50
เพิ่งอ่านถึงตอนที่ห้า จริงๆจบตอนที่สี่ก็จะไม่อ่านต่ออยู่แล้ว เราไม่ค่อยเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร เรื่องทั้งหมดมันละมุนจริงๆเหรอ (เข้ามาเพราะคำนี้) ทำไมเราเห็นแต่ นอกใจ เป็นชู้ หาข้ออ้าง ไม่บริสุทธิ์ใจ หาผลประโยชน์ เราเห็นทุกอย่างนี้จากพระเอก หรือเรามองแง่ร้ายเกินไป? แต่ยืนยันว่ารู้สึกตะหงิดๆมาตั้งแต่แรก จนจบตอนที่สี่เราถึงเข้าใจว่าเพราะอะไร เลี้ยงแฟนรวยต้องเปย์หนักอันนี้แง่นึงก็ไม่แปลก ยิ่งพยายามจะเปย์เขาด้วยจะมาโอดครวญอะไร เอามาเป็นข้อติหนึ่งข้อในการเลิก? แอบผิดหวัง เราหวังความละมุนจากเรื่องนี้จริงๆ ยิ่งนายเอกพิการ หลายเรื่องที่เราอ่านมามันดีกับใจมาก มาเจอชู้ ตัวใหญ่ๆแบบนี้ เฟลสุดๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 08-05-2017 12:46:10
เพิ่งอ่านถึงตอนที่ห้า จริงๆจบตอนที่สี่ก็จะไม่อ่านต่ออยู่แล้ว เราไม่ค่อยเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร เรื่องทั้งหมดมันละมุนจริงๆเหรอ (เข้ามาเพราะคำนี้) ทำไมเราเห็นแต่ นอกใจ เป็นชู้ หาข้ออ้าง ไม่บริสุทธิ์ใจ หาผลประโยชน์ เราเห็นทุกอย่างนี้จากพระเอก หรือเรามองแง่ร้ายเกินไป? แต่ยืนยันว่ารู้สึกตะหงิดๆมาตั้งแต่แรก จนจบตอนที่สี่เราถึงเข้าใจว่าเพราะอะไร เลี้ยงแฟนรวยต้องเปย์หนักอันนี้แง่นึงก็ไม่แปลก ยิ่งพยายามจะเปย์เขาด้วยจะมาโอดครวญอะไร เอามาเป็นข้อติหนึ่งข้อในการเลิก? แอบผิดหวัง เราหวังความละมุนจากเรื่องนี้จริงๆ ยิ่งนายเอกพิการ หลายเรื่องที่เราอ่านมามันดีกับใจมาก มาเจอชู้ ตัวใหญ่ๆแบบนี้ เฟลสุดๆ

ถ้าอ่านมาถึงตอนปัจจุบันก็น่าจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ โดยธรรมชาติของคนเขียน บางทีก็จะพยายามเขียนหลอกล่อให้คนอ่านเข้าใจผิด อย่างเช่นตัวละครที่ชื่ออะตอม ที่ผมเฉลยเพราะว่าคนที่อ่านถึงตอนปัจจุบันน่าจะเข้าใจเจตนาเขาดีแล้ว รวมถึงอะตอมเองก็โดนกัปตันทดสอบตามที่แม่บอกแล้วด้วย เพื่อจะได้มั่นใจว่าคนนี้คบได้หรือเปล่า / อะตอมไม่ได้เลิกกับแฟนเพราะเปย์ไม่ไหวหรอกครับ ถ้าอ่านมาเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจ พอดีผมไม่ได้เปิดทีเดียวหมด แต่จะค่อยๆ เปิดครับ อ้อ อะตอมไม่เคยโอดครวญเรื่องเปย์เลยครับ ที่เห็นเหมือนโอดครวญ เพราะผมบรรยายผ่านความคิดของคนอื่น ไม่ใช่อะตอมครับ / ส่วนความละมุนก็จะมาเป็นระยะๆ ครับ เพียงแต่ตอนแรกๆ มันยังมามากไม่ได้เพราะต่างฝ่ายต่างระแวงกันอยู่ แต่ที่จริงมันก็มีในหลายๆ ตอนนะครับ เพียงแต่คนอ่านระแวงอะตอม ก็เลยไม่รู้สึกถึงความละมุน - ขอบคุณสำหรับเสียงสะท้อนนะครับ :)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-05-2017 13:56:24
สนุกอะ ชอบฉากโดม-อิน 555 คู่นี้จะต่อยจูบรึป่าว 555
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 08-05-2017 15:23:46
อินจะคู่กับพี่โดมหรอ ไม่เชียร์เลยงะ

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 08-05-2017 15:55:34
เบาใจที่เค้าเคลียร์เรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว

ต่อไปก็เหลือแต่ตัวต้นเหตุ

ไม่อยากให้คู่โดมเลย อยากให้โดมเจอคนที่เหมาะสมมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 08-05-2017 15:57:12
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 08-05-2017 16:51:41
น่ารักๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 08-05-2017 20:11:46
อินน่ารำคานมากกกกก
ส่วนคู่กัปตันอะตอมก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP10 โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ✍ 7.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-05-2017 02:45:20
เย้ๆ หายข้องใจซะที
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 16-05-2017 14:22:20
EP11 (Part 1)
ไอ้อินด้านมืด

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<DOME>>>

ยามว่างๆ หลังเลิกเรียน แหล่งรวมคนรุ่นใหม่วัยขบเผาะที่ขึ้นชื่อคงไม่พ้นสยาม บรรดาห้างที่ผุดรายรอบต่างมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากลูกค้ารุ่นเยาว์แถบนี้ บ้างก็มาเดินเที่ยว บ้างก็มากินข้าว บ้างก็มาดูหนังฟังเพลง บ้างก็มาซื้อของ บ้างก็นัดกันมานั่งคุยงานในร้านรวงต่างๆ ทั่วบริเวณนี้จึงมักพบนิสิตและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้เคียงเสมอๆ ตั้งแต่เปิดห้างไปจนกระทั่งปิด

ปกติผมก็จะมาเดินเที่ยวเหมือนนิสิตคนอื่นๆ บ้าง แต่พอเริ่มขึ้นปีสอง งานก็เริ่มเยอะขึ้น ปีสามก็หนักขึ้นไปอีก ยิ่งปีสี่คงไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นผมกับเพื่อนๆ จึงมาเดินเที่ยวด้วยกันน้อยลง บางทีไม่เคยโผล่ไปไหนเป็นเดือนๆ ก็มี ชีวิตที่เคยสนุกกับการเที่ยวเล่นของเราเริ่มหมดไปกับการทำงานส่งอาจารย์มากขึ้น เมื่อจบไปทำงานแล้วก็คงมีโอกาสน้อยลงไปอีก

ที่จริงวันนี้ผมก็มีงานที่ต้องทำกับเพื่อนเหมือนกัน แต่ดีที่ยังไม่ถึงกับเร่งมาก ผมจึงขอตัวเพื่อนๆ มาทำธุระสำคัญบางอย่างที่นี่ ถ้าผมทำได้สำเร็จ ผมจะได้หลักฐานชิ้นสำคัญเอาไว้มัดตัวใครบางคน คราวนี้ชีวิตของมันจะต้องอยู่ในอุ้งมือของผม เหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด

ผมหยุดมองไร้จุดหมายเมื่อเสียงโทรศัพท์ผมแจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาหา เมื่อเปิดอ่านก็พบข้อความจากเมสเซนเจอร์ คนที่ผมนัดไว้ส่งข้อความมาถามจุดนัดพบที่แน่นอนนั่นเอง ผมรีบพิมพ์ตอบพิกัดจุดร้านที่ผมนั่งอยู่ไปโดยเร็ว พร้อมกับบอกด้วยว่าผมใส่หมวกแก๊ปและแว่นตาดำ เผื่อเขาจะหาผมเจอง่ายขึ้น ไม่นานทางนั้นก็ตอบมาว่าอีกไม่เกินห้านาทีจะมาถึง

ผมยิ้มอย่างพอใจ พลันก็นึกถึงข้อความในโพรไฟล์ทวิตเตอร์ของคนที่ผมนัดพบเย็นนี้ เขาเขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า...

"ทุกคนมีด้านมืดของตัวเอง ผมทำเล่นสนุกๆ นะครับ ใครอยากรู้ลึกกว่านี้ก็คุยกันได้ ทุกอย่างแล้วแต่ผมพอใจนะครับ"

เพราะเขาเขียนไว้อย่างนั้น ผมจึงสร้างบัญชีทวิตเตอร์ปลอมขึ้นมา จากนั้นก็หารูปผู้ชายหล่อๆ ในอินเตอร์เน็ตมาใส่เป็นรูปโพรไฟล์ ก่อนเริ่มต้นคุยกับเจ้าของโพรไฟล์ที่ไม่เปิดเผยใบหน้า ทุกรูปที่เขาลงส่วนมากเน้นกล้ามอกและส่วนกลางของร่างกาย ไม่ถึงกับอวดของลับหรอก แต่ก็มักอวดขนาดโตเต็มที่ของมันในชั้นในหลากหลายรูปทรงบ่อยๆ พร้อมกับข้อความสองแง่สองง่าม บางครั้งก็เชิญชวนให้คนมาชิมของตัวเอง บางครั้งก็บอกว่าอยากชิมของคนอื่น ที่น่าตลกก็คือ ตอนผมนัดเขามาเจอกัน เขาขอดูขนาดของลับของผมด้วย ผมจึงต้องปั่นแข็งและถ่ายรูปตุงๆ ส่งให้ดู เมื่อฝ่ายนั้นพอใจจึงตอบตกลงมาเจอกัน

เมื่อผมได้รับข้อความว่าคนที่นัดไว้ใกล้มาถึงแล้ว ผมก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินให้เรียบร้อย เพราะผมรู้ว่าคนที่นัดไว้คงไม่สามารถนั่งคุยกับผมที่นี่ได้แน่ๆ ไม่นานเขาก็มาถึง เมื่อเห็นผมเขาก็โบกมือให้ ผมโบกมือตอบเพื่อให้สัญญาณว่าไม่ผิดตัว ชายหนุ่มผู้อายุน้อยกว่าเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับผม ท่าทางดีใจมากที่ได้เจอกันเสียที เพราะคุยกันมาหลายวันแล้ว

"โทษทีครับมาสาย รอลิฟต์นานมากครับเมื่อกี้" มาถึงมันก็ออกตัว แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าเสียใจอย่างที่พูด

"ไม่เป็นไร มาช้าแค่ไหนพี่ก็รอน้องได้" ผมยกยิ้ม นึกเย้ยความโง่ของมันที่จำผมไม่ได้ ถึงจะจำหน้าไม่ได้เพราะผมใส่แว่นและใส่หมวก แต่มันก็น่าจะจำเสียงผมได้บ้าง

"มารอนานหรือยังครับพี่"

"เรียนเสร็จก็มารอน้องที่นี่เลย เพราะพี่แทบจะอดใจรอเจอน้องไม่ไหว ก็เลยรีบมา" ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยไปด้วย

"อ๋อเหรอครับ อืม...แล้วพี่เรียนที่ไหนเหรอครับ"

"ก็ที่เดียวกับมึงไง!" ผมพูดเสียงเข้ม ผู้เพิ่งมาถึงดูตกใจเล็กน้อย ผมจึงถอดแว่นตาดำและหมวกแก๊ปออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของผมให้มันดู

"พี่โดม!" เจ้าหมอนั่นอ้าปากค้างและหน้าเหวอสุดขีด คงนึกไม่ถึงว่าคนที่คุยติดต่อกันมาสองสามวันจะเป็นผม

"เออ กูเอง! กูไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นมึง ไอ้อินด้านมืด!" ผมยิ้มเยาะอย่างสะใจ

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ อินมันรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปจากร้านทันที ผมเก็บแว่นกับหมวกใส่กระเป๋าแล้วก็วิ่งตามมันไป มันวิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะต้องคอยระวังไม่ให้ชนคนอื่น ด้วยความที่ขาผมยาวกว่า ไม่นานผมก็ตามมาดักหน้ามันไว้ได้ทันพร้อมกับจับข้อมือมันไว้ด้วย

"ปล่อยผมนะพี่" อินขอร้องเนื้อตัวสั่น หน้ามันเหมือนคนจะร้องไห้ ก็แน่ล่ะ มันคงไม่ยินดีหรอกที่มีคนล่วงรู้ความลับสุดยอดของมัน

"ถ้ามึงไม่สารภาพกับกูดีๆ กูจะทำให้ด้านมืดของมึงสว่างไปทั่วมหาลัยเลย เอาไหม" เมื่อได้ทีผมก็ขู่

"อย่านะพี่ ถ้าพี่ทำอย่างนั้น ผมโดนไล่ออกเลยนะพี่ ที่บ้านเอาผมตายแน่ๆ" หน้าหล่อใสของอินซีดเผือดด้วยความกลัว

"รู้ดิ แต่ถ้ามึงไม่อยากโดน มึงต้องมาคุยกับกูดีๆ แล้วถ้ากูขอให้มึงทำอะไร มึงก็ต้องยอมกูทุกอย่าง โอเคไหม" ผมกำข้อมือมันแน่นขึ้น

"ครับพี่ พี่จะทำอะไรผมก็ยอมทั้งนั้น แต่พี่อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะพี่ ผมขอร้อง" อินรีบรับปาก ไม่เหลือท่าทางหยิ่งผยองใดๆ ให้เห็นอีกแล้ว ตัวมันสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำเลย

"ตามกูมานี่" ผมออกคำสั่งเสียงดุ ก่อนปล่อยมืออินและเดินนำออกไป แต่ก็หันไปมองอินเป็นระยะๆ

อินเดินตามผมมาต้อยๆ แม้ว่าผมจะปล่อยมือมันแล้วแต่มันก็ไม่กล้าหนี เพราะความลับของมันอยู่ที่ผมหมดแล้ว ไม่มีทางหนีได้ มันต้องยอมทำตามที่ผมบอกทุกอย่างเพื่อแลกกับอนาคตของมัน ผมเชื่อว่าอินคงไม่บ้าพอที่จะเสี่ยงแน่นอน

น่าเสียดายที่แถวนี้ไม่มีสวนสาธารณะหรือที่นั่งเล่นโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเลย ทุกอณูของบริเวณนี้คือธุรกิจ แม้กระทั่งที่นั่งเล่นคุยกันก็เป็นธุรกิจไปด้วย แต่ผมก็ไม่ต้องการพาอินไปนั่งคุยกันเรื่องนี้ในร้าน โชคดีที่พอเดินออกมาตรงลานกว้างหน้าห้างใกล้สถานีรถไฟฟ้า ผมก็เจอที่นั่งว่างๆ ซึ่งจัดไว้เป็นจุดๆ แต่มีไม่มากนัก เพราะที่นี่ต้องการให้คนเดินซื้อของมากกว่านั่งเฉยๆ

เมื่อนั่งลง อินก็คอตก ท่าทางมันดูน่าสงสารจนผมชักเขว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเล่นงานมันให้หนักๆ ซะหน่อย

"มึงมีปัญหาอะไรกับน้องกู บอกกูมาตรงๆ นะเว้ย เพราะถ้ากูรู้ว่ามึงโกหกแม้แต่นิดเดียว กูไม่เอามึงไว้แน่ๆ" ถึงจะสงสาร แต่ผมก็ขู่มันอีกจนได้

"อย่านะพี่ ผมจะบอกพี่ทุกอย่างเลย" อินลนลานรับปาก

"มึงชอบอะตอมใช่ไหม ถึงได้มาหาเรื่องน้องกู" ผมเข้าเรื่องทันที ที่ผมรู้เรื่องนี้เพราะผมเห็นอินมันเอารูปถ่ายแบบของอะตอมมาลงทวิตเตอร์ของมันเต็มไปหมด โดยเฉพาะรูปเซ็กซี่ แถมมันยังพร่ำเพ้อรำพันบ้าบอว่าอยากได้ผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน

"ครับ" อินดูตกใจเล็กน้อย สักพักมันก็ก้มหน้าลงและเล่าเรื่องให้ผมฟัง "ผมชอบอะตอมมาตั้งนานแล้ว ผมปลื้มเขามาตั้งแต่มอสี่ ติดตามผลงานเขามาตลอด แต่ผมก็ไม่เคยเจอตัวจริงเขาหรอก เพิ่งมาเจอกันก็ตอนที่เขามาเรียนที่นี่แหละ ตอนแรกผมก็คิดว่าผมแค่ชอบเขาเหมือนชอบดาราทั่วๆ ไป แต่พอได้เจอกัน ได้คุยกัน ความชอบของผมมันก็มากขึ้น ผมพยายามตีสนิทกับเขามาตั้งแต่ตอนรับน้องแล้ว เขาก็คุยกับผมดี แต่ตอนหลัง พอเขาเจอกัปตัน เขาก็เปลี่ยนไปสนิทกับกัปตันแทน"

"มึงก็เลยอิจฉาว่างั้น" ผมสบจังหวะพูดแทน

อินพยักหน้ายอมรับ "ครับ"

ผมเผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว สายตามองฝ่าม่านละอองน้ำตรงลานน้ำพุออกไป เมื่อเอามือมาซุกหีบแล้ว ผมก็พบว่ามันน่าหนักใจเหมือนกัน นี่แหละนะความรัก ไม่เคยเข้าใครออกใครเลย

"แล้วมึงว่าอะตอมมันชอบมึงไหม" ผมหันไปถาม

อินส่ายหน้า

"แล้วมึงจะทำไง พยายามแย่งอะตอมมาอย่างงั้นเหรอ"

อินพยักหน้ายอมรับโดยไม่มองหน้าผม

"แล้วมันจะช่วยอะไรได้วะ อะตอมมันชอบกัปตันนะเว้ย แล้วมันก็ไม่ใช่ตุ๊กตาที่มึงจะแย่งมาได้ ถ้าอะตอมรู้ว่ามึงทำแบบนี้ มันจะยิ่งเกลียดมึง มึงคิดให้ดีๆ นะเว้ย" ถึงไม่ได้ตั้งใจสอน แต่ผมก็สอนมันกลายๆ ไปแล้ว

"แล้วพี่จะให้ผมทำไง ถ้าพี่แอบรักใครสักคนมานาน ถ้าเขาไม่สนใจพี่ แล้วพี่จะทำยังไง พี่คิดว่าพี่จะไม่ทำเหมือนผมเหรอ" อินย้อนถาม

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่ผมจะตอบอินได้ "กูไม่รู้เว้ย แต่กูไม่ทำแบบมึงแน่นอน มันทุเรศว่ะ ที่สำคัญนะเว้ย คู่แข่งของมึงน่ะ เขาสู้มึงไม่ได้หรอก คนที่ทำร้ายคนที่สู้ไม่ได้เนี่ย ไม่ใช่ลูกผู้ชายนะเว้ย"

อินคงสะอึกกับสิ่งที่ผมพูดบ้างไม่มากก็น้อย นับว่ายังดีที่มันยังพอรู้สึกสำนึกได้บ้าง ไม่ถึงกับเลวร้ายจนเกินเยียวยา

"ถ้ากูเป็นมึงนะเว้ย กูจะทำใจยอมรับ ก็คนเขาไม่รัก ทำยังไงเขาก็ไม่รักอยู่แล้ว จะฝืนไปทำไมวะ"

"พูดง่ายนะพี่ แต่พี่รู้ไหมว่ามันทำโคตรยาก" อินเถียง แม้จะกลัวแต่ก็ยังรักษามาตรฐานความปากดีเอาไว้พอได้

"ยากหรือไม่ยากมึงก็ต้องทำ ข้อแรก กูจะไม่ยอมให้มึงมาแกล้งน้องกูอีกอย่างเด็ดขาด ถ้ากูเห็นอีกแค่ครั้งเดียว กูประจานมึงแน่ ไม่ได้ขู่นะเว้ย ส่วนข้อสอง ถ้ามึงทำได้มันก็จะดีกับตัวมึงเอง หน้าตามึงก็ดีนะเว้ย ผู้ชายคนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ มึงจะรักคนที่เขาไม่รักมึงไปทำไมวะ ที่สำคัญนะเว้ย ยิ่งทำ...เขาก็จะยิ่งเกลียดมึง มึงอยากให้อะตอมเกลียดมึงเหรอ"

"ป่านนี้มันคงเกลียดผมไปแล้วล่ะ" อินโพล่งออกมา

"ทำไม" ผมหันขวับไปถาม

อินดูลังเลที่จะเล่า ผมจึงต้องขู่มันอีก "อย่ามาทำยึกยักนะเว้ย ถ้ามึงไม่พูด กูเอามึงตายเลยนะเว้ย"

"ผมลักหลับมัน!" อินพูดสวนก่อนที่ผมจะพูดจบ

ผมอ้าปากค้างและหน้าเหวอไปพอสมควร นิ่งไปสักพักจึงถามให้แน่ใจว่าผมฟังไม่ผิด "มึงพูดว่าอะไรนะ"

"ตอนที่อะตอมไปกินเหล้ากับกัปตัน มันเมามาก กัปตันพามันกลับบ้านไม่ไหว ผมก็เลยพาอะตอมมานอนที่ห้องผมแทน แล้วผมก็ลักหลับมัน อะตอมมันรู้เรื่องแล้ว และมันก็ไม่คุยกับผมอีก พี่อยากรู้อะไรอีกไหมครับ ได้ทีแล้วนี่ จะให้ผมเล่าให้ฟังอีกไหมว่าผมเอากับคนไปกี่คนแล้ว นัดใครมาเจอบ้าง ชอบท่าไหน เป็นรุกหรือรับ หรือแกล้งจีบผู้หญิงบังหน้ามากี่คนแล้ว ผมจะได้เล่าให้หมดทีเดียว" อินร้องไห้ อารมณ์ของมันเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นแล้ว สงสัยจะทนไม่ไหวที่โดนผมขู่และกดดันไม่หยุดหย่อน

อารมณ์ของผมตอนนี้ยากจะบอกจริงๆ จะว่าโกรธก็โกรธ จะว่าอึ้งก็อึ้ง จะว่าสมน้ำหน้าก็ใช่ แต่ก็อุตส่าห์มีความสงสารปนมาด้วย จะว่าไปผมก็สะท้อนใจไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่เพิ่งผ่านพ้นมัธยมปลายมาไม่ถึงปีจะทำเรื่องขนาดนี้ได้

ผมถอนหายใจอย่างหนักใจ เมื่อมาถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าควรพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะเรื่องของอินดูจะซับซ้อนมากไปหน่อย ผมไม่อยากรับรู้เรื่องของมันมากกว่านี้ ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกสงสารหรือเห็นใจมันมากกว่าที่รู้สึกในตอนนี้ เอาเป็นว่าแค่เก็บความลับนี้ไว้ขู่มันไม่ให้มาแกล้งน้องผมอีกก็พอ

"กูไม่ได้อยากรู้เรื่องเหี้ยๆ ของมันมึงมากขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่า...มึงหยุดตอแยน้องชายกูก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ มึงก็ไปแก้เอาเองเว้ย สร้างปัญหาเองนี่หว่า แล้วถ้าเลิกทำได้ ก็เลิกทำซะ เพราะถึงกูไม่บอก อีกไม่นานคนอื่นเขาก็จะรู้อยู่ดี"

พูดจบผมก็ลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนีไป อินรีบตามมาฉุดข้อมือผมไว้ทันที

"พี่โดมสัญญานะครับว่าพี่จะไม่บอกใคร อย่าบอกใครนะพี่ เรื่องนี้ผมให้ใครรู้ไม่ได้ แม้แต่กัปตันกับอะตอมพี่ก็อย่าบอกนะครับ ผมสัญญา...ผมจะเลิกทุกอย่าง เลิกแกล้งกัปตัน เลิกด้านมืดของผม แล้วผมก็จะพยายามเลิกชอบอะตอมให้ได้ นะครับพี่โดม"

น้ำเสียงและท่าทางอ้อนวอนนั้นทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูก บทจะน่าหมั่นใส้ ผมก็อยากกระทืบมันให้ไส้แตก แต่บทจะน่าสงสาร มันก็ทำเอาผมสงสารจับใจ ถ้าถามว่าผมอยากทำลายอนาคตของใครคนหนึ่งขนาดนั้นหรือเปล่า...ก็คงไม่ แต่โลกยุคดิจิตอลนั้น ความลับแบบนี้คงเก็บไว้ได้ไม่นาน ทุกอย่างที่อยู่บนโลกออนไลน์จะอยู่ตลอดไป ต่อให้ลบทิ้ง ก็อาจจะมีคนอื่นดาวน์โหลดเก็บไว้ ถ้าโชคร้ายก็อาจมีคนนำมาเผยแพร่ต่อ สุดท้ายก็จะมาถึงตัวเราในที่สุด

"เออ" ผมรับปากอย่างเสียไม่ได้ ที่จริงว่าจะส่งให้กัปตันดูซะหน่อย แต่ตอนนี้คงต้องล้มเลิกไปก่อน

"ขอบคุณครับพี่โดม" อินทำหน้าซาบซึ้ง น้ำตาของมันทำให้ผมใจอ่อนอีกแล้ว ผมไม่ชอบเห็นคนร้องไห้เลย

"เออ แล้วมึงจะอยู่นี่ต่อหรือไง กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง ถ้ามึงไม่เห็นแก่ใคร ก็หัดเห็นแก่พ่อแม่ตัวเองมั่ง" ผมถือโอกาสสอนมันอีกครั้ง"

"ครับพี่" อินรับคำ ก่อนจะปล่อยมือผมออกเพราะคนผ่านไปมาเริ่มมอง มันทำท่าเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ก็ดูไม่มั่นใจ

"มีอะไร" ผมถาม

"อ๋อ...คือ...ถ้า...ผมจะขอให้พี่...ไปส่งผมที่บ้านหน่อย พี่โดมโอเคไหมครับ" อินทำหน้ากล้าๆ กลัวๆ

ผมว่าจะเดินหนีไปซะหน่อย พอได้ยินมันพูดแบบนี้ก็เลยชะงัก "อ้าว แล้วมึงกลับเองไม่เป็นหรือไงวะ"

"เป็น แต่วันนี้...ผมใจคอไม่ดีเลย กลัวจะเดินหลงทางกลับบ้านไม่ถูก พี่โดมไปส่งผมหน่อยนะครับ" อินอ้อนวอนต่อ

ผมถอนหายใจแรงๆ อย่างรำคาญ ก่อนจะรับปากส่งๆ "เออๆ จะไปก็รีบไป เดี๋ยวกูจะรีบกลับมาทำงานของกูแล้ว งานเยอะนะเว้ย"

อินยิ้มดีใจ บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไงกับรอยยิ้มของมันกันแน่ ที่จริงมันก็เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักอยู่หรอก ถ้าทำตัวดีๆ หน่อย คนอย่างมันก็หาแฟนได้ไม่ยาก

"แล้วบ้านมึงอยู่ไหน" ผมหันไปถามก่อนจะพามันเดินไป

"บีทีเอสอุดมสุขครับพี่ ไม่ใช่บ้านหรอก เป็นคอนโด บ้านผมอยู่ไกล"

"เออ ไปเร็ว" ผมเร่ง ก่อนจะเดินนำมันออกไปยังสถานีรถไฟฟ้า

อินเดินตามมาได้หน่อยก็ถาม "รูปที่พี่ส่งมาให้ผมดู ของพี่โดมเองเหรอ หรือว่า...ไปเอาของคนอื่นมา"

ผมชะงักกึกและหยุดหันไปหรี่ตามองมันทันที "รูปอะไรของมึงวะ"

"อ้าว ก็รูป...ไอ้นั่นไง" อินหน้าแหยๆ

"เชี่ย! เดี๋ยวกูเตะแม่งคอหัก" ผมปรี่เข้าไปหามันหมายจะเตะอย่างที่พูด แต่อินก็รีบวิ่งหนีไปก่อน มันหัวเราะผมด้วย

นี่ผมพลาดไปจริงๆ ที่ถ่ายของจริงไปให้มันดู แม่งเอ๊ย!


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 16-05-2017 14:23:14
EP11 (Part 2)
ไอ้อินด้านมืด

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)

<<<ATOM>>>

"เสร็จแล้วก็โทรบอกกูนะเว้ย เดี๋ยวกูมารับ" คนขับส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ ได้กำลังใจดีแบบนี้ผมคงสู้ไม่ถอย

"เออ"

"โชคดีนะเว้ย"

"เออ ขอบคุณมาก" ผมยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ แต่ก่อนจะแยกไปผมก็นึกบางอย่างได้ ผมจำได้ว่ากัปตันเคยเปรยให้ฟังสองสามครั้งแล้ว "เสร็จจากตรงนี้แล้ว ไปแช่ออนเซ็นกันไหม แล้วก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินต่อ"

"จริงเหรอ ดีเลย กูอยากไป" กัปตันยิ้มหวานให้ผม ดูน่ารักไม่น้อย

"งั้นเดี๋ยวเจอกัน ขับรถดีๆ นะเว้ย"

กระจกรถเลื่อนขึ้นและซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้านั้นไว้เพียงรางๆ ไม่นานรถก็แล่นออกไป ใจผมหายเล็กน้อยเพราะเมื่อมีกัปตันอยู่ใกล้ๆ ผมรู้สึกอุ่นใจมากกว่า จึงมองตามรถที่แล่นออกไปสักพัก เก็บภาพรอยยิ้มของใครคนนั้นเอาไว้ในใจแทนกาย ก่อนเดินเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง จุดหมายของผมคือสำนักงานโมเดลลิ่งของพี่แอร์ แกเช่าไว้เป็นสำนักงาน มีห้องประชุมและพื้นที่ให้พวกเรามาพบปะพูดคุยกันด้วย

ผมเพิ่งไปคุยกับป๊าของกัปตันมา ได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มาหลายอย่าง ก่อนจะมาคุยกับพี่แอร์วันนี้ ผมก็ซ้อมพูดกับกัปตันที่คอนโดจนมั่นใจ จึงตัดสินใจนัดเข้ามาคุยกับพี่แอร์ที่นี่ หลังเลิกเรียนกัปตันก็ขับรถมาส่งผม ในระหว่างนี้เจ้าตัวก็จะไปดูหนังสือที่ห้างใกล้ๆ ฆ่าเวลาไปพลางๆ

สิ่งแรกที่ผมต้องทำความเข้าใจก็คือความขัดแย้งทั้งหลายเกิดมาจาก "จุดยืน" และ "ผลประโยชน์" ที่แตกต่างหรือขัดแย้งกัน ป๊าของกัปตันให้ผมวิเคราะห์ว่าจุดยืนของพี่แอร์และผมคืออะไร ผลประโยชน์ที่ผมกับพี่แอร์ต้องการคืออะไร เมื่อเข้าใจสองอย่างนี้แล้ว จะช่วยให้การเจรจาง่ายขึ้น ผมก็ได้วิเคราะห์ไปแล้ว แถมก่อนจะมายังโทรไปปรึกษากับป๊าของกัปตันอีกรอบด้วย

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นยี่สิบห้า ผมก็เดินเข้ามาในออฟฟิศและทักทายพี่ๆ ที่รู้จักก่อน จากนั้นจึงเข้าไปหาพี่แอร์ในห้องประชุมเล็ก แกนั่งรอผมอยู่ในนั้นแล้ว

"หวัดดีครับพี่แอร์" ผมยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอและหันหลังให้

"อ้าว มาไวจัง" พี่แอร์ยิ้มให้ผมและหมุนเก้าอี้ให้หันมาเผชิญหน้ากับผม เขาเป็นผู้ชายที่ดูทันทีก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การแต่งตัว ท่าทาง การพูดจาและแววตา ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าแกคงเลี้ยงเด็กหนุ่มๆ ไว้บำเรอกามเป็นแน่ แต่ที่จริงแล้วพี่แอร์ไม่เคยรุ่มร่ามกับเด็กในสังกัดเลยเท่าที่ผมรู้มา

"รถไม่ค่อยติดน่ะพี่ ก็เลยมาไว" ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม ปลดสายสะพานกระเป๋าเป้ออกวางข้างตัว

"แล้วการเรียนเป็นไงช่วงนี้" พี่แอร์ยิ้มสบายๆ ท่าทางดูผ่อนคลายมากทีเดียว

"ยังไม่หนักมากครับพี่ แต่อาจารย์ก็ให้งานมาทำบ่อยๆ ต่อไปน่าจะเริ่มเยอะขึ้น"

"เหรอ แล้วจะมีเวลารับงานไหมเนี่ย"

"มีสิครับพี่ ไม่งั้นจะเอาอะไรกินล่ะครับ" ผมพูดติดตลก

"ก็ดี อืม...แล้ว...วันนี้...มีคำตอบให้พี่แล้วใช่ไหม ไม่ใช่อะไรหรอก ทางนั้นเขารอคำตอบอยู่ เร่งพี่ยิกๆ เลย พี่ก็พยายามบอกว่าน้องมันขอเวลาคิดก่อน แต่เขาก็โทรมาหาพี่เกือบทุกวัน สงสัยจะชอบอะตอมมาจริงๆ นะเนี่ย" พี่แอร์หัวเราะร่วน สงสัยจะคิดว่าที่ผมมาวันนี้เพราะตกลงใจแล้วเป็นแน่

เมื่อพี่แอร์ยังคาดหวังแบบนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง แต่เมื่อมาถึงนี่แล้วก็คงต้องคุยให้รู้เรื่องจนได้

"อ๋อ...ครับพี่" ผมยิ้มเฝื่อนๆ

เอาล่ะ เท่าที่ผมวิเคราะห์มา จุดยืนของพี่แอร์คือ แกเชื่อว่าโอกาสที่แกหยิบยื่นให้ทุกคนในสังกัดคือโอกาสที่ดี ทุกคนได้งาน ได้เงินและได้ชีวิตที่ดี รวมทั้งพี่แอร์ด้วย ส่วนผลประโยชน์คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเงิน เพราะฉะนั้น ผมต้องไม่ทำลายความหวังดีของพี่แอร์ พร้อมกับทำให้แกมีรายได้จากผมมากขึ้นด้วย นี่คือทางออกของผม

ผมยิ้มบางๆ จากนั้นจึงเริ่มต้นตามที่ป๊าของกัปตันแนะนำไว้ "พี่แอร์รู้ไหมครับ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ช่วยผมไว้เมื่อสามปีที่แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะเป็นยังไง ผมอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือ อาจจะเป็นกรรมกรก่อสร้าง หรือเป็นลูกจ้างในร้านอาหารหรือร้านขายของ ถ้าแย่กว่านั้นก็อาจจะติดยา เป็นเด็กเกเร หรืออาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ แต่เพราะพี่แอร์ช่วยผมไว้ ผมก็เลยมีโอกาสดีๆ แบบนี้"

พูดจบผมก็เดินอ้อมไปหาพี่แอร์ ลากเก้าอี้ใกล้มือมานั่งตรงหน้า ไม่ห่างจากพี่แอร์มากนัก สร้างความสงสัยให้พี่แอร์ไม่น้อย

"ผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าผมเข้าเรียนที่ตุลาได้ ผมจะมากราบขอบคุณพี่ เพราะที่ผมมีเงินมาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะพี่ สามปีมานี้ ผมไม่มีแม่ดูแล ไม่มีพ่อให้คำปรึกษา ไม่มีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ มีแต่พี่แอร์คนเดียว บุญคุณของพี่มีค่าสำหรับเด็กจนๆ อย่างผมนะพี่ ผมจะไม่ลืมเลย ขอบคุณพี่มากนะครับ" ผมยกมือไหว้อย่างงดงามที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ไม่ใช่เพราะแสร้งทำ แต่เป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม เพราะผมรอดชีวิตมาได้ทุกวันนี้เพราะพี่แอร์จริงๆ

"ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกอะตอม" พี่แอร์รับไหว้ผมด้วยสีหน้าตื่นๆ น่าจะเป็นเพราะตั้งตัวไม่ทัน กระนั้นผมก็สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป ที่จริงแกช่วยคนมาเยอะ แต่ก็โดนเด็กหักหลังบ่อยๆ ที่สำคัญ แทบไม่เคยมีใครแสดงความขอบคุณกับพี่แอร์แบบนี้เลย เพราะทุกคนต่างคิดว่าได้ผลต่างตอบแทนกันไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ

"ผมพูดจริงๆ นะครับพี่ พี่ก็รู้ว่าชีวิตผมเป็นยังไง ตอนที่แม่กับน้องสาวทิ้งผมไป และพ่อก็ตรอมใจ ผมเคว้งคว้างมาก มันลำบากจริงๆ นะพี่ พี่ลองคิดดูสิ เด็กอายุสิบหก จะไปหาเงินที่ไหน ใครจะรับทำงาน ถ้าไม่ได้พี่ช่วยผมไว้ ผมว่าผมกับพ่อไม่รอดแน่ๆ"

"เออ พี่รู้" พี่แอร์ยิ้มให้อย่างเขินๆ ผมไม่เคยเห็นแกยิ้มแบบนี้ให้ผมเลย มันดูสงบเย็นอย่างประหลาด ต่างจากพี่แอร์ปกติที่ผมกับเพื่อนๆ นายแบบด้วยกันรู้จัก เพราะปกติแกจะปากจัดและชอบพูดแรงๆ ตามประสา

"พี่น่ะ...ถึงใครจะบอกว่าพี่ร้าย แต่ทุกคนที่พี่ดึงเข้ามา พี่ก็ช่วยหมดแหละ พี่รู้ว่าหลายๆ คนมันก็เรียนหนังสือ หาเงินดูแลพ่อแม่ หรืออย่างน้อยก็อยากเลี้ยงตัวเองได้ บางคนมีเมียด้วยซ้ำ พี่ดีใจนะที่พี่ได้ช่วยคนอื่น อะตอมก็รู้ พ่อแม่พี่...เขาตัดพี่เพราะเขาไม่อยากมีลูกแบบพี่ มันทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่าเลย ขนาดพ่อแม่ตัวเองยังไม่ต้องการ แต่พอพี่ช่วยคนอื่นได้ มันก็ทำให้พี่รู้สึกแย่กับตัวเองน้อยลง ชีวิตมันมีค่ามากขึ้น"

ผมพยักหน้ารับรู้ ผมเคยฟังเรื่องของพี่แอร์บ่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็เคยเล่าเรื่องของผมให้แกฟังบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน "แสดงว่าพี่แอร์ก็ไม่ได้ช่วยคนเพราะรายได้อย่างเดียวใช่ไหมครับ แต่พี่...อยากให้เขามีโอกาสดีๆ ด้วย"

"ก็ทำนองนั้น ไอ้เงินน่ะ...มันก็ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าช่วยใครแล้วเขาไม่ความสุข ไม่ได้ชีวิตที่เขาอยากได้ จะช่วยไปทำไมวะ" พี่แอร์แบ่งปันมุมมองให้ผมฟังบ้าง

หลังจากแลกเปลี่ยนเหตุผลและความเข้าใจแล้ว สิ่งที่ผมควรจะพูดต่อไปคือบอกความตั้งใจของตัวเองว่าจะทำอะไรให้พี่แอร์ จากนั้นก็ต้องบอกด้วยว่าผมมีส่วนทำให้ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ยังไง ที่สำคัญต้องไม่ลืมย้ำความเข้าใจและผมประโยชน์ร่วมกัน

"ครับพี่ แต่ผมก็เข้าใจพี่นะครับ พอเปิดบริษัทแล้ว มันก็มีภาระต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ เงินเดือนพนักงาน ภาษี แล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง พี่ก็จำเป็นต้องมีรายได้ ที่ผ่านมา...บางทีผมเองก็ชอบบ่ายเบี่ยงงาน เคยทำให้พี่เสียงานเสียรายได้ไปตั้งหลายที แต่ต่อไปนี้...ผมจะตั้งใจทำงานให้พี่มากขึ้น เชื่อใจพี่มากขึ้นเวลาที่พี่รับงานมาให้ผมแล้ว อะไรที่ผมทำแล้วช่วยพี่ได้ ผมก็ยินดีนะครับพี่ ขอแค่ให้อยู่ในขอบเขตที่ผมทำงานและเรียนต่อไปได้ พี่แอร์ก็รู้ใช่ไหมครับว่าการศึกษาสำคัญแค่ไหนสำหรับคนอย่างพวกผม พี่ก็เห็น หลายคนทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เพราะอาชีพนายแบบ...มันทำได้ไม่นาน อีกไม่กี่ปีเดี๋ยวก็มีเด็กใหม่ๆ มาแทนแล้ว แต่การศึกษา...มันเป็นใบเบิกทางให้ไปทำอย่างอื่นต่อได้"

"อะตอมกำลังจะบอกพี่หรือเปล่าว่า...งานที่พี่หามาให้...ไม่อยู่ในขอบเขตที่จะทำให้อะตอมเรียนที่ตุลาได้" พี่แอร์เข้าเรื่องทันที แกเป็นผู้ใหญ่แล้วก็น่าจะดูผมออก

ผมนิ่งคิดไปพักใหญ่ เมื่อมั่นใจในคำตอบจึงพูดออกไป "ให้ผมช่วยอย่างอื่นก่อนได้หรือเปล่าพี่ อย่างเช่น ช่วงสองสามเดือนนี้ ผมรับงานเซ็กซี่เพิ่มได้นะพี่ แล้วผมก็ยินดีให้พี่หักเปอร์เซ็นต์ผมเพิ่มขึ้นด้วย หรือพี่จะหักไปหมดเลยก็ได้ ให้เท่ากับเงินที่เขาจะให้ผม ผมยินดีนะพี่ จะให้ผมตอบแทนพี่ยังไงก็ไม่มีปัญหา ขอแค่...ให้ผมยังเรียนต่อได้ การเรียนเป็นอนาคตของผมนะพี่ ไหนๆ พี่แอร์ก็ช่วยผมมาขนาดนี้แล้ว พี่ช่วยผมต่อหน่อยนะครับ อนาคตของผม...ก็อยู่ในมือของพี่แอร์ แล้วผมจะไม่ลืมบุญคุณของพี่ครั้งนี้เลย"

ฟังจบพี่แอร์ถึงกับถอนหายใจยาว สีหน้าครุ่นคิดบ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอย่างหนัก แต่ไม่นานใบหน้าขึ้งเครียดนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง รอยยิ้มค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อยคล้ายดอกไม้ที่ค่อยๆ แย้มบาน เท่านี้ผมก็พอรู้แล้วว่าพี่แอร์ตัดสินใจยังไง

... ... ...

เสร็จธุระที่บริษัทของพี่แอร์ ผมก็ลงลิฟต์มาที่ชั้นจอดรถ กัปตันขับรถมาจอดรออยู่ได้สักพักแล้ว เจ้าตัวบอกว่าร้านหนังสือที่ไปดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ก็เลยขับรถมารอผม เมื่อเห็นรถกัปตันในลานสายตา ผมก็ยิ้มดีใจและเดินแกมวิ่งไปหา มาถึงแล้วก็รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านหน้าคู่คนขับทันที

"เป็นไงบ้างวะ" กัปตันถามด้วยความอยากรู้และดูตื่นเต้น

"กูไม่ต้องไปเป็นเด็กเสี่ยแล้วเว้ย" ผมบอกอย่างดีใจและยิ้มกว้าง ก่อนควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้เก่าๆ ออกมา "แป๊บนึงนะเว้ย กูขอโทรบอกป๊ามึงหน่อย"

"เออๆ ตามสบาย" กัปตันยิ้มแล้วก็หันไปเล่นโทรศัพท์ตามเดิม

เมื่อเจอชื่อและหมายเลขที่ต้องการผมก็กดโทรออก ไม่นานป๊าของกัปตันก็รับสาย ผมรีบกรอกเสียงลงไปทันที "สวัสดีครับคุณน้า อะตอมนะครับ คุณน้าสะดวกคุยไหมครับ"

"สะดวกๆ เป็นไงลูก ไปคุยมาหรือยัง" ดูเหมือนป๊าของกัปตันก็ตื่นเต้นไม่แพ้ผมเลย

"เรียบร้อยแล้วครับคุณน้า"

"เหรอ แล้วได้ผลไหม"

"ครับคุณน้า ผมไม่ต้องไปเป็นเด็กเสี่ยแล้วครับ ที่สำคัญ...พี่แอร์ให้ผมรับงานตามปกติ แล้วก็ไม่หักเปอร์เซ็นต์เพิ่ม ส่วนเรื่องเสี่ยคนนั้น พี่แอร์จะหาคนใหม่ที่สมัครใจและอยากทำไปแทน ขอบคุณคุณน้ามากนะครับที่ช่วยแนะนำผม ถ้าไม่ได้คุณน้าช่วย ผมต้องแย่แน่ๆ เลย" ผมอดที่จะน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้ หรือที่จริงก็น่าจะเรียกว่าร้องไห้ไปแล้ว

ที่ผมดีใจขนาดนี้เพราะผมไม่อยากมีปัญหากับพี่แอร์ ถ้าไม่มีคนช่วยแนะนำ ป่านนี้ผมก็คงทะเลาะกับพี่เขาไปแล้ว เผลอๆ ผมก็อาจจะกลายเป็นเด็กเนรคุณเหมือนนายแบบบางคนที่พี่แอร์เคยว่า สุดท้ายก็จากกันไปด้วยความบาดหมาง แต่ผมไม่อยากให้พี่แอร์รู้สึกแบบนั้นกับผม เพราะแกมีบุญคุณกับผมมาก ผมอยากให้แกรู้ว่าผมรักและเคารพแกเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่สำคัญ ผมจะไม่เนรคุณกับคนที่คอยช่วยเหลือผมอย่างเด็ดขาด ผมจึงดีใจมากที่สามารถหาทางออกได้อย่างที่ผมต้องการมากที่สุด

"ไม่เป็นไรลูก น้ายินดี แล้วนี่อยู่ไหนกัน" ป๊าของกัปตันถามมา

"กำลังจะออกจากบริษัทครับ ผมว่าจะพากัปตันไปแช่ออนเซ็นหน่อย เขาอยากไป ผมก็เลยว่าจะพาไป"

"อ้อ งั้นก็ฝากดูแลกัปตันให้น้าหน่อยนะลูก น้าเองยังไม่เคยพาเขาไปแบบนี้เลย ขอบใจมากที่ช่วยดูแลกัปตันแทนน้า ที่จริงมีหลายอย่างที่น้าอยากให้เขาทำนะ แต่เราก็ไม่มีเวลาพาเขาไปหรอก เพราะงานมันก็เยอะขึ้นทุกปี ถ้าอะตอมไม่รังเกียจ ช่วยพากัปตันไปรู้จักโลกให้มากขึ้นหน่อยนะลูก เขาจะได้เข้มแข็ง เขาจะได้รู้สึกว่าเขายังทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง"

"ได้ครับคุณน้า ผมจะพากัปตันไปทุกที่ที่เขาอยากไป ผมจะดูแลกัปตันให้ดีที่สุดเลยครับคุณน้า คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ" ในขณะที่พูด ผมก็หันไปมองกัปตันด้วย เจ้าตัวดูจะงงๆ ไม่น้อยที่เห็นผมร้องไห้ เจ้าตัวจึงหยุดเล่นโทรศัพท์และมองดูผมด้วยสายตาแปลกๆ

"ขอบใจมากลูก เดี๋ยวน้าขอตัวไปดูงานต่อนะลูก ฝากกัปตันด้วย ว่างๆ ก็มาเที่ยวบ้านน้า มาเสาร์นี้เลยก็ได้ จะได้มาฉลองกัน มาค้างที่นี่ก็ได้"

"ครับคุณน้า"

เมื่อร่ำลาและวางสายไปแล้ว ผมก็หันหน้าไปมองกัปตันอย่างเต็มตา ความรู้สึกเต็มตื้นเอ่อท้นใจอีกแล้ว ทางเดียวที่ผมจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีตอนนี้ไปให้กัปตันรับรู้ได้ก็คือการกอด ไม่ใช่คำพูด หรือแม้กระทั่งสายตาที่สื่อความหมาย ผมจึงดึงกัปตันมากอดไว้

"เมื่อสามปีที่แล้ว ถ้าไม่มีพี่แอร์...ชีวิตกูก็คงแย่ แล้ววันนี้...ถ้ากูไม่มีมึงช่วยไว้ กูก็คงแย่อีกเหมือนกัน ขอบคุณมึงมากนะเว้ยกัปตัน มึงจำไว้นะเว้ย คนอย่างกู...ถ้ารู้สึกดีกับใครแล้ว กูให้ได้ทุกอย่าง แล้วกูก็จะเริ่มตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่วันที่มึงยังไม่รู้ว่าจะรักกูได้ไหม หรือจะเชื่อใจกูได้ไหม มึงให้กูรักมึงนะกัปตัน กูอยากรักมึง มึงเป็นคนดี กูห้ามใจไม่ไหว ให้กูรักมึงนะเว้ย"

ที่จริงผมอยากพูดมากกว่านี้ แต่ติดที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็เลยทำให้พูดลำบาก

"ก็มึงรักกูไปแล้ว กูจะไปห้ามยังไงวะ" กัปตันตอบผมมาเสียงมุบมิบ

ผมนี่แทบจะร้องตะโกนออกมาให้ก้องฟ้า แต่ก็ทำได้เพียงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น นี่คือรักครั้งแรกที่ผมเข้าถึงได้ลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ และผมจะทำให้สุดฝีมือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 16-05-2017 15:07:03
 ดีใจกับอะตอมด้วย
และกับอิอินที่มีแต่ความสมเพชให้ ไม่คิดจะสงสารสักนิด ไม่ควรคู่กับพี่โดมนะ นี่ว่าพี่โดมดีเกินไปสำหรับคนแบบนี้
ชีวิตนังไม่น่าแฮปปี้ง่ายๆอะ คิดไม่ดี ปากไม่ดี การกระทำก็แย่
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-05-2017 16:22:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-05-2017 23:28:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 17-05-2017 13:11:46
ความผิดหวังไม่ใช่ข้ออ้างให้ทำเรื่องไม่ดีนะเว้ยอิน

คิดหน่อยสิ

ใจใครใจมัน ไปบังคับไม่ได้หรอก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 17-05-2017 16:49:33
ดีใจกับอะตอมด้วย
และกับอิอินที่มีแต่ความสมเพชให้ ไม่คิดจะสงสารสักนิด ไม่ควรคู่กับพี่โดมนะ นี่ว่าพี่โดมดีเกินไปสำหรับคนแบบนี้
ชีวิตนังไม่น่าแฮปปี้ง่ายๆอะ คิดไม่ดี ปากไม่ดี การกระทำก็แย่

 o13
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 17-05-2017 21:14:41
พี่โดมโดนมารยาอินไปแล้ว เสร็จอินแน่ๆ 555 อะตอมคุยเก่งมีทักษะดีมากอะ
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-05-2017 01:57:14
อินดูเก็บกดสุดๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-05-2017 07:08:38
อะตอม กัปตัน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
อะตอม สบายใจได้แล้ว เพราะแก้ปัญหาไม่ต้องเป็นเด็กเสี่ยได้แล้ว

พี่โดม คงถูกอิน  หมายตาไว้แล้วเพราะขนาดอาวุธลับ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP11 ไอ้อินด้านมืด ✍ 16.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 18-05-2017 19:36:09
ขอบคุณที่มาต่อคร้าบ
โล่งใจที่อะตอมเคลียร์ปัญหาได้
แต่ไม่อยากให้อินได้กับพี่โดมเลยอ่า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (50%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 21-05-2017 19:26:05
EP12 (Part 1)
คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

"อาจารย์ครับ" ผมส่งเสียงร้องเรียกเมื่อเจอคนที่ตามหามาหลายวันแล้ว ผมอุตส่าห์มาแต่เช้าเพราะอยากเจอคนสำคัญคนนี้แหละ

อาจารย์คนนี้คืออาจารย์วิว จบ ป. เอกด้านอินทีเรียดีไซน์มาจากอังกฤษหมาดๆ เพิ่งมาเป็นอาจารย์คณะสถาปัตย์ภาควิชาการออกแบบภายเทอมนี้ นอกจากเก่งเรื่องอินทีเรียแล้ว อาจารย์วิวยังมีความเชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบที่เป็นสากลด้วย มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษเก๋ๆ ว่า Universal Design หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า "ยูดี" ก็ได้ พอผมรู้เรื่องแกจากรุ่นพี่ก็เลยอยากเจอ

อาจารย์สาวสวยหยุดกับที่ ก่อนหันมามองหาคนเรียก ผมส่งยิ้มและเดินเข้าไปหาเพื่อให้อาจารย์รู้ว่าเป็นผม

"อ้าว มีอะไรเหรอคะ" อาจารย์วิวส่งยิ้มมาให้

"ผมอยากปรึกษาอาจารย์เรื่องทางลาดแล้วก็ยูดีน่ะครับ อาจารย์พอมีเวลาสักสิบนาทีไหมครับ"

"อ๋อ ได้ๆ งั้น...ไปคุยตรงนั้นดีกว่า" อาจารย์วิวชี้ไปที่นั่งใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก

"ครับ" ผมรับคำแล้วเดินตามอาจารย์วิวไป

พอนั่งลงแล้ว ผมก็ยื่นแบบทางลาดที่ผมแอบวาดเองกับมือให้อาจารย์วิวดู

"พอดีที่คณะมีเพื่อนที่ใช้รถเข็นมาเรียนด้วยครับอาจารย์ เขาต้องใช้ทางลาด แต่ว่าก็มีไม่พอ บางอาคารก็ไม่มีเลย ผมก็เลยลองออกแบบทางลาดดู ว่าจะเอาไปเสนออธิการบดีให้ปรับปรุงน่ะครับ แต่ทีนี้ผมไม่ค่อยรู้เรื่องยูนิเวอร์ซัลดีไซน์เท่าไหร่ ก็เลยอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำครับ"

"อ๋อ" อาจารย์วิวร้องอ๋อเมื่อรู้ว่าผมมาหาด้วยเรื่องอะไร "เหมือนอาจารย์จะเคยเห็นนะ ใช่คนที่ตัวขาวๆ ไหม"

"ครับอาจารย์ คนนั้นแหละครับ" ผมบอก จุดเด่นของกัปตันคือตัวขาวนี่แหละ เด่นกว่านั่งวีลแชร์ด้วยซ้ำ

"อ้อ แล้วเธอชื่ออะไร อยู่ปีหนึ่งใช่ไหม"

"ครับ ผมชื่ออะตอมครับ" ผมบอกชื่อไป ก่อนจะชี้ให้อาจารย์วิวดูจุดที่ผมสงสัย "คืออย่างนี้ครับอาจารย์ ผมอยากรู้มาตรฐานทางลาดน่ะครับ พอดีผมไม่แน่ใจว่าที่ผมออกแบบไว้มันชันเกินไปหรือเปล่า"

"โห สูงห้าสิบเซนต์ ทางลาดยาวแค่สามเมตรเอง ชันไปค่ะ มาตรฐานทางลาดเขาใช้อัตราส่วนหนึ่งต่อสิบสอง จะได้ไม่ชันเกินไป คนใช้วีลแชร์เข็นขึ้นได้สบาย อย่างเช่น ถ้าพื้นสูงหนึ่งเมตร ก็ต้องทำทางลาดยาวสิบสองเมตร แต่ว่าตามมาตรฐาน ทางลาดแต่ละช่วงไม่ควรจะยาวเกินหกเมตร เพราะฉะนั้น พื้นก็ไม่ควรจะสูงเกินห้าสิบเซนต์"

"อ๋อ" ผมร้องอ๋อและพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีเรื่องสงสัยต่อ "แต่ตึกเรียนหลายตึกสูงกว่าห้าสิบเซนต์นะครับอาจารย์ แล้วต้องทำทางลาดยังไงครับ"

"ทุกๆ ห้าสิบเซนต์เธอต้องทำชานพักยาวเมตรครึ่ง อย่างเช่น...ถ้าอาคารสูงสองเมตร เธอก็ต้องมีชานพักสามจุด แล้วทางลาดก็ไม่จำเป็นต้องทำยาวๆ นะ ทำแบบพับทบไปมาก็ได้ หรือจะทำวนอ้อมมาจากข้างหลังก็ได้ เพราะถ้าเธอทำยาว พื้นที่มันจะไม่พอ"

"อ๋อ เข้าใจแล้วครับอาจารย์" ผมพยักหน้าพลางจดข้อมูลสำคัญที่อาจารย์วิวบอกลงไป "แล้วความกว้างต้องเท่าไหร่ครับอาจารย์ ของผมทำไว้เจ็ดสิบเซ็นต์ ไม่รู้จะกว้างพอหรือเปล่า"

"ตามมาตรฐาน ทางลาดต้องกว้างอย่างน้อยเก้าสิบเซนต์นะ แล้วก็ต้องทำขอบกันตก ราวจับ พื้นผิวต่างสัมผัส แล้วก็อีกหลายอย่าง เธอสนใจเรื่องนี้เหรอ" อาจารย์วิวถามกลับ

"ครับ เขามีสอนไหมครับอาจารย์ ผมอยากเรียน"

"มีค่ะ แต่เป็นวิชาเลือก เทอมนี้เธอไม่ได้ลงใช่ไหม"

"ยังครับอาจารย์ ผมเห็นแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นวิชาอะไร ก็เลยไม่ได้ลงเรียน แต่เทอมหน้าผมลงแน่นอนครับ" ผมรับปากด้วยท่าทางจริงจัง

ที่จริงยังไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องนี้มากหรอก ถ้าผมกับกัปตันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ขึ้นมาในอนาคต ก็น่าจะดีไม่น้อย ตอนนี้กฎหมายบังคับให้อาคารสาธารณะต้องมียูดีแล้ว ถ้าฟังจากที่อาจารย์วิวพูด และจากที่ผมเห็นๆ มา ผมว่าหลายที่ยังทำไม่ได้ตามมาตรฐาน ถ้าผมกับกัปตันเปิดบริษัทให้คำปรึกษาเรื่องนี้ น่าจะเป็นธุรกิจได้ แถมตลาดก็ใหญ่มากๆ เพราะอาคารสาธารณะมีทั่วประเทศ คู่แข่งก็มีน้อยอีกต่างหาก

"ดีเลยค่ะอะตอม มาช่วยอาจารย์ผลักดันเรื่องนี้อีกแรงนะ เนี่ย ในมหาลัยของเราก็มีปัญหาหลายจุดเลย ต้องแก้เยอะมาก ถ้าเราทำได้ ต่อไปเราก็จะรับคนพิการมาเรียนได้เยอะขึ้น พอเขาได้เรียนหนังสือ เขาก็จะมีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้ ช่วยให้โอกาสคนได้เยอะเลย"

"จริงครับอาจารย์ ผมเห็นด้วยครับ ก็อย่างที่อาจารย์ว่า ในมหาลัยเองก็มีหลายจุดมากที่ต้องแก้ อย่างเมื่อวาน ผมพาเพื่อนไปหอสมุดกลาง มีทางลาดก็จริงนะครับ แต่เขาเอาเสากั้นมอเตอร์ไซค์มากั้นไว้รอบเลย ช่องมันเล็กมาก รถวีลแชร์เข้าไม่ได้ ผมพยายามง้างออก แต่มันก็ง้างไม่ได้ ก็เลยให้เพื่อนขี่หลัง แล้วก็ให้เพื่อนที่เหลือช่วยยกรถเข็นข้ามเสากั้นไป กว่าจะได้เข้าอ่านหนังสือก็เหงื่อแตกเลย" ผมเล่าพลางขำตอนท้ายๆ

"ขนาดนั้นเลยเหรอ" อาจารย์วิวหัวเราะ "แล้วอย่างอาคารที่ไม่มีลิฟต์หรือว่าไม่มีทางลาด เธอทำยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอให้เพื่อนขี่หลัง"

"ครับอาจารย์" ผมรับคำ

"เยี่ยมมากเลยอะตอม" อาจารย์วิวทำหน้าทึ่งๆ ระคนชื่นชม "ถ้าเธอไม่ช่วยเขานะ เขาก็คงจะเรียนไม่ได้ แต่ยังไงๆ อาจารย์ว่าเราก็ต้องปรับปรุงให้มันดีขึ้น ถ้ามีเยอะกว่านี้ คงแบกกันไม่ไหวหรอก สงสัยอาจารย์คงต้องให้เธอมาช่วยแล้วล่ะ เนี่ย อาจารย์ว่าจะตั้งชมรมยูดีพอดีเลย อยากมาช่วยอาจารย์ทำเรื่องนี้ไหม"

"แล้วชมรมนี้ทำอะไรบ้างครับอาจารย์" ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

"หลักๆ ก็จะสำรวจอาคารในมหาลัยนี่แหละ ตรงไหนมีปัญหาเราก็จะมาช่วยกันออกแบบว่าจะแก้ไขยังไง จากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญว่าจะแก้อันไหนก่อน แล้วค่อยเอาไปเสนอให้แต่ละคณะแก้ไข แต่ละคณะเขาได้งบปรับปรุงอาคารเป็นประจำอยู่แล้วนะ เราก็แค่เสนอให้เขาปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้นเอง ถ้าเขาเห็นด้วยมันก็ไม่ยากหรอก นอกจากในมหาลัยแล้ว เราก็ช่วยที่อื่นได้ด้วย อย่างเช่นพวกระบบขนส่ง รถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ ห้าง พวกนี้เขาต้องทำอยู่แล้ว แต่ส่วนมากก็ทำไม่ได้ตามมาตรฐาน ต้องมีคนช่วยให้คำแนะนำ เธอสนใจไหม"

"สนใจครับอาจารย์" ผมรีบรับคำ แววตาฉายประกายความหวัง "ถ้าทำได้ก็ดีนะครับอาจารย์ โดยเฉพาะในมหาลัย ผมเป็นห่วงเพื่อนผมมากเลย เกิดวันไหนผมไม่ได้มาเรียน ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีใครช่วยเขาหรือเปล่า เพราะว่าตึกเรียนหลายตึกไม่มีลิฟต์ ขนาดคณะถาปัตย์เองก็ยังมีปัญหาเลย ทางลาดก็มีน้อย ห้องน้ำคนพิการก็มีแค่ไม่กี่ตึก ลำบากมากๆ เลยครับ" พูดแล้วผมก็นึกเห็นใจเพื่อน ถ้าตึกไหนไม่มีห้องน้ำ กัปตันต้องอั้นฉี่หลายชั่วโมง ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ผมจะพาไปเข้าห้องน้ำทั่วไป แต่ก็แคบจนรถเข็นเข้าไม่ได้ ผมต้องให้กัปตันขี่หลังและพาเดินเข้าไปในห้องน้ำแทน ถ้าปรับปรุงได้จริงๆ ผมคงหมดห่วงไปเยอะเลย

ผมคุยกับอาจารย์วิวต่ออีกสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปหาเพื่อนๆ ก็เป็นกลุ่มที่ผมสนิทด้วยนั่นแหละ รวมกัปตันด้วย ระหว่างทางที่เดินไป โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูชื่อคนที่โทรมาหา ผมก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

"ว่าไงติ๊ง โทรมาแต่เช้าเลย ตื่นแล้วเหรอเนี่ย" ผมทักและพูดหยอกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะคุ้นเคยกับคนที่คุยด้วยระดับหนึ่งแล้ว

"แหม ก็ไม่ใช่คนตื่นสายขนาดนั้นซะหน่อย อาชีพอย่างเราเนี่ย ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้าไปถ่ายแบบก็ออกบ่อยไม่ใช่เหรอ" หญิงสาวนามว่าติ๊งทำเสียงเล็กเสียงน้อย

ติ๊งเป็นนางแบบ ผมรู้จักเธอมาเกือบปีแล้ว เจอกันในงานถ่ายแบบและเดินแบบบ่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากความเป็นเพื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นผมมีแฟนอยู่หรือเปล่า

"เออ ก็จริง" ผมหัวเราะร่วน "วันนี้มีเรียนเช้าเหรอถึงได้โทรมาแต่เช้า"

"ใช่" ติ๊งหัวเราะแก้เก้อ "มาถึงมหาลัยปุ๊บก็รีบโทรหาอะตอมปั๊บเลย กลัวจะเข้าเรียนซะก่อน เดี๋ยวจะไม่ได้คุย"

"เที่ยงๆ หรือเย็นๆ ก็โทรมาได้" ผมบอก

"ไม่ได้หรอก เดี๋ยวมีใครมานัดอะตอมตัดหน้าไปซะก่อนน่ะสิ ยิ่งช่วงนี้เห็นงานเยอะขึ้นนี่"

"ก็นิดหน่อย ต้องหาตังค์เยอะไง"

"จะซื้อของให้แฟนอีกเหรอ" ติ๊งยังไม่รู้ว่าผมเลิกกับอั้มแล้ว ก็เลยถามอย่างนั้น

"เปล่า ตอนนี้ไม่มีแฟนแล้ว ก็หาเงินเรียนนั่นแหละ" ผมตอบเสียงเรียบ

"ไม่มีแฟนแล้ว หมายความว่า..." ติ๊งกลืนเสียงจางหายไป

"ก็ประมาณนั้น" ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ คาดว่าติ๊งคงเดาออกว่าผมหมายถึงอะไร

"จริงเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ติ๊งจำได้นะ อะตอมรักแฟนมากเลยไม่ใช่เหรอ เห็นเคยเก็บเงินซื้อสร้อยสวารอฟสกี้เป็นของขวัญวันเกิดให้เขาด้วย แพงจะตาย"

"ก็...สักพักแล้ว"

"ติ๊งเสียใจด้วยนะ แต่เชื่อเหอะ หล่อๆ อย่างอะตอมเนี่ย เดี๋ยวก็หาแฟนใหม่ได้ ไม่นานหรอก" ติ๊งสัพยอก

ผมไม่ตอบคำถามนั้น ติ๊งจึงเข้าเรื่องของเธอซะที

"คืออย่างนี้ ติ๊งว่าจะโทรมาชวนอะตอมไปเที่ยว"

"ไปเที่ยว" ผมทวนคำ ก่อนจะถามต่อ "ที่ไหนเหรอ"

"เกาะเสม็ด ไปวันศุกร์นี้แหละ ตอนเย็นๆ"

"ศุกร์นี้เลยเหรอ" ผมทวนถาม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เหลืออีกแค่สามวันเท่านั้น

"ใช่" น้ำเสียงของติ๊งสดใส ปกติเธอก็เป็นสาวน้อยร่าเริงอยู่แล้ว แถมยังเป็นคนลุยๆ ด้วย ไม่ค่อยสำอางค์เหมือนผู้หญิงมากนัก "ว่างหรือเปล่าล่ะ มีงานไหม"

"ยังไม่มี" ผมยอมรับไปตามตรง พอไม่มีงาน ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไปหาพ่อวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ก็จะไปบ้านกัปตัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีงานช่วงเย็นๆ แทบทุกวัน

"งั้นไปไหมล่ะ เนี่ย...ขาดอีกแค่สองคนเอง แชร์กันคนไม่กี่พันหรอก ติ๊งชวนพี่เอิร์ธกับพี่ฝางไปด้วย พี่ๆ เขาว่างพอดีเลย ไปไหมๆ อะตอมชอบทะเลไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้ว่างๆ แล้วก็ไปคลายเครียดดีกว่า หาโอกาสว่างๆ แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ นะ พี่เอิร์ธกับพี่ฝางก็อยากให้อะตอมไป" ติ๊งพยายามหว่านล้อมด้วยการอ้างชื่อคนที่ผมรู้จัก

ผมอกจะหนักใจเล็กน้อยเพราะรับปากป๊าของกัปตันไว้แล้วว่าจะไปหาที่บ้าน ถึงจะไม่มีอะไรสำคัญมาก แต่ผมก็ไม่อยากผิดคำพูด ถึงอย่างนั้น ใจจริงก็อยากไปเที่ยวทะเลอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้ไปมาเป็นปีๆ แล้ว หรือว่า...

"ขาดอีกสองคนเหรอ" ผมถาม

"ใช่ๆ" ติ๊งรีบตอบ "ถ้ามีเพื่อน อะตอมก็พามาดิ"

"แล้วถ้าเพื่อนอะตอมนั่งวีลแชร์ล่ะ" ผมถามหยั่ง

ติ๊งเงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่าตกใจหรือเปล่า "เหรอ...แล้ว...เขาจะไปได้ไหมล่ะ มันเป็นทะเลนะ มีแต่ทราย แล้วก็ต้องขึ้นเรือไปที่เกาะด้วย จะลำบากหรือเปล่า"

"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวเราดูแลเพื่อนเราเอง ว่าแต่จะให้ไปไหมล่ะ"

"อืม..." ติ๊งเงียบเสียงไปอีก ท่าทางคงลังเลน่าดู "แล้ว...มันจะสนุกเหรอ"

"ไม่เป็นไร ถ้าติ๊งไม่สะดวกให้เพื่อนเราไป งั้นเรา"

"ได้ๆๆ" ติ๊งรีบขัดจังหวะก่อนผมพูดจบเพราะกลัวผมจะปฏิเสธซะก่อน

"โอเค งั้น...เราขอไปถามเพื่อนก่อนนะ ถ้าเขาโอเคก็จะไป แต่ถ้าเขาไม่โอเค เราก็อาจจะไม่ได้ไปนะ" ผมถือโอกาสต่อรอง

"หูย ขนาดนั้นเลยเหรอ" ติ๊งทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ

"อืม เพื่อนคนนี้...เราสนิทมาก ไปไหนต้องไปด้วยกัน ถ้าเขาไม่ไปด้วย มันก็ไม่สนุก" พูดไปผมก็นึกถึงคนที่นั่งรออยู่ที่โรงอาหารไปด้วย ถ้าได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกันครั้งนี้ ก็ถือซะว่าเป็นการชิมลางก่อนไปเที่ยวภูเขาละกัน

"ตามใจ ถ้าได้คำตอบแล้วรีบบอกติ๊งนะ"

"ได้ๆๆ น่าจะได้คำตอบวันสองวันนี้แหละ" ผมรับปาก "งั้นแค่นี้ก่อนนะ ต้องรีบไปแล้ว"

"โอเค อย่าลืมโทรมาบอกนะ" ติ๊งกำชับ

ทันทีที่วางหู ใครบางคนก็ปรากฎกายขึ้นตรงหน้าผม ดูเหมือนตั้งใจจะมาดักรอซะมากกว่า แต่ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนใกล้ๆ ผม ผมก็จะรู้สึกถึงอาการขาดออกซิเจนขึ้นมาทันที เพราะมันอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก ผมก็เลยรีบเดินหนี

"เดี๋ยวก่อนอะตอม" อินเรียกผมไว้

ผมหยุดนิ่ง ก่อนหันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์และถามห้วนๆ "มีอะไร"

"กูอยากคุยกับมึงน่ะ" ท่าทางของอินดูเหมือนไม่มั่นใจนัก ดูแปลกไปจากที่ผมเคยเห็นจนน่าแปลกใจ

"เรื่องอะไร เดี๋ยวจะเข้าเรียนแล้ว" ผมไม่วายทำเสียงห้วนและทำหน้าปั้นปึงใส่

"ไม่นานหรอก" อินทำหน้าอ้อนวอน แต่ก็ไม่ดูน่าเห็นใจสำหรับผมเลย

"กูไม่อยากคุยกับมึง มึงไม่รู้ตัวเหรอวะ แค่เห็นหน้ามึงกูก็อยากจะอ๊วกแล้ว" ผมว่าใส่อย่างไม่แยแส อินถึงกับหน้าเสียไปเลย

"กูมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับมึง ถ้าตอนนี้ไม่สะดวก เย็นๆ มึงสะดวกหรือเปล่า" อินยังคงต่อรองไม่เลิก

ผมทำเสียงจิ๊กจั๊กอย่างรำคาญ ก่อนถอนหายใจสั้นๆ และบอกไปอย่างเสียมิได้ "เออ แต่กูมีเวลาให้มึงแค่ครึ่งชั่วโมงนะเว้ย ตอนเย็นกูมีงาน"

"ได้ ไม่นานหรอก" อินทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม

"แค่นี้ใช่ไหม กูจะไปหากัปตันแล้ว" ผมเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ

"อืม" อินพยักหน้า ผมจึงรีบเดินหนีจากมันไป ราวกับว่าอยู่ต่ออีกนาทีเดียวก็จะขาดออกซิเจนตายได้


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (50%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 21-05-2017 20:04:15
อยากอ่านต่อๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (50%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 21-05-2017 20:25:40
ขอบคุณที่มาต่อครับ
ไม่รู้อินจะมีแผนอะไรรึเปล่านะนี่
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (50%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-05-2017 20:36:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (50%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 21-05-2017 22:01:42
EP12 (Part 2)
คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

ผมเคยเก็บเงินซื้อสร้อยสวารอฟสกี้ราคาเกินครึ่งหมื่นเป็นของขวัญวันเกิดให้อั้มเมื่อปีก่อน และซื้อดอกไม้ให้ในโอกาสพิเศษทุกครั้ง ก็เหมือนๆ ความรักของหนุ่มสาวทั่วไป แต่พออยากจะมีแฟนเป็นผู้ชายบ้าง ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะซื้อของแบบนั้นให้กัปตันหรือเปล่า ถึงกัปตันจะหน้าหวานๆ และปากแดงเรื่อ แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิง แทบจะไม่เคยแสดงความเป็นผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ ผมก็เลยต้องหาวิธีอื่น อย่างเช่นเรื่องทำทางลาดนี่แหละ

วันไหนที่ผมต้องไปงานข้างนอก น้ำหวานบอกผมว่าเพื่อนๆ ในห้องมักทำท่าเกี่ยงกันเพราะไม่อยากยกกัปตันขึ้นตึกเรียน กัปตันคงรู้สึกไม่ดีพอสมควร เผลอๆ จะคิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น เวลาไปไหนข้างนอกผมจึงอดเป็นห่วงกัปตันไม่ได้ ถัาได้อาจารย์วิวมาช่วยผลักดันเรื่องยูดี ชีวิตของกัปตันคงง่ายขึ้นเยอะเลย ผมก็จะห่วงเขาน้อยลง

ที่จริงผมไม่มีปัญหาที่จะให้เพื่อนขี่หลังหรอก แต่ติดที่ว่าผมอยู่ด้วยตลอดเวลาไม่ได้ อีกอย่างผมก็ไม่อยากให้กัปตันรู้สึกเกรงใจผมมากเกินไปด้วย จะให้รอน้ำใจคนอื่นๆ ก็คงไม่ได้ทุกครั้ง คนสมัยนี้ไม่ได้มีน้ำใจเหมือนเมื่อก่อน ยูดีจึงน่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะที่สุดในเวลานี้ ผมจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ในมหาลัยให้ได้

แม้ไม่ใช่สร้อยสวารอฟสกี้ที่ผมจะซื้อให้กัปตันเหมือนอั้ม แต่ผมก็คิดว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้มีค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทอง นี่ต่างหากคือความรักที่บริสุทธ์จริงใจ

เมื่อมาถึงโรงอาหาร ผมก็รีบเดินตรงไปยังจุดที่กัปตัน แบงค์และกวินนั่งอยู่ ดูเหมือนกำลังคุยกันสนุกเพราะไม่มีใครสนใจผมเลย ผมจึงได้ยินการสนทนาเมื่อเดินใกล้เข้าไป

"แล้วไงต่อวะ มึงก็ชวนเขาไปดูหนังอย่างงี้เลยเหรอ"

"อืม"

"แล้วเขาไปไหม" กวินตื่นเต้นและลุ้นราวกับได้ไปดูหนังกับสาวที่ชอบซะเอง

"ไปดิ"

"โห สุดยอดเลยว่ะมึง แล้วไปต่อที่ไหนเปล่า" กวินยิ้มมีเลศนัย ดูเหมือนมันจะสนใจเรื่องนี้มากทีเดียว

"เปล่า ก็แค่นั้นแหละ แยกย้ายกันกลับบ้าน"

"โธ่ นึกว่าพาไปไหนต่อ" แบงค์ทำท่าเสียดาย

"คุยเรื่องอะไรกันวะ" ผมถามพลางนั่งลงข้างๆ กัปตัน บางทีกัปตันจะย้ายจากวีลแชร์มานั่งบนเก้าอี้บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกเมื่อยหลัง

"มันเล่าเรื่องวีกรรมจีบสาวให้ฟังเว้ย มึงเคยฟังยัง โคตรเจ๋งเลยว่ะ" กวินหันมาบอกผม สีหน้าบ่งบอกว่าชื่นชมคนที่พูดถึงไม่น้อย

"อ๋อ" ผมพยักหน้า ก่อนจะถามถึงเพื่อนอีกคน "น้ำหวานล่ะ"

"ไปห้องน้ำเมื่อกี้ เดี๋ยวก็มา" กวินบอก ก่อนหันไปถามกัปตันต่อ "แล้วหลังจากนั้นล่ะ คบกันต่อเปล่าวะ"

"ก็คบกันต่อพักหนึ่ง สองเดือนได้มั้ง แล้วก็เลิกกัน" กัปตันเล่าเสียงเรียบทั้งที่เป็นเรื่องเศร้า ที่จริงกัปตันเคยเล่าให้ผมฟังบ้างว่าเคยจีบผู้หญิงคนหนึ่งสมัยมอปลาย แต่ก็ดูเหมือนจะเล่าไม่หมด ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากพูดถึง ก็เลยไม่เซ้าซี้ถาม

"อ้าว ทำไมวะ" กวินหน้าเศร้า

"ไม่รู้ว่ะ เขาคงคิดว่ากูเป็นภาระเขามั้ง" กัปตันหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความรู้สึก

"ซะงั้น" กวินหน้าจ๋อย แบงค์ก็พลอยเฉาตามไปด้วย แต่สักพักกวินก็ถามต่อ "แล้วมึงจีบใครอีกไหม"

"ไม่ กูว่ามันก็เป็นแค่ความชอบหวือหวา กูไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครรักกูจริง"

แค่ได้ยินผมก็ใจหายวาบ กัปตันคงพูดโดยไม่ทันคิด หรืออาจจะลืมนึกไปว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ แต่ถึงจะเป็นเรื่องไม่ดีที่ได้ยิน อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วกัปตันคิดอะไรกับความรัก ที่ผ่านมาผมแสดงออกค่อนข้างหวือหวาและใจเร็วกับกัปตันไปพอสมควร ไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วกัปตันจะคิดว่าผมก็เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยจีบหรือเปล่า ตอนหลังๆ ผมจึงต้องพยายามลดความหวือหวาใจเร็วลงบ้าง

"เฮ้ย ไม่จริงหรอก มึงก็พูดซะ" แบงค์แย้งแต่สีหน้าก็ไม่สู้ดี คงรู้ตัวแล้วว่าทำให้เพื่อนไม่สบายใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์สัพยอก "ถ้ารักผู้หญิงแล้วมีแต่ปัญหา มึงไม่ลองคบผู้ชายดูมั่งวะ เผื่อจะดีก็ได้นะเว้ย"

กัปตันหันมามองผมทันที ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกแยกบางอย่างในแววตาคู่นั้น ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยเห็นกัปตันมองผมด้วยสายตาแบบนี้เลย พอรู้จักกันมาระยะหนึ่ง ผมรู้ทันทีว่ากัปตันไม่ใช่คนที่จะรักใครง่ายๆ เขาดูระแวงและระวังตัวมาก คนที่จะชนะใจเขาได้คงต้องทำการบ้านหนัก

"ก็น่าสนนะเว้ย อย่างกูเนี่ย คบผู้หญิงแล้วไม่รุ่ง กูว่าจะลองคบผู้ชายดูเหมือนกัน" ผมพูดเล่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มจะกร่อย เพราะสังเกตว่าแบงค์กับกวินทำหน้าไม่ถูก

"เออ ดีเลย งั้นมึงจะลองคบกับกัปตันดูไหมล่ะ เห็นสนิทกันซะ" แบงค์เออออไปกับผม

"กูว่าพวกมันสองคนอาจจะคบกันแล้วก็ได้นะเว้ย มึงไม่เห็นเหรอ นอนก็นอนห้องเดียวกัน มาเรียนก็พร้อมกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ดูแลกันยังกะแฟนเลย" กวินผสมโรงด้วย

มาถึงตอนนี้ผมก็นึกได้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับกัปตันยังไม่ชัดเจนเลย เพื่อนๆ หลายคนก็ยังไม่รู้ แม้ส่วนมากจะคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่การแสดงออกบางอย่างก็ทำให้เพื่อนหยิบเอามาล้อบ่อยๆ ไปๆ มาๆ ก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ทำให้กัปตันไม่สบายใจได้ ถ้าปล่อยให้ความสัมพันธ์คลุมเครือไปนานๆ ผมก็ชักห่วงว่าจะไม่เป็นผลดี

"เดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อนนะเว้ย ใกล้เวลาเรียนแล้ว" อยู่ๆ กัปตันก็โพล่งขึ้น

ผมรีบลุกขึ้นเพื่อให้กัปตันเขยิบตัวขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์ พร้อมกันนั้นก็คอยดูด้วยเผื่อว่ากัปตันจะให้ช่วยตรงไหน แต่ส่วนมากเขาก็จัดการตัวเองได้ดี พอเรียบร้อยกัปตันก็เข็นออกไปอย่างคล่องแคล่ว ผมยืนบื้ออยู่ชั่วครู่ พอนึกได้ก็วิ่งตามไป

"กัปตันรอกูด้วย"

กัปตันชะลอรถเข็นให้ช้าลง จนกระทั่งผมเดินแกมวิ่งตามมาอยู่ข้างๆ เราจึงค่อยๆ เดินและเคลื่อนที่พร้อมๆ กันไปอย่างช้าๆ ก็ไม่ถึงกับช้ามากเพราะกัปตันเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็ว ช่วงนี้เรายังไม่มีคำพูดใดๆ จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องน้ำสำหรับวีลแชร์ซึ่งมีอยู่แค่ห้องเดียวและชั้นเดียวทั้งคณะ

"เดี๋ยวกูมาหานะเว้ย" ผมบอก กัปตันพยักหน้ารับรู้

จากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง ผมใช้เวลาไม่นานก็เสร็จก่อน จึงมายืนรอกัปตันที่หน้าห้องน้ำ พักใหญ่ๆ ประตูบานเลื่อนก็เปิดออก ผมใช้เวลาคิดไม่นานก็เอามือยันประตูบานเลื่อนไว้ กัปตันกำลังจะอ้าปากถามผมก็รีบดันตัวเข้าไปในห้องน้ำวีลแชร์ซะก่อน ก่อนรีบปิดประตูและล็อกสนิท

ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆ กัปตัน ส่งสายตาเป็นห่วงไปให้ "มึงเป็นไรเปล่าวะ ต่อไปน่ะ ถ้ามึงไม่โอเค มึงก็ไม่ต้องเล่าเรื่องที่มึงไม่อยากเล่าให้พวกมันฟังหรอก"

กัปตันเงียบ บ่งบอกว่าเจ้าตัวยอมรับกลายๆ ไปแล้ว ผมเดาว่ากัปตันคงไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเท่าไหร่ เพราะเล่าไปแล้วก็ไม่เป็นผลดีกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ที่เล่าเมื่อกี้คงเป็นเพราะเพื่อนถามซอกแซกและคะยั้นคะยอ

"กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย แล้วก็ไม่อยากให้มึงคิดว่าไม่มีใครรักมึงจริงด้วย" ผมพูดต่อ

"เออ รู้แล้ว" กัปตันรับคำสั้นๆ ทำให้ผมพอยิ้มออกได้บ้าง

ผมลุกขึ้นยืน ก่อนเอามือช้อนใต้รักแร้ของกัปตันแล้วยกตัวขึ้น เมื่อระดับสายตาเราเท่ากัน ผมก็จ้องมองตาคู่นั้นจนกัปตันต้องเอียงหน้าหลบบางๆ ถึงผมจะพยามเลี่ยงไม่ทำหวือหวา แต่จะปล่อยให้จืดชืดไปเลยก็คงไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องให้มีสีสันหรือมีการกระทำที่ย้ำเตือนความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันบ้าง ไม่งั้นก็อาจลืมได้ว่าเราสองคนมาเจอกันทำไม

หลบตาผมได้ไม่นานกัปตันก็กอดผม นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมกอดตอบและลูบหลังเบาๆ รู้สึกดีใจที่กัปตันกอดผม เจ้าตัวคงสะเทือนใจเรื่องเมื่อกี้พอสมควร แม้แบงค์กับกวินจะเป็นเพื่อนที่ดี แต่บางครั้งก็ขาดความเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกแบบนี้

กอดนี้…คงพอจะบอกได้ว่ากัปตันคงเห็นผมเป็นที่พึ่งแล้ว แม้จะเป็นความก้าวหน้าเพียงน้อยนิด แต่ก็มีความหมายสำหรับผมมาก ผมพานนึกถึงวันแรกที่เจอกัปตัน ตอนที่พากัปตันมาล้างคราบอาหารที่ถูกทำหกเลอะใส่เสื้อคราวนั้น ความรู้สึกดีๆ ของผมก็เริ่มต้นขึ้นในห้องน้ำวีลแชร์ห้องนี้นี่แหละ

เรากอดกันเงียบๆ และไม่พูดอะไร สำหรับผู้ชายที่เคยเจ็บกับความรักอย่างกัปตันแล้ว คำพูดสวยๆ ดีๆ คงไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ การกระทำที่จริงใจต่างหากที่จะทำให้ผมชนะใจผู้ชายคนนี้ได้ นี่คือทางออกไปสู่ความรักที่ผมจะต้องมุ่งมั่นและอดทน

"ไปเรียนเหอะ" กัปตันบอกผมเบาๆ พร้อมกับปล่อยอ้อมแขนออก

ผมพยุงกัปตันให้นั่งลงบนวีลแชร์ สายตาของเรายังจับจ้องมองกันอยู่ หลังจากกอดแล้วผมก็เห็นว่าสีหน้าของกัปตันดูดีขึ้น จากนั้นเราก็ออกจากห้องน้ำ ผมให้กัปตันออกไปก่อน ผมตามออกไปทีหลัง เพราะไม่อยากให้คนสงสัยว่าเราเข้าไปทำอะไรกัน

"ก่อนไปเที่ยวภูเขา มึงอยากไปเที่ยวทะเลไหมวะ" เมื่อตามมาทันผมก็ถาม

"ที่ไหน" กัปตันแวบหันมาถาม

"มีคนชวนกูไปเที่ยวเกาะเสม็ดศุกร์นี้ เขาให้กูชวนเพื่อนไปได้หนึ่งคน กูก็เลยว่าจะชวนมึงไป สนเปล่า"

"งั้นมึงก็ไปคุยกับแม่กูละกัน ถ้าแม่กูยอม กูก็จะไป"

"จริงนะเว้ย" ผมถามอย่างตื่นเต้น

"เออ ขอให้ได้ละกัน" กัปตันท้าและหัวเราะเบาๆ ผมเดาว่าเขาคงอยากไปเที่ยวบ้างตามประสาคนวัยนี้ แต่ด่านสำคัญคงอยู่ที่แม่ของกัปตันมากกว่า

"เดี๋ยวกูจะลองคุยกับแม่มึงดู"

"ใช้วิธีที่ป๊ากูสอนก็ได้" กัปตันสัพยอก แต่ผมก็คิดว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลย

"เออ เดี๋ยวกูจะลอง" ผมบอก พลันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แต่เป็นเรื่องที่ผมต้องระมัดระวังพอสมควร "เออ…ตอนเย็นๆ น่ะ มึงรอกูสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมวะ"

"ทำไมวะ" กัปตันหันมาถาม

ผมหยุดเดิน ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ กัปตันหยุดเข็นและหมุนรถมาหาผม ท่าทางบ่งบอกว่ารอคอยคำตอบ

"ไอ้อินมันจะขอคุยกับกู ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรว่ะ มันบอกว่าสำคัญ กูก็เลย…ตกลงว่าจะคุยกับมันซะหน่อย" ผมรู้สึกเป็นห่วงกัปตันเหมือนกันที่บอกเรื่องนี้ เพราะวีรกรรมที่ไอ้อินทำไว้คราวนั้นแสบเอาเรื่อง กัปตันคงขยาดน่าดู

"อืม" กัปตันรับคำสั้นๆ จากนั้นก็เข็นออกไป

"มึงไม่โกรธกูนะเว้ย" ผมถามตามหลัง ก่อนเดินแกมวิ่งไปจนทัน

"จะโกรธทำไมวะ กูไม่ใช่คนคิดมากขนาดนั้นซะหน่อย" กัปตันหันมายิ้มร่าเริง ค่อยทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้หน่อย

"เออ ก็ดีแล้ว ที่กูถามน่ะ ไม่ใช่อยากจะเรื่องมากหรือคิดมากนะเว้ย แต่มึงเป็นคนสำคัญของกู อะไรที่กูทำแล้วเกี่ยวกับมึง กูก็อยากให้มึงรู้ มึงจะได้ไม่ต้องไปรู้จากคนอื่นไง" ผมอธิบาย

เรามาหยุดอยู่หน้าลิฟต์ ช่างบังเอิญจริงๆ ที่ไอ้อินมันก็มายืนรอลิฟต์ด้วย ผมจึงสบโอกาสพูดบางอย่าง

"กูพูดจริงนะเว้ยกัปตัน อะไรที่กูทำแล้วเกี่ยวกับมึง กูอยากให้มึงรู้ทั้งนั้นแหละ แม้กระทั่งเรื่องเหี้ยๆ ที่กูเจอ"

ถ้าไอ้อินไม่ความจำเสื่อม มันก็คงแอบสะดุ้ง ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะมันหันมามองผมกับกัปตัน แต่น่าแปลกที่มันไม่พูดอะไร ทั้งที่ปกติแล้วมันโคตรปากมากและพูดจาฟังไม่ได้

ลิฟต์เปิดออกพอดี เราสามคนก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน ไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเราสามคน แต่ผมไม่รู้สึกอึดอัดหรอก คนที่อึดอัดน่าจะเป็นคนที่ยืนเงียบมากกว่า

"มึงเคยลงน้ำทะเลไหม" ผมชวนกัปตันคุย กัปตันส่ายหน้า

"งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวกูจะอุ้มมึงลงทะเลเอง ทะเลที่เสม็ดสวยนะเว้ย กูเคยไปเที่ยวมาแล้ว"

"เหรอ เอ…กูได้ยินมาว่าไปเสม็ดนี่เสร็จทุกรายจริงเหรอวะ" กัปตันสัพยอก เราสองคนคุยกันเหมือนไม่มีใครอีกคนอยู่ร่วมห้องลิฟต์ด้วย

"ถามอย่างงี้…แปลว่ามึงอยากเสร็จเหรอ ได้…เดี๋ยวกูจะช่วยให้มึงเสร็จ" ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ลิฟต์เปิดออกพอดี อินรีบก้าวออกไปและเดินลิ่วมุ่งหน้าไปก่อน ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหนของมัน ผมแอบยิ้มด้วยความสะใจอย่างลืมตัว

พอออกมาจากลิฟต์กัปตันก็หันมาพูด "ร้ายนะมึง แกล้งมันเหรอเมื่อกี้"

"เออ" ผมยอมรับตามตรง "คนอย่างมันน่ะ ต้องโดนอย่างงี้ซะบ้าง แค่นี้ยังน้อยไป"

"แต่กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ วันสองวันมานี้มันดูเงียบๆ มึงว่าไหม" ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่สงสัย กัปตันก็พลอยสงสัยท่าทางแปลกๆ ของอินด้วย

"เออ ช่างแม่งเหอะ ไปเรียนดีกว่า เดี๋ยวไม่ทัน" ผมรีบตัดบทอย่างไม่แยแส ก่อนจะพากัปตันเดินแกมวิ่งไปที่ห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยขึ้นมา


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (100%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 21-05-2017 22:37:31
เรื่องนี้ละมุนจริงๆแหละ

สิ่งที่อะตอมพยายามทำให้กัปตันมันแสดงถึงความปรารถนาดีขั้นสูงสุดจริงๆ อะไรจะดีไปกว่าการให้ที่ช่วยทำให้คนๆนึงช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้ ได้มีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่ต้องรอคอยคนอื่นมาแบก มันเป็นการให้ที่มีค่าและยิ่งใหญ่นะ เครื่องประดับ ช่อดอกไม้ ของขวัญมีราคาเป็นเรื่องตื้นเขินในความสัมพันธ์ไปเลยเมื่อเทียบกับทางลาดที่อะตอมพยายามสร้างเพื่อกัปตัน น่ารักมากๆ ซึ้งใจ  และเข้าใจกัปตันนะ ปมความผิดปกติของร่างกายที่ถูกสร้างเป็น conflict ในเนื้อเรื่องถือว่าท้าทายตัวเอกให้พิสูจน์ถึงรักแท้ที่หนักมากจริงๆ รักที่คือการให้และการดูแลของแท้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (100%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-05-2017 23:17:23
กัปตัน จะคิดเรื่องตวามรักแบบนี้ก็ไม่แปลก
ยิ่งตัวเองเป็นคนพิการ ต้องเป็นภาระคนอื่น
เจ็บปวดใจที่ตัวเองพิการ
แล้วมาเจอกับสายตาคนรอบข้างบางคน
ที่ทั้งดูถูก รังเกียจ ทั้งเห็นเป็นภาระ

อะตอม คิดดีทำดีจริงๆ มีจิตใจที่ดีงาม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ว่าแต่อิน มีอะไรจะพูดกับอะตอมนะ  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (100%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 21-05-2017 23:31:30
ดีเจต้นหอมพูดแบบว่าคนนี้เป็นคนดีถึงจะเลิกกันแต่เค้าไม่มีวันทำร้ายเรา
นี่ึนึกถึงอะตอมทันที
อะตอมดีจริงๆซึ้งใจ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (100%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-05-2017 00:20:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (100%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 22-05-2017 01:42:35
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก (100%) ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 22-05-2017 07:59:35
กลับตัวซะอิน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-05-2017 17:15:14
น่ารักๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 22-05-2017 18:58:47
หลงรักความละมุน ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 23-05-2017 00:26:19
อินเงียบไปเพราะโดนพี่โดมปราบแน่ๆ 555
 เติมความเชื่อมั่นกัน เพื่อเพิ่มความเข้าใจกัน กัปตันยังเปิดใจไม่หมดสินะ
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP12 คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก ✍ 21.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-05-2017 06:47:34
อะตอมจะทำให้กัปตันขนาดนี้ เป็นคนดีมาก พยายามมากด้วย ดูแลดี ให้สมกับที่รัก

กัปตันรู้ต้องดีใจมากแน่เลย น้องน่ารักนะ แต่คนเราก็ต้องมีบ้างเนาะ เวลาโดนใครมามองไม่ดี

อะตอมกัปตัน อยู่ด้วยกันแล้วละมุนสุดละค่ะ อยู่กับเพื่อนๆ เหมือนยังเกร็งๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 28-05-2017 13:25:01
EP13
เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<INN>>>

ผมยอมรับว่าผมทำไม่ดีหลายอย่าง ทั้งเรื่องของอะตอมกับกัปตัน และเรื่องส่วนตัวซึ่งเป็นด้านมืดของผม ชีวิตผมไม่ได้มีอะไรเลวร้ายหรอก ที่บ้านก็เลี้ยงดูดี กินดีอยู่ดี แทบไม่เคยต้องลำบาก ครอบครัวจึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ เรื่องอะตอมก็เป็นเพราะผมชอบเขา ส่วนด้านมืด ผมก็แค่ทำเพราะคิดว่ามันสนุก แต่ทำไปทำมาก็อยากเลิก เพราะมันไม่ช่วยให้ผมเจอรักแท้ ได้แค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ซ้ำทำไปแล้วยังรู้สึกผิดด้วย เผลอๆ จะเสียหายมาถึงวงศ์ตระกูลด้วยซ้ำถ้ามีใครเอามาแฉ

เอาเถอะ ผมพลาดไปแล้ว จะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ ผมตัดสินใจว่าจะเลิกทำอย่างเด็ดขาดแล้ว ถ้าคนซึ่งยังไม่สนิทกับผมอย่างพี่โดมยังรู้ความลับนี้ได้ อีกไม่นานคนอื่นๆ ก็ต้องรู้ แต่คงไม่มีใครใจดีช่วยปิดเป็นความลับให้ผมเหมือนพี่โดมแน่

เสียงคนเดินใกล้เข้ามาตรงที่ผมยืนรออยู่ค่อยๆ ดังชัดขึ้น ผมรีบหันไปมองทันที คนที่กำลังเดินมาหาหยุดชะงัก ท่าทางดูลังเลว่าจะเดินเข้ามาหาผมดีหรือเปล่า แต่ไม่นานเขาก็ตัดสินใจเดินเข้ามาใกล้ ผมยิ้มบางๆ ต้อน แต่คนที่มาถึงกลับทำหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ยินดียินร้ายที่มาเจอกัน

"มีอะไรจะพูดก็รีบว่ามา กูอยู่ได้ไม่นาน เย็นนี้มีงาน" มาถึงอะตอมก็พูดห้วนใส่ สีหน้าบอกบุญไม่รับ

เจอท่าทางแบบนี้ ผมก็ชักลังเลเหมือนกัน เพราะถ้ามันไม่อยากมาเจอหน้าผม ไม่อยากเสวนาด้วย มันก็น่าอึดอัดใจ แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์ขอร้องจนมันยอมมาหาแล้ว จะทิ้งโอกาสไปเฉยๆ ก็น่าเสียดาย ในเมื่อผมทำไม่ดีกับอะตอมเอง จะเจอปฏิกิริยาแบบนี้ก็ไม่แปลก

ผมถอนหายใจสั้นๆ สายตาจับจ้องคู่ดวงตาที่มองเลยผมไปไหนสักแห่ง เหมือนผมเป็นอากาศธาตุที่ไม่ต้องสนใจมากก็ได้

"กูอยากขอโทษมึง"

เพียงคำพูดสั้นๆ ของผม แววตาของอะตอมก็เปลี่ยนไปทันที มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ "ขอโทษเรื่องอะไร"

"ก็ทุกอย่างแหละ" ใจผมเริ่มสั่นเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง

"ทุกอย่าง…แล้วมันมีอะไรบ้างล่ะ"

เมื่อโดนถามจี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนอากาศตรงนี้บีบอัดมากขึ้นจนหายใจลำบาก "ก็…เรื่องกัปตัน แล้วก็…เรื่องคืนที่มึงเมา"

"คนอย่างมึงรู้สึกผิดเป็นด้วยเหรอวะ" อะตอมสวนมาเสียงเข้ม

"กูขอโทษ" ผมย้ำคำขอโทษอีกครั้ง

"ขอโทษเหรอ" อะตอมทวนคำ ก่อนหันหน้าไปทางอื่น สักพักก็หันกลับมาจ้องหน้าผม สายตาของมันดูดุจนผมรู้สึกกลัว "ขนาดกัปตันเป็นแบบนั้น มึงก็ยังไม่เว้น ที่กูเสียให้มึงไปน่ะ มันยังไม่เจ็บเท่ากับที่มึงทำกับกัปตันนะเว้ย แค่คำขอโทษของมึงคำเดียวน่ะ จะเอามาทำอะไรได้วะ"

"แล้วมึงจะให้กูทำไง" ผมประหม่า เกิดความกลัวว่าการเจรจาครั้งนี้จะไม่สำเร็จอย่างที่คิด

"ขอโทษกัปตัน แล้วก็พิสูจน์ตัวมึงเอง ถ้ามึงดีพอ กูจะยกโทษให้มึง แต่ถ้ามึงไม่ดีจริง ก็อย่าหวังว่าคนอย่างกูจะยกโทษให้"อะตอมพูดหนักแน่น

เมื่อได้ฟังความคิดของมันผมก็หน้าเสีย อย่างนี้ก็แปลว่ามันจะไม่ยกโทษให้ผมง่ายๆ

"กูจะพยายามละกัน แต่ที่กูทำไปทั้งหมดน่ะ ก็เพราะว่า…" ผมกลืนเสียงลงคอเพราะลังเลที่จะบอกความจริง

แววตาอยากรู้ของอะตอมฉายชัดขึ้น แต่มันก็ปากหนักไม่ยอมถาม เท่ากับบีบบังคับให้ผมต้องยอมพูดจนได้ แต่จะพูดตรงๆ ทันทีผมก็ไม่กล้าขนาดนั้น จึงต้องเกริ่นนำให้มันรู้ที่มาที่ไปก่อน

"สามปีที่แล้ว กูเข้าไปในเว็บหนึ่งแล้วก็เห็นรูปที่มึงถ่ายแบบ แค่เห็นครั้งแรก…กูก็รู้สึกชอบมึงมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กูเซฟรูปมึงเก็บไว้ตลอดเลย ออกมากี่ชุดกูก็เซฟเก็บไว้ เป็นแฟนคลับในแฟนเพจของมึงด้วย แต่มึงคงไม่รู้หรอก กูเคยตามไปดูมึงเดินแบบด้วยครั้งสองครั้ง ตอนแรกกูก็คิดว่ากูก็แค่บ้าดารานายแบบเฉยๆ แต่พอกูได้มาเจอมึงจริงๆ ตอนรับน้อง กูก็ยิ่งรู้สึกชอบมึงมากขึ้น แต่ตอนนั้นมึงยังคบกับอั้มอยู่ กูก็เลยไม่กล้าบอก แล้วพอมึงมาสนิทกับกัปตัน กูก็เลย…ต้องทำแบบนั้น"

อะตอมขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน ก่อนบอกผมสั้นๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำทว่าหนักแน่น "กูชอบกัปตัน"

"แต่มันเป็นคนพิการนะเว้ย!" ผมเผลอเถียงออกไป

"แล้วไง!" อะตอมย้อนถาม ดูเหมือนคำสารภาพของผมจะไม่ช่วยให้มันเข้าใจผมเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อยเลย

"มึงคิดว่ามันจะไปกันได้สักกี่น้ำวะ"

"ก็เรื่องของกูกับกัปตันสองคนไม่ใช่เหรอ แล้วมึงมาเสือกอะไร" อะตอมพูดใส่หน้าผม ดูท่าทางมันจะไม่ยอมพูดดีๆ กับผมซะแล้ว

"มึงจะทำให้กัปตันเสียใจนะเว้ย มันเป็นแบบนั้น ถ้ามันเสียใจขึ้นมา มึงคิดไหมว่าจะเสียแค่ไหน"

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูจะทำให้กัปตันเสียใจ"

"ทำไมจะไม่รู้วะ!" ผมขึ้นเสียง อะตอมชะงัก ผมรีบขยายความทันที "มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเว้ย กูมีเพื่อนเป็นนายแบบ แล้วมันก็รู้จักมึงด้วย มันเล่าให้กูฟังว่ามึงน่ะ…ออกไปกับผู้หญิงบ่อยๆ"

"ก็แค่วันไนท์สแตนด์ ไม่ได้มีอะไรผูกมัดนี่หว่า เสร็จแล้วก็จบ ไม่มีใครมาวุ่นวายกับชีวิตกู" อะตอมเถียง

"แล้วถ้ากัปตันมันรู้ว่ามึงทำแบบนี้ล่ะ" ผมไม่วายหาเรื่องมาเถียงจนได้

"กูเลิกทำไปแล้ว"

"เลิกได้แน่เหรอ ตอนที่มึงคบอั้ม ใครๆ ก็รู้ว่ามึงรักอั้มจะตาย ทำไมมึงยังไปกับคนอื่นได้วะ ยิ่งอยู่ในวงการแบบนี้ มึงคิดเหรอว่ามึงจะเลิกได้จริงๆ"

คราวนี้ได้ผล สีหน้าของอะตอมเผื่อนลง แสดงว่าสิ่งที่ผมพูดก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้อยู่ มันเองก็น่าจะคิดเรื่องนี้

"ดูท่าทางมึงเป็นห่วงกัปตันจังเลยนะ" อะตอมแค่นเสียง

"ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก กูแค่ไม่เชื่อว่ามึงกับกัปตันจะคบกันได้ สุดท้าย…มึงก็จะทำมันเสียใจ ทำอย่างนั้นกับคนพิการ…มันบาปนะเว้ย" ผมตอกไปอีกหนึ่งดอก

"มึงก็เลยคิดว่ากูไม่ควรคบกัปตัน แต่ควรจะมาคบกับมึงแทนงั้นสิ" อะตอมถามกวน ผมเองก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหวกับท่าทางหยิ่งยโสของมันแล้ว

"เออ" ผมรับคำไปอย่างหน้าด้านๆ

"อ้าว แล้วมึงไม่กลัวกูทำมึงเสียใจเหรอ" อะตอมย้อน

"แต่กูไม่ได้เป็นคนพิการเหมือนกัปตันนะเว้ย ถึงกูจะเสียใจ แต่มันก็ไม่เหมือนกัปตันหรอก"

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากัปตันจะเสียใจมากหรือน้อยกว่ามึง แล้วมึงไม่คิดเหรอว่าบางทีกัปตันอาจจะเข้มแข็งมากกว่ามึงก็ได้"

"แสดงว่ามึงจะทำมันเสียใจเหรอ"

"กูแค่เปรียบเทียบเว้ย ความรักแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นน่ะ มันไม่มีใครรู้หรอกว่าจะจบยังไง ถ้ากัปตันรักกู มันก็มีสิทธิ์รักกูไม่ใช่เหรอวะ แล้วถ้ากูรักกัปตัน กูก็อยากให้กัปตันรู้ว่ากูรู้สึกดีกับเขา พิการแล้วไม่ควรมีความรักเหรอวะ แล้วมึงคิดว่ากัปตันควรจะรักใครวะถึงจะไม่เสียใจ จะรักใครมันก็มีโอกาสสมหวังหรือผิดหวังเท่ากันนั่นแหละ มึงรู้ไหม…กัปตันมันเคยอกหักมาแล้ว มันก็ผ่านมาได้ อกหักเป็นเรื่องแปลกเหรอวะ มึงไม่เคยได้ยินเหรอ อกหัก…ดีกว่ารักไม่เป็น ถ้ากูเป็นกัปตันนะเว้ย กูยอมอกหัก แต่ขอให้กูได้รักใครสักคน ไม่งั้นจะเกิดมาทำไมวะ"

นี่คือมุมมองใหม่ที่ผมไม่เคยคิดถึง ผมคิดแค่ว่าอะตอมไม่ควรคบกับกัปตันเพราะจะทำให้กัปตันเสียใจ แต่ก็ลืมคิดไปว่ากัปตันก็มีหัวใจ มีสิทธิ์ที่จะรัก มีโอกาสที่จะสมหวังหรือเผชิญการอกหักเหมือนคนทั่วไป ถึงมันจะโหดร้ายกับคนอย่างกัปตันไปบ้าง แต่คงน่าเสียดายมากกว่าถ้าจะมัวแต่กลับเจ็บจนไม่กล้ารักใคร

"ความรักของกูกับกัปตันจะจบตรงไหนกูไม่รู้ กูบอกไม่ได้ กูไม่ใช่หมอดู กูก็แค่ทำตามหัวใจของกู กัปตันก็แค่ทำตามหัวใจของตัวเอง อุปสรรคมันก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่ถ้ากูสองคนรักกันจริง มันก็จะผ่านไปได้ แต่ถ้าคบกันไปแล้วไม่ใช่ กูก็จะไม่ให้กัปตันต้องเจ็บมาก มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ส่วนเรื่องของกูกับมึงน่ะ กูบอกได้เลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะกูไม่เคยคิดอะไรกับมึง และก็จะไม่คิดด้วย! มึงไม่ต้องพยายามเอาชนะให้เสียเวลา!" อะตอมกระแทกเสียงตอนท้าย

ดูความใจร้ายของอะตอมเอาละกัน มันพูดใส่หน้าผมโดยไม่สนใจความรู้สึกของผมบ้างเลย ผมแอบรักมันมาตั้งนาน รู้สึกดีๆ กับมันมาตลอด แต่มันกลับไม่เคยเห็นค่า ซ้ำยังพูดทำร้ายจิตใจผมอย่างไม่ปราณีปราศรัยด้วย

"มึงนี่โคตรใจร้ายเลยว่ะอะตอม" ผมว่ามันไปพร้อมกับสะอื้น น้ำตาพานไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดของมันเหมือนเอาหินมาทุบหัวใจสดๆ ของผม

"มึงใจร้ายกับกัปตันก่อนนะเว้ย เพราะฉะนั้น…กูก็จะใจร้ายกับมึงมั่ง พอใจเมื่อไหร่กูถึงจะหยุด"

อะตอมพูดจบก็เดินหนีไปอย่างไม่แยแส ร่างสูงโปร่งและหุ่นนายแบบเคยดึงดูดใจผมอย่างมาก แต่ตอนนี้มองแล้วกลับเจ็บปวดใจทั้งที่เป็นร่างเดิมที่ผมคุ้นเคยมาหลายปี ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงอยากเอาชนะและคิดจะแก้แค้น แต่ตอนนี้ผมบอกตัวเองไม่ได้เลยว่าอยากทำอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งจู่ๆ ใบหน้าของใครบางคนก็ผุดแทรกขึ้นมาในความคิด

ผมวิ่งออกจากด้านหลังอาคารที่พี่โดมเคยนัดผมมาเจอคราวนั้น มุ่งตรงไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ซึ่งผมมั่นใจว่าจะได้เจอใครคนหนึ่ง หัวใจที่เจ็บปวดของผมจะได้รับการปลอบประโลมจนทุเลาจากเขา ยกเว้นว่าเขาจะใจร้ายกับผมอีกคน แต่ผมก็คิดว่าไม่

ที่จริงมันก็ไกลจากที่ที่ผมคุยกับอะตอมไม่น้อย แต่ผมก็พาตัวเองวิ่งมาจนถึงคณะที่ว่าจนได้ แม้จะเริ่มเย็นแล้วแต่ก็ยังมีนักศึกษาเดินไปมาหนาตา ส่วนมากนั่งหรือยืนจับกลุ่มคุยกัน บางส่วนก็เริ่มทยอยกลับบ้านหรือออกไปเที่ยวข้างนอกตามประสา

ผมหยุดยืนท่ามกลางผู้คนรายล้อมมากหน้าหลายตา สายตาคอยสอดส่ายหาใครคนนั้นไปรอบๆ หวังว่าเขาจะยังไม่กลับบ้านหรือออกไปไหนซะก่อน แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เห็น ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ถามใคร เพราะถ้าใครคนนั้นเกิดมาเพื่อมีความสำคัญกับชีวิตของผมอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมจะเจอเขาเอง โดยเฉพาะในเวลาที่ผมกำลังรู้สึกแบบนี้

สองเท้าผมก้าวเดินต่อไป สายตาสอดส่ายไปทั่ว กระทั่งในที่สุดผมก็เจอคนที่ตามหาจนได้ ชายหนุ่มที่แม้อยู่ในชุดนักศึกษาก็ยังดูภูมิฐานยืนอยู่ตรงนั้น มาดสุขุมทว่าขี้เล่นคือเสน่ห์ที่สาวคนไหนเข้าใกล้ต้องถูกสะกด แม้เสน่ห์จะร้ายกาจขนาดไหน เขาก็ยังครองตัวเป็นโสดมาจนถึงปีสี่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

"พี่โดม" ผมร้องเรียกคนที่ยืนหันหลังให้ซึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนๆ แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมก็จำได้ว่าเป็นคนนี้ เขาคงมีบางอย่างที่น่าประทับใจสำหรับผม ผมจึงแยกเขาออกแม้ในท่ามกลางฝูงชน

ทันทีที่พี่โดมหันมา ผมก็ถลาเข้าไปกอดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าพี่เขาตกใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ถึงอย่างนั้นหูของผมก็ยังพอได้ยินเสียงฮือฮาของนักศึกษาคณะวิศวะรอบทิศทาง

"มันใจร้ายมากเลยน่ะพี่ มันโคตรใจร้ายเลย" ผมละล่ำละลัก ไม่รู้ว่าคนฟังเข้าใจบ้างหรือเปล่า แต่สองมือที่วางลงบนหลังของผมเบาๆ น่าจะแปลว่าพี่เขาคงเข้าใจบ้าง

"เดี๋ยวกูมานะเว้ย"

ผมได้ยินเสียงพี่โดมบอกเพื่อนๆ ก่อนที่เขาจะลากแขนผมเดินห่างออกไปจากฝูงชน ท่ามกลางความสงสัยของใครต่อใคร บ้างก็กระซิบกระซาบ บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือให้เพื่อนดู บ้างก็ส่งสายตามองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน เพราะพี่โดมแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเทพบุตรของคณะ เป็นที่จับตามองไม่ว่าจะปรากฎกายขึ้นที่ไหน อยู่ๆ โดนเด็กที่ไหนวิ่งมากอดแบบนี้ ใครต่อใครก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา

พี่โดมพาผมเดินมาหลังคณะ มีต้นจามจุรีใหญ่ๆ หลายต้นให้ร่มเงา มีนักศึกษานั่งคุยกันตามจุดต่างๆ บ้าง แต่ก็บางตาเมื่อเทียบกับด้านหน้า เราสองคนนั่งลงบนโต๊ะไม้ที่จัดไว้มุมหนึ่ง นอกจากตรงที่เรานั่งแล้วก็ยังมีตามจุดอื่นๆ ด้วย

"เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ กูตกใจหมดเลย" พอนั่งลงพี่โดมก็ถาม แต่ฟังดูไม่รื่นหูเอาซะเลย

ผมยังไม่ทันจะพูด พี่โดมก็บ่นต่อ "ขนาดสาวๆ ยังไม่กล้าวิ่งมากอดกูแบบนี้เลยนะเว้ย ป่านนี้เขาคิดกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว"

"อ้าว" ผมหน้าเหวอ แทบจะเศร้าไม่ออกเลย อารมณ์เมื่อกี้แทบจะหายไปหมด

"ไม่ต้องมาอ้าวเลยมึง กูเสียหายนะเว้ย" พี่โดมต่อว่าผมต่อ

"งั้นผมกลับก็ได้" ผมลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนี

พี่โดมฉุดข้อมือผมไว้ทันทีและทำเสียงดุ "จะไปไหนวะ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน"

ผมนั่งลงตามเดิม แต่คราวนี้ผมนั่งเงียบๆ และก้มหน้า

"ใครใจร้าย" พี่โดมถามสั้นๆ

ผมเงยหน้าสบคู่ดวงตาเข้ม ถึงจะไม่ขาวเท่ากัปตัน แต่พี่โดมก็มีใบหน้าสะอาดใสไม่แพ้ลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง

"อะตอม" ผมตอบสั้นๆ ก่อนก้มหน้าต่อ

"มันทำอะไรมึง"

"เปล่า" ผมตอบเบาๆ

"อ้าว ถ้าเปล่าแล้วมึงมาว่ามันใจร้ายได้ยังไงวะ"

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่โดมอีกครั้ง สีหน้าบ่งบอกว่ายุ่งยากใจ "ผมไปขอโทษมันมาแล้ว"

"แล้วไงต่อ" พี่โดมทำท่าอยากรู้

"มันไม่ยกโทษให้ผม แล้วมันก็บอกว่า…มันจะทำให้ผมเจ็บต่อไป จนกว่ามันจะพอใจ โคตรใจร้ายเลยน่ะพี่" พูดไปแล้วผมก็ทำท่าจะร้องไห้ สีหน้าขุ่นๆ ของพี่โดมจึงดูอ่อนลง

"ก็มึงไปทำซะขนาดนั้น เป็นใครก็โกรธทั้งนั้นแหละ" แทนที่จะปลอบ พี่โดมกลับว่าซ้ำ

"อ้าว" ผมแทบจะหยุดร้องไห้ไม่ทัน

"ขอโทษคำเดียวไม่พอนะเว้ย ถ้ามึงอยากแสดงความจริงใจ ถ้ามึงสำนึกจริงๆ มึงก็ต้องยอมไม่ใช่เหรอวะ ไม่งั้น…ก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามึงสำนึกแล้ว ทำผิดแล้ว…มึงก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นด้วย แค่ขอโทษไม่ได้นะเว้ย"

พี่โดมพูดเหมือนอะตอมเป๊ะ กระนั้นผมกลับไม่รู้สึกว่ากำลังถูกซ้ำเติม ทั้งๆ ที่เป็นข้อความเดิม ต่างกันแค่คนพูด

"แต่มันเจ็บนะพี่" ผมเถียงเสียงอ่อยๆ

"เจ็บก็เจ็บสิวะ ไม่ต้องมาสำออยเลย เพราะที่มึงทำน่ะ คนอื่นเขาก็เจ็บ มึงทำเขาเจ็บ มึงก็ต้องชดใช้ด้วยความเจ็บของมึง มันถึงจะเมกเซ้นส์เว้ย"

"อ้อ" ผมรับคำไปอย่างนั้น

"ถ้ามึงไม่อยากเจ็บ ก็เลิกรักสิวะ แค่นี้มันก็ไม่เจ็บแล้ว" พี่โดมแนะนำราวกับว่าใครๆ ก็ทำได้ง่ายๆ

"ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิพี่" ผมเถียง

"ถ้ามึงคิดว่ามันง่ายมันก็ง่าย ถ้าคิดว่ามันยากมันก็ยาก" พี่โดมพูด ผมก็อยากเห็นด้วยอยู่หรอก แต่มันก็ยังขัดกับความรู้สึก

"คนทำผิดไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรมากนะเว้ย มึงก็ต้องยอมไว้ก่อน ไม่งั้นใครเขาจะเชื่อวะว่ามึงสำนึกจริง เพราะฉะนั้น เจ็บมากเจ็บน้อยมึงก็อย่าบ่น เพราถ้ามึงบ่นไม่หยุด ไม่ใช่แค่อะตอมนะเว้ยที่จะไม่เชื่อว่ามึงจริงใจ กูก็จะไม่เชื่อมึงด้วย" พี่โดมเตือนสติผมต่อ เจอไม้นี้ผมก็เถียงไม่ออก

ผมนิ่งเงียบและครุ่นคิด น่าจะหมายความว่าผมคงยอมรับกลายๆ ไปแล้ว

"ไอ้เรื่องนั้นก็เหมือนกันนะเว้ย กูรับปากไม่ได้หรอกว่าจะไม่มีคนรู้ แต่ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมา มึงก็ต้องทำใจ ยอมรับผิด ห้ามโวยวายเด็ดขาด แล้วก็ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น มันไม่มีประโยชน์หรอก" พี่โดมไพล่ไปถึงอีกเรื่อง

นี่คือเรื่องที่ผมกลัวมากที่สุด คิดแล้วก็นึกโมโหตัวเองไม่หายที่ปล่อยให้ด้านมืดพาไปจนเตลิด "ถ้ามีคนรู้ ผมจะทำยังไงดีครับพี่โดม"

พี่โดมพลอยหน้าเครียดไปด้วย แต่ถึงจะคิดหาทางออกยังไง ผมก็รู้ว่าคงต้องเจ็บตัวหนักจากเรื่องนี้ ทุกวันผมจึงคอยเฝ้าภาวนาว่าอย่าให้มีคนที่ผมรู้จักรู้เรื่องนี้เลย

"ไม่รู้เว้ย เอาเป็นว่า…มึงอยู่เฉยๆ อย่าโวยวาย ใครถามอะไรก็พูดความจริง เพราะถ้ามึงโกหก เรื่องมันจะไม่จบ แต่มึงไม่ต้องกลัวหรอก เพราะกูเข้าใจมึง ถ้ามึงทำตัวดีๆ กู…จะอยู่ข้างๆ มึงเอง"

"พี่โดม" ผมครางด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครพูดกับผมแบบนี้ แม้กระทั่งที่บ้านของผมเอง ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาเขาคงเอาผมตาย

"ไม่ต้องมากอดกูเลยนะเว้ย เดี๋ยวเขาก็เข้าใจผิดกูอีกหรอก" พี่โดมรีบร้องห้ามเมื่อเห็นผมทำท่าจะโผเข้ากอด

"โธ่พี่ ไหนๆ เขาก็เข้าใจผิดไปแล้ว" ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ จะว่าไปพี่โดมก็มีมุมน่ารักหลายมุมเหมือนกัน

"ครั้งเดียวกูยังพออธิบายได้เว้ย แต่ถ้าหลายครั้งชิบหายแน่" พี่โดมว่า

"ครับ ไม่กอดก็ได้" ผมรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนพูดทีเล่นทีจริง "แต่…ผมก็ต้องการคนปลอบใจนะพี่"

พี่โดมชะงัก สีหน้าท่าทางที่แสดงออกทำเอาผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่พอเอ่ยปากพูดเท่านั้น ผมก็แทบจะหงายหลังตกม้านั่ง "คนที่กูจะปลอบน่ะ ต้องเป็นคนสำคัญเท่านั้นเว้ย"

ผมหน้าเจื่อนจ๋อย รู้สึกน้อยใจที่ตัวเองคงไม่ใช่คนสำคัญคนนั้น ทำได้แค่ยอมรับสภาพ "ครับ"

"เออ ว่าแต่เย็นนี้…มึงรีบไปไหนไหม" พี่โดมเปลี่ยนเรื่อง

"ไม่มีครับ ว่าจะกลับคอนโด อาจารย์ฝากงานเขียนแบบให้ทำส่งพรุ่งนี้"

"ใช้เวลาทำนานไหม"

"ไม่นานหรอก ชั่วโมงเดียวก็น่าจะเสร็จ" ผมบอกไป

"งั้น…เย็นนี้ไปกินข้าวกับกูไหม กูรู้จักร้านอาหารไทยร้านหนึ่ง เขาทำน้ำพริกอร่อยนะเว้ย สนใจเปล่า"

"ชวนผมไปเดตเหรอ" ผมแหย่และยิ้มยียวน

"เดตเหี้ยอะไรของมึง แดกน้ำพริกนี่นะ กูสงสารเด็กตาดำๆ เฉยๆ เว้ย" พี่โดมพูดเฉไฉ

"อ๋อ งั้นก็แสดงว่าพี่โดมอยากปลอบใจผมใช่ไหม" ผมไม่วายแหย่เล่นอีก

"นี่ ปลอบพ่อมึงน่ะสิ" พี่โดมพูดพลางตบหัวผมเบาๆ "จะไปหรือไม่ไป เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจนะเว้ย"

"ไปครับพี่" ผมรีบยืนยัน พลางก็หัวเราะไปด้วย

"เออ งั้นรอกูอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูไปเก็บของที่ห้องก่อน"

"ครับพี่" ผมรับคำอย่างว่าง่าย

"เดี๋ยวกูมา อย่าไปไหนนะมึง"

พี่โดมพูดเสร็จก็ลุกขึ้น ไม่นานก็เดินแกมวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร ผมมองตามแล้วก็เผลอยิ้ม เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าความเสียใจเมื่อกี้เริ่มหายไปแล้ว ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าวันพรุ่งนี้ผมจะยังรู้สึกกับอะตอมเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ถ้ามันเปลี่ยนไปได้ก็จะดีไม่น้อย

ไม่ถึงสิบนาทีพี่โดมก็เดินกลับมาหาผม เก็บของคงไม่นานเท่าไหร่ แต่ร่ำลาเพื่อนน่าจะนานกว่า ผมรีบหยุดอ่านเฟสบุ๊คแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะออกไป "เดตน้ำพริก" กับเทพบุตรสุดหล่อของคณะวิศวกรรมศาสตร์ตุลา

"ไม่ต้องทำหน้าดีใจเว่อร์ขนาดนั้นก็ได้" มาถึงพี่โดมก็ว่า

"ก็ผมอยากกินน้ำพริกไง ไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว" ผมยิ้มเขิน

"ผู้ชายอะไรวะ ชอบแดกน้ำพริก" พี่โดมค่อนขอดอย่างไม่จริงจังนัก

"ผมถึงได้หล่อแล้วก็ผิวดีไง" ผมยิ้มยียวน

"โธ่ อย่างมึงนี่นะหล่อ ถ้ามึงหล่อ อย่างกูจะเรียกว่าอะไรวะ"

"เรียกว่าโคตรหล่อก็ได้ครับ" ผมชมกึ่งหยอก พี่โดมถึงกับชะงักและอึ้งไปชั่วครู่

"ไปได้แล้ว แดกๆ แล้วจะได้รีบกลับมาทำงาน" พี่โดมตัดบท จากนั้นก็เดินนำผมออกไปก่อน ผมรีบเดินตามไปทันที

"แล้วจะไปยังไงล่ะพี่ ไปรถไฟฟ้าเหรอ"

"วันนี้กูเอารถมาเว้ย ร้านที่จะไปมันไม่มีรถไฟฟ้า" พี่โดมหันมาตอบ

"อ๋อ" ผมลากเสียง ก่อนเดินตามพี่โดมไปยังอาคารจอดรถอย่างเงียบๆ

"กูได้ข่าวว่ามึงมีผู้หญิงมาจีบ แต่มึงชอบพูดจาไม่ดีกับเขา ทำไมวะ" จู่ๆ พี่โดมก็ถามเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าไปได้ข้อมูลมาจากไหน แสดงว่าคงสนใจผมไม่มากก็น้อย ไม่งั้นคงไม่รู้เรื่องพวกนี้

"ก็ผมไม่ชอบผู้หญิง" ผมตอบสั้นๆ พี่โดมถึงกับหยุดเดินและหันมามอง ผมจึงถามกลับบ้าง "แปลกเหรอพี่ ก็ผมเพิ่งบอกพี่ว่าผมชอบอะตอม อะตอมเป็นผู้ชายนะพี่"

"เออ ก็จริงว่ะ" พี่โดมเกาหัว ก่อนหัวเราะเก้อๆ พอหยุดก็ถามต่อ "แล้วมึงเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงไหม"

"เคยครับ"

"เมื่อไหร่"

"ตอนมอหก"

"เลิกกันแล้วงั้นสิ" พี่โดมถามอย่างรู้ทัน

"ครับ" ผมยอมรับ

"ปากไม่ดีกับเขางั้นสิ" พี่โดมรู้ทันอีก

"ครับ" ผมหัวเราะแหะๆ

"ไม่ชอบผู้หญิง แล้วมึงจะเสือกมีแฟนเป็นผู้หญิงไปทำไมวะ" พี่โดมสงสัย

"ก็ผมไม่อยากให้ที่บ้านสงสัย" ผมตอบทันควัน

"เขาไม่ยอมรับเหรอถ้ามึง…ไม่ชอบผู้หญิง"

"ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมกลัวไว้ก่อน ป๊าเคยถามผมไงว่าผมมีแฟนหรือยัง ผมกลัวเขาสงสัยก็เลยจีบๆ ไปบ้าง แล้วพี่โดมล่ะ เมื่อก่อนพี่มีแฟนเป็นผู้หญิง แล้วพี่คิดยังไงถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายบ้าง"

"ถามกูตรงๆ อย่างงี้เลยเหรอวะ" พี่โดมทำหน้าอึ้งๆ

"อ้าว แล้วพี่จะให้ผมถามพี่แบบไหนล่ะ ก็ผมอยากรู้เรื่องนี้" ผมย้อนเข้าให้ ก่อนถามซ้ำ "ว่าไงล่ะพี่ พี่คิดยังไงกับเรื่องนี้"

"ก็ไม่ได้คิดอะไรนี่" พี่โดมตอบเสียงเรียบ

"อ้าว แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะพี่"

"มึงเข้ามาเรียนนี่ได้ ก็ไม่น่าจะโง่นะเว้ย ต้องให้กูอธิบายอีกเหรอวะ" พี่โดมเฉไฉอีกตามเคย

"อ้าว ก็ผมไม่อยากเดา เกิดเดาผิดล่ะ"

"ก็เรื่องของมึง"

"งั้น…ผมเดาว่าพี่โอเคกับเรื่องนี้ละกันนะครับ" ผมยื่นหน้าไปยิ้มยียวน

"เออ แล้วแต่มึงจะคิด" พูดจบพี่โดมก็เดินออกไป เหมือนไม่อยากให้ผมเห็นอะไรบางอย่าง

ผมรีบเดินตามพี่โดมไป พลันก็เห็นว่าหน้าพี่โดมดูแดงๆ ผมจึงได้ทีถามกวน "แล้วทำไมพี่ต้องหน้าแดงด้วยล่ะ"

"นี่แน่ะ หน้าแดงเหี้ยอะไรของมึง" พี่โดมตบหัวผมเบาๆ

"อ้าว ก็มันแดงจริงนี่นา แล้วทำไมต้องตบหัวผมด้วย" ผมแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอด พลางก็เอามือลูบหัวเบาๆ ตรงที่โดนตบ

"ปากอย่างนี้ สมควรโดนไหมล่ะ" พี่โดมหันมาว่า

"ไรวะ" ผมแกล้งบ่นเสียงมุบมิบ ถึงอย่างนั้นก็เดินตามไม่ห่าง

"กินเสร็จแล้ว พี่ไปส่งผมที่บ้านได้เปล่า"

"แล้วมึงคิดว่ากูจะให้มึงเดินกลับหรือไง" พี่โดมกวนผมคืนบ้าง

"พี่โดมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก ผมรู้"

"แล้วมึงจะถามทำเหี้ยอะไรวะ" พี่โดมหันมาขึงตาใส่เล็กน้อย

"ก็ชวนคุยไง พี่จะให้ผมเดินไปกับพี่แล้วก็ไม่พูดไม่จาเหรอ" ผมแก้ต่าง

"มึงนี่กวนตีนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย" พี่โดมว่าไม่จริงจัง

"ขอบคุณที่ชมครับพี่" ผมรับสมอ้าง

"ชมเหี้ยอะไร กูด่ามึงเว้ย"

"อ้าว ด่าเหรอ ทำไมผมรู้สึกเหมือนพี่โดมชมผมเลย" ผมแหย่ต่อ

"หุบปากได้แล้ว ไม่งั้นกูจะเปลี่ยนใจ" พี่โดมหันมาขู่

"ครับพี่" ผมหัวเราะ แต่หุบปากได้ไม่นานผมก็อ้าปากถามอีก "ตกลงพี่จะไปส่งผมหรือเปล่า"

"เออ" พี่โดมทำหน้าเหมือนรำคาญ แต่ผมก็เห็นว่าพี่เขาแอบยิ้มด้วย

ความรู้สึกที่ผมมีต่ออะตอม เมื่อคิดทบทวนดูแล้วก็เหมือนความหลง คงเป็นเพราะมันเป็นนายแบบ ภาพของมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นี้ แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่โดมช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ความหลงจนผมนึกอยากจะวิ่งเข้าหาและฉุดแย่งมาจากใคร แต่เป็นความรู้สึกอุ่นๆ บางครั้งก็เย็นๆ ไม่รุ่มร้อนเป็นไฟ เมื่ออยู่ใกล้ก็รู้สึกเย็นใจและอบอุ่นไปด้วย

นี่คือข้อดีของการคบกับคนที่อายุต่างกัน ความรู้สึกแบบนี้ใช่จะหาได้ง่ายๆ จากเพื่อนหรือคนวัยใกล้เคียง นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่ผมอยากได้และตามหามานาน ผู้ชายที่อบอุ่นและเป็นที่พึ่งทางใจให้ผมได้ ถ้าใช่…ก็คงถึงเวลาที่ผมจะปล่อยพันธนาการที่ผูกไว้กับอีกคนซะที

หวังว่าเดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะเย็นนี้จะทำให้ผมได้คำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเอง


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 28-05-2017 14:56:37
กลับตัวกลับใจก็ดีนะอิน แต่ไม่อยากยกพี่โดมให้เลยยย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-05-2017 16:50:57
ดีใจด้วยที่อินจะปรับปรุงตัว
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 28-05-2017 17:49:34
ขอบคุณที่มาต่อครับ

ชอบความละมุน ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-05-2017 20:07:05
อิน คิดได้ก็ดีกับตัวเอง
ทั้งอะตอม พี่โดม ต่างก็พูดตรงกัน
ที่อินชอบอะตอม เป็นความหลงรูปร่างหน้าตามากกว่า
แล้วปักใจว่าเป็นความรัก
รอดูความชอบของอิน จะเปลี่ยนได้มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-05-2017 20:52:12
พี่โดมใจเย็นดีจัง  :-[
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-05-2017 20:52:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 29-05-2017 00:58:42
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP13 เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ ♿ 28.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 29-05-2017 20:53:19
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 04-06-2017 15:55:34
EP14 (Part 1)
เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมเดินทางออกต่างจังหวัด ที่ผ่านมาก็ไปนั่นไปนี่บ้าง แต่ก็อยู่ในกรุงเทพหรือปริมณฑลเป็นส่วนใหญ่ การได้ออกมาสูดอากาศที่เบาขึ้น เห็นทิวทัศน์ไร้สิ่งกีดขวางได้กว้างไกลขึ้น ได้สัมผัสสายลมแสงแดดมากขึ้น ร่ายกายและจิตใจก็ดูเหมือนจะเบาขึ้นตามไปด้วย

เมื่อวานเรามาถึงที่เกาะเสม็ดกันเกือบๆ หกโมงเย็น แม่ให้ลูกน้องที่โรงงานขับรถมาส่งผมกับอะตอมที่ท่าเรือบ้านเพ จากนั้นก็กลับไป วันกลับถึงจะมารับอีกที ตอนแรกผมว่าจะขับรถมาเองอยู่แล้ว แต่แม่ยังไม่ไว้ใจก็เลยหาคนมาขับให้ ผมก็ต้องยอมตามที่แม่บอก เพราะไม่งั้นอาจจะไม่ได้มา เพราะฝีปากอะตอมแท้ๆ ผมจึงได้พาตัวเองมาอยู่ที่นี่

การเดินทางด้วยเรือลำบากพอสมควร โชคดีมีผู้ชายมาด้วยถึงสามคน ก็เลยช่วยกันยกวีลแชร์ผมขึ้นเรือได้ไม่ยาก พอมาขึ้นฝั่งที่เกาะเสม็ด เราก็เดินทางด้วยรถสองแถว ผมนั่งหน้าข้างคนขับ ส่วนรถเข็นก็พับเก็บไว้ด้านหลัง ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงที่พักแถวๆ หาดทรายแก้ว

ผมกับอะตอมพักด้วยกันสองคนที่ห้องชั้นล่าง อะตอมเป็นคนหาข้อมูลว่ามีรีสอร์ทที่ไหนบนเกาะเสม็ดที่วีลแชร์มาพักได้บ้าง ก็พอดีเสิร์ชมาเจอที่นี่ อะตอมจึงบอกให้ติ๊งเปลี่ยนที่พัก ติ๊งก็ยอมเปลี่ยนเพราะอะตอมขู่ว่าถ้าไม่เปลี่ยนจะไม่มาด้วย แต่ถึงจะเคยมีวีลแชร์มาพักก่อนหน้านี้ ก็ใช่ว่าผมจะไปได้ทุกจุด บางจุดก็มีบันไดสองสามขั้น พาให้รู้สึกอัดอัดบ้างเพราะถูกจำกัดพื้นที่ด้วยอุปสรรคทางกายภาพ

เมื่อวานมาถึงเราก็ออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดื่มกันนิดหน่อย มีการแสดงกระบองไฟให้ชมด้วย น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว เราอยู่กันไม่ดึกมากนัก ไม่ถึงห้าทุ่มก็กลับมานอน ตื่นเช้ามาเราก็มานั่งทานอาหารเช้าริมทะเล ก็ไม่ถึงกับริมมาก เพราะลานไม้ที่เรานั่งกินข้าวอยู่ห่างจากทะเลสิบกว่าเมตร แต่ก็มองเห็นทะเลสีฟ้าได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แดดแรงพอสมควรเพราะเก้าโมงกว่าแล้ว แต่ลมทะเลก็ช่วยให้เย็นสบาย

"สองสาวยังไม่ตื่นอีกเหรอ" พี่ที่ชื่อฝางถาม ผู้ชายอีกสองคนที่มาด้วยชื่อฝางกับเอิร์ธ เป็นพี่ที่อะตอมเคยทำงานด้วยบ่อยๆ ก็เลยสนิทกัน

"ตื่นแล้ว แต่ไม่รู้ออกไปไหน" พี่เอิร์ธบอก พี่ทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นสบายๆ รวมทั้งอะตอมด้วย มีแต่ผมที่แต่งตัวเรียบร้อยหน่อย ใส่เสื้อยืดโปโล กางเกงยีนส์ขายาวและสวมรองเท้าผ้าใบ

"สงสัยจะไปเดินเล่นมั้งพี่" อะตอมเดา ก่อนหันมาถามผม "ไงมึง ชอบไหมที่นี่"

ผมพยักหน้าเร็วๆ "อืม ก็โอนะ เคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้"

"แต่ไม่ค่อยมีทางลาดเลยว่ะ สงสัยแถวนี้ยังไม่ค่อยรู้เรื่องยูดี" อะตอมบ่น แล้วก็หันไปบอกพี่สองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม "เนี่ย เมื่อก่อนนะพี่ จะไปไหนผมไม่เคยสนใจเรื่องทางลาดหรือห้องน้ำคนพิการเลย แต่พอมีเพื่อนใช้วีลแชร์ ไปไหนผมก็จะคอยสังเกต"

"เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะขึ้นนะ ห้างก็มีแทบทุกห้างแล้วมั้ง อย่างปั๊มใหญ่ๆ ตามต่างจังหวัดก็มีห้องน้ำ มีทางลาด ขามาพี่ก็เห็นหลายปั๊มเลย" พี่ฝางเออออ

"อย่างรีสอร์ทนี้ก็เกือบสะดวกนะ แต่พี่รู้สึกว่าตรงสระว่ายน้ำน่าจะลงไม่ได้ เห็นมีแต่บันได" พี่เอิร์ธเสริม

"ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวผมพากัปตันไปเอง ผมฟิตร่างกายมาพร้อมแล้ว เข้ายิมที่คอนโดทุกวันก่อนมาเลย เนี่ย...ผมวางแผนว่าช่วงปิดเทอมจะพากัปตันไปเที่ยวภูเขา เขาอยากไป" อะตอมเล่าพลางยิ้มมีความสุข

"โห แล้วจะเข็นขึ้นภูเขาไหวเหรอ" พี่ฝางสงสัย ทั้งพี่เอิร์ธและพี่ฝางมีบุคลิคคล้ายๆ กันบางอย่าง ออกไปโทนสนุกและขี้เล่น แววตาเจ้าชู้หน่อยๆ สิ่งที่ต่างที่ผมเห็นได้ชัดคือพี่ฝางดูสุขุมกว่าเล็กน้อย

"ไหวดิพี่ กัปตันอยากไปไหน ผมพาไปได้หมดแหละ" อะตอมหันมายิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบบางๆ

"เออ...แล้วนึกยังไงมากับติ๊งล่ะ" พี่เอิร์ธเปลี่ยนเรื่อง

"อยากมาเที่ยว ผมชอบทะเล ใครชวนไปทะเล ผมไม่ค่อยพลาดหรอก" อะตอมตอบ

"จริงเร้อ ไม่ใช่เพราะว่า..." พี่เอิร์ธทำหน้าล้อเลียน

"เฮ้ยถามจริง จัดไปยัง" พี่ฝางกระซิบถาม

"ยังพี่" อะตอมหัวเราะเขินๆ

ผมพยายามปะติดปะต่อจากสิ่งที่ทั้งสามคนคุยกัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

"อยากรู้เหรอ" พี่เอิร์ธหันมาถามผม ผมได้แต่ยิ้มๆ แต่ไม่พูดอะไร พี่เอิร์ธจึงพูดต่อด้วยสีหน้าทะเล้น "เห็นมันซื่อๆ อย่างนี้นะ เสร็จมันมาหลายรายแล้ว"

"คราวนี้ก็อาจจะเสร็จนะเว้ย เพราะเขาว่ามาเกาะเสม็ด...เสร็จทุกราย เขาวอนท์ซะขนาดนั้น จัดให้เขาหน่อยละกัน เอาให้หนักๆ เลย" พี่ฝางหัวเราะ พี่เอิร์ธก็หัวเราะตามเหมือนเป็นเรื่องขำๆ และธรรมดา

อะตอมทำหน้ายิ้มยาก จะขำก็ไม่ขำ เอาแต่คอยมองหน้าผมเป็นระยะๆ สงสัยจะกลัวผมคิดมาก แต่ผมก็พอเข้าใจเรื่องพวกนี้ หนุ่มสาวสมัยนี้ปากว่ามือถึง ถ้าผมไม่นั่งวีลแชร์ เผลอๆ ก็จะเป็นอย่างเขาเหมือนกัน อะตอมอยู่ในวงการแบบนี้ก็คงมีเรื่องแบบนี้บ้างเป็นธรรมดา แต่ก็แปลกที่มันไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย

แล้วถ้าอะตอมยังทำเรื่องแบบนี้อยู่ล่ะ ผมควรจะรู้สึกยังไงดี เพราะที่ผ่านมาอะตอมแสดงออกว่าชอบผม ถึงขั้นอยากจะขอเป็นแฟนด้วยซ้ำ แต่ช่วงหลังๆ ก็ดูเหมือนเพลาๆ ลงไป บางทีอาจจะได้คำตอบแล้วก็ได้ว่าผมไม่เหมาะกับเขา แม้ว่าฟังดูเศร้า แต่ผมก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

พอกินอาหารเช้าเสร็จ เราก็ยังนั่งคุยกันต่อสบายๆ กะว่าอีกหน่อยจะลงไปเล่นน้ำทะเลกัน รวมทั้งเดินเที่ยวตามจุดต่างๆ บนเกาะด้วย ระหว่างนั้นเอง ติ๊งกับเพื่อนที่ชื่อมายก็เดินแกมวิ่งเข้ามา สีหน้าดูตื่นเต้นด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยและเรียนคณะเดียวกัน มีบุคลิคปราดเปรียวและว่องไวตามประสาสาวสมัยใหม่

"อะตอม ไปขี่มอไซค์เล่นกัน ติ๊งเพิ่งไปเช่ามอเตอร์ไซค์มา ไปไหมๆ" มาถึงติ๊งก็ปรี่มาหาอะตอมก่อนใคร เช้านี้เธอใส่กางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามสีขาวแบบผู้หญิง อวดผิวไหล่ แขน ขาและหลังพอสมควร ส่วนเพื่อนอีกคนก็แต่งตัวคล้ายๆ กัน

อะตอมหันมามองผมเป็นคนแรก คล้ายกับจะขออนุญาตหรือไม่แน่ใจบางอย่าง

"ติ๊งไปเช่ามาจากที่ไหนเหรอ" พี่เอิร์ธหันไปถาม

"ร้านใกล้ๆ ตรงนี้เอง เดินไปขวามือหน่อยก็ถึง" มายตอบแทนเพื่อน ก่อนถาม "พี่ฝางกับพี่เอิร์ธสนไหมล่ะ"

"สนๆ แต่เอาไว้บ่ายๆ ดีกว่า ตอนนี้อยากไปเล่นน้ำทะเลมากกว่า อีกสักพักก็จะไปแล้ว" พี่ฝางหันไปตอบ

"ไปเปล่าอะตอม ไปเหอะนะ สนุกดี เมื่อกี้ติ๊งกับมายขี่เล่นมารอบหนึ่งแล้ว บรรยากาศดีสุดๆ" ติ๊งหันมารบเร้าอะตอมต่อ

"มึงไปเปล่า" อะตอมหันมาถามผมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ หรืออาจจะเกรงใจผมก็ได้

"ไม่ไป มึงไปเหอะ" ผมพยักพเยิด เกือบเผลอพูดไปแล้วว่าแม่ห้ามผมขี่มอเตอร์ไซค์เด็ดขาด โชคดียั้งปากไว้ทัน ไม่งั้นสองสาวและสองหนุ่มร่วมทริปคงคิดว่าผมเป็นลูกแหง่

"ไปเหอะ เดี๋ยวพี่สองคนช่วยดูกัปตันเอง" พี่ฝางพยักพเยิด รอยยิ้มของทั้งพี่ฝางและพี่เอิร์ธดูแปลกๆ แต่สาบานได้ว่าผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

"ไปดิ ไม่ต้องห่วงกูหรอก" ผมสำทับอีกคนและพยายามยิ้มเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร โดยส่วนตัวผมก็ไม่อยากเป็นภาระเพื่อนหรอก ถ้ามาเที่ยวแล้วเพื่อนมัวแต่ห่วงผม ผมคงไม่มีความสุขที่จะมา

อะตอมยังคงมีท่าทางลังเล แต่เมื่ออีกฝ่ายเกาะแขนรบเร้าขนาดนั้น เขาก็คงต้องไป เป็นผมก็คงต้องไปเหมือนกัน

"ผมฝากพี่สองคนดูแลกัปตันแป๊บหนึ่งนะพี่ เดี๋ยวผมมา" อะตอมหันไปบอกพี่ฝางกับเอิร์ธ สองคนนั้นพยักหน้าตกลง ก่อนออกไปกับสองสาว อะตอมก็ไม่ลืมหันมาบอกผม "เดี๋ยวมานะเว้ย"

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นอะตอมก็เดินออกไปกับสองสาวซึ่งแทบจะเรียกว่าลากแขนไปก็ว่าได้ พี่เอิร์ธถึงกับหัวเราะออกมาทันที

"พนันกับกูไหมมึง ถ้ามันไม่เสร็จเขา เขาก็ต้องเสร็จมันแน่ๆ มึงว่าไหม"

"สงสัยจะแซนด์วิช ควบสอง หูย...อิจฉาว่ะ" พี่ฝางตาเป็นประกาย

"ถ้ามันรอดสองสาวนี้ไปได้นะเว้ย มันต้องเป็นเกย์เท่านั้น หรือไม่ก็เกลียดผู้หญิงขั้นรุนแรง"

"แล้วมันเคยรอดเหรอวะ" พี่ฝางหัวเราะร่วน

"อะตอม...เจ้าชู้ขนาดนั้นเลยเหรอพี่" หลังฟังพี่สองคนคุยกันสักพัก ผมก็อดสงสัยไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถาม

"ก็ไม่เท่าไหร่ แต่สาวๆ ชอบมันเยอะ เข้ามาหามันตลอด มันก็เลยไม่เคยอดอยากปากแห้ง" พี่เอิร์ธหันมาตอบ

ถ้าไม่มีผู้หญิงเข้ามาหาแล้วเรียกว่าอดอยากปากแห้ง อย่างผมคงเรียกว่าขาดสารอาหารและเป็นซางตานขโมยไปแล้ว พอได้รู้ข้อมูลนี้ก็ทำให้ผมต้องคิดหนักทีเดียว ผู้ชายอย่างอะตอมจะรักผมได้จริงหรือเปล่า สิ่งยั่วยุที่พร้อมจะพาออกนอกลู่นอกทางมีมากมาย เขาจะอดใจไปได้สักกี่น้ำ แม้กระทั่งผมเองก็เถอะ

"อ้าว เป็นเพื่อนอะตอม...แล้วไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอ" พี่ฝางทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

ผมเผลอทำหน้าเหลอเล็กน้อย ก่อนรีบยิ้มบางๆ กลบเกลื่อน "อ๋อ...ก็พอรู้อยู่พี่ แต่ไม่เคยเห็นกับตา ก็เลยไม่แน่ใจ"

"ของพวกนี้ ใครเขาทำให้เห็นกันล่ะน้อง" พี่เอิร์ธพูดหยอก

"เออ แล้วเราล่ะ...มีแฟนยัง" พี่ฝางถาม

ผมส่ายหน้าพลางขำ "ยังพี่ ใครจะเอาผม ไม่มีหรอก"

"ไม่แน่เว้ย เราก็หน้าตาดีนะเนี่ย แล้วก็ดูคล่องมากด้วย อ้อ พี่จะบอกความลับให้ รู้ไหมว่าสาวๆ แพ้อะไรมากที่สุด" พี่เอิร์ธยิ้มมีเลศนัย

ผมทำท่านึก แต่ก็ไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่หรอก ก็เลยตอบส่งเดช "เงินหรือเปล่าพี่"

"เฮ้ยไม่ใช่ ไม่เสมอไปหรอก อย่างพี่สองคนก็ใช่ว่าจะมีเงินเยอะนะ แต่สาวๆ ชอบ อยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร" พี่เอิร์ธยักคิ้วสองข้างสองครั้งติดกันรัวๆ ดูตลกดี

ผมทำท่านึกอีก แต่คนไม่มีประสบการณ์อย่างผมก็จนปัญญา จึงต้องยอมรับความจริง "ไม่รู้พี่ ทำยังไงเหรอครับ"

พี่เอิร์ธกับพี่ฝางมองหน้ากัน ก่อนหัวเราะเอ็นดูในความไร้เดียงสาของผม สักพักพี่เอิร์ธก็เฉลย "คารมไง อย่างกัปตันก็ทำได้ ต้องรู้จักพูด รู้จักคุย รู้จักหยอด รู้จักแซะ ทำตัวตลกๆ เข้าไว้ เนียนๆ เข้าไว้ เดี๋ยวก็ได้ ไม่ยากหรอก ของแบบนี้ต้องฝึก แรกๆ ต้องยอมกินแห้วหน่อย พี่สองคนกินแห้วบ่อยจะตาย แต่พอทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชำนาญ ลองถามอะตอมดูดิว่ามันทำไง หรือจะปรึกษาพี่สองคนก็ได้ มีไลน์แล้วนี่"

"เฮ้ยไอ้เอิร์ธ มึงจะทำให้น้องเขาเสียคนแล้วนะเว้ย" พี่ฝางปรามเพื่อนไม่จริงจังนัก แถมยังหัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุกด้วย

"ไปเล่นน้ำกันดีกว่า" พี่เอิร์ธเปลี่ยนเรื่อง

"กัปตันไปไหม" พี่ฝางหันมาถาม

"ก็..." ผมทำท่าลังเล

"เฮ้ย เดี๋ยวพี่สองคนช่วย ไ่ม่ต้องเกรงใจ ไปเปลี่ยนชุดเลย เดี๋ยวมาเจอกันตรงล็อบบี้" พี่ฝางเอื้อมมือมาตบลงบนไหล่ผมเบาๆ คล้ายกับจะให้กำลังใจ

ผมพยักหน้าตกลงทันที เพราะใจจริงก็อยากเล่นน้ำทะเลมาตั้งนานแล้ว "ครับพี่"

"โอเค งั้นอีกยี่สิบนาทีเจอกันที่ล็อบบี้นะ" พี่ฝางเสนอ ก่อนถาม "อ้อ จะให้พี่สองคนไปส่งที่ห้องไหม"

"ไม่เป็นไรครับพี่ ใกล้ๆ แค่นี้เอง ผมเข็นไปไม่ถึงนาทีก็ถึงแล้ว" ผมบอก

จากนั้นเราสามคนก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตัวเอง อีกเกือบๆ ยี่สิบนาทีต่อมาก็ออกมาเจอกันที่ล็อบบี้ พี่เอิร์ธกับพี่ฝางใส่กางเกงขาสั้นสำหรับเล่นน้ำทะเลสีสันสดใส ไม่สวมเสื้อ ส่วนผมไม่สวมเสื้อ แต่ใส่กางเกงว่ายน้ำขาสามส่วนสีดำ ก็รู้สึกเขินๆ บ้างเล็กน้อย

ขณะที่เรากำลังจะลงไปที่ทะเล อะตอมก็วิ่งกระหืดกระหอบมาเข้ามาซะก่อน แต่ไม่มีสองสาวตามมาด้วย "ผมไปด้วยนะพี่ รอแป๊บหนึ่ง"

เราสามคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย ก่อนพี่ฝางจะหันไปบอกคนที่วิ่งมา "เออๆ รีบมาละกัน"

อะตอมรีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องทันที ส่วนพวกเราสามคนก็ยืนคุยกันรอไปพลางๆ เมื่อเพื่อนกลับมาแล้ว ผมก็ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อย


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 04-06-2017 16:06:22
EP14 (Part 2)
เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

อะตอมช่วยเข็นผมไปตามทางเดินลงชายหาดหน้ารีสอร์ท ตรงนี้เป็นสนามหญ้าจึงเข็นลำบากหน่อย ต้องยกล้อหน้าขึ้นและเข็นไปด้วย อะตอมช่วยผมบ่อยก็เลยชำนาญและทำเป็น ส่วนพี่ฝางกับพี่เอิร์ธคอยดูห่างๆ และเดินตามมาเงียบๆ

"มึงไม่เคยเล่นน้ำทะเลจริงๆ เหรอวะ" อะตอมยังสงสัยไม่หายเมื่อผมบอกว่าไม่เคยเล่นน้ำทะเลเลย เคยแต่ว่ายน้ำในสระที่บ้านและบางที่ ซึ่งต้องแบ่งโซนลึกกับไม่ลึก คงไม่ต้องถามว่าผมจะเลือกอยู่โซนไหน

"เออ แต่เคยไปเที่ยวทะเล"

"แสดงว่าครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของมึงดิ"

"อืม"

"มึงรู้ไหมทำไมกูรีบมา" อะตอมเปลี่ยนเรื่อง

"จะไปรู้เหรอ" ผมมุ่นคิ้ว

"ก็กูอยากเป็นคนแรกที่พามึงลงน้ำทะเลไง ต่อไป...อะไรที่เป็นครั้งแรกของมึง กูต้องมีส่วนร่วมเว้ย" อะตอมพูดด้วยท่าทางภูมิใจ

"อ้าว แล้วถ้าเขาจะเปิดซิงครั้งแรก มึงก็จะมีส่วนร่วมด้วยเหรอวะ" พี่เอิร์ธหันมาถามติดตลก พอรู้จักกันมาได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าพี่เขาดูทะลึ่งๆ ชอบกล

"ชัวร์อยู่แล้ว เดี๋ยวผมเปิดซิงมันเป็นคนแรกเลยดีไหมพี่" อะตอมพูดทะลึ่งและหัวเราะไปด้วย

"เฮ้ย นี่มึงเปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอวะ" พี่เอิร์ธสัพยอก

"คงงั้นมั้งพี่" อะตอมรับสมอ้างทีเล่นทีจริง พวกเราพากันหัวเราะและไม่คิดอะไรจริงจังกับเรื่องนี้นัก

เมื่อล้อวีลแชร์ผมสัมผัสกับหาดทรายขาวละเอียด ล้อรถวีลแชร์ก็เริ่มมีปัญหากับพื้นทราย แต่ก็ไม่เหลือกำลังของอะตอม ไม่นานเขาก็พาล้อวีลแชร์ของผมมาสัมผัสน้ำทะเล ผมเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น จากที่เห็นว่ามันสวยอยู่แล้ว เมื่อได้สัมผัสของจริงก็ยิ่งเห็นว่าสวยกว่าเดิม กลิ่นไอทะเลลอยปะทะเข้าจมูกผมเต็มๆ มันบริสุทธิ์จนผมเผลอสูดอากาศหายใจลึกๆ และหลับตาพริ้ม คนพามายิ้มภูมิใจใหญ่

"มึงอยากสัมผัสน้ำทะเลยัง" ดูท่าอะตอมจะตื่นเต้นตามผมไปด้วย ทั้งๆ ที่มันมาเที่ยวทะเลนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

"มึงจะพากูลงไปทั้งวีลแชร์เลยเหรอ" ผมทำหน้าตกใจ

"ไอ้บ้า เดี๋ยวกูอุ้มมึงลง จะลงยัง" อะตอมถามอีกรอบ

ผมรีบพยักหน้า อะตอมจึงย่อตัวลงมาช้อนตัวผม ก่อนอุ้มและพาลงไปในน้ำเหมือนอุ้มเจ้าสาว พี่ฝางกับพี่เอิร์ธพากันยืนมองดูด้วยสายตาแปลกๆ อะตอมวางผมลงตรงที่น้ำไม่ลึกมาก ไม่นานความเปียกชื้นก็แล่นแทรกซึมมาตามเนื้อผ้าและผิวกาย สัมผัสน้ำทะเลแรกของผมจึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์

"โห...เย็นว่ะ" ผมทำท่าเอามือกอดอก

"เดี๋ยวก็หายแล้ว มันจะหนาวแค่ตอนแรกๆ เท่านั้นแหละ เดี๋ยวร่างกายก็ปรับตัวได้" อะตอมปลอบ ก่อนบอก "อยู่นี่แป๊บหนึ่งนะเว้ย เดี๋ยวกูเอาวีลแชร์ไปเก็บให้"

"อืม" ผมหันไปยิ้มให้เพื่อน

อะตอมวิ่งฉิวขึ้นไปบนชายหาด เขาพับวีลแชร์ของผมแล้วเอาไปเก็บไว้ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ริมหาดพอดี ไม่นานก็วิ่งกลับมาหาผมและนั่งลงข้างๆ กัน

"ถ่ายรูปไหม อวดป๊ากับแม่มึงหน่อย" อะตอมบอกพลางหยิบโทรศัพท์ที่แขวนคอไว้ออกมา มีซองกันน้ำพลาสติกใสหุ้มไว้อย่างดี สามารถเลือกกดถ่ายรูปโดยใช้ปุ่มวอลลุ่มแทนได้ หรือจะใช้จอสัมผัสก็ได้ แต่ไม่สะดวกเท่าไหร่

ผมยังไม่ทันตอบ อะตอมก็เอียงหัวมาชิดกับผม ยื่นมือข้างที่ถือโทรศัพท์ออกไปข้างหน้า ก่อนกดถ่ายก็ไม่ลืมหันมาเตือนผม

"ยิ้มหน่อยสิวะ ครั้งแรกของมึงนะเว้ย ทำหน้าให้มันมันๆ หน่อย"

ผมยิ้มทันที เพราะขำที่มันพูดเมื่อกี้ อะตอมกดถ่ายไปสองสามรูป ด้วยความใจร้อนและอยากเอาขึ้นเฟสบุ๊คเลย มันจึงถอดโทรศัพท์ออกจากซองกันน้ำ จากนั้นก็รีบอัปรูปขึ้นไปพร้อมกับข้อความหนึ่ง

"สัมผัสน้ำทะเลแรกของกัปตัน โคตรตื่นเต้นเลย ดูหน้าเพื่อนผมสิ"

ไม่ถึงนาที เพื่อนๆ ญาติๆ และคนรู้จักก็มาคอมเมนต์กันใหญ่ ขนาดลมหนุนยังเข้ามาคอมเมนต์เลย สงสัยวันนี้น้องชายผมคงนอนดึก เพราะตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มที่อเมริกาแล้ว

อะตอมยื่นโทรศัพท์ให้ผมอ่านคอมเมนต์สักพัก ก่อนเก็บโทรศัพท์ใส่ซองกันน้ำและคล้องคอไว้ตามเดิม

เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็พบว่าพี่ฝางกับพี่เอิร์ธเล่นน้ำอยู่ไกลออกไปแล้ว ถ้ามาอยู่กับผมคงวิ่งเล่นสนุกสนานแบบนั้นไม่ได้ บางทีผมก็แอบนึกสงสารอะตอม ไม่รู้ว่าเขาอยากวิ่งเล่นผาดโผนตามประสาผู้ชายหรือเปล่า มาอยู่กับผมอย่างนี้คงน่าเบื่อไม่น้อย

"เออ หลังๆ เนี่ย แม่กูไม่ค่อยจ้ำจี้จ้ำไชกับกูเท่าไหร่ว่ะ เมื่อก่อนนะเว้ย โทรหากูทุกวัน ห่วงกูทุกเรื่องเลย แต่เดี๋ยวนี้...ไม่ค่อยโทรมาแล้ว สองสามวันโทรมาที" ผมเปรยให้เพื่อนฟังขณะนั่งให้คลื่นซัดเล่นสบายๆ

"อ้าว แล้วมึงไม่ชอบเหรอ" อะตอมเอียงคอ

"ชอบดิ ค่อยรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาหน่อย แต่กูก็สงสัยไงว่าทำไม"

"มึงไม่รู้จริงๆ เหรอ" อะตอมถามยิ้มๆ

ผมทำท่าครุ่นคิด "ไม่รู้ว่ะ แต่กูก็สังเกตนะ ตั้งแต่พามึงไปที่บ้านวันนั้น เขาก็ไม่ค่อยโทรหากูแล้ว"

"ไม่เห็นจะเข้าใจยากเลย เพราะแม่มึงเขามั่นใจว่ากูดูแลมึงได้ไง มึงไม่คิดอย่างนั้นเหรอ"

"อ๋อ..." ผมลากเสียงยาว "ก็น่าจะจริง"

อะตอมยิ้มภูมิใจ สักพักก็ชวนผมทำอุตริ "เฮ้ย มึงอยากลงไปลึกกว่านี้ไหม"

"แค่นี้น้ำก็จะท่วมหัวกูอยู่แล้ว" ผมปฏิเสธเพราะบริเวณที่ผมนั่งอยู่ ระดับน้ำทะเลสูงประมาณหน้าอกผมแล้ว ถ้าลงไปลึกกว่านี้ก็ท่วมหัวผมตายพอดี

"ขี่หลังกูไง มึงไม่อยากรู้เหรอว่าลงไปลึกๆ แล้วจะเป็นไง"

"ก็อยาก แล้วมันมีฉลามหรือเปล่าล่ะ"

"แถวนี้ไม่มีหรอก ถ้ามีเขาก็ติดป้ายเตือนไว้แล้ว"

"ลองดูก็ได้" ผมตอบตกลงและยิ้มดีใจ อะตอมก็ยิ้มดีใจเช่นกัน บางทีผมก็อยากเล่นโลดโผนหวาดเสียวตามประสาผู้ชายบ้าง แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ โชคดีที่ได้มาเจออะตอม อะไรที่ผมไม่เคยทำก็ได้ทำไปหลายอย่างแล้ว

ผมลอยตัวมาเกาะคอของอะตอม พอเรียบร้อยอะตอมก็ยืนขึ้นและค่อยๆ พาผมเดินลงไปอย่างช้าๆ

"มึงฉีดสเปรย์กันแดดยัง" อะตอมชวนคุย

"ฉีดแล้ว" ผมตอบ

"ดีแล้ว เดี๋ยวผิวมึงเสีย กูไม่อยากเห็นผิวมึงคล้ำแดด"

"ทำไม" ผมถามสั้นๆ

"ก็ผิวมึงสวย กูชอบให้มันขาวๆ แบบนี้แหละ"

"แต่ยังไงมันก็คล้ำบ้างแหละ แดดแรงซะขนาดเนี้ย"

"เออ กูรู้ แต่อย่าให้คล้ำเยอะละกัน" อะตอมหัวเราะ

"เอ...แล้วติ๊งกับมายล่ะ" ผมเปลี่ยนเรื่อง นึกสงสัยที่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นสองสาวตามมาเลย

"ขี่มอไซค์เล่นอยู่มั้ง" อะตอมตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แยแส

"อ้าว แล้วมึงหนีมาได้ไง"

"กูต่อรองว่าจะขี่เล่นเป็นเพื่อนแป๊บหนึ่งไง ถ้าเขาไม่โอเค กูก็จะไม่ไปด้วย ติ๊งก็เลยยอม ขี่เล่นไม่ถึงห้านาที กูก็ลง แล้วก็วิ่งหนีมาเลย" อะตอมเล่าไปหัวเราะไป

"เอางั้นเลยเหรอ เขาไม่โกรธมึงแย่เหรอวะ" ผมนึกหน้าสองสาวนั้นไปด้วย โดยเฉพาะติ๊ง เธอคงผิดหวังน่าดูที่อะตอมหนีมา

"ไม่รู้เว้ย โกรธแล้วจะให้ทำไงวะ"

"แล้วทำไมมึงไม่เล่นกับเขาไปก่อนล่ะ เดี๋ยวค่อยมาเล่นน้ำทะเลก็ได้" ผมยังไม่วายสงสัย

"งั้นกูถามมึงอย่างนี้ละกัน สมมติกูเป็นมึง แล้วมึงก็เป็นกู ระหว่างไปขี่รถมอไซค์เล่นกับสองสาว กับพากูไปเล่นน้ำทะเลครั้งแรก มึงจะไปกับใคร" อะตอมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ไปกับสาวๆ ดิวะ" ผมสัพยอกพลางขำ

"ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูปล่อยมึงลงน้ำเลย" อะตอมขู่พลางทำท่าจะปล่อยผมลงอย่างที่พูด

"เฮ้ย กูล้อเล่นเว้ย" ผมรีบโวยวาย

"ตอบดีๆ ดิ" อะตอมขู่

"ก็เลือกเหมือนมึงนั่นแหละ" ผมยอมรับไปตามตรง อะตอมจึงยิ้มพอใจ

"ถ้ามึงรู้ว่าอะไรสำคัญกว่า มันก็เลือกไม่ยากหรอก จริงไหม"

"เออ"

อะตอมพาผมมาตรงที่น้ำค่อนข้างลึกแล้ว ระดับน้ำอยู่แถวๆ ราวนม เมื่อร่างกายอยู่ในน้ำแล้วผมก็ไม่หนักมากนัก เพราะมีน้ำพยุงไว้ ผมเพียงแค่เกาะไหล่ของอะตอมไว้เท่านั้น แต่จะว่าไปผมก็เริ่มกลัว เพราะไม่เคยอยู่ในน้ำลึกขนาดนี้มาก่อน

"มันลึกแล้วว่ะอะตอม"

"มึงกลัวเหรอ"

"ก็ไม่ขนาดนั้น" ผมเฉไฉเพราะไม่อยากให้เพื่อนมองว่าผมขี้แย

"มึงว่ายน้ำเป็นเปล่า" อะตอมหันมาถาม

"ก็พอได้ แต่ไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่"

"ยังไม่แข็งอีกเหรอวะ แต่กูแข็งแล้วว่ะ จะลองจับดูไหม" อะตอมหันมายิ้มกวนๆ

"สัส ทะลึ่งนะมึง" ผมว่าเพื่อนไม่จริงจังนัก อะตอมหัวเราะยิ้มๆ คงมีความสุขที่ได้พูดหยอกผม

ตอนนี้ระดับน้ำเริ่มใกล้จะถึงคอแล้ว ผมเผลอกอดอะตอมจนแน่น คนถูกกอดคงรู้สึกได้จึงหันมามองผมและยิ้มบางๆ สายตาที่มองมามีกระแสความรู้สึกบางอย่างถ่ายทอดมาให้ ทั้งอบอุ่นและหวานซึ้ง

"เออ เดี๋ยวก็ขึ้นแล้ว" อะตอมเอื้อมมือมาลูบผบเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ

ไม่นานอะตอมก็หยุดอยู่กับที่ เพราะถ้าไปไกลกว่านี้น้ำคงท่วมหัว น่าแปลกที่ความกลัวของผมเริ่มหายไป กลายเป็นความสงบนิ่งและอบอุ่น แม้ว่าน้ำทะเลสีฟ้าซึ่งโอบล้อมรอบตัวจะเย็นสะท้าน แต่แสงแดดข้างบนก็ช่วยให้เราไม่รู้สึกหนาว เมื่อหันมองกลับไปยังชายฝั่งก็เห็นเพียงคนตัวเล็กๆ กระจายตามจุดต่างๆ ส่วนมากเป็นฝรั่ง มีเรือนักท่องเที่ยวอยู่สองสามลำลอยอยู่ไม่ไกลนัก

ภาพที่ปรากฎแก่สายตาช่างสวยงามราวกับภาพฝัน ผมได้ซึบซาบสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดที่มี ทั้งรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส ถ้าไม่ใช่เพราะอะตอมพามาสัมผัสด้วยตัวเอง ผมก็คงไม่ได้ประสบการณ์แบบนี้หรอก ต่อให้นั่งเรือยอร์ชหรือเรือสำราญก็คงไม่เหมือนกัน สัมผัสน้ำทะเลครั้งแรกของผมจึงพิเศษกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว

"รู้ไหมว่าทำไมกูอยากพามึงมาลึกๆ" อะตอมถามขึ้นหลังจากเราเงียบกันไปสักพัก

"กูก็จะได้รู้ว่ามันลึกแค่ไหน รู้ว่ารู้สึกยังไงเวลาที่อยู่กลางทะเล รู้สึกถึงความเย็น คลื่น ลม กลิ่น แล้วก็...ความกลัว มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำ เห็นแต่ชายฝั่งอยู่ไกลๆ มันเป็นภาพที่กูไม่เคยเห็นเลย ไม่เคยรู้สึก ไม่เคยสัมผัส ถ้าเล่นน้ำอยู่แค่ตรงชายหาด กูก็ไม่ได้ความรู้สึกแบบนี้หรอก" ผมบรรยายความรู้สึกของตัวเองด้วยเสียงเบาๆ แต่อะตอมคงได้ยินเพราะผมพูดอยู่ใกล้ๆ หูของมัน

อะตอมยิ้มพอใจ "ดีแล้ว กูดีใจที่มึงรู้สึกแบบนี้ กูอยากให้มึงรู้จักทะเล เพราะกูชอบทะเล จะว่าไปกูก็เหมือนทะเลนั่นแหละ ความรู้สึกที่มึงมีต่อทะเลตอนนี้ ก็น่าจะเหมือนกับความรู้สึกที่มึงมีต่อกูตอนนี้ หนาว เวิ้งว้าง กลัว แต่ก็อยากลงมาสัมผัส"

สิ่งที่อะตอมพูดฟังดูลึกซึ้งเกินวัย แต่มันก็เป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยเหมือนวัยรุ่นวัยเดียวกันเท่าไหร่หรอก คงเป็นเพราะมันปากกัดตีนถีบมาตลอด ความคิดก็เลยเหมือนผู้ใหญ่ไปบ้าง

"อืม...ขอบคุณนะเว้ย กูคิดว่ากูรู้จักทะเลมากกว่าที่กูเคยรู้จักแล้วแหละ" ผมบอกพลางกระชับอ้อมกอดของผมแน่นขึ้นอีกนิด เห็นแก้มใสๆ ของอะตอมแล้ว ผมก็นึกอยากให้รางวัลมันด้วยการหอมเบาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า จึงได้แต่ยื่นหน้าไปใกล้ๆ โดยไม่มีเหตุผลแน่ชัด

"เปลี่ยนจากคำขอบคุณ...เป็นจูบได้ไหมวะ" อะตอมถามหยอกเปลี่ยนบรรยากาศ

"เหี้ย เรื่องอะไร" ผมว่า อดยิ้มเขินๆ ไม่ได้

"ที่กูบอกพี่เอิร์ธกับพี่ฝางเมื่อกี้ กูพูดจริงๆ นะเว้ย" อยู่ๆ อะตอมก็พูดแบบนี้ขึ้นมา

"เรื่องอะไรวะ" ผมเอียงคอ

"อ้าว ที่กูบอกว่า...อะไรที่เป็นครั้งแรกของมึง กูต้องมีส่วนร่วมด้วยไง" อะตอมเฉลย

"อ๋อ...แล้ว..." ผมยังคงไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนไว้อยู่ดี

"ก็..." อะตอมออกอาการเขินล่วงหน้า ผมยิ่งอยากรู้และรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

ไม่นานอะตอมก็ยอมเฉลย "ถ้ามึงจะเปิดซิงครั้งแรก มึงต้องให้คนๆ นั้นเป็นกูนะเว้ย"

"เหี้ย" ผมว่ามัน แต่ดันหน้าแดงตามมันไปด้วย "กูจะขึ้นแล้ว"

"โอเคหรือเปล่าล่ะ ถ้าโอเค...กูถึงจะพามึงขึ้น" อะตอมถือโอกาสแกล้ง

"กูว่ายน้ำขึ้นไปเองก็ได้"

"เอาดิ" อะตอมท้า

แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่กล้า เพราะน้ำตรงนี้ลึกมาก ขนาดมีคนให้เกาะยังรู้สึกกลัวเลย ถ้าว่ายไปเองจะน่ากลัวขนาดไหน

"เร็ว ตกลงหรือเปล่า" อะตอมเร่งเร้า

"เออ" ผมรับคำไปเร็วๆ

"เฮ้ยจริงเหรอ" อะตอมตื่นเต้น มันรีบหันตัวมาหาผม คงลืมตัวว่าผมเกาะคอมันอยู่

ด้วยความกลัวว่าอะตอมจะหลุดมือไป ผมจึงรีบคว้าคอมันไว้และกอดแน่น แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกอดด้านหน้าของมัน ใบหน้าของเราแทบจะชนกันทันที ดีที่ว่าผมรู้ตัวก่อนจึงหยุดทัน ถึงอย่างนั้นเราสองคนก็ใกล้กันเกินไปจนรู้สึกประหม่าและใจเต้น

"พูดจริงใช่ไหม" อะตอมถามเหมือนกระซิบ

ผมเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อย ให้จ้องตากับมันใกล้ๆ แบบนี้ ร่างผมคงละลายหายไปกับน้ำทะเลจนได้ "เออ ถ้ามึงทำให้กูรักมึงได้ กูจะยอมให้มึงเป็นคนแรกของกู"

"จริงนะเว้ย" อะตอมทำท่าตื่นเต้นอีก

"เออ มึงจะถามทำไมหลายรอบวะ" ผมแกล้งทำเสียงดุ

"กูอยากถามให้แน่ใจนี่หว่า" อะตอมขำตัวเองเบาๆ "แล้วตอนนี้ล่ะ...ใกล้ความจริงไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไหม"

ผมพยักหน้ายอมรับอย่างช้าๆ "ก็...ประมาณนั้น"

"งั้นก็เหลืออีกไม่เยอะสิ ได้...กูจะพยายามสุดความสามารถเลย มึงรู้ไหม...กูจะอดใจกับมึงไม่ไหวอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้นะ กูโคตรอยากจูบมึงเลย มากกว่าจูบกูก็โอเคนะ มึงรู้ใช่ไหมว่าทำไม" อะตอมยิ้มกรุ้มกริ่ม

ผมน่ะรู้อยู่แล้ว พอมากอดมันด้านหน้า ข้างล่างของเราจึงสัมผัสกันบ้าง ผมจึงรู้ว่าอาวุธลับของมันตอบสนองยังไง

"แต่กูจะไม่ทำตอนนี้หรอก กูจะห้ามใจตัวเองไว้ก่อน เอาไว้มึงพร้อมเมื่อไหร่ กูถึงจะทำ แต่ถ้ากูอดใจไม่ไหว มึงอย่าว่ากูนะเว้ย ห้ามกูด้วย แต่ถ้ามึงห้ามกูไม่ได้ กูก็ช่วยไม่ได้นะเว้ย" อะตอมยิ้มไปทั้งใบหน้า ความรู้สึกดีๆ ที่มันมีให้ผมตอนนี้แสดงออกมาทั้งทางสีหน้า แววตาและสัมผัสทั้งหมด

"ขึ้นฝั่งได้แล้ว" ผมเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับย่นหน้าเล็กน้อย

อะตอมรีบพยักหน้าตกลงทันที "เออ กูก็หนาวจนหดหมดแล้ว"

"หดบ้าอะไรวะ" ผมสัพยอก ก่อนหัวเราะด้วยกันทั้งคู่ เพราะต่างก็รู้ๆ กันอยู่

เมื่อขึ้นมาบนฝั่ง ผมก็เห็นติ๊งกับมายสวมชุดทูพีชเล่นน้ำอยู่ริมๆ ฝั่งกับพี่ฝางและพี่เอิร์ธ ทุกคนหยุดทันทีเมื่อเห็นผมขี่หลังอะตอมขึ้นมาจากน้ำ

"เฮ้ย ไปไหนกันมาวะ หาไม่เจอเลย" พี่ฝางร้องถาม

"แถวๆ นี้แหละพี่ คนมันเยอะ ก็เลยไม่เห็น" อะตอมตะโกนบอก

"พากูไปนั่งบนเก้าอี้ชายหาดก็ได้ มึงจะได้เล่นน้ำกับพวกพี่ๆ เขา" ผมบอกอะตอมเบาๆ พอมันทำท่าจะค้าน ผมก็รีบเถียง "ไปเหอะน่า แค่นี้กูก็พอแล้ว เดี๋ยวมึงจะเหนื่อย กูอยากนั่งพักเฉยๆ แล้ว มึงอยากมาเล่นน้ำทะเลไม่ใช่เหรอวะ ถ้าไม่เชื่อกู จากห้าสิบเปอร์เซ็นต์จะเหลือแค่สามสิบนะเว้ย"

เมื่อโดนขู่อย่างนั้น อะตอมก็ยอมทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี มันพาผมขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ชายหาด ก่อนที่มันจะไปเล่นน้ำกับอีกสี่คน ส่วนผมก็นั่งดูคนเล่นน้ำบนชายหาดเงียบๆ เห็นอะตอมสนุกแล้ว ผมก็พลอยยิ้มมีความสุขไปด้วย ดูไปยิ้มไป จากห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่าตอนนี้เพิ่มไปอีกเท่าไหร่แล้ว

... ... ...

หลังจากเล่นน้ำ เราก็มีกิจกรรมให้ทำอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทัวร์เกาะ ดำน้ำ พายเรือคายัค เที่ยวศูนย์วิจัยและพัฒนาประมง หมดวันพอดี เป็นที่น่าสังเกตว่าติ๊งกับมายคอยตามประกบอะตอมไม่ห่าง บางทีติ๊งก็ให้มายมาช่วยเข็นผม เพื่อให้ติ๊งจะได้อยู่ใกล้ชิดกับอะตอม ถึงตอนนี้ก็คงชัดเจนว่าติ๊งกำลังคิดอะไร ก็เหลือแค่อะตอมเท่านั้นว่าจะสนองตอบหรือเปล่า

ตกเย็น พวกเราทั้งหมดมานั่งคุยกันที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ท มีนักท่องเที่ยวนั่งคุยกันและว่ายน้ำบ้างประปราย ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงหน้าฤดูท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจึงค่อนข้างบางตา แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบเหงา

ติ๊งกับมายว่ายน้ำเล่นในสระอยู่สองคน แต่สักพักก็ขึ้นมารบเร้าให้อะตอมลงไปเล่นด้วย อะตอมจึงต้องลงน้ำอย่างเสียมิได้ เหลือผม พี่ฝางและพี่เอิร์ธนั่งคุยกันสบายๆ บนเก้าอี้เอนนอน

"โห ไอ้อะตอมนี่มันโคตรใจแข็งเลยว่ะ ขนาดโดนสองสาวเบียดยั่วมาทั้งวันเลยนะเนี่ย ดูดิ เดี๋ยวโผเข้ากอด เดี๋ยวเกาะหลัง เดี๋ยวมาฉอเลาะออเซาะ ถ้าเป็นพี่นะ ป่านนี้ไม่เหลือแล้ว" พี่เอิร์ธวกกลับมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง หลังจากที่เคยพูดไปเมื่อเช้า

เราสามคนมองดูเหตุการณ์ในสระว่ายน้ำพร้อมกัน ก็เป็นอย่างที่พี่เอิร์ธว่า ติ๊งคอยตามคลอเคลียอะตอมไม่ห่าง เดี๋ยวโผมากอด เดี๋ยวมาเกาะหลัง ถ้าสิงร่างได้คงทำไปแล้ว

"ไม่ไปเล่นกับเขาเหรอ เผื่อเขาจะมาเบียดมั่ง" พี่ฝางหันมาถามเชิงสัพยอก

"เขาไม่มาเกาะผมหรอกพี่" ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนถามกลับ "แล้วพี่สองคนล่ะ"

"เฮ้ย หมูเขาจะหาม จะเอาคานไปสอดทำไม" พี่เอิร์ธยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะสายตาก็จับจ้องเหตุการณ์ในสระไปด้วย

ผมก็ยอมรับว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ถ้าผมโดนสองสาวยั่วยวนแบบนั้น ผมก็นึกไม่ออกว่าจะอดทนได้หรือเปล่า จึงอดนึกกังวลไม่ได้ว่าอะตอมจะไม่รอด แม้ว่าในใจจะรู้สึกกังวล แต่ผมก็เผลอคุยกับพี่ๆ สามคนจนลืมเหตุการณ์ในสระว่ายน้ำไปเลย พอหันมาดูอีกที อะตอมและสองสาวก็หายไปจากสระว่ายน้ำแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน

"อ้าว หายไปไหนกันหมดแล้ววะ" พี่เอิร์ธถามพลางมองไปรอบๆ

"ไปอาบน้ำกันแล้วมั้ง" พี่ฝางเดา ก่อนเสนอ "ไปเปลี่ยนชุดกันดีกว่า บาร์จะเปิดแล้ว เดี๋ยวสามคนนั้นก็ตามมาเองแหละ นัดกันไว้แล้วนี่"

พวกเราสามคนตกลงกันตามนั้น พี่ฝางกับพี่เอิร์ธช่วยกันยกวีลแชร์ผมขึ้นบันไดตรงสระว่ายน้ำซึ่งมีอยู่สามขั้น จากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับห้องเพื่อเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยขึ้น ผมเข็นรถวีลแชร์มาที่ห้อง ก่อนจะเอาคีย์การ์ดแตะและเปิดประตูออก พลันก็แทบช็อคเมื่อเห็นเหตุการณ์บางอย่างในห้องพักของผมกับอะตอม

ภาพสองหนุ่มสาวกอดจูบกันอยู่บนเตียงปรากฎขึ้นในลานสายตาผม เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นผมก็ปิดประตูห้อง ก่อนรีบเข็นรถเวีลแชร์ออกไปตามทางเดินซึ่งปูด้วยแผ่นซีเมนต์ มันขรุขระหน่อย ผมจึงต้องยกล้อหน้าขึ้นเพื่อให้เข็นได้ไวขึ้น

ไม่นานผมก็มาหยุดอยู่ที่สระว่ายน้ำเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ลงไปข้างล่างเพราะมีบันได ผมเกาะขอบราวรั้วที่ทำเป็นแนวยาวไปตามทางเดินไว้ ไม่มีเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันอยู่ตรงนี้แล้ว คนที่อยู่ส่วนมากจึงเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผม

เมื่อหยุดนิ่งกับที่ ผมก็พบว่าหัวใจผมเต้นแรง ภาพอะตอมกอดจูบกับติ๊งยังติดตาผมไม่หาย แต่ก่อนที่ผมจะดำดิ่งสู่ความรู้สึกนี้ไปมากกว่านั้น ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนวิ่งมาตามทางที่ผมมาเมื่อกี้ เมื่อผมหันไปมองตามเสียง ไม่กี่อึดใจเจ้าของร่างก็ปรากฎกายขึ้น ความรู้สึกผิดฉายชัดบนใบหน้าของเขาอย่างแรงกล้า ต่างคนต่างทำตัวไม่ถูกกันทั้งคู่ แต่ผมก็ยังพอมีแก่ใจยิ้มบางๆ ให้

"เสร็จแล้วเหรอ ไวจัง" ผมถามให้เป็นเรื่องขำๆ

"เฮ้ย...คือ..."

"ตกใจทำไม เรื่องธรรมดานี่ ทีหลังมึงก็บอกกูหน่อยดิวะ จะได้ไม่ไปกวน" ผมยิ้มกลบเกลื่อน

"กัปตัน...กู..." เสียงของอะตอมกลืนหายลงคอ แปลกที่ผมไม่อยากรู้เท่าไหร่ว่าเสียงที่หายไปคืออะไร

ผมถอนหายใจสั้นๆ เมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลงแล้ว ผมจึงบอกคนที่มาถึง "มึงไม่ต้องคิดมากหรอก มันแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เอง ทั้งมึง...และกู มันยังไม่มีใครใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เหรอวะ กู...ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์กับมึง มึง...ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์กับใจตัวเอง กูกับมึง...ยังมีโอกาสให้คนอื่นเข้ามานะเว้ย เพราะว่าคนที่ไม่ใช่...ยังไงมันก็ไม่ใช่"

"กัปตัน กูขอโทษ" อะตอมคุกเข่าลงตรงหน้าผม ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ หรือไม่ก็คงร้องไห้ไปแล้ว

"มึงอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย เอาไว้คุยกันวันหลังดีกว่า กูกับมึง...ต้องชัดเจนกับตัวเองนะเว้ย ไม่งั้นคุยกันไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก แล้วถ้าคำตอบไม่ชัด มึงกับกู...ก็จะเล่นกับความรู้สึกกันเองต่อไป มันไม่สนุกหรอก ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า พี่สองคนเขารออยู่"

พูดจบผมก็เข็นรถออกไป เบี่ยงหลบอะตอมเล็กน้อย มุ่งตรงไปยังห้องพักของตัวเองอีกครั้ง รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่เพราะเมื่อกี้เพิ่งเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น แต่ผมก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้

กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อเกิดมาเป็นแบบนี้แล้ว ผมคงต้องยอมรับสภาพชีวิตไร้รักที่จริงใจอย่างนี้ต่อไป


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 04-06-2017 17:35:43
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 04-06-2017 17:40:08
อ่าว อะต้อมมมม ทำไมทำกันแบบนี้ ไม่ละมุนละ ไม่ละ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 04-06-2017 18:11:06
ทำไมทำแบบนี้้้้้้อะตอม
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 04-06-2017 18:30:46
เจ็บแทนกัปตัน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-06-2017 18:43:41
ก็อย่างที่ก้ปตันว่า มันแค่ห้าสิบ
อะตอม อย่าเพิ่งคิดมาก

จริงๆอะตอม ไม่ใช่เกย์แต่แรก
ยิ่งมาถูกสองสาวปลุกเร้า ยัวยวน ตลอดๆ
ก็ยากที่จะไม่เกิดอารมณ์
ขนาดพี่เอิร์ท พี่ฝางยังบอกห้ามใจยาก
แล้วอะตอมก็มีอารมณ์กับกัปตัน ตั้งแต่อยู่ในทะเลแล้ว

อะตอม รู้สึกเสียใจที่มีอารมณ์กับติ๊ง แล้วกัปตันเห็น
งั้นถ้ากัปตันไม่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มาด้วยในคราวนี้
อารมณ์ที่เกิด ก็คงเตลิดไปต่อ จนจบสินะ

อะตอม คงต้องถามตัวเองว่าจะเอายังไงกันแน่
เพราะถ้าเป็นเหมือนเดิม อะตอมมีสาวเข้าหาไม่ขาดอยู่แล้ว
แต่พออะตอม มาเข้าหากัปตัน ที่เคยได้มันไม่ได้
จะได้ก็ต่อเมื่อ กัปตันให้ถึงร้อย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-06-2017 19:27:06
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 04-06-2017 20:09:17
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-06-2017 20:54:40
โชคดีของอะตอมที่กัปตันไม่คิดไรมาก แต่กัปตันคงน้อยใจมั้งล่ะ งอนกันเลย 555
  ที่เที่ยวทางภูเขาที่มีทางสำหรับวีลแชร์ เคยเห็นรายการโทรทัศน์ของคุณกฤษณะ ทางช่องเนชั่นทีวี เขาไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จ.ลำปาง เขามีทางสำหรับคนใช้วีลแชร์ด้วยนะคับ
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ทีมภูเขา ที่ 04-06-2017 23:01:16
เห้ยยยยยยยยยยย
 :z3:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 05-06-2017 13:30:13
คือกัปตันมองโลกในแง่ดีมาก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกไง

ปากพูดอยุ่ตลอดว่าจริงจัง

แต่ก็เห็นล็อกแล็กทุกที

เลิกพูดเหอะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-06-2017 17:34:43
ยังไม่ชัดเจนแบบนี้ อย่ามาให้ความหวังกัปตันนะ เคืองๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP14 เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย - 4.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-06-2017 21:15:02
 :เฮ้อ:
 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม - 13.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 13-06-2017 11:37:44
EP15 (Part 1)
เป็นเมียก็ยอม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

ผมพากัปตันไปส่งที่บาร์ พี่ฝางกับพี่เอิร์ธพากันลงมาช่วยกันยกขึ้นไปบนชั้นสองด้วย พื้นที่ไม่ค่อยสะดวกสำหรับวีลแชร์เท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากเป็นโต๊ะนั่งสูง แถมทางให้เดินก็ค่อนข้างแคบ ถึงอย่างนั้นเราก็พอหาโต๊ะนั่งได้ เมื่อมากันครบหน้าเราก็ทยอยสั่งอาหารและเครื่องดื่ม

จะว่าไปผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะมองหน้าสองสาวไม่สนิทใจเลย ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิดกับความหน้ามืดของตัวเอง ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงความรู้สึกของกัปตันด้วย คงไม่มีอะไรจะน่าละอายใจไปมากกว่าการเสียคำพูดของตัวเองอีกแล้ว

"เป็นไรวะมึง" พี่เอิร์ธถามพลางยื่นแก้วเหล้ามาให้ คงสังเกตดูผมสักพักแล้วจึงถามอย่างนั้น

"เปล่าพี่" ผมยิ้มแกนๆ กลบเกลื่อน เมื่อหันไปมองกัปตันก็เห็นเขาทำหน้าเฉยๆ แถมยังไม่ค่อยสบตาผมด้วย

"เปล่าได้ไงวะ เนี่ย มึงลองถามทุกคนดูสิว่ามึงหน้าเครียดหรือเปล่า" พี่เอิร์ธยังไม่วายสงสัย

"อ๋อ ไม่มีอะไรจริงๆ ครับพี่ ผมเผลอคิดเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย" ผมแก้ตัวอีกรอบและยิ้มแห้งๆ

"เรื่องพ่อมึงเหรอ ก็ช่างเขาเหอะ เขามีเมียก็ดีแล้ว จะได้มีคนดูแลเขา มึงจะได้ไม่ต้องห่วงเขาไง" พี่ฝางพูดขึ้นมาบ้าง ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเป็นเดือนๆ แล้ว แต่ยังอุตส่าห์จำได้

"ไม่ใช่หรอกพี่" ผมแย้ง

"อ้าว แล้วเรื่องอะไร เรื่องแฟนมึงเหรอ เออ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าวะ เดี๋ยวนี้กูไม่เห็นมึงพูดถึงเขาเลย" พี่ฝางถามต่อ

"เขาเลิกกันไปแล้ว" ติ๊งชิงตอบ คงอยากมีส่วนร่วมในการสนทนาบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากสนทนากับเธอนัก ไม่ใช่เพราะเธอผิดหรืออะไร ผมต่างหากที่ผิดเอง

"อ๋อ มึงอกหักเหรอ ถึงว่าล่ะมึงถึงได้ดูเครียดๆ งั้นมาชนแก้วกัน ตอนกูอกหักนะเว้ย มีแต่เหล้านี่แหละเป็นเพื่อน มันช่วยได้นะเว้ย เมาแล้วไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องฟุ้งซ่านด้วย เมาแล้วก็นอน ตื่นก็ไปทำงาน ไม่กี่วันก็ดีขึ้น เชื่อกู มาๆ ชนแก้วกันหน่อย" พี่เอิร์ธพูดพลางยกแก้วตัวเองขึ้นพร้อมกับเลื่อนไปรอบๆ เพื่อขอชนแก้ว

ผมพยักหน้าเออออไปตามเรื่องตามราว แม้จะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ก็ช่วยให้ผมไม่ต้องตอบคำถามที่น่าลำบากใจไปได้ ผมจึงยกแก้วชนกับทุกคน ดีที่กัปตันยังมีแก่ใจชนแก้วกับผมบ้าง หลังจากนั้นวงเหล้าของเราก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

กัปตันดื่มเหล้าไปหลายแก้วทีเดียว คงจะเมาพอสมควรเพราะหน้าแดง ส่วนผมแค่จิบๆ เพราะไม่อยากเมา ไม่งั้นจะดูแลกัปตันไม่ได้ เมื่อทำบางอย่างพลาดไปแล้ว ผมก็ไม่อยากให้พลาดเรื่องอื่นซ้ำอีก แม้ว่าพี่ฝางกับพี่เอิร์ธจะคะยั้นคะยอเรื่อยๆ ผมก็แค่ยกขึ้นจิบพอเป็นพิธี

บรรยากาศเริ่มครึกครื้นเพราะเสียงเพลงและคนที่เริ่มทยอยมากันมากขึ้นจนแน่น ส่วนมากเป็นฝรั่ง ส่วนโต๊ะของเราก็คุยกันสนุกดี มีเสียงหัวเราะเรื่อยๆ ดูเผินๆ ก็ดูเหมือนปกติ แต่จะมีสักกี่คนสังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างผม กัปตันและติ๊ง

ในช่วงจังหวะหนึ่ง กัปตันหันมาสบตากับผมโดยบังเอิญ สบตาอยู่นานกว่าปกติ ผมถือโอกาสนี้ส่งคำขอโทษและความรู้สึกผิดผ่านสายตาไปให้ ที่มันกินเหล้าเยอะขนาดนี้ คงเป็นเพราะผมแน่ๆ ต่อให้มันไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนั้นกับผมแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว แต่การผิดคำพูดก็อาจจะทำให้ขุ่นเคืองใจ รวมทั้งความเชื่อใจกันก็คงลดหายไปด้วย แต่วันนี้ความรู้สึกที่เขามีให้ผมมันมาถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคงทำให้กัปตันเจ็บอย่างไม่ต้องสงสัย

ประมาณชั่วโมงเศษๆ เราก็ลงไปนั่งดื่มกันต่อที่ชายหาด ลงมาถึงกัปตันก็ร้องหากีตาร์ก่อนอย่างอื่น ผมจึงวิ่งกลับไปเอาที่ห้องมาให้ ตอนมาเราเอาติดรถมาด้วย ตามประสาคนชอบดนตรีก็คงอยากนั่งเล่นกีตาร์ริมทะเลสบายๆ อยู่แล้ว น่าเสียดายที่บรรยากาศไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

กัปตันเล่นกีตาร์และร้องเพลง คนอื่นๆ ร้องตาม บางช่วงก็ผลัดให้พี่ฝางกับพี่เอิร์ธเล่น ดูเผินๆ ก็เหมือนพวกเราสนุกกันมาก แต่คงไม่ใช่สำหรับผม ใจผมคงสงบไม่ได้หรอกถ้ายังไม่ได้คุยกับกัปตันให้เข้าใจ แต่ตอนนี้เราสบตากันน้อยเหลือเกิน น้อยจนผมรู้สึกว่าคนที่ผมคอยจ้องมองด้วยความเป็นห่วงตอนนี้ เป็นใครสักคนที่ผมไม่รู้จักหรือเปล่า

"เฮ้ย มึงดื่มเยอะไปเปล่าวะ" เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมก็อดที่จะปรามกัปตันด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ตั้งแต่ลงมาที่ชายหาด มันล่อเบียร์ไปหลายกระป๋องแล้ว

กัปตันเพียงแต่หยุดชะงักและแวบมองผม แต่ก็หาได้แยแสความเป็นห่วงของผมไม่ เขายกซดต่อหน้าตาเฉย ครู่เดียวก็วางลง ก่อนส่งเสียงที่เริ่มฟังดูอ้อแอ้ "พี่ ผมขอกีตาร์หน่อย ผมจะเล่นเพลงหนึ่งให้ฟัง"

พี่เอิร์ธส่งกีตาร์ให้กัปตัน เจ้าตัวรับไปและจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่เล่นได้ถนัด ไม่นานก็เริ่มเล่นเพลงหนึ่ง ตั้งแต่อินโทรขึ้นมา ผมก็รู้สึกได้ถึงความเศร้า ยิ่งได้ฟังเนื้อหา ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าคนร้องคงอยากสื่อหรือปลดปล่อยอารมณ์บางอย่าง จนกระทั่งมาถึงท่อนฮุก

"แค่เพียงเผลอใจ เผลอใจมารักกัน ให้ฉันเข้าใจผิดไป เพิ่งจะรู้ตัว ที่เธอมาให้ใจ เพิ่งรู้ว่าเป็นแค่เพียง ความรักที่ไม่ตั้งใจ"

เสียงร้องเพลงและเสียงกีตาร์ที่กัปตันเล่นบาดลึก ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่ากัปตันแต่งเองหรือเปล่า ถ้าใช่ กัปตันแต่งให้ใครกัน ให้ผู้หญิงคนนั้นที่เคยทำให้กัปตันเจ็บหรือเปล่า แล้วทำไมกัปตันถึงเอาเพลงนี้มาร้องตอนนี้ล่ะ คงจะเป็นเพราะใครไม่ได้...นอกจากผม!

ไม่รู้ว่าผมทนนั่งฟังเพลงนั้นโดยไม่ร้องไห้ได้ยังไง แต่ผมก็ฟังจนจบ ความรู้สึกสงสารท่วมท้นเต็มหัวใจ ถ้าไม่เกรงใจคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนี้ ผมคงจะกอดกัปตันไปแล้ว แต่เขาคงไม่ให้คนผิดคำพูดอย่างผมกอดหรอก หรือไม่ผมก็คงไม่มีสิทธิ์กอดเขาอีกต่อไป

เสียงปรบมือของคนฟังดังขึ้น ผมอาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้นและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ก่อนทำท่าขอตัวและเดินออกไปยืนริมทะเลสีมืดดำห่างออกไป ไม่มีใครโทรมาหาผมหรอก ตรงกันข้าม ผมกำลังโทรหาใครบางคนต่างหาก

"พี่โดม สะดวกคุยไหมครับ" ผมกรอกเสียงลงไปเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

"อ๋อ...เออ...สะดวก มีอะไรหรือเปล่า" เสียงจากอีกปลายสายตอบมา ฟังดูเหมือนลังเลอยู่ในที แต่ผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะจับสังเกตได้มากขนาดนั้น

"ผมมีเรื่องอยากปรึกษาพี่โดมหน่อยครับ สักยี่สิบนาที พี่พอมีเวลาไหมครับ" ผมทอดสายตาไปเบื้องหน้าซึ่งมืดมิดจนแทบไม่เห็นอะไรนอกจากแสงดาวระยิบระยับ เสียงคลื่นซัดสาดตอนนี้ไม่ช่วยให้จิตใจผมผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

"อ๋อ ได้ๆ" พี่โดมรับคำ ก่อนหันไปพูดอะไรสักอย่างซึ่งผมฟังไม่ชัด อาจจะขอตัวเพื่อนหรือใครสักคนออกมาคุยกับผมก็ได้

เมื่อพี่โดมพร้อม ผมจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นให้ฟัง

"ผมหน้ามืดน่ะพี่ มันเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกที...ผมก็พลาดไปแล้ว ไม่มีอะไรจะแก้ตัวครับพี่ ผมผิดจริงๆ แล้วผมก็ดูออกว่า...กัปตันเสียใจ แต่เขาไม่พูด เขาไม่พูดกับผมเลย ผมสงสารเขาน่ะพี่ ผมจะทำยังไงดีครับพี่โดม" ขณะพูดผมก็หันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน กัปตันยังคงเล่นกีตาร์และร้องเพลงอยู่

"แม่งเอ๊ย มึงนี่ กูไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ มึงไม่รู้เหรอว่าน้องกูมันเคยอกหักมาก่อน ความเชื่อมั่นในความรักของมันแทบจะเป็นศูนย์อยู่แล้วนะเว้ย" พี่โดมทำเสียงเหมือนไม่สบอารมณ์ ก่อนพูดต่ออย่างเซ็งๆ "กูแอบหวังว่ามึงจะช่วยให้น้องกูกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นะเว้ย มึงกลับมาซ้ำเติมมันซะอีก ตอนนี้...ความเชื่อมั่นของกัปตันคงติดลบไปแล้ว กูช่วยไม่ได้จริงๆ ว่ะ"

"อย่างงั้นเลยเหรอพี่" ผมครางเบาๆ รู้สึกใจเสียไปเลย

"แล้วมึงคิดว่ามันควรเป็นอย่างงั้นไหมล่ะ" พี่โดมย้อนถาม แต่เมื่อใจเย็นลงแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดีขึ้น "ถ้ามึงรักน้องกูจริง...ไม่ใช่แค่สงสาร มึงก็ต้องทำจากติดลบให้กลับมาเป็นบวกให้ได้ แต่กูบอกไว้ก่อนเลยนะเว้ยว่ายาก เข็นครกขึ้นภูเขาว่ายากแล้ว เข็นรักขึ้นภูเขายากกว่าอีก มึงตัดสินใจเอาเองละกันว่าจะทำไหม อดทนไหวไหม โอกาสครั้งที่สองยากกว่าโอกาสครั้งที่หนึ่งนะเว้ย แล้วกูก็มั่นใจว่าโอกาสครั้งที่สามไม่มีแน่นอน เพราะฉะนั้น มึงหน้ามืดได้ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้ามีครั้งที่สอง...จบ!"

แค่ได้ยินคำว่า "จบ" ผมก็ใจหายวาบ ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นด้วย ถ้ามีครั้งที่สองคงจบอย่างที่พี่โดมว่า แต่ถ้ามีอีกครั้ง กัปตันไม่จำเป็นต้องออกปากไล่ผมหรอก เพราะผมคงพิจารณาตัวเองได้ว่าควรทำยังไง

"ครับพี่ เอ่อ...พี่ช่วยเล่าเรื่องแฟนเก่าของกัปตันให้ผมฟังได้ไหมครับ ผมเคยลองถามเขาแล้ว แต่เขาเหมือนไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหร่" อยู่ๆ ผมก็เกิดอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เพราะถ้าผมเข้าใจเรื่องนี้ ผมก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของกัปตันตอนนี้ได้มากขึ้น

"มึงจะรู้ไปทำไมวะ" พี่โดมถามเสียงห้วน

"ผมอยากเข้าใจกัปตันมากขึ้นน่ะพี่ ผมอยากรู้ว่ารักแรกของเขา...ทำให้เขาเป็นแบบนี้หรือเปล่า"

"ก็มีส่วนแหละ แต่กูก็ไม่ค่อยรู้มากนะเว้ย กัปตันเขาไม่ค่อยเล่าให้ใครฟัง" พี่โดมออกตัว

"ไม่เป็นไรพี่ พี่เล่าเท่าที่พี่รู้ก็ได้ครับ" ผมอ้อนวอน

"เออ" พี่โดมทำเสียงเหมือนรำคาญ ก่อนเริ่มต้นเล่าเรื่องรักแรกของกัปตันให้ผมฟัง "สาวที่กัปตันแอบชอบ ก็เรียนโรงเรียนเดียวกันนั่นแหละ แต่กูจำไม่ได้ว่าเรียนชั้นเดียวกันหรือเปล่า กัปตันเคยเอารูปมาให้กูดูด้วย เขาก็สวยน่ารักดีนะ รู้สึกว่า...ตอนนั้นกัปตันจะแอบชอบเขาเป็นปีๆ เลย แต่ไม่กล้าบอก จนถึงวันวาเลนไทน์ กูก็เลยแนะนำให้กัปตันเอาดอกกุหลาบไปให้ ตอนแรกเขาก็ไม่กล้าหรอก แต่กูก็พยายามให้กำลังใจ เขาก็เลยลองดู ปรากฎว่าเขารับดอกกุหลาบไป จากนั้นไม่กี่วัน เขาก็มาคุยด้วย เริ่มสนิทกันมากขึ้น กัปตันเขาดีใจมากเลยล่ะ โทรมาเล่าให้กูฟังแทบทุกวัน รู้สึกว่าเดตแรก...เขาไปดูหนังด้วยกันหรือไงนี่แหละ คบกันเกือบๆ สองเดือนได้มั้ง กัปตันเขาแต่งเพลงให้สาวคนนั้นด้วย กูเคยฟังเหมือนกัน แต่นานแล้ว ทีนี้...อยู่ดีๆ วันหนึ่ง สาวที่กัปตันชอบก็มาขอเลิกคบ เพราะว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว อยู่คนละโรงเรียน แล้วไอ้หมอนั่นมันก็มาว่ากัปตันด้วยว่า...ไม่เจียมสังขาร ไม่มีปัญญาดูแลผู้หญิงได้หรอก อะไรประมาณนี้แหละ มันฟังดูแย่ กูเลยไม่อยากจำ ช่วงนั้น...กัปตันหงอยไปเลย เศร้าไปหลายเดือน น่าสงสารเขามาก บางวันก็ร้องไห้ กูก็ได้แต่ปลอบใจ พยายามพาไปเที่ยว หาเวลามาอยู่เป็นเพื่อน แต่ก็ยังใช้เวลาหลายเดือนนะกว่าเขาจะตัดใจได้ แทบแย่เหมือนกัน"

น้ำตาผมไหลลงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพอฟังพี่โดมเล่าจบก็มีความเปียกชื้นตามขอบตาและแก้มไปแล้ว ผมอดสะเทือนใจไม่ได้เลยที่วันนี้ผมคงทำให้กัปตันรู้สึกเหมือนวันนั้น มันน่าให้อภัยหรือเปล่าที่ผมทำแบบนี้

"จริงเหรอครับพี่โดม"

"เออ กูจะโกหกมึงทำไมวะ" พี่โดมทำเสียงเหมือนหงุดหงิด

ผมหันไปมองกัปตันอีกครั้ง เขายังคงร้องเพลงอยู่ แต่ผมไม่รู้สึกว่าเขามีความสุขเลย แววตาของเขาไม่ใช่แววตาของคนมีความสุขที่ได้ร้องเพลงเหมือนทุกครั้ง หลายๆ เพลงที่ร้องก็เป็นเป็นเพลงเศร้าๆ ด้วยซ้ำ แต่คนที่นั่งรายล้อมคงไม่รู้ว่าหัวใจคนร้องเพลงเจ็บแค่ไหน หรือกำลังเผชิญอะไรอยู่

หัวใจห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ให้ผมมานั้นมีความหมาย แต่ผมก็ทำลายความหมายดีๆ ทั้งหมดนั้นด้วยความขาดสติของผมเอง เผลอๆ ตอนนี้อาจจะติดลบไปอย่างที่พี่โดมว่าแล้วก็ได้ ผมไม่น่าทำเรื่องแบบนี้เลย

"แค่นี้ก่อนนะครับพี่โดม"

ผมบอกแล้วรีบวางสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนเดินตรงรี่เข้ามาหากลุ่มเพื่อนๆ ที่ยังคงนั่งร้องเพลงกันอยู่ น่าแปลกที่ไม่เห็นสองสาวแล้ว สงสัยคงจะกลับไปนอน เมื่อผมมาถึง กัปตันก็หยุดร้องเพลงพอดี มือหนึ่งของเขาเอื้อมไปหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาเตรียมกระดก ผมรีบเอามือแตะห้ามไว้

"พอเหอะ ไปนอนได้แล้ว"

กัปตันชะงักและมองหน้าผม พี่ฝางกับพี่เอิร์ธทำท่าอยากรู้ไปด้วย

"มึงดื่มเยอะแล้วนะเว้ย" ผมเตือนด้วยสายตาอ้อนวอนอีกครั้ง

กัปตันไม่พูดตอบ แต่ไม่นานก็ยอมวางกระป๋องเบียร์ลงแต่โดยดี ผมย่อตัวลงนั่งหน้าวีลแชร์และหันหลังให้กัปตัน รอสักพักใหญ่ๆ กัปตันก็ยอมก้มลงมากอดคอผม ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนหันไปบอกพี่ฝางกับพี่เอิร์ธ

"ผมฝากเอากีตาร์กับวีลแชร์ไปส่งที่ห้องผมให้หน่อยนะพี่"

"เออๆ เดี๋ยวเอาไปให้" พี่ฝางรับคำ เขาดูไม่เมาเท่าไหร่ เพราะคนที่เมาหนักกว่าใครคือกัปตันนี่แหละ

ผมพากัปตันขี่หลังเดินออกไป เขายังคงไม่พูดอะไรกับผมแม้แต่คำเดียว หัวใจผมจะขาดรอนๆ เสียให้ได้ เมื่อมาถึงห้องผมก็ให้กัปตันนอนบนเตียงของเขา ไม่นานก็หลับไป ผมนั่งมองร่างขาวจัดและถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม รู้สึกถึงความทรมานในหัวใจตัวเองจนแทบทนไม่ไหว ผมคงทำกัปตันเจ็บหนักเข้าให้แล้ว เขาถึงไม่ยอมพูดกับผมเลยแม้แต่คำเดียว

ในโลกใบนี้ ผมจะหักอกหรือทำใครเจ็บบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับกัปตัน ผมทำเขาเจ็บไม่ได้ แต่ผมก็ทำไปแล้ว

หวังว่า...กัปตันจะไม่ตัดสินผมจากความผิดพลาดครั้งนี้ไปตลอดชีวิต


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)

// ขออภัยครับ โดนเพื่อนลากไปเที่ยว ตปท. เลยเวลาอัปเดตปกติ (วันอาทิตย์) มาหลายวันเลย อีก 50% มาดึกๆ วันนี้ครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 บทเรียนของคนใจไม่นิ่งพอ (50%) - 13.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-06-2017 14:40:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 บทเรียนของคนใจไม่นิ่งพอ (50%) - 13.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 13-06-2017 16:28:41
ไม่รู้จะปลอบใจยังไงนะ

ทางนี้ก็ลดความเชื่อใจไปเต็มๆเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 บทเรียนของคนใจไม่นิ่งพอ (50%) - 13.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-06-2017 17:57:56
หน้ามืดนี่ละ เป็นทั้งตัณหา และทำให้เป็นปัญหา
วัยรุ่น วัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน
แค่ยั่วๆแตะนิดแตะหน่อยก็ขึ้นละ แม้ไม่ใช่คนรัก
ขนาดสองหนุ่มที่มาด้วย
ยังยอมรับว่าสองสาวยั่วยวนอารมณ์เพศจริงๆ

อะตอม คงต้องใช้เวลานาน
ในการทำให้กัปตันหันมาหาใหม่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 บทเรียนของคนใจไม่นิ่งพอ (50%) - 13.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 13-06-2017 23:52:20
ค่ะ เลี่ยงมาได้ตั้งนาน ดันมาตบะแตกเอาตอนนี้ สมควรแล้วอะตอม

กัปตันคงนอยด์ไปสิ ก็ให้ไปแล้ว 50 กำลังจะเพิ่มให้อีก แต่ตอนนี้คงดับเบิ้ลติดลบ
สงสารกัปตันนะ นอยด์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องร่างกาย แล้วยังต้องมาเจอเรื่องทำร้ายจิตใจอีก
ต่อให้เข้มแข็ง ทำใจไว้แค่ไหน ก็ต้องรู้สึกบ้าง

อะตอม เหมือนโดมบอก ถ้าทำไม่ได้ก็หยุดเหอะ อย่าเดินต่อเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 15-06-2017 09:18:21
EP15 (Part 2)
เป็นเมียก็ยอม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

เช้าวันต่อมา กัปตันก็ยังคงไม่คุยกับผม แม้ว่าจะยอมให้ผมช่วยในบางเรื่องก็ตาม แต่ก็ยังดูเงียบๆ อยู่ ช่วงสายๆ เราเดินทางกลับขึ้นฝั่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ ผมกลับกับกัปตันซึ่งมีรถที่บ้านมารับ ส่วนอีกสี่คนที่เหลือไปรถของพี่ฝาง

ระหว่างทางกัปตันก็นั่งเงียบ คอยมองออกไปแต่นอกรถและดูซึมๆ เขาดูเงียบจนผมรู้สึกกลัวและไม่กล้าคุยด้วยเลย เราจึงนั่งเงียบกันไปตลอดทาง เป็นที่แปลกใจของคนขับรถยิ่งนัก เพราะขามาเราคุยกันตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงระยอง ถ้าลิงนั่งมาด้วยคงหลับคาที่ แต่ขากลับกลับเงียบจนเหมือนไม่มีใครนั่งมาด้วย พี่คนขับจึงต้องเปิดเพลงคลอไปตลอดทาง

เรามาถึงบ้านเกือบๆ เย็น คนขับรถส่งผมที่คอนโดก่อน จากนั้นก็พากัปตันกลับบ้าน คงจะกลับไปกินข้าวกับแม่และป๊า ผมไม่ได้ตามไปด้วย เพราะอยากให้ครอบครัวเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันส่วนตัวมากกว่า อีกอย่างก็เพิ่งเกิดเรื่องด้วย

เมื่อขึ้นมาบนห้อง ผมก็เอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วออกจากกระเป๋าเป้และเอาไปซักในห้องน้ำ ที่จริงข้างล่างก็มีเครื่องซักผ้าให้บริการอยู่ แต่ผมชอบซักมือมากกว่า สะอาดกว่าแถมยังไม่ต้องเสียเงินเพิ่มด้วย ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมล้างมือและรีบวิ่งออกจากห้องน้ำมารับสาย เมื่อเห็นเบอร์คนโทรมาผมก็แปลกใจไม่น้อย แต่ลังเลไม่นานผมก็กดรับ

"อะตอมเหรอ" เสียงปลายสายถามมา ผมจำน้ำเสียงคุ้นหูนี้ได้ดีเสมอ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ยินในช่วงหลังๆ

"อืม มีอะไรหรือเปล่าอั้ม" ผมเรียกชื่อแฟนเก่าอย่างไม่เต็มปากนัก ตั้งแต่เลิกกันมา ผมแทบไม่เคยเรียกชื่อนี้อีกเลย

"อั้มมีอะไรจะบอกน่ะ เป็นเรื่องของกัปตัน แต่อั้มไม่กล้าบอกเขาตรงๆ อินก็รู้นะ แต่ไม่รู้เขาบอกกัปตันหรือเปล่า" น้ำเสียงของอั้มฟังดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ น่าจะมากพอสมควร ไม่งั้นเธอคงไม่กล้าโทรหาแฟนเก่าแน่ๆ

"เรื่องอะไรเหรอ" ผมรีบถามไปทันที รู้สึกสังหรณ์ใจว่าน่าจะเป็นเรื่องไม่ดี

เสียงอั้มถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้น ไม่นานเธอก็พูด "จริงๆ อั้มก็ลำบากใจนะที่พี่ๆ เขาคิดแบบนี้ แต่อั้มว่ามันไม่ดีเลย ถ้ากัปตันรู้ เขาต้องเสียใจแน่ๆ เลย"

"ขนาดนั้นเลยเหรอ" ผมครุ่นคิดหน้าเครียด แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

"พี่ปริมกับพี่สาน่ะ เขาดูไม่ค่อยชอบกัปตันเท่าไหร่ งานประกวดคิ้วท์บอย มันมีการแสดงร่วมกันของคนที่เข้าประกวดด้วยนะ แต่ว่า...พี่สองคนเขาไม่ให้พวกเราบอกกัปตัน พี่เขาบอกว่ากัปตันแสดงไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาใช้วีลแชร์ ไม่รู้ดิ แต่อั้มคิดว่ามันน่าจะมีวิธี อีกอย่างมันจะปิดได้ยังไง วันงานกัปตันก็ต้องรู้อยู่ดีแหละ อั้มกลัวเขาคิดมากน่ะ เพราะเขาไม่มีส่วนร่วมในการแสดงเลย"

แม้ว่าอั้มจะมีนิสัยเอาแต่ใจและติดหรูไปบ้าง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมกับเธอคบกันต่อลำบาก แต่เธอก็มีข้อดีอื่นๆ อีกหลายอย่างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดไม่ถึงหรอกว่าเธอจะโทรมาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง

"อั้มรู้ไหมว่าเหลืออีกกี่วันจะประกวด"

"อีกห้าวัน วันศุกร์นี้แล้วไง"

"งั้น...เดี๋ยวอะตอมจัดการเอง ตั้งห้าวัน น่าจะพอซ้อมทันอยู่"

"อะตอมจะทำอะไร" อั้มสงสัย

"ก็พากัปตันไปซ้อมไง" ผมบอกเสียงเรียบ

"เอางั้นเลยเหรอ" อั้มทำน้ำเสียงไม่แน่ใจ

"ใช่ อั้มรู้ไหมว่าเขาซ้อมวันไหน เวลาไหน ที่ไหน"

"อ๋อ เดี๋ยวส่งเข้าไปในไลน์ให้ละกัน ไม่ได้บล็อกอั้มใช่ไหม"

ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่ออั้มถามแบบนี้ น้ำเสียงของอั้มก็ฟังดูแปลกๆ ด้วย "เปล่า จะบล็อกทำไม"

"อ้อ นึกว่าบล็อกไปแล้วซะอีก งั้นเดี๋ยวอั้มส่งข้อมูลไปให้ แล้ว...อะตอมเป็นไง สบายดีไหม" อั้มเปลี่ยนมาถามเรื่องส่วนตัว

"ก็สบายดี แล้วอั้มล่ะ" ผมถามไปตามมารยาท ที่จริงก็ไม่ใจแล้งขนาดนั้นหรอก เพราะผมก็อยากรู้ว่าเธอสบายดีหรือเปล่า

"ก็เรื่อยๆ แล้วนี่...ไปเที่ยวทะเลกันมาเหรอ" อั้มคงจะเห็นผมอัปรูปขึ้นเฟสบุ๊ค ก็เลยรู้ว่าเราไปเที่ยวทะเลกัน แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อกัปตันเป็นแบบไหน

"ใช่ เพิ่งกลับมาถึง"

"สนุกไหม"

"ก็โอเค อั้มก็รู้นี่ว่า...อะตอมชอบทะเล"

"อั้มก็ไม่เคยลืมทุกอย่างที่อะตอมชอบอยู่แล้ว"

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกถึงความแปลกของอั้มมากขึ้นจนต้องขมวดคิ้ว

"ที่จริง...อั้มก็...ยังนึกถึงอะตอมอยู่นะ พอมาคิดๆ ดูแล้ว อั้ม...งี่เง่าเองแหละ บางเรื่อง...อั้มก็น่าจะเข้าใจอะตอมมากกว่านี้ ตอนนั้น อั้มไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ แต่พอเราเลิกกันไป อั้มก็มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้น ก็เลยเห็นหลายๆ อย่างที่...ไม่น่าทำ"

"อย่าคิดอย่างงั้นเลยอั้ม อะตอมก็ทำไม่ดีกับอั้มหลายอย่างเหมือนกันนะ แต่ว่ามันก็ผ่านไปแล้ว ถ้าอั้มให้อภัยอะตอมได้แล้ว เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ที่จริง...อะตอมก็ว่าจะคุยกับอั้มเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงเราสองคนจะเลิกกันแล้ว ก็ไม่เห็นต้องเกลียดกันเลย จริงไหม"

"อืม ก็คงงั้น" อั้มหัวเราะเบาๆ สักพักก็ถามขึ้นมาใหม่ "แล้ว...ตอนนี้...อะตอมมีใครหรือยัง"

"อ๋อ...ก็...จะบอกยังไงดีล่ะ" ผมพลันรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

"แสดงว่ามีแล้วแน่ๆ เลย" อั้มสัพยอก ผมก็เลยต้องยอมรับ

"อืม ก็มองๆ ไว้อยู่ แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เราเลิกกันนะ" ผมดักทาง

"รู้แล้ว" อั้มหัวเราะ ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้นระหว่างเราสองคน

"แล้วอั้มล่ะ มีใครหรือยัง" ผมถามกลับบ้าง

"ยัง"

"จริงเหรอ แต่อะตอมได้ข่าวนะว่ามีหนุ่มๆ มาจีบเยอะเลย" ผมสัพยอกบ้างหลังจากที่เกร็งๆ มาสักพัก

"ก็มีแหละ แต่...ตอนนี้อั้มยังไม่สนใจน่ะ ยังไม่หายอกหักดีเลย"

ผมอึ้งไปอีกรอบ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงที่รู้เรื่องนี้ อั้มยังไม่หายอกหักดี แต่ผมดูเหมือนจะหายดีแล้ว เพราะผมทำใจมานานพอสมควร

"มันก็ทำใจยากเหมือนกันนะ เพราะว่า...เราก็คบกันมาตั้งหลายปี" น้ำเสียงนั้นฟังดูเศร้าๆ แต่ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะมาแทนที่ "ช่างเหอะ อีกไม่นานก็คงดีขึ้นแล้วล่ะ ก็ไม่มีอะไรหรอก อั้มแค่โทรมาบอกเรื่องกัปตันเท่านั้นแหละ งั้นแค่นี้ก่อนนะ แม่เรียกแล้ว"

จู่ๆ อั้มก็ตัดบทไปดื้อๆ ผมจึงได้แต่เออออไปด้วย "อ๋อ ตามสบายเลย ขอบคุณอั้มมากนะที่โทรมาบอก"

"ไม่เป็นไร ไปละ เอาไว้เจอกัน บาย"

"บาย"

ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะตรงโซฟานั่งเล่นอย่างงงๆ ก่อนจะกลับเข้าไปซักเสื้อผ้าต่อ เสร็จแล้วก็ลงไปกินข้าวข้างล่าง กลับขึ้นมาผมก็นั่งเขียนแบบทางลาดที่ทำค้างไว้ด้วยโปรแกรมสเก็ชอัพต่อ แต่ทำได้ชั่วโมงเศษๆ ก็ชักง่วง เพราะเมื่อวานนอนดึกไปหน่อย เมื่อร่างกายไม่ไหวผมจึงเข้านอน เวลาที่ผนังห้องบอกว่าสี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่กัปตันยังไม่กลับมาเลย อาจจะกลับมาพรุ่งนี้เช้าก็ได้

ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ เมื่อลืมตาขึ้น ผมก็มองไปทางเตียงของกัปตันผ่านความมืดสลัว เห็นรถวีลแชร์ของกัปตันจอดอยู่ข้างๆ เตียง ส่วนเจ้าของขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว

หัวใจผมเต้นตึกตักด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่ากัปตันกลับมา แต่จะลุกไปหาเลยก็ไม่กล้า ขนาดจะเอ่ยปากถามผมยังปากหนัก เพราะเขาเฉยเมยกับผมจนผมรู้สึกกลัว แต่ก็รู้ดีว่าผมไม่ควรนิ่งเฉยและปล่อยไว้แบบนี้ อย่างน้อย ผมก็ควรได้ขอโทษกัปตันจากใจจริงของผมบ้าง อย่างน้อยจะได้มองหน้ากันติดและเป็นเพื่อนกันต่อไปได้

ตาของผมเบิกโพลงในความมืดสลัว ไม่มีทางที่ผมจะข่มตาหลับลงได้ ความคิดในหัวแล่นพล่านวุ่นวายไปหมด พยายามคิดหาวิธีจะเข้าไปขอโทษนั่นแหละ แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นยังไง ครั้นจะคิดนานไปก็คงไม่ดี ประเดี๋ยวกัปตันจะหลับไปซะก่อน

ว่าแล้วผมก็สลัดผ้าห่มออก ลุกขึ้นนั่งและมองไปยังเตียงข้างๆ ก่อนตัดสินใจลงจากเตียงและเดินไปยืนข้างเตียงของกัปตัน ผมชั่งใจอยู่นานทีเดียวจึงตัดสินใจเรียกเบาๆ

"มึงนอนยัง"

ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่มีเสียงคล้ายคนขยับตัวดังขึ้น

"คุยกันหน่อยได้ไหม" ผมถามโดยไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบหรือเปล่า

ไม่นานเท่าไหร่ ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ตอบมา "อือ"

ผมฉีกยิ้มอย่างไว ก่อนนั่งลงบนเตียงของกัปตันและเอื้อมมือไปเปิดไฟตรงหัวเตียง กัปตันขยี้ตาและเลื่อนตัวขึ้นนั่ง มีรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายเก้อเขินปรากฎบนใบหน้าด้วย แววตาห่างเหินเมื่อตอนกลางวันหายไปแล้ว

"กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่" ผมถามเหมือนไม่รู้จะถามอะไรดี

"ห้าทุ่ม" กัปตันตอบเบาๆ

"ใครมาส่ง"

"ขับรถมาเอง กูเอารถไปไว้ที่บ้านไง จำไม่ได้เหรอ"

"เออ จริงด้วย กูลืม" ผมหัวเราะแหะๆ และเกาหัวตัวเองเบาๆ เป็นอาการของคนที่ทำตัวไม่ถูกนั่นเอง

"เรื่อง..." เสียงผมกลืนหายลงคอ พยายามนึกหาคำพูดที่จะพูด ผ่านไปสักพักจึงเริ่มใหม่ "เรื่องนั้นน่ะ ถ้ามึงโกรธกู มึงจะต่อยกูก็ได้นะเว้ย หรือทำอะไรก็ได้ กูอยากให้มึงระบายมันออกมา กูไม่กลัวเจ็บหรอก เพราะว่ากูผิด ผิดมากด้วย สมควรได้รับโทษ"

กัปตันนั่งเงียบ ไม่แสดงสีหน้าใดๆ มากนัก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับเรียบเฉยจนไร้ความรู้สึก แต่ผมนี่สิ พอพูดไปแล้วอารมณ์ก็พุ่งพล่าน เผลอๆ จะทนไม่ไหวซะเอง

"กูยอมให้มึงลงโทษกูนะกัปตัน อะไรก็ได้ที่มึงคิดว่าสมควร กูยอมทุกอย่าง ขอแค่..." ผมละคำพูดไว้ มองหน้ากัปตันนิ่ง คราวนี้กัปตันกล้าสบตากับผมโดยไม่ยอมหลบฉากไปไหน

"กูขอแค่มึงรับคำขอโทษของกู ไม่ต้องให้อภัยกูก็ได้ จะเอาหัวใจห้าสิบเปอร์เซ็นต์มึงคืนไปก็ได้ จะไม่เชื่อใจกูก็ได้ กูแค่อยากให้มึงรู้ว่า...กูเสียใจ เสียใจมากด้วย กูไม่เคยรู้สึกเสียใจกับใครขนาดนี้เลยนะเว้ยกัปตัน"

พูดจบ น้ำตาผมก็ไหลพราก ก่อนตามมาด้วยเสียงสะอื้นและร้องไห้ ผมอดใจไว้ไม่ไหวจริงๆ เพราะรู้ว่าทำเขาเจ็บ แถมยังเป็นการซ้ำเติมและสะกิดแผลเก่าอีกด้วย คนเราเมื่อเคยเจ็บกับเรื่องใดมาแล้ว พอมาเจออีกครั้งก็จะเจ็บซ้ำได้ไม่ยาก เพราะมีรอยให้สวมทับก่อนหน้า เหมือนฝาปากกาที่มาเจอกับปากกาของมัน สวมเข้าไปแล้วคลิกเข้ากันทันที

"กูขอโทษนะกัปตัน ขอโทษจริงๆ กูไม่มีคำแก้ตัว มึงจะด่ากูยังไงก็ได้ จะด่ากูว่าเลวก็ได้ ขออย่างเดียว...ให้มึงรับคำขอโทษของกู...นะกัปตัน" ผมคร่ำครวญต่อและทำหน้าขอความเห็นใจ

สีหน้าของกัปตันเข้มขึ้น มีอารมณ์บางอย่างแสดงออกมาชัดขึ้น ในที่สุดเขาก็ยอมพูดความรู้สึกของตัวเอง "กู...ไม่รู้จะบอกมึงยังไง ความรู้สึกของกู...มันพังไปแล้ว ให้กูยอมรับคำขอโทษของมึง กูไม่มีปัญหาหรอก แต่ปัญหาของกูไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะปัญหาของกู...คือความรู้สึกของกูมันพังไปแล้ว กูไม่รู้จะเอามันกลับมายังไง"

"กัปตัน กูขอโทษ"

ผมดึงกัปตันมากอดไว้แน่นและร้องไห้สะอึกสะอื้น อดสะท้อนใจไม่ได้ที่เห็นกัปตันรู้สึกแบบนี้ ผมสงสารเขาจับจิตจับใจ นี่คือบทเรียนจากความหน้ามืดโง่ๆ ที่ผมต้องจำไปอีกนาน เพราะมันทำให้ความรู้สึกของคนที่ผมรู้สึกดีด้วยพังไปเลย เหมือนที่พี่โดมบอกไว้ไม่มีผิด

กลิ่นกายหอมเฉพาะตัวของคนตัวขาวลอยมาปะทะจมูก ผมซุกหน้าลงตรงไหล่ สูดดมกลิ่นนั้นไว้คล้ายกับอยากจะปลอบใจคนเจ็บด้วยสัมผัสแห่งรัก แม้กอดคราวนี้จะไม่ใช่เพราะความเสน่หารัญจวนใจ แต่ก็เป็นกอดที่มีความหมายสำหรับผม เพราะผมหวังว่ามันจะทำให้เขาหายเจ็บขึ้นมาได้บ้าง

ครู่หนึ่งผมก็เงยหน้าขึ้นจากไหล่หอมๆ ก่อนละล่ำล่ะลักบอก "กูจะเอากลับมาให้มึงเองกัปตัน กูจะเอากลับมาให้มึงเองนะเว้ย แต่มึงไม่ต้องห่วง ถ้ามึงได้คืนมาแล้ว มึงจะเอาไปให้ใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นกูก็ได้ กูสัญญานะกัปตัน กูจะเอากลับมาให้มึง"

พูดจบผมก็กอดกัปตันและทิ้งตัวลงนอน พลิกร่างของกัปตันให้ขึ้นมาอยู่บนตัวผม ไม่ใช่ผมอยู่บนตัวเขาเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว กัปตันดูจะตกใจไม่น้อยเพราะใบหน้าเราอยู่ใกล้กันมาก แถมส่วนนั้นของเราก็ยังเบียดกัน ตอนแรกๆ ก็ยังไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่เมื่อถูกกระตุ้นมันก็เริ่มตอบสนอง

ผมจับสองแก้มประคอง ก่อนใช้นิ้วหัวแม่มือไล่เกลี่ยรอยน้ำตาออกจากขอบตาอย่างเบามือ แม้มีไม่มาก แต่ผมก็ไม่อยากให้ใบหน้าหล่อใสนี้เปื้อนน้ำตาเลย สองคู่ดวงตาของเราสบกันนิ่ง ใกล้จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจ ถ้าฟังดีๆ ก็อาจจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นด้วย

จะว่าไปผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมต้องการอะไรจากสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ หรือจะเป็นการปลอบใจ หรือต้องการขอโทษ หรืออยากแสดงความรัก แต่จะทำเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมรู้สึกดี แม้กระทั่งกัปตันเองก็ไม่มีท่าทีขัดขืนหรืออึดอัดเลย

นึกไปก็อยากให้ปากแดงเรื่อๆ นั้นจูบและจู่โจมลงมาที่ผมบ้าง อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าผมโดนกัปตันจูบจะเป็นยังไง น่าเสียดายที่กัปตันยังคงนิ่งเฉย แต่ส่วนกลางลำตัวของเราเริ่มแข็งเครียด ไม่ใช่แค่ของผม แต่ของกัปตันก็แสดงอาการตอบสนองหนักหน่วงไม่แพ้กัน

"กู...ยอมเป็นของมึงก็ได้นะเว้ย ถ้ามึงต้องการ กูยอมให้มึง ยอมให้มึงคนเดียวเลย" ไม่รู้ว่าผมไปเอาความใจกล้าแบบนี้มาจากไหน เรื่องนี้แทบไม่อยู่ในหัวผมเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งคำพูดนี้หลุดจากปากผมไป

สีหน้าของกัปตันเปลี่ยนเป็นตกใจ ไม่นานก็เริ่มมีรอยยิ้มคล้ายกับกำลังรู้สึกขบขัน จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นเขิน

"ไอ้บ้า" กัปตันสบถยิ้มๆ

"ถึงจะบ้า แต่กูก็พูดจริงนะเว้ย จะลองไหมล่ะ" ผมถามทีเล่นทีจริง แอบกลัวๆ เหมือนกันว่ามันจะไม่ปฏิเสธคำท้า ถึงอย่างนั้นก็อยากให้มันขยี้จูบผมสักครั้ง แต่มันก็ยังเฉยอยู่อีก ทั้งที่จริงผมคิดว่ามันน่าจะอยากลองเหมือนกัน

"ไม่เอา" คนปฏิเสธหน้าแดง

ผมนึกอยากจะหอมแก้มและจูบมันซะเองแล้วตอนนี้ แต่ก็ต้องยั้งใจไว้ก่อนเพราะผมเป็นคนผิด ที่สำคัญก็ไม่ควรเอาเซ็กซ์มาแก้ปัญหา เพราะหลังจากหมดสนุกแล้ว ปัญหาอาจไม่จบง่ายๆ

"แน่ใจนะ" ผมยิ้มเหมือนจงใจยั่ว สองแขนโอบกอดกัปตันแน่นขึ้น ใบหน้าเขาโน้มต่ำลงมาใกล้จนปลายจมูกเราแตะกัน สองขาของผมเกี่ยวกระหวัดท่อนล่างของกัปตันไว้ สองร่างจึงแนบชิดกันจนแทบเป็นเนื้อเดียว เพียงขยับกายเล็กน้อย แรงเสียดสีตรงเป้าที่เขม็งเครียดก็พาให้เสียวซ่านจนเผลอซี๊ดปาก

"เสียวว่ะ"

"เสียวอะไร" กัปตันถามเหมือนพาซื่อ แต่ที่จริงเขาคงรู้ เพราะท่าทางของกัปตันก็ดูหวั่นไหวไม่น้อย

"มึงไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เหรอวะ" ผมแกล้งถาม

"นี่มึงอ่อยกูเหรอ" กัปตันยิ้มมีเลศนัย

ผมยักคิ้วใส่เป็นเชิงยอมรับ ก่อนถามซ้ำ "เอาเปล่า"

"เชี่ย นี่มึงสำนึกจริงๆ เหรอวะ"

"สำนึกดิ ถ้าไม่สำนึก...กูไม่ยอมขนาดนี้หรอก เอาไหม" ผมยั่วต่อ

"กูกลัวมึงท้อง" กัปตันเฉไฉ

"เดี๋ยวช่วยกันเลี้ยง กูเป็นนายแบบ มีงาน มีเงิน ไม่อดตายหรอก"

"ไอ้บ้า เพ้อเจ้อนะมึง" กัปตันว่าผมเสียงมุบมิบ แต่สีหน้าก็ยิ้ม

"เออ ไม่เอาก็ไม่เป็นไร แต่ว่า...กลับมาเป็นเพื่อนกันนะเว้ย เซ็ตซีโร่กัน" ผมยื่นข้อเสนอ

"ติดลบได้ไหม" กัปตันต่อรอง

"เออ ติดลบก็ได้ กูบอกมึงแล้วไง กูยอมหมดทุกอย่าง ขนาดให้เป็นเมียมึงกูก็ยอม"

กัปตันหัวเราะเพราะคงอดขำไม่ไหว ทำเอาหัวใจผมชื้นขึ้นอีกโข นี่คือสัญญาณเชิงบวกว่ามันให้อภัยผมแล้ว เอาเถอะ...ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์หรือติดลบ ผมก็พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับกัปตันเสมอ ที่สำคัญ ภารกิจของผมหลังจากนี้ ผมจะต้องช่วยทำให้หัวใจพังๆ ของกัปตันกลับมาเป็นหัวใจดีๆ ให้ได้ แม้จะต้องเข็นรักขึ้นภูเขาสูงเสียดฟ้าก็ยอม

"มึงไม่ต้องยอมขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง...กูก็เข้าใจมึงอยู่ ถ้ากูเป็นมึงบ้างตอนนั้น กูว่ากูคงลากเขาเข้าห้องเหมือนกันแหละ อ่อยซะขนาดนั้น" กัปตันหัวเราะชอบใจ

มันดูน่ารักจนผมอดใจไม่ไหว ผมก็เลยเผลอกอดแน่นและหอมแก้มมันฟอดหนักๆ เข้าให้

"แล้วมึงไม่อยากลากกูมั่งเหรอ"

"รอให้ครบร้อยก่อนเหอะ เดี๋ยวกูจะลากมึงทุกวันเลย" กัปตันรับมุกต่อและยิ้มกว้าง กว้างจนผมไม่สงสัยแล้วว่าเราเซ็ตซีโร่เรียบร้อยหรือยัง ทำเอาผมตื้นตันใจไม่น้อย โชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่โดนพิพากษาว่าเลวไปตลอดชีวิต

"ขอบคุณมากนะครับ...พี่กัปตัน"

กัปตันหน้าเหวอ คงจะงงที่ผมเรียกมันว่าพี่ แต่มันอาจจะสงสัยก็ได้ว่ามันหูฝาดไปหรือเปล่า!


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-06-2017 09:31:17
 :ruready


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 15-06-2017 09:42:34
อ่านแล้วยิ้มสลับน้ำตาเลย เรื่องนี้เป็นนิยายที่สมควรได้รับคอมเม้นท์ให้มากขึ้น

เพราะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างสมจริง ของการเดินทางของความรักที่ตัวละครต้องพบอุปสรรคจากคนรอบด้านและอุปสรรคในตัวเอง
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 15-06-2017 10:20:47
น่ารักๆๆๆๆๆ
ขออย่ามีเรื่องไม่ดีอีกเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 15-06-2017 15:13:14
เห็นเรื่องนี้มาสักพักแต่เพิ่งเข้ามาอ่าน

พลาดอย่างแรงเลย!! สนุกมากค่ะ นักเขียนเขียนออกมาได้เก่งมาก เราชอบอารมณ์ของตัวละครจัง แบบรู้สึกว่าสมจริง อย่างตอนล่าสุดถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หากวันหนึ่งวันใดกัปตันให้มากจนเกือบร้อยแล้วล่ะก็ เกิดแบบนี้ขึ้นตอนนั้นคงแย่กว่านี้ไม่ก็แตกหักไปเลยก็ได้ เกิดตอนนี้จะได้รู้ตัวแล้วจำเป็นบทเรียน ชอบอารมณ์ตอนนี้มากเลยทำเอาน้ำตาซึม

ปล.บวกเป็ดและบวกหนึ่งเป็นกำลังใจในตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 15-06-2017 15:39:33
กัปตันว่าไงเราก็ว่างั้นแล้วกัน

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-06-2017 20:45:07
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-06-2017 22:33:57
ถึงกับยอมที่จะเป็นเมีย o13 o13
หวังว่าจะไม่ไปหน้ามืดอะไรกับใครอีกล่ะ

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 16-06-2017 19:23:57
หายเคืองแล้ววว จะบอกว่ากัปตันไม่คิดอะไรก็ไม่ได้ คนรู้สึก ยังไงก็คิด

อะตอมพลาดแล้ว แล้วพลาดหลายครั้ง ถึงจะคนละเรื่อง แต่ดูอะตอมก็ยังไม่มั่นคงพอ
แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นบทเรียน อะตอมก็ต้องพยายามให้สมกับที่จีบนะ

เฮ้อออ ข้อจำกัดมีเยอะเหลือเกิน กัปตันไม่ผิดสักหน่อย ถ้างั้น ทำไมไม่ให้สมัครแต่แรก คนเรานะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 16-06-2017 20:16:37
  เห้อออ อะตอม ไม่เป็นไรเริ่มใหม่
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-06-2017 22:24:11
ดีกันแล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:

อะตอม ยอมทุกอย่าง ทั้งขอโทษ ทั้งเนอให้กัปตันต่อยตัวเอง
และยอมเป็นเมียกัปตันซะด้วย

ชอบที่อะตอม บอก เรื่องความรู้สึกที่เสียไป
"กูจะเอากลับมาให้มึงเองกัปตัน กูจะเอากลับมาให้มึงเองนะเว้ย แต่มึงไม่ต้องห่วง ถ้ามึงได้คืนมาแล้ว มึงจะเอาไปให้ใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นกูก็ได้ กูสัญญานะกัปตัน กูจะเอากลับมาให้มึง"
ไม่ใช่ว่ากัปตันจะต้องชอบอะตอมอีก ตรงนี้ยอดมาก

อั้ม แฟนเก่าอะตอม มาบอกเรื่องการประกวด
ที่พี่ๆไม่ชอบกัปตัน และเป็นเพราะอั้มเอง อยากคืนดีกับอะตอมอีก

อะตอม คิดหาทางช่วยกัปตันให้ได้ซ้อมการประกวด
และที่อะตอมบอกอั้ม เรื่องยังเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้ยินดีที่จะกลับไปคบอั้มใหม่
ตรงนี้ทำให้รู้สึกว่าอะตอมให้ความสำคัญกับกัปตันอย่างเดียว
ซึ่งคิดถูกมากๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 17-06-2017 21:14:39
ห้ามมีคราวหน้าอีกนะ!!!!
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (70%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 18-06-2017 20:44:56
EP16 (Part 1)
อุดมการณ์และความรัก

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

แค่เห็นคิ้วขมวดและหน้ายุ่งยากใจปรากฎขึ้น ผมก็พอจะเดาท่าทีและความรู้สึกของผู้อาวุโสกว่าได้ไม่ยากนัก ในบรรดาสิ่งที่ซ่อนได้ยากสุดก็น่าจะเป็นสีหน้าของเรานี่แหละ

"เท่าที่ผมทราบ ในมหาลัยของเราแทบไม่มีคนพิการนั่งรถเข็นมาเรียนเลย เมื่อสองสามปีที่แล้วก็เพิ่งมีผู้หญิงจบไปแค่คนเดียว จากนั้นก็ไม่มีอีกเลย อีกอย่าง...ตอนที่เขาเรียน เขาก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร เพื่อนเขาก็ช่วยกันดี เขาก็เรียนจนจบ แสดงว่าเรื่องที่คุณเสนอมาไม่จำเป็น"

ว่าแล้วไหมล่ะ ที่จริงผมก็คิดๆ อยู่เหมือนกันว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ ถึงอย่างนั้น ผมก็สนใจตรงที่ว่าเคยมีผู้หญิงนั่งวีลแชร์มาเรียนที่นี่ด้วย ผมชักอยากรู้ว่าเธอไม่เจอปัญหาเลยหรือ ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เลย เห็นทีผมต้องสืบเรื่องนี้เพิ่ม จะได้มีแรงสนับสนุนจากผู้ประสบปัญหาตัวจริงมากขึ้น

"แต่ว่า"

"ผมเข้าใจความตั้งใจของคุณนะ แต่คุณก็ต้องเข้าใจเราด้วย เพราะถ้าให้ทำตามแผนที่คุณเสนอมาน่ะ มันต้องใช้เงินเป็นล้าน ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปเสนอในที่ประชุม คุณคิดว่าใครเขาจะอนุมัติงบเยอะขนาดนี้เพื่อนักศึกษาแค่คนเดียวล่ะ อีกอย่าง เราก็ทำๆ ไปบ้างแล้ว แต่จะให้ทำครบทุกจุดน่ะ เราทำทีเดียวไม่ไหวหรอก"

ผมพูดยังไม่ทันจบ ท่านอธิการบดีก็แย้งซะก่อน ที่จริงผมก็ไม่เถียงหรอกว่าทำไปบ้างแล้ว แต่ส่วนมากไม่ได้มาตรฐาน เพราะทางลาดชันจนไม่น่ามีคนพิการคนไหนเข็นขึ้นเองได้ หรืออย่างจุดที่ควรมีก็ไม่มี เช่น ศูนย์บริการนักศึกษาพิการหรือดีเอสเอสของที่นี่อยู่ชั้นสอง ไม่มีลิฟต์ ไม่มีทางลาด คนพิการส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการเป็นคนตาบอดจึงไม่มีปัญหา แต่กัปตันขึ้นไปไม่ได้เลย

"แต่ว่าที่คณะสถาปัตย์มีน้อยมากนะครับ ผมกับเพื่อนๆ ต้องช่วยกันยกวีลแชร์ของกัปตันขึ้นตึกแทบทุกวันเลย ถ้าวันไหนเพื่อนไม่อยู่หรือไม่มา เขาก็ขึ้นเองไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จะมีใครช่วยหรือเปล่า ผมว่าถ้าเราทำไว้ ต่อไปก็จะมีคนพิการมาเรียนเยอะขึ้นนะครับ เป็นหน้าเป็นตาให้กับมหาลัยด้วย ผมได้ยินมาว่าหลายๆ ที่เขาก็ปรับไปเยอะแล้ว อย่างที่ธรรมศักดิ์เขาก็ทำเยอะมาก มีนักศึกษาพิการไปเรียนที่นั่นหลายคนครับ มีทุกปีเลย"

ก่อนจะมาพบท่านอธิการ ผมก็หาข้อมูลไว้พอสมควร โดยเฉพาะจากอาจารย์วิว แต่หากคนเราไม่เปิดใจซะอย่าง ต่อให้รู้ว่าดีก็อาจจะไม่ทำ

"ก็ให้เขาไปเรียนที่นั่นก่อนละกัน แต่ที่นี่เรายังไม่พร้อม คุณต้องเข้าใจนะ ในการทำงานน่ะ มันไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ได้ ใช่...ของบางอย่างมันอาจจะดีจริงหรือน่าทำ แต่บางทีมันก็ทำไม่ได้เสมอไปหรอก คุณยังเป็นนักศึกษาอยู่ ไม่รู้หรอกว่าโลกของการทำงานที่แท้จริงมันเป็นยังไง เพราะฉะนั้น ก็ช่วยๆ กันไปก่อน นักศึกษาคณะคุณมีเป็นร้อย จะช่วยกันไม่ได้เลยเหรอ อีกอย่าง...ก็ได้ทำบุญด้วย"

คำพูดของท่านอธิการบดีทำเอาผมผิดหวังไม่น้อย ประเทศของเราจะพัฒนาไปข้างหน้าได้ยังไงถ้าหากผู้ใหญ่พากันคิดแบบนี้ น่าเห็นใจคนอย่างกัปตันจริงๆ วันไหนที่ผมไปงานและไม่ได้เข้าเรียน ผมจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเพราะกลัวไม่มีคนช่วยยกกัปตัน น้ำหวานเคยบอกผมบ่อยๆ ว่าบางทีเพื่อนก็เกี่ยงกัน อาจจะไม่ถึงกับเกี่ยงกันจริงจัง หรืออาจจะแค่พูดเล่นสนุกๆ แต่ผมก็รู้ว่ากัปตันคงรู้สึกไม่ดี อย่าว่าแต่กัปตันเลย ถ้าผมเป็นกัปตันก็คงไม่ชอบที่ตัวเองต้องเป็นภาระของคนอื่นตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการออกแบบ

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงออกมาใช้ชีวิตข้างนอกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่อยากออกมา แต่สังคมบีบบังคับให้พวกเขาอยู่บ้านด้วยการไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ไปมากแล้ว ไม่ใช่แค่สะดวกสำหรับคนพิการเท่านั้น ผมว่าคนแก่ คนท้อง นักท่องเที่ยว แม่ที่ใช้รถเข็นเด็ก หรือคนที่เจ็บป่วยชั่วคราวก็ได้ประโยชน์ อย่างน้อยวันหนึ่งทุกคนก็ต้องแก่ ถึงไม่ใช้วันนี้ แก่ตัวลงก็อาจจะได้ใช้ สุดท้ายมันก็คือการทำเพื่อทุกคน ไม่ใช่แค่คนพิการ

อ้อ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคำว่า "ทำบุญ" ไม่ได้มีความหมายในทางที่ดีในกรณีนี้เลย ผมจะลองถามกัปตันดูว่าเขาคิดยังไงถ้ามีคนมาช่วยเขาแล้วบอกว่าทำบุญ สำหรับผมมันฟังดูเหยียดกลายๆ

"แล้วถ้าผมหาเงินมาได้หนึ่งล้าน อธิการจะให้ผมทำไหมครับ"

ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมกล้าพูดไปแบบนั้น อยู่ๆ มันก็แวบขึ้นในความคิด แถมยังส่งพลังรุนแรงต่อความรู้สึกข้างในของผมทันทีที่เข้ามา คำพูดนั้นของผมจึงหลุดลั่นออกไป อาจจะเป็นสัญชาตญาณหรืออะไรบางอย่างที่บอกให้ผมพูดอย่างนั้นก็ได้

ท่านอธิการบดีถึงกับอึ้ง แต่สักพักก็ยิ้มแปลกๆ และหัวเราะ

"ถ้าหามาได้จริง ผมก็จะให้คุณทำ" รอยยิ้มของคนพูดเหมือนเย้ยหยัน ลึกๆ คงไม่เชื่อหรอกว่านักศึกษาปีหนึ่งอย่างผมจะทำได้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกอยากเอาชนะของผมทวีกำลังมากขึ้น

คงจะเป็นเพราะความรู้สึกนั้น หลังคุยกับท่านอธิการบดีแล้ว ผมก็รีบพาตัวเองมาที่ตึกตุลาสแควร์ด้านหน้าติดรถไฟฟ้าใต้ดินทันที ก่อนมองหาธนาคารที่ผมใช้บริการฝากเงินอยู่ เมื่อเจอแล้วผมก็ถอนเงินหนึ่งหมื่นบาทออกมาจากบัญชีของตัวเอง สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นเงินที่เยอะพอสมควร แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมกลับไม่ลังเลใจเลย ขนาดตอนคบกับอั้ม จะพาเขาไปกินหรือซื้ออะไรทีก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก แม้ว่าสุดท้ายก็ต้องยอมเพื่อความรัก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า

ผมเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมาหนึ่งบัญชีกับอีกธนาคาร และมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะทำให้เงินฝากหนึ่งหมื่นบาทแรกนี้ค่อยๆ เพิ่มเป็นหนึ่งล้านบาทให้ได้ภายในหนึ่งปี ถ้าเป็นไปได้ก็จะให้เร็วกว่านั้น

เมื่อทำธุระที่ธนาคารเรียบร้อย ผมก็โทรนัดอาจารย์วิว โชคดีที่แกยังไม่มีสอนตอนเช้า จึงบอกให้ผมไปหาที่ภาควิชาออกแบบภายในได้เลย ผมรีบไปทันที ระหว่างนั้นกัปตันส่งไลน์มาถามว่าอยู่ไหน ผมเพียงแต่ตอบไปว่ายังทำธุระไม่เสร็จ คงไม่ได้เข้าเรียนตอนเช้า มันตอบมาว่าจะเก็บชีทไว้ให้

เมื่อมาถึงผมก็ตรงดิ่งไปที่ห้องของอาจารย์วิว ทันทีที่นั่งเก้าอี้ลงฝั่งตรงข้าม ผมก็ส่งสมุดบัญชีให้อาจารย์วิวดูก่อนอย่างอื่น

"อาจารย์ครับ ผมว่าเราเปิดชมรมยูนิเวอร์ซัลดีไซน์ให้เร็วที่สุดดีไหมครับ เงินในบัญชีนี้ ผมจะขอมอบให้ทางชมรมเอาไว้ใช้ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในมหาลัย มันยังไม่พอหรอกครับ แต่ผมเชื่อว่า...เราจะหาได้มากกว่านี้"

เพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้คู่สนทนาตรงหน้าของผมอึ้งได้แล้ว อาจารย์วิวครุ่นคิด ไม่นานก็ยิ้มบาง "งั้น...ตอนนี้...เราต้องหาสมาชิกชมรมก่อน ถ้าอาจารย์จำไม่ผิด เราต้องมีสมาชิกสองร้อยคนขึ้นไปจากอย่างน้อยสี่คณะถึงจะตั้งเป็นชมรมได้"

"สองร้อยก็สองร้อยครับ ผมจะหาให้ครบภายในหนึ่งเดือน ผมเชื่อว่าเราทำได้ครับอาจารย์" ผมยืนยันหนักแน่น ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยรู้สึกถึงพลังของการอยากทำสิ่งใดมากขนาดนี้มาก่อนเลย จะว่าไปผมก็แปลกใจตัวเองไม่น้อย

"โอเค งั้นเบื้องต้น เธอหาคนที่สนใจมาสักสิบคนก่อนนะ แต่ถ้าไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เอาคนที่สนใจจริงๆ มาคุยกันก่อน จากนั้นเดี๋ยวเราค่อยวางแผนขั้นต่อไป อาจารย์ว่าเธอทำคนเดียวไม่ไหวหรอก ต้องหาคนมาช่วย" อาจารย์วิวยิ้มด้วยแววตาชื่นชม

แค่มีคนเข้าใจและเห็นด้วย เท่านี้ผมก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ส่วนเรื่องข้อเสนอผมก็เห็นด้วย ถ้าทำคนเดียวคงเหนื่อย ต้องหาคนมาร่วมขบวนการ แต่ผมก็เชื่อว่าจะหาได้ไม่ยาก อย่างน้อยก็มีกัปตัน น้ำหวาน แบงค์และกวิน รวมผมด้วยก็ห้าคนแล้ว ถ้ามีพี่โดมอีกคนก็เป็นหก จากนั้นก็หาเพิ่มอีกสี่คน หรือจะมีแค่นี้ก็เริ่มทำงานได้แล้ว

ผมยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

"ได้ครับอาจารย์ ผมจะหามาให้ครับ"

<<<ATOM>>>

เสียงเพลงจังหวะเต้นรำดังไปทั่วห้องซ้อม นักศึกษาราวยี่สิบคนที่ผ่านการคัดเลือกกำลังซ้อมเต้น มีผู้หญิงคนหนึ่งคอยคุมการซ้อมอยู่ น่าจะเป็นคนสอนเต้นนั่นเอง ผมได้ข่าวว่าเธอเป็นรุ่นพี่ของคณะนี้ ชื่อซินดี้ จบไปสองสามปีแล้ว มีความสามารถด้านการเต้น จึงถูกขอให้มาช่วยงานนี้

หลังจากเลิกเรียนภาคบ่าย ผม น้ำหวาน แบงค์และกวินก็พากัปตันมาที่นี่ ตอนแรกกัปตันทำท่าจะไม่มาเพราะไม่อยากมีปัญหา แต่เราก็คะยั้นคะยอให้มาจนได้ เพราะถ้ายอมง่ายๆ ต่อไปการเลือกปฏิบัติแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก คนทำก็จะยิ่งได้ใจ

การปรากฎตัวของกัปตันที่นี่คงเป็นเรื่องไม่คาดคิดอย่างมาก เมื่อสองสาวซึ่งเป็นแอดมินเพจตุลาคิวท์บอยหันมาเจอโดยบังเอิญ พวกเธอก็ถึงกับหน้าตาเลิ่กลั่ก ก่อนรีบเดินแกมวิ่งมาหาพวกเราด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

"อ้าวกัปตัน ทำไมเพิ่งมาล่ะ เขาซ้อมกันมาตั้งหลายวันแล้ว ไม่สะดวกเหรอ" พี่สาออกตัวเป็นคนแรก พยายามทำหน้าตาให้ดูไร้เดียงสา แต่ก็วางหน้าไม่สนิทอยู่ดี ไม่มีทางที่พวกเธอจะซ่อนพิรุธหรือความรู้สึกผิดจากสีหน้าได้เลย

"สงสัยจะไม่มีใครบอกเพื่อนผมน่ะครับ" ผมตอบคำถามแทน

"อ้าว กัปตันไม่ทราบเรื่องเหรอ ตายแล้ว...สงสัยอั้มจะลืมบอกแน่ๆ เลย พอดีเรามีคนช่วยงานน้อยน่ะ มีกันแค่ไม่กี่คนเอง ก็เลยอาจจะหลุดๆ บ้าง พี่ขอโทษด้วยนะคะ" พี่ปริมรีบแก้ตัวแทนพี่สาซึ่งทำท่าเหมือนไม่รู้จะตอบยังไง น่าขำที่เธอยังอุตส่าห์โบ้ยความผิดไปให้แฟนเก่าผมอีก

"อ๋อเหรอครับ นอกจากกัปตันแล้วยังลืมใครอีกหรือเปล่าครับพี่" แบงค์ถามกวนๆ

"เอ่อ..." พี่ปริมกับพี่สามองหน้ากัน จากนั้นก็หันมาหัวเราะแหะๆ แต่ไม่ตอบคำถามใดๆ

"ถ้างั้น...ผมให้กัปตันซ้อมเลยนะครับ" ผมบอกเสียงเรียบ

"จะดีเหรอ" พี่สารีบแย้ง "เขาซ้อมกันไปเยอะแล้ว ถ้าให้กัปตันไปซ้อมด้วย มันต้องเปลี่ยนเยอะเลยนะ พี่กลัวจะไม่ทัน เหลือแค่ไม่กี่วันเอง"

"อ้าว แล้วพี่จะให้กัปตันทำอะไรล่ะคะ" น้ำหวานชักสีหน้าใส่รุ่นพี่ ในขณะที่กัปตันยังดูเงียบๆ

"อ๋อ...พี่ได้ยินว่ากัปตันจะร้องเพลงแล้วก็เล่นกีตาร์ไม่ใช่เหรอ ก็น่าจะ..."

"แต่มันเป็นการแสดงความสามารถส่วนตัวของแต่ละคนนะพี่ คนอื่นๆ ก็แสดงเหมือนกัน ทีคนอื่นยังแสดงสองอย่างได้ ทำไมกัปตันได้แสดงแค่อย่างเดียวล่ะคะ" น้ำหวานเถียงพี่สาก่อนที่เธอจะพูดจบประโยค

พี่ปริมกับพี่สาทำหน้าลำบากใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดความตั้งใจเดิมที่จะไม่ให้กัปตันแสดงในช่วงนี้ด้วย

"แต่ว่า...คนสอนเต้นเขาไม่เคยสอนวีลแชร์เต้นไง ถ้ากัปตันมาซ้อมการแสดงช่วงนี้ด้วย มันต้องใช้เวลาเยอะ แล้วงานมันก็ฉุกละหุกด้วย มันจะไม่ทันแล้ว พวกพี่มีเวลาเตรียมนิดเดียวเอง พี่ก็เลย..." เสียงของพี่ปริมกลืนหายลงคอไป

"อ้าว ตกลงพวกพี่ลืมบอก หรือว่าไม่อยากให้กัปตันซ้อมกันแน่ครับ" กวินช่วยถามอีกแรง หลายๆ คนช่วยกันต้อน รับรองสองสาวนี้ต้องจนมุม

"ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก" พี่สาแย้ง

"แล้วมันยังไงครับ" กวินขมวดคิ้วสงสัย

"เอ่อ..." สองสาวมองหน้ากันอีกครั้ง สีหน้าดูเหมือนหนักใจมากทีเดียว

"มหาลัยของเราเป็นมหาลัยอันดับหนึ่งนะพี่ แล้วที่นี่เขาก็เน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ แล้วก็เรื่องของความเท่าเทียมกัน ถ้าเกิดมีคนรู้เรื่องนี้เข้า มหาลัยเราจะเสียหายนะคะ ที่สำคัญนะ ถ้ากัปตันไม่ได้แสดงด้วย พวกหนูจะถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ แล้วก็จะเอาเรื่องนี้เข้าสภานักศึกษา" น้ำหวานขู่ตามที่เราวางแผนกันไว้

"เดี๋ยวก่อนนะ พี่ว่ามันจะไปกันใหญ่แล้ว พวกเราไม่ได้เลือกปฏิบัติซะหน่อย แต่มันมีข้อจำกัดไง แล้วอีกอย่าง...กัปตันเขาก็ใช้วีลแชร์ เขาจะเต้นได้ยังไง โอเค เรื่องการมีส่วนร่วมมันสำคัญ แต่คนอื่นๆ เขาก็จะเสียเวลาไปด้วย ต้องเข้าใจคนจัดงานด้วยนะว่าเราก็มีข้อจำกัด ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ ก็ต้องยอมรับสิ จะมาทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาทำไม" พี่ปริมเถียง ดูท่าทางจะโกรธเหมือนกันที่โดนน้ำหวานต่อว่า

แต่หาใช่แค่พี่ปริมเท่านั้นที่โกรธ พวกเราก็ควันออกหูด้วย ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิง ผมคงต่อยปากแตกไปแล้ว

"กลับเหอะว่ะ กูไม่ซ้อมก็ได้" กัปตันเอ่ยขึ้นมาบ้างหลังเงียบอยู่นาน สีหน้าดูไม่ดีเลย คงรู้สึกแย่ไม่น้อยกับสิ่งที่พี่ปริมพูดเมื่อกี้

"ไม่ได้เว้ยกัปตัน มึงอย่ายอมง่ายๆ อย่างงี้สิวะ" เพื่อนๆ ผมพากันหันมาดุกัปตัน กัปตันจึงต้องหยุดพูด ไม่ใช่ว่าพวกเราจะบังคับให้กัปตันซ้อมให้ได้หรอก ถ้าเกิดกัปตันไม่อยากซ้อมก็โอเค แต่พวกเราจำเป็นต้องให้บทเรียนพี่สองคนนี้ก่อน

"สรุปว่าพวกพี่ไม่ได้ลืม แต่จงใจไม่บอกให้กัปตันรู้ใช่ไหมครับ" ผมถามเสียงแข็ง

เมื่อโดนต้อนมากเข้า พี่ปริมกับพี่สาก็ดูเหมือนจะจนมุม พวกเธอไม่เถียงอะไรอีก เท่ากับยอมรับความจริงไปแล้ว เพราะถ้าขืนยังเถียงต่อ ผมว่าพวกเธอสองคนคงเกินจะเยียวยา คนแบบนี้ไม่น่าจะมีใครคบได้ ยกเว้นว่าเป็นพวกเดียวกัน

"แล้วจะเอายังไงครับ พวกพี่จะให้กัปตันซ้อม หรือว่าจะไม่ให้ซ้อม" แบงค์คาดคั้นเสียงดุ

"เดี๋ยวพี่ไปคุยกับครูสอนเต้นก่อนละกัน" พี่ปริมพูดอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อโดนขู่แบบนี้ พวกเธอคงไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าเรื่องนี้ไปถึงสภานักศึกษาคงไม่เป็นผลดีกับพวกเธอแน่

ในที่สุดกัปตันก็ได้ซ้อมกับคนอื่นๆ พี่ซินดี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย แถมดีใจด้วยซ้ำที่มีกัปตันมาซ้อมด้วย เธอตั้งใจสอนกัปตันมาก แถมยังขอให้ผู้ผ่านเข้ารอบคนอื่นๆ ช่วยดูแลกัปตันด้วย กัปตันเต้นด้วยการทำท่ามือ บางจังหวะก็จะใช้วีลแชร์แดนซ์เข้ามาช่วยสร้างสีสัน เป็นที่ถูกอกถูกใจของพี่ซินดี้ไม่น้อย ในขณะที่พี่ปริมกับพี่สาก็ดูจะยอมรับกัปตันมากขึ้น

ผมกับเพื่อนๆ ที่เหลือก็หามุมยืนดูการซ้อมและคุยกันไปด้วย น่าแปลกที่วันนี้ผมไม่เห็นอั้มมาช่วยงานเลย สงสัยเธอคงติดธุระอื่น ถึงอย่างนัันก็ยังมีเพื่อนๆ ของเธอและคนในคณะสลับกันมาช่วย ก็ไม่ถึงกับขาดคนช่วยงานอย่างที่พี่ปริมกับพี่สาอ้างตอนแรกซะทีเดียว

เมื่อได้รับการยอมรับ กัปตันก็ดูมีความสุขไม่น้อยที่ได้ซ้อมกับเพื่อนๆ ในบรรดาคนที่ผ่านเข้ารอบทั้งหมด ผมว่ากัปตันคิวท์สุดละ อย่างน้อยก็ในสายตาของผม คนอื่นๆ นอกนั้นไม่อยู่ในสายตาผมแม้แต่คนเดียว

อีกเรื่องที่น่าแปลกคืออินเข้ามาช่วยสอนกัปตันด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมันถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ให้อภัยมันเรื่องนั้นหรอก นึกถึงทีไรก็ยังโมโหไม่หาย

ประมาณหกโมงเย็นพี่ซินดี้ก็ให้หยุดพักครึ่งชั่วโมง ทีมงานหาข้าวกล่องมาให้บรรดาคิวท์บอยกินในระหว่างนี้ โชคดีมีเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง เพราะปกติก็จะซื้อเผื่อไว้ให้คนที่กินกล่องเดียวไม่อิ่ม ผมกับเพื่อนๆ จึงได้อานิสงฆ์ไปด้วย พี่ปริมกับพี่สาเป็นคนมาเชื้อเชิญให้กินด้วยกันเองเลย ทำให้ความรู้สึกของพวกเราที่มีต่อพวกเธอสองคนดีขึ้นพอสมควร

กัปตันมากินข้าวกับพวกเราด้วย ที่นี่ไม่มีโต๊ะนั่งจึงต้องนั่งกินกับพื้น ผมอุ้มกัปตันลงจากวีลแชร์มานั่งข้างล่างกับเพื่อนๆ จะได้ไม่รู้สึกแตกต่างกันเกินไป หลังจากรู้จักกัปตันมาได้สักพัก ผมก็เริ่มเข้าใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มากขึ้น

แทนที่เราจะได้คุยกันในกลุ่มเพื่อนของเราเอง หนุ่มคิวท์บอยคนหนึ่งก็เดินมานั่งลงและขอร่วมวงด้วย

"ขอนั่งด้วยได้ไหม"

กัปตันหันไปพยักหน้า เพราะคนที่มาดูเหมือนจะถามกัปตันเพียงคนเดียว ไม่ได้ถามคนอื่นๆ

"ชื่อกัปตันเหรอ" นายหมอนั่นถาม

"ใช่" กัปตันยิ้มให้

"เราชื่อคอปเตอร์ อยู่อักษร กัปตันล่ะ" นายที่ชื่อคอปเตอร์ถามต่อ

"ถาปัตย์"

"โห เก่งจัง เรียนถาปัตย์ด้วยเหรอ สุดยอดเลย" คอปเตอร์ชมและยิ้มจนตาหยี

"ก็ไม่ขนาดนั้น" กัปตันหัวเราะ ดูเหมือนไอ้หมอนั่นจะไม่สนใจคุยกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ด้วยเลย มันชวนกัปตันคุยอย่างเดียว

"ตั้งแต่เคยเห็นคนแบบกัปตัน เอ่อ...เรียกว่าคนพิการจะโกรธเปล่าเนี่ย"

กัปตันส่ายหน้า "ไม่โกรธหรอก จะโกรธทำไม"

คอปเตอร์ทำหน้ายิ้มยาก คงจะกระดากปากที่ต้องใช้คำนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม "เหรอ เออ นั่นแหละ เราเคยเห็นคนพิการมาหลายคนแล้ว ส่วนมากจะดูน่าสงสาร เพิ่งเห็นกัปตันนี่แหละที่ดูน่ารัก"

ไม่ใช่แค่กัปตันเท่านั้นที่อึ้ง ผมกับเพื่อนๆ ก็อึ้งด้วย ถึงกับมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัย

"เฮ้ย จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น" คอปเตอร์ยืนยันเป็นมั่นเหมาะ "เข้าไปกดไลค์ในเพจคิวท์บอยให้ด้วย ของกัปตันมีคนมาไลค์ให้เยอะเหมือนกันนะ ล่าสุดนี่ก็หลายพันคนแล้ว"

คอปเตอร์น่าจะหมายถึงรูปที่ทีมงานนัดไปถ่ายคราวนั้น นอกจากเพื่อนๆ แล้วก็มีญาติๆ มาช่วยกดไลค์ให้อีกหลายคน จำนวนไลค์ที่ได้ไม่น้อยหน้าคนอื่นๆ เลย แต่ก็ยังไม่ถือว่าเยอะที่สุดซะทีเดียว

"ขอบใจนะ เดี๋ยวจะไปกดไลค์คืนให้" กัปตันยิ้มอีกระลอก หากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แอบชอบกัปตันอยู่ รอยยิ้มนี้คงกระชากใจใครคนนั้นอย่างรุนแรง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะรู้สึกดีเลย

"ก็ดีเหมือนกัน ยังได้ไลค์ไม่เยอะเลย สงสัยจะได้ที่โหล่แล้วมั้งเนี่ย" คอปเตอร์หัวเราะตัวเอง

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่นายคอปเตอร์แสดงความสนใจกัปตันจนพอสังเกตได้ น้ำหวาน แบงค์และกวินก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างกัน แต่พวกเราก็ได้แต่นั่งสังเกตดูเงียบๆ

หลังกินข้าวเสร็จกัปตันก็ไปซ้อมต่อ เลิกซ้อมอีกทีก็สองทุ่มกว่า เพื่อนอีกสามคนของผมขอตัวกลับไปก่อนแล้วตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม แต่ผมยังอยู่รอพากัปตันกลับคอนโด ดูเหมือนนายคอปเตอร์นั่นยังสนใจกัปตันไม่เลิก มันพากัปตันมาส่งให้ผมด้วย แต่กว่าจะแยกไปมันก็ชวนคุยอ้อยอิ่งจนผมชักรำคาญ โชคดีที่มันไปได้เสียที

จังหวะที่เราจะกลับ ใครบางคนก็โผล่เข้ามาในห้องซ้อมพอดี

"พี่โดม" กัปตันร้องเรียกลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างดีใจ

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า พี่โดมดูเหมือนตกใจมากกว่าจะดีใจที่เห็นน้องชาย กระนั้นก็รีบเดินมาหากัปตัน แต่ผมก็รู้สึกว่าพี่แกมองหาอะไรบางอย่างไปด้วย

"พี่โดมมาหาใครเหรอ" กัปตันถาม

"อ๋อ ก็ว่าจะแวะมาดูกัปตันซ้อมนั่นแหละ แล้วเป็นไง โอเคไหม" พี่โดมยิ้มอบอุ่น

"ก็โอเคอยู่ครับ เพิ่งเลิกนี่เอง เอ๊ะ แล้วพี่โดมรู้ได้ไงว่าผมมาซ้อม" กัปตันฉงน เพราะเขาเพิ่งมาซ้อมวันนี้ น่าจะยังไม่ได้บอกพี่โดมด้วยซ้ำ

"อ๋อ ไอ้อินมันไลน์ไปบอกพี่ว่ากัปตันมาซ้อมไง พี่ก็เลยแวะมาดู เสร็จงานกับเพื่อนก็รีบมาเลย แล้วนี่จะกลับคอนโดแล้วเหรอ" พี่โดมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

"ครับพี่ พี่โดมไปคอนโดผมไหม ผมอยากคุยกับพี่โดมน่ะ ไม่ได้คุยหลายวันแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไปหาผมเลย" กัปตันท้วงและทำท่าน้อยใจ

"อ๋อ...เอ่อ..." พี่โดมอึกอักอีกแล้ว ทำตัวน่าสงสัยจริงๆ

ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสียงใครบางคนก็ดังมาจากข้างหลังของเรา

"พี่โดม มาแล้วเหรอครับ นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก"

เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นอินเดินแกมวิ่งมาหา สร้างความแปลกใจให้ผมกับกัปตันไม่น้อย

"พี่โดมมารับอินเหรอ" กัปตันหันกลับมาถามพี่ชายด้วยสีหน้าแปลกใจ

อินเดินมาถึงพอดี พี่โดมยิ่งหน้าตาเลิ่กลั่กเข้าไปใหญ่ "อ๋อ...คือ..."

"ไม่เป็นไรพี่ ถ้าพี่โดมนัดอินไว้ก็ไปกับอินก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับกับอะตอมเอง" กัปตันพูดแทนเมื่อเห็นพี่ชายไปไม่เป็น ถึงพวกเราจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของพี่โดมมากนัก

"งั้นผมไปแล้วนะพี่ เดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีนะครับ" กัปตันบอกลาพี่ชาย

"อืม เดี๋ยวพี่โทรหานะ" พี่โดมบอกน้องชายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ถึงแม้จะพยายามยิ้มๆ ก็ตาม

"ผมไปแล้วนะพี่ ไปแล้วนะอิน" กัปตันโบกมือให้พี่ชายและหันไปยิ้มบางๆ ให้กับอิน ก่อนเข็นนำออกไป ส่วนผมรีบยกมือเป็นเชิงบอกลาพี่โดม แต่ไม่ชายตาแลอินแม้แต่น้อย จากนั้นก็รีบตามกัปตันไป


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (70%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 18-06-2017 21:13:09
ชอบความมุ่งมั่นฟันฝ่าของตัวละครเรื่องนี้จัง  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 18-06-2017 21:35:15
EP16 (Part 2)
อุดมการณ์และความรัก

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

เมื่อกลับมาถึงห้อง กัปตันก็ลงจากรถวีลแชร์และขึ้นไปนั่งบนโซฟา กางแขนขาออก ท่าทางคงจะเหนื่อยพอสมควร ทันทีที่ผมตามลงมานั่งข้างๆ เขาชวนผมคุยเรื่องที่สงสัยทันที

"มึงว่าพี่โดมกับอิน...แปลกๆ ไหมวะ"

"มึงกลัวเขาชอบกันเหรอ" ผมย้อนถาม

กัปตันทำหน้าไม่แน่ใจ "ไม่รู้ว่ะ แต่กู..."

"ไม่อยากให้พี่โดมชอบอินใช่ไหม" ผมถามดัก

กัปตันชะงัก สักพักก็พยักหน้ายอมรับ แต่สีหน้าดูกังวล "มึงว่า...มันจะเป็นไปได้ไหมวะ"

ผมทำท่าครุ่นคิด พลันก็นึกบางอย่างออก วันนั้นที่ผมโทรหาพี่โดมตอนอยู่ที่เกาะเสม็ด ผมรู้สึกว่าพี่โดมดูอึกๆ อักๆ ชอบกล ก่อนจะคุยกับผมก็หันไปบอกใครคนหนึ่ง เหมือนจะเรียกชื่อว่าอิน แต่ตอนนั้นผมมัวแต่เครียดอยู่ ก็เลยไม่สนใจเท่าไหร่ ถ้าใช่อย่างที่ผมจำได้ก็น่าจะมีเค้าสูง

"กูว่ามึงต้องรีบหาทางช่วยพี่โดมแล้วว่ะ คบกับไอ้อิน ฉิบหายแน่มึง เดี๋ยวมันชวนไปทำอะไรอุบาทว์ๆ"

"ทำอะไรวะอุบาทว์ๆ" กัปตันหันมามองอย่างสงสัย

ผมชะงักเล็กน้อยที่เผลอพูดเรื่องนี้ ถึงจะไม่ชอบไอ้อินแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อยากเอาเรื่องของมันที่ผมเพิ่งรู้มาประจานเท่าไหร่ เพราะผมก็ไม่อยากทำให้ใครเสียอนาคต แต่เมื่อมันทำแบบนี้ ผมจำเป็นต้องบอกกัปตันแล้วล่ะ

"มึงไม่รู้เหรอ ไอ้อินน่ะ มันชอบเอาท์ดอร์ แล้วก็เอาไปลงทวิตเตอร์"

"เอาท์ดอร์ยังไงวะ แล้วมันอุบาทว์ยังไง" กัปตันสงสัย ถึงยังไม่รู้ว่าเอาท์ดอร์คืออะไร แต่สีหน้าก็ดูเป็นห่วงพี่ชาย

"มันนัดผู้ชายไปทำอนาจารในที่สาธารณะ ก็ไม่ถึงกับเอากันหรอก แต่มันทุเรศว่ะ ระวังมันชวนพี่โดมนะเว้ย"

"จริงเหรอวะ แล้วมึงไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน" กัปตันหน้าตื่นตกใจ

"พี่รหัสกูเคยโดนมันนัดไป ในทวิตเตอร์ ไอ้อินมันถ่ายรูปไม่ให้เห็นหน้า พี่เขาก็เลยไม่รู้ว่าเป็นมัน พอไปเจอเท่านั้นแหละ ก็เลยรู้ว่าเป็นไอ้อิน พวกพี่ๆ เขารู้กันหลายคนแล้ว"

"เฮ้ย จริงเหรอวะ เอ๊ะ แต่พี่รหัสมึงเขามีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะ ทำไมถึงไป..."

"เดี๋ยวนี้คนเป็นไบมีเยอะแยะ"

"รวมมึงด้วยใช่ไหม" กัปตันย้อนถาม

ผมชะงักไปทันที พลางก็นึกหาคำตอบให้ตัวเองไปด้วย "อืม...กูไม่แน่ใจว่ะ แต่ถ้ากูชอบมึงได้ ก็คงจะอย่างงั้นมั้ง"

"แล้วมึงเคยมองผู้ชายคนอื่นเปล่า" กัปตันถามต่อ ความสนใจมาอยู่ที่เรื่องของผมแทนพี่ชายชั่วครู่

"ไม่เคยว่ะ เพิ่งจะมามองมึงนี่แหละ เห็นปุ๊บก็ชอบปั๊บเลย" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มและยักคิ้วใส่สองสามที

กัปตันเพียงแต่ยิ้มๆ และส่ายหัวไปมา ก่อนวกกลับมาสนใจเรื่องพี่ชายต่อ "มึงว่ากูโทรหาพี่โดมดีไหมวะ กูกลัวว่ะ แต่...กูว่านะเว้ย พี่โดมเขาไม่ทำอย่างงั้นหรอก เขาเป็นคนดีมาก เป็นเด็กเรียน กูไม่เคยเห็นเขาทำตัวเกเรเลย"

"แต่มึงก็ต้องระวังนะเว้ย ไอ้อินมันร้ายจะตาย เดี๋ยวจะเสียทีมัน เกิดพี่โดมพลาดไปมีอะไรกับมัน แล้วมันก็เอามาลงทวิตเตอร์ ซวยเลยนะมึง" ผมเตือน

กัปตันกลับมาหน้าเครียดอีกครั้ง คงจะกลัวเป็นอย่างที่ผมว่า "ก็จริงว่ะ เอาไงดีวะ"

"แป๊บนะ" ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เปิดแอพทวิตเตอร์ พี่รหัสให้ผมเข้าไปดูทวิตเตอร์ของไอ้อินเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผมกดฟอลโล่ว์ไปแล้วน่าจะหาได้ไม่ยาก แต่เมื่อมองหาบัญชีที่ชื่อ DARKSIDEME กลับไม่เจอ มีข้อความแจ้งว่าบัญชีถูกลบไปแล้ว

"มันลบแอคเคาท์ไปแล้วว่ะ หรือว่ามันจะเลิกทำแล้ววะ" ผมหันไปบอกกัปตันและมุ่นคิ้ว ก่อนพูดต่อ "แต่ยังไงๆ ก็ต้องคอยดูพี่โดมให้ดีๆ นะเว้ย อย่าเพิ่งไว้ใจไอ้เชี่ยอินมัน"

"อืม" กัปตันพยักหน้ารับ สีหน้าก็ยังดูเครียดอยู่

"เฮ้ย ไม่ต้องเครียดหรอก มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่โดมเขาไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่แน่นะเว้ย พี่โดมเขาอาจจะรู้แล้ว ก็เลยบอกให้มันเลิกทำก็ได้ เห็นไหม...ไอ้อินมันปิดทวิตเตอร์ไปแล้ว" ผมปลอบใจคนหน้าเครียด

"อืม...ก็น่าจะเป็นไปได้" กัปตันค่อยยิ้มออก

เรื่องอินและพี่โดมน่าจะพอหมดห่วงไปได้แล้ว คราวนี้คงเป็นเรื่องของผม เมื่อคิดจนพร้อมแล้ว ผมก็เกริ่นเรื่องของตัวเองบ้าง

"เออ...กัปตัน กูว่าช่วงนี้...กูจะรับงานเซ็กซี่เยอะหน่อย มึงคิดว่าไงวะ"

กัปตันมุ่นคิ้ว ไม่ถึงกับตกใจหรือแปลกใจมาก แต่สีหน้าก็มีความรู้สึกบางอย่าง "มึงต้องใช้เงินเยอะเหรอ"

ผมพยักหน้ายอมรับ "อืม ก็...เยอะพอสมควร"

"เท่าไหร่ กูช่วยได้ไหม"

"เป็นล้าน" ผมบอกยิ้มๆ

กัปตันถึงกับตาโต "เป็นล้านเลยเหรอ ทำไมเยอะขนาดนั้นวะ ติดหนี้เหรอ หรือว่า..." กัปตันพยายามนึกหาสาเหตุอื่นแต่ก็นึกไม่ออก

"เปล่า ไม่ได้ติดหนี้ใครหรอก แต่มีความจำเป็นต้องใช้เงินล้านเว้ย"

ยิ่งผมพูด กัปตันก็ยิ่งสงสัย "มันยังไงวะ แล้วมึงจะต้องถ่ายแบบกี่งานวะถึงจะได้เงินล้าน"

"ถ่ายจนไข่หลุดก็คงได้ไม่ถึงหรอก ต้องทำอย่างอื่นด้วย" ผมพูดให้ฟังดูตลกๆ จะได้ไม่เครียดมาก

เท่านี้กัปตันก็ถึงกับหัวเราะ "ถึงกับไข่หลุดเลยเหรอวะ"

"กูไม่ให้หลุดหรอกเว้ย เดี๋ยวไม่ได้ใช้กับคนพิเศษ" ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม สักพักก็เปลี่ยนน้ำเสียงกลับมาเป็นจริงจัง "มึงโอเคไหมวะถ้ากูจะทำแบบนี้"

กัปตันนิ่งคิด สักพักก็ยิ้มบางๆ ให้ผม "กูไม่มีปัญหาหรอก ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเว้ย แต่กูเป็นห่วงมึงน่ะ ถ้ามันโป๊มาก ทางมหาลัยเขาอาจจะไม่โอเคก็ได้นะเว้ย มึงต้องระวังให้เยอะๆ นะ"

สายตาที่กัปตันทอดมองผมอยู่ตอนนี้ส่งผ่านความห่วงใยมาให้ แม้จะฟังดูเหมือนเพื่อนห่วงเพื่อน แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความพิเศษบางอย่างที่มากกว่านั้น

"เออ กูจะระวัง"

"ตอนไปถ่ายแบบ ให้กูไปดูด้วยได้เปล่า" กัปตันถามทีเล่นทีจริง

"อยากเห็นเหรอ เดี๋ยวกูโชว์ให้มึงดูตอนนี้เลย" ผมทำท่าจะถอดเสื้อออก

"เปล่า กูแค่อยากไปดูว่าเขาถ่ายยังไงเฉยๆ เว้ย ของมึงกูเห็นบ่อยแล้ว" กัปตันส่ายหน้าไปมาและหัวเราะ

"ไปก็ไปดิ ดีเหมือนกัน กูจะได้มีเพื่อน" ผมยิ้มยินดี ก่อนจะเอ่ยชวนไปทำสิ่งสำคัญตอนนี้ "สามทุ่มกว่าแล้ว อาบน้ำกันไหม"

"อาบกับมึงเหรอ" กัปตันเลิกคิ้ว

"เออ หรือไม่อยาก อยากอาบคนเดียวเหรอ หรืออยากเข้าไปทำอะไรส่วนตัวในห้องน้ำ" ผมทำหน้ายิ้มๆ เหมือนรู้ทัน

"เออ" กัปตันรับคำหน้าตาเฉย

"อ้าว แต่ว่า...วันนี้อาบกับกูก่อนนะ ดึกๆ มึงค่อยเข้าห้องน้ำอีกรอบก็ได้ กูอยากอาบน้ำกับมึงน่ะ" ผมอ้อนให้ดูสงสาร

"เออ" กัปตันหัวเราะ แต่สักพักมันก็หยุดและทำหน้าตกใจเมื่อผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อให้มัน

"ทำไรวะ"

"ถอดเสื้อผ้าให้มึงไง หรือมึงจะอาบน้ำทั้งชุด" ผมย้อน

กัปตันนิ่งเงียบ ผมจึงถือว่ามันอนุญาตให้ทำต่อ นอกจากถอดเสื้อมันแล้วผมก็ยังถอดกางเกงให้ด้วย มือไม้และใจสั่นไปหมดเลย แต่ก็พยายามห้ามใจและรีบถอดออกไวๆ พอถอดของกัปตันเสร็จ ผมก็ทวงบ้าง

"ถอดให้กูมั่งดิ"

กัปตันเหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ไม่นานมันก็ยอมทำให้แต่โดยดี ตอนถอดกางเกงผมออกมันแซวผมด้วย

"เกงในมึงขาดเป็นรูแล้ว เมื่อไหร่จะเปลี่ยนวะ"

"ยังใส่ได้อีกหลายเดือนเว้ย กูเป็นคนใช้ของคุ้ม"

"แล้วเวลามึงไปไหนกับสาวๆ ไม่อายเกงในขาดเหรอวะ"

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กัปตันคล้ายกับจะจู่โจม มันถอยหนีเล็กน้อย "ตอนนั้นกูก็เลือกใส่ที่มันพอดูได้เว้ย แต่ตอนนี้...กูใส่ยังไงก็ได้ เพราะคนที่กูจะให้ดู...เขาน่าจะโอเคไม่ว่ากูจะใส่เกงในแบบไหน"

"ขยันหยอดจริงนะมึง" กัปตันพูดเหมือนประชด แต่หน้าก็แดงเหมือนกำลังเขิน

"กูรู้ว่ามึงชอบ" ผมยิ้มหวาน ก่อนก้มมองต่ำลงไปยังกางเกงในดีจีสีขาวที่กัปตันใส่อยู่ "เกงในมึงสวยนะ"

กัปตันมองหน้าผมแปลกๆ คงไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรกันแน่

"ตั้งแต่เกิดมา กูเพิ่งเคยใส่เกงในยี่ห้อนี้ตอนเดินแบบวันนั้นแหละ เป็นบุญไข่ฉิบหาย เนื้อผ้าโคตรดีแล้วก็โคตรนุ่มเลย กูขอลองจับหน่อยได้ไหมวะ กูอยากรู้ว่าถ้าใส่ไปนานๆ มันจะยังนุ่มอยู่ไหม เพราะว่าที่กูซื้อมาสามตัวร้อยมันนุ่มแค่ตอนแรกๆ ว่ะ แต่ใส่ไปไม่กี่วันมันก็ไม่ค่อยนุ่มแล้ว" ผมไม่พูดเปล่า แต่เอามือลูบเนื้อผ้ากางเกงในดีจีของกัปตันตรงต้นขาขวาไปด้วย กัปตันห้ามไม่ทันจึงปล่อยเลยตามเลย

"เนื้อผ้าโคตรดีเลยว่ะ" ผมชมและเงยหน้าขึ้นมอง

"อยากลองใส่ไหม ในตู้เสื้อผ้ากูมีหลายตัว ถ้าไม่รังเกียจ ลองได้นะเว้ย ซักสะอาดแล้ว" กัปตันพูดทีเล่นทีจริง

ผมหรี่ตา ก่อนค่อยๆ คลี่ยิ้มหวานให้อีกครั้ง "มึงชวนกูแล้ว ต่อไป...ห้ามมึงชวนใครแบบนี้อีกนะเว้ย"

ผมไม่รู้ว่ากัปตันเข้าใจหรือเปล่า แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจตอนนี้หรอก วันหนึ่งมันจะเข้าใจเอง ในระหว่างนี้ ผมมีหน้าที่ต้องพิสูจน์หัวใจก่อน ผมต้องทำสิ่งนี้ผ่านอุดมการณ์ที่แรงกล้าบางอย่าง โชคดีที่ผมคิดว่าผมค้นเจอแล้ว สำหรับคนอย่างกัปตัน นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำให้เขาได้ ถึงใครจะว่าถ่ายแบบเซ็กซี่ไม่น่าภูมิใจ แต่สำหรับผม มันจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมจะทำเพื่ออุดมการณ์และความรัก

"อาบน้ำเหอะ"

ผมชวนซ้ำ พลันก็ช้อนตัวกัปตันขึ้นอุ้ม เมื่อตัวมันแนบชิดกับอกผม ความรู้สึกบางอย่างก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะมันขึ้นตั้งแต่ตอนที่ถอดเสื้อให้กันแล้ว ผิวขาวจัดของมันช่างน่าลูบไล้และสูดดมเหลือเกิน ปากแดงเรื่อของมันก็น่าจูบและบดบี้หนักๆ ให้สาแก่ใจสักครั้ง ยิ่งมองเลยมาถึงเม็ดทับทิมสีชมพูบนหน้าอก ผมก็ยิ่งอยากลงลิ้นชิมรสเนื้อผิวหวานๆ ให้หนำใจ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่คิด ไม่ว่าจะอดใจยากแค่ไหนผมก็จะอดใจให้ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น

ผมรู้ดีว่าทำให้กัปตันชอบผมไม่ใช่เรื่องยาก หรือจะเลยเถิดจนถึงขั้นมีอะไรกันก็เป็นไปได้ตั้งแต่วินาทีนี้ ผมมีประสบการณ์เรื่องนี้มาบ้างแล้วจึงพอดูออก แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือทำให้กัปตันรักและเชื่อใจผมต่างหาก


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-06-2017 23:32:12
 :katai2-1:

 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-06-2017 01:17:06
ชอบอะตอมหยอดกัปตัน 555 หยอดทุกๆวันเลย
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 19-06-2017 21:23:58
อัปเดตแล้วนะครับ แต่ตกไปอยู่หน้าหลังๆ ไวมากๆ เลย (เพราะไม่ค่อยมีคนเมนต์)
ใครที่ติดตาม อย่าลืมมาอ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 19-06-2017 21:43:49
อะตอมว่างๆเป็นหยอด :hao7:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 20-06-2017 03:50:02
เป็นห่วงอะตอมจัง หวังว่างานถ่ายแบบคงไม่เซ็กซี่จนเกินไปจนทำให้เกิดเรื่องหรอกนะ

เป็นกำลังใจให้กัปตันสู้ ๆ นะจะคอยเชียร์
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-06-2017 07:42:18
ถูก จะทำให้เชื่อใจอีกครั้งมันยากมากขึ้นแล้วนะ

สงสารกัปตันเนาะ ต้องมาเจอแต่เรื่องแย่ๆ ดีที่เพื่อนๆ โอเค

อะตอมทุ่มเทมาก นอกจากจะช่วยกัปตัน คนอื่นก็ได้ใช้นะ มันจริง

โดมออกอาการเวอร์ สมควรโดนสงสัย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 03-07-2017 20:15:37
คิดถึงกัปตันและอะตอมแล้ว มาต่อเถอะครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP16 อุดมการณ์และความรัก (100%) - 18.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 05-07-2017 14:17:30
โอ้ย~ ตายสถานเดียวเลยค่ะ หวานกันขนาดนี้ #บทฆ่าคนโสด ชัดเลย ><
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 06-07-2017 08:42:00
วันเสาร์นี้นะครับ

ขอโทษที่หายไปนานนะครับ ไม่ใช่อะไร รู้สึกผิดหวังพอสมควร
ตอนที่แล้วผมตั้งใจเขียนมาก ใช้เวลาเขียนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม
แต่ผลตอบรับกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ตอนนี้พอทำใจได้แล้ว :)

(https://scontent.fbkk7-2.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/19679243_1059755547488554_3832825603841301613_o.jpg?oh=acaa36835f6aed19ec8f2404b6e74056&oe=5A04EFBB)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-07-2017 08:57:56
 :L2: :L1: :3123: :3123: :L1: :L2:

มาให้กำลังใจคุณคนเขียนโดยเฉพาะ   สู้ๆนะครับ รออ่านอยู่นะครับ     :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Mosskerr ที่ 06-07-2017 10:57:11
รออ่านยุน๊าาา เป็นกำลังใจให้ครัชชช #คิดถึงอะคอมกัปตันมากกกกก
 :heaven :ling1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 06-07-2017 11:26:15
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-07-2017 11:37:29
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 06-07-2017 12:45:44
มาให้กำลังใจคนเขียนอีกคน ไม่รู้สิสำหรับเรา เนื้อหามันละมุน ไม่ต้องเครียด ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆๆๆเห็นพัฒนาการความรักของกัปตันกับอะตอมเริ่มตะสดใส เลยอยากติดตามต่อไปเรื่อยๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-07-2017 17:03:33
รอ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (เสาร์นี้) [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 06-07-2017 23:19:49
ก็สนุกดี  ก็รู้ว่าทุกอย่างมันต้องมีอุปสรรค  มีการดำเนินชีวิตไปข้างหน้า  แต่มันก็รู้สึกแย่บ้างบางช่วงที่กระทบจิตใจ  มันคอนข้างทำร้ายความรู้สึก  คนเรามันก็มีตัณหากันทุกคน  แต่กะนะ  เฮ้อ  เหมือนมันจะมีอุปสรรคแบบไม่ให้ตั้งตัวบ่อยจัง แบบนี้ผมคงยอมเป็นโสดคงจะดีกว่า  ความรักมันถูกเสมอ  แต่คนเราแสดงความรักออกมาแตกต่างกันไป  มันทั้งทำให้สุขและทุก  ขึ้นอยู่กับจิตใจว่าจะยอมรับมันได้ไหม  ถ้ายอมรับได้คงมีความสุข  แค่คนรักกันไม่ทำร้ายความรู้สึกกันก็พอ  เฮ้อ  มันน่าติดตาม  แต่มันก็ทรมานหัวใจผมก็คงเหมือนกัปตันไม่มั่นใจในความรัก  ว่ามันมีรักจริงรออยู่จริงรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (50%) - 8.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-07-2017 22:52:42
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (50%) - 8.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 08-07-2017 23:41:11
ขอบคุณค่ะ  เป็นกำลังใจให้นะ  อยากรู้เรื่องอิน  ว่าทำไมสงบขึ้น  อิอิ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมอยากพิสูจน์บางอย่าง (50%) - 8.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-07-2017 00:21:23
 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (50%) - 8.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 09-07-2017 10:25:36
EP17 (Part 1)
เมื่อผมต้องการพิสูจน์

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

"เดี๋ยวกูมานะเว้ย" เพื่อนร่างสูงชะลูดสมกับเป็นนายแบบบอกพลางยกมือโบกเบาๆ

"เดี๋ยว" ผมร้องเรียกก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวออกไปก่อน เมื่อเขาชะงักผมก็รีบถาม "มึงไปคุยกับอาจารย์วิวเรื่องอะไรวะ เห็นคุยกันบ่อยจังช่วงนี้"

คนถูกถามหัวเราะเบาๆ "ความลับเว้ย เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วกูจะบอก ตอนนี้สงสัยไปก่อน"

ผมมุ่นคิ้วสงสัย แต่อยู่ๆ ก็เลิกอยากรู้กะทันหัน "เออ ช่างเหอะ อยากบอกเมื่อไหร่ก็บอกละกัน"

"เดี๋ยวเจอกันเว้ย"

เมื่อจบการสนทนา อะตอมก็พาขายาวๆ เดินออกไปจากห้องซ้อม ผมได้แต่มองตามด้วยความสงสัย หลังๆ มานี้อะตอมดูมีลับลมคมใน เหมือนกับกำลังทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้ผมรู้ แต่ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอก

"กัปตัน มาแล้วเหรอ"

เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ผมตื่นจากความคิด ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่เดินแกมวิ่งมาหา พอเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้ม ไม่เชิงดีใจหรอก เพราะเป็นเพียงความรู้สึกที่ได้เจอคนรู้จักเท่านั้น

"ว่าไงคอปเตอร์ มาถึงไวจัง" ผมทักกลับและยิ้มให้คนที่กำลังเดินมาหา

หนุ่มหน้าใสสมกับเป็นคิวท์บอยยิ้มจนแก้มแทบปริ ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะดีใจอะไรนักหนาที่ได้เจอผม เมื่อมาถึงผมเขาก็บอก

"ก็เผื่อกัปตันมีอะไรให้ช่วยไง เนี่ย…เรากำลังคิดว่าวันหลังจะไปรับกัปตันที่คณะดีไหม"

"ไม่เป็นไรหรอก มาเองได้" ผมปฏิเสธ แต่สีหน้าก็ยิ้ม อีกฝ่ายคงคิดว่าผมปฏิเสธตามมารยาท

"เกรงใจเหรอ ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง พรุ่งนี้ให้เราไปรับไหม จะได้มาด้วยกัน" คอปเตอร์คะยั้นคะยอ

"เอางั้นเหรอ แต่ปกติเราก็มีเพื่อนมาส่งอยู่แล้ว หรือถ้าไม่มีเราก็มาเองได้" ผมแย้ง

"แต่ก็อยากไปรับอยู่ดี ได้หรือเปล่าล่ะ เราอยากมีเพื่อนแบบกัปตันไง ยังไม่เคยมีเพื่อนแบบนี้เลย" คอปเตอร์ยิ้มตาหยี ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะมีเชื้อจีนแบบเต็มๆ เพราะตาตี่ ในขณะที่ผมเป็นลูกครึ่งจีน-ไทย แต่โชคดีมีตาสองชั้น แถมยังได้ผิวขาวๆ จากป๊ามาด้วย

"ตามใจ ว่าแต่…นึกยังไงอยากมีเพื่อนแบบเรา" ผมรู้สึกกระดากปากเล็กน้อย เพราะปกติในกลุ่มเพื่อนเราจะพูดมึง-กู แต่ดูเหมือนคอปเตอร์จะมาแนวแปลกไปนิด เขาพูดเพราะผิดจากเพื่อนคนอื่นๆ

คอปเตอร์หัวเราะ จะว่าไปหน้าก็ดูแดงๆ ด้วย ไม่รู้ว่าเขินอะไรหรือเปล่า "ก็…ไม่เคยเห็นคนนั่งวีลแชร์หล่อขนาดนี้ไง"

ผมทำหน้าไม่เข้าใจหรือไม่ก็คงฟังไม่ถนัด

"ล้อเล่น เราชื่นชมกัปตันต่างหาก ดูสิ เป็นอย่างงี้แล้วก็ยังไม่ยอมแพ้เลย ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เก่งกว่าคนดีๆ เยอะเลย"

"อ๋อ" ผมพยักหน้าหงึกๆ แต่โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกว่าเป็นการให้กำลังใจหรือชมเชยเท่าไหร่ โดยเฉพาะคำว่า "เป็นอย่างนี้แล้วยัง…" เพราะเหมือนดูถูกว่าผมไม่ควรจะทำได้ รวมทั้งคำว่า "คนดีๆ" ด้วย เพราะเหมือนจะบอกว่าผมเป็นคนไม่ดีหรือไม่ปกติยังไงยังงั้น แต่ช่างเถอะ คนทั่วไปชอบพูดแบบนี้กับผมบ่อยๆ ฟังไปฟังมาก็ชิน หรือไม่ก็เบื่อที่จะอธิบาย

"แต่…กัปตันก็หล่อจริงๆ นะ รู้ไหมว่าผลโหวตของกัปตันน่ะ ติดหนึ่งในห้าเลยนะ ของเรายังได้น้อยกว่ากัปตันเลย" คอปเตอร์วกกลับมาเรื่อง "หล่อ" อีกครั้ง แสดงว่าเมื่อกี้ผมคงฟังไม่ผิดหรอก

ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ ที่จริงก็แปลกใจเหมือนกันที่จำนวนคนกดไลค์รูปผมเยอะขนาดนั้น หลังๆ มานี้รู้สึกได้ว่าสาวๆ เริ่มมอง บ้างก็มาขอถ่ายรูปด้วย บ้างก็เข้ามาคุยด้วยทางเฟสบุ๊ค แต่ประสบการณ์คราวนั้นยังทำให้ผมรู้สึกแหยง ก็เลยคุยเล่นทั่วไปมากกว่าจะมองหาคนถูกใจ ที่สำคัญ หัวใจของผมกำลังมีเป้าหมายใหม่ที่ต่างไปจากเดิม อาจจะเป็นอย่างหลังก็ได้ที่ทำให้ผมเหยียบเบรกเอาไว้

"ไปซ้อมกันเหอะ เพื่อนๆ มากันแล้ว" ผมตัดบทด้วยสีหน้ายิ้ม การสนทนาจึงหยุดลงแต่เพียงเท่านี้

วันนี้พี่ซินดี้คงให้เราเลิกค่ำอีกเช่นเคย ช่วงนี้ผมต้องแบ่งเวลาและยอมนอนดึกหน่อย เพราะอาจารย์เริ่มให้งานทำมากขึ้น ต่อไปผมคงต้องลดกิจกรรมอื่นๆ ลงบ้าง ใครๆ ก็รู้ว่าเด็กถาปัตย์งานเยอะแค่ไหน ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่มีเวลา แต่ตอนนี้ผมยังพอทำอย่างอื่นได้บ้าง

เมื่อเริ่มซ้อมไปได้หน่อย สายตาผมก็เหลือบไปเห็นอิน ดูมันเหม่อๆ ชอบกล วันนี้มันไม่เข้าเรียนทั้งวันเลย ไม่รู้ว่าไปไหน ผมว่าจะแอบถามมันเรื่องพี่โดมซะหน่อย ครั้นจะถามพี่โดมเองผมก็ยังไม่กล้า แต่จะว่าไป ถ้าจะต้องคุยกับอิน ผมก็แหยงปากมันอยู่ดี

ช่วงใกล้พัก อะตอมกลับมาพอดี น่าจะคุยกับอาจารย์วิวเสร็จแล้ว เขายืนกอดอกดูผมซ้อมกับเพื่อนๆ บางครั้งก็หยิบมือถือมาถ่ายรูปผมด้วย สงสัยจะส่งไปให้แม่กับป๊าผมดู เดี๋ยวนี้อะตอมเข้ากับสองคนนี้ได้ดีกว่าผมอีก คุยโทรศัพท์กันบ่อยพอๆ กับผม เหตุผลหนึ่งที่ป๊ากับแม่ผมเอ็นดูอะตอมเพราะอะตอมขาดแม่นี่แหละ ยิ่งบวกกับความขยันและรู้จักหาเงินตั้งแต่ยังเด็ก ที่บ้านผมก็ยิ่งชอบ

ผ่านไปพักใหญ่ๆ เมื่อหันกลับมาดูอีกที ผมก็เห็นอะตอมกับอั้มยืนคุยกันอยู่ คุยไปคุยมาก็ยิ้ม ยิ้มไปยิ้มมาก็หัวเราะ ทำเอาผมอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าถ่านไฟเก่าจะปะทุขึ้นมาหรือเปล่า

ผมไม่เคยรู้จักอะตอมตอนที่เขารักอั้มมากๆ ก็เลยนึกภาพไม่ออกว่า "รักมาก" ของอะตอมเป็นแบบไหน แต่สายตาที่สองคนมองกันตอนนี้ ทำให้ผมพอนึกออกรางๆ ไม่อย่างนั้นผมก็คงคิดไปเอง เพราะอะตอมเป็นคนสายตาเจ้าชู้ ตัวจริงๆ ของมันเจ้าชู้หรือเปล่าผมยังตอบไม่ได้ เพราะเรายังรู้จักกันไม่นานพอ แต่เวลามันยิ้ม สายตามันดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ถ้ายิ้มให้ผู้หญิงคนไหน ใครๆ ก็คงคิดว่ามันคิดอะไรด้วยแน่ๆ

ไม่ถึงห้านาทีต่อมา พี่ซินดี้ก็ให้เราพักเบรกครึ่งชั่วโมง ทีมงานรีบพากันเอาอาหารกล่องและน้ำมาเดินแจก ราวกับกลัวว่าพวกเราจะหมดพลังไปซะก่อน อะตอมกุลีกุจอช่วยทีมแจกอาหารด้วย

"กัปตันจะลงมานั่งบนพื้นไหม" คอปเตอร์ถลาเข้ามาถามขณะที่ผมเข้ามาล้อมวงกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ นั่งอยู่บนพื้น บ้างก็เริ่มเปิดข้าวกล่องกินแล้วด้วยความหิว

"ไม่เป็นไร นั่งกินบนวีลแชร์ก็ได้" ผมปฏิเสธและยิ้มอีกตามเคย

"นั่งด้วยกันเหอะ จะได้คุยกันสะดวกๆ เมื่อวานกัปตันก็นั่งบนพื้นนี่ เราจำได้ เดี๋ยวเราช่วย เราอุ้มกัปตันได้น่า เราเข้ายิมเกือบทุกวัน" คอปเตอร์คะยั้นคะยอพร้อมกับเบ่งกล้ามให้ดู คงกลัวว่าผมจะไม่มั่นใจว่าเขาอุ้มผมได้

ตอนแรกผมว่าจะปฏิเสธ แต่คอปเตอร์ก็รีบวางข้าวกล่องของตัวเองลงบนพื้น ก่อนเดินมาหาผม ย่อตัวลง เอามือซ้ายสอดใต้เข่าสองข้างของผมในท่าเตรียมยกขึ้น ผมรู้สึกตกใจพอสมควร เพราะไม่ชอบให้คนช่วยโดยไม่ถามหรือขออนุญาต

"ขอลองหน่อยนะ อยากรู้ว่าเราจะยกกัปตันไหวหรือเปล่า แต่เราคิดว่าไหว"

คงเป็นเพราะผมไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนใหม่ตอนนี้ ก็เลยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เพราะดูท่าหมอนี่จะเซ้าซี้ไม่เลิก คอปเตอร์ยิ้มดีใจ เขาเอามือขวาสอดใต้รักแร้ผมและยกตัวผมขึ้น ผมเอามือซ้ายกอดคอมันไว้เพราะกลัวตก อึดใจเดียวคอปเตอร์ก็ย่อตัวลงและวางผมลงนั่งบนพื้น เสียงเพื่อนๆ โห่และแซวกันใหญ่ ไม่รู้ว่าถูกอกถูกใจอะไรกัน

พอผมนั่งเรียบร้อย คอปเตอร์ก็เลื่อนข้าวกล่องของเขามาให้ผม "กินเลย เดี๋ยวเราไปเอามาใหม่"

พูดจบคอปเตอร์ก็ดีดผึงขึ้นยืนราวกับขาติดสปริง พลันก็พุ่งไปเอาข้าวกล่องมาเพิ่ม ผมไม่ทันได้พูดอะไรอีกตามเคย จึงหันมาสนใจข้าวกล่องตรงหน้า แต่ก่อนที่ผมจะเปิดกล่องข้าวกิน พลันก็รู้สึกว่ามีคนมองดูอยู่ เมื่อหันไปดูก็เห็นว่าเป็นอะตอม น่าจะมองผมอย่างนี้มาได้สักพักแล้ว หน้าดูบึ้งๆ ชอบกล ทำเอาผมร้อนๆ หนาวๆ ไปเลย

หรือว่ามันไม่พอใจที่มีคนมาอุ้มผม! เพราะปกติมันจะเป็นคนอุ้มผมเอง

สงสัยจะเป็นอย่างที่ผมคิด เพราะหลังจากนั้นอะตอมก็ไม่มาหาผม พอแจกกล่องข้าวเสร็จ ผมเห็นมันนั่งกินข้าวกับอั้มอยู่อีกมุมหนึ่ง ในขณะที่ผมก็มีคอปเตอร์นั่งประกบและชวนคุยไม่หยุด

กินข้าวไปได้สักพัก ผมก็มองหาน้ำเพราะคอปเตอร์ลืมหยิบมาให้ด้วย แต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถามใครให้ช่วยเอาน้ำให้ อยู่ๆ ก็มีขวดน้ำยื่นมาให้จากทางด้านหลังพอดี เมื่อผมหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นอินนั่นเอง สีหน้าท่าทางมันดูแปลกๆ จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะเฉยก็ไม่เชิง

"ขอบใจนะ" ผมบอกมันสั้นๆ ก่อนรับน้ำจากมือของอินและเอามาวางไว้บนพื้น

"ไม่เป็นไร" อินพูดเสียงเรียบ

ตอนแรกผมว่าจะพูดกับมันแค่นั้น แต่ก็เกรงว่าจะแล้งน้ำใจมากไปหน่อย ถึงยังไงอินก็อุตส่าห์เอาน้ำมาให้ ที่จริงผมว่าหลังๆ มันก็เปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่มันก็ไม่มาหาเรื่องผมอีก แต่ก็ใช่ว่าผมจะไว้ใจอินซะที่ไหน เพราะตอนนี้มันดูจะสนิทกับพี่โดมจนน่าสงสัย อ้อ ไม่รู้ว่าวันนี้พี่โดมจะมารับอินอีกหรือเปล่า

"ทำไมวันนี้ไม่มาเรียนล่ะ" ผมเงยหน้าถามเพราะอินยืนอยู่

"ไม่ค่อยสบาย" น้ำเสียงตอบมาเนือยๆ

"ดีขึ้นแล้วเหรอ" ผมถามอย่างเป็นห่วง ขณะที่คอปเตอร์ก็หยุดชวนผมคุย แต่มิวายแอบชำเลืองมอง

"อืม ไปก่อนนะ"

ตอบแล้วอินก็เดินฉับๆ ออกไปนั่งกับเพื่อนอีกวง ผมมองตามมันไปด้วยแววตาสงสัย แต่ไม่นานก็หันกลับมาสนใจข้าวกล่องของตัวเองต่อ บางขณะก็แอบชำเลืองมองอะตอมด้วย มันยังคงนั่งคุยกับอั้มและเพื่อนๆ ของอั้มอีกสองสามคน บางจังหวะก็สลับไปดูแลบรรดาคิวท์บอยเรื่องอาหารการกินด้วย

ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็กินข้าวหมดจาน คอปเตอร์อาสาช่วยอุ้มผมขึ้นมานั่งบนรถเข็นอีกตามเคย เสียงโห่แซวของเพื่อนๆ ทำให้อะตอมหันมามองจนได้ หน้ามันดูบึ้งๆ อีกแล้ว ตามันดูดุจนผมรู้สึกกลัวไปเลย ที่จริงผมก็ไม่เข้าใจนักว่าพวกเพื่อนๆ จะโห่แซวกันทำไมนักหนา บางคนถึงกับบอกว่าคอปเตอร์อุ้มผมเหมือนอุ้มเจ้าสาวเลย

เมื่ออยู่บนวีลแชร์ ความเป็นอิสระก็คืนกลับมา เพราะถ้าไม่มีเจ้าอุปกรณ์นี้ ผมก็จะไปไหนมาไหนไม่ได้ พอดีผมรู้สึกปวดฉี่มาสักพักแล้ว พอจับล้อวีลแชร์ได้ผมก็รีบเข็นตรงไปยังห้องน้ำ

"กัปตันจะไปไหน" คอปเตอร์ร้องถามขณะที่กำลังจะนั่งลงกินข้าวต่อ

"ไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา" ผมตอบโดยไม่หันไปมอง ห้องซ้อมนี้มีห้องน้ำที่วีลแชร์พอเข้าไปได้ ผมก็เลยว่าจะไปเองโดยไม่ต้องให้ใครมาช่วย

"ไปด้วย" เสียงคอปเตอร์ดังมาตามหลัง

ขณะที่ผมกำลังปั่นไปด้วยความเร็วพอสมควร พลันใครบางคนก็วิ่งมาจับที่เข็นด้านหลังรถวีลแชร์ผม ก่อนพาเข็นออกไปทันที โมเมนตั้มการเคลื่อนที่ของผมจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แรงที่มาใหม่กลายเป็นแรงผลักที่แรงขึ้น ร่างของผมจึงพุ่งกระเด็นออกจากวีลแชร์ไปข้างหน้า ตัวผมลอยหวือและหล่นลงไปนอนกองบนพื้น โชคดีที่ผมเอามือยันพื้นไว้ได้ทัน หัวจึงไม่กระแทกกับพื้นแข็งๆ

ตุ๊บ!

"เฮ้ย/ว้าย!!!"

เสียงหญิงชายร้องอุทานพร้อมกันฟังเซ็งแซ่ ตามด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้ามาใกล้ แต่คนที่มาถึงผมก่อนใครคืออะตอม สีหน้าของมันทั้งตกใจระคนโมโห

"ไอ้เหี้ยเอ๊ย! มึงจะช่วยเข็นทำไมไม่ถามก่อนวะ!" เสียงอะตอมตวาดลั่นด้วยความโมโห คนที่อยากช่วยแต่ลืมถามหน้าเสียจนเหลือแค่สองนิ้ว

"เราขอโทษ เราไม่รู้" คอปเตอร์ตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก พอทำท่าจะมาช่วยอุ้มผมขึ้นรถวีลแชร์ อะตอมก็ตวาดอีก

"ไม่ต้องมายุ่งเลย!"

พอว่าคอปเตอร์จบ อะตอมก็ถลามาหาผม ย่อตัวลงนั่งข้างๆ และถามด้วยสีหน้ากังวลและเป็นห่วง "มึงเป็นไรเปล่าวะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไรๆ" ผมรีบบอกให้อะตอมสบายใจ เพราะดูท่าทางมันจะเป็นห่วงผมมากทีเดียว ใจหนึ่งผมก็แอบเคืองคอปเตอร์พอสมควร แต่ก็ไม่อยากโวยวายมากเพราะรู้ว่ามันไม่ตั้งใจ ผมเคยเจอคนช่วยโดยไม่ถามและตกรถเข็นมาแล้วสองสามครั้ง แต่ไม่เคยว่าคนช่วยให้เสียใจซ้ำหรอก เพราะทุกคนล้วนแต่หวังดีอยากช่วยทั้งนั้น

"ไม่เป็นไรจริงนะเว้ย" อะตอมถามย้ำ ผมพยักหน้ายืนยัน

"แล้วมึงจะซ้อมไหวไหม"

"ไหวดิ ไม่เจ็บตรงไหนเลย"

"ต่อไปห้ามใครมาช่วยมึงอีกนะเว้ย ช่วยไม่เป็นแล้วยังเสือกอยากจะช่วยอีก แม่ง!" อะตอมแขวะคอปเตอร์อีกจนได้ ดูท่าทางมันจะไม่ชอบเพื่อนใหม่ของผมคนนี้เอาซะเลย

"เออ" ผมตอบเบาๆ

อะตอมยิ้มพอใจเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ อุ้มผมขึ้นกลับไปนั่งบนวีลแชร์ตามเดิม พี่ซินดี้รีบเดินเข้ามาถามทันที

"ซ้อมไหวไหมกัปตัน ถ้าไม่ไหวจะกลับบ้านก่อนก็ได้นะ"

"ไหวครับพี่" ผมยิ้มยืนยัน พี่สาวคนสวยทำหน้าไม่ค่อยมั่นใจนัก

"ไหวแน่นะ"

"ครับผม" ผมยืนยันหนักแน่น

"โอเค งั้นเดี๋ยวค่อยซ้อมต่อนะ" พี่ซินดี้ยิ้มเหมือนให้กำลังใจ

"ครับ"

อั้มมายืนดูด้วย เธอมองดูผมกับอะตอมด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองก็บอกไม่ถูก

"จะไปห้องน้ำเปล่า เดี๋ยวกูพามึงไปเอง ทีหลังจะทำอะไรบอกกูนะเว้ย ถ้าจะให้ใครช่วย มึงต้องให้คนที่มึงไว้ใจมากที่สุดช่วยนะเว้ย กูไม่อยากให้มึงเจ็บตัวฟรีๆ รู้เปล่า" อะตอมบ่นอีกคำรบ

"เออ" ผมบอกเสียงเบา อยู่ดีๆ ก็รู้สึกประหม่าเมื่อเห็นสายตารายรอบมองผมกับอะตอมแปลกๆ คงเป็นเพราะอะตอมแสดงอาการห่วงหวงผมมากไป

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับที่ของตัวเอง ส่วนผมก็ไปห้องน้ำกับอะตอม ที่จริงก็รู้สึกดีที่มันกลับมาดูแลผมได้เหมือนเดิม แต่ลึกๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ อะตอมทำท่าห่วงผม หวงผมและหึงผม บางครั้งผมก็ไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครรู้สึกกับผมแบบนี้เลย โดยเฉพาะหลังกลับจากเกาะเสม็ดไม่กี่วัน

อะตอมไม่รังเกียจผมจริงเหรอ? ห่วงผมจริงเหรอ? หวงผมจริงเหรอ? หึงผมจริงเหรอ? ผมจะพิสูจน์ยังไงดี?


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 09-07-2017 17:42:54
นั่นสินะ เป็นเราก็ยังไม่ไว้ใจอะตอมง่ายๆ ถึงแม้เจ้าตัวจะแสดงออกขนาดนี้ก็เถอะนะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 09-07-2017 18:41:40
EP17 (Part 2)
เมื่อผมต้องการพิสูจน์

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

หลังเกิดอุบัติเหตุ พี่ซินดี้ให้เราซ้อมต่ออีกแค่ครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ปล่อยพวกเรากลับบ้าน คอปเตอร์ไม่กล้ามาส่งผมเหมือนเมื่อวานเลย เขายืนมองผมด้วยแววตารู้สึกผิด ที่จริงผมก็อยากจะเข็นไปบอกอยู่หรอกว่าไม่ต้องคิดมาก แต่ติดที่ผมกลัวอะตอมจะไม่พอใจ เพราะหน้ามันบอกบุญไม่รับ เราก็เลยต้องแยกย้ายกันกลับทางใครทางมัน

เมื่อกลับถึงคอนโด ผมก็รีบอาบน้ำก่อน เสร็จก็รีบทำงานส่งอาจารย์ให้ทันพรุ่งนี้เช้า ขณะที่ผมทำงาน อะตอมก็รีบไปอาบน้ำบ้าง ไม่นานผมก็เห็นมันมานั่งที่โต๊ะทำงานด้วย ใส่แต่กางเกงขาสั้น ส่วนผมใส่กางเกงขาสั้นเหมือนกัน แต่มีเสื้อกล้ามด้วย

เราทำงานไปคุยกันไปด้วย ส่วนมากก็เป็นเรื่องงานนั่นแหละ ตรงไหนไม่เข้าใจเราก็โทรถามเพื่อนๆ โดยเฉพาะกวิน เพราะไอ้หมอนี่ค่อนข้างหัวดีกว่าใครๆ งานที่ควรจะใช้เวลานานก็เลยมีแววว่าจะเสร็จเร็วขึ้น

ก่อนงานจะเสร็จ อยู่ๆ ผมก็นึกถึงอั้ม ที่จริงผมก็อยากจะถามตั้งแต่ตอนเดินทางกลับกับอะตอมแล้วล่ะ แต่รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจก็เลยปล่อยตก ทว่าอยู่ๆ เรื่องที่อยากถามก็ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง ผมหยุดเคาะแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ สายตาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด หลังชั่งใจสักพักก็ตัดสินใจถาม

"มึงกับอั้ม…หายโกรธกันแล้วเหรอวะ"

อะตอมถึงกับชะงักและหันมามองผม พลันมันก็หัวเราะ "หึงเหรอ"

"เปล่า" ผมรีบแก้ตัว

"โธ่ นึกว่าจะหึงซะอีก" อะตอมทำหน้าเสียดาย ครู่เดียวก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังเล็กน้อย "อืม…กูกับเขา…ต้องโกรธกันด้วยเหรอวะ"

"ไม่รู้ดิ เพราะว่าที่กูเคยเจอน่ะ…โกรธกันไปเลย แล้วก็ไม่เคยคุยกันอีก" พูดแล้วผมก็หน้าหม่น เหตุการณ์ในอดีตย้อนมาให้นึกถึงอีกครั้ง

ความเห็นใจฉายขึ้นในแววตาของอะตอม แววตาอ่อนโยนที่มองมาทำเอาผมร้อนๆ หนาวๆ มือหนักๆ ของมันเอื้อมมาบีบเบาๆ บนไหล่ผมเป็นเชิงให้กำลังใจ "อย่าคิดมาก ตอนเลิกกันใหม่ๆ น่ะ ส่วนมากก็เป็นแบบนี้แหละ แต่พอเวลาผ่านไป ความโกรธมันก็น้อยลง ให้อภัยกันได้ มันก็ยังพอเป็นเพื่อนกันได้นะเว้ย แต่ก็ไม่ทุกคนหรอก บางคนน่ะ...ไม่เจอกันอีกน่ะดีแล้ว"

ผมพยักหน้ารับรู้ ทว่าคำอธิบายนั้นก็ไม่ทำให้สีหน้าผมดีขึ้นเท่าไหร่ ความกังวลบางอย่างยังคงปรากฎรางง บนใบหน้า

"กลัวถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาอีกเหรอ" อะตอมถามอย่างรู้ทัน

ผมไม่ตอบ แต่เมื่อไม่มีท่าทีจะปฏิเสธสิ่งที่มันพูด ก็เท่ากับว่าผมยอมรับความคิดนั้นไปแล้ว

"ก็แสดงว่ามึงหึงกูน่ะสิ" อะตอมยื่นหน้ามาใกล้ ยิ้มคล้ายภูมิใจ สงสัยจะชอบที่ผมหึงมัน

"หึงบ้าอะไรล่ะ" ผมทำเสียงรำคาญ ก่อนกดเซฟงานที่ทำเสร็จแล้วและปิดคอมพิวเตอร์

อะตอมยังคงเล่นหูเล่นตาใส่ผม ดูเหมือนมันจะมั่นใจมากว่าผมหึงมัน "ถ้าไม่หึง มึงจะถามทำไมวะ ถ้าถามก็แปลว่าหึงดิ"

"ไม่เห็นจำเป็นเลย ก็ถามไปงั้นแหละ" ผมเถียง ปิดฝาหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็เข็นรถออกไป

"เฮ้ย หึงก็บอกมาตรงๆ สิวะ อย่างวันนี้…กูยังหึงมึงเลย เกือบได้ตื้บคนแล้ว" อะตอมตะโกนบอกตามหลัง

ผมหยุดเข็นรถและครุ่นคิด อะตอมบอกว่าหึงผมอย่างนั้นเหรอ ที่จริงผมก็พอรู้สึกได้ แต่ก็ไม่ถึงกับมั่นใจว่ามันหึงผม ความรู้สึกยังคงก้ำกึ่งระหว่างหึงกับแค่…ไม่ชอบหน้าเท่านั้น

"ไม่เชื่อเหรอ" อะตอมย้อนถาม

"ไม่รู้เว้ย ไปนอนแล้ว ง่วง" ผมตัดบท ก่อนจะรีบเข็นวีลแชร์เข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้อะตอมทำงานของมันต่อคนเดียว แต่อีกไม่นานก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ

ผมขึ้นไปนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนถึงอก แต่แทนที่จะนอนก็กลับคิดฟุ้งซ่านต่อ

อะตอมหึงผมเหรอ? ทำยังไงผมถึงจะเชื่อได้อย่างสนิทใจล่ะ?

ผมไม่ชอบความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้เลย การอยู่ในสภาวะไม่ตัดสินใจมันเริ่มน่าอึดอัดมากขึ้นและมากขึ้น แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอให้ผมตัดสินใจได้ ก็คงต้องรอต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น

แต่เรื่องรอไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่รบกวนจิตใจผมตอนนี้คือ…ผมไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นว่าอะตอมไม่รังเกียจผมต่างหาก มันชอบผมเพราะอะไรกันแน่ มันรู้สึกกับผมอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ผมจะพิสูจน์ยังไงดี

ไม่นานความคิดทั้งหมดของผมก็ต้องหยุดลงชั่วครู่ อะตอมเดินเข้ามาในห้องพอดี ไม่นานก็ทิ้งตัวลงบนเตียงของมัน วันนี้ต่างคนก็ต่างเหนื่อย เพราะกว่าจะทำงานเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน นี่ถ้าไม่ได้กวินช่วยให้คำแนะนำ เผลอๆ จะได้นอนตีหนึ่งตีสองด้วยซ้ำ ความ "ตาโหล" เริ่มส่อเค้าให้เห็นรางๆ แล้ว

"นอนแล้วเหรอ" อะตอมถามขณะที่มันกำลังห่มผ้าห่มเสียงขลุกขลัก

"อืม" ผมตอบเบาๆ สั้นๆ

"งั้นกูปิดไฟแล้วนะเว้ย"

"อืม"

สิ้นเสียงตอบของผม ไฟในห้องก็ดับมืด แต่ในหัวผมกลับสว่างจ้า ตอนนี้ผมคิดหาวิธีพิสูจน์ความสงสัยของตัวเองได้แล้ว แต่ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำจริงๆ ได้ยังไง อีกทั้งก็ไม่แน่ใจด้วยว่าต้องทำถึงขนาดนี้หรือเปล่า แต่ผมก็ไม่อยากให้ความรู้สึกสงสัยแบบนี้รบกวนจิตใจผมต่อไป เพราะมันทำให้ผมคิดถึงความล้มเหลวจากรักครั้งแรก ผมไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้ว

เธอคนนั้นทำเหมือนชอบผม ทำเหมือนหึงผม ทำเหมือนเป็นห่วงเป็นใย แต่สุดท้าย…ผมก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือประชดแฟนของเธอ เธอแค่ต้องการให้แฟนของเธอรู้สึกหึงหวงและกลับมาคืนดีกัน เธอได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว แต่กลับทิ้งความรักของผมให้ค้างเติ่งและไปต่อไม่ได้ แถมยังจบลงด้วยความรู้สึกอับอายที่แทบไม่กล้าจะบอกใคร โดยเฉพาะคำว่า "ไม่เจียมสังขาร" แฟนของเธอมอบให้ผมเป็นของขวัญสุดพิเศษ ตอบแทนที่ผมอุตส่าห์ช่วยให้เขาสองคนกลับมารักกันเหมือนเดิม

ผมกำลังจะกลายเป็น "ไอ้เป๋ไม่เจียมสังขาร" อีกครั้งหรือเปล่า!?

ผมยอมรับว่ากลัวความรู้สึกนี้มาก เพราะมันทำให้ผมรูสึกสมเพชตัวเอง ที่จริงมันก็เกิดไปแล้วตอนไปเที่ยวเกาะเสม็ด แต่อะตอมก็ยังพยายามยื้อไว้ ทว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อความรักก็ติดลบไปแล้ว ความกลัวนั้นจึงกลับมาอีก

ถ้ามัวแต่คิดฟุ้งซ่านไปก็คงไม่ได้คำตอบแน่ ป๊าเคยสอนผมว่าคนที่กลัวความเสี่ยงและไม่ทำอะไร ถึงแม้จะปลอดภัย แต่ก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แถมยังไม่ได้เรียนรู้อะไรด้วย โดยเฉพาะการแก้ปัญหา ถ้าอยากก้าวหน้าหรืออยากได้คำตอบล่ะก็ เราต้องกล้าออกจากหลุมสบาย เพราะความสบายและความกลัวเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด

ถ้าอยางนั้น…ผมจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ!?

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ ผมก็ลุกขึ้นนั่ง หันไปมองอะตอมซึ่งนอนอยู่ในความมืดสลัว ไม่รู้ว่าหลับไปหรือยัง แต่ผมต้องปลุกมันขึ้นมาตอนนี้และเดี๋ยวนี้

"หลับยังวะ" ผมถามออกไป ครู่เดียวก็มีเสียงตอบมา

"ยัง มีอะไรเปล่า"

"มาหากูหน่อยดิ" ผมพูดด้วยเสียงปกติ แต่ที่จริงใจผมเริ่มสั่นไปแล้ว

ไม่นานอะตอมก็ลุกขึ้น เปิดไฟหัวเตียง ห้องพลันสว่างโพลง ความประหม่าที่หลบซ่อนในความมืดจึงไร้ที่กำบัง แต่ช่างเถอะ เมื่อตัดสินใจแล้ว ผมก็พร้อมจะเปลือยความรู้สึกต่างๆ ให้อะตอมรู้

อะตอมเดินมานั่งที่เตียงผม ไม่แสดงท่าทีหงุดหงิดใดๆ แม้จะถูกรบกวนเวลานอน

"มีอะไร จะคุยกับกูต่อเรื่องเมื่อกี้เหรอ" อะตอมถามทีเล่นทีจริง

"อืม" ผมรับคำ เสียงที่พูดเริ่มสั่นบ้าง แต่ก็ยังพอพูดประโยคต่อไปได้ "มึง…หึงกูจริงๆ เหรอ"

อะตอมมุ่นคิ้วคล้ายสงสัยหรือไม่เข้าใจ ไม่งั้นก็คงรำคาญที่ผมไม่เลิกสงสัยเรื่องนี้ซะที แต่สักพักมันก็พยักหน้ายอมรับโดยไม่มีท่าทีลังเล

"เออ"

ถึงมันจะยืนยันอีกครั้ง แต่สำหรับผม แค่คำพูดไม่พอหรอก ผมต้องการสิ่งยืนยันที่มีน้ำหนักมากกว่านั้น ว่าแล้วผมก็คว้าตัวของอะตอมมาและผลักมันนอนลงไปบนเตียง ก่อนรีบโถมตัวลงไปหา จับแขนสองข้างของมันกดไว้

​"มึงจะทำอะไรกัปตัน" สีหน้าของอะตอมประหม่าและหวาดระแวง อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยเจอผมทำแบบนี้มาก่อนก็ได้

"ไม่ต้องถามหรอก มึงต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ" ผมก้มหน้าลงไปใกล้ หัวใจผมเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก ยิ่งใบหน้าเราอยู่ใกล้กันเท่าไหร่ จังหวะก้อนเนื้อก็ยิ่งเต้นถี่ขึ้น

"มันจะดีเหรอวะ" อะตอมยังคงไม่แน่ใจ

"ก็ไม่เห็นเป็นไร กูไม่ใช่ผู้หญิง ไม่มีอะไรเสียหาย หรือว่ามึงรังเกียจกูที่เป็นแบบนี้" สีหน้าผมเครียดขึ้นเล็กน้อย แต่หัวใจก็ยังเต้นรัว ประสาทสัมผัสที่มีทั้งหมดตื่นเต็มที่ เตรียมพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงนาทีข้างหน้า

"ไม่ใช่เว้ย แต่..."

"แต่อะไร มึงบอกว่ามึงชอบกูไม่ใช่เหรอ แล้วมึงรออะไร" ผมถามเหมือนคาดคั้น

"กู..."

อะตอมพูดได้คำเดียวก็เบิกตากว้าง เพราะผมส่งริมฝีปากของผมลงไปประกบกับปากของมันแล้ว ตอนนี้ใบหน้าเราอยู่ใกล้กันเกินกว่าจะเห็นรายละเอียดได้ชัด เราจึงหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ริมฝีปากและสัมผัสทางกายของเราสื่อสารกันแทน

เพียงครู่เดียวอะตอมก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่ข้างบนบ้าง ก่อนรีบประกบปากลงมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจูบของเราขาดตอน ตัวผมสั่นเทิ้มเพราะอะตอมจูบเก่งเหลือเกิน แม้จะหนักหน่วง แต่ก็ไม่หนักเกินไปจนรู้สึกว่าหยาบ อีกทั้งก็ไม่เบาไปจนไม่รู้สึกถึงความปรารถนาที่ร้อนแรง

อะตอมขบริมฝีปากแดงเรื่อผมและดูดดึงเล่นเบาๆ ทั้งบนและล่าง ปากที่แดงอยู่แล้วก็คงจะแดงขึ้นไปอีก ด้วยความที่มันคลั่งริมฝีปากแดงเรื่องของผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อะตอมจึงระดมจูบผมหนักขึ้น มันสอดลิ้นควงคว้านชอนไชไปทั่วริมฝีปากผมโดยไม่รังเกียจ รสหวานในปากผมแทบจะถูกดูดกินหมด ผมก็พลอยได้ชิมรสหวานในปากของมันไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะหวานลิ้นน่าลิ้มลองอย่างนี้

ความเสียวซ่านทั่วกายพุ่งสูงขึ้นจนผมนึกอยากจะร้องคราง แต่เมื่อปากไม่ว่าง ผมจึงต้องระบายออกด้วยการกอดมันแน่นขึ้น มือไม้ลูบไล้สะเปะสะปะไปทั่วแผ่นหลังเปลือยเปล่าของอะตอม ร่างของเราเบียดกันมากขึ้นจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียว แท่งทวนที่เคยนอนสงบนิ่งก็ตื่นเต็มที่ แถมยังกวัดแกว่งเบียดกันไปมาราวกับรำดาบ ทว่าเป็นดาบที่ฟันกันแล้วไม่เสียเลือดเนื้อ ตรงกันข้ามกลับได้ความเสียวกระสันพริ้งเพริดมาแทน

เสื้อของผมถูกถอดออกไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ก็ดีแล้วเพราะอะตอมเลื่อนตัวลงต่ำหลังจากนั้น ปากผมจึงว่างพอร้องครางได้ แต่ก็ยังไม่กล้าร้องเสียงดังเท่ากับความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นจริง

"อาห์…"

อะตอมสูดดมตามซอกคอผมอย่างหลงใหล ไม่ว่าจะเคลื่อนจมูกไปตรงจุดไหนก็มีเสียงสูดหอมดอมดมทุกที่

"ตัวมึงหอมจัง กูชอบ"

พูดจบอะตอมก็เลื่อนจมูกลงต่ำมายังลานอกผม ถูไถจมูกไปบนเนินเนื้อและสูดดมกลิ่นอย่างหิวกระหาย ความเสียวทวีขึ้นอีกแล้ว ผมได้แต่กัดฟันไว้จนตัวสั่น จะร้องครางให้สะใจก็ไม่กล้า ทั้งที่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ควรจะกลัวอะไรด้วยซ้ำ

ครู่เดียวผมก็สัมผัสได้ถึงความหยุ่นเย็นของลิ้น อะตอมดูดและเลียวนบนเม็ดตุ่มของผมเข้าให้แล้ว บางครั้งก็ดูดดึงหนักๆ จนผิวตรงนั้นแดงเป็นปื้น ผมถึงกับผวาและกำผ้าปูที่นอนแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แทบควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

"ปลดปล่อยสิวะ มึงจะเก็บไว้ทำไม" อะตอมหยุดชั่วคราวและเตือนผม ไม่รู้ว่ามันรู้ได้ยังไงว่าผมยังไม่เต็มที่

"ตัวมึงทั้งขาว ทั้งหอม กูอดใจไม่ไหวแล้วว่ะ" อะตอมบอกเสียงสั่น ก่อนบุกรุกพานนมอีกฝั่งของผม คราวนี้ผมร้องครางเสียงดังมากกว่าเดิม

"อาห์…ซี๊ด…อูย…เสียว…อาห์…"

อะตอมบีบนมผมให้ชูสูงขึ้น ก่อนเอาลิ้นเขี่ยรัวๆ เบาๆ ผมเสียวจนต้องบิดตัวและร้องครางอย่างสุดกลั้น

"โอว…อะตอม…กูเสียว…"

"เสียวก็ร้องออกมา" บอกเสร็จอะตอมก็ดูดเลียพานนมของผมต่อ ไม่สนใจว่าผมจะดิ้นเร่าหรือครางดังสักแค่ไหน มันคงชอบด้วยซ้ำที่เห็นผมเสียวแทบขาดใจขนาดนี้

พอหนำใจ อะตอมก็เลื่อนต่ำลงไปอีก กางเกงผมถูกถอดออกไปนานแล้ว เหลือแต่กางเกงในลายเส้นขวางสีขาวสลับแดงถี่ๆ ยี่ห้อโปรดของผม ตอนนี้มันตุงจนแทบจะขาดทะลุแล้ว

"กางเกงในมึงโคตรสวยเลย"

อะตอมบอกเสียงกระเส่า แต่แทนที่มันจะทำอะไรกับตรงนั้นของผม มันกลับลุกขึ้นนั่ง เอามือยกขาขวาซึ่งมีแรงน้อยของผมขึ้น ก่อนก้มมาไล่สูดดมกลิ่นตั้งแต่โคนขาของผมไปจนถึงปลาย ใช้ลิ้นสัมผัสบ้างในบางจุดให้เสียวเล่นๆ จากนั้นก็สลับไปทำแบบเดิมกับข้างซ้ายบ้าง

"มึงหอมไปทั้งตัวเลย รู้เปล่า"

อะตอมเอ่ยชมและสูดดมไป ไม่นานก็หยุด ผมเองก็หยุดครางและผงกหัวดูไปด้วย แต่พอรู้ว่ามันคิดจะทำอะไร ผมก็รีบร้องห้ามด้วยความตกใจและครดไม่ถึง

"เฮ้ยอะตอม ไม่ต้อง ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้"

แต่ช้าไปซะแล้ว ปลายนิ้วเท้าของผมหายเข้าไปในปากของอะตอมในที่สุด ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่สกปรก เพราะเท้าผมไม่เคยสัมผัสดิน แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะให้ใครทำแบบนี้กับเท้าของตัวเองหรอก กระนั้นผมก็ยอมรับว่ามันให้ความรู้สึกดีไม่น้อย

เสร็จจากหนึ่งข้าง อะตอมก็ย้ายไปอีกข้าง ส่วนผมได้แต่นอนครางและมองดูภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก อะตอมคงรู้แล้วว่าผมต้องการพิสูจน์อะไร มันจึงพิสูจน์ให้ผมเห็นว่ามันรังเกียจร่างกายที่ไม่เหมือนคนอื่นของผมหรือเปล่า ผมได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

ไม่นานขาสองข้างผมก็ถูกวางลง ใบหน้าหล่อคมจ้องมองผม ขณะเดียวกันก็โน้มลงต่ำสู่จุดที่เขาเพิ่งละเลยไป ไม่นานเสียงสูดดมก็ดังขึ้นตรงแท่งทวนที่แข็งดังหินของผม จมูกของอะตอมเสียดสีไปมาตามเนื้อกางเกงในซึ่งลื่นและนุ่มผิว ผมเสียวจัดจนเผลอเอามือกดหัวมันลงตรงนั้น จากสูดดมก็เปลี่ยนเป็นเอาปากคาบและดูดดึงเล่น ผมเสียวจนแอ่นอกสะท้าน ที่จริงครั้งแรกก็ย่อมเสียวมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสัมผัสจุดไหนก็เสียวไปหมด แต่จุดที่เสียวที่สุดอยู่ตรงนี้นี่แหละ เสียวจนผมไม่อาจหยุดใจเอาไว้ได้ คิดอยากจะไปให้สุดทางแม้ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง

แต่สวรรค์ก็พลันล่มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อะตอมหยุดทุกอย่า ก่อนเลื่อนตัวขึ้นมาหาผมและมองหน้ากัน ผมถึงกับถอนหายใจด้วยความเสียดายสุดชีวิต อารมณ์เสียวจัดค้างเติ่งอยู่สูง แต่ตอนนี้หาทางลงไม่ได้ หัวผมตื้อไปหมดเพราะไม่เข้าใจว่าอะตอมหยุดทำไม

"มึงได้คำตอบหรือยัง" อะตอมถามด้วยเสียงหอบ ดูจากสีหน้าแล้ว มันเองก็คงเสียวและเสียดายไม่น้อย

เมื่อแปลความสิ่งที่อะตอมพูดได้แล้ว ผมก็พยักหน้าเบาๆ มันทำให้ผมถึงขนาดนี้ จะไม่รู้สึกหรือไม่รับรู้เลยก็คงเกินไปหน่อย

"อืม กู…โคตรรู้สึกดีกับมึงเลย"

อะตอมยิ้มพอใจ รอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยนนั้นช่วยลดอารมณ์ที่ค้างลงได้บ้าง แต่ก็ไม่หมดง่ายๆ ซะทีเดียว

"กูอยากทำต่อนะ กูอยากทำให้มึงมีความสุขกับกู แต่กูสัญญาไว้แล้ว กูไม่อยากผิดสัญญากับมึงอีก อีกอย่าง…กูรู้ว่ามึงไม่ได้อยากให้กูทำแบบนี้หรอก มึงแค่อยากได้คำตอบไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มึงก็ได้ไปแล้วไง”

"แต่อารมณ์กูค้างเว้ย" ผมประท้วงอย่างไม่อาย เป็นใครก็ต้องทำเหมือนผมแน่นอน

อะตอมหัวเราะเบาๆ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันดูน่ารัก นึกอยากจะดึงลงมาจูบอีกสักครั้งให้รู้แล้วรู้รอด

"แล้วมึงคิดว่ากูไม่ค้างเหรอ" อะตอมย้อนถาม

"แล้วจะเอาไง" ผมถามเสียงสั่นๆ อารมณ์ตอนนี้คือยากไปต่อจนไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ถึงทำไม่เป็นหรือไม่เคยก็ต้องหาทางทำจนได้

อะตอมไม่ตอบคำถามผม มันรีบลงไปยืนข้างเตียง พลันก็ก้มลงมาช้อนร่างเปลือยเกือบหมดของผมขึ้นอุ้ม ก่อนจ้องหน้าผมซึ่งอยู่ใกล้แค่เพียงคืบ

"หาเรื่องไม่หลับไม่นอนนะมึง"

อะตอมว่าผม แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์กลับคลี่ออกกว้าง แววตาเจ้าชู้ส่งประกายวิบวับ จากนั้นผมก็ถูกมันอุ้มหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อสานต่อภารกิจบางอย่าง

มันคงจะหาวิธีช่วยให้ผมปลดปล่อยได้แล้ว และผม…ก็คงจะต้องหาวิธีปลดปล่อยให้อะตอมเช่นเดียวกัน


TBC


// หวังว่าตอนนี้จะไม่แป้กนะครับ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเขียนอะไรให้อ่านแล้ว เหอๆ


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 09-07-2017 19:11:59
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 09-07-2017 20:32:18
เซ็กซี่  วาบหวิว  อิอิ  เขียนได้สวยงามดี  ไม่อนาจาร 
ชื่นชมค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 09-07-2017 21:20:07
คอปเตอร์ที่เข้าหานี่มีเหตุผลอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

ที่จริงเรื่องนี้สนุกนะ แต่ด้วยความที่โทนเรื่องเป็นแนวเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เลยอาจจะทำให้มีคนอ่านน้อย โดยความรู้สึกไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีฉากวาบหวิวอะไรหรอก เพราะรู้สึกเฉย ๆ กับฉากแบบนี้

แต่คนแต่งตั้งใจแต่งก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ที่จริงไม่รู้คนแต่งไปแนะนำนิยายในกระทู้แนะนำนิยายหรือยัง เผื่อจะมีผู้อ่านรู้จักนิยายเรื่องนี้มากขึ้น
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-07-2017 22:22:11
อะตอม หึงกัปตันจริงๆ แต่กัปตันไม่แน่ใจ

กัปตัน พิสูจน์ว่าอะตอมจะรังเกียจตัวเองตัวเองหรือไม่
แล้วก็ได้ข้อยืนยันว่าอะตอมไม่ได้รังเกียจเลย
จนต้องไปแก้อารมณ์ค้างกันทั้งคู่ในห้องน้ำ

ว่าที่จริงเหมือนกัปตันคิดมากกับอะตอม
ที่ผ่านมาอะตอมก็แสดงความชอบกัปตันออกมาเต็มที่
แต่การที่อะตอมมีเสน่ห์กับเพศหญิงมากด้วยรูปร่างหน้าตา
ทำให้อะตอมไม่มั้นใจว่าอะตอมชอบตัวเองจริงหรือ

อะตอม แม้มีอารมณ์กับกัปตัน แต่อะตอมก็ไม่ผิดสัญญากับกัปตัน
ทั้งที่ก็อารมณ์ขึ้นเต็มที่ทั้งคู่ จะเกินเลยไปจนสุดทางก็น่าจะได้เพราะกัปตันต้องการไปต่อ
แต่อะตอมหักห้ามใจได้ รักษาสัญญาได้ตามที่เคยให้ไว้
กัปตันเชื่อใจอะตอมได้และ เพราะเป็นคนรักษาคำพูด
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP17 เมื่อผมต้องการพิสูจน์ (100%) - 9.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 10-07-2017 22:08:42
คอปเตอร์ที่เข้าหานี่มีเหตุผลอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

ที่จริงเรื่องนี้สนุกนะ แต่ด้วยความที่โทนเรื่องเป็นแนวเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เลยอาจจะทำให้มีคนอ่านน้อย โดยความรู้สึกไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีฉากวาบหวิวอะไรหรอก เพราะรู้สึกเฉย ๆ กับฉากแบบนี้

แต่คนแต่งตั้งใจแต่งก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ที่จริงไม่รู้คนแต่งไปแนะนำนิยายในกระทู้แนะนำนิยายหรือยัง เผื่อจะมีผู้อ่านรู้จักนิยายเรื่องนี้มากขึ้น

ปกติผมจะแต่งนิยายกระชับ ฉับไว เดินเรื่องเร็ว แต่มีคนบอกว่ามันขาดรายละเอียดด้านอารมณ์ ความคิด ฉาก ฯลฯ ผมก็เลยลองปรับวิธีเขียนใหม่ ใส่ใจรายละเอียดบางอย่างมากขึ้น โดยส่วนตัวผมชอบนะ เพราะได้ฝึกใช้ภาษามากขึ้น แต่อาจไม่ค่อยเหมาะกับคนสมัยนี้ที่ชอบอะไรเร็วๆ เท่าไหร่ / เดี๋ยวจะลองปรับดูครับ ช่วงนี้ผมปรับวิธีเขียนเยอะ ยังหาจุดลงตัวที่ชัดเจนไม่ได้ / ขอบคุณที่ช่วยติชมครับ / เรื่องแนะนำนิยาย ไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน ผมเคยแนะนำให้คนมาอ่านเยอะๆ ก็มาเยอะแค่ช่วงแรกๆ แต่หลังๆ ก็หายไปเหมือนเดิม ก็เลยไม่ทำดีกว่า คนที่ชอบจริงๆ เขาคงจะมาอ่านเอง ส่วนคนที่ไม่ชอบแนวนี้ อ่านสักพักเขาก็คงจะไป ตอนนี้ก็หายไปเยอะแล้ว แต่ก็ช่างเถอะครับ ป่วยการจะไปเสียใจ เขียนนินายต่อไปดีกว่า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 17-07-2017 09:04:02
EP18 (Part 1)
เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

"สบายตัวเลยสิมึง"

พออุ้มมาส่งและวางอีกคนลงบนเตียง ผมก็ถือโอกาสแซวอย่างอารมณ์ดี กัปตันไม่โต้ตอบ เขานอนลงแล้วก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายที่เหลือเพียงแค่กางเกงขาสั้น ที่จริงคลุมไว้ก็ดีแล้วล่ะ เห็นตัวขาวๆ ของมันแล้วผมกลัวจะลุกขึ้นสู้อีกจนได้

ผมนั่งลงบนเตียงนอนของกัปตัน ยิ้มให้คนที่นอนทำหน้าไม่ถูกอย่างอารมณ์ดี "ทีหลัง…อย่ามายั่วกูแบบนี้อีกนะเว้ย เมื่อกี้กูเกือบหยุดไม่ได้รู้เปล่า ถ้ากูห้ามใจไม่อยู่ มึงเสร็จกูเลยนะเว้ย แต่กูน่ะ…ไม่อยากเห็นมึงร้องไห้กระซิกๆ"

"ไม่ใช่ผู้หญิงซะหน่อย" กัปตันเถียงเสียงมุบมิบ

ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบทิ้งตัวลงไปทับตัวมันไว้ กัปตันตกใจน่าดู ผมจ้องแววตาประหม่าคู่นั้น เจ้าตัวคงเขินแต่ก็พยายามสะกดไว้อย่างเต็มที่

"พูดอย่างงี้…แสดงว่าอยากลองของจริงใช่ไหม"

"เปล่า" กัปตันรีบแย้ง

"แล้วพูดยั่วทำไม" ผมก้มหน้าลงไปใกล้

"ยั่วเหี้ยอะไร กูแค่บอกว่ากูไม่ใช่ผู้หญิงเฉยๆ" กัปตันเถียง

"ก็นั่นแหละ เขาเรียกว่ายั่ว"

กัปตันเงียบ คงไม่รู้จะเถียงอะไร ไม่งั้นก็น่าจะยอมรับข้อกล่าวหาของผมกลายๆ ไปแล้ว

"ถามจริง…ที่กูทำให้เมื่อกี้ มึงชอบไหม" คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามยั่วบ้าง

กัปตันหน้าแดงจัด แก้มขาวๆ ของมันแดงปลั่งด้วยเลือดฝาด ช่างเชื้อเชิญให้อยากซุกแก้มลงหอมอีกสักทีไม่น้อย

"อืม"

แม้จะเป็นคำตอบสั้นๆ แต่ก็ทำเอาผมดีใจจนยิ้มแก้มแทบแตก

"แล้วที่กูทำให้มึงล่ะ" กัปตันถามกลับบ้าง

"สุดยอด" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มและยักคิ้วให้

ที่ว่า "ทำให้" นั้นก็ไม่ใช่อะไรหรอก แค่ใช้มือช่วยสร้างความสุขให้กันและกันเท่านั้น ถึงจะยังไม่เต็มที่ แต่ก็ดีกว่าอาศัยมือตัวเองหลายขุม

"แล้วมึงจะมาทับตัวกูทำไมวะ" กัปตันพูดพลางพยายามผลักผมให้ลุกขึ้น น่าจะเป็นความพยายามหนีเขินอีกรอบ

ผมลุกขึ้นนั่ง หัวเราะชอบใจและทำหน้าทะเล้นใส่ "กลัวจะอดใจไม่ไหวล่ะซี้"

"เออ" กัปตันยอมรับหน้าตาเฉย

"แสดงว่ามึงมีอารมณ์กับกูงั้นสิ"

"ยังจะถามอีกนะมึง" กัปตันว่าไม่จริงจังนัก

ผมหัวเราะชอบใจเบาๆ จ้องมองใบหน้าขาวใสไม่วางตา ใบหน้าของกัปตันมีเสน่ห์ชวนมอง ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย

"กูก็มีอารมณ์กับมึง แล้วก็ไม่เคยรังเกียจมึงนะเว้ย จำไว้…กูชอบมึงอย่างที่มึงเป็นนี่แหละ แต่ถ้ามึงอยากทดสอบกู กูก็ไม่ว่าอะไรหรอก กูรู้ว่ามึงต้องการความมั่นใจ มึงอยากทดสอบกูกี่ครั้ง แบบไหน ตามสบายเลย เอาที่มึงสบายใจละกัน"

กัปตันนอนฟังเงียบๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขรึม สงสัยผมจะพูดสะกิดใจมันสักเรื่องเข้าให้แล้ว

"เป็นไรวะ" ผมเลิกคิ้ว

คนหน้าใสครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบ "ไม่รู้ว่ะ บางทีกูก็สับสนตัวเอง"

"สับสนอะไรวะ"

"ก็…หลายอย่าง"

"อะไรมั่งล่ะ"

กัปตันครุ่นคิดอีก ไม่นานก็ยอมเฉลยออกมาตรงๆ "อย่างแรก…กูชอบผู้ชายจริงๆ เหรอวะ"

ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของกัปตันอยู่หรอก เพราะผมก็เคยแอบถามตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก "สมัยนี้…มันไม่มีผู้ชายผู้หญิงแล้วนะเว้ย มีแค่รักกับไม่รักเท่านั้นแหละ อย่าคิดเยอะดิวะ แค่ทำตามหัวใจของมึงก็พอแล้ว"

"แล้วถ้าวันหนึ่งกูเกิดอยากชอบผู้หญิงขึ้นมาล่ะ" กัปตันถามต่อ

ผมอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็มีคำตอบให้เช่นเคย "ก็ไม่เห็นเป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดาเปล่าวะ ถ้ามึงเจอคนที่ใช่กว่ากู ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เหมือนกันแหละ กูบอกแล้วไง เพศไม่สำคัญ สำคัญว่ามึง…รู้สึกกับใครมากที่สุด"

คำพูดของผมคงฟังดูน่าคิดตามไม่น้อย กัปตันทำท่าเออออไปด้วย แต่ก็มิวายมีเรื่องสงสัยมาถามเพิ่มอีกจนได้ คราวนี้ทำเอาผมอึ้งมากกว่าครั้งแรกอีก

"แล้วมึงล่ะ วันหนึ่งมึงจะกลับไปชอบผู้หญิงหรือเปล่า กูว่ามึงน่ะยังชอบผู้หญิงอยู่นะเว้ย"

จะว่าตอบยากก็ไม่เชิง ที่จริงก็พอตอบได้อยู่หรอก แต่มีประเด็นที่ต้องระมัดระวังเท่านั้นเอง

"กูไม่ปฏิเสธว่ากูยังชอบผู้หญิง แต่ชอบกับรัก…ไม่เหมือนกันเว้ย อีกอย่าง…กูบอกมึงแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกับเพศ" ผมย้ำเรื่องเดิม ก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงให้ฟังดูขำๆ "ไม่แน่นะเว้ย กูอาจจะชอบผู้ชายคนอื่นแทนที่จะเป็นผู้หญิงก็ได้ เดี๋ยวนี้…นอกจากมึงแล้ว กูเริ่มเหล่ผู้ชายหล่อๆ ขาวๆ แล้วนะเว้ย"

"เหี้ย" กัปตันสบถใส่ผมทันที

"หึงเหรอ" ผมทำหน้าทะเล้นใส่

"หึงเหี้ยไร มีแต่มึงนั่นแหละหึงกู" กัปตันว่าพลางเอาหลังมือตีแขนผมไปด้วย

"อูยยยย เจ็บ" ผมแกล้งเอามือถูแขนตรงที่โดนตีและทำหน้าเหยเก แต่ไม่นานก็ยอมรับหน้าชื่นตาบาน "เออ กูหึงมึง หึงมากด้วย"

กัปตันไม่พูดอะไรต่อ แต่หันไปมองนาฬิกาข้างฝาแทน ผมเดาได้ว่ามันคงอยากนอนเต็มทีแล้ว เพราะเมื่อกี้เราก็ใช้เวลานานอยู่ แทบไม่อยากให้เสร็จไวเลย

"ดึกแล้ว นอนดีกว่า อ้อ" ผมเรียกความสนใจอีกครั้ง กัปตันหันมามองด้วยความสนใจเกือบทันที

"กูย้ำอีกทีนะเว้ย คนเรารักกัน ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นอะไร มันก็แค่รักหรือไม่รัก ใช่หรือไม่ใช่ ถ้ารัก…ถ้าใช่ มันก็รัก…มันก็ใช่ โอเคป้ะ"

"เออ ย้ำจังเลยเว้ย" กัปตันพูดเหมือนบ่น

"เรื่องสำคัญๆ ก็ต้องย้ำบ่อยๆ ดิ จะได้จำได้" ผมบอก

"เออ แล้วพรุ่งนี้…เครื่องออกกี่โมง" กัปตันเปลี่ยนเรื่อง น่าจะหมายถึงเรื่องที่ผมจะไปถ่ายแบบต่างจังหวัดนั่นแหละ

"บ่ายโมงครึ่ง กูต้องไปถึงสนามบินเที่ยง"

กัปตันพยักหน้ารับรู้หงึกๆ ทำท่าเหมือนอยากถามบางอย่าง คิดสักพักจึงถามออกมา "คราวนี้…ถ่ายเซ็กซี่แค่ไหนวะ"

"ก็เยอะอยู่ แต่มันเป็นชุดว่ายน้ำนะเว้ย ดูสปอร์ตๆ หน่อย ไม่น่าเกลียดหรอก" ผมบอกโดยไม่อ้อมค้อม

กัปตันพยักหน้ารับรู้อีกครั้ง "ก็ดีแล้ว แต่มึงก็ระวังหน่อยละกัน"

"อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแหละวะ คนอย่างกู…ไม่มีทางเลือกเยอะนี่หว่า ถ้าไม่ทำ…กูจะเอาอะไรกิน" ผมทำเสียงเหมือนน้อยใจ

"กูก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย แค่เป็นห่วงมึงเฉยๆ เว้ย กูน่ะ...อยากให้มึงเรียนที่นี่กับกูไปนานๆ ถ้ามึงไม่ระวัง กูกลัวจะโดนเรียกไปเตือน" กัปตันรีบแก้ตัว

"เออ ขอบคุณมากเว้ย กูก็หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนี้…มันทำได้แค่นี้เว้ย"

กัปตันลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก่อนดึงผมเข้าไปกอดเบาๆ และปล่อยออกในเวลาไม่นาน แถมยังไม่พูดอะไรอีก ผมเดาว่าเขาน่าจะอยากให้กำลังใจผม ผมจึงยิ้มให้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก็อดแหย่กัปตันเล่นอีกไม่ได้อยู่ดี

"รีบปล่อยออกเชียวนะมึง กลัวไม่ได้นอนเหรอ"

"เหี้ย ไปนอนไป" กัปตันว่าพลางพยายามผลักผมลงจากเตียง

ผมรีบลุกขึ้นยืน แต่ก่อนจะกลับเตียงตัวเองก็คิดได้ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอซะหน่อยละกัน ว่าแล้วผมก็ย่อตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง กัปตันทำหน้างงๆ แต่ไม่ทันได้ถาม ผมก็จู่โจมด้วยการโน้มตัวไปหอมแก้มมันหนึ่งฟอดใหญ่ๆ ก่อนจะรีบกระโจนกลับเตียงตัวเอง เพราะกลัวโดนกัปตันฟาดด้วยหลังมืออีก

"เหี้ย" กัปตันอวยพรผมก่อนนอนด้วยสีหน้าแดงๆ

ผมว่าคืนนี้ผมคงนอนหลับฝันดีกว่าทุกคืนอย่างแน่นอน

<<<INN>>>

วันนี้ผมต้องมาซ้อมเต้นอีกแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจเต้นสักเท่าไหร่หรอก ในหัวมีเรื่องตีกันเยอะแยะไปหมด ผมจึงเผลอเหม่อและลืมท่าเต้นบ่อยๆ จนกระทั่งคนสอนคงรู้สึกว่าบ่อยเกินไป พี่ซินดี้จึงบอกให้หยุดเพลงและเดินมาหาผม ไม่บอกก็รู้ว่าคงตั้งใจมาดุแน่ๆ

"ตั้งใจหน่อยนะคะอิน เหลืออีกแค่สองวันแล้วนะคะ ถ้าวันนี้ซ้อมดีๆ พี่จะได้ให้กลับไว จะได้พักเต็มที่ เพราะว่าพรุ่งนี้ซ้อมวันสุดท้ายแล้ว อาจจะต้องซ้อมดึกหน่อย"

"ครับ" ผมรับคำสั้นๆ ขณะที่เพื่อนๆ ที่ซ้อมด้วยกันก็ปรายตามองด้วยความสงสัย โชคดีที่ยังไม่มีใครบ่นอะไรมาก ยกเว้นคนหนึ่งซึ่งเขม่นกับผมมาตั้งแต่เจอหน้ากันแล้ว

หลังจากโดนดุ ผมก็จำเป็นต้องตั้งใจซ้อมมากขึ้น ก็เลยผิดพลาดน้อยลง ระหว่างที่ซ้อม ผมก็เห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องซ้อมของเรา การปรากฎตัวของเขาทำเอาผมแทบจะหยุดเต้นทันที แต่ก็ยังพยายามไม่มองและฝืนเต้นต่อไป

เขาคงไม่ได้มาหาผมหรอก น่าจะมาหาน้องชายของเขามากกว่า เรื่องของผมกับเขา…คงจบกันแค่เมื่อวานนี้ ถ้าจะต้องหาอะไรสักอย่างมาโทษ ก็คงต้องโทษความ "ร่าน" ของผมเอง ความสัมพันธ์ที่มีทีท่าว่าจะไปได้ดีจึงพังลงอย่างงงๆ

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ เมื่อการซ้อมสิ้นสุดลง พี่โดมก็เข้าไปหากัปตัน ไม่สนใจจะมองมาทางผมแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเลย

"ไง วันนี้เต้นป่วยนะมึง มัวแต่ไปเอาท์ดอร์มาล่ะสิท่าถึงไม่มีแรง"

ขณะที่ผมกำลังจะกลับ เสียงคำพูดกวนประสาทของใครคนหนึ่งก็ดังตามมาข้างหลัง เมื่อหันไปมอง ผมก็เห็นคู่อริซึ่งเป็นคิวท์บอยด้วยกันคนหนึ่ง มันชื่อปาร์ตี้ เป็นเพื่อนของเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ตอนนั้นเคยจีบผู้หญิงคนเดียวกัน แล้วผมดันจีบติดก่อน มันก็เลยไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ เพราะผมเองก็ปากไม่ดีกับมันด้วย แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่ามันรู้เรื่องบางอย่างของผมนี่สิ ไม่รู้ว่ามันไปรู้มาจากไหนเหมือนกัน

"ยุ่งอะไรด้วยวะ" ผมหันไปขึงตาใส่ ที่หงุดหงิดอยู่แล้วก็ชักหงุดหงิดมากขึ้น

"ก็ไม่มีอะไร" ปาร์ตี้ลอยหน้าลอยตา ท่าทางกวนประสาทของมันทำเอาผมยิ่งอารมณ์เสีย นึกอยากจะซัดมันซักหมัดสองหมัด แต่ก็ต้องพยายามยั้งใจเอาไว้

"แต่ระวังนะเว้ย โดนแฉกลางงานขึ้นมา มึงลองคิดสภาพดูนะว่ามันจะขนาดไหน ไอ้คิวท์บอยเอาท์ดอร์" ปาร์ตี้หัวเราะเยาะ

คราวนี้ผมไม่สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้ จึงตรงปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อมันและทำท่าจะต่อย

"เอาดิ ถ้ามึงกล้าทำ กูก็กล้าบอก" ปาร์ตี้ท้าทาย แค่นี้ก็มากพอจะทำให้ผมแกว่งได้แล้ว ให้ตายเถอะ! การมีอดีตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย

คนที่กำลังจะกลับบ้านรีบพากันวิ่งมาห้าม ผมกับปาร์ตี้มีแค่สองคน จึงไม่สามารถสู้แรงคิวท์บอยอีกห้าหกคนที่มาดึงเราออกจากกันได้ ทำได้แต่ทำท่าฟึดฟัดใส่กัน

"โธ่เว้ย ไอ้คิวท์บอยเอาท์ดอร์ คิดว่าเก่งนักหรือไง เดี๋ยวมึงเจอกูแน่" ไอ้ปาร์ตี้ตะโกนซะเสียงดังลั่น ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้หรือเปล่าว่าที่มันพูดหมายถึงอะไร

แค่นั้นก็ทำเอาผมโกรธจัดจนหน้ามืดได้แล้ว ผมจึงออกแรงทั้งหมดกระชากตัวเองออกจากการเกาะกุม คงเป็นเพราะคนที่จับไว้เผลอเรอ นึกว่าจับแยกได้แล้วจะจบแค่นี้ ก็เลยจับผมไว้ไม่แน่นมาก

เมื่อหลุดมาได้ ผมก็ตรงเข้าเหวี่ยงหมัดใส่คู่อริอย่างจัง มันก็เหวี่ยงคืนใส่ผมบ้าง ต่างคนต่างประเคนหมัด เข่า ศอกและตีนใส่กันไม่ยั้ง ก่อนจะถูกจับแยกออกจากกันอีกรอบ มีรอยช้ำตามตัวและเลือดซิบๆ ที่ปากด้วยกันทั้งคู่

ผมทำท่าฟึดฟัดและจะวิ่งเข้าใส่ไอ้ปาร์ตี้อีก ต่างคนต่างยกแข้งยกขาหมายจะถีบกันให้ได้ แต่คราวนี้ไม่เป็นผล เพื่อนๆ จับดึงเราไว้อย่างแน่นหนา ผมจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะถีบมันไป พลันก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ผมเห็นพี่โดมเข้ามายืนดูด้วยอีกคน

ไม่รู้ว่าพี่โดมได้ยินที่ไอ้ปาร์ตี้เรียกผมหรือเปล่า แต่สีหน้าและแววตาที่มองมามีหลายความรู้สึก จะว่าสงสารก็ใช่ สมเพชก็ไม่เชิง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว พี่โดมก็หันหลังกลับและเดินออกไปทันที ผมรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรก็ว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็ทนเห็นพี่โดมเดินหนีผมไปแบบนี้ไม่ไหว

"พี่โดม รอผมด้วย" ผมตะโกนเรียกตาม

พี่โดมหยุดชะงักและหันมามอง ผมไม่สนใจแล้วว่าพี่โดมอยากคุยกับผมหรือเปล่า ต่อให้ไม่อยากเห็นหน้าผมก็จะยอมหน้าด้านล่ะคราวนี้ ว่าแล้วผมก็สะบัดตัวออกจากการเกาะกุม ก่อนวิ่งไปหาพี่โดมซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ไม่มีใครตามมาดึงผมไว้แล้ว เพราะผมไม่ได้จะไปหาเรื่องใครอีก

โชคดีที่พี่โดมหยุดรอ ทว่าข้างๆ ก็มีกัปตันอยู่ด้วย แต่มาถึงตอนนี้แล้ว ผมคงต้องพูดสิ่งที่ผมอยากพูด ไม่งั้นพี่โดมคงไม่ยอมให้ผมพูดด้วยแน่ๆ เมื่อมาหยุดตรงหน้าผมจึงรีบพูดก่อนจะเสียโอกาสไป

"พี่โดม ผมขอโทษ"

ไม่รู้ว่าคำขอโทษจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้หรือเปล่า แต่ผมก็สังเกตเห็นว่าแววตาของพี่โดมอ่อนลง ส่วนกัปตันมองผมด้วยความสงสัย เขาคงไม่เข้าใจว่าสองคนนี้มีเรื่องอะไรกัน

"กัปตันไปรอพี่ที่รถก่อน เดี๋ยวพี่ตามไป" พี่โดมหันไปบอกน้องชาย

"ครับพี่" กัปตันรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเข็นรถออกไปข้างนอกและหายไปในเวลาไม่นาน

พอกัปตันไปแล้ว พี่โดมก็ลากแขนผมออกไปจากห้อง ท่ามกลางสายตาสงสัยและเสียงซุบซิบของใครต่อใคร เมื่อเจอที่เหมาะๆ และลับตาคน พี่โดมก็เริ่มเรื่องด้วยท่าทางหงุดหงิด

"กูบอกมึงแล้วไงว่ามึงกับกูจบกันแค่นี้"

"พี่โดม ผมขอโทษครับพี่" ผมพยายามจะขอความเห็นใจ แต่สีหน้าท่าทางของพี่โดมไม่มีสิ่งนั้นให้ผมเลย

"ขอโทษทำเหี้ยอะไร มึงทำตัวแบบนี้…มึงคิดว่าใครเขาจะยกโทษให้มึงอีกวะ"

"ผมไม่มีใครแล้วพี่ ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ นะพี่โดม ผมกลัวไปหมดเลย ไอ้ปาร์ตี้มันขู่จะแฉผมบนเวทีประกวด ผมกลัวที่บ้านผมรู้ ถ้าเขารู้…ผมตายแน่ๆ เลยพี่" ผมทรุดลงนั่งคุกเข่าและเริ่มร้องไห้ ไม่เคยรู้สึกอดสูและสมเพชตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย ที่จริงก็ไม่อยากใช้น้ำตามาร้องขอความสงสารหรอก แต่ชีวิตของผมตอนนี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังสมเพชตัวเองเลย

"แล้วกูจะช่วยอะไรมึงได้วะ มึงคิดว่ากูจะปิดปากมันได้หรือไง" พี่โดมย้อนถาม น้ำเสียงยังฟังไม่ชัดนักว่าไปทางความรู้สึกแบบไหนกันแน่

ที่พี่โดมพูดก็ถูกของพี่โดม ตอนนี้จะมีใครที่ไหนช่วยผมได้ ยกเว้นว่าผมจะไปฆ่าปิดปากไอ้ปาร์ตี้ แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ใครต่อใครต่างก็รู้เรื่องของผมมากขึ้นและมากขึ้น ผมคงจะปิดปากไม่ได้ทุกคนหรอก ความลับของผมเหมือนมีระเบิดเวลา อีกไม่นานมันก็จะระเบิด ใครต่อใครก็จะรู้กันไปหมด เมื่อวันนั้นมาถึง ไม่ช้าก็จะเข้าหูคนที่บ้านของผมจนได้ คราวนี้ก็จะเป็นหายนะของจริง

ถึงนาทีนี้ผมก็ได้แต่เงียบ นึกอะไรไม่ออกว่าจะทำยังไงดีกับชีวิตของตัวเอง ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า ถ้ามันทำอะไรไม่ได้จริงๆ อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด ในเมื่อทำอะไรไม่คิดไปแล้ว จะไม่รับผลอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ผมควรจะสนใจมากที่สุดคือคนตรงหน้าต่างหาก เพราะถึงอย่างน้อยผมแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ายังมีใครสักคนคอยให้กำลังใจกันบ้าง ชีวิตของผมก็คงจะไม่เลวร้ายจนเกินไป

"มึงมีอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวกูจะพาน้องกูไปซื้อของ เขารออยู่"

คำพูดของพี่โดมฟังดูไร้เยื่อใยไปแล้ว บ่งบอกชัดเจนว่าโอกาสของผมคงไม่มีเหลือ เรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากความไม่รู้จักยั้งคิดของผมอีกเหมือนกัน

เมื่อสองวันก่อน ผมขอให้พี่โดมไปส่งที่คอนโด คืนนั้นผมปรับทุกข์กับพี่โดมหลายเรื่อง เราซื้อเบียร์มาดื่มกันด้วย เมากันพอสมควร แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ เพราะหลังจากเมาได้ที่ อารมณ์บ้าๆ นั่นทำให้ผมขาดสติ ผมเริ่มหาวิธียั่วยวนพี่โดมสารพัด จนในที่สุดก็ลงเอยกันบนเตียง

พอตื่นขึ้นมาเท่านั้น พี่โดมด่าผมและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าผมฉวยโอกาส ทำตัวน่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายรุกเขาซะหน่อย ควรจะเป็นผมด้วยซ้ำที่ลุกขึ้นมาพูดแบบนี้ แถมมันยังน่าแปลกใจตรงที่พี่โดมทำเหมือนเป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงมาก ทั้งที่จริงควรจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ ของหนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้ แต่ก็นั่นแหละ เอาเป็นว่าพี่โดมโกรธผมมากจนตัดขาดความสัมพันธ์กับผมไปเลย

ผ่านไปวันสองวัน ผมก็เริ่มเอะใจบางอย่าง พี่โดมอาจยังไม่พร้อมที่จะคบกับผู้ชายก็ได้ เผลอๆ อาจจะรับไม่ได้ด้วยซ้ำ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นจึงกลายเป็นว่าผมล้ำเส้นไป ไม่แปลกเลยที่พี่โดมจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้น

"ผม…ผมแค่อยากจะขอโทษพี่โดมน่ะครับ…สำหรับเรื่องวันนั้น" ผมพูดประโยคนี้ออกไปโดยที่แทบไม่รู้ความหมายของสิ่งที่พูด เหมือนกับว่าผมไม่ได้ยินเสียงของตัวเองตอนที่พูดเลย

สายตาของพี่โดมยังคงดูเย็นชา แม้จะมีแววเห็นใจหรือสงสารฉายออกมาบ้าง แต่ก็น้อยเต็มที ไม่นานพี่โดมก็ถอนหายใจ

"แค่นี้ใช่ไหม"

"ครับ" ผมรับคำ ท่าทางคล้ายกับคนกำลังยอมรับสภาพ

"กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ" เสียงห้วนๆ ตอบมา

ตอนที่อะตอมด่าผมแรงๆ ผมก็ว่าผมเจ็บมากแล้ว แต่เจอคำพูดนี้ของพี่โดมเข้าไป ผมว่ามันเจ็บที่สุดเท่าที่ผมเคยเจ็บมาเลยก็ว่าได้

"กูเคยคิดว่ามึงจะทำตัวดีขึ้นนะเว้ย จะว่าไป…กูเห็นใจมึงด้วยซ้ำ แต่สันดานมึงน่ะ…ไว้ใจไม่ได้ มึงล้ำเส้นกู มึงใช้มารยากับกู เพราะฉะนั้น…อย่าหวังว่ากูจะไว้ใจมึงอีก"

ผมโดนตอกอีกดอกแล้ว เรียกว่าปิดฝาโลงขังผมให้ขาดอากาศหายใจตายอยู่ในนั้นไปเลย พี่โดมเดินจากไปทันทีหลังจากนั้น ทิ้งผมไว้ตรงนี้เพียงลำพัง ไม่รู้ว่าจะไปไหน หรือทำอะไรต่อ

หูผมอื้อ ตาผมลายไปหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าเด็กอายุสิบเก้าอย่างผมจะมาเจอปัญหาแบบนี้ ครอบครัวผมก็ดี เงินทองก็มีใช้ไม่ขาด ไม่เคยอดอยากแร้นแค้น แต่เพราะผมทำตัวเองแท้ๆ ก็เลยพาตัวเองมาติดอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ที่สำคัญ ไม่มีใครช่วยผมได้ แม้แต่ที่บ้านผมก็ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าเขารู้ขึ้นมา นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ผมอาจจะโดนทำโทษหนักอีกต่างหาก

ในเมื่อผมปิดปากคนอื่นไม่ได้ ซ้ำยังแก้ไขให้อะไรดีขึ้นไม่ได้ ก็มีอยู่แค่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะจบปัญหาทุกอย่าง ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย แต่จู่ๆ มันก็แวบเข้ามาในความคิด สงสัยผมจะเข้าตาจนและอับจนหนทางเข้าให้แล้วถึงได้สิ้นคิดแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมหวังว่ามันจะเป็นการสิ้นคิดครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน

ผมลุกขึ้นยืน สองขาก้าวออกไปที่ไหนสักแห่งที่ผมเองก็ไม่รู้ ที่จริงผมควรจะรู้ว่ามันเป็นที่ไหน เพราะผมมาเรียนที่นี่แทบทุกวัน แต่สมองของผมทำงานได้ไม่ดีนัก เมื่อเดินออกมาได้ไม่นาน ผมก็เห็นแค่แสงไฟและมีวัตถุเคลื่อนที่เร็วไปมาพร้อมกับเสียงที่แสนวุ่นวายของมัน แต่ในท่ามกลางความวุ่นวายนั้น คนนับหมื่นนับพันก็ยังมีจุดหมายปลายทางของตัวเอง มันคือการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตได้ไปต่อ แต่ก็ยังมีบางคน…ที่อาจต้องการสิ่งตรงข้าม

สิ่งที่ผมหวังมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือขอให้มีหนึ่งในวัตถุซึ่งเคลื่อนที่วุ่นวายไปมาบนท้องถนน ช่วยยุติปัญหาทั้งหมดให้ผมที ผมต้องการแค่นี้จริงๆ


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 17-07-2017 09:04:30
EP18 (Part 2)
เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<DOME>>>

ตอนที่ผมไปรับกัปตัน ครูสอนเต้นบอกว่าอยากให้หาพวกของสะท้อนแสงมาตกแต่งรถวีลแชร์ของกัปตันด้วย วันแสดงจริงน่าจะสร้างสีสันได้ไม่น้อย ผมก็เลยพากัปตันออกมาหาซื้อวันนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเวลา เพราะอีกสองวันก็จะแสดงจริงแล้ว ซื้อของเสร็จเราก็หาข้าวเย็นกินกันสองพี่น้อง เสร็จธุระทั้งหมดแล้วผมจึงมาส่งกัปตันที่คอนโด

"พี่โดมจะนอนนี่ก็ได้นะครับ ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่ พี่โดมยังไม่เคยมานอนนี่เลย" กัปตันเชื้อเชิญเมื่อมาถึงห้อง

ผมมองไปรอบๆ ห้องของกัปตัน แม้จะเป็นห้องที่หนุ่มโสดสองคนอยู่ด้วยกัน แต่มันก็ดูสะอาดดี อย่างว่าแหละ น้าสาวผมคงไม่ยอมให้กัปตันอยู่แบบรกๆ หรอก เห็นว่าส่งแม่บ้านมาช่วยทำความสะอาดให้ครั้งสองครั้งแล้ว ที่จริงอะตอมก็ช่วยทำบ้าง แต่เขาก็ติดเรียนและต้องทำหลายอย่าง น้าเล็กเลยส่งคนมาจัดการให้

"พี่ก็คิดอยู่ ขี้เกียจกลับเหมือนกัน เออ…ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยได้ไปหาน้าเล็กเลย ไม่รู้เป็นไงมั่ง" ระหว่างที่พูดผมก็เอาของที่ซื้อมาวางบนโต๊ะ ก่อนพาตัวเองมานั่งสบายๆ ที่โซฟา การจัดสิ่งของต่างๆ ดูแปลกตาจากคราวที่แล้วไปบ้าง สงสัยอะตอมจะจัดบางอย่างใหม่

"แม่กับป๊ายุ่งมากเลยครับช่วงนี้ ตั้งแต่ป๊ากลับมาจากเมืองนอก มีลูกค้าสั่งของเพิ่มเยอะมาก จะผลิตไม่ทันอยู่แล้ว" กัปตันเข็นมานั่งใกล้ๆ สีหน้าดูเรื่อยๆ

ปกติถ้าแขกมาห้อง เจ้าของห้องจะต้องหาของมาต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่าหรือของกินเล่น แต่สำหรับกัปตัน ผมบอกน้องเสมอๆ ว่าไม่ต้องทำอะไรให้ผม ถ้าผมอยากได้อะไรก็จะจัดการตัวเอง

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็คุยเรื่องที่บ้านของกัปตันต่ออีกสักพัก ผมถามถึงลมหนุนด้วย ได้ทราบว่าปิดเทอมนี้จะไม่กลับบ้าน แต่กัปตัน น้าเล็กและน้ายชายผมวางแผนว่าจะไปหาลมหนุนที่อเมริกาช่วงปิดเทอม ผมก็ว่าจะขอไปด้วยซะหน่อย เพราะไม่ได้ไปเที่ยวอเมริกาหลายปีแล้ว

"เอ่อ…วันนี้…อินมันคุยอะไรกับพี่โดมเหรอครับ" กัปตันหาจังหวะถามเรื่องที่อยากถามจนได้

ผมทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที เพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องของตัวเองกับเพื่อนร่วมคณะของน้องชายว่ายังไง ท่าทางมีพิรุธแบบนี้ยิ่งทำให้อีกคนสงสัย

"พี่โดมกับอิน…เอ่อ…ยังไงเหรอครับ" กัปตันถามด้วยท่าทางเกรงใจ

ถึงคำถามจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมก็เข้าใจคำถามของกัปตันเป็นอย่างดี กัปตันคงสงสัยมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะสบโอกาสถามวันนี้ เมื่อรู้ว่าถึงเวลาต้องพูดอะไรสักอย่าง ผมก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ

"ถ้าพี่โดมไม่สะดวกใจที่จะบอก ก็ไม่เป็นไรนะพี่ เอาไว้ค่อยบอกตอนที่โดมพร้อมก็ได้" กัปตันยังคงแสดงความเกรงใจ

"มันอธิบายยากว่ะกัปตัน" ผมโพล่งออกไป ท่าทางของกัปตันบ่งบอกว่ากำลังรอฟังอย่างตั้งใจ ผมจึงต้องพูดต่อ "ตอนแรก…พี่กะแค่จะสั่งสอนมันที่มันมารังแกกัปตัน แต่พอรู้จักมันมากขึ้น พี่ก็รู้สึกว่า…มันน่าสงสาร มันยังเด็กน่ะ…ก็เลยพลาด"

"เรื่องทวิตเตอร์เหรอครับ" กัปตันถาม

ผมตกใจพอดู ไม่คิดว่ากัปตันจะรู้เรื่องนี้ "กัปตันรู้ด้วยเหรอ"

กัปตันพยักหน้า "ก็เพิ่งรู้เหมือนกันครับ อะตอมบอก แต่รู้สึกว่า…มีคนรู้เยอะแล้วเหมือนกัน"

ผมหน้าเครียดขึ้นมาทันที ถ้าถามว่าเป็นห่วงอินไหม ผมก็ยอมรับว่าห่วง แต่วันนั้นมันก็ทำเอาผมโมโหมากจนถึงขั้นสติแตก ถึงกับเอ่ยปากตัดความสัมพันธ์กันไปเลย ทว่าพอถึงตอนนี้ ผมก็รู้สึกได้ว่าความเป็นห่วงชักจะมากกว่าความโกรธซะแล้ว ยิ่งนึกถึงภาพที่มันคุกเข่าขอโทษผม ผมก็ยิ่งรู้สึกสงสาร โดยเฉพาะประโยคนั้นของอิน…

"ผมไม่มีใครแล้วพี่ ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ นะพี่โดม ผมกลัวไปหมดเลย ไอ้ปาร์ตี้มันขู่จะแฉผมบนเวทีประกวด ผมกลัวที่บ้านผมรู้ ถ้าเขารู้…ผมตายแน่ๆ เลยพี่"

นี่ผมใจร้ายกับอินมากเกินไปหรือเปล่า? ช่างเถอะ ชีวิตใครชีวิตมันก็แล้วกัน อย่าขี้สงสารนักเลย ที่ผ่านมาผมก็เจ็บหนักเพราะความขี้สงสารนี่แหละ

"ตอนแรก…พี่ตั้งใจว่าถ้ามันแกล้งกัปตันอีก พี่จะเอาเรื่องนี้มาแฉเอง แต่คิดไปคิดมา…พี่ก็ไม่อยากทำร้ายอนาคตของใครว่ะ สงสารมัน มันยังเด็ก พี่ก็เลยไม่ทำ แต่พี่ก็ไม่อยากยุ่งกับมันแล้ว มันน่าสงสารก็จริง แต่แม่ง…นิสัยไม่ดี ก็สมควรแล้วล่ะ"

"สมควรอะไรเหรอพี่" กัปตันอยากรู้

"ก็…มีคนจะแฉมันบนเวทีประกวด" ผมบอกโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

"จริงเหรอพี่โดม" กัปตันทำหน้าตกใจ ก่อนถามต่อ "ใครจะแฉครับ พี่โดมรู้ไหม"

"ก็คิวท์บอยด้วยกันนั่นแหละ ชื่อปาร์ตี้"

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะคุยกับมัน"

คำพูดของกัปตันทำเอาผมอึ้ง ขนาดว่าเจ้าตัวเคยโดนอินแกล้งว่าแรงๆ หลายครั้ง แต่กัปตันกลับไม่คิดถือโทษโกรธ แถมตอนนี้ยังอยากจะช่วยอินด้วยซ้ำ

"ไอ้สองคนนั้นมันไม่ถูกกันมาก่อน พี่ว่ามันไม่ฟังหรอก" ผมแย้ง

"ก็ต้องลองคุยดูน่ะพี่ แต่ผมไม่อยากให้อินเสียอนาคต ผมสงสารมันน่ะ เรื่องนี้…ร้ายแรงนะพี่ เสียภาพลักษณ์มหาลัยด้วย" สีหน้าของกัปตันบ่งบอกว่าเห็นใจอีกฝ่าย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจมากขึ้น

"เอางั้นเหรอ" ผมถามเพื่อให้แน่ใจ

"ครับพี่ เราช่วยกันนะพี่โดม" กัปตันชวน

ผมทำหน้ายิ้มยาก แต่สุดท้ายก็ยิ้มบางๆ และพยักหน้าตกลง "อืม แล้ว…กัปตันไม่โกรธอินเหรอ"

"ไม่แล้วพี่ ตอนหลังๆ มันก็ไม่มาหาเรื่องผมแล้วนะ เมื่อวานตอนซ้อม มันยังเอาน้ำมาให้ผมเลย"

ผมพยักหน้ารับรู้ กัปตันไม่โกรธแล้ว แล้วผมล่ะ จะโกรธมันต่อไปดีไหม แต่พอนึกถึงเช้าวันนั้นที่ขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองมีอะไรกับอินไปแล้ว ผมก็ยังรู้สึกโมโหอยู่ มันมอมเหล้าผม แถมยังเข้ามาเบียดเสียดแนบชิด ร้องห่มร้องไห้ให้ผมปลอบใจ ผมก็ปลอบมันอย่างดี จนกระทั่ง…เลยเถิด

"ก็ดีแล้ว" ผมบอกน้องชายเสียงเบาโดยไม่หันไปมองหน้า พยายามสลัดอารมณ์ขุ่นๆ ออกไปจากความคิด ถ้าเปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะพอช่วยได้ ผมจึงเปลี่ยนเรื่องทันที "แล้วอะตอมกับกัปตัน…เป็นไง"

กัปตันเลิกคิ้ว หน้าตาเหลอหลาขึ้นมาทันที "ยังไงเหรอพี่"

"อ้าว อะตอมเขาชอบกัปตันไม่ใช่เหรอ พี่ก็เลยถามว่า…ความสัมพันธ์เป็นไง โอเคไหม" ผมขยายความ

"ก็ดีพี่" กัปตันยิ้มแปลกๆ ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรกันแน่

"ตกลง…เป็นแฟนกันแล้วเหรอ" ผมสงสัย

"ยังพี่ ยังไม่ถึงขนาดนั้น" กัปตันบอกปัดเป็นพัลวัน

"แล้วขนาดไหนล่ะ"

"ก็…" กัปตันทำท่านึก แต่ยังไม่ทันตอบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น กัปตันจึงฉวยโอกาสนั้นรับโทรศัพท์ทันที "ว่าไงแบงค์ มีอะไร"

ผมไม่รู้ว่าคนที่โทรมาพูดอะไรกับกัปตันบ้าง แต่ที่แน่ๆ สีหน้าของกัปตันดูตกใจมาก

"จริงเหรอวะแบงค์! เมื่อไหร่" กัปตันถามพร้อมกับหันมามองผมด้วย

"เออๆ เดี๋ยวจะรีบไป" กัปตันวางสาย ผมรีบถามด้วยความอยากรู้ทันที

"มีอะไรเหรอกัปตัน"

"อินโดนมอไซค์ชนบนทางเท้าหน้ามหาลัย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้วครับ"

"อะไรนะ!"

ผมอุทานด้วยความตกใจ นึกสงสัยว่าที่อินโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนครั้งนี้ อาจจะเป็นความตั้งใจมากกว่าบังเอิญก็ได้


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-07-2017 09:41:09
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 17-07-2017 10:17:26
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-07-2017 10:22:05
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-07-2017 10:43:00
กัปตัน อะตอม เหมือนเข้าใจกันมากขึ้นนะ
กัปตัน ดูยังสับสนกับทั้งตัวเองและอะตอม

แต่อะตอมก็ให้ข้อคิดที่ดีนะ
"มันไม่มีผู้ชายผู้หญิงแล้วนะเว้ย มีแค่รักกับไม่รักเท่านั้นแหละ อย่าคิดเยอะดิวะ แค่ทำตามหัวใจของมึงก็พอแล้ว"
"แล้วถ้าวันหนึ่งกูเกิดอยากชอบผู้หญิงขึ้นมาล่ะ"
"ก็ไม่เห็นเป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดาเปล่าวะ ถ้ามึงเจอคนที่ใช่กว่ากู ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เหมือนกันแหละ กูบอกแล้วไง เพศไม่สำคัญ สำคัญว่ามึง…รู้สึกกับใครมากที่สุด"

อิน ใช้ชีวิตแบบไม่ดี ปากก็ไม่ดี เพื่อนสนิทก็ไม่มี
แล้วเมื่อความลับจะปรากฏ ทำให้เสียชื่อเสียงทั้งต่อตนเอง สถานศึกษา
ไม่มีคนคอยเคียงข้าง ไม่มีคนให้คำปรึกษา ไม่มีคนให้กำลังใจชวยเหลือ
การตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เป็นทางเลือกหนึ่งของอิน

เกรงว่ารถที่ชน จะเป็นหนึ่งในคนที่หาเรื่องอินหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 17-07-2017 11:14:23
เอ้อ... เนอะ อินมีความตั้งใจว่าจะให้โดนรถชน แต่ โดนมอเตอร์ไซค์ชนบนทางเท้า เห้ย!!? มันใช่เหรอ ยังไม่ทันบรรลุความคิดย่างเท้าลงถนน แต่แค่ทางเท้าก็บรรลุซะแล้ว หักอารมณ์กับเหตุการณ์เหตุผลเราดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-07-2017 13:11:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 17-07-2017 14:37:25
น่าสงสารอินนะ ทุกคนควรได้รับโอกาส
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 17-07-2017 19:49:58
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
                :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP18 เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ - 17.7.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 23-07-2017 14:40:18
ถึงอินจะเคยทำผิด คิดผิด แต่คนเราผิดพลาดกันได้ถ้าปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ที่สำคัญถ้าไม่มีกำลังใจก็จบ เอาใจช่วยให้ผ่านไปได้นะอิน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 20-08-2017 09:25:30
EP19 (Part 1)
เมื่อผมหึงเขา

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<DOME>>>

"เดินยังไงวะให้รถมอไซค์ชน" เพื่อนของอินที่ชื่อแบงค์ถาม ออกแนวตลกๆ มากกว่าจะตั้งใจตำหนิ แต่คนนอนเจ็บกลับนอนนิ่ง สีหน้าไร้ความรู้สึกนั้นยากจะบอกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรกันแน่

"เดี๋ยวนี้มอไซค์ชอบขึ้นมาวิ่งบนทางเท้าไง กูยังเคยเกือบโดนชนเลย อยู่ดีๆ แม่งก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เกือบหลบไม่ทัน" กัปตันถือโอกาสอธิบายแทนเพื่อน

"แล้วทำไมมึงไม่หลบวะ" แบงค์ถามคนเจ็บต่อ

"อยากตายมั้ง" อินตอบเหมือนกวน ทำท่าเหมือนไม่จริงจังกับคำตอบ แต่ผมกลับรู้สึกสะดุดใจไม่น้อย

"จะรีบตายไปทำไม จะหนีปัญหาเหรอ ตัวเองหนีได้ แล้วไม่คิดเหรอว่าจะทิ้งอะไรไว้ให้คนที่เขายังไม่ตาย แก้ปัญหาตัวเองให้จบก่อนดีกว่าไหม แล้วค่อยตายก็ได้" ผมอดเหน็บไม่ได้

อินถึงกับอึ้ง เขาเงียบไปและไม่เถียงผมกลับ ส่วนแบงค์กับกัปตันมองผมแปลกๆ คงจะงงว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้น แถมยังทำสีหน้าท่าทางจริงจังซะอีก

"คนเรามันต้องสู้ใช่ไหมกัปตัน" ผมหันไปถามน้องชาย

"อ๋อ ครับพี่โดม" กัปตันตอบงงๆ

นี่ยังไม่พอหรอกสำหรับเด็กสิ้นคิดอย่างอิน ผมก็เลยเหน็บซ้ำอีก "รู้ไหมว่าพี่ชื่นชมกัปตันมากเลย ลำบากกว่าคนอื่นตั้งเยอะ อุปสรรคก็เยอะ แค่ขึ้นตึกเรียนก็ยังลำบากเลย ไม่มีอะไรง่ายสักอย่าง แต่พี่ไม่เคยเห็นกัปตันคิดอะไรโง่ๆ ถึงจะท้อบ้าง แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ คนแขนขาดีๆ มีครบทุกอย่างยังคิดแบบกัปตันไม่ได้เลย จริงไหม"

กัปตันยิ้มแหยๆ แบงค์ก็ทำหน้างงๆ ไปด้วย ทั้งสองคนเริ่มมองผมกับอินแปลกๆ แต่สักพักแบงค์ก็พูดเปลี่ยนบรรยากาศที่น่าอึดอัด

"เออ ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว แล้วนี่...มึงจะหายทันประกวดคิวท์บอยเปล่าวะ"

อินส่ายหน้าไปมาช้าๆ สายตายังคงดูเหม่อลอยและไม่ค่อยกล้าสบตากับผมเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าจะคิดได้บ้างหรือเปล่าที่โดนผมซัดไปขนาดนั้น

"จะทันได้ไงวะมึง อีกแค่สองวันเอง" กัปตันหันไปตอบให้แทน ก่อนหันมาถามคนเจ็บบ้าง "เออ แล้วนี่หมอบอกยังว่าต้องใส่เฝือกนานแค่ไหน"

"อย่างน้อยก็น่าจะเดือนหนึ่ง" อินตอบเบาๆ ท่าทางเขาดูไม่ค่อยอยากพูดจากับใครเท่าไหร่ ดีที่วันนี้เพื่อนยังมาเยี่ยมไม่เยอะ ก็เลยไม่ต้องตอบคำถามใครมาก แต่พรุ่งนี้น่าจะมากันเยอะกว่านี้

"มึงก็นั่งรถเข็นไปขึ้นเวทีดิ กัปตันมันยังนั่งรถเข็นขึ้นเวทีเลย" แบงค์พูดหยอก แต่ดูเหมือนจะไม่ตลกเท่าไหร่สำหรับกัปตัน ถึงเขาจะทำเฉยๆ แต่ผมก็พอดูรู้ว่าเขาไม่ชอบ คำพูดเล่นๆ ของแบงค์อาจฟังดูเหมือนตลกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับกัปตันอาจไม่ใช่อย่างนั้น

"กูไม่ประกวดอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่อยากได้อะไรด้วย" อินพูดขึ้นมาเสียงห้วนๆ

"อ้าว ก็เห็นตอนแรกมึงอยากประกวดไม่ใช่เหรอ" แบงค์ย้อนถาม

"แต่ตอนนี้กูไม่อยากแล้วเว้ย จะถามอะไรนักหนาวะ" อินเริ่มขึ้นเสียงและแสดงอาการรำคาญอย่างเห็นได้ชัด

"เออ เรื่องของมึงละกัน" แบงค์ทำท่าไม่แยแส

เยี่ยมคนเจ็บไม่นานพวกเราก็ขอตัวกลับ ไม่ลืมลาป๊ากับม๊าและพี่น้องของอินซึ่งปลีกตัวไปอยู่อีกมุมห้องด้วย เห็นผู้ใหญ่สองคนแล้วผมก็นึกเห็นใจ ถ้าเกิดว่ารู้ว่าลูกชายตัวเองทำอะไรลงไปคงช็อกน่าดู ผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับได้อีกนานแค่ไหน

แต่ช่างเถอะ นี่มันเรื่องของอิน ไม่ใช่เรื่องของผม ถึงจะเห็นใจแค่ไหน ผมก็ไม่อยากยุ่งกับเด็กที่คิดไม่ซื่อคนนี้แล้ว

กัปตันขับรถไปส่งแบงค์ที่หอในก่อน วันนี้กวินไปธุระกับที่บ้าน ส่วนน้ำหวานนัดเพื่อนผู้หญิงอีกกลุ่มไปซื้อของข้างนอกด้วยกัน ป่านนี้คงกลับมาถึงหอพักแล้ว เหลือแต่แบงค์ที่ไม่รู้จะออกไปไหน ก็เลยออกไปหาอะไรกินข้างนอกใกล้ๆ ขากลับเห็นมีรถพยาบาลและตำรวจอยู่หน้ามหาลัยพอดี พอเข้าไปดูถึงได้รู้ว่าอินถูกรถมอเตอร์ไซค์ชนแขนหัก ถึงได้โทรมาบอกกัปตัน

ส่งเพื่อนเสร็จ กัปตันก็ขับรถกลับที่พัก ขับออกมาได้ไม่เท่าไหร่เขาก็เปรย "ผมว่าผมจะช่วยอินน่ะพี่โดม"

"ช่วยเรื่องอะไร" ผมสงสัย

"ผมว่าจะลองคุยกับปาร์ตี้ดูน่ะครับ"

"พี่ว่าอย่าไปยุ่งกับมันเลย สองคนนั้น...น่าจะเคยมีเรื่องกันมาก่อนนะพี่ว่า" ผมเตือน จะว่าไปก็ดูเหมือนไม่แยแสอินเลย ขนาดน้องชายจะช่วยผมยังไม่อยากให้ไปยุ่ง

"ก็ต้องลองคุยดูน่ะพี่ ถ้าเกิดปาร์ตี้แฉเรื่องอินจริงๆ อินหมดอนาคตเลยนะพี่ แล้วที่บ้านเขาอีกล่ะ คงรับไม่ได้แน่ๆ ที่อินทำแบบนี้"

"ก็อยากทำตัวแบบนั้นเองทำไม พี่ว่าก็สมควรแล้วล่ะ โดนหนักๆ ซะบ้าง จะได้สำนึก" ผมเผลอพูดและทำท่าเหมือนสะใจโดยไม่รู้ตัว

กัปตันมุ่นคิ้วเหมือนครุ่นคิดหรือสงสัยบางอย่าง ก่อนตัดสินใจถามในเวลาไม่นาน "พี่โดม...มีปัญหาอะไรกับอินหรือเปล่าครับ"

คราวนี้ผมจึงได้สติ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและพูดเฉไฉ "เปล่า ไม่มีอะไร พี่แค่ไม่ชอบที่มันเคยพูดไม่ดีกับกัปตันแค่นั้นแหละ พี่ว่านะ...คนที่ทำไม่ดีกับคนอื่นแบบมันน่ะ น่าจะได้รับบทเรียนซะบ้าง ไม่งั้น...ไม่รู้จักจำหรอก"

คำอธิบายของผมใช่ว่าจะทำให้กัปตันหายข้องใจ ทว่ากลับทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม "ปกติ...ผมไม่เคยเห็นพี่โดมเป็นแบบนี้เลยนะครับ"

"กัปตันหมายความว่ายังไงเหรอ" ผมทำหน้าอึ้งๆ ระคนงง

"อ้าว ปกติผมเห็นพี่โดมเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็คิดบวกมากกว่านี้ ก็เลยรู้สึกว่าพี่โดมดูแปลกๆ ไป" กัปตันเฉลยและขำเบาๆ

"อ๋อ" ผมถึงบางอ้อ จากนั้นก็ยิ้มเก้อๆ และเอามือเกาหัวตัวเอง "พี่ดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวันนี้"

"ก็ไม่ถึงกับแย่หรอกพี่ แค่ดูแปลกๆ น่ะครับ" กัปตันขำอีก

"อ้อ" ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็เลยนั่งเงียบๆ ไปสักพัก

"ผมพูดจริงๆ นะพี่โดม ผมอยากช่วยอินจริงๆ ผมจะลองคุยกับปาร์ตี้ดูพรุ่งนี้" กัปตันยืนยันอีกครั้ง ดูท่าทางคงอยากจะช่วยเพื่อนมากทีเดียว

"แล้วกัปตันสนิทกับเขาขนาดไหนล่ะ" ผมรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย เพราะผู้ชายวัยอย่างพวกเรามักอารมณ์ร้อน พูดผิดหูนิดหน่อยอาจจะมีเรื่องได้

"อืม...ไม่ค่อยได้คุยกันหรอกครับ แต่รู้สึกว่าคอปเตอร์น่าจะสนิทมากกว่า เห็นคุยกันบ่อยๆ"

"จะให้คอปเตอร์ช่วยเหรอ แล้วเขารู้เรื่องอินหรือเปล่าล่ะ"

"น่าจะยังไม่รู้นะครับ" กัปตันทำหน้าไม่แน่ใจ "หรืออาจจะรู้แต่ไม่พูดก็ได้ ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ถึงยังไงผมก็ว่าจะลองคุยกับปาร์ตี้ดู"

"ไม่รออะตอมกลับมาก่อนล่ะ จะได้ไปคุยด้วยกัน" ผมเสนอ ที่จริงถ้าน้องชายผมคิดจะช่วยเพื่อนจริง ผมก็ควรจะไปเป็นเพื่อน แต่อีกใจก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของอินเลย ถ้าให้อะตอมไปเป็นเพื่อนก็น่าจะดีกว่าให้กัปตันไปคนเดียว

"เขาไม่ค่อยชอบอินน่ะครับ คงไม่ช่วยหรอก" กัปตันแย้ง

ผมพยักหน้ารับรู้ช้าๆ เป็นเชิงเห็นด้วย "ก็จริง"

"ไม่เป็นหรอกพี่โดม ปาร์ตี้มันไม่ทำอะไรผมหรอกน่า" กัปตันยืนยัน

"ก็ลองคุยดูละกัน แต่พี่ก็ไม่รู้นะว่าจะช่วยได้แค่ไหน เพราะเขาเริ่มรู้กันเยอะแล้ว ถึงปาร์ตี้ไม่พูด คนอื่นๆ อาจจะพูดก็ได้ จริงไหม"

กัปตันทำท่าคิดตาม ไม่นานก็พยักหน้าเห็นด้วยช้าๆ แต่ผมก็รู้ว่าเขาคงตัดสินใจไปแล้วว่าจะช่วยเพื่อน ถึงจะไม่สามารถช่วยพูดได้ทุกคน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลย

แล้วผมล่ะ...ไม่คิดจะช่วยอินจริงๆ เหรอ!? ใจดำมากไปหรือเปล่า? ช่างแม่งเหอะ! อย่าไปสนใจมันเลย

"แล้ว...อะตอมกับกัปตัน...ตอนนี้เป็นไง" ผมเปลี่ยนเรื่อง

"พี่โดมหมายถึงอะไรเหรอครับ" กัปตันย้อนถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

เท่านี้ผมก็รู้ว่าตัวเองเกือบพลาดไปแล้ว กัปตันคงยังไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องของเขากับอะตอมมาสักพักแล้ว ก็เลยต้องรีบกลบเกลื่อน "อ๋อ...ไม่มีอะไร พี่แค่อยากรู้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นยังไง โอเคไหม แค่นั้นแหละ"

"อ๋อ..." กัปตันลากเสียง ก่อนตอบสั้นๆ "ก็ดีพี่"

"ก็ดีแล้ว ถ้าเขาช่วยดูแลกัปตันได้เพิ่มอีกคน...พี่ว่าก็ดีนะ อ้อ พี่ได้ข่าวว่า...น้าเล็กก็ไม่ค่อยจ้ำจี้จ้ำไชกับกัปตันแล้วไม่ใช่เหรอตั้งแต่อะตอมมาอยู่ด้วย"

"ครับพี่" กัปตันรับคำสั้นๆ อีกครั้ง สีหน้าดูมีพิรุธโดยที่เจ้าตัวคงไม่ทันรู้ตัวว่าแสดงท่าทางอะไรออกมา ผมอดนึกขำระคนเอ็นดูในใจไม่ได้

"แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจละกัน ดูให้ดีๆ ก่อน เพิ่งรู้จักกันไม่นานเอง ยังมีอะไรที่ยังไม่รู้จักกันอีกเยอะ ของพวกนี้...ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์" ผมถือโอกาสสอนไปในตัว

"ครับพี่" กัปตันยิ้มเฝื่อนๆ

ด้วยความเอ็นดู ผมจึงเอามือลูบหัวกัปตันเบาๆ แต่ไหนๆ วันนี้ผมก็ทำอะไรแปลกๆ มาทั้งวันแล้ว จะพูดให้ฟังดูแปลกๆ อีกหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร ว่าแล้วผมก็ทิ้งท้ายคำพูดแปลกๆ ให้กัปตันเอาไปนอนคิดคืนนี้ซะหน่อย

"คนอย่างกัปตันน่ะ ต้องได้เจอคนดีๆ แน่นอน เชื่อพี่"

<<<CAPTAIN>>>

"แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วยวะ ไม่ใช่เรื่องของมึงซะหน่อย"

เมื่อผมเข้าเรื่อง คนที่ผมพาหนีออกมาคุยข้างนอกก็ย้อนมาแบบนี้ซะแล้ว จะแปลเป็นอย่างอื่นคงไม่ได้นอกจาก "เสือก" นั่นแหละ

"กูไม่รู้ว่าพวกมึงสองคนเคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือเปล่านะเว้ย อันนั้นกูไม่อยากยุ่งหรอก กูแค่อยากให้มึง...เห็นแก่อนาคตคนๆ หนึ่งได้ไหมวะ ถ้ามึงสองคนไม่ชอบหน้ากัน จะแข่งกันเรื่องเรียน แข่งกันเรื่องชื่อเสียง หรือจะแข่งกันเรื่องอะไรก็ได้ แต่...อย่าทำลายอนาคตกันเลยเว้ย" ผมหน้าด้านพูดอธิบายต่อ วันนี้จะขอยอมเป็นคน "เสือก" สักวันละกัน

ปาร์ตี้แค่นหัวเราะ ไม่รู้ว่าตลกอะไรของมัน ราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดไร้สาระมาก

"มึงรู้จักมันดีแค่ไหนวะ" หนุ่มคิวท์บอยแต่หน้าคมเข้มถาม

"ก็เรียนคณะเดียวกัน"

"รู้จักมันกี่ปี"

"ก็เพิ่งรู้จัก" ผมยอมรับไปตรงๆ

"แต่กูรู้จักมันมาหลายปีแล้วเว้ย"

"แล้ว..."

"มึงไม่รู้นิสัยมันเหรอ ถึงมึงจะเพิ่งรู้จักกับมันนะเว้ย แต่กูว่ามึงก็น่าจะเห็นสันดานของมันแล้วมั้ง ปากมันก็ไม่เคยเปลี่ยน ปากหมายังไงก็ปากหมาอย่างงั้น นิสัยมันก็แย่เหมือนเดิม ชอบแย่งของคนอื่น แถมยังทำอะไรทุเรศๆ อีก"

ปาร์ตี้ว่าเพื่อนเก่าซะจนผมไม่รู้จะเถียงแทนยังไง เพราะที่พูดมาก็จริงหลายอย่าง แต่ช่างเถอะ นิสัยอินจะเป็นยังไงก็ช่าง ที่ผ่านมาถึงมันจะทำไม่ดีกับผมไว้เยอะ แต่ผมก็ไม่เคยโกรธจนถึงกับจะทำให้มันเสียอนาคตหรอก

"แต่มันก็เลิกทำแล้วนะเว้ย" ผมแย้งเสียงอ่อยๆ

"ตอนนี้เลิก แต่มึงคิดว่ามันจะเลิกได้ตลอดเหรอวะ เดี๋ยวมันก็แอบทำอีก ไม่งั้นมันก็เลิกนิสัยเลวๆ แบบนี้ไปนานแล้ว คนแบบนี้...มันน่าให้โอกาสเหรอ แค่มันทำตัวแบบนี้ มันก็ไม่สมควรมีอนาคตแล้ว" ปาร์ตี้ย้อนเสียงเข้ม

พูดมาแบบนี้ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่ไม่รู้สิ ลึกๆ ผมก็ยังเชื่อว่าอินจะกลับตัวกลับใจได้ ไม่น่าจะถึงกับเลวจนกู่ไม่กลับ

"แต่ถ้ามันมีเพื่อนดีๆ มันก็น่าจะกลับตัวกลับใจได้นะเว้ย มึงไม่คิดจะให้โอกาสมันอีกสักครั้งหน่อยเหรอวะ" ผมต่อรองหลังนิ่งคิดไปพักใหญ่

"เพื่อนดีๆ ที่ไหนวะ เพื่อนเอาท์ดอร์มันน่ะเหรอ" ปาร์ตี้หัวเราะหยันๆ หน้าหล่อๆ ของมันไร้เสน่ห์ไปโดยปริยายเมื่อทำท่าทางแบบนี้ ออกจะดูน่ากลัวซะด้วยซ้ำ

"ก็เพื่อนที่คณะไง" ผมรีบบอก

ปาร์ตี้หยุดหัวเราะแล้วหรี่ตามองผม ทำท่าเหมือนครุ่นคิดหรือสงสัยบางอย่าง "ถามจริง มึงช่วยมันทำไม เป็นอะไรกับมันเหรอ หรือว่า..."

"ไม่ใช่เว้ย กูไม่ได้เป็นไรกับมันทั้งนั้นแหละ" ผมรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

"ไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วทำไมมึงถึงต้องเดือดร้อนแทนมันด้วยวะ" ปาร์ตี้ยังไม่วายสงสัย

"ก็กูบอกมึงแล้วไง กูแค่ไม่อยากเห็นอินมันเสียอนาคตก็แค่นั้นแหละ" ผมเว้นจังหวะ พยามคิดหาวิธีพูดที่จะทำให้มันยอมฟังผมดีๆ บ้าง โชคดีที่ไม่นานผมก็พอนึกออก จึงรีบพูดต่อก่อนที่มันจะหมดความอดทน

"มึงฟังนะเว้ย ที่จริงกูกับอินน่ะก็ไม่ค่อยถูกกันหรอก นิสัยมันก็เป็นอย่างที่มึงว่านั่นแหละ แต่กูก็ไม่เคยคิดจะแฉมันเรื่องนี้เลยนะเว้ย มึงลองคิดดูสิ วัยรุ่นอย่างพวกเรา ถ้าหมดอนาคตตอนนี้...จะไปทำอะไรได้วะ ถึงจะไม่ชอบหน้ากัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้หรือเปล่าเหอะ ชีวิตคนทั้งชีวิตเลยนะเว้ย"

สงสัยผมคงจะพูดดีแน่ๆ ปาร์ตี้ถึงกับเงียบไปเลย ผมก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือเมื่อนึกขึ้นได้ พี่ซินดี้ให้พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ใกล้เวลาจะต้องกลับไปซ้อมแล้ว

"มันทำอะไรมึงเหรอ" หลังเงียบไปสักพักปาร์ตี้ก็ถาม

ที่จริงผมก็ไม่ชอบเล่าเรื่องแบบนี้ของตัวเองให้ใครฟังหรอก ในโลกนี้คงไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาล้อเลียนปมด้อยของตัวเอง แต่ถ้ามันจะช่วยให้ปาร์ตี้เปลี่ยนใจได้ ผมก็จะยอมเล่าให้มันฟังเท่าที่พอจะเล่าได้ เมื่อคิดดีแล้วผมก็ตัดสินใจเล่าให้มันฟังสั้นๆ ในช่วงเวลาห้านาทีที่เหลือ

"เห็นไหม ขนาดคนพิการอย่างมึงมันยังไม่เว้นเลย โคตรเหี้ยเลย" พอฟังจบ ปาร์ตี้ดูเหมือนจะโกรธอินแทนผมไปซะแล้ว

"เออ กูก็โกรธเว้ย แต่กูไม่อยากทำลายอนาคตมัน แล้วถ้ากูขอมึงได้ กูก็อยากให้มึงยกเว้นให้มันสักเรื่องหนึ่ง ได้เปล่าวะ" ผมลองขอร้องปาร์ตี้อีกสักครั้ง

ปาร์ตี้ทำท่าครุ่นคิด แต่สงสัยคงกลัวเสียฟอร์ม ก็เลยไม่รับปากซะทีเดียว "ไม่รู้เว้ย ไปซ้อมต่อเหอะ เขาเรียกแล้ว"

ถึงจะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ผมก็เชื่อว่าปาร์ตี้น่าจะคล้อยตามผมบ้างไม่มากก็น้อย เท่าที่ผมสังเกตุ มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก มันแค่โกรธที่เคยโดนอินแย่งแฟนเท่านั้น คงไม่ถึงกับแค้นจนคิดจะทำลายอินให้หมดอนาคตหรอก

... ... ...

"ดูเพื่อนกัปตันดิ แซ่บไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย"

เมื่อผมโผล่เข้ามาในห้องซ้อม คอปเตอร์ก็วิ่งมาหาผมพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในแอปเฟสบุ๊คนั้นมีภาพของ "เพื่อนผม" โพสต์ท่าถ่ายแบบริมทะเล เพจเจ้าของแม็กกาซีนออนไลน์เป็นคนเลือกภาพนี้มาโพสต์เรียกน้ำย่อย อะตอมแชร์ต่อเข้าไปในแฟนเพจของตัวเองด้วย

มีคนเข้ามาคอมเมนต์กันอย่างหนาแน่น จำนวนไลค์และคอมเมนต์ขึ้นหลักพันเลยทีเดียว บางคอมเมนต์ก็ตลกปนหื่น บางคนบอกเป็นนัยๆ ว่าจะขอเซฟรูปลงเครื่อง อะตอมก็อุตส่าห์เม้นต์ถามกลับว่าจะเอาไปทำอะไร แถมยังไล่ตอบอีกหลายๆ คอมเมนต์ ส่วนมากก็ออกแนวตลกๆ เพราะคนที่เข้ามาคอมเมนต์ส่วนมากก็เป็นแฟนคลับของอะตอมอยู่แล้ว ถึงแม้อะตอมจะมีแฟนคลับไม่เยอะ เพราะไม่ใช่นายแบบดัง แต่คนที่ติดตามแฟนเพจก็เป็นหลักพัน

"หุ่นอะตอมดีมากเลย เซ็กซี่ด้วย" คอปเตอร์บอกผมด้วยท่าทางเขินๆ

"ก็มันเข้าฟิตเนสแทบทุกวัน" ผมบอก ที่คอนโดผมมีฟิสเนสและสระว่ายน้ำอยู่ อะตอมมักจะหาเวลาไปเล่นบ่อยๆ

ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงกับภาพถ่ายเซ็กซี่ของอะตอม ผมยอมรับว่ามันก็เซ็กซี่ดีอยู่หรอก รอยยิ้มและแววตาขี้เล่นเมื่อไปอยู่บนหุ่นแข็งแรงก็ยิ่งทำให้อะตอมดูมีเสน่ห์ แต่สิ่งที่เด่นสุดในภาพนี้หรือภาพไหนๆ ก็คงไม่พ้น "เป้า" ของมัน เพราะน่าจะเป็นจุดโฟกัสของแทบทุกภาพในแนวนี้อยู่แล้ว

"เราเพิ่งรู้ว่าเขาถ่ายแบบแบบนี้ด้วย ทำมานานแล้วเหรอ"

"อืม" ผมพยักหน้า

"แล้วเขาไม่กลัวเหรอ ที่นี่...เขาไม่น่าสนับสนุนให้นิสิตทำแบบนี้หรือเปล่า"

คำถามของคอปเตอร์ทำเอาผมต้องคิดหนัก นี่คือเรื่องหนึ่งที่ผมก็กังวล ถ้าเกิดนิสิตในมหาลัยพากันแชร์ภาพแบบนี้ของอะตอมออกไปบ่อยๆ ไม่นานก็จะมีเรื่องจนได้ เมื่อกี้ผมพยายามช่วยอินไปแล้ว แล้วอะตอมล่ะ ผมจะช่วยเขายังไงดี

"ก็คงไม่มั้ง" ผมบอกด้วยสีหน้าเครียดๆ

"เราก็ว่างั้น ปีที่แล้วนะ มีนิสิตตุลาคนหนึ่ง เขาไปถ่ายแบบแบบนี้นี่แหละ พอทางนี้รู้เรื่อง เขาก็เลยโดนปลดจากนักเรียนทุน รู้สึกว่าจะลาออกไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วมั้ง ทนแรงกดไม่ไหวหรือไงนี่แหละ กัปตันเคยได้ยินข่าวไหม"

ยิ่งได้ฟังแบบนี้ ผมก็ยิ่งใจคอไม่ดี แต่จะห้ามไม่ให้คนแชร์ออกไปคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้น อะตอมก็ต้องเลิกถ่ายแบบเซ็กซี่แบบนี้เท่านั้น แต่มันจะเอาเงินที่ไหนใช้ ให้ขอทุน กยศ. มันก็ไม่ยอมเพราะไม่อยากจบมาใช้หนี้

"ไม่เคยน่ะ เขาโดนขนาดนั้นเลยเหรอ" ผมถามด้วยสีหน้าหวั่นๆ

"ใช่ น่าสงสารนะ หมดอนาคตไปเลย ระวังเพื่อนของกัปตันจะโดนล่ะ" คอปเตอร์เตือน ก่อนแสดงความคิดเห็นต่อ "แต่จริงๆ ก็ไม่น่าจะอะไรขนาดนั้นนะ สมัยนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว เขาถ่ายกันเยอะแยะ แต่อย่างว่าแหละ ได้ข่าวว่าอธิการคนนี้หัวโบราณไปหน่อย เขารับเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้หรอก"

นับว่าเป็นข้อมูลที่น่าหวั่นใจไม่น้อย ยิ่งทำให้ผมเป็นห่วงอนาคตของรูมเมทคนพิเศษมากขึ้น ถ้าอะตอมต้องเจอชะตากรรมเดียวกันกับนิสิตที่คอปเตอร์เพิ่งพูดถึงเมื่อกี้ คงเป็นเรื่องน่าเศร้าไม่น้อย

แต่ก่อนที่ผมจะเครียดไปมากกว่านี้ พี่ซินดี้ก็เรียกพวกเราไปรวมตัวอีกครั้ง ผมจึงต้องวางความกังวลนี้ไว้ชั่วคราวและหันไปสนใจกับการซ้อม

เราเลิกซ้อมประมาณสี่ทุ่มเศษๆ เสร็จจากตรงนี้ปุ๊บ ผมก็ขับรถไปสนามบินดอนเมืองทันที ตั้งใจว่าจะไปรับอะตอมซะหน่อย เขากลับเที่ยวบินสุดท้ายของวันจากสมุย น่าจะมาถึงกรุงเทพราวๆ ห้าทุ่ม

เมื่อผมมาถึงสนามบินดอนเมือง อะตอมก็ส่งไลน์มาบอกว่าเขาออกมารอที่ด้านหน้าแล้ว เมื่อมาถึงสนามบิน ผมก็ตรงดิ่งไปยังประตูหมายเลขตามที่อะตอมบอก ไม่นานก็เห็นมันยืนอยู่ แต่ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่ด้วย

ติ๊ง!!!

หมายความว่า...อะตอมไปถ่ายแบบกับติ๊งเหรอ แล้วทำไมไม่เห็นบอกผมสักคำเลย

เมื่อลดกระจกลง ผมก็ได้ยินบทสนทนาของสองคน

"แน่ใจนะว่าไม่ให้รอเป็นเพื่อน" อะตอมถาม

"ไม่เป็นไร อะตอมกลับเหอะ พี่กำลังจะมาถึงแล้ว" ติ๊งบอก เธอหันมาโบกไม้โบกมือและยิ้มให้ผมด้วย

ผมยิ้มตอบอย่างเสียไม่ได้ บอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ช่วยไม่ได้ที่ผมจะนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เกาะเสม็ดอีกครั้ง ก็วันที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไปเจอสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอนั่นแหละ

แทนที่จะได้ดีใจที่คนที่ผมคิดถึงกลับมาแล้ว ผมกลับต้องมารู้สึกหวาดระแวงแทน ทำไมทำแบบนี้นะอะตอม!!!


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 20-08-2017 09:27:03
EP19 (Part 2)
เมื่อผมหึงเขา

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

"โคตรหิวเลยว่ะ แวะตลาดโชคชัยสี่ได้ไหมวะ กูว่าจะแวะซื้ออะไรกลับไปกินหน่อย มึงกินอะไรยัง" ผมถามหลังจากนั่งรถออกมาจากสนามบินสักพัก

"กินแล้ว แต่ยังไม่ค่อยอิ่มหรอก" กัปตันหันมาตอบ

"เออๆ งั้นแวะหน่อยนะ ถ้ามึงอยากกินอะไรมึงบอกกู เดี๋ยวกูลงไปซื้อให้ มึงไม่ต้องลงหรอก มึงจำได้เปล่าวะที่กูเคยบอกมึงเกี่ยวกับเรื่องชื่อของเราสองคนน่ะ"

"จำไม่ได้เว้ย" กัปตันตอบมาทันทีเหมือนไม่อยากเสียเวลานึก

"ก็ที่กูบอกว่า...กูชื่ออะตอม...เป็นพลังงาน ส่วนมึงชื่อกัปตัน...เป็นทิศทางไง" ผมย้ำเตือนความจำให้

"อ๋อ..." ร้องอ๋อจบกัปตันก็เงียบต่อ ดูแปลกๆ จนผมรู้สึกได้

"นั่นแหละ เพราะฉะนั้น มึงต้องเป็นกัปตันคอยบอกว่าจะกินอะไร เดี๋ยวกูจะเป็นพลังงานลงไปซื้อให้ ดีไหมๆ" ผมพูดให้ฟังดูตลก หัวเราะเบาๆ ไปด้วย

"อืม" กัปตันตอบสั้นๆ อีกแล้ว ถามคำก็ตอบคำ

ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโชคชัยสี่ เราจอดรถไว้ข้างทาง ผมอาสาเดินไปดูร้านต่างๆ ก่อนจะวิ่งกลับมาบอกกัปตันว่ามีอะไรขายบ้าง เป้าหมายแรกของกัปตันก็ไม่พ้นโจ๊กกองปราบขึ้นชื่อ ใครๆ ก็รู้จัก ที่สำคัญมันไม่เผ็ด กัปตันกินได้

ผมวิ่งไปวิ่งมาอยู่สองสามรอบ เจออะไรน่ากินเพิ่มก็จะวิ่งมาบอกกัปตันที่รถ ไม่ถือวิสาสะคิดเองเออเอง เพราะผมอยากให้กัปตันได้กินทุกอย่างที่เขาอยากกิน ไม่ใช่กินอย่างที่ผมชอบกินหรือคิดว่าเขาน่าจะชอบกิน ดูจะถูกใจกัปตันมากทีเดียว เพราะที่นี่มีของให้เลือกกินหลายอย่าง เป็นที่ฝากท้องยามดึกขึ้นชื่ออีกแห่ง ผมเคยมากินกับพี่เอิร์ธและพี่ฝางสองสามครั้ง แต่กัปตันยังไม่เคยมาที่นี่เลย

เมื่อกลับมาถึงคอนโด ผมก็จัดแจงเอาอาหารใส่จาน นั่งกินกันสองคนจนอิ่มแปล้ มีทั้งของคาวและของหวาน ดูเหมือนกัปตันจะชอบนมเย็นสีชมพูมากเป็นพิเศษ ที่จริงก็ไม่เคยกินหรอก แต่ร้านนี้ทำอร่อย กัปตันก็เลยอยากลอง

"อาบน้ำกันไหม" ผมชวนหลังจากอิ่มแล้ว กัปตันน่าจะรู้ว่าผมชวนเขาทำอะไร

"มึงอาบก่อนเลย" กัปตันปฏิเสธสีหน้าเรียบๆ

"อ้าว ไม่อาบกับกูเหรอ"

"เดี๋ยวอาบทีหลัง ยังอิ่มอยู่เลย มึงอาบเหอะ" กัปตันยืนยันอย่างเดิม

ถึงตอนนี้ก็น่าจะชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมก็เลยไม่เซ้าซี้และขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนกัปตันก็นั่งดูทีวีต่อไป

พอผมอาบเสร็จ กัปตันก็ไปอาบน้ำบ้าง ส่วนผมก็นั่งดูทีวีรอไปพลางๆ กัปตันอาบน้ำเสร็จก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงหรอก เพราะมีเรื่องอยากคุยกับกัปตันเยอะเลย โดยเฉพาะเรื่องท่าทางของกัปตันที่แปลกไป ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเขาเห็นผมกลับมากับติ๊งแน่ๆ เลย

"จะนอนแล้วเหรอวะ" ผมถามเมื่อเห็นกัปตันเข็นรถเข้าไปในห้อง

"อืม" กัปตันตอบสั้นๆ จากนั้นก็เข็นรถหายเข้าไป

ผมมองตามสักพัก จากนั้นก็หันกลับมาดูทีวีตอ แต่ดูไปดูมาก็ชักไม่สนุก ก็เลยปิดและเข้าไปหากัปตันในห้อง เจ้าตัวนอนตะแคงห่มผ้าอยู่บนเตียงแต่ยังไม่หลับ ผมเดินไปยืนข้างๆ เตียง กัปตันแวบหันมามองแป๊บเดียวก็หันกลับไปตามเดิม ผมจึงนั่งลงบนเตียงเบียดพื้นที่นอนของมัน

"เฮ้ย จะนอนแล้วเหรอ"

"อืม ดึกแล้ว" กัปตันตอบโดยไม่หันมามอง

ผมทำหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย สงสัยกัปตันจะงอนผมเข้าให้แล้วแน่ๆ เลย แถมยังเป็นเรื่องอ่อนไหวที่ผมก็ลืมคิดไปซะด้วย

"มึง...เป็นไรหรือเปล่าวะ" ผมกลั้นใจถาม บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกเกร็งไม่น้อย

"เปล่า" เสียงทุ้มตอบมาห้วนๆ

"กูอยากคุยกับมึงน่ะ ไม่ได้เจอตั้งสองวัน คิดถึง"

กัปตันพลิกตัวมามองผม จากนั้นก็ถามเหมือนไม่เต็มใจถาม "จะคุยเรื่องอะไร"

คราวนี้กลับเป็นผมซะเองที่นึกไม่ออกว่าจะคุยอะไร เป็นเพราะผมประหม่าและเกร็งนั่นแหละ จะพูดอะไรก็กลัวกระทบใจกัปตันไปหมด ก็เลยนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร

"ถ้าไม่มีกูจะนอนแล้ว" กัปตันบอกพลางพลิกตัวนอนตะแคงและหันหน้าไปอีกทางตามเดิม

ผมนั่งคิดอยู่พักใหญ่ คราวนี้จึงตัดสินใจพูด "เรื่องกูกับติ๊งน่ะ..."

อยู่ๆ ผมก็ช็อตไปดื้อๆ อีกแล้ว รู้สึกเกร็งและกังวลจนไม่รู้ว่าจะอธิบายให้กัปตันฟังยังไงดี เพราะครั้งที่แล้วผมก็ทำมันเจ็บหนักเลย

กัปตันพลิกตัวนอนหงาย ก่อนสะบัดผ้าห่มออกและลุกขึ้นนั่ง สีหน้าดูเครียดจนผมใจคอไม่ดี

"มึงไปถ่ายแบบกับติ๊ง ทำไมมึงไม่บอกกูสักคำเลยวะ แล้วเนี่ยไปพักโรงแรมเดียวกันหรือเปล่า เรื่องคราวนั้น...กูยังไม่ลืมนะเว้ย ถ้ามึงคิดจะจริงใจกับกูจริงๆ อย่าทำแบบนี้ดิวะ"

เมื่อผมอ้ำๆ อึ้งๆ กัปตันก็เลยพูดซะเอง น่าจะเป็นครั้งแรกที่มันพูดกับผมตรงๆ แบบนี้ ปกติมันมักจะเก็บความรู้สึกและไม่ค่อยพูด ถ้าพูดขึ้นมา แสดงว่ามันคงต้องการสื่อสารให้ผมเข้าใจบางอย่าง

"แต่ว่า...มันไม่มีอะไรเหมือนคราวนั้นนะเว้ย" ผมแย้งด้วยเสียงเหมือนไม่มั่นใจ

กัปตันเอียงคอเล็กน้อย สีหน้ายังคงดูเครียดอยู่ "แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะว่าติ๊งไปด้วย"

"ก็...กูกลัวมึงคิดมากไง"

"คิดมากเรื่องอะไรวะ" กัปตันย้อนถาม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่โอเคกับคำอธิบายของผมเลย

"ก็..." ผมพูดไม่ถูกอีกแล้ว เวลากัปตันหึง มันดูน่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

"ว่าไง" กัปตันถามซ้ำ

เมื่อโดนกดดัน ผมก็จำเป็นต้องพูดอะไรสักอย่าง "กูกลัวมึงระแวงกูไง"

"อ้าว แล้วมารู้ทีหลังแบบนี้ มึงคิดว่ากูจะไม่ระแวงเหรอวะ" กัปตันย้อนมาอีกจนได้

ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่ายอมรับผิดแล้วล่ะ สุดท้ายก็เลยพูดเสียงอ่อยๆ "เออ กูยอมรับผิดเว้ยที่กูไม่ได้บอกมึงแต่แรก แต่ว่า...มันไม่มีอะไรจริงๆ นะเว้ย"

"มึงคิดว่ากูเป็นเด็กเหรอ หรือคิดว่าคนพิการอย่างกูเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องถึงไม่ยอมบอกแต่แรก"

ดูเหมือนกัปตันจะไม่ยอมลงง่ายๆ ซะแล้ว ไม่ว่าผมจะอธิบายอะไรไปก็เป็นปัญหาไปหมด

"ไม่ใช่เว้ย กูก็แค่กลัวมึงคิดมากแค่นั้นเอง กูขอโทษละกัน เอาเป็นว่า...ต่อไป...กูจะบอกมึงทุกอย่างเลย โอเคไหม" ผมพูดเหมือนประชดกลายๆ

กัปตันทำเสียงฮัดฮัดฟึดฟัด ก่อนจะทำท่าเหมือนจะลงจากเตียงไปนั่งบนรถวีลแชร์ ผมรีบกอดมันไว้จากข้างหลังและดึงตัวมันไว้

"จะไปไหนวะ"

"ปล่อยนะเว้ย" กัปตันขู่เสียงเข้ม

"ไม่ปล่อยเว้ย คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิวะ" ผมทำเสียงเข้มบ้าง

กัปตันพยายามดิ้น แต่ผมก็กอดมันแน่น มันจึงหยุดและหมุนตัวกลับมาหาผม จ้องหน้าผมเขม็งเลยคราวนี้ หน้าหวานๆ และสายตาบ้องแบ๊วเปลี่ยนเป็นดุจนดูน่ากลัว

"กูไม่ใช่ผู้หญิง อย่ามากอดกูแบบนี้นะเว้ย" กัปตันไม่พูดเปล่า เขาเงื้อหมัดขึ้นเตรียมจะต่อยผมด้วย

"ต่อยเลย" ผมท้าและยื่นหน้าไปให้

"มึงอย่าท้ากูนะเว้ย" กัปตันขู่และทำท่าจะซัดหมัดเข้าใส่ผม

ผมหลับตาลง เตรียมพร้อมรับความเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่จะว่าไปผมก็ไม่เข้าใจกัปตันเลย ทำไมมันถึงไม่ฟังผม แถมไม่มีทีท่าว่าจะหายโกรธง่ายๆ ด้วย หรือว่าผมไปสะกิดแผลเก่าหรือปมในใจของมันเข้าให้แล้ว แล้วมันคืออะไรล่ะ ผมอยากรู้จริงๆ

"ต่อยดิ" ผมท้าอีก

ผมรู้สึกได้ว่าตัวของกัปตันสั่นๆ มันคงโกรธผมจนเกินระงับอารมณ์เอาไว้ได้แล้ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ปากด้านซ้ายของผมก็โดนกระแทกอย่างแรง

ผั่วะ!!!

น่าจะเป็นหมัดของกัปตันนั่นแหละ ตอนแรกผมก็ไม่รู้สึกเจ็บมากหรอก เพราะความชาเริ่มขึ้นก่อน แต่สักพักความเจ็บแปลบก็มาแทนที่ เมื่อผมลืมตาขึ้น ผมก็เห็นสีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไป

"มึงเจ็บหรือเปล่าวะ" กัปตันถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ดูมันตกใจมากทีเดียวเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

ผมไม่ตอบ แต่พยายามยิ้มให้

"มึงท้ากูทำไมวะ" ถึงจะพูดแบบนั้น แต่กัปตันก็ไม่ได้โทษผมหรอก เพราะความสงสารฉายชัดขึ้นในแววตาคู่นั้นที่เริ่มกลับมาบ้องแบ๊วเหมือนเดิมแล้ว

"รอแป๊บนึง เดี๋ยวกูไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้"

กัปตันบอกเสร็จก็รีบลงจากเตียงไปนั่งบนรถวีลแชร์ ไม่นานก็เข็นออกไป คราวนี้ผมไม่ห้ามแล้ว แค่เห็นมันเป็นห่วงผม ผมก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

ไม่นานกัปตันก็กลับมาพร้อมกับผ้าขาวๆ ซึ่งห่อและมัดน้ำแข็งไว้ข้างใน น่าจะเอามาจากช่องฟรีซนั่นแหละ มันรีบขึ้นมานั่งบนเตียงกับผม ก่อนรีบเอาผ้าห่อน้ำแข็งประคบปากผมตรงที่โดนต่อยเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลเพิ่ม พอผมเริ่มรู้สึกชาๆ มันก็เอาออก ก่อนจะประคบให้ใหม่ ผมอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ถึงเจ็บปากแต่ก็รู้สึกว่าคุ้มไม่น้อย

"มึงรู้ไหมว่าทำไมกูถึงชอบมึง" ผมเกริ่นถาม

แววตาของกัปตันกระตุกเล็กน้อย สีหน้าบ่งบอกว่ามีคำถามแต่ก็ไม่ถามเป็นคำพูด ไม่นานผมก็เฉลยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรอฟังคำตอบอยู่

"กูนะ...รู้สึกเหมือนไม่มีใครรักเลยตั้งแต่แม่ทิ้งกูไป ตอนนั้นพ่อกูก็แย่ กูแทบจะพึ่งอะไรเขาไม่ได้เลย กูถามตัวเองบ่อยๆ ว่าแม่กูเขาไม่รักกูเลยเหรอ ทำไมเขาเลือกทิ้งกูไป" ผมหยุดเว้นจังหวะ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากร้องไห้

"หลังจากนั้น กูยอมรับนะเว้ยว่ากูกลายเป็นคนเจ้าชู้ไปเลย เจอผู้หญิงคนไหน...กูก็อยากมีความสัมพันธ์ด้วย กูอยากให้ใครก็ได้รักกู จนกูมาเจออั้ม ตอนนั้น...กูชอบเขามากเลยนะเว้ย กูอยากได้ความรักจากผู้หญิงคนนี้ อยากได้มากๆ แต่สุดท้าย...มันก็ไม่เป็นอย่างที่กูคิด" ผมหยุดเว้นจังหวะอีก กัปตันหยุดประคบและวางมือลง

"แต่พอกูมาเจอมึงนะเว้ย กูก็รู้สึกว่า...กูน่าจะได้เจอสิ่งที่กูต้องการแล้ว จำวันแรกที่มึงกับกูเจอกันได้ไหม กูช่วยพามึงขึ้นบันได แล้วกูก็ได้เห็นสายตาของมึงที่มองกูมา มันมีแต่ความรู้สึกขอบคุณ ไม่เคยมีใครมองกูแบบนี้เลยนะเว้ย นี่แหละ...ที่กูอยากได้ กูแค่อยากได้ความรักจากใครสักคน"

ผมเล่าเสียยืดยาว แต่กัปตันก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เมื่อผมเล่าจบ เขาก็พูดบ้าง

"มึงจะมาอะไรกับคนพิการอย่างกูขนาดนี้วะ" กัปตันพูดลบกับตัวเองอีกแล้ว แต่น้ำเสียงที่พูดก็ดูอ่อนไปมาก

"อย่ามาพูดเลย พิการอย่างมึงนี่แหละตัวดี ไม่รู้ตัวเหรอว่าเป็นคนน่ารัก ไปไหนใครเขาก็มอง ไม่ได้มองแค่ว่ามึงใช้วีลแชร์นะเว้ย แต่เขามองเพราะมึงโคตรน่ารักเลย แล้วถ้าใครได้คุยกับมึง เขาก็จะชอบมึงมากขึ้นไปอีก กูแอบถามมาหลายคนแล้ว เขาบอกกูมาแบบนี้"

กัปตันอึ้งไปเลย คราวนี้คงไม่รู้จะเถียงอะไรอีก

"ขอบคุณนะเว้ยที่มึงให้ความรู้สึกดีๆ แบบนี้กับกูมา" เมื่อกัปตันเงียบ ผมก็เลยพูดต่อเสียเอง

แน่นอนว่าผมไม่ได้แค่พูดเพื่อเอาใจ เพราะที่ผมมีที่ดีๆ แบบนี้ซุกหัวนอน มีรถดีๆ ไปไหนมาไหน มีคนห่วงใยและคอยเป็นเพื่อน มีความรักให้กอดเคล้าคลอเคลียยามที่โหยหา ผมได้ทั้งหมดนี้มาจากกัปตันนี่แหละ ไม่มีคนที่เพิ่งรู้จักกันที่ไหนให้สิ่งที่ดีกับผมขนาดนี้ได้หรอก ถ้าเขาไม่รู้สึกดีกับผม อาจจะดูเหมือนคิดไปเอง แต่ผมก็รู้ว่าใช่

ถึงแม้ที่ผ่านมากัปตันยังไม่เคยบอกว่ารักผม แต่ผมก็รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยจากผู้ชายคนนี้ที่ส่งมาให้ผมทางสายตา สายตาขอบคุณของเขาติดอยู่ในหัวใจของผมเสมอ เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่ากับใครสักคน ไม่ใช่แค่เกิดมาเพื่อผลาญทรัพยากรโลกนี้ไปวันๆ 

รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของกัปตัน จากบางก็เริ่มชัด ในที่สุดก็เป็นรอยยิ้มสดใส ส่งมาให้ผมพร้อมกับสายตาขอบคุณที่เจ้าตัวแสดงออกบ่อยครั้งเวลาอยู่กับผม

"เมื่อกี้ กูขอโทษนะเว้ย" กัปตันบอกผมเบาๆ

"แค่นี้พอเหรอ" ผมย้อนถามให้กัปตันงงเล่น

"แล้วมึงจะให้กูทำอะไรอีกวะ ให้กูกราบมึงหรือไง" กัปตันแกล้งประชด

ผมเอียงแก้มข้างที่เจ็บให้เล็กน้อย คิดว่ากัปตันคงจะเดาได้ว่าผมต้องการให้เขาทำอะไร แต่เขาก็ลังเลอยู่นาน กว่าจะยอมขอโทษด้วยการหอมลงไปบนแก้มข้างที่เจ็บของผมเบาๆ นี่แหละยาวิเศษที่จะทำให้ผมหายเจ็บได้เร็วกว่าอะไรทั้งหมด

"น่ารักจัง" ผมเอ่ยปากชม กัปตันเขินจนหน้าแดงไปถึงใบหูเลย

"ปากมึงจะบวมหรือเปล่าวะพรุ่งนี้" กัปตันเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้เขิน

"ก็น่าจะบวมนะ"

"แล้วมึงจะบอกเพื่อนๆ ว่าไงวะ" กัปตันทำหน้ากังวล

"ก็...บอกว่าโดนแฟนต่อยไง" ผมตอบหน้าตาเฉย

"ใครแฟนมึง" กัปตันเถียงเป็นพัลวัน

ผมนึกเอ็นดูจนอดยิ้มและขำเบาๆ ไม่ได้

"ก็...คนที่หึงกู...แล้วก็ต่อยกูจนปากเจ่อไง"


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/728756569-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-08-2017 10:58:11
เหอๆ  กัปตันหึงแรงมากกกก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-08-2017 11:01:09
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-08-2017 11:36:57
คิดมากไป คิดแทนกัน
บางทีแย่กว่าบอกความจริงไปเลย
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
อย่างน้อยก็พูดความจริงไม่ปิดบังกัน ไม่ต้องระแวง
ปิดบังกันก็เป็นการโกหก ยิ่งเคยเกิดอะไรๆไม่ดีกับติ๊งมาแล้ว
อะตอมพูดทุกอย่างไปเลย  ก็เป็นการไว้วางใจ ปรึกษากันนั่นเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
   

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 20-08-2017 12:42:36
ขัดใจอะตอมตรงที่อธิบายด้วยน้ำเสียงไม่ชัดเจน ประชดกัปตันด้วยนี่ละ ไปคิดแทนเค้าทำไมว้าา ทีหลังก็บอกสิถ้าอยากจริงใจงะ ก็รู้อยู่เค้าโดนไรมาบ้าง โดนต่อยอะสมน้ำหน้าละอะตอม

ปล. คอปนี่แปลกๆนางชอบอะตอมปะนิ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 20-08-2017 15:44:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP19 เมื่อผมหึงเขา - 20.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-08-2017 20:50:22
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 29-08-2017 15:03:26
EP20
คิวท์บอยผู้น่าสงสาร

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าหอประชุมซึ่งเป็นที่จัดงานประกวดคิวท์บอย ที่จริงก็คงไม่น่ามีอะไรน่าสนใจหรอก แต่พอเห็นหญิงสาวหน้าคุ้นๆ ลงจากรถ ผมก็หยุดยืนมอง หญิงสาวโบกมือบ๊ายบายชายหนุ่มซึ่งอยู่ในรถตรงที่นั่งคนขับ ดูจากรถที่ขับแล้วก็น่าจะบ่งบอกฐานะได้ว่าไม่ใช่ลูกคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างผมแน่นอน

รถคันงามแล่นออกไปแล้ว หญิงสาวจึงเดินขึ้นบันไดมา เมื่อเธอเจอผมก็หยุดชะงัก ก่อนเดินขึ้นหาผมและส่งยิ้มหวานมาให้

"เพิ่งมาเหรอ" ผมถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ

"ใช่ พอดีอั้มติดธุระที่บ้าน น้าเขาแวะมาเยี่ยมตอนเช้า เขาอยากเจออั้ม ไม่ได้เจอกันนานแล้ว อั้มก็เลยอยู่รอ" เสียงหวานใสตอบมา ก่อนขมวดคิ้วสงสัย "ปากอะตอมไปโดนอะไรมาน่ะ"

นั่นไง! แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะว่าวันนี้ผมโดนถามเรื่องปากเจ่อทั้งวันเลย ผมเอามือลูบปากข้างที่โดนกัปตันต่อยแล้วจึงตอบคำถาม

"มีอุบัติเหตในฟิตเนสนิดหน่อยเมื่อเช้า แต่ไม่เป็นไรมากหรอก" ผมบอกอั้มเหมือนกับที่บอกเพื่อนๆ และรุ่นพี่ที่เข้ามาถาม จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง "เมื่อกี้ใครมาส่งเหรอ"

คราวนี้คนถูกถามยิ้มเขินๆ แก้มใสแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เท่านี้ผมก็พอจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก

"คนใหม่เหรอ" ผมยิ้มเหมือนรู้ทัน

อั้มพยักหน้าแทนคำตอบ

"คบกันนานยัง"

"ก็...เกือบอาทิตย์แล้ว"

"ยินดีด้วยนะ เขาดูเหมาะกับอั้มดีนะ ไม่เหมือนอะตอมเลย"

สีหน้าของอั้มเจื่อนลงเล็กน้อย คงสะดุดใจคำพูดเมื่อกี้ของผมนั่นแหละ

"ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ น้อยใจเหรอ"

"เปล่า ไม่ได้น้อยใจ จะน้อยใจทำไม เรื่องมันผ่านมาแล้ว" ผมรีบปฏิเสธ จะว่าไปก็แปลกดี เมื่อเดือนที่แล้ว ผมกับผู้หญิงคนนี้ยังเป็นแฟนกันอยู่เลย แต่วันนี้เรากลับมายืนคุยกันตรงนี้ในฐานะเพื่อน

"แล้วอะตอมล่ะ มีใครหรือยัง" อั้มถามกลับ

ผมย่นคิ้วและเม้มปาก ก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มและขำเบาๆ "แล้วอั้มเห็นอะตอมอยู่กับใครเป็นพิเศษไหมล่ะ ที่มหาลัย ในเฟส หรือว่า...ในไอจี"

อั้มทำท่าครุ่นคิด "อืม...ก็ไม่เห็นนะ แต่เท่าที่เห็น...รู้สึกจะเห็นลงรูปกับกัปตันบ่อยๆ สรุปว่า...ยังไม่มีเหรอ หรือว่ายังไม่เจอคนถูกใจ"

"เจอแล้ว" ผมบอกยิ้มๆ

คิ้วโก่งยกสูงขึ้นพร้อมกับแววตาประหลาดใจ ก่อนรีบถามด้วยความอยากรู้และตื่นเต้น "ใครเหรอ บอกอั้มได้เปล่า"

"แล้วอั้มเห็นอะตอมอยู่กับใครบ่อยที่สุดล่ะ" ผมยังไม่เฉลยทันที

"อืม...ก็เห็นมีแต่เพื่อนๆ น่ะ ไม่เห็นสาวๆ เท่าไหร่เลย"

"กัปตันไง" ผมบอกโดยไม่รีรอ

"อะไรนะ กัปตันเหรอ!" อั้มเผลอร้องถามผมซะเสียงดัง จนผมต้องรีบเอามือจุ๊ปาก

"เบาๆ ดิ"

"ขอโทษๆ" อั้มหันไปมองรอบๆ อย่างเขินๆ ก่อนหันมากระซิบกระซาบ "อะตอมพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย"

"พูดจริงดิ เรื่องนี้...พูดเล่นๆ ได้ที่ไหน" ผมยืนยัน

"แต่ว่า...กัปตันเป็นผู้ชายนะ แล้วก็..." อั้มเหมือนไม่อยากพูดคำๆ นั้นออกมา

"ใช่ กัปตันเป็นผู้ชาย...แล้วก็พิการด้วย แต่อะตอมก็ชอบเขา ชอบมากๆ ด้วย กัปตันเขาเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ที่สำคัญ...เขาเข้าใจอะไรง่าย"

สีหน้าของอั้มดูอิหลักอิเหลื่อจนผมรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนใจของอีกฝ่าย ไม่นานจึงนึกได้ว่าที่พูดไปเมื่อกี้คงกระทบคนตรงหน้าเข้าให้แล้ว เพราะที่ผมกับอั้มเลิกกันไปก็เกิดจากความไม่เข้าใจกันในหลายๆ เรื่องนี่แหละ

"อ๋อ...แล้ว...เป็นแฟนกันแล้วเหรอ" อั้มทำสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ

แน่นอนว่าใครหลายคนคงไม่เชื่อ ในสายตาคนทั่วไป มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผมกับกัปตันจะคบกัน หนึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ สองกัปตันเป็นคนพิการ แม้สังคมปัจจุบันจะเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเปิดกว้างรวมถึงคนพิการกับไม่พิการด้วยหรือเปล่า แถมยังมีเรื่องเพศวิถีเข้ามาเกี่ยวข้องอีก แต่ช่างเถอะ ความรักไม่เลือกหรอกว่าจะเกิดกับใคร ผมเชื่อว่าฟ้าดินคงมีเหตุผลที่พาผมมาเจอกัปตันในวันนี้

"ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ที่จริงก็...ยังไม่ได้บอกใครเลยนะเนี่ย มีอั้มนี่แหละที่รู้เป็นคนแรก"

"แต่ถ้าบอกอั้มแล้ว แสดงว่าก็ต้องมีแผนจะบอกคนอื่นด้วย...จริงไหม"

ผมพยักหน้ายอมรับ "ใช่"

"กังวลเหรอ" อั้มถามเหมือนรู้ทัน ก็คงใช่ เธอเป็นแฟนกับผมมาหลายปี มีหรือจะดูสีหน้าท่าทางคนรักเก่าไม่ออก

"ก็นิดหน่อย" ผมยอมรับ

"มีอะไรให้อั้มช่วยไหมล่ะ"

ผมทำท่าครุ่นคิด "ตอนนี้ยัง ถ้ามีแล้วจะบอกนะ"

"ได้เลย อั้มยินดีช่วยนะ"

ผมยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ "แล้ว...อั้มไม่แปลกใจเหรอ"

ริมฝีปากสวยเม้มเข้าหากันเหมือนกำลังครุ่นคิด ไม่นานก็ยิ้ม "ก็แปลกใจอยู่ แต่...สมัยนี้มันก็น่าจะโอเคแล้วมั้ง"

"ก็หวังว่าอย่างนั้น" ผมยิ้มแปร่งๆ จะว่าไปผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าผมเปิดตัวว่าเป็นแฟนกัปตัน เพื่อนๆ และสังคมจะรับได้มากน้อยแค่ไหน เผลอๆ คนจะหาว่าผมมาหลอกกัปตันก็ได้ เพราะแม้กระทั่งเรื่องที่ผมพักอยู่กับกัปตัน เพื่อนๆ บางคนก็เอาไปพูดในทำนองว่าผมเอาเปรียบและหลอกใช้คนพิการไปแล้ว

"เข้าไปข้างในกันดีกว่า" ผมเปลี่ยนเรื่อง ก่อนสาวเท้าเดินนำไปช้าๆ

"มาช่วยกัปตันเตรียมตัวเหรอ" อั้มถามพลางก้าวขาออกเดินคู่ไปกับผม

"ใช่ วันนี้นัดพี่สไตลิสต์ที่รู้จักกันมาด้วย ว่าจะให้เขามาช่วยดูเรื่องการแต่งตัวกับทรงผมให้กัปตันหน่อย"

"อ๋อ...ดีเลย จริงๆ กัปตันเขาก็หล่อนะ น่ารักด้วย เพื่อนอั้มยังชอบเลย ไปกดไลค์รูปในเพจคิวท์บอยให้ด้วย เขาเก่งนะ เป็นอย่างนี้แล้วยังไม่ยอมแพ้อีก"

ผมก็เกือบจะปลื้มใจแล้วที่อั้มชมว่าที่แฟนผม แต่ก็แอบสะดุ้งกับคำว่า "เป็นอย่างนี้แล้วยัง..." เล็กน้อย

"ใช่ กัปตันเขาเก่งมาก ขับรถก็ได้ เรียนก็เก่ง อัธยาศัยก็ดี เพื่อนๆ ในคณะชอบเขาเยอะนะ รุ่นพี่ก็เอ็นดูเขา อาจารย์ที่สอนก็ชอบเขา" ผมยิ้มด้วยแววตาชื่นชมและภูมิใจ พอได้บอกใครสักคนว่ากัปตันเป็นแฟนผม ผมก็อยากอวดและอยากชมแฟนตัวเองให้คนอื่นฟังบ้าง

"แหม...อะไรเนี่ย ชมแฟนใหม่ให้แฟนเก่าฟังซะงั้น" อั้มแซวทีเล่นทีจริง ผมจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ

ไม่นานเราก็เข้ามาอยู่ในหอประชุมใหญ่ของคณะนิเทศศาสตร์ ตอนนี้ดูค่อนข้างวุ่นวายสับสนพอสมควร เพราะกำลังมีการจัดเวทีประกวด นักศึกษาเดินว่อนกันไปมา ต่างก็ขะมักเขม้นช่วยกันจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการจัดงานคืนนี้ ส่วนเหล่าบรรดาคิวท์บอยอยู่ด้านหลังเวที ตอนนี้กำลังซ้อมคิว อีกสักพักก็จะเริ่มแต่งหน้าและแต่งตัวกันแล้ว

ผมแยกกับอั้มและปล่อยให้เธอไปทำงานของเธอ ส่วนผมก็ขอตัวมาหากัปตันที่ห้องแต่งตัวหลังเวที ทันทีที่กัปตันเจอผม เขาก็ยิ้มดีใจและร้องเรียก

"อะตอม กูกำลังรอมึงพอดีเลย"

"มีอะไร" ผมถามพลางเดินเข้าไปหา ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้แล้ว สีหน้าผมก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ มีแต่คนที่กำลังมีความรักเท่านั้นถึงจะดูออก

"กูปวดฉี่ พากูไปหน่อย" กัปตันบอกพลางนิ่วหน้า

"โอเคๆ" ผมรีบบอก มองอีกคนด้วยความรู้สึกเห็นใจ

เช้านี้กัปตันไม่ได้เข้าเรียนเพราะต้องมาเตรียมตัวที่นี่ ผมจึงขอสลับมาเรียนแทน จะได้เก็บชีทไว้ให้กัปตันด้วย เรียนเสร็จก็รีบกินข้าวแล้วมาที่นี่เลย นอกจากเรื่องที่จะพาพี่สไตลิสต์มาหากัปตันแล้ว ส่วนหนึ่งผมก็จะมาดูแลเรื่องการเข้าห้องน้ำห้องท่านี่แหละ เพราะห้องน้ำด้านหลังเวทีค่อนข้างแคบ รถเข็นเข้าไม่ได้ แถมยังมีบันไดก่อนลงไปห้องน้ำอีกด้วย

"เดี๋ยวเราไปด้วย" คอปเตอร์ซึ่งนั่งอยู่กับอะตอมวิ่งตามผมมา

เมื่อมาถึงทางลงห้องน้ำ ผมก็ให้กัปตันขี่หลังและพาเดินลงไปเข้าห้องน้ำซึ่งมีบันไดสามขั้น ส่วนคอปเตอร์ยืนเฝ้ารถเข็นไว้ให้

"มึงอั้นฉี่เหรอ" ผมถามขณะพากัปตันเดินลงไป

"เออดิ" กัปตันยอมรับตามตรง

"ไม่ดีนะเว้ย เดี๋ยวกระเพาะปัสสาวะอักเสบนะมึง" ผมเตือนด้วยความเป็นห่วง

"กูไม่อยากรบกวนคนอื่นเว้ย รบกวนบ่อยๆ เดี๋ยวเขาจะบ่น"

"เออๆ กูเข้าใจ" ผมพูดเหมือนปลง แต่ในใจไพล่คิดไปถึงเรื่องชมรมที่ผมกับอาจารย์วิวกำลังจะก่อตั้งขึ้นมา ผมควรจะเริ่มให้เร็วที่สุด มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำและทางลาดที่จะให้คนใช้รถวีลแชร์เข้าได้ ไม่งั้นชีวิตนักศึกษาของกัปตันจะลำบากกว่าที่ควรจะเป็น

ผมพากัปตันมายืนข้างโถฉี่ จากนั้นก็ย่อตัวลงให้กัปตันลงไปยืนบนพื้น เขาพอยืนได้บ้าง แต่ต้องมีคนช่วยจับหรือมีที่ให้จับ ถ้าโถฉี่ที่นี่มีราวจับเหมือนกับในห้างบางห้าง ก็น่าจะช่วยได้เยอะเลย แต่ที่นี่ก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแม้แต่อย่างเดียวให้ ผมจึงต้องทำหน้าที่แทนราวจับด้วยการยืนข้างหลังและสอดมือจับใต้รักแร้ของกัปตันไว้

"ยังเจ็บปากอยู่หรือเปล่า" กัปตันถามขณะรูดซิป ไม่นานก็มีเสียงฉี่กระทบผนังเซรามิค แสดงว่าเจ้าตัวได้ปลดปล่อยความอัดอั้นจากท้องน้อยบ้างแล้ว

"ไม่เจ็บมากหรอก แค่นี้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก"

"มีคนถามมึงเปล่าว่าเป็นไร"

"โห...ถามทั้งวันเลย กูขี้เกียจจะตอบแล้ว"

"แล้วมึงตอบว่าไง" กัปตันอยากรู้

"ก็ตอบว่า...โดนแฟนต่อยไง" ผมแกล้งแหย่

"เฮ้ย จริงเหรอ มึงบอกเพื่อนๆ อย่างงั้นจริงเหรอวะ" น้ำเสียงของกัปตันฟังดูเหมือนตกใจ

"เปล่าๆๆ พูดเล่นๆๆ"

"อ้าว แล้วมึงตอบว่าไง"

"ไม่มีอะไร ก็แค่ตอบว่ามีอุบัตเหตุในฟิตเนสนิดหน่อย"

"อ้อ"

"แต่ถ้าเมื่อไหร่มึงอยากให้กูตอบว่าโดนแฟนต่อย มึงบอกกูนะ กูพร้อมจะบอกทุกเวลาเลย" ผมพูดทีเล่นทีจริง

"เชี่ย" กัปตันสบถ ถ้าไม่พูดต่อความ ก็แสดงว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้แน่ๆ เลย

"ฉี่นานนะมึง" ผมแซว

"ก็กูอั้นนานนี่หว่า"

"เออๆ ฉี่ไปเหอะ อย่าลืมสะบัดด้วยล่ะ" ผมแหย่

"เออ รู้แล้วเว้ย เรื่องนั้นไม่ต้องบอกกูหรอก" กัปตันหัวเราะเบาๆ

เมื่อกัปตันฉี่เสร็จ ผมก็พยุงเขาไปที่อ่างล้างมือ ขณะที่กัปตันล้างมือผมก็หากระดาษทิชชู่มาเตรียมไว้ให้ พอกัปตันล้างมือเสร็จผมก็ส่งให้เขาเช็ดมือให้แห้ง

กัปตันพ่นลมหายใจ ก่อนยิ้มมีความสุข "ค่อยยังชั่วหน่อย"

"เห็นยังว่าถ้ามึงมีกูอยู่ด้วยมันดีแค่ไหน"

"เออ" กัปตันตอบสั้นๆ

ผมรับเอากระดาษทิชชู่จากมือกัปตันไปทิ้งถังขยะให้ ก่อนกลับมายืนข้างๆ ให้กัปตันขี่หลัง จากนั้นก็พาเดินขึ้นบันไดหน้าห้องน้ำ คอปเตอร์ยังคงยืนรออยู่และเฝ้ารถวีลแชร์ให้อยู่โดยไม่ไปไหน เขามองดูผมกับกัปตันด้วยสีหน้าแปลกๆ พอกัปตันนั่งลงบนรถวีลแชร์ได้ คอปเตอร์ก็พูด

"คุยกันเหมือนเป็นแฟนกันเลย"

ผมกับกัปตันมองหน้ากันแทบจะทันที สีหน้ายากจะบอกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ส่วนตัวผมโอเคอยู่แล้วถ้าใครจะเข้าใจไปในทางนี้ แต่กัปตันนี่สิ ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาจะโอเคหรือเปล่า

"เออๆ รีบไปเหอะ" ผมตัดบท ก่อนพากัปตันเข็นออกไป หลบหนีออกจากบรรยากาศคลุมเครือที่ไม่เป็นผลดีกับเราสองคนเท่าไรนัก

เมื่อกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาหาเราสามคน หน้าตาท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่าง มาถึงเขาก็ยื่นมือถือให้ดู

"เฮ้ยกัปตัน มึงดูเฟสหรือยัง รูปมึงหายเว้ย เนี่ย ดูดิ"

กัปตันรับมาดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว "เฮ้ย จริงเหรอปาร์ตี้"

"กูไม่รู้เว้ย แต่ตอนนี้มันไม่มี กูเช็คหลายรอบแล้ว" ผู้ชายที่ชื่อปาร์ตี้พูด ไม่รู้ว่าสนิทหรือรู้จักกัปตันตั้งแต่ตอนไหน

"รูปอะไรหายวะ" ผมสงสัย

"ก็รูปที่ถ่ายวันที่ไปสมัครคิวท์บอยไง เขาเอาขึ้นในแฟนเพจให้คนมากดไลค์ แล้วก็จะเอาคะแนนไลค์มาใช้ในการตัดสินคืนนี้ด้วย" กัปตันหันมาบอก

"มึงได้ไลค์เยอะเปล่า" ผมสงสัย

"ก็หลายพันน่ะ ได้อันดับห้าด้วย ถ้าหายไป...มันจะมีผลต่อคะแนนเยอะเลยนะเว้ย" ปาร์ตี้บอก

เมื่อเข้าใจเรื่องราวดีแล้ว ผมก็เริ่มสงสัย "แล้วใครดูแลเพจ ไปถามเขาก่อนดีไหมว่ารูปหายไปไหน"

"พี่ปริมกับพี่สาไง" กัปตันบอกมา

"อ๋อ พี่สองคนนั้นที่เขาไม่อยากให้มึงสมัครคิวท์บอยใช่ไหม" ผมหันมาถามกัปตัน ขมวดคิ้วคล้ายกับสงสัยบางอย่าง ผมมีความรู้สึกว่าพี่สองคนนี้ดูไม่ค่อยชอบกัปตันเลย

"ใช่"

"โอเค เดี๋ยวกูจะไปถามพี่เขาให้ มึงรออยู่นี่แหละ"

<<<ATOM>>>

ผมไม่เคยรู้สึกโกรธใครหรืออะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย แต่ก็พยายามระงับอารมณ์ไว้ แม้จะยังไม่รู้ความจริง แต่ผมก็ปักใจเชื่อไปมากกว่าครึ่งแล้วว่าเรื่องนี้เกิดจากความจงใจ ไม่ใช่เพราะความบังเอิญแน่นอน ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่มีการศึกษาดีๆ จะมีความคิดที่คับแคบอย่างนี้ไปได้

"อั้ม เห็นพี่ปริมกับพี่สาไหม"

คนแรกที่ผมเข้าไปถามก็คือคนรักเก่าของผม เธอกำลังช่วยเพื่อนๆ ดูความเรียบร้อยของเวทีอยู่พอดี อั้มหยุดสิ่งที่ทำอยู่ พอเห็นสีหน้าท่าทางของผมแล้วเธอก็คงจะรู้สึกได้ว่าน่าจะมีเรื่องบางอย่าง

"ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาน่ะ แต่เดี๋ยวก็มาแล้วมั้ง"

"อั้มพอมีเวลาหน่อยไหม ขอคุยด้วยหน่อย" ผมเอ่ยปากร้องขอ เพราะรู้ว่าเธอก็คงยุ่งๆ

อั้มหันไปมองเพื่อนๆ คล้ายกับจะขออนุญาต พอเห็นเพื่อนพยักพเพยิดเป็นเชิงตกลง เธอก็เดินตามผมมา เรานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งในหอประชุม ผมรีบหยิบมือถือออกมา เข้าไปที่เพจตุลาคิวท์บอย ก่อนไปที่อัลบั้มรูปสำหรับผู้ประกวดปีนี้ จากนั้นจึงส่งให้อั้มดู

"รูปของกัปตันหายไปน่ะ"

เมื่อรู้เรื่อง อั้มก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ "เฮ้ย จริงเหรอ เมื่อวานอั้มเช็คยอดไลค์ของคนเข้าประกวดทั้งหมด ก็ยังเห็นรูปกัปตันอยู่เลยนะ ไม่น่าหายหรอก"

พูดจบอั้มก็หยิบมือถือผมไป ก่อนเลื่อนดูรูปในอัลบั้มนั้นสองสามรอบ แต่ก็ไม่มีรูปของกัปตันแม้แต่รูปเดียว

"ไม่มีจริงๆ ด้วย ทำไงดี" อั้มทำหน้ากังวลขณะส่งมือถือคืนให้ผม

"พี่สองคนนั้น...เขาไม่ชอบกัปตันใช่ไหม" ผมถามเสียงเข้ม

สีหน้าของอั้มเจื่อนลง ผมเดาว่าเธอน่าจะพอดูรุ่นพี่สองคนของเธอออกอยู่บ้าง "ก็...น่าจะอย่างนั้น พี่ปริมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เขาก็ดูโอเคกับกัปตันอยู่นะ แต่รู้สึกว่าพี่สาเขามีอะไรกังวลกับกัปตันหลายอย่างน่ะ อย่าบอกนะว่าอะตอมสงสัย..." อั้มกลืนเสียงลงคอ

ผมย่นคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด "ก็เขาเป็นแอดมินเพจไม่ใช่เหรอ"

"ก็ใช่ แต่ว่า...รอพี่เขากลับมาก่อนแล้วค่อยถามดีกว่านะ ตอนนี้...อะตอมอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลย บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ นั่นไง พี่เขามาพอดีเลย"

ผมหันไปตามที่อั้มมอง พี่ปริมกับพี่สาเดินเข้ามากับเพื่อนๆ ชายหญิงหลายคน แต่ละคนถือของพะรุงพะรังกันมาด้วย ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากรู้หรอก

เมื่อเห็นคนที่หมายแล้ว ผมก็ไม่รอช้า รีบลุกเดินตรงไปหาทันที อั้มเดินแกมวิ่งตามผมมาด้วยเพราะผมเดินเร็วจี๋ แค่ผมปรากฎกายขึ้นตรงหน้า พี่สองคนนั้นก็ดูตกใจไม่น้อย

"ผมขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหมครับ"

"พี่สองคนเหรอ" พี่ปริมทำหน้างงๆ

"ใช่ครับ"

"ตอนนี้พี่ไม่สะดวกน่ะ ต้องเตรียมอะไรอีกหลายอย่างเลย เอาไว้คุยวันหลังได้ไหม" พี่ปริมต่อรอง

"ไม่ได้ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องคุยเดี๋ยวนี้ครับ" ผมบอกเสียงเข้ม มีคนบอกว่าเวลาผมโกรธ สายตาผมจะดูดุมาก ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพี่สองคนทำท่ากลัวๆ ผม

"เรื่องอะไรเหรอ" พี่ปริมขมวดคิ้วเข้าหากัน น่าแปลกที่พี่สาไม่ยอมพูดอะไรเลย

"ก็เรื่องรูปหายไงครับ พี่เป็นแอดมินเพจ ไม่รู้เรื่องเลยเหรอครับว่ารูปคิวท์บอยคนหนึ่งหายไป ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่ไลค์เดียว" ผมบอกโดยไม่อ้อมค้อม

รุ่นพี่สองสาวทำตาโตตกใจ ไม่รู้ว่าตกใจจริงๆ หรือแกล้งตกใจกันแน่

"คนไหน" พี่สาถามบ้าง ผมนึกว่าเธอจะไม่พูดอะไรเลยซะอีก

"ก็คนที่ได้ยอดไลค์สูงสุดเป็นอันดับห้าไงครับ" ผมบอก

"ก็ใครล่ะ พี่จำไม่ได้ขนาดนั้นหรอกว่ายอดไลค์ของใครมีเท่าไหร่" พี่สาขึ้นเสียง หน้าแดงคล้ายกับไม่พอใจ เธอคงจะอายด้วยที่ใครๆ ต่างก็ทยอยเข้ามามุงดู

"กัปตัน ผู้สมัครหมายเลขยี่สิบสอง คนที่ใช้วีลแชร์ไงครับ" ผมบอกข้อมูลอย่างละเอียด

"แน่ใจเหรอ เช็คดูดีหรือยัง อย่ามากล่าวหาง่ายๆ แบบนี้นะ" พี่ปริมหน้าเครียด ในขณะที่เพื่อนอีกคนมีสีหน้าต่างไป

"งั้นก็ดูสิครับ" ผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้

พี่ปริมวางของลงกับพื้น ก่อนรีบหยิบโทรศัพท์ผมไปดู ไม่นานก็ทำหน้าตกใจ แต่ก่อนจะพูดเธอก็เช็คดูอีกรอบ "เฮ้ย รูปน้องเขาหายไปว่ะสา ทำไงดี น้องเขาได้คะแนนเยอะเหมือนกันนะ"

"จริงเหรอ ทำไงดีล่ะ" พี่สาทำหน้ากังวลไปด้วย

"พี่สองคนเป็นแอดมินเพจ ไม่รู้เลยเหรอครับว่ารูปเพื่อนผมหายไปได้ยังไง มีใครไปลบรูปเพื่อนผมออกหรือเปล่า" ผมเริ่มโวยวาย

พี่ปริมไม่ตอบคำถามผม แต่หันไปพูดกับพี่สา "ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ฉันยังไม่ได้เข้าไปในเพจเลยนะ สา...เธอเข้าไปแก้ไขอะไรหรือเปล่า"

"ฉัน..." สีหน้าของพี่สาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอดูอึกอักจนดูเหมือนมีพิรุธ

จังหวะนั้นกัปตันและเพื่อนๆ คิวท์บอยตามมาพอดี พี่ซินดี้ก็มาด้วย ผมเข้าใจว่าทุกคนน่าจะรู้เรื่องหมดแล้ว

"สา อย่าบอกนะว่าเธอ..." พี่ปริมไม่กล้าพูดต่อ แต่สายตาของเธอก็บ่งบอกความสงสัยในตัวเพื่อนไม่น้อย เมื่อเห็นเพื่อนเงียบและไม่ยอมพูด พี่ปริมก็ยิ่งมั่นใจว่าเพื่อนน่าจะเป็นคนทำ เธอจึงต่อว่าเพื่อน

"เธอทำเหรอสา! เธอ...เธอลบรูปของน้องเขาออกไปเหรอ! เธอทำอย่างนั้นทำไม!"

"ฉัน..." พี่สาพูดไม่ออก ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้

"พูดอะไรบ้างสิสา รู้ไหมว่าตอนที่พี่มาช่วยซ้อมเต้มให้น้องๆ น่ะ พี่ยังดีใจเลยที่เธอให้กัปตันสมัครเข้ามาด้วย เพราะเราไม่เคยเปิดกว้างขนาดนี้มาก่อน และพี่เชื่อว่าไม่มีที่ไหนทำแบบนี้ด้วย พี่ชื่นชมพวกเธอมากเลยนะ พี่...แล้วก็คิวท์บอยทุกคนดีใจมากที่เรามีกัปตันมาร่วมประกวดด้วย พวกเขาตั้งใจซ้อมกันมาก ทุกคนอยากให้งานออกมาดี ที่สำคัญ...พอมีกัปตันมา พวกเราก็ได้ทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง พี่เชื่อว่าคนที่มาดูคืนนี้ต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ แต่ถ้าเธอทำแบบนั้นจริงๆ มันโคตรจะน่าอายเลยนะสา เธอไม่ได้ทำใช่ไหม" พี่ซินดี้เป็นฝ่ายพูดบ้าง

เมื่อถูกรุ่นพี่ต่อว่า พี่สาก็ถึงจุดทนไม่ไหว ไม่ช้าก็ระเบิดอารมณ์ออกมา "ค่ะ สาเป็นคนลบรูปเขาออกเองแหละ!"

สิ้นเสียงของพี่สา ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างและตกใจไปตามๆ กัน

"เธอทำอย่างนั้นทำไมสา!" พี่ซินดี้ถามเสียงดัง ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความโกรธ

เสียงฮือฮาของผู้คนค่อยๆ เงียบลง ทุกคนต่างรอฟังคำตอบจากพี่สา เมื่อสายตาทุกคู่จ้องมาที่เธอ ความกดดันก็เพิ่มทวีคูณ

"ก็หนูเกลียดคนพิการ!" พี่สาร้องไห้ ชี้มือมาที่กัปตัน ริมฝีปากสั่นระริก

ใครๆ ที่ได้ยินต่างก็ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง กัปตันถึงกับหน้าเสียเมื่อตัวเองกลายเป็นเป้าโจมตีของรุ่นพี่ต่างคณะ

"เธอเกลียดเขาทำไม เขาไปทำอะไรให้เธอ" พี่ซินดี้ทำหน้าไม่เข้าใจ

อย่าว่าแต่พี่ซินดี้เลยที่ไม่เข้าใจ ทุกคนที่ยืนมุงอยู่ไม่มีใครเข้าใจสักคน

"ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ ลองคิดดูสิคะ คิวท์บอยที่ผ่านการคัดเลือกทุกคนต้องทำงานให้มหาลัย มีกิจกรรมให้ทำทุกเดือน ต้องเดินทางบ่อยๆ ต้องไปออกสื่อ บางทีต้องไปต่างจังหวัดด้วย แล้วคนพิการจะไปได้ยังไง เป็นภาระคนอื่นเปล่าๆ แค่มาซ้อมเต้นก็เป็นภาระแล้ว เข้าห้องน้ำเองก็ไม่ได้ ขึ้นเวทีเองก็ไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอดเลย เราต้องการคนที่ดูแลตัวเองได้นะคะ ไม่ใช่เป็นภาระคนอื่นไปแทบทุกเรื่องแบบนี้ แล้วไอ้ท่าเต้นบนเวทีก็เหมือนกัน ถ้าไม่หลอกตัวเองกันน่ะ ไม่เห็นเหรอว่ามันง่อยมาก หนูบอกแล้วว่าไม่ต้องให้เขาแสดงก็ได้ ก็ไม่เห็นมีใครฟังกันเลย หนูบอกตรงๆ ว่าหนูเครียดมาก สิ่งที่เราทำกันมา จะพังกันหมดก็เพราะคนพิการนี่แหละ!"

พี่สาพูดเป็นชุดๆ ราวกับอัดอั้นตันใจมานาน ช่างน่าสงสัยว่าเธอไปเจ็บแค้นเคืองโกรธคนพิการมาจากไหน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะมีความคิดรุนแรงต่อคนพิการขนาดนี้

ใบหน้าขาวใสของกัปตันแดงซ่าน แววตาของเขาช่างดูขมขื่นเหลือเกิน ภายนอกยังดูเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วหัวใจที่อยู่ข้างในล่ะ ผมหน้าชาไปหมด รู้สึกเหมือนโดนพี่สาด่าต่อหน้าคนอื่นซะเอง ขนาดผมไม่ได้พิการยังรู้สึกเจ็บขนาดนี้เลย

แล้วกัปตันล่ะ!?

"ทำไมใจแคบแบบนี้วะ!" ผมกระแทกเสียงออกไปอย่างเหลืออด ริมฝีปากสั่นพอกัน โกรธจนต้องกำหมัดแน่น ไม่งั้นผมได้ชกผู้หญิงคนนี้เป็นแน่

ทุกคนต่างหันมามองผม คอยฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าผมจะพูดอะไรต่อ

"กว่าคนๆ หนึ่งเขาจะต่อสู้มาได้ขนาดนี้ กว่าเขาจะมาอยู่ตรงนี้ได้ ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะลำบากขนาดไหน ไม่คิดจะให้โอกาสกันเลยเหรอ ไม่คิดจะให้กำลังใจกันเลยเหรอ ถ้าไม่คิดจะช่วย ก็ไม่ควรจะมาทำลายกำลังใจเขาแบบนี้นะเว้ย"

พูดไปแล้วผมก็น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ความสงสารคนรักแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนพิการจะมีชีวิตยากลำบากขนาดนี้ ไม่ใช่ยากเพราะตัวเขา ไม่ใช่ลำบากที่ตัวเขา แต่สังคมต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างยากจนเกินที่จะอยู่ เอาง่ายๆ แค่เรื่องสถานที่ ไปตรงไหนก็มีแต่บันได ไปตรงไหนห้องน้ำก็แคบ แทบไม่มีที่ไหนที่ใช้ได้ แถมยังมาเจอทัศนคติแย่ๆ ของคนแบบนี้อีก

ไม่รู้สิ แม้ผมจะอยู่กับกัปตันได้เพียงเดือนเศษๆ แต่ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าความพิการของกัปตันไม่ใช่ปัญหา คิดง่ายๆ ว่าระหว่างทำให้กัปตันหายพิการกับทำทางลาดเพิ่ม ผมว่าทำทางลาดง่ายกว่าเป็นไหนๆ แต่ปัญหาอยู่ที่มุมมองของคน เพราะใครๆ ก็มองว่าคนอย่างกัปตันเป็นคนส่วนน้อย สังคมจึงเลือกที่จะโทษคนอย่างกัปตันว่าเป็นปัญหา แทนที่จะมองว่าสังคมมีอุปสรรคที่ต้องแก้ไข หรือทำอะไรเพิ่มได้บ้าง

อย่างน้อยเมื่อทุกคนอยู่ได้อย่างเท่าเทียมกัน สังคมก็น่าจะดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?

"แต่คนเราจะทำอะไรก็ต้องรู้จักสภาพตัวเองด้วย ต้องคิดสิว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ถ้ารู้ตัวว่าเป็นภาระของคนอื่นขนาดนี้ ก็ไม่ควรจะมาสมัครตั้งแต่แรกหรือเปล่า!" พี่สาเถียงกลับด้วยท่าทางไม่ยอมลดละ คำพูดของเธอทำเอาทุกคนอึ้งกันไปหมด

"สา นี่เธอพูดอะไรของเธอ เธอเป็นบ้าหรือเปล่า พี่ไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้เลยนะ พี่ทุ่มเทให้กับงานนี้มากแค่ไหนเธอก็เห็น วันนี้พี่ก็ลางานมาให้ทั้งวัน เพราะพี่เห็นเธอตั้งใจ ที่ผ่านมาเธอก็ทำมาได้ดีตลอด แต่ถ้าเธอจิตใจคับแคบแบบนี้ พี่ก็พูดได้คำเดียวว่า...พี่โคตรผิดหวังในตัวเธอเลยว่ะ!"

พี่ซินดี้ต่อว่าอย่างเหลืออด สีหน้าบ่งบอกว่าผิดหวังอย่างที่เธอพูด พี่สาถึงกับอึ้ง บรรยากาศตอนนี้ดูเคร่งเครียดไปหมด แต่ถ้าจะถามหาคนเจ็บที่สุดแล้วล่ะก็ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

"พอเถอะครับ!" กัปตันโพล่งออกมาหลังจากที่ทนฟังอยู่นาน สายตาของทุกคู่เปลี่ยนไปจ้องมองกัปตันแทน

"ถ้าผมเป็นภาระให้ทุกคนมากขนาดนี้ เอาเป็นว่าผมขอโทษ แล้วเย็นนี้...ผมจะไม่เข้าประกวด เลิกทะเลาะกันเพราะผมได้แล้วนะครับ"

พูดจบกัปตันก็เข็นออกไปอย่างเร็ว ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน แต่ไม่มีใครกล้าตามไปนอกจากผมคนเดียว

ผมวิ่งตามกัปตันออกมาข้างนอก ทันเห็นเขายกล้อหน้าและไถลลงทางลาดที่แสนชันลงไปยังพื้นถนนหน้าอาคาร ผมร้องตามและพยายามวิ่งไปดักทันที

"กัปตัน มึงจะไปไหน รอกูด้วย"

เมื่อได้ยินเสียงผม กัปตันก็ค่อยชลอความเร็วจนหยุดสนิท ผมรู้สึกเจ็บขึ้นอีกร้อยเท่าเมื่อเห็นหยดน้ำใสๆ ปรากฎบนใบหน้าของกัปตัน ไม่อยากจะคิดเลยว่ากัปตันจะเจ็บและอายขนาดไหนที่โดนพี่สาว่าแรงๆ แบบนั้นต่อหน้าคนมากมาย

ผมหยุดยืนอยู่หน้ารถวีลแชร์ของกัปตัน ใช้มือสองข้างจับใต้รักแร้เขาไว้ ก่อนดึงให้ลุกขึ้นยืน เราสบตากันเป็นเวลาสั้นๆ จากนั้นกัปตันก็สวมกอดผม ไม่นานตัวเขาก็สั่นๆ ผมรู้ทันทีว่ากัปตันร้องไห้ ส่วนผมก็ไม่อาจห้ามน้ำตาได้ เพราะความเจ็บปวดของกัปตันก็เหมือนความเจ็บปวดของผม แม้ผมจะรู้สึกได้ไม่เท่าเขา แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี

"กูอยู่ตรงนี้แล้วนะเว้ย กูเข้าใจมึงนะเว้ยกัปตัน ไม่ต้องเสียใจนะเว้ย" ผมพูดได้แค่นี้ รู้สึกจุกที่คอหอยจนพูดต่อไม่ได้

กัปตันคงรับรู้ถึงความห่วงใยและความจริงใจที่ผมมีให้ เขากอดผมแน่น ส่วนผมก็กอดเขาแน่นพอกัน

ต่อให้เก่งมาจากไหน เข้มแข็งมาจากไหน เจอแบบนี้เข้าไปก็คงยากจะทานทน


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/681060417-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 29-08-2017 15:24:13
พิการกายไม่น่ากลัวเท่าพิการใจ....
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-08-2017 16:41:54
 :m16:   แถวนั้นน่าจะมีคนใจดี ใส่รองเท้าไปเหยียบขี้หมาให้ นังสามันคาบ    :m16:


 :L2: :pig4: :L2:


หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2017 21:36:05
พิการกายไม่น่ากลัวเท่าพิการใจ....

สา(หัส)  นางพิการทางใจชัดๆ
การศึกษา ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจนางเลย
นี่คือคนที่มีสภาพร่างกายครบสามสิบสอง
แต่รังเกียจคนพิการ มีอคติสุดๆ
นางพิการทางจิตใจอย่างนี้
ต่อไปคงทำงานร่วมกับคนส่วนใหญ๋ไม่ได้แล้ว

ถ้าสา(หัส)พิการ เจอคนรังเกียจ ดูถูกแบบนี้นางคงยิ้มรับได้เน้าะ
แต่ก็มีส่วนดี ทำให้คนมากมายทั้งกองประกวด
เห็นความต่ำตม งมโข่ง จิตใจต่ำในร่างกายที่สมบูรณ์
เรื่องคงไม่จบแค่นี้แน่ๆ เอาพี่ซินดี้เป็นประกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 29-08-2017 22:28:26
ทำไมต้องพูดทำรายจิตใจกันขนาดนี้ด้วยย :m15:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 30-08-2017 11:27:33
อือหือ ทัศนคติแบบนี้ อยากเห็นผลตอบแทนการกระทำของทัศนคติแบบนี้บ้างนะ สาจะได้รับอะไรบ้าง เพราะนี่คือนิยาย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP20 คิวท์บอยผู้น่าสงสาร - 29.8.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 30-08-2017 21:51:05
ความคิด คำพูดและการกระทำแสดงให้เห็นถึงจิตใจของคนๆนั้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 03-09-2017 20:21:41
Soon!
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 03-09-2017 20:23:53
EP21 (Part 1)
แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

เมื่อหาที่ร่มๆ เหมาะๆ ได้แล้ว ผมก็ค่อยๆ ย่อตัวลงให้คนที่ขี่หลังผมมาลงนั่ง จนกระทั่งมั่นใจว่าเขานั่งบนพื้นอัฒจรรย์ปลอดภัยดีแล้ว ผมก็นั่งลงบ้าง ก่อนส่งแววตาเป็นห่วงไปให้คนเศร้า ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย แต่กัปตันคงเจอมาหลายครั้งแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าชีวิตแบบนี้จะเจ็บปวดสักแค่ไหน แม้ไม่ได้เจอทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เจอคงเจ็บไปนานและฝังใจ

"เป็นเพื่อนกับกู...มึงก็ลำบากหน่อยนะเว้ย ไหนจะต้องคอยช่วยเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่กูเสือกทำไม่ได้ ไหนจะต้องมาเจอแต่เรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก" กัปตันพูดเหมือนตัดพ้อและน้อยใจ เขาอาจจะเห็นใจที่ผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก

ผมทั้งรู้สึกสงสารและสะท้อนใจระคนกัน ปกติกัปตันเป็นคนอดทนมาก ผมไม่เคยเห็นเขาบ่นน้อยใจในโชคชะตาเลยจนกระทั่งวันนี้ แสดงว่าคงถูกกระทำจนทนไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น แต่เขาเจอปัญหาจุกๆ จิกๆ เล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเข้าห้องน้ำหรือขึ้นอาคารเรียน แม้จะเล็กน้อยแต่ก็บั่นทอนจิตใจได้เรื่อยๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อกี้ขึ้น กัปตันก็คงอดเก็บเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาคิดผสมรวมกันไม่ได้

กัปตันมองเหม่อไกลออกไปที่ไหนสักแห่ง แววตาของเขายังคงดูเศร้า ตาก็ยังแดงๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ ผมจึงพาเขามานั่งที่อัฒจรรย์สนามกีฬาในมหาลัย บ่ายๆ แดดแรงๆ แบบนี้คงไม่มีใครมาที่นี่หรอก เราสองคนจะได้คุยกันโดยไม่ต้องมีใครรบกวน

"กูเต็มใจเว้ย มึงไม่ต้องคิดมากหรอก อีกอย่างนะเว้ย มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าก็มีแต่พี่สานั่นแหละที่ทำตัวแย่ๆ แบบนั้น ทุกคนเขาเห็นใจมึงนะเว้ย ไม่มีใครคิดว่ามึงเป็นปัญหาหรอก เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าที่นี่ต้องปรับปรุงเยอะถ้าจะให้คนแบบมึงมาเรียน แต่ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไง ก็ต้องช่วยกันไปก่อน แต่ทุกคนเขาก็เต็มใจนะเว้ย" ผมพยายามปลอบใจและให้กำลังใจ

"คนส่วนน้อยอย่างกู ใครเขาจะทำอะไรให้วะ กูก็เคยมีความหวังแบบที่มึงพูดนั่นแหละ แต่สุดท้าย...สิ่งที่กูเจอ...กูก็กลายเป็นตัวปัญหาอยู่ดี ใครๆ เขาก็คิดว่ากูเป็นตัวปัญหาทั้งนั้น ถึงไม่พูด แต่เขาก็คิด มึงคิดดูดิ แค่ไปห้องน้ำ...กูยังไม่มีปัญญาไปเองเลย กูต้องรอมึง รอคนอื่นมาช่วย เป็นตัวปัญหาไหมล่ะ" กัปตันพูดด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แม้จะพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ตอนนี้คงทำได้ไม่มาก

"กัปตัน..." ผมครางเสียเครือ น้ำตาคลอเบ้า แต่พอจะนึกหาคำพูดมาปลอบใจอีกก็นึกไม่ออก จึงตบมือลงไปบนต้นขาของกัปตันเบาๆ สองสามครั้ง

ผมปล่อยให้ทุกอย่างเงียบ ทิ้งเวลาสักพักเพื่อให้อารมณ์ของกัปตันเย็นลง เพราะถ้าพูดเรื่องนี้ต่อ กัปตันคงตัดพ้อไม่จบ ไม่ว่าผมจะอธิบายหรือปลอบยังไงก็ไม่น่าจะเป็นผล คนกำลังเฮิร์ท ยิ่งพูดก็จะยิ่งเฮิร์ทกว่าเดิม

หลังปล่อยอารมณ์ให้เย็นลงได้พักใหญ่ๆ กัปตันก็หันมาขอร้องผมเรื่องหนึ่ง "มึงอย่าบอกแม่กับป๊ากูนะเว้ย พี่โดมด้วย กูกลัวเขาจะไม่ให้กูเรียนที่นี่"

คิ้วของผมย่นเข้าหากัน ทั้งตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน "ขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

"เออ มึงก็รู้นี่ว่าแม่กูเป็นห่วงกูมากแค่ไหน ถ้าเขารู้เรื่องนี้...เขาทนไม่ได้หรอก"

"ถ้าทนไม่ได้ งั้นก็ให้แม่มึงเอาเรื่องคนที่เขาทำกับมึงแบบนี้ดิ" ผมเสนอ

"ถ้าเขารู้ เขาเอาเรื่องอยู่แล้ว แต่เขาก็จะไม่ให้กูเรียนที่นี่ด้วยเว้ย"

"แล้วแม่มึงจะให้มึงไปเรียนที่ไหน" พอถามไปแล้วผมนึกกลัวคำตอบ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมสำหรับการจากลาเลย มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเร็วเกินไป

กัปตันถอนหายใจเบาๆ ครู่เดียวก็หันมาตอบ "เมกา"

ไกลซะด้วย ถ้ากัปตันต้องย้ายไปเรียนที่นั่นจริงๆ คนจนๆ อย่างผมคงไม่มีปัญญาตามไปอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นอนาคตที่ดีของกัปตัน ผมก็ควรจะยินดีมากกว่าเสียใจ

"แต่มึงเคยบอกกูว่าแม่มึงไม่อยากให้มึงไปเรียนเมืองนอก เพราะเขากลัวไม่มีคนดูแลมึงไม่ใช่เหรอ" ผมสงสัย

"ใช่ แต่น้องชายกูเขาเพิ่งคุยกับแม่ เขาบอกว่าเขาโตแล้ว ช่วยดูแลกูได้ อีกอย่าง...ที่เมกาก็สะดวกสำหรับคนพิการ ไปไหนก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายกว่าที่นี่ตั้งเยอะ แม่กูก็เลยเขว ตอนนี้เขากำลังตัดสินใจอยู่ ถ้าเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา...เขาก็อาจจะตัดสินใจให้กูไปเรียนเมกาก็ได้"

เมื่อรู้ว่ามีความเป็นไปได้ ผมก็ยิ่งใจหาย ถ้าหากกัปตันไปจริงๆ ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าเราจะโคจรมาพบกันอีกเมื่อไหร่

"ทางที่ดี...อย่าให้แม่กูรู้นั่นแหละดีที่สุด" กัปตันกำชับทิ้งท้าย

"แต่แม่กับป๊ามึงจะมาดูมึงเย็นนี้นะเว้ย ส่วนพี่โดมเขาก็เรียนที่นี่ ยังไงเขาก็ต้องรู้ เผลอๆ จะรู้แล้วด้วย มึงคิดว่าจะปิดได้เหรอวะ" ผมชักเริ่มกังวลบ้าง

กัปตันทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ "ก็จริงว่ะ เอาไงดีวะ กูไม่อยากให้แม่กับป๊ามาเลย"

"มึงจะไม่ประกวดเย็นนี้จริงๆ เหรอ" ผมถามเพื่อความแน่ใจ

กัปตันพยักหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังดูลังเลเล็กน้อย

"งั้นมึงก็ต้องโทรไปบอกแม่กับป๊ามึงว่าไม่ต้องมาแล้ว" ผมเตือน

"อ้าว แล้วมึงจะให้กูบอกเขาว่าไง" กัปตันสงสัย

นั่นน่ะสิ ผมก็ลืมคิดไป ยังไงๆ แม่ของกัปตันก็คงต้องถามหาเหตุผล "งั้น...มึงก็บอกแม่มึงว่าเขาเลื่อนกะทันหันดิ"

กัปตันทำท่าคิดตาม ไม่นานก็พยักหน้าเห็นด้วย "เออ เดี๋ยวกูโทรไปบอก"

ผมถอนหายใจสั้นๆ ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจบอกสิ่งที่ผมคิดให้กัปตันฟัง "ถ้ากูเป็นมึงนะเว้ย กูจะประกวด ได้ไม่ได้ก็ช่างแม่งมัน แต่มึงเชื่อดิ มึงจะได้คะแนนสงสารเยอะเลยนะเว้ย ถ้ามึงไม่ได้รางวัลเพราะมีคนแกล้งทำรูปมึงหาย มึงเชื่อกูดิว่าไอ้คนทำโดนด่าแน่ คนแบบนี้...ต้องถูกสังคมลงโทษไม่ให้มีที่ยืน ต้องให้โลกโซเชียลเหยียบให้จมดินเลย แต่...ก็แล้วแต่มึงนะเว้ย ถ้ามึงไม่อยากประกวด กูก็ไม่บังคับมึงหรอก กูแค่ไม่อยากให้มึงยอมแพ้คนง่ายๆ แบบนี้ ต้องสั่งสอนให้เจ็บมั่งเว้ย ไม่งั้นเขาก็จะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก"

กัปตันนั่งเงียบ สายตาบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ผมจึงต้องบอกเขาอีกทีเพราะกลัวเขาจะคิดว่าผมกดดัน

"ไม่ต้องเครียดเว้ย ไม่อยากประกวดก็ไม่ต้องประกวดหรอก กูเข้าใจมึง แต่ถึงมึงไม่ประกวด กูก็ไม่ปล่อยให้คนอย่างพี่สาลอยนวลหรอก"

"มึงจะไปทำอะไรพี่เขาวะ" กัปตันหันมาถามทันที

"เดี๋ยวมึงคอยดูก็แล้วกัน ทำคนที่กูรักเจ็บขนาดนี้ กูไม่ยอมหรอก" ผมพูดพร้อมกับส่งแววตาอาฆาต

"เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ" กัปตันถามผมเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินบางอย่างถูกต้องหรือเปล่า

เมื่อทบทวนประโยคที่พูดเมื่อกี้ ผมก็รู้ว่าตัวเองเผลอพูดเรื่องสำคัญออกไปโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว แต่มาถึงขั้นนี้ ผมคิดว่าคงถึงเวลาสมควรแล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ รักแล้วก็รักไปเลยละกัน

"อ๋อ กูพูดว่า...ทำคนที่กูรักเจ็บขนาดนี้ กูไม่ยอมหรอก" ผมทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง

หน้าเศร้าๆ ของกัปตันค่อยๆ เปลี่ยนเหวอ เขาเอามือชี้ที่ตัวเองแล้วก็ถามผมให้แน่ใจอีกครั้งว่าฟังไม่ผิด "คนที่มึงรัก..."

"เออ มึงนั่นแหละ...คนที่กูรัก" ผมยืนยัน เห็นกัปตันทำหน้าแบบนั้นก็อดขำเบาๆ ไม่ได้

กัปตันยังคงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าตัวเองฟังถูก ผมจึงถือโอกาสนั้นลุกขึ้น เดินต่ำลงไปอีกหนึ่งขั้น ก่อนย่อตัวลงนั่งคุกเข่าบนอัฒจรรย์ต่อหน้ากัปตัน ดึงมือสองมือมาเกาะกุมไว้ จ้องใบหน้าหวานและหล่อใสโดยแทบไม่กะพริบตา

"กูรู้ว่ามึงเก็บหัวใจใส่กล่องสีเทาๆ เอาไว้มานานแล้ว เพราะมึงกลัวเจ็บ กลัวคนไม่ยอมรับความรักของมึง แต่คนทุกคน...มีค่าสำหรับความรักนะเว้ย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขกับความรัก มึงก็มีสิทธิ์เหมือนกัน กูเอง...ก็อยากจะมีความสุขกับความรัก...กับใครสักคน แล้วคนที่กูอยากจะรัก คนที่กูอยากจะดูแล...ก็คือมึง เอาหัวใจของมึงออกมาจากกล่องสีเทาๆ ได้แล้ว วันนี้...กูเอากล่องสีชมพูมารอรับหัวใจของมึง เพราะกูอยากให้หัวใจของมึงสดใส กูอยากเห็นมึงสดใสเพราะความรัก แล้วกูก็เชื่อว่าความรักของกู...จะทำให้มึงมีความสุข ตกลงไหมกัปตัน เป็นแฟนกูนะ"

กัปตันยังไม่ตอบทันที เจ้าตัวคงจะตกใจมาก หรืออาจจะไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินก็ได้ แต่พักหนึ่งอาการหน้าเหวอๆ ของกัปตันก็จางลง

"มึงจะมาอะไรกับคนอย่างกูทำไมวะอะตอม" ถึงจะพูดอย่างนั้น กัปตันก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

"ก็กูรักมึง มึงจะให้กูไปอะไรกับใครที่ไหนล่ะ กูก็ต้องมาอะไรกับมึงดิวะ กูรักมึงไม่ได้เหรอ" ผมกลั้นยิ้ม เวลากัปตันทำตัวไม่ถูกก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

ถึงนาทีนี้ ผมเชื่อว่ากัปตันคงจะหมดความแคลงใจในตัวผมไปมากแล้ว เจ้าตัวจึงไม่รู้จะหาอะไรมาแก้ตัวหรือบ่ายเบี่ยง

"ก็ได้ แต่ว่า..."

"แต่ว่าอะไร" ผมรีบถามกลับ

กัปตันอึกอัก สุดท้ายก็ตอบส่งเดชดื้อๆ "ไม่รู้เว้ย"

"ถ้าไม่มีอะไรจะอ้างแล้ว ก็เป็นแฟนกับกูซะทีสิวะ กูอยากมีแฟนเป็นมนุษย์ล้อจะแย่แล้ว" ผมทำเสียงอ้อนวอน

"เชี่ย เรียกกูซะ"

"เอ้า กูเห็นรายการคุณกฤษณะเขาก็เรียกแบบนี้ไง น่ารักดีออก ไม่ชอบเหรอ"

"เปล่า" กัปตันเอียงหน้าหลบเล็กน้อยเมื่อโดนผมจ้อง

"เร็ว ตอบหน่อยสิ"

"แล้วกูต้องทำไงวะ" กัปตันทำเสียงคล้ายรำคาญ แต่ดูแล้วก็ไม่ใช่หรอก น่าจะทำตัวไม่ถูกมากกว่า

"ก็ไม่เห็นต้องทำไรเลย ก็แค่เป็นแฟนกู ยากตรงไหน" ผมพูดยิ้มๆ ดูก็รู้ว่ากัปตันเริ่มจะหมดทางหนีทีไล่แล้ว

"ก็นั่นแหละ" กัปตันพูดมาส่งๆ อีกแล้ว

"นั่นแหละอะไร"

"กูไม่รู้เว้ย"

"สรุปว่ามึงจะไม่ยอมจนมุมง่ายๆ ใช่ไหม" ผมแกล้งทำเสียงดุหน่อยๆ ต่อให้ดื้อแค่ไหนผมก็จะไล่ให้จนมุมจนได้

"แล้วมึงว่ากูหนีได้ไหมล่ะ" กัปตันย้อนถามและทำปากขมุบขมิบ ดูน่ารักซะจนผมอยากจะจูบเข้าให้ ถ้าอยู่ในห้องสองต่อสองคงไม่เหลือแล้ว

"แสดงว่ายอมรับแล้วใช่ไหม"

กัปตันทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม "เออ เป็นก็ได้"

เมื่อได้ยินชัดเจนกับหูสองข้าง ผมก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีด

Every cloud has a silver lining.

ถึงวันนี้จะเป็นวันร้ายๆ วันหนึ่งของกัปตันเพราะคนใจแคบ แต่ด้านหลังก้อนเมฆสีดำๆ ก็ยังมีแสงสว่างซ่อนอยู่เสมอ วันนี้...ความรักของผมจะเป็นแสงสว่างและนำความสดใสมาให้คนๆ นี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อยู่ในสภาพไหน ผมก็จะรักเขาให้ดีที่สุด

ผมลุกขึ้นมานั่งข้างๆ จากนั้นก็ดึงกัปตันมากอดไว้ แม้จะมีกลิ่นเหงื่อจากการซ้อมการแสดงบ้าง แต่ผมก็ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจในทุกสิ่งที่เขาเป็นเลย

ไม่นานกัปตันก็กอดผมตอบบ้าง "มึงรักกูจริงๆ เหรอวะ"

ถึงกัปตันจะยอมรับเป็นแฟนผมแล้ว แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าหัวใจที่เคยเจ็บจากความรักจะยอมรับผมได้อย่างสนิทใจ จึงไม่แปลกที่กัปตันจะถามผมแบบนี้

"มึงตัดสินเอาเองจากทุกอย่างที่มึงเห็นละกัน" พูดจบผมก็ปล่อยกัปตันออกจากอ้อมแขน ก่อนเอ่ยปากชวน "ถ้าเย็นนี้มึงจะไม่ไปประกวด ไปเดตกับกูไหม"

"ไปไหนดี" กัปตันเหมือนจะนึกสนุกไปด้วย

"ไปแช่ออนเซ็นกันไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว จากนั้นก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ไปดูหนังสักเรื่องก่อนกลับด้วยก็น่าจะดี มึงว่าไง" ผมเสนอไอเดีย

"ก็ไม่เลว"

"อ้อ...คืนนี้...กูขอนอนเตียงมึงด้วยนะ" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย

กัปตันชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะและยิ้มยียวน "ก็ได้ แต่กูก็จะไปนอนเตียงมึง"

"ได้ไง เป็นแฟนกันแล้ว ก็นอนเตียงเดียวกันดิ" ผมท้วง

"ไม่เห็นจำเป็นเลย" กัปตันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

"เออ กูไม่เถียงหรอกว่าไม่จำเป็น แต่ว่าคืนนี้...กูอยากปลอบใจคนเศร้าไง ดีนะเว้ย กูรับรองเลย ตื่นเช้ามา จิตใจสดใสหายเศร้าชัวร์ ลองเปล่า" ผมยักคิ้วใส่เป็นเชิงหยอกเล่น

"โห...จะดีขนาดนั้นเลยเหรอ" กัปตันแสร้งไม่แน่ใจ

"ก็ลองดิ ไหนๆ ก็เป็นแฟนกันแล้ว ใช้ประโยชน์จากแฟนให้คุ้มค่าดิ มึงรู้ไหมว่าทำไมคนเราถึงต้องมีแฟน"

"มีลูกมั้ง"

"กูกับมึงมีไม่ได้เว้ย แล้วกูก็ไม่อยากมีด้วย ตอบดีๆ สิ" ผมทำเสียงดุๆ ใส่เล็กน้อย

"กูจะตอบได้ไงวะ มีแฟนคนแรกก็โดนเขาหลอก ถ้ามึงรู้มึงก็บอกกูดิ มีประสบการณ์เยอะกว่ากูไม่ใช่เหรอ" กัปตันพูดเหมือนประชด แต่ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก

"ก็มีไว้เติมเต็มกันไง" ผมเฉลย

"เติมเต็มยังไงวะ" กัปตันเอียงคอ ดูน่าเอ็นดูจนผมต้องเอามือลูบหัวเขาเบาๆ

"ถามยากนะมึง เติมเต็มก็คือ...เออ...ไม่รู้ว่ะ" ผมหัวเราะเก้อๆ

"เชี่ย แล้วทำมาคุย" กัปตันแสร้งว่า

"อ้าว เป็นแฟนกันแล้ว พูดเพราะๆ กับผมหน่อยสิครับ...พี่กัปตัน"

กัปตันชะงัก คงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยเรียกเขาว่าพี่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นคงไม่ติดใจอะไร พอผมเรียกอีกคราวนี้ กัปตันคงเอะใจบ้างแล้ว

"มึงรู้เหรอ"

ผมเลียริมฝีปาก ก่อนพยักหน้ายอมรับ "เออ กูเคยเห็นบัตรประชาชนมึงน่ะ เอ๊ย...ไม่ใช่ ผมเคยเห็นบัตรประชาชนของพี่ไง"

"ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้เว้ย กูไม่ชิน เอาเหมือนเดิมดิวะ" กัปตันว่า

ผมหัวเราะแหะๆ "ก็ดีเหมือนกัน เรียกมึงว่าพี่แล้วกระดากปากว่ะ"

"เออ ไม่ต้องเรียกพี่หรอก ว่าแต่...จะไปกันได้ยัง กูไม่อยากอยู่นี่แล้ว อยากไปแช่ออนเซ็นสบายๆ ให้หายเครียด" กัปตันเปลี่ยนมาเร่งเร้า

"ไปดิ อ้อ" ผมทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ จากนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มและเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้กัปตัน ยั่วให้เขาหวั่นไหวเล่น "กูขอจูบมึงได้ไหมคืนนี้ จูบเฉยๆ นะเว้ย"

กัปตันทำหน้าเหวอๆ แต่ก็ดูตลกไม่น้อย "กูยอมเป็นแฟนมึงแล้ว ไม่ได้แปลว่ากูอนุญาตแล้วเหรอวะ"

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ตาโตทันที "งั้น...กูก็ทำมากกว่าจูบได้ใช่ไหม"

"เชี่ย ได้คืบจะเอาศอกนะมึง"

กัปตันว่าผมอีกแล้ว ดูมันสนุกมากทีเดียวที่ได้ต่อปากต่อคำกับผม แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะผมไม่อยากเห็นกัปตันเศร้า จะว่าไปผมก็ดีใจไม่น้อยที่ความรักของผมทำให้เขาลืมเรื่องเจ็บปวดไปได้บ้าง

"แล้วได้หรือเปล่าล่ะ" ผมถามทีเล่นทีจริง

"แล้วแต่มึง อยากทำอะไรก็ทำ แต่ตอนนี้มึงมาให้กูขี่หลังเลย กูจะลงไปแล้ว อ้อ มึงดู...จอดวีลแชร์กูก็ไม่ดูเลยนะมึง เห็นไหมว่ามันจะโดนแดดแล้ว" กัปตันเฉไฉด้วยการบ่นเรื่องอื่น

"น่ารักอ้ะ แฟนใครก็ไม่รู้ ขนาดบ่นยังน่ารักเลย"

เจอผมชมแบบนี้ กัปตันก็หน้าเหวออีก อาจจะเขินด้วยเพราะหน้าขาวใสแดงขึ้นมาทันที

"ดี เดี๋ยวกูจะบ่นมึงทุกวัน ดูสิว่าจะยังพูดเหมือนเดิมอีกไหม"

ขู่แล้วกัปตันก็หัวเราะ ส่วนผมก็ยิ้มมีความสุข นี่แหละคือการเติมเต็มที่ผมหมายถึง แต่อธิบายไปกัปตันก็อาจจะไม่เข้าใจตอนนี้ ผมก็เลยแสร้งทำเป็นไม่รู้ เอาไว้อีกหน่อยผมจะเฉลยให้เขาฟังทีหลัง ถ้ามีประสบการณ์การแล้วคงจะเข้าใจได้ไม่ยาก

ผมนั่งลงตรงขั้นบันไดข้างหน้ากัปตัน เจ้าตัวรีบกอดคอและขึ้นขี่หลังผมอย่างรู้งาน เรียบร้อยดีแล้วผมก็พาเขาเดินลงอัฒจรรย์ไปข้างล่าง ตรงนั้นมีวีลแชร์คันหนึ่งจอดอยู่ มันกำลังจะโดนแดดเลียอย่างที่กัปตันบ่นนั่นแหละ

คิดแล้วก็อยากให้ถึงคืนนี้ไวๆ จัง ถ้าชีวิตมีฟาสท์ฟอร์เวิร์ดเหมือนยูทูบ ผมจะรีบสกิปกิจกรรมทั้งสามอย่างแล้วข้ามไปคืนนี้เลย

แต่ว่า...กินข้าวหน่อยก็ดี เดี๋ยวไม่มีแรง!


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 03-09-2017 21:10:35
ชอบภาษาที่เขียนมากคะ. บรรยายความรู้สึกตัวเอกดีจัง

ประทับใจ ❤️❤️
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-09-2017 21:26:44
กัปตันสู้ๆ  จ้า  แค่เสียงที่ลอยลมแล้วก็ผ่านไป
เป็นกำลังใจให้นะคะ  มาลงให้อ่านบ่อยๆ จ้า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-09-2017 21:37:40
 :katai2-1: :mc4: :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-09-2017 22:12:26
กัปตัน สู้ๆๆๆๆ

เบื่อคนใจแคบ ต่ำตม แต่มาทำงานกับสังคม
แล้วคิดเอง เออเอง ว่าตัวเองคิดสูงส่ง
ที่แท้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไปคิดแทนคนส่วนใหญ่
เอาความชั่วตัวเอง ป่าวประกาศให้คนทั้งกองประกวดรู้

น่าสนใจ กองประกวดจะทำยังไงต่อ
อยู่ๆกรรมการแค่คนเดียว ลุแก่อำนาจ
ตัดสินใจคนเดียวปลดผู้เข้าประกวด
ออกแบบไม่บอกกล่าวใครทังสิ้นหน้าตาเฉย

อะตอมบอกรักกัปตัน กัปตันรับรักแล้ว
หวานๆกันไปเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 03-09-2017 22:22:06
เป็นแฟนกันแล้วจ้า คืนนี้เจอกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 03-09-2017 23:41:23
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 04-09-2017 00:05:36
 :กอด1: กัปตันน่ารักอ่ะ ถ้ามีตัวตนจริงอยากกอดสักทีนึง
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 1 - 3.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 05-09-2017 20:05:34
ยังไม่มีเวลาเขียนต่อเลยครับ ;)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 09-09-2017 20:52:15
EP21 (Part 2)
แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

ไม่มีครั้งไหนในชีวิตเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้เท่าวันนี้ ไม่ใช่เพราะชีวิตผมขาดความอบอุ่นหรอกนะ ผมมีพ่อแม่พี่น้องและครอบครัวที่อบอุ่น เผลอๆ ได้รับความรักมากกว่าใครๆ ด้วยซ้ำ

แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เราโตขึ้น ธรรมชาติก็ให้เราออกไปหาความรู้สึกคล้ายกันนี้จากโลกภายนอกบ้าง ช่วงเวลานี้นี่เองที่ผมรู้สึกถึงความโหยหา แต่ยิ่งไขว่คว้าเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งห่างออกไป มันน่าแปลกตรงที่ไม่มีความอบอุ่นใดๆ ทดแทนได้เลย จนกว่าจะได้มันมาไว้ครอบครองเท่านั้น เพราะธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาไม่เหมือนกัน มีหน้าที่ต่างกัน

"มึงจะเป็นแฟนกับกูจริงๆ เหรอ" ผมซบหน้าลงใกล้ๆ ใบหูของคนที่ผมขี่หลัง กลิ่นกายอุ่นๆ กรุ่นอวลที่ปลายจมูก เขาเดินลงอัฒจรรย์ลงด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป ที่จริงผมก็ตัวหนักไม่ใช่เล่น แต่คนให้ขี่หลังกลับดูสบายๆ

"เออ" อะตอมตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์

"ไม่หลอกกูนะเว้ย" ผมยังคงไม่มั่นใจ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงหรอก ที่จริงก็มั่นใจระดับหนึ่งไปแล้ว

"กูไม่ใช่ผี" อะตอมขำเบาๆ

"แล้วมึงรักกูจริงหรือเปล่า" ผมถามต่อ

"รักตั้งแต่เจอครั้งแรกแล้วไม่รู้เหรอ มึงเคยนับไหมว่ากูจูบมึงไปกี่ครั้ง กอดมึงกี่ครั้ง อาบน้ำกับมึงกี่ครั้ง ถ้าไม่รักจริงกูทำแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ถามแต่กู แล้วมึงล่ะ…รักกูหรือยัง"

"ไม่บอก" ผมหัวเราะเขินๆ

"ถึงไม่บอกกูก็รู้"

"รู้ว่า…"

"รู้ว่ามึงรู้สึกดีกับกูไง"

"รู้ได้ไง"

"ก็มึงเคยบอกกู จำไม่ได้เหรอ แต่ถึงจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้ามึงถามใจตัวเองตอนนี้…มึงก็ได้คำตอบแล้ว ไม่ต้องจำที่ผ่านมาก็ได้ จริงไหม" อะตอมทำเสียงยียวน

"มั่นสุดๆ เลยนะมึง" ผมเย้า

"ก็ถ้ามึงยอมเป็นแฟนกู ถ้าไม่รัก…จะยอมเป็นแฟนทำไม จริงไหม"

ผมไม่เถียงอะตอมแล้ว เพราะไม่มีอะไรจะเถียง ถ้าถามว่ารักมันไหม ก็คงจะเป็นอย่างอะตอมพูดนั่นแหละ ไม่รักก็คงไม่ยอมให้ทำแบบนี้หรอก

"เอาเป็นว่า…กูจะรอฟังคำว่ารักจากมึงละกัน กูรอได้ กูรู้ว่าไม่นานหรอก แค่นี้มึงก็อยากจะบอกกูแย่แล้ว" อะตอมโวอย่างมั่นใจ แต่ก็ใช่จะทำให้ผมหมั่นใส้ ตรงกันข้าม…

ผมรู้สึกดีหลายๆ อย่างกับผู้ชายคนนี้มากทีเดียว เขาอดทน ไม่รีบร้อนเร่งรัดกับผม ให้เวลา ให้ความเข้าใจ รู้จังหวะเวลา แม้จะเคยทำบางอย่างไม่ถูกใจบ้าง ทำให้เสียใจก็เคย แต่โดยรวมๆ แล้ว ตั้งแต่มีอะตอมเข้ามาในชีวิต ผมก็มีความสุขมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย

"กูไม่บอกรักใครง่ายๆ ก็จริงนะเว้ย แต่กู…ก็ไม่ใช่คนเดายาก ถ้ามึงอยากได้คำๆ นี้จากกู รอนะเว้ย กูรู้ว่ามึงรอได้"

"เออ กูจะรอฟัง" อะตอมหันมายิ้มบางๆ

อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันน่ารัก จนผมนึกอยากทำบางอย่างให้ แต่ตอนที่รู้สึกก็ยังไม่กล้าทำอย่างที่คิด อาจจะเป็นเพราะอะตอมพาผมมาถึงรถวีลแชร์ของผมพอดีก็ได้ เขาหันหลังและย่อตัวลงให้ผมลงนั่ง ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย จากนั้นร่างสูงชะลูดก็หันหน้ามาหา ก้มตัวลงมาคุยด้วย

"ถึงมึงจะไม่ไปประกวดคิวท์บอยคืนนี้ หรือถ้ามึงจะไป แต่ไม่ได้ตำแหน่งอะไรกลับมา มึงก็เป็นคิวท์บอยในสายตากูเสมอนะเว้ย" อะตอมยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขามีบางอย่างมากกว่านั้น

"อยากให้กูกลับไปประกวดเหรอ" ผมคิดว่าผมเดาไม่ผิด เพราะสังเกตจากสีหน้าท่าทางของอะตอมเมื่อครู่ เขาดูลังเลและเสียดายเมื่อผมบอกว่าจะไม่ไป

"กูว่าก็ดีนะเว้ย มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเป็นคนใจสู้ แล้วมึงก็สู้กับเรื่องพวกนี้มาตั้งเยอะ สู้อีกหน่อยดิวะ ทำให้พี่สาแล้วก็คนอื่นๆ เห็นว่ามึงเข้มแข็งดิ รูปที่มันหายก็ให้มันหายไป ไม่ชนะด้วยคะแนนก็ช่างแม่งเหอะ แต่มึงต้องชนะใจทุกคนให้ได้ พี่ซินดี้แล้วก็เพื่อนๆ ทุกคนเขารอมึงอยู่นะเว้ย ถ้าเขารังเกียจมึง เขาไม่ให้ร่วมทีมตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาก็ต้อนรับมึง พี่ซินดี้ก็ทุ่มเทกับมึง เขาหาวิธีให้มึงแสดงกับเพื่อนๆ จนได้ ความตั้งใจของทุกคนมีความหมายนะเว้ย มึงทำให้เขาเห็นดิว่ามึงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง"

ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมว่าวันนี้อะตอมพูดโคตรดีเลย ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าผม แต่เขาก็ดูอบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่ระดับหนึ่ง มีความคิดอ่านดีๆ หลายอย่างจนบางทีผมก็ทึ่งได้เหมือนกัน

"อุ้มกูยืนหน่อยดิ" ผมบอกพลางยิ้มบางๆ

อะตอมดูงงๆ ในตอนแรก แต่ไม่นานก็ทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย เขาพยุงใต้รักแร้และดึงตัวผมขึ้นยืนตัวตรง ผมอาศัยจังหวะที่อะตอมเผลอขโมยหอมแก้มเขาเบาๆ เจ้าตัวหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ปริมาณเลือดบนใบหน้ากลับเพิ่มสูงขึ้น หน้ามันแดงและดูเขินอย่างเห็นได้ชัด ปกติผมไม่เคยเห็นอะตอมเขินแบบนี้เลย

"รางวัลพิเศษจากแฟนไง" ผมบอก จากนั้นก็ค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งบนวีลแชร์ตามเดิม

"เนื่องในโอกาสอะไรวะ" อะตอมถามพลางจะเอามือถูตรงที่ผมหอม ผมรีบร้องห้ามทันที

"อย่าถูดิ เดี๋ยวความรู้สึกมันหาย รางวัลพิเศษนะเว้ย ถึงจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้"

อะตอมชะงักมือไว้แทบไม่ทัน ความรู้สึกเขินดูเหมือนจะยังไม่ลดลงเลย เขาลดมือลงและยิ้มมีความหมาย

"มีแฟนนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มีคนให้กำลังใจแล้วก็คอยดูแล โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ถ้าไม่ได้มึง…กูแย่เลยนะเว้ย" ผมทำหน้าซึ้งๆ

เราสองคนยังไม่ทันจะคุยอะไรกันต่อ เสียงของใครบางคนก็ดังมาจากข้างหลัง

"พวกมึงสองคน…"

เมื่อผมกับอะตอมหันไปมองตาม น้ำหวาน กวินและแบงค์ก็ยืนมองอยู่ ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่ตอนไหน แต่ละคนทำหน้าตาแปลกๆ เหมือนเห็นผี หรือไม่ก็น่าจะตกใจกับอะไรสักอย่างที่ไม่คาดฝัน หรือว่า…

พวกมันจะเห็นที่ผมหอมแก้มอะตอมเมื่อกี้!

"พวกมึงมีอะไรหรือเปล่าวะ" ผมร้องถาม ทำหน้าไม่ถูกไปเลย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อกี้เพื่อนๆ เห็นอะไรบ้าง

เพื่อนๆ สามคนของผมทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์ จากนั้นก็พากันเดินเข้ามาหาใกล้ๆ มองหน้ากันไปมาแปลกๆ

"อธิการตามหามึงน่ะดิ" น้ำหวานบอก แม้จะพยายามปรับสีหน้าแล้ว ก็ยังคงมีร่องรอยความรู้สึกเหมือนที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้อยู่

"เรื่องอะไรวะ" ผมขมวดคิ้วเข้ม รู้สึกได้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ

"เรื่องของมึงนั่นแหละ มึงยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอวะ" แบงค์พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ผมดู เขาเปิดคลิปๆ หนึ่งและสาธยายไปด้วย "เนี่ย มีคนเอาคลิปพี่สาด่ามึงขึ้นเฟสมหาลัยเว้ย แชร์กันว่อนไปหมดแล้ว ในยูทูปก็มี ในพันธุ์ทิพย์ก็มี"

ผมกับอะตอมมองหน้ากันทันที ต่างคนต่างตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เรื่องที่เพิ่งขึ้นเมื่อกี้จะกระจายไปไกลขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกเทคโนโลยีสมัยนี้

"อธิการจะให้กูไปหาเรื่องนี้เหรอวะ" ผมถามด้วยสีหน้ากังวล

"เออดิวะ รีบไปเร็ว เขาเรียกพี่สาแล้วก็อีกหลายคนไปด้วย กูว่าเรื่องใหญ่แน่ แต่มึงไม่ต้องกลัวหรอก คนที่จะโดนกูว่าน่าจะเป็นพี่สามากกว่า งานนี้…อย่างน้อยๆ ก็น่าจะโดนหักคะแนนจิตพิสัยแหละวะ" กวินบอก

"กูว่าน้อยไปด้วยซ้ำ มึงดูที่เขาพูดดิ แม่งเอ๊ย ถ้ากูอยู่ตรงนั้นด้วยนะ กูจะถอดรองเท้าตบปากจริงๆ ด้วย" น้ำหวานทำท่าเดือดดาล

"ใครเอาขึ้นวะ" อะตอมสงสัย

ผมดูโพสต์นั้นอีกที พอเห็นชื่อคนโพสต์แล้วก็แปลกใจ "ปาร์ตี้มันเป็นคนโพสต์ว่ะ"

"เออ ดีแล้วล่ะ จะได้เห็นกันหมดทั้งมหาลัยไปเลย มึงไม่ต้องอายแล้วนะเว้ย เพราะต่อไปคนที่จะเอาปี๊บคลุมหัวมาเรียนต้องเป็นพี่สา ไม่ใช่มึง" อะตอมพูดกึ่งตลก

ผมก็เกือบจะตลกไปด้วยแล้วล่ะ แต่พอนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ผมกลับตกใจมากกว่าเรื่องจะไปพบอธิบการบดีด้วยซ้ำ

"แม่!"

ผมรีบส่งโทรศัพท์คืนให้แบงค์ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมปิดเสียงไว้ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว คาดว่าคงจะพลาดสายไปบ้าง แต่ขออย่าให้เป็นแม่ผมละกัน

แต่เมื่อเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมา คำภาวนาของผมก็ไม่เป็นจริงซะแล้ว แม่โทรหาผมหลายสายเลย พอผมไม่รับ แม่ก็เลยส่งข้อความเอสเอ็มเอสมาด้วย

"โทรกลับหาแม่ด่วน"

เท่านี้ผมก็ใจหายวาบ แม่ต้องเห็นคลิปแล้วแน่ๆ

"รีบไปเหอะกัปตัน เดี๋ยวอธิการรอ" อะตอมหันมาเตือนผม

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สำหรับผม เรื่องพบอธิการบดีไม่สำคัญเท่าไหร่แล้ว เพราะคนที่จะเปลี่ยนชีวิตและอนาคตของผมหลังจากนี้ไม่ใช่คนที่นี่

ก่อนจะไปจากตรงนี้ ผมเงยหน้าขึ้นมองอะตอมด้วยความรู้สึกกังวล เราสองคนเพิ่งจะตกลงเป็นแฟนกันแท้ๆ แต่เราจะมีความสุขกับช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันไปได้อีกนานแค่ไหนผมก็ยังไม่รู้

เอาเถอะ อย่าเพิ่งกังวลไปเลย บางทีอะไรๆ ก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่ผมคิดก็ได้

"เออๆ รีบไปเหอะ อธิการเขารอมึงอยู่ พวกกูก็ตามหาพวกมึงซะทั่วเลยนะเว้ย ไม่คิดว่าจะมาหลบอยู่ตรงนี้" น้ำหวานยิ้มแปลกๆ ในตอนท้าย

"มีอะไรไม่บอกพวกกูเลยนะมึง" แบงค์ยิ้มแปลกๆ ด้วยอีกคน ผมชักร้อนๆ หนาวๆ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนกำลังสงสัยเรื่องผมกับอะตอมหรือเปล่า

"หยุดคุยได้แล้วพวกมึงนี่ เขาจะเป็นแฟนกันก็เรื่องของเขา ไปได้แล้ว" กวินแสร้งทำเสียงดุ แต่สีหน้ากลับดูยิ้มๆ

ผมกับอะตอมถึงกับชะงักและหันหน้ามามองกันเอง ก่อนจะหันไปถามเพื่อนๆ พร้อมกัน

"พวกมึงรู้แล้วเหรอ"

"เออ" ทั้งสามคนตอบมาพร้อมกัน จากนั้นก็หัวเราะ

แต่พวกเราก็ไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้มากนักเพราะต้องรีบไป แต่เชื่อได้เลยว่า หลังจากคุยกับอธิการบดีเสร็จแล้ว ผมกับอะตอมคงต้องโดนพวกมันซักจนปรุแน่ๆ ที่จริงก็เริ่มมีคนสงสัยมาสักพักแล้วล่ะ แถมบางคนยังสงสัยไปในทางไม่ดีด้วย

… … …

เมื่อมาถึงห้องประชุมที่ตึกอธิการบดี ผมก็พบว่ามีคนนั่งรออยู่หลายคน พี่สา พี่ปริม อั้ม พี่ซินดี้ คอปเตอร์ ปาร์ตี้และเพื่อนๆ ที่ซ้อมเต้นด้วยกันอีกสามสี่คน มีอาจารย์ที่ปรึกษาของผมและพี่สามาด้วย แค่นี้ก็รู้ว่าเรื่องใหญ่ของจริง เพราะเป็นการเรียกประชุมด่วน ใครทำอะไรอยู่ตอนนี้ต้องหยุดทันทีและมาที่นี่

"เธอมานั่งตรงนี้" ท่านอธิการบดีชี้ให้ผมไปนั่งแถวโต๊ะประชุมด้านหน้า

อะตอมไปกับผม ส่วนเพื่อนอีกสามคนของนั่งด้านหลัง บรรยากาศในห้องประชุมดูน่ากลัวแปลกๆ โดยเฉพาะคู่ปรับรุ่นพี่ของผมที่ถึงกับนั่งก้มหน้า สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีเลย

"เปิดคลิปเลย"

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ท่านอธิการก็สั่งนักศึกษาที่เข้ามาช่วยงานในห้องให้ฉายคลิปขึ้นบนหน้าจอโปรเจกต์เตอร์ ทุกคนเปลี่ยนความสนใจไปที่หน้าจอนั้น ความเงียบหายไป แต่ความเครียดกลับเข้ามาแทน เพราะสิ่งที่เห็นบนหน้าจอไม่ใช่เรื่องดีเลย แม้แต่ผมก็ไม่อยากรับรู้มันเลยอีกด้วยซ้ำ

"ไหน เล่าเรื่องทั้งหมดมาหน่อยซิว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครจะเป็นคนเล่า เธอเลยไหม" ท่านอธิการบดีหันไปทางพี่สาน น้ำเสียงของท่านบ่งบอกความไม่พอใจจนรู้สึกได้

ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเรื่องนี้สร้างความเสื่อมเสียให้มหาลัยอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ในโลกโซเชี่ยลวิพากวิจารณ์กันอย่างสนุก บางคนถึงขนาดตั้งคำถามว่าคุณภาพในการสอนนักศึกษาในมหาลัยอันดับหนึ่งของไทยยังดีอยู่ไหม ไม่น่าเชื่อว่ามหาลัยอันดับหนึ่งจะมีนักศึกษาที่มีความคิดแบบนี้ด้วย

พี่สายังคงก้มหน้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเล่าตามที่ท่านอธิการบดีสั่ง

"ถ้าไม่เล่า งั้นเธอก็เล่ามา" อธิการบดีหันมาสั่งผมแทน

แต่ผมก็ยังไม่กล้าเล่าทันทีหรอก จนอะตอมต้องสะกิดข้อศอกผมและกระซิบข้างๆ "เล่าดิวะ เล่าให้หมดเลย ความจริงก็คือความจริง กลัวอะไร ถ้ามึงพูดความจริง ไม่มีใครทำอะไรมึงได้หรอก"

เมื่อได้ฟังอย่างนั้น ผมก็คิดว่าต้องเล่าให้หมด ที่จริงผมก็เป็นคนขี้สงสารคนโดยนิสัย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากทำร้ายใครหรอก

แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ เธอจำเป็นต้องได้รับบทเรียนบางอย่างที่สาสมกับสิ่งที่เธอทำบ้าง ไม่ใช่แค่กับผม แต่รวมถึงคนที่เป็นเหมือนผมซึ่งต่อไปจะเข้ามาเรียนที่นี่ด้วย


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-09-2017 23:00:31
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

สะใจๆ

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-09-2017 23:19:57
ถึงสาเจออย่างนี้ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนนิสัยได้รึเปล่า :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-09-2017 23:27:58
 :z6:รอกระทืบคนซ้ำ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 10-09-2017 02:38:20
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-09-2017 05:36:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 10-09-2017 23:05:37
คุณแม่จะว่ายังไงเนี่ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP21 แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ Part 2 - 9.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 14-09-2017 23:23:12
ไปอยู่เมกาเถอะลูก :katai5:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 24-09-2017 15:01:38
EP22 (Part 1)
เวลา...

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

"มีใครจะพูดอะไรอีกไหม" หลังจากฟังกัปตัน พี่สา พี่ปริม อั้ม พี่ซินดี้และปาร์ตี้ให้ข้อมูล ท่านอธิการบดีก็หันไปถามรอบๆ โต๊ะประชุม ไม่มีใครตอบคำถาม เอาแต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แสดงว่าคงไม่มีใครอยากพูดอะไรเพิ่มเติมแล้ว ท่านอธิการบดีจึงพูดต่อ

"เอาล่ะ ที่ผมเรียกพวกคุณมาวันนี้ ผมจะยังไม่ลงโทษใครทั้งนั้น หลังจากนี้ ผมจะให้ท่านรองอธิการตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ผมขอเตือนพวกคุณ…โดยเฉพาะนักศึกษา…ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดร้ายแรง เพราะเข้าข่ายทำให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียง บทลงโทษก็มีตั้งแต่ทำทัณฑ์บน พักการเรียน ให้ออก หรือว่าไล่ออก"

ท่านอธิการหยุดเว้นจังหวะ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นสีหน้าของผู้กระทำผิดซีดลง แววตาของเธอดูหวาดหวั่น เพราะแต่ละโทษที่ท่านอธิการพูดมานั้นล้วนไม่มีใครอยากได้รับทั้งสิ้น

"ส่วนใครจะได้รับโทษแบบไหน ผมขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการพิจารณาตามกฎระเบียบของมหาลัย เดี๋ยวเราเอาไว้ว่ากันทีหลัง วันนี้ผมอยากให้พวกคุณช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน เรื่องแรก…คะแนนที่หายไป เธอจะทำยังไง" ท่านอธิการบดีหันไปถามพี่สา

พี่สาเหลือบตาขึ้นมอง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก "แต่ว่า…น้องเขา…จะไม่ประกวดแล้วนะคะ"

"เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหม" ท่านอธิการบดีหันมาถามกัปตัน

กัปตันมองไปรอบๆ โต๊ะประชุม ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้ว เขาคงจะพอเดาได้ว่าเพื่อนๆ และพี่ซินดี้อยากให้เขาประกวดต่อ ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ทุกคนล้วนแต่อดทนและทุ่มเทเพื่องานนี้ กัปตันไม่ควรทำลายความตั้งใจของเพื่อนๆ และพี่ซินดี้

"ผมจะประกวดต่อครับ" กัปตันยืนยัน พี่สาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้น

"แล้วคะแนนของเธอที่หายไปล่ะ" ท่านอธิการบดีถามต่อ

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอาคะแนนก็ได้ ไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากมีส่วนร่วมกับเพื่อนๆ เพราะสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่รางวัล ผมแค่อยากให้ทุกคนยอมรับว่าผมก็เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ มีกิจกรรมอะไร…ก็ให้ผมทำด้วยเท่าที่ผมจะทำได้ ไม่มองผมเป็นคนอื่น ไม่กีดกันผม แค่ไม่รังเกียจผม…ผมก็พอใจแล้วครับ"

คำพูดของกัปตันทำเอาบางคนถึงกับน้ำตาซึม พี่ซินดี้ถึงกับเอามือป้ายน้ำตา หลายๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายคงเข้าใจความรู้สึกของกัปตันดี เหตุการณ์นี้คงจะให้บทเรียนสำคัญกับหลายๆ คนไปอีกนาน

ท่านอธิการบดีนิ่งคิด เหมือนพยายามจะคิดหาทางออกให้ เมื่อคิดออกแล้วท่านก็พูด "เอาอย่างนี้ละกัน ยอดไลค์ของอันดับที่สี่กับอันดับที่หกเป็นเท่าไหร่ คะแนนของเธอก็อยู่กึ่งกลางระหว่างสองอันดับนี้ละกัน ตกลงตามนี้ไหม" ท่านอธิการบดีหันไปทางพี่สา

แต่ก่อนที่พี่สาจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอแต่งตัวภูมิฐานคล้ายนักธุรกิจหรืออะไรทำนองนั้น ทุกคนหันไปมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียวกัน

"แม่! " กัปตันอุทานเบาๆ ด้วยสีหน้าตกใจ แม้กระทั่งผมเองก็ตกใจไปด้วย เพราะไม่คิดว่าแม่ของกัปตันจะบุกมาถึงที่นี่

"ดิฉันไม่ให้ลูกของดิฉันประกวดอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ! "

แม่ของกัปตันพูดจบก็กวาดตามองหาใครบางคน เมื่อเจอคนที่อยู่ในคลิป เธอก็เดินตรงปรี่ไปหา เมื่อถึงตัวก็ชี้หน้า

"เธอรู้ไหม ว่าคนเป็นแม่อย่างฉันรู้สึกยังไงที่เห็นเธอทำกับลูกฉันเแบบนี้ แต่ช่างเถอะ ที่ฉันมาวันนี้ ฉันไม่ได้จะมาพูดความรู้สึกของฉัน แต่ฉันแค่จะมาถามเธอ ว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเธอเรียนอยู่ที่ไหน แล้วสิ่งที่เธอทำกับลูกชายของฉัน…มันสะท้อนคุณภาพนักศึกษาที่ที่นี่เขาคาดหวังจากเธอหรือเปล่า เธอคงคิดเองได้นะ ลูกชายของฉันเขาเลือกมาเรียนที่นี่ ก็เพราะเขาเชื่อว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดี เขาเชื่อว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะที่นี่เป็นมหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ไม่ได้เป็นเพราะบังเอิญหรือจับฉลากเอา แต่เป็นอันดับหนึ่งเพราะคุณภาพ แต่คุณภาพความคิดของเธอ…มันเหมาะกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งแค่ไหนล่ะ! "

แม่ของกัปตันกระแทกเสียงตรงประโยคท้าย พี่สาถึงกับหน้าซีด ก่อนยกมือไหว้ขอโทษและร้องไห้ "หนูขอโทษค่ะคุณน้า หนูไม่ได้ตั้งใจ"

"แต่ที่ฉันดูในคลิป…มันคือความไม่ตั้งใจเหรอ! " แม่ของกัปตันย้อนถามเสียงดัง น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลพรากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคลิปนั้น เธอไม่สามารถทำใจได้เลย ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย เธอถึงกับทิ้งทุกอย่างแล้วรีบมาที่นี่

"เธอรู้ไหมว่าเธอทำให้คนเป็นแม่อย่างฉันน้ำตาตก แค่เขาเป็นแบบนี้ ชีวิตมันก็ยากอยู่แล้ว เธอยังมาทำกับเขาแบบนี้อีกเหรอ! "

ท่านอธิการบดีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกเดินมาหา ท่าทางโกรธจัดนั้น อาจทำให้แม่ของกัปตันเผลอทำร้ายคนที่ยกมือไหว้ปลกๆ เอาได้ "ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณ เดี๋ยวเรื่องนี้ทางมหาลัยของเราจะจัดการเอง มันอาจจะช้าหน่อยเพราะมันมีขั้นตอนกระบวนการ แต่ผมรับรองว่าทุกคนจะได้รับความยุติธรรม คนที่ทำผิดจะได้รับโทษอย่างแน่นอนนะครับ"

แม่ของกัปตันหันขวับไปทางท่านอธิการบดี แม้จะได้ยินคำรับรองเช่นนั้น สีหน้าของเธอก็ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด "ค่ะ ดิฉันเชื่อค่ะว่าทางมหาลัยจะให้ความเป็นธรรมกับลูกชายของดิฉัน แต่ไม่ว่าบทลงโทษจะเป็นยังไง ดิฉันก็จะไม่เปลี่ยนใจ เพราะดิฉันมีที่ที่ดีกว่านี้ให้ลูกชายของดิฉันไปเรียน ดิฉันจะได้มั่นใจว่าเขาจะได้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ มีเพื่อน มีสังคมแล้วก็มีโอกาสที่ดีกว่านี้ ที่สำคัญ…ไม่ต้องหาคนมาช่วยกันยกขึ้นยกลงอาคารเรียนให้มันอุจาดสายตา นี่มันยุคไหนกันแล้วคะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนนะคะท่านอธิการ ที่นี่…คือมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องความซิวิไลซ์ เรื่องวิชาการแล้วก็เรื่องสิทธิมนุษยชน ดิฉันเลือกที่นี่ เพราะดิฉันคาดหวังว่าลูกชายของดิฉันจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันเหมือนคนอื่นๆ ลูกชายของดิฉันไม่ได้เรียนฟรีนะคะ เขาจ่ายเงินเรียนเท่าๆ กับนิสิตคนอื่นๆ ในคณะเดียวกัน แต่เขากลับไม่ได้เหมือนที่คนอื่นได้ แค่จะขึ้นอาคารเรียน…ที่นี่ก็ยังทำทางขึ้นให้เขาไม่ครบเลย ดิฉันคงจะไม่ให้ลูกชายของดิฉันต้องมาลำบากลำบนเรียนที่นี่อีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ"

แม้ว่าจะมีเรื่องที่น่าตกใจสำหรับผม แต่ผมก็ยอมรับว่าสิ่งที่แม่กัปตันพูดตรงใจผมมาก ผมเคยดอดมาพบท่านอธิการบดีและคุยกับท่านเรื่องนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ท่านกลับไม่เห็นความสำคัญเลย ผมเห็นด้วยอย่างที่สุด ในเมื่อกัปตันจ่ายเงินเท่ากับคนอื่นๆ เขาก็ควรจะได้บริการจากที่นี่เท่ากับคนอื่นด้วย แต่นี่อะไร แค่จะขึ้นอาคารเรียนด้วยตัวเองยังไม่มีทางให้ขึ้น ทำให้ผมต้องคอยพะวักพะวนหลายครั้งเวลาที่ไม่มาเรียน เพราะกลัวไม่มีคนช่วยกัปตัน

ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ยินแม่ของกัปตันพูดคงอึ้ง ดูจากสีหน้าแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งท่านอธิการบดีเอง ท่านคงจำได้ว่าเคยคุยเรื่องนี้กับผมแล้ว เมื่อท่านไม่เชื่อสิ่งที่ผมบอก ท่านก็เลยต้องมาเจอสิ่งนี้เข้าให้ด้วยตัวเอง คราวนี้ถึงกับพูดไม่ออกเลย

บรรยากาศในห้องประชุมดูตึงเครียดมากขึ้น นอกจากจะมีคนเข้ามาเพิ่มแล้ว ปัญหาที่มีก็เพิ่มขึ้นด้วย ต้องยอมรับว่าการที่มหาลัยไม่จัดฟาซิลิตี้ให้คนพิการใช้ได้ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พี่สาคิดว่ากัปตันเป็นภาระด้วย เพราะทุกครั้งที่กัปตันมาซ้อม เขาต้องขอให้เพื่อนๆ ช่วยพาไปห้องน้ำหรือยกขึ้นลงเวทีเสมอ

"กัปตัน กลับบ้านกับแม่ ไม่ต้องประกวดอะไรทั้งนั้น แล้วต่อไป…ไม่ต้องทำกิจกรรมอะไรพวกนี้อีกแล้วนะ บอกตรงๆ ว่าแม่ไม่ไว้ใจคนที่นี่แล้ว"

แม่ของกัปตันหันมาบอกลูกชายด้วยเสียงเข้ม สีหน้าของกัปตันดูไม่ค่อยดีนัก ผมพอดูออกว่าเขากลัวแม่พอสมควร ยิ่งเจอแม่บุกเข้ามาแบบนี้ แปลว่าแม่ต้องเอาจริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะยอมง่ายๆ

"ไปเหอะ ไปคุยกับแม่มึงก่อน เดี๋ยวกูรอที่คอนโด" ผมกระซิบบอกคนที่นั่งข้างๆ

สีหน้าของกัปตันดูเป็นกังวลมากทีเดียว กระนั้นเขาก็พยักหน้าตกลงช้าๆ ที่จริงคงไม่มีทางเลือกมากกว่า เมื่อแม่พูดแล้ว กัปตันคงเถียงไม่ได้

"เดี๋ยวตอนเย็นกูมานะเว้ย" กัปตันบอกเบาๆ

"เออ เดี๋ยวกูจะรอ" ผมบอก

แม่ของกัปตันเดินออกไปจากห้อง กัปตันจึงต้องรีบเข็นรถตามแม่ไป ทิ้งความสับสน มึนงงและกังวลใจไว้ให้คนที่อยู่ในห้อง

"เธอเห็นหรือยังสา" พี่ซินดี้หันไปต่อว่ารุ่นน้องที่ยังคงนั่งร้องไห้ ที่จริงคงอยากจะต่อว่ามากกว่านี้ แต่อะไรหลายอย่างไม่เอื้ออำนวย จึงได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา

ผมว่าพี่สาคงไม่ถูกลงโทษแค่ทำทัณฑ์บนแน่ๆ อาจจะถึงขั้นให้พักการเรียนด้วยซ้ำ ก็น่าเห็นใจเธอเหมือนกัน เพราะเธอเรียนปีสุดท้ายแล้ว แทนที่จะได้จบไวก็ต้องมาเสียเวลา แต่จะว่าไปมันก็สาสมสำหรับเธอแล้ว จะห่วงก็แต่ปาร์ตี้เท่านั้น ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เลยต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย ผมได้แต่หวังว่าโทษของเขาคงไม่หนักมาก

หลังสองแม่ลูกออกไปจากห้อง การประชุมก็จบลงไปโดยปริยาย ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ส่วนผมก็ว่าจะกลับบ้านแวะไปหาพ่อซะหน่อย ช่วงนี้ผมแทบไม่ได้ไปหาพ่อเลย ไหนๆ ไปแล้วก็ว่าจะกินข้าวเย็นกับพ่อสักมื้อ จากนั้นค่อยกลับมาที่คอนโด รอกัปตันกลับมา

ขณะที่ผมกับเพื่อนอีกสามคนกำลังเดินลงบันไดอาคารสำนักงานอธิการ พี่โดมก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพอดี พอเห็นผม พี่โดมก็รีบเข้ามาถาม

"กัปตันล่ะอะตอม"

"กลับบ้านกับแม่ไปแล้วครับพี่ เมื่อกี้นี้เอง"

"จริงเหรอ" พี่โดมทำหน้ากังวล แต่ก็ไม่แสดงทีท่าว่าจะตามไป คงอยากให้คนในครอบครัวเขาคุยกันเองมากกว่า

"สงสัยกัปตันจะได้ไปเรียนที่อื่นแล้วล่ะพี่ เมื่อกี้...น้าเขาบอกว่าจะไม่ให้กัปตันเรียนที่นี่แล้ว" แบงค์พูด

"ก็คงงั้น" พี่โดมพึมพำ ผมเดาว่าพี่โดมน่าจะพอรู้เรื่องนี้บ้าง

"ตกลง…น้าเล็กไม่ให้กัปตันประกวดใช่ไหม" พี่โดมหันมาถามผม

"ครับพี่ ตอนแรก…พวกเราก็ตั้งใจจะให้กัปตันประกวดต่อนั่นแหละ แต่ตอนนี้…ผมว่าน่าจะยากแล้วล่ะ" ผมบอกด้วยสีหน้ากังวล

"พี่รู้" พี่โดมถอนหายใจ ก่อนทำหน้าครุ่นคิด มองหน้าผมเหมือนมีคำถาม ในที่สุดก็ตัดสินใจถามจนได้ "ถ้ากัปตันไปเรียนเมืองนอกกับน้องชาย อะตอมจะว่ายังไง"

ก่อนตอบ ผมหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ซึ่งมองผมด้วยสายตาเห็นใจ ตอนนี้ทุกคนคงรู้หมดแล้วว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน แต่ก็น่าเสียดาย เพิ่งตกลงคบกันแท้ๆ แต่อีกไม่นานก็จะต้องมาจากกันไป ผมไม่เคยคิดเลยว่าเราจะต้องจากกันเร็วขนาดนี้ คิดแล้วก็น่าใจหาย

"แล้วผมจะว่าอะไรได้ล่ะพี่"


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-09-2017 15:24:43
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-09-2017 16:03:35
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2017 16:49:17
เรื่องนี้ไม่ใชเรื่องเล็กๆ
ระดับพ่อแม่ตาสี ตาสา ที่จะปล่อยให้ผ่านไป
แบบอดกลั้น ไม่มีทางโต้ตอบ
แล้วแม่แบบกัปตัน เหอะๆ........
พี่สา ปีสี่แล้วนะ ทำอะไรไม่สมชั้นปี อายุ สมองเอาซะเลย

ก็ถ้ากัปตันไปเรียนเมืองนอก
อะตอมก็จะทำอะไรได้ล่ะนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-09-2017 20:42:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 24-09-2017 22:33:00
 :katai4: ฮ่วยยย แล้วไงต่อล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 1 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-09-2017 00:01:56
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 2 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 25-09-2017 00:13:11
EP22 (Part 2)
เวลา...

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<CAPTAIN>>>

"เทอมหน้า" แม่หยุดเว้นจังหวะ ท่าทางครุ่นคิดเหมือนกำลังตัดสินใจอย่างหนัก ไม่นานก็ถอนหายใจยาว "แม่จะให้กัปตันไปเรียนที่อเมริกากับลมหนุนนะลูก"

แม้ว่าผมจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินกับหู ผมก็อดที่จะตกใจไม่ได้ พอหันไปทางป๊า ผมก็เห็นป๊านิ่ง เวลาเกิดเรื่องนี้ทีไร ส่วนมากป๊ามักจะไม่กล้าขัด เพราะรู้ว่าแม่ผมมีปมในอดีตบางอย่าง พูดไม่ระวังอาจจะไปสะกิดแผลเก่าได้

"แม่ตัดสินใจแล้ว อยู่ไกลแม่อาจจะห่วงลูก แม่เป็นห่วงกัปตันแค่ไหนกัปตันก็คงรู้ แต่แม่...ไม่ยอมให้กัปตันมาเรียนกับคนที่เขาทำกับลูกของแม่แบบนี้หรอก แม่ทำใจไม่ได้"

แม่ร้องไห้อีกจนได้ ผมกับป๊าได้แต่มองหน้ากัน ผมรู้ว่าป๊าเข้าใจผม ป๊าต้องการให้ผมดูแลตัวเองได้ วันไหนที่ป๊ากับแม่ไม่อยู่แล้วจะได้หมดห่วง ป๊าจึงสอนให้ผมดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่หลายๆ อย่างก็ยังติดที่แม่ ที่จริงหลังๆ มานี้แม่ก็เลิกจ้ำจี้จ้ำไชกับผมไปพอสมควร แต่เหตุการณ์นี้คงทำให้แม่ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว

"แม่...ผมไม่เป็นไรแล้ว เพื่อนๆ ทุกคนก็อยู่ข้างผม อะตอมเขาก็ช่วยดูแลผม ก็มีแค่พี่เขาคนเดียวนั่นแหละที่เป็นแบบนั้น ตอนนี้...ผมก็ว่าเขาสำนึกผิดแล้วนะแม่" ใจจริงผมอยากจะบอกแม่ไปด้วยว่าไม่ต้องห่วงผม แต่คิดไปคิดมาก็เลือกที่จะยั้งปากไว้

"แล้วถ้ากัปตันเจออีกล่ะลูก ไม่รู้ล่ะ แม่ไม่ไว้ใจใครแล้ว ยังไงแม่ก็จะไม่ให้กัปตันเรียนที่นี่อีก" แม่ยืนยันทั้งน้ำตา

"ผมไม่อยากไปน่ะแม่" ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่คิด ปกติผมจะไม่ค่อยกล้าขัดคำสั่งแม่หรอก แต่ครั้งนี้มีบางอย่างทำให้ผมต้องทำแบบนี้

"ทำไมล่ะลูก จะอยู่ให้เขาทำร้ายต่อไปทำไม กัปตันก็รู้ว่าคนในประเทศนี้เป็นยังไง ส่วนมากเขาก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น พี่โดมเล่าให้แม่ฟังว่า...กัปตันขึ้นตึกเรียนเองไม่ได้ ถ้าวันไหนอะตอมไม่อยู่ กัปตันก็ต้องรอเพื่อนมาช่วย บางทีเพื่อนก็เกี่ยงกัน แล้วแม่ก็รู้ด้วยว่าอะตอมเขาเคยไปคุยกับอธิการเรื่องทำทางลาดเพิ่มแล้ว แต่เขาก็ไม่สนใจ แล้วกัปตันจะทนเรียนที่นี่ให้มันลำบากทำไมล่ะลูก พวกเขาไม่เคยมองเห็นค่าของกัปตันเลย แม่ทนไม่ได้หรอกลูกที่เห็นเขาทำกับลูกแม่แบบนี้ แม่มีปัญญาหาที่ที่ดีกว่านี้ให้กัปตันเรียนได้ ไม่ต้องรงต้องเรียนมันแล้วที่นี่ ไปเรียนกับน้องนะลูก ลมหนุนเขาจะช่วยดูแลพี่ชายของเขาเอง"

ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ ผมกับป๊ายิ่งต้องระวังมากขึ้น เพราะแม่อาจจะหวนรำลึกความผิดพลาดของตัวเองในอดีต คราวนี้จะยิ่งดราม่าไปกันใหญ่ เราจึงได้แต่นั่งมองหน้ากันและคิดในใจว่าจะเอายังไงดี

"กัปตัน...แม่ขอโทษนะลูก เพราะแม่เองแท้ๆ กัปตันถึงต้องมีชีวิตแบบนี้ เพราะแม่คนเดียว ถ้าแม่ไม่สะเพร่า กัปตันก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องมาถูกใครเขารังแกเหยียดหยามแบบนี้ แม่ขอโทษนะลูก"

แม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาจนได้ จากนั้นก็ร้องไห้โฮจนป๊าต้องเข้าไปกอดปลอบใจ หลายปีมานี้แม่เลิกตัดพ้อต่อว่าตัวเองไปบ้างแล้ว แต่เหตุการณ์ในคลิปทำให้ความรู้สึกนั้นกำเริบขึ้นมาอีกจนได้

"แม่...เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว แม่เลิกโทษตัวเองเถอะนะแม่ ป๊าก็มีส่วนผิดเหมือนกัน แม่ไม่ได้ผิดคนเดียวหรอก อีกอย่าง...พวกเราทุกคนก็ให้ความรัก ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับกัปตันมาตลอด เราไม่เคยดูแลเขาหรือรักเขาน้อยกว่าใครเลยนะแม่ ลูกเขารู้ เขาไม่เคยโทษแม่หรอก ไม่มีใครโทษแม่สักคน" ป๊าพยายามปลอบใจ แต่แม่ก็ยังคงร้องไห้หนักอยู่ดี

"ป๊า...แม่สงสารลูกน่ะป๊า แม่จะทำยังไงดี แม่ไม่อยากให้ใครทำร้ายลูกแบบนี้เลยน่ะป๊า"

ได้ยินแม่พูดแบบนี้แล้ว ผมก็อดที่จะร้องไห้ไปด้วยไม่ได้ จึงเข็นรถไปหาแม่ที่โซฟา แม่คงรู้ว่าผมมาหา จึงเปลี่ยนมากอดผมแทน

"แม่ขอโทษนะลูก"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมรักแม่นะครับ"

เราสองแม่ลูกกอดกันแน่น ต่างคนก็ต่างร้องไห้ จนกระทั่งต่างคนต่างค่อยๆ สงบกันไปเอง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องจะให้ผมไปเรียนเมืองนอกอีกแล้ว ป๊าพาแม่ขึ้นไปนอน เพราะแม่เสียใจมากจนไม่อยู่ในสภาพจะพูดคุยอะไรได้ แม่เป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ ทางที่ดีให้แม่สงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยมาพูดคุยกันทีหลัง

ผมอยู่กินข้าวเย็นกับป๊าสองคนหลังจากนั้น กินเสร็จก็ขอตัวกลับคอนโดทันที ระหว่างทางก็โทรไปคุยกับพี่โดม ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านให้พี่โดมฟัง รวมทั้งแอบถามเรื่องบางอย่างที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับอะตอมด้วย

เกือบๆ สี่ทุ่มผมก็มาถึงคอนโด ป่านนี้ที่งานประกวดคิวท์บอยคงจะรู้ผลกันหมดแล้วว่าใครได้ตำแหน่งอะไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผมหรอก ผมแค่เสียดายที่สุดท้ายก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเพื่อนๆ มากกว่า ผมคงต้องทำให้อะไรสักอย่างตอบแทนพี่ซินดี้กับเพื่อนๆ บ้างแล้ว เพราะทุกคนให้โอกาสและตั้งใจกับผมมาก

เมื่อขึ้นมาถึงห้อง ผมก็กดกริ่งเรียกเผื่อว่าอะตอมจะกลับมาแล้ว ไม่กี่อึดใจประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงชะลูดยิ้มเผล่ต้อนรับ ช่วยให้จิตใจที่ไม่ปกติของผมดีขึ้นมาได้บ้าง

"มาถึงนานแล้วเหรอ" ผมถามเพราะรู้ว่าอะตอมเพิ่งแวะไปหาพ่อมา

"อืม ก่อนมึงมาถึงครึ่งชั่วโมง" อะตอมเดินนำผมเข้ามาในห้อง เขาใส่แค่บอกเซอร์ตัวเก่าๆ ตัวเดียว เปลือยท่อนบนอวดหุ่นแข็งแรงอย่างนายแบบ

"แล้วพ่อมึงเป็นไงบ้าง"

"ก็ดี" อะตอมพูดเหมือนไม่สนใจอะไรนัก

"ดียังไงวะ" ผมอดสงสัยไม่ได้

อะตอมนั่งลงบนโซฟา สายตาจับจ้องไปที่จอทีวีที่เปิดทิ้งไว้

"กูรำคาญเมียใหม่เขาว่ะ เรื่องเยอะชิบเป๋ง ก็เลยรีบกลับ" อะตอมบ่น ก่อนหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย แต่ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะอยากดูอะไรเป็นพิเศษ

ผมขำเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางเซ็งๆ ของอะตอม จากนั้นก็เข็นรถไปจ่อที่โซฟาและพาตัวขึ้นไปนั่งข้างๆ คนหน้าบึ้งๆ

"ยังไงวะ"

"ขี้เกียจเล่าว่ะ ช่างมันเหอะ ว่าแต่มึงเป็นไงมั่ง" อะตอมละสายตาจากจอทีวีมาหาผม

"ไม่รู้ว่ะ" ผมยิ้มแห้งๆ สักพักก็ถอนหายใจสั้นๆ แรงๆ "ถ้าเกิดว่า...กูต้องไปเรียนเมืองนอกจริงๆ มึงจะว่ายังไงวะ"

อะตอมดูไม่ตกใจกับคำถามของผมมากนัก แต่ก็พอสังเกตได้ว่าสีหน้าของเขาดูหม่นเศร้าลงเล็กน้อย "มึงก็ไปเหอะ เรียนเมกาก็ดีนะเว้ย ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสแบบมึง ใครๆ เขาก็อยากไปเรียนเมืองนอกกันทั้งนั้นแหละ โพรไฟล์ดีกว่า โอกาสทำงานก็เยอะกว่า มันดีสำหรับมึงมากๆ เลยนะเว้ยกัปตัน"

นี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมคาดคิดมาก่อน ไม่คิดว่าอะตอมจะตอบผมมาแบบนี้ด้วยซ้ำ ผมจึงอดทึ่งไม่ได้

หลังจากได้ยินแม่พูดเรื่องหนึ่งเมื่อเย็นนี้ ก่อนมาผมก็เลยโทรถามพี่โดมเพิ่มเติม จึงได้ความว่าอะตอมไปคุยกับอธิการบดีเรื่องทำทางลาดเพิ่มในตึกเรียนให้ผมมาแล้ว แถมตอนนี้ยังพยายามจะสร้างชมรมยูดีขึ้นมาอีก พี่โดมและเพื่อนๆ ผมหลายคนก็ไปสมัครเป็นสมาชิกไว้แล้ว แต่ไม่มีใครบอกผมสักคน ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น อะตอมตั้งกองทุนขึ้นมาด้วย เอาเงินของตัวเองนั่นแหละเป็นเงินตั้งต้น เงินที่ได้จากค่าถ่ายแบบบางส่วนก็เอามาใส่ไว้ด้วย เพราะเขาตั้งใจจะหาเงินหนึ่งล้านมาทำทางลาดให้ผม

ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครสักคนกล้าทำอะไรแบบนี้ให้ผมถึงขนาดนี้

"มึงคิดอย่างงั้นเหรอ" ผมถามย้ำ

อะตอมพยักหน้า "เออ ถ้ากูเป็นมึง กูก็ไปนะเว้ย แต่ที่กูไม่ไปเพราะกูไม่มีปัญญาไปแค่นั้นแหละ" อะตอมพูดติดตลกตอนท้าย

ผมเขยิบตัวเข้ามาไกล้ จ้องหน้าอะตอมนิ่ง พลางก็นึกถึงเรื่องที่คุยกันที่อัฒจันทร์สนามกีฬาเมื่อช่วงบ่าย แน่นอนว่าเมื่อผมได้รู้เรื่องดีๆ ที่ผู้ชายคนหนึ่งพยายามทำให้ผม ผมคงจะไม่ลังเลที่จะมอบบางอย่างให้กับเขาหรอก ถ้าสิ่งที่ผมมีทำให้เขามีความสุขได้ ผมก็พร้อมที่จะให้

"มึงจำเรื่องที่เราคุยกันที่สนามกีฬาได้ไหม" ผมถามด้วยท่าทางเขินๆ

"เรื่องอะไรวะ" อะตอมทำหน้างงๆ จากนั้นก็ร้องอ๋อ "เออใช่ กูกับมึงตกลงเป็นแฟนกันแล้วนี่หว่า"

"เชี่ย มึงลืมเหรอวะ" ผมเผลอสบถ แต่ก็ไม่จริงจังนัก

อะตอมหัวเราะแหะๆ สีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

"โห ลืมแฟนกันได้นะคนเรา เป็นแบบนี้ เดี๋ยวกูลืมมั่งดีกว่า" ผมแกล้งขู่

"โอ๋ ขอโทษๆ " อะตอมรีบเอามือมาลูบหัวผมเบาๆ "วันนี้มันเรื่องเยอะไง มีอะไรต้องคิดเยอะแยะไปหมด ก็เลยลืม อย่าโกรธกูนะ"

อะตอมอ้อนด้วยการกะพริบตาปริบๆ ให้ดูน่าสงสาร

"เออ ไม่โกรธหรอก มีแฟนน่ารักแบบนี้ ใครจะโกรธลงวะ" ผมก้มหน้าหลบอายๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะพูดแบบนี้กับผู้ชายที่ไหนได้

ดวงตาสุกใสของอะตอมลุกวาวๆ ตามันโตเท่าไข่ห่านเลยก็ว่าได้ "น่ารักแล้วรักไหมล่ะ"

"เชี่ยนี่ ก็กูตกลงเป็นแฟนมึงแล้วไง ยังจะมาถามอีก" ผมว่า

"เออ จริงด้วยว่ะ" อะตอมหัวเราะเขินๆ พลางเอามือเกาท้ายทอยไปด้วย

"จะไหวไหมเนี่ย เป็นแฟนด้วยไม่ทันข้ามวัน เสือกจะลืมกันซะแล้ว"

"กูไม่ชินนี่หว่า" อะตอมแก้ตัว จากนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม "เอ...ในเมื่อมึงกับกูเป็นแฟนกันแล้ว แสดงว่ากูกับมึงก็..."

"อยากทำอะไรก็ทำ" ผมทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้

"แล้วมึงรู้แล้วเหรอว่ากูอยากทำอะไร" อะตอมยิ้มจนตาหวานเยิ้ม

ผมซุกตัวเข้าหาอะตอมและซบหน้าลงบนไหล่แทนคำตอบ อะตอมกอดผมไว้หลวมๆ อย่างรักใคร่

"เขินแล้วน่ารักนะมึง"

พอถูกชม ผมก็ยิ่งซุกตัวแน่นขึ้น มือที่ปล่อยว่างๆ ก็เปลี่ยนมากอดอะตอมไว้

"อยากทำเมื่อไหร่ก็บอกนะเว้ย" ผมบอกเสียงอู้อี้

อะตอมขำเบาๆ ก่อนจะเอามือดันไหล่ผมออก เห็นสายตาของมันแล้วผมก็ยังเขิน จึงต้องก้มหลบบ้างเป็นบางครั้ง

"เรื่องแบบนี้ ใครเขาพูดตรงๆ กันวะ มันต้องมีศิลปะกันหน่อย"

"ศิลปะอะไรของมึงวะ กูไม่เคยนี่หว่า แล้วมึงจะให้กูทำยังไง"

"ก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้แหละ พออารมณ์ได้ เดี๋ยวมันก็พาไปเอง ไม่ต้องพูดก็ได้"

"แล้วตอนนี้อารมณ์มันได้หรือยังล่ะ" ผมอยากรู้

อะตอมหัวเราะอีก ผมจึงประท้วง "อย่าหัวเราะดิวะ คนยิ่งเสียเซลฟ์อยู่นะเว้ย"

คราวนี้อะตอมจึงหยุดหัวเราะ สีหน้าของมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง คาดว่าคงมีบางอย่างที่สำคัญ

"จริงๆ กูก็อยากทำนะเว้ย แต่พอวันนี้กูเห็นว่าแม่ของมึงเขารักมึงมากแค่ไหน กูบอกตรงๆ ว่ากูไม่กล้าว่ะ ถ้าเกิดว่าเขารู้ว่ากูกับมึงมีอะไรกัน เขาจะว่ากูเหมือนที่เขาว่าพี่สาหรือเปล่าวะ กูจนนะเว้ย ใครๆ เขาก็ต้องคิดว่ากูหวังจะมาปอกลอกมึงทั้งนั้นแหละ​"

"เออ กูรู้ว่ามึงยังมีเงินไม่เยอะ แต่ถ้าวันหนึ่งมึงเรียนจบ มึงก็หาเงินเยอะๆ ได้นะเว้ย อีกอย่าง...มึงจนเงินก็จริง แต่มึงไม่จนหัวใจ ไม่งั้น...มึงคงไม่คิดจะหาเงินล้านหนึ่งมาทำทางลาดให้กูหรอก จริงไหม"

อะตอมทำหน้าทึ่งๆ เมื่อรู้ว่าผมรู้เรื่องนี้ แต่มันก็ไม่พูดอะไร

"เอาเป็นว่า...กูพร้อมแล้ว พูดตรงๆ แบบนี้แหละ ถ้ามึงพร้อมเมื่อไหร่...ก็บอกกูละกัน" ขณะที่พูด ผมก็ไม่หลบสายตาไปไหน เพราะต้องการให้อะตอมรู้ว่าผมจริงใจกับสิ่งที่พูดมากแค่ไหน

แววตาของอะตอมดูซาบซึ้ง ที่จริงความรู้สึกของเราสองคนตอนนี้ก็พอๆ กันนั่นแหละ ต่างคนต่างซึ้งใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้

"กูรักมึงนะอะตอม" เมื่อความรู้สึกมันได้ที่ ผมก็พูดคำคำนี้ออกไปโดยอัตโนมัติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น มาจากความรู้สึกที่แท้จริงของผมล้วนๆ

จู่ๆ ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ผมเงยหน้าและไล่มองไปตามหุ่นสูงชะลูดอย่างงงๆ จะว่าไปอะตอมก็หุ่นดีมาก ผมชอบขายาวเรียวแต่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นพิเศษ ร่างสมชายแบบนี้สาวๆ ที่ไหนก็ถวิลหา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมอบสิ่งนี้ให้ผมแทนสาวๆ ทั้งหลายที่มาติดพัน

อะตอมโน้มตัวลงมาพยุงผมลุกขึ้นยืน เพียงแค่สบตากันไม่นาน ผู้ชายที่แสนดีของผมก็ประกบปากลงมา ริมฝีปากของเราทักทายกันเบาๆ ด้วยการดูดดึงและลิ้มเลียตามขอบปากให้พอเสียวๆ

ไม่นานจูบของเราก็หนักหน่วงขึ้น แรงบดบี้ทำเอาผมเสียวสะท้านจนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนตัวเองจะทรุดลงไปกองที่พื้นได้ทุกเมื่อ ดีที่ได้แรงกอดพยุงจากอะตอมช่วยไว้ ไม่งั้นคงหล่นไปกองที่พื้นจริงๆ

จูบนี้อบอุ่นเหลือเกิน ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงปรารถนาที่ลุกโชนอย่างเต็มที่ แค่ได้ยินเสียงหอบหายใจของผมก็คงจะรู้ว่าผมรู้สึกกับจูบนี้มากแค่ไหน ที่ผ่านมาผมอาจจะกังวลและแอบต่อต้านลึกๆ แต่ครั้งนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้นแล้ว

แก่นกายของเราเบียดกันไปมาจนแข็งตึงแน่นอยู่ภายในร่มผ้า ถ้าแข็งไปกว่านี้คงจะทะลุเนื้อผ้าออกมาจนได้ หลังจากที่ผ่านเรื่องน่าปวดหัวมาทั้งวันแล้ว คืนนี้เราสองคนคงจะได้ปลดปล่อยเพื่อให้ความสุขแก่กันตามประสาคนรัก เอ...แต่จะว่าไปผมก็ตื่นเต้นเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย

อะตอมหยุดจูบแล้วอุ้มผมลงนอนบนโซฟา เขาตามมาทาบทับตัวผมไว้ทันที สายตาของเขาจับจ้องมองริมฝีปากของผมที่ถูกจูบจนแดงห้อด้วยความหลงใหล อีกไม่นานก็คงจะทำให้แดงยิ่งกว่านี้

"กูรักมึงนะกัปตัน"

สิ้นคำพูด อะตอมก็ระดมจูบผมอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าเมื่อกี้ซะอีก แถมมือของมันก็ยังไม่อยู่สุข คอยลูบไล้ไปทั่ว เล่นซุกซนจับนั่นจับนี่ ผมก็เลยไม่ยอมแพ้ ซุกซนแข่งกับมันบ้าง แต่พอผมจับแก่นกายที่แข็งปานหินของมันและขยำขึ้นๆ ลงๆ สักพัก อะตอมก็หยุดจูบผมและร้องครางด้วยความเสียว

"อาห์..."

สายตาของอะตอมมองผมเหมือนราชสีห์เห็นเหยื่ออันโอชะ เขาพร้อมขย้ำเหยื่อกินให้สมความหิวโหยได้ทุกเมื่อ ผมก็เต็มใจจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ อะตอมก็จับมือซุกซนของผมไว้ ไม่นานก็ดึงออกไปจากตรงนั้นอย่างช้าๆ

"กูยังทำไม่ได้ว่ะกัปตัน เมื่อกี้...หน้าแม่มึงลอยมาเต็มๆ เลยว่ะ"

แป่ว!

เฮ้อ...

​ผมเผลอถอนหายใจด้วยความเสียดายโดยไม่รู้ตัว จะมีอะไรที่น่าเซ็งกว่านี้อีกไหมเนี่ย

แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วผมก็เข้าใจสิ่งที่อะตอมคิด อะตอมรู้ว่าแม่หวงผมมาก ถ้าเกิดแม่รู้ว่าผมกับอะตอมทำอะไรกันแบบนี้ แม่คงไม่พอใจแน่ๆ เผลอๆ อาจจะให้เลิกคบกันด้วยซ้ำ

ก็สมควรที่อะตอมจะกังวลอยู่หรอก เพราะถ้าถลำไปแล้วจะเอากลับมาไม่ได้ ที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ อะตอมจะไม่มีวันเข้าหาแม่ผมได้อีกเลยทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นเขาคงต้องทำตัวดีๆ และหักห้ามใจพอสมควร

"กูไม่สบายใจว่ะกัปตัน" อะตอมยอมรับตามตรง สิ่งที่มันพูดตรงกับสิ่งที่ผมคิดพอดี

"แล้วเราจะทำไงกันดีวะ" ผมครุ่นคิด อะตอมก็พยายามคิดหาทางออกไปด้วย ครู่หนึ่งก็เปรยขึ้นมา

"ก็มีทางเดียวนั่นแหละ"

"ทำไงวะ"

"เวลาที่เหลืออยู่ กูก็ต้องทำให้แม่มึงยอมรับกูในฐานะที่เป็นแฟนมึงให้ได้สิวะ แม่มึงหวงลูกชายขนาดนี้ ถ้ากูทำไม่ถูก เขาเอากูตาย อีกอย่าง...กูไม่อยากเสียมึงไปเพราะเรื่องนี้ มึงเข้าใจกูนะเว้ยกัปตัน"

"เออ" ผมรับคำแล้วก็ค่อยๆ ยิ้ม นึกขำมันเหมือนกัน

"แต่ถึงกูจะยังไม่ทำอะไรมึง มึงก็เป็นแฟนกูนะเว้ย แล้วกูก็รักมึงด้วย อย่าน้อยใจนะเว้ย" อะตอมพยายามปลอบใจผม

"น่ารักอ้ะ" ผมพูดพลางเอามือบีบแก้มอะตอมเล่นเบาๆ

"ก็น่ารักเฉพาะกับคนที่กูอยากให้เขารักกูเท่านั้นแหละ"

ผมอดขำเบาๆ ไม่ได้ แม้อารมณ์ปั่นป่วนเมื่อกี้จะหายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเหลืออารมณ์รักและเอ็นดู

"มึงไม่ต้องห่วงหรอก แม่กูน่ะ...ถ้ากูรักใครเขาก็รักด้วยเว้ย"

อะตอมพยักหน้าเข้าใจ แววตาดูมีความหวังมากขึ้น "งั้น...ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ กูไปบ้านมึงบ่อยๆ ดีไหม"

เมื่อเห็นผมทำสายตามีคำถาม อะตอมก็รีบเฉลย

"อ้าว ก็ไปเอาใจว่าที่แม่ยายของกูไง"

เราสองคนขำพร้อมๆ กัน แม้จะดูเหมือนอารมณ์ดี แต่ลึกๆ เราก็กลัวการจากกันไม่น้อยเลย

ถ้านับจากวันนี้ไป เราสองคนเหลือเวลาพิสูจน์รักให้ป๊ากับแม่เห็นเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ผมยังไม่กล้านึกหรอกว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าความรักของเรามาจากความปรารถนาของหัวใจที่แท้จริง มันก็น่าจะมีหนทางให้พิสูจน์จนได้นั่นแหละ

"กูจะทำให้ได้นะเว้ย เพราะกูอยาก..." อะตอมยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย

"เออ กูเชื่อว่ามึงทำได้ กูจะช่วยมึงเต็มที่เลย เพราะกูก็อยาก..."

ผมยักคิ้วและยิ้มกรุ้มกริ่มใส่อะตอมบ้าง ตอนนี้ไม่รู้ว่าความอายหายไปไหนหมด สงสัยจะอยากจนหน้ามืดตามัวไปแล้วก็ได้ จะไม่ให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ยังไงล่ะ เพราะเมื่อกี้อะตอมทำผมอารมณ์ค้างเต็มๆ เลย

อะตอมนะอะตอม ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ยังมานึกถึงหน้าแม่ผมซะได้!


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1319330222-member.jpg)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 2 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 25-09-2017 02:45:32
ชอบบรรยากาศตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันจัง  :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 2 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-09-2017 09:55:34
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 2 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-09-2017 10:56:04
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 2 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 26-09-2017 10:12:34
อัปเดตพาร์ท 2 แล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP22 เวลา... Part 2 - 24.9.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 26-09-2017 10:38:21
เอ้อออ เอาสิ อ่านกันคิ้วขมวดมา 2 ตอนปิดท้ายตอนซะมุ้งมิ้งกันเลย ฮาตรงหน้าแม่ลอยมานี่แหละ จะมีกี่คนที่อยากจะได้ลูกเขาแต่นึกถึงครอบครัวเขาด้วยเนี่ย อยากขออะตอมใส่กล่องกลับบ้านเลย 555  อยากเห็นบทสรุปความคิดดำมืดแล้วละ ปี 4 แล้วเนอะคนนั้น (ไม่น่าเชื่อ) อธิการบดีผู้ไม่รับรู้สิ่งใด ปัดไปไกลตัวเท่าไหร่ได้ยิ่งดีจะดำเนินการอย่างไรกับตัวเองและปัญหานี้ รอติดตาม
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [1/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 27-09-2017 08:41:26
EP23 (Part 1)
แฟนผมเป็นคนใจกว้าง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

เช้าวันใหม่วันนี้อาจเป็นเพียงเช้าธรรมดาอีกวัน ตื่นมาแล้วก็ต้องรีบทำธุระส่วนตัวและออกไปเรียน วันนี้มีเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้า วิชาประวัติศาสตร์ศิลป์นั่นแหละ ที่จริงก็ไม่ยากหรอก แต่ต้องจำเยอะ จดเยอะ เป็นวิชาที่อาจจะสอบตกได้ถ้าไม่เข้าเรียนด้วยตัวเอง

เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมา ผมก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เช้าธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนเดียว มีคนตัวขาวๆ เปลือยท่อนบนนอนอยู่ข้างๆ ด้วย เขาหลับตาพริ้มซุกตัวคู้นอนอยู่ในผ้าห่มหนานุ่มสบาย เมื่อสังเกตดีๆ จะรู้สึกได้ว่าเขากำลังยิ้ม ว่ากันว่าคนที่นอนยิ้มคือคนที่มีความสุข แต่จะสุขเพราะอะไรนั้น คงมีแต่เราสองคนที่รู้

ผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นแฟนผมแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงเดือนเศษๆ ที่เรารู้จักกัน ผมจะรู้สึกกับเขาได้มากขนาดนี้ แรกๆ ผมก็เคยสงสัยความรู้สึกของตัวเองบ้าง เพราะไม่แน่ใจว่าใช่ความรักหรือเปล่า แต่ยิ่งอยู่ใกล้ ผมก็ยิ่งรู้สึกดี ก็เลยไม่อยากจะสงสัย ปล่อยให้หัวใจพาไปหาคำตอบโดยไม่ต้านทาน ก็ตามประสาคนรุ่นใหม่นั่นแหละ เราชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากกว่าจะปิดกั้นตัวเอง แม้ว่าจะแปลกไปหน่อย แต่ก็ทำให้ผมได้รับในสิ่งที่น้อยคนจะได้

ผมเคยมีความรักมาบ้างแล้ว จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าความรู้สึกของผมที่มีให้กับคนที่นอนข้างๆ คือความรัก ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย แถมยังมีร่างกายต่างจากคนอื่น แต่เขาก็มีเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดหัวใจผม นอกจากนิสัยใจคอแล้ว ผู้ชายที่ใช้รถเข็นคนนี้ก็ยังมีแรงดึงดูดทางเพศกับผมอย่างประหลาด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ผิวพรรณและกิริยาท่าทาง ผมแทบจะอดใจไม่ไหวทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชิดกัน

เขาเป็นคนหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ขนาดถูกชวนไปประกวดคิวท์บอยนี่คงไม่ใช่น่ารักธรรมดาแน่ๆ ใครเห็นก็มักจะสะดุดตาที่หน้าตาของเขานี่แหละ แต่พอรู้ว่าเขาใช้รถเข็น หลายคนก็มักล่าถอยไป น่าเสียดายที่คนพวกนั้นไม่ลองเปิดใจดูบ้าง บางทีอาจจะได้เจออะไรดีๆ เหมือนผมก็ได้

ผมคิดว่าผมไม่บ้านะที่คิดจะมีแฟนเพศเดียวกัน แถมยังเป็นคนพิการอีก ก็แค่ทำตามที่หัวใจบอกเท่านั้น จะบ้าก็บ้าสิวะ!

คิดไปก็น่าแปลก อวัยวะต่างๆ เราสั่งตามใจของเราได้ แขนขาของเรา เราจะสั่งให้เดินไปตรงไหน ให้หยิบจับอะไร เราสั่งได้หมด แต่หัวใจซึ่งอยู่กับตัวเราแท้ๆ กลับเป็นอย่างเดียวที่เราสั่งไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องความรัก มันทำตามอำเภอใจของมันเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีอำเภอใจอยู่ในแผนที่ซะด้วยสิ ใช้กูเกิ้ลค้นหาให้ตายก็ไม่มีทางพบ มันจึงเป็นอำเภอลึกลับมาตลอดวิวัฒนาการของมนุษย์ นายอำเภอที่ออกคำสั่งก็ไม่รู้อยู่ไหน คงจะเป็นเขานี่แหละที่กำหนดให้ผมรักคนคนนี้

ผมว่าผมโชคดีนะ เพราะผมคงจะเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ได้รักคนอย่างกัปตัน หวังว่านายอำเภอคนนั้นจะไม่พรากรักนี้ของผมไป

เช้านี้ผมจะปลุกคนพิเศษของผมให้ตื่นขึ้นรับวันใหม่ด้วยวิธีพิเศษ ว่าแล้วผมก็เลื่อนใบหน้าเข้าไปหา จ้องมองคนนอนหลับใหลด้วยรอยยิ้มละไม จากนั้นก็จุมพิตเบาๆ บนริมฝีปากแดงเรื่อ ปากแดงๆ ของมันนี่แหละที่จะทำให้ผมคลั่งแทบทุกครั้ง

เมื่อคืนกว่าจะได้นอนผมก็จูบมันไปตั้งหลายรอบ แม้ยังไม่ได้ล่วงรุกล้ำเตลิดลึก แต่เราก็ยังมีวิธีมากมายที่จะสร้างความสุขทางกายให้แก่กัน แค่มีมือขาวๆ มาช่วยแทนมือผม แถมยังมีปากแดงๆ และ “นมชมพู” มาเพิ่มสัมผัสซาบซ่านดูดดื่ม แค่นี้ผมก็เสร็จสมถึงสวรรค์ไปหลายชั้น เพียงแต่มันยังไม่ถึงชั้นที่เจ็ดเท่านั้นเอง

"กัปตัน ตื่นได้แล้ว" ผมส่งเสียงเรียกเบาๆ เมื่อถอนปากออก

กัปตันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ผมรีบฉีกยิ้มรอไว้ จากนี้ไปเขาจะเห็นรอยยิ้มนี้ทุกครั้งเวลาตื่นนอน เมื่อสมองเริ่มทำงานจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร กัปตันก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มส่งคืนผมบ้าง แม้จะยิ้มให้กันบ่อยๆ แต่ผมว่ารอยยิ้มของเราตอนนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะเป็นยิ้มของเช้าวันแรกที่เราตื่นขึ้นมาเป็นแฟนกัน

"กี่โมงแล้ว" กัปตันถามด้วยเสียงงัวเงีย

"เจ็ดโมงเช้า วันนี้มีเรียนเก้าโมงนะ" ผมรีบเตือนก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตานอนเหมือนเดิม

"เออ จริงด้วยว่ะ" กัปตันทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาถาม "จะกินอะไรไหม เดี๋ยวกูทำให้"

"กินมึงได้เปล่า อยากกินมึงที่สุดเลย" ผมเย้าและยิ้มทะเล้น จากนั้นก็ซุกหน้าลงตรงหัวไหล่ของกัปตัน สูดดมกลิ่นกายหอมๆ บนผิวขาวเนียนจนติดจมูก "แฟนกูนี่ตัวโคตรหอมเลย ผิวก็โคตรขาว ถ้าวันไหนได้กินนะมึง กูจะกินทั้งวันทั้งคืนไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย"

"ไม่ใช่เนื้อหมูนะเว้ย"

"ไม่ได้กินให้อิ่มเว้ย กินให้เสียว"

"หื่นแต่เช้าเลยนะมึง" กัปตันว่าพลางผลักหัวผมออกเบาๆ

ผมสอดมือกอดกัปตัน จากนั้นก็หมุนพลิกตัวเขาให้ขึ้นมานอนบนตัวผม ใบหน้าเราจ้องห่างกันแค่ลมหายใจกั้น น้ำหนักตัวของกัปตันที่ทิ้งลงมาบนตัวผมทำให้ร่างเราแนบชิดกัน กลิ่นกายหอมๆ กรุ่นอวลเต็มนาสิกประสาทจนใจผมแทบเตลิด จึงต้องหาทางออกด้วยการเลื่อนมือลูบไล้ลงไปตามแผ่นหลัง ก่อนหยุดที่ก้อนกลมสองก้อนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกางเกงในดีจีสีขาวเนื้อนุ่ม ผมกดส่วนนั้นลงเพื่อให้ส่วนล่างของเราสัมผัสกันแนบแน่นยิ่งขึ้น

"มึงไม่อยากกินกูเหรอ กูแซ่บนะเว้ย" ผมถามยั่ว

กัปตันไม่ตอบด้วยคำพูด เขาเอาปากงับปลายจมูกผมเบาๆ ผมว่ามันโคตรยั่วและเซ็กซี่เลย เท่านั้นยังไม่พอ กัปตันยังพูดยั่วผมอีก

"ถ้ามึงไม่นึกถึงหน้าแม่กูซะก่อน ป่านนี้กูคงได้กินของแซ่บๆ ไปแล้ว"

ได้ยินอย่างนี้ผมก็ถึงกับซี๊ดปาก "อีกซักน้ำก่อนไปเรียนไหม"

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวไม่มีแรงไปเรียน"

"เดี๋ยวกูเข็นให้"

"เดี๋ยวมึงขาอ่อน ยกกูขึ้นตึกเรียนไม่ไหว"

"เพื่อนก็มีตั้งเยอะแยะ นะๆ ๆ " ผมแกล้งอ้อน

"ไม่เอาเว้ย กูหมดไปเยอะแล้วเมื่อคืน" กัปตันบ่ายเบี่ยง

"ขนาดยังไม่ใช่ของจริง มึงยังหมดเยอะขนาดนี้เลย ถ้าเจอของจริงขึ้นมา กูว่ามึงตัวซีดแน่ๆ " ผมยังไม่หยุดแหย่เล่น

"ก็รีบเอาชนะใจแม่กูให้ได้เร็วๆ ละกัน"

"อยากกินของแซ่บจะแย่แล้วล่ะซี้" ผมทำเสียงล้อเลียน

"เออ กูก็อยากรู้ว่าจะแซ่บจริงเหมือนที่โม้หรือเปล่า"

"โอเค งั้นกูจะรีบพิสูจน์เลย"

"มึงมีวิธีแล้วเหรอ" กัปตันมุ่นคิ้ว

"มีสิวะ เห็นกูอย่างนี้ กูก็รู้นะเว้ยว่าถ้ากูจะรักมึงน่ะ รักธรรมดาๆ ไม่ได้หรอก มันต้องพิเศษกว่าคนอื่นๆ กูคิดไว้ตั้งนานแล้วเว้ย"

"กูจะลอยแล้ว"

"ไม่ลอยหรอก กูกอดมึงไว้อยู่ไม่เห็นเหรอ"

"กอดบ้าอะไรของมึงวะ มืออยู่ต่ำขนาดนั้น" กัปตันแสร้งว่าเขินๆ

"เออน่า กอดตรงไหนก็เหมือนกันแหละ มึงก็ชอบไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นบ่นสักคำ"

กัปตันไม่โต้ตอบ ใบหน้าเปี่ยมสุขยิ้มละไม แค่ดูผมก็รู้ว่าเขามีความสุข นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากเห็น

"กูจะทำให้มึงมีความสุขนะกัปตัน" ผมบอกเบาๆ สีหน้าและแววตาที่ผมแสดงออกไปก็น่าจะสอดรับกับสิ่งที่ผมพูดเป็นอย่างดี "มึงรู้ใช่ไหมว่าผู้ชายส่วนมากมีสาวๆ ในฝันกันทั้งนั้นแหละ มึงก็มี กูก็มี" ผมพูดเกริ่นให้อยากรู้ จากนั้นก็พูดต่อ

"สาวในฝันของกูน่ะ…ไม่มีภาพคนแบบมึงเลยนะเว้ย ใครๆ ก็อยากได้สาวสวยเอ็กซ์เซ็กซี่มาเป็นแฟนทั้งนั้น แต่พอกูเจอมึง ภาพคนในฝันของกูก็เปลี่ยนไป กูก็บอกมึงไม่ได้นะเว้ยว่าทำไมกูถึงรู้สึกกับมึงแบบนี้ รู้สึกมากจนยอมให้มึงเข้ามาแทนที่สาวในฝันของกูเลย แถมยังดีกว่าที่กูเคยอยากได้ซะอีก"

"จะให้กูซึ้งแต่เช้าเลยเหรอวะ" กัปตันสัพยอก

"เออ กูอยากให้มึงตื่นมาเจอเรื่องดีๆ ทุกวัน มึงจะได้มีความสุขตั้งแต่ลืมตาตื่นเลยไง ไม่ดีเหรอ"

"ก็ดี" กัปตันยิ้ม สักพักก็ทำหน้าเศร้าๆ "กูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมวะ"

ผมยื่นปากไปแตะกับริมฝีปากของกัปตันเบาๆ ประหนึ่งจะปลอบใจในความน้อยอกน้อยใจนั้น "กูไม่ปล่อยให้มึงมีความสุขแค่ในความฝันหรอกเว้ย เพราะความฝันมันสู้ความจริงไม่ได้ กูอยากให้มึงมีความสุขมากกว่าความฝันตั้งแต่วินาทีแรกที่มึงลืมตาตื่นเลย"

"ซึ้งว่ะ" กัปตันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่แล้วก็ยิ้ม "ขอบคุณนะอะตอม กูก็จะพยายามทำให้มึงมีความสุขเท่าที่กูจะทำให้มึงได้ กูจะทำให้ดีที่สุดนะเว้ย"

ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจุมพิตริมฝีปากของกัปตันเบาๆ อีกรอบ เช้านี้ของผมพิเศษจริงๆ ผมคงจะจดจำเช้าวันแรกที่เราตกลงเป็นแฟนกันไปอีกนาน

อ้อยอิ่งบนเตียงนอนพอสมควรก็ถึงเวลาต้องไปทำหน้าที่นักเรียนที่ดีเสียที กัปตันลงจากเตียงไปชงโปรตีนและอาหารเสริมให้ผมกินเหมือนเดิม ผมก็ว่าดีเหมือนกัน เพราะถ้าวันไหนรีบ เราก็ไม่ต้องเสียเวลาทำอาหารหรือออกไปหาซื้ออะไรกิน ที่สำคัญไม่ต้องอดมื้อเช้าด้วย

ขณะนั่งกินบนโต๊ะอาหาร เราสองคนก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อย ช่วงหนึ่งกัปตันก็ชวนผมคุยเรื่องอาชีพที่น่าสนใจอาชีพหนึ่ง

"เมื่อวานกูคุยกับป๊า ป๊าเขาฝากกูมาถามมึงว่ามึงสนใจขับอูเบอร์ไหม ที่บ้านกูมีรถไม่ได้ใช้อยู่คันหนึ่ง สภาพยังดีอยู่นะเว้ย ถ้ามึงสนใจ ป๊ากูจะให้มึงเอารถคันนี้ไปขับอูเบอร์ มึงจะได้มีรายได้เพิ่มอีกทางไง มึงอยากลองดูไหม"

ผมได้ยินเรื่องนี้มาสักพักแล้ว นักศึกษาบางคนก็ขับอูเบอร์เป็นอาชีพเสริม ผมก็เคยคิดอยากทำเหมือนกัน แต่ติดตรงไม่มีรถนี่แหละ พอได้ยินแบบนี้ผมก็เลยตาโต

"สนใจดิวะ"

"งั้นเย็นนี้ไปบ้านกูนะ จะได้ไปคุยกับป๊ากู"

"เออๆ " ผมรับคำอย่างกระตือรือร้น

"ป๊ากูเขาบอกว่า…ถ่ายแบบคงไม่ได้ถ่ายทุกวัน แต่ถ้ามึงขับอูเบอร์ มึงกำหนดได้นะเว้ยว่ามึงจะไปทำวันไหน วันไหนอยากมีรายได้ มึงก็ไปขับ ได้เงินมาใช้ทันที ไม่ต้องให้ใครมาจ้าง"

"ก็จริงของป๊ามึงแหละ" ผมพยักหน้าช้าๆ เห็นด้วย

"แล้วมึงจะไหวหรือเปล่าวะ ทั้งเรียน ทั้งถ่ายแบบ แล้วก็ต้องมาขับอูเบอร์อีก" กัปตันเป็นห่วง

"ไหวดิวะ ก็ดีนะเว้ย ช่วงนี้งานถ่ายแบบก็ไม่ค่อยเยอะว่ะ เด็กใหม่เข้ามาเยอะเลย พวกนิตยสารออนไลน์ก็เยอะขึ้น คู่แข่งโคตรเยอะเลย กูก็กำลังมองหาอาชีพเสริมอยู่เหมือนกัน"

"ก็ลองดู ถ้าวันไหนไม่ไหวก็พัก"

ผมพยักหน้าและยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ จังหวะนั้นโทรศัพท์ผมก็ดังเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาหา ผมจึงคว้าโทรศัพท์ที่วางใกล้ๆ มาเปิดอ่านข้อความในเมสเซนเจอร์ อ่านจบก็หน้านิ่วคิ้วขมวด

"มึงดูดิ แม่งตามตื๊อกูไม่เลิกเลยว่ะ" ผมบ่นพลางส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้กัปตันดู

กัปตันทำท่าลังเล เพราะโดยปกติเขาจะไม่มายุ่งกับความเป็นส่วนตัวในโทรศัพท์ของผม แต่เมื่อผมไม่หดมือกลับ เขาก็คงเข้าใจว่าผมยืนยันที่จะให้ดู กัปตันจึงรับไปอ่าน

"เสี่ยคนนั้นน่ะเหรอ" กัปตันถามเมื่ออ่านจบแล้ว

"เออ กูอุตส่าห์บอกพี่แอร์ไปแล้วว่าไม่ไป ก็นึกว่าจะเลิกตื๊อ แม่งยังไม่เลิกอีก"

"เขากล้าเสนอเงินให้มึงเป็นแสนเลยเหรอวะ โคตรใจป้ำ แสดงว่าอยากได้จริงๆ "

"กี่แสนก็ไม่ไปเว้ย กูไม่ใช่เด็กขาย ให้ด้วยความพอใจเท่านั้นเว้ย" ผมยิ้มทะเล้นตรงประโยคท้าย ก่อนพูดสืบไป "ต่อไป…มือถือกู ถ้ามึงอยากจะดู กูให้มึงดูได้นะเว้ย"

"ไม่เอา เรื่องส่วนตัวของมึง กูไม่ยุ่งหรอก" กัปตันปฏิเสธ ผมก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องปฏิเสธ

"ไม่อยากดูก็ไม่เป็นไร กูแค่บอกมึงไว้ ตอนกูคบกับอั้มน่ะ กูก็ให้เขาดูมือถือกูนะเว้ย กูก็เลยตั้งเป็นนโยบายส่วนตัวว่า…ถ้ามีแฟน กูจะยอมให้เขาดูมือถือกูถ้าเขาต้องการ" ผมอธิบายที่มาที่ไป กัปตันถึงกับขำ

"ถึงขนาดเป็นนโยบายส่วนตัวเลยเหรอวะ"

"เออ แต่มึงไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายเหมือนกูก็ได้นะเว้ย" ผมยกแก้วโปรตีนขึ้นดื่มจนเกลี้ยงและวางแก้วลง พลันก็ต้องแปลกใจเมื่อกัปตันยื่นมือถือของเขามาให้ผมบ้าง

"กูขี้เกียจคิดเอง ขอลอกนโยบายมึงมาลองใช้ละกันนะ เผื่อจะเวิร์ค"

ผมมุ่นคิ้วและหรี่ตามอง สีหน้าบ่งบอกความไม่แน่ใจ "แน่ใจนะเว้ย แล้วมึงจะให้กูดูอะไร"

"เปิดไว้ให้แล้ว อ่านดิ" กัปตันบอกยิ้มๆ

ผมจึงถือวิสาสะรับมือถือของกัปตันมาดู อ่านไปได้หน่อยผมก็ส่ายหัวไปมา

"ไม่ใช่เล่นเลยนะมึง ถึงว่าล่ะ เห็นชอบเล่นมือถือดึกๆ ดื่นๆ คุยกับสาวๆ นี่เอง มีนัดเจอกันด้วย"

"เขาชวนกูคุยเว้ย ตั้งแต่ประกวดคิวท์บอย ก็มีสาวๆ มาคุยกับกูเยอะเลยว่ะ" กัปตันทำท่าภูมิใจ

"แหม คิวท์บอยเสน่ห์แรง" ผมทำเสียงล้อเลียนพลางส่งมือถือคืนให้กัปตัน

"ว่าแต่กู ของมึงก็มีไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้กูเห็นเต็มเลย"

"เออ ปกติมันก็เยอะอย่างนี้แหละ กูเป็นนายแบบนี่หว่า แต่ถ้ามึงอ่านดู มึงก็จะเห็นเองแหละว่ากูแค่คุยเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไร"

กัปตันพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย "เออ กูเป็นผู้ชาย กูรู้ว่าแบบไหนคุยเล่น แบบไหนคุยล่อ"

"เข้าใจเล่นคำนะมึง" ผมขำเบาๆ ก่อนถามด้วยความอยากรู้ "เออ…แล้วมึงจะไปเจอเขาจริงๆ เหรอวะ"

"เจอแล้ว อยู่ในมหาลัยนี่แหละ คุยเล่นเฉยๆ กูรู้ไงว่าเดี๋ยวมีคนหึง ดูท่าจะหึงโหดซะด้วย" กัปตันยิ้มย่องอย่างภูมิใจ

"กูไม่ใช่นางอิจฉาหนังไทยนะเว้ย ตบคนไม่เป็น แต่ถ้ามาชอบแฟนกู กูก็แค่จะบอกตรงๆ ให้เขาเลิกหวัง เพราะตัวจริงของมึง…อยู่นี่เว้ย"

"กูว่าเขาช็อกแน่ๆ เลยว่ะ" กัปตันสัพยอก เราสองคนหัวเราะพร้อมกันอย่างมีความสุข

ยังพอมีเวลาอีกเล็กน้อย เราสองคนจึงพอมีเวลาคุยกันโดยไม่ต้องรีบมาก โชคดีที่คอนโดเราอยู่ใกล้มหาลัย ขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว ผมก็ว่าดีเหมือนกัน เพราะเราจะได้ไม่ต้องรีบมากเวลามีเรียนตอนเช้า

"เออ วันนี้ไอ้อินมันจะมาเรียนนะเว้ย"

อยู่ๆ กัปตันก็พูดถึงเพื่อนอีกคนหนึ่งขึ้นมา ตั้งแต่รู้ข่าวว่าโดนมอเตอร์ไซค์ชนแขนหัก ผมก็ยังไม่เคยโผล่หน้าไปเยี่ยมเลย แทบไม่เคยถามถึงเลยด้วยซ้ำ

"แล้วไงวะ" น้ำเสียงของผมเย็นชาขึ้นมาทันที

กัปตันทำท่าครุ่นคิด เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรพูดดีหรือไม่ แต่ผมก็รู้ว่าเขาน่าจะคิดไว้บ้างแล้ว ไม่นานเขาก็ตัดสินใจพูด

"มึงให้อภัยมันได้ไหมวะ ตอนนี้…ใครๆ ก็ซ้ำเติมมัน กูกลัวมันจะไม่ไหวว่ะ สงสารมัน ดูๆ ไปมันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายนะเว้ย แต่…ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กูเข้าใจ" กัปตันทิ้งท้ายโดยเผื่อทางเลือกไว้ให้ผม ทำให้ผมไม่รู้สึกกดดันมากเกินไป

"ยังไม่รับปากนะเว้ย ถ้ามันทำตัวดีๆ น่าให้อภัย กูก็จะให้อภัย แต่ถ้ายังทำตัวเหมือนเดิม กูก็จะไม่ให้อภัยมันหรอก"


TBC


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1560359415-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [1/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-09-2017 09:34:20
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [1/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-09-2017 10:01:55
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [1/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-09-2017 12:26:52
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [1/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-09-2017 12:45:24
อะตอม กัปตัน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [2/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-09-2017 20:21:10
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [2/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 29-09-2017 08:42:17
โดนกัดกันไม่ปล่อยเลยเด็กปีหนึ่งมอนี้ คงต้องมีพิธีล่อตัวกัดมาสังเวยแล้วมั้ง
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [2/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 29-09-2017 09:29:17
EP23 (Part 2)
แฟนผมเป็นคนใจกว้าง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


<<<ATOM>>>

จะว่าไปผมก็ค่อนข้างห่างเหินกับเพื่อนๆ พอสมควรตั้งแต่เข้ามาเรียน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย บางครั้งก็ไม่ได้เข้าเรียน บางวันเลิกเสร็จก็จะออกไปทำงานเลย ไม่ค่อยได้ออกไปกินเที่ยวกับเพื่อนๆ เท่าไหร่ มีแต่กัปตันนี่แหละที่มีเวลาให้กับเพื่อนๆ มากกว่าผมหน่อย เขาก็เลยสนิทกับเพื่อนๆ มากกว่าผม รู้ความเคลื่อนไหวของเพื่อนแต่ละคนดีกว่า

ถึงอย่างนั้น บรรยากาศที่โรงอาหารเที่ยงวันนี้ก็ดูคึกคักสดใส ได้กินข้าวกับเพื่อนๆ หลายคนแบบนี้ผมก็ว่าอบอุ่นดี คงเป็นเพราะนานๆ ครั้งผมจะได้นั่งกินข้าวกับเพื่อนโดยไม่ต้องรีบไปไหน แถมยังมีเรื่องความสัมพันธ์ใหม่มาให้พวกมันแซวเล่นอีก ก็เลยยิ่งสนุกกันใหญ่ พวกมันแซวผมกับกัปตันตั้งแต่เช้า ตอนแรกผมก็เกร็งๆ ว่าพวกมันจะรับได้หรือเปล่า แต่จนถึงตอนนี้...โซฟาร์โซกู้ด

อีกเรื่องที่ฮ็อตสุดๆ ยิ่งกว่าเรื่องผมกับกัปตันเป็นแฟนกันก็คือเรื่องงานประกวดคิวท์บอยเมื่อคืนนี้ เพื่อนๆ เล่าให้ฟังว่างานค่อนข้างกร่อย แถมยังมีดราม่าด้วยเมื่อมีคิวท์บอยคนหนึ่งไม่ขอรับรางวัล จะใครเสียอีก ปาร์ตี้นั่นไง ตอนพิธีกรประกาศชื่อ เขาออกมารับรางวัลก็จริง แต่แล้วก็พูดออกไมค์สั้นๆ ว่า

"รางวัลนี้มันควรจะเป็นของเพื่อนผม เพราะฉะนั้น ผมขอไม่รับรางวัลนี้นะครับ"

จากนั้นเขาก็ถอดสายสะพายส่งคืนให้กับผู้มอบ แล้วก็รีบเดินหลบไปหลังเวทีท่ามกลางเสียงฮือฮาของคนดู ทำเอาคนมอบรางวัลถึงกับหน้าเสีย พิธีกรต้องรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้ไขสถานการณ์แทบไม่ทัน จึงกลายเป็นว่าปีนี้มีคิวท์บอยที่ได้รางวัลแค่สี่คนเท่านั้น ปกติทุกปีจะมีห้าคน

ดูๆ แล้วเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ เพราะคลิปที่กัปตันถูกพี่สาด่าถูกเผยแพร่ออกสื่อหลักไปหลายช่อง แถมยังไปไกลถึงต่างประเทศเพราะมีคนทำซับภาษาอังกฤษใส่ในคลิปให้ด้วย เมื่อเช้านี้ก็มีนักข่าวหลายสำนักเข้ามาตามหาอธิการบดีและนิสิตที่อยู่ในคลิป แต่ไม่มีใครกล้าให้สัมภาษณ์ นักข่าวจึงถามเหตุการณ์และความรู้สึกของนิสิตทั่วไปแทน

เมื่อสื่อสนใจแบบนี้ ก็เท่ากับมหาลัยถูกกดดันให้ต้องหาทางออกที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง คนก็จะยิ่งเอาไปพูดในทางไม่ดีมากขึ้น

บ่ายนี้ กัปตัน ผม ปาร์ตี้ พี่สาและพี่ปริมต้องเข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการสอบสวน ใครๆ ก็เดากันว่าพี่สาน่าจะโดนโทษหนักสุด อาจถึงขั้นต้องพักการเรียนก็ได้ ปาร์ตี้อาจจะโดนทำทัณฑ์บน ส่วนคนที่เหลือน่าจะแค่ว่ากล่าวตักเตือน

ผมว่าจะถือโอกาสนี้เสนอให้ทางมหาลัยจัดสรรงบประมาณมาปรับปรุงฟาซิลิตี้ด้วย เพราะมีสื่อบางสำนักเขียนข่าวในทำนองว่าฟาซิลิตี้สำหรับคนพิการในมหาลัยนี้แย่มาก ทั้งๆ ที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น การปรับปรุงฟาซิลิตี้ให้เข้าถึงได้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีมากกว่าแค่ลงโทษคนทำผิดอย่างเดียว

"นั่นอินนี่" น้ำหวานพูดขึ้นขณะที่เรากำลังกินข้าวและคุยกัน เธอมองไปที่โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่

ผมและเพื่อนๆ คนอื่นๆ หันไปมองตามด้วยแววตาสงสัย ปรับโฟกัสสายตาไม่นานก็เจอคนที่น้ำหวานบอก อินมีผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขนข้างซ้ายที่หักไว้ ส่วนมือข้างขวาถือจานข้าว ทำท่าเหมือนเดินหาที่นั่ง สุดท้ายก็เลือกไปนั่งคนเดียวเงียบๆ

"ทำไมไปนั่งกินข้าวคนเดียววะ" แบงค์มุ่นคิ้ว

"มึงอยากไปนั่งกับมันหรือไง เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นคู่ขาเอาท์ดอร์กับมันหรอก มึงอยากเอาท์ดอร์หรือไง" กวินล้อ

"ไอ้เหี้ย อยากพ่อมึงดิ" แบงค์หัวเราะสนุก

คำพูดของเพื่อนทำให้ผมรู้สึกสะดุดใจไม่น้อย เรื่องของอินน่าจะรู้กันแพร่หลายแล้ว แต่ก็รู้กันแค่ในหมู่นิสิตบางคนและบางคณะ ถึงอย่างนั้นผมก็เดาได้ไม่ยากว่าไม่นานเรื่องนี้น่าจะถึงหูผู้ใหญ่จนได้ คราวนี้คงจะมีเรื่องฉาวให้สื่อเอาไปเล่นอีกระลอก

"สงสารมันเนอะ ไม่มีใครคุยกับมันเลย" น้ำหวานพูดเปรยๆ

"มึงก็ไปนั่งกับมันดิ" กวินบอกพลางบุ้ยหน้าไปทางอิน

"ไม่เอาเว้ย" น้ำหวานรีบปฏิเสธ

ผมเห็นอินวางจานข้าวลง จากนั้นก็เดินไปหยิบช้อน ด้วยความที่มือใช้ได้ข้างเดียวจึงต้องหยิบมาทีละอย่าง

"ไปช่วยมันหน่อยดิ" กัปตันหันมาบอกผม

"เฮ้ย เอาจริงเหรอ" ผมทำหน้าไม่แน่ใจ

"เออ ช่วยมันหน่อย เชื่อกูดิ" กัปตันยืนยัน

แฟนผมช่างเป็นคนใจกว้างซะจริงๆ แม้กระทั่งคนที่เคยทำเขาเจ็บเขาก็ยังให้อภัยได้ แต่คงไม่ใช่สำหรับผมหรอก แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากลองทำตามที่กัปตันบอกดูบ้าง แค่ช่วยเฉยๆ คงไม่มีปัญหาอะไร คิดแล้วผมก็ลุกขึ้นและเดินไปหาอิน

"จะเอาน้ำอะไร เดี๋ยวกูเอามาให้"

เสียงพูดของผมทำให้อินหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าเป็นผม มันก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปเอาเอง" อินปฏิเสธพลางวางช้อนส้อมที่ถือมาลงบนจานข้าว มันไม่ค่อยกล้าสบตาผมมากนัก ที่จริงผมกับมันก็มองหน้ากันไม่สนิทมาระยะหนึ่งแล้ว

"ก็บอกว่าจะไปเอาให้ไง พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ" ผมทำเสียงดุ

อินทำหน้าเหวอเล็กน้อย ปกติคนจะช่วยเหลือกันคงไม่พูดจาหรือทำเสียงแบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่สนิทใจพอที่จะพูดด้วยเสียงปกติธรรมดา แค่นี้ก็ถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ

"น้ำเปล่า" อินตอบสั้นๆ

"ก็แค่นี้"

ผมบอกแล้วก็เดินออกไป เป้าหมายอยู่ที่ร้านขายน้ำและเครื่องดื่ม ใช้เวลาไม่นานนักก็ได้น้ำหนึ่งขวดเย็นๆ ติดมือมาด้วย จากนั้นผมก็เดินเอามาส่งให้อินที่โต๊ะ

"ขอบใจนะเว้ย" อินพูดเบาๆ พลางรับขวดน้ำไปวาง สายตายังคงดูหวาดระแวงกับการกระทำแปลกๆ ของผมอยู่

"ไม่เป็นไร"

"เท่าไหร่" อินเงยหน้ามาถาม คราวนี้มันกล้าสบตากับผมตรงๆ ซะด้วย

"ไม่ต้องหรอก ซื้อให้" ผมตอบห้วนๆ เมื่อไม่มีอะไรจะพูดกับมันอีกแล้ว ผมก็ทำท่าจะเดินหนี

จังหวะนั้นอินก็รีบพูดขึ้น "ที่ผ่านมากูขอโทษนะเว้ย"

สองเท้าผมหยุดกึกกับที่ ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองอินอีกครั้ง มันทำหน้าตาน่าสงสารมากทีเดียว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะสงสารมันดีหรือเปล่า คิดถึงเรื่องที่มันหลอกพาผมไปนอนที่ห้องทีไรยังแค้นไม่หาย แทนที่ผู้ชายคนแรกของผมจะเป็นกัปตัน ก็ดันเป็นไอ้อินซะงั้น

"กูก็แค่...อยากขอโทษมึงแค่นั้นแหละ มึงไม่จำเป็นต้องให้อภัยกูหรอก" อินพูดต่อหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปสักพัก

บางอย่างบอกผมว่าคงถึงเวลาต้องตัดสินใจซะที ผมมีอยู่สามทางเลือก อย่างแรก ยังไม่ต้องให้อภัยมัน อย่างที่สอง ให้อภัยแต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก และอย่างที่สาม ให้อภัยโดยมีเงื่อนไขบางอย่าง ถ้าเลือกอย่างที่หนึ่งหรือสอง ผมกับมันก็จะต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าเลือกอย่างที่สาม ผมอาจจะผิดหวังกับมันอีกครั้งถ้าอินทำตัวไม่ดีเหมือนเดิม แต่ถ้ามันทำตัวดี ผมก็จะได้เพื่อนดีๆ เพิ่มมาอีกคน

ทั้งสามทางเลือกดูจะตัดสินใจยากไม่น้อย ผมก็เลยเลิกคิดเองและถามมันไปตรงๆ เลยดีกว่า

"มึงอยากให้กูอภัยให้มึงไหม"

อินขมวดคิ้วเข้ม ดวงตาฉายแววแปลกใจ มันคงสงสัยว่าผมจะมาไม้ไหน แต่คงเป็นเพราะผมกล้าถาม มันก็เลยกล้าตอบ

"อยาก"

ผมเอามือสอดกระเป๋ากางเกงสองข้าง มองหน้าอินอย่างใช้ความคิด ถ้ามันตอบมาแบบนี้ ก็น่าจะพอมีเหตุผลให้ผมเลือกข้อที่สามอยู่บ้าง

เอาวะ ไม่ลองก็ไม่รู้!

ให้โอกาสมันอีกสักครั้งละกัน ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามันยังทำตัวไม่ดีเหมือนเดิม ผมก็แค่เลิกคบมันอย่างเด็ดขาดเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะต้องกังวลเลย

"งั้น...มึงต้องช่วยกูอย่างหนึ่ง" ผมตัดสินใจยื่นเงื่อนไข

"อะไร"

"ตอนนี้...กูกำลังจะตั้งชมรมยูดี...ยูนิเวอร์ซัลดีไซน์ กูกำลังหาเงินหนึ่งล้านเข้ากองทุน จะเอามาทำทางลาดที่คณะแล้วก็หอสมุดกลาง ต่อไปถ้ามีคนแบบกัปตันมาเรียน เขาจะได้มาเรียนได้ ไม่ต้องคอยให้คนมาช่วยยกขึ้นยกลง" ผมให้ข้อมูลเบื้องต้นก่อน

"แล้วมึงจะให้กูทำอะไร" อินอยากรู้

"ก็...มาอยู่ชมรมยูดีกับพวกกู แล้วก็ช่วยพวกกูหาเงิน ถ้ามึงหาเงินเข้าชมรมได้สักหนึ่งแสน ที่ผ่านมาทั้งหมด...ก็ถือว่าหายกัน ตกลงไหม"

"ได้" อินรับคำทันทีโดยไม่ลังเล เล่นเอาผมแปลกใจไม่น้อย

"แน่ใจนะเว้ย" ผมถามย้ำ

"แน่ใจ" อินยืนยันเสียงหนักแน่น

ผมเกือบจะยิ้มแล้ว แต่ก็ยังไม่สนิทใจมากพอ ก็เลยไม่ฝืนทำดีกว่า กระนั้นท่าทีขึงขังของผมก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ผมมองไปที่จานข้าวและขวดน้ำบนโต๊ะของอิน คิดไม่นานก็เดินไปหยิบขึ้นมาถือไว้

"มึงจะมานั่งกินข้าวคนเดียวทำไมวะ เพื่อนก็มี ไปนั่งนู่น" ผมพยักพเยิดไปทางที่กัปตันและเพื่อนๆ นั่งอยู่ เห็นกัปตันมองมาและยิ้มให้ผมด้วยสายตาชื่นชมด้วย เขาคงรู้ว่าผมกำลังทำอะไร ผมจึงยิ้มตอบอย่างเขินๆ

อินทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่ออีกแล้ว แต่ลึกๆ ผมก็รู้ว่ามันดีใจ การมานั่งกินข้าวคนเดียวในขณะที่มีเพื่อนๆ รายล้อมคงไม่ใช่เรื่องสนุก ธรรมชาติของสัตว์สังคมต้องการเพื่อน ทุกคนต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เพราะกลุ่มทำให้เรามีตัวตนและมีคุณค่า การอยู่ตัวคนเดียวเราจะไม่เป็นประโยชน์กับใคร สุดท้ายชีวิตก็จะไม่มีความสุข

ผมถือจานข้าวและขวดน้ำเดินนำอินไปก่อน แม้จะไม่ได้หันกลับไปดู ผมก็รู้ว่าอินเดินตามหลังผมมา เมื่อมาถึงโต๊ะที่เพื่อนๆ นั่งอยู่ ผมก็สั่งให้พวกมันแบ่งที่ให้คนมาใหม่

"ไอ้แบงค์ ไอ้กวิน เขยิบที่ด้วย"

เพื่อนสองคนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ กระนั้นพวกมันก็ยอมเขยิบและเชื้อเชิญผู้มาใหม่ให้นั่งลงข้างๆ ผมวางจานข้าวและขวดน้ำของอินลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กลับไปนั่งที่ของตัวเองข้างๆ กัปตัน ส่วนอินก็นั่งลงตรงที่ที่เพื่อนเว้นว่างไว้ให้ สีหน้าแววตาของมันยังดูไม่สนิทใจดีนัก แต่อินก็ยิ้มน้อยๆ และทำหน้าซึ้งๆ

"ขอบใจพวกมึงมากนะเว้ย" อินเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ ดูเหมือนจะมีน้ำตาซึมๆ ออกมาที่ขอบตาด้วย

คำขอบคุณทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนใจเปลี่ยนไปบ้าง คงเป็นเพราะอินไม่เคยทำสีหน้าและแววตาแบบนี้กับเพื่อนๆ คนไหน การที่มันแสดงอาการสยบยอมคงแปลได้ว่ามันคงคิดอะไรได้บ้างแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านมาคงช่วยสอนและปรับมุมมองความคิดให้มันไม่มากก็น้อย

"เออ คิดอะไรมากวะ เพื่อนกันทั้งนั้น แต่ว่ามึง...ห้ามแกล้งกัปตันอีกนะเว้ย" กวินเป็นคนทำลายความเงียบของเพื่อนๆ ที่ยังคงวางหน้าไม่ค่อยสนิท มันชี้หน้าคาดโทษอินไปด้วย

"กูเลิกแกล้งตั้งนานแล้ว" อินรีบบอก

ก็จริงอย่างที่มันพูดนั่นแหละ หลังๆ มานี้อินไม่มารังควานกัปตันแล้ว ดูเหมือนมันจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นมาหน่อยตั้งแต่ข่าว "เอาท์ดอร์" ของมันเริ่มแพร่สะพัด

"ส่วนเรื่องนั้นน่ะ มึงก็ทนๆ เอาหน่อยละกัน เดี๋ยวมันก็เงียบเองแหละ แต่มึงอย่าไปทำอีกละกัน" กวินเตือนเพื่อนต่อ

"เออ กูเลิกทำแล้วเว้ย ทวิตเตอร์กูก็ปิดไปแล้ว" อินหันไปมองเพื่อนรอบๆ โต๊ะ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่แสดงอาการรังเกียจใดๆ ท่าทางเกร็งๆ ของมันจึงลดลงไปมาก

"แดกข้าว เดี๋ยวไอ้สองคนนี้มันต้องรีบไปให้ปากคำแล้ว" น้ำหวานตัดบท การกินข้าวน่าจะช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าคุยเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนใจแบบนี้

"ให้ปากคำเรื่องอะไรวะ" อินทำหน้างงๆ

"อ้าว มึงไม่รู้ข่าวอะไรเลยเหรอวะ" น้ำหวานทำหน้างง

"กูไม่กล้าเข้าโลกโซเชี่ยลเว้ยตอนนี้" อินยอมรับตรงๆ มันคงกลัวคนขุดคุ้ยเรื่องของมันนั่นแหละ

"งั้นมึงดูนี่" น้ำหวานควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเป้ ค้นหาไม่นานก็ส่งคลิปนั้นให้อินดู

อินรับโทรศัพท์จากเพื่อนมาและดูจนจบ จากนั้นก็หันมามองกัปตันด้วยแววตาเห็นใจ

"แรงว่ะ"

"แหม ทำยังกะมึงไม่เคยพูดแบบนี้ พอๆ กันนั่นแหละ" น้ำหวานอดแขวะไม่ได้ กระนั้นก็ขำไปด้วย

อินยิ้มเจื่อนๆ กัปตันจึงต้องออกโรงปราม

"พอแล้วน้ำหวาน"

"จ้า คุณพ่อพระ ใจดีจริงๆ นะพ่อคู้นนนน" น้ำหวานทำเสียงล้อเลียน พาให้เพื่อนๆ ขำไปด้วย

อินส่งโทรศัพท์คืนให้เพื่อน ตอนแรกน้ำหวานว่าจะเก็บเข้ากระเป๋าไปเลย แต่ไหนๆ หยิบมาแล้วก็เลยขอเช็คความเคลื่อนไหวในโลกโซเชี่ยลซะหน่อย ดูไปไม่กี่วินาที น้ำหวานก็ทำท่าตกใจ

"เฮ้ยพวกมึงดูนี่!"

น้ำหวานหันหน้าจอมือถือให้เพื่อนๆ ดูจนรอบโต๊ะ ทุกคนต่างจ้องมองด้วยความสนใจ แต่เพื่อความแน่ใจจึงหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูให้ชัดๆ เมื่อเข้าไปในเฟสของมหาลัยแล้ว ทุกคนก็เห็นภาพนั้นชัดเจน

ไม่ไมีใครรู้ว่าคนโพสต์เป็นใคร แต่เข้าใจว่าเจ้าตัวคงสร้างบัญชีหลอกขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

"ใครมันทำวะ" อินถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล มันไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาดูด้วยหรอก แต่ก็จำภาพในหน้าจอที่น้ำหวานให้ดูเมื่อกี้ได้ดี

ผมเองก็เป็นกังวลพอๆ กัน ไม่คิดว่าสุดท้ายตัวเองก็จะโดนเรื่องนี้จนได้ ภาพที่ทุกคนกำลังดูและเป็นกังวลอยู่นั้นเป็นภาพของผมกับอิน ภาพของผมเป็นภาพจากงานถ่ายแบบ ภาพนั้นผมถอดหมด แต่มีภาพสิ่งของมัวๆ บังเฉพาะส่วนนั้นไว้ ดีหน่อยที่มีแถบสีดำคาดตา ถ้าไม่เคยเห็นงานของผมมาก่อนก็คงไม่รู้ว่าเป็นใคร

ส่วนภาพของอินเป็นภาพจากทวิตเตอร์ที่ถูกปิดไปแล้ว ในภาพนั้นอินใส่แค่กางเกงกีฬาขาสั้น แต่น่าจะดึงขอบกางเกงด้านหน้าลงและเผยให้เห็นสิ่งที่แข็งตัวข้างใน คนเอาภาพมาปล่อยทำให้ส่วนนั้นเบลอๆ และเอาแถบสีดำคาดตาของอินไว้เหมือนกัน

ทั้งสองภาพของเราถูกนำมารวมเป็นภาพเดียวกันเอาไว้ มีข้อความสั้นๆ เขียนไว้ด้วยว่า

"หนุ่มถาปัดปีหนึ่งอวดหุ่นแซ่บไม่แคร์สื่อ อยากรู้ว่าใครก็ไปตามสืบกันเอาเองนะจ๊ะ"


TBC


// ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อ หรือมีอะไรแนะนำก็บอกกันได้นะครับ คือผมก็ตั้งใจเขียนนะ แต่หลังๆ นี้งานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลาไปอ่านนิยายคนอื่นเลย ก็เลยอาจจะทำให้ติดกับดักตัวเอง ใครที่อ่านนิยายเยอะๆ ถ้ามีเวลาก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ มีอะไรก็บอกกันได้ครับ


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1560359415-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP23 แฟนผมเป็นคนใจกว้าง [2/2] - 9.27.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 29-09-2017 22:02:13
คนที่ชอบเอาเรื่องของคนอื่นเค้ามาแฉเนี้ยโรคจิตใช่ป่ะ :z6:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 10-10-2017 19:21:11
EP24 (2/3)
รุมเร้า

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: INN :::

กัปตันและอะตอมโดนเรียกตัวไปประชุมแล้ว น้ำหวาน แบงค์และกวินยังคงนั่งกินข้าวอยู่เป็นเพื่อนผมต่อ เรายังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนเข้าคลาสเรียนช่วงบ่าย ก็เลยใช้เวลาที่เหลือนั่งคุยกันว่าใครเป็นโพสต์ภาพนั้นลงในเพจของมหาลัย

"แสดงว่าคนที่โพสต์ต้องไม่ชอบมึงกับอะตอมอย่างมากๆ แน่ๆ เลยว่ะ" น้ำหวานเน้นเสียงตรงคำว่า "มากๆ"

"แต่กูกับอะตอมเพิ่งมาเรียนนะเว้ย จะมีคนไม่ชอบกูขนาดนั้นเลยเหรอวะ หรือว่า..." ผมอดนึกถึงปาร์ตี้ไม่ได้ แม้กัปตันจะบอกผมว่าเขาคุยกับปาร์ตี้ให้แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ปาร์ตี้ ผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครในมหาลัยที่ไม่ชอบผมมากขนาดนี้

"หรือว่าอะไรวะ" แบงค์สงสัย

"เปล่า" ผมรีบปฏิเสธ แต่แววตาก็ยังครุ่นคิดไม่เลิก

"กูอยากไม่จะสงสัยว่าเป็นพวกพี่สาอีกนะเว้ย แต่อะตอมมันก็ไม่เคยมีเรื่องกับใครนอกจากมึงกับพี่สา" กวินบุ้ยหน้ามาทางผมตอนพูดคำว่า "มึง" ไปด้วย

"เฮ้ย พี่สาเนี่ยนะ แค่นี้เขาก็อ่วมแล้ว ยังจะทำอีกเหรอวะ" แบงค์ทำหน้าไม่เชื่อ

"ก็ไม่แน่นะเว้ย กูว่าพี่เขาน่าจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าจะถูกพักการเรียน แต่ไหนๆ ก็โดนลงโทษไปแล้ว ก็เอาคืนมันซะเลย ถ้ากูไม่ได้ พวกมึงก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินเหรอ" กวินอธิบาย

"แต่กูไม่ได้มีเรื่องกับพี่สานะเว้ย" ผมรีบแย้ง

"เขาอาจจะแค้นทั้งคณะก็ได้ มึงก็เป็นตัวแถมไง"

คำตอบของกวินทำเอาทุกคนคิดตามไปด้วย จะว่าไปมันก็พอมีเค้าเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงหรอก

"เฮ้ย! แย่แล้ว! มีคนโพสต์รูปถ่ายแบบของอะตอมลงไปแล้วว่ะ ไม่ปิดหน้าด้วย" น้ำหวานละสายตาจากหน้าจอมือถือด้วยสีหน้าเครียดๆ ก่อนยกหันให้เพื่อนๆ ดูรอบโต๊ะ

แบบนี้ก็แปลว่าทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าผู้ชายคนแรกในรูปคืออะตอม เขาถ่ายแบบเยอะขนาดนั้นคงมีคนเห็นและจำได้เป็นธรรมดา เหลือแต่ผมนี่แหละที่ยังไม่มีใครดูออก ปกติผมจะไม่โชว์หน้าตาอยู่แล้ว ภาพไหนที่เห็นหน้าตาผมก็จะทำเบลอไว้ จึงน่าจะเดายากที่สุดว่าเป็นใคร ยกเว้นคนที่รู้แล้วเท่านั้น

"แม่งเอ๊ย! แล้วจะทำไงดีวะเนี่ย อะตอมมันจะโดนไล่ออกหรือเปล่าวะ" แบงค์หน้าเครียด ที่จริงก็เครียดกันทุกคน

"ถ้าโดนไล่ออกจริงก็แย่เลยนะเว้ย แต่แม่งกูว่ามันโคตรไม่ยุติธรรมเลยว่ะ ถ้าอะตอมโดนไล่ออก พวกเราต้องไปประท้วงนะเว้ย มึงคิดดูดิ กว่ามันจะหาเงินมาเรียนหนังสือที่นี่ได้ก็โคตรลำบากแล้ว ทำไมจะต้องตัดสินคนแค่เรื่องแค่นี้ด้วยวะ กูก็ไม่เห็นมันจะเสื่อมเสียอะไรตรงไหนเลย มันไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ค้ายา หรือไม่ได้ทำให้ใครตายซะหน่อย สมัยนี้เขาก็ถ่ายกันโครมๆ" กวินบ่นและถือโอกาสก่อหวอดเล็กๆ ไปด้วย

"เออๆ พวกกูไปด้วย"

ผมกับเพื่อนๆ ที่เหลือรีบเสนอตัวไปช่วยประท้วงทันที ถ้าเพื่อนๆ และรุ่นพี่รู้เรื่องนี้ ผมว่าทุกคนยินดีไปช่วยอยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่สำหรับผม เรื่องที่ผมทำ คงไม่มีใครช่วยประท้วงให้หรอก เพราะผมไม่ได้ทำเพราะความจำเป็นเหมือนอะตอม แต่ทำเพราะความคึกคะนองต่างหาก มีแต่คนจะด่าสิไม่ว่า

"แต่เรื่องของมึงน่ะ ถ้าเขารู้ขึ้นมา กูว่า..." แม้น้ำหวานจะพูดไม่จบ ผมก็รู้ว่าหมายถึงอะไร

"เออ กูรู้" ผมบอกเพื่อนสั้นๆ และก้มหน้าเหมือนคอตก

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงสองคนที่รักผมมากที่สุดขึ้นมา เมื่อก่อนผมไม่เคยห่วงความรู้สึกของป๊ากับม๊าเลย ออกแนวเอาแต่ใจเพราะเป็นลูกคนสุดท้องด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเกเรมาบ้างแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ นึกไม่ออกเลยว่าบุพการีทั้งสองคนของผมจะเสียใจมากแค่ไหน ถ้าโดนญาติที่ไม่ชอบกันทับถมด้วยก็จะยิ่งไปกันใหญ่

"กินเสร็จแล้วใช่ไหม เดี๋ยวกูจะได้เก็บจานให้" กวินถือโอกาสตัดบท ช่วยทำลายบรรยากาศที่อึมครึมได้อย่างดี

ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน จากนั้นก็พยักหน้า แต่ไม่ทันที่กวินจะช่วย เสียงใครบางคนก็ดังขัดจังหวะขึ้นซะก่อน

"ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่จัดการคนนี้ให้เอง"

พวกเราทั้งสี่คนหันไปมองตามเสียงทุ้มๆ ที่ไม่ได้รับเชิญพร้อมกันทันที

"พี่โดม" พวกเราเรียกชื่อนั้นพร้อมกัน

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่โดมจะมาหาผม ไม่ว่าจะมาหาเพื่อมาซ้ำเติมหรืออะไรก็ตามแต่ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว แต่ครั้นจะยิ้มให้และแสดงท่าทางดีใจก็ไม่กล้าเท่าไหร่

"ถ้าใครรีบก็ไปก่อนได้นะ เดี๋ยวพี่พาอินไปส่งที่คลาสเอง" พี่โดมบอกพลางเดินมาหยิบจานและขวดน้ำของผมขึ้นมาถือในมือ จากนั้นก็เดินดุ่มๆ ออกไป

"เอ่อ...งั้น...พวกกูไปก่อนนะเว้ย" น้ำหวานยิ้มแปลกๆ

"เออ เดี๋ยวเจอกัน" ผมตอบตกลงโดยไม่คิดจะหน่วงเหนี่ยวแม้แต่น้อย

เพื่อนสามคนทำหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นและเดินจากไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้ผมอยากคุยกับพี่โดมแค่สองคน ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมก็คิดถึงพี่เขาไม่น้อย

หลังช่วยเก็บจานและทิ้งขวดน้ำให้ พี่โดมก็เดินกลับมาที่โต๊ะผม จะว่าไปผมก็รู้สึกประหม่ามากทีเดียว ที่จริงหลายๆ ความรู้สึกก็ระคนกันไปหมด

"เรื่องเยอะนะเราน่ะ"

มาถึงพี่โดมก็พูดแบบนี้ เล่นเอาผมใจเสียไปเลย

"ครับ" ผมรับคำสั้นๆ เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร

"จะคุยตรงนี้เหรอ" พี่โดมถามพลางมองไปรอบๆ

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและมองหน้าพี่โดมอย่างกล้าๆ กลัวๆ

"ตามมา"

บอกสั้นๆ แค่นั้น ร่างสูงปราดเปรียวก็เดินนำออกไปก่อน ผมรีบเดินตามไปทันที แต่ก็ยังเดินได้ไม่เร็วนัก เพราะยังมีอาการเจ็บๆ ที่ต้นขาอยู่บ้าง

"พี่โดมเดินช้าๆ หน่อยครับ ผมตามไม่ทัน" ผมร้องบอก

พี่โดมหยุดชะงักและหันมามอง ก่อนเปลี่ยนเป็นเดินช้าๆ ตามที่ผมขอ จนกระทั่งผมเดินตามทัน

ไม่กี่นาทีเราก็ปลีกตัวออกมาจากสังคมโลกที่วุ่นวายมาอยู่ในมุมสงบๆ แห่งหนึ่ง พี่โดมหยุดยืนหันหลังให้ รอให้ผมเดินเข้าไปหา ผมก็ไม่รอช้าที่จะทำอย่างนั้น ไม่นานสองขาก็มาหยุดอยู่ห่างพี่โดมเพียงหนึ่งช่วงก้าว สองตาหยุดอยู่ที่ไหล่กว้างและท้ายทอยที่น่ามองอย่างประหลาด สักพักก็เอ่ยปากพูด

"พี่โดม...พี่โดมอยากด่าผมไหม ต่อยผมก็ได้ เตะผมก็ได้ จะลงโทษผมยังไงก็ได้ ผมยอมทุกอย่างเลยพี่ ขอแค่ให้พี่โดมยกโทษให้ผม"

ไม่รู้ว่าผมดราม่ามากไปหรือเปล่า พี่โดมถึงกับหันขวับมามอง สีหน้าดูเหมือนจะไม่พอใจนัก หรือไม่งั้นผมก็คงคิดไปเอง

"ยังไม่ต้องมาห่วงเรื่องนั้นหรอก เอาตัวเองให้รอดซะก่อนเถอะ"

น้ำเสียงคล้ายตำหนิทำเอาผมหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แสดงว่าพี่โดมคงรู้เรื่องโพสต์นั่นแล้ว

"พี่โดมเป็นห่วงผมเหรอ" ผมตัดสินใจถามไปตรงๆ

ใบหน้าคมแสดงความเข้มขรึมผ่านแววตา พลันก็เบือนหน้าไปอีกทาง

"แล้วมึงคิดว่าที่กูมาหามึงเนี่ย กูมาหาเพราะอะไร คนอย่างมึงมีอะไรให้กูต้องมาหาเหรอ"

น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งประชด ทั้งเย้ยหยัน ทั้งสมเพช และอาจจะมีความรู้สึกอีกอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก

"ไม่รู้ครับ" ผมบอกเสียงเศร้า

พี่โดมแวบหันกลับมามอง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกและเอามือล้วงกระเป๋า

"คนอย่างมึงน่ะ ไม่มีอะไรดีเลยนะเว้ย ไม่มีเลยสักอย่าง"

พี่โดมพูดเหมือนกำลังด่าผม ที่จริงผมก็ใจเสียไปบ้างแล้ว แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำด่านั้นก็ไม่รู้ ผมก็เลยไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่

"ทำตัวเหี้ยๆ ไร้สาระ นิสัยก็เหี้ย ปากก็เหี้ย แถมยังมาแกล้งน้องกูอีก คนอย่างมึงมีค่าอะไรให้กูต้องมาหามึงวะ!"

พี่โดมหันมาตาขวางใส่ผม สายตาดุจ้องมาจนผมต้องหลบตา บอกตรงๆ ว่าผมไม่เข้าใจเลยว่าพี่โดมเป็นอะไร หรือพยายามจะสื่ออะไรกันแน่

"ถามแล้วทำไมไม่ตอบ!" พี่โดมถามเสียงดุเมื่อเห็นผมเงียบ

ผมเงยหน้ามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในใจรู้สึกสับสนไปหมด "พี่โดมจะให้ผมตอบอะไรล่ะครับ ที่พี่พูดมาเมื่อกี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียง"

"ใครบอกว่ากูจะให้มึงเถียง" พี่โดมสวนมาทันควัน ยิ่งทำให้ผมงงหนัก

พี่โดมยกสองมือมาจับไหล่สองข้างผมไว้ จ้องหน้าผมเขม็ง ส่วนผมจะสบตาตรงๆ ก็ยังไม่กล้า จึงได้แต่เอียงหน้าหลบเล็กน้อย

"ฟังคำถามดีๆ นะเว้ย ไม่ต้องเถียงกู แต่ที่กูอยากรู้ก็คือ...กูอยากรู้ว่าคนอย่างมึงมีค่าอะไรให้กูต้องมาหาวะ! มึงตอบกูได้ไหม!" พี่โดมคาดคั้น บีบไหล่ผมแน่จนผมรู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าพี่เขาลืมไปหรือว่าแขนอีกข้างของผมยังเจ็บอยู่

"ผมไม่รู้ ผมจะรู้ได้ไงว่าพี่มาหาผมทำไม" ผมเสียงดังใส่คืนบ้าง อีกอย่างก็ชักจะโมโหเหมือนกันที่อีกฝ่ายไม่สื่อสารให้ผมเข้าใจ

น่าแปลก...สีหน้าของพี่โดมดูไม่เหมือนกำลังโกรธผมเลย ตกลงพี่เขามาหาผมทำไมกันแน่ จะมาด่าผมหรือเปล่า แต่ท่าทางก็ไม่เหมือนด่าเลย ไม่รู้ว่าต้องการอะไร

"เด็กแก่แดดอย่างมึงเนี่ย ยังไม่รู้อีกเหรอ"

"พี่โดมพูดอะไรน่ะครับ ผมไม่เข้าใจ"

พี่โดมเงียบ สองมือเริ่มผ่อนน้ำหนักบีบจับลง ไม่นานก็ปล่อยมือลงจากหัวไหล่ของผม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่มีอะไรสักอย่างที่ผมจะตีความให้เข้าใจได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

"ถ้ามึงไม่รู้ กูก็คงไม่มีอะไรจะคุยกับมึงละ"

พูดจบพี่โดมก็ทำท่าจะเดินหนีไป สัญชาตญาณบอกผมว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างให้เร็วที่สุด ไม่งั้นผมอาจจะสูญเสียคนสำคัญคนนี้ไปตลอดชีวิต

ยังไม่ทันที่สมองผมจะสั่งการด้วยซ้ำ หรือไม่ก็อาจจะสั่งไปแล้วแต่ผมไม่ทันรู้ตัว ผมโผเข้ากอดพี่โดมไว้แน่นจนสุดแขน แม้จะเป็นแขนข้างเดียวที่แทบจะรั้งใครไว้ไม่ได้ก็เถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้พี่โดมเดินจากผมไปโดยที่ผมไม่ได้พยายามทำอะไรเลย

เมื่อได้ซุกตัวในอกอุ่นๆ น้ำตาผมก็ไหลโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าตอนนี้เพื่อนจะให้อภัยและเห็นใจผม แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมโหยหา หรือไม่ก็คงเป็นคนละอย่างกัน เพราะชีวิตของคนเราต้องการสิ่งเติมเต็มหลายอย่าง ครอบครัว เพื่อน สังคมและใครสักคนที่ฟ้าอยากให้มาเจอกัน

เราเงียบกันอีกแล้ว ผมไม่มีอะไรจะพูด พี่โดมก็ไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มสัมผัสบางอย่างได้ก็คือ พี่โดมกอดผมตอบ แม้จะเบาบาง แต่ผมก็รู้สึกว่ามันมีความหมายสำคัญ อย่างน้อยก็สำคัญที่สุดในเวลานี้

สักพักผมก็เริ่มคิดเอะใจ

นั่นสินะ!

คนอย่างผมไม่มีค่าอะไรเลย ไม่เห็นจำเป็นที่พี่โดมต้องมาหาด้วยซ้ำ แต่เมื่อพี่โดมมาหาผมแล้วในเวลานี้และตอนนี้ ผมก็ขอเดาเอาเองว่า...

คนอย่างผมคงมีค่าสำหรับพี่โดมอยู่บ้าง!


::: CAPTAIN :::

ในที่สุดการประชุมที่น่าปวดหัวก็จบลงเสียที สรุปว่าโดยส่วนใหญ่แล้วบทลงโทษก็เป็นไปตามที่เราคาดเดากันไว้ก่อนหน้านี้ พี่สาโดนพักการเรียนหนึ่งภาค ปาร์ตี้โดนภาคทัณฑ์ ที่เหลือๆ ก็โดนว่ากล่าวตักเตือนกันไปตามระเบียบ

ถ้าแม่ผมพอใจกับบทลงโทษของมหาลัย เรื่องก็น่าจะจบแค่นี้ ผมก็หวังว่าแม่จะไม่ทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้นไปอีก เพราะผมอยากให้เรื่องนี้จบๆ ไปเสียที

"ขอบใจมากนะเว้ยปาร์ตี้" ผมไม่ลืมบอกเพื่อนต่างคณะที่กำลังจะแยกย้ายกันไปคนละทาง

ปาร์ตี้หยุดและหันมายิ้มให้ ก่อนพูดตลกๆ กึ่งประชด "ไม่เป็นไรเว้ย กูชอบเสือกเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว"

"ขอโทษด้วยนะเว้ยที่มึงต้องมาเดือดร้อนไปด้วย" ผมอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้จริงๆ

"คิดมากน่ะมึง เฮ้ยอะตอม พรุ่งนี้มึงอย่าลืมเอาใบสมัครมาให้กูด้วยนะเว้ย" ปาร์ตี้หันไปเตือนคนที่ยืนข้างหลังผม ใบสมัครเมื่อกี้เขาคงหมายถึงใบสมัครเข้าชมรมยูดีนั่นเอง

"เออ อย่าลืมชวนคนอื่นๆ มาสมัครด้วยนะเว้ย รับไม่จำกัด" อะตอมยิ้มดีใจ

"เออ เจอกันพรุ่งนี้เว้ย" ปาร์ตี้บอกแล้วก็เดินจากไป

พี่สาเดินออกมาจากห้องประชุมพอดี สีหน้าดูเศร้าและค่อนข้างเครียด ตอนอยู่ในห้องประชุมก็ร้องไห้ด้วย พอเห็นพวกเราแล้วพี่สาก็เดินหนีไปเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร มีแต่พี่ปริมกับอั้มเท่านั้นที่เดินมาคุยด้วย

"พี่ขอโทษแทนสาด้วยนะกัปตัน"

"ไม่เป็นไรครับพี่" ผมยิ้มให้พี่ปริมบางๆ แต่ก็ดูจริงใจ

"คืออย่างงี้" พี่ปริมทำท่าเหมือนอยากบอกอะไรบางอย่างกับผม เธอทำท่าครุ่นคิดสักพักจึงเอ่ยปากเล่า "สาน่ะ...เขามีพ่อเป็นคนพิการ พิการจากอุบัติเหตุน่ะ แต่เขาไม่ค่อยชอบพ่อเขาหรอก เพราะว่าพ่อเขาเจ้าชู้ แล้วที่พ่อเขาพิการก็เพราะพาเมียน้อยไปเที่ยวหรืออะไรนี่แหละ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ เมียน้อยตาย แต่พ่อเขาเป็นอัมพาต เดินไม่ได้ ต้องใช้รถเข็น ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน ลูกเมียดูแล สาเขาก็เลยรู้สึกว่าพ่อเป็นภาระ ก็เลยทำให้เขามีทัศนคติไม่ค่อยดีกับคนพิการเท่าไหร่"

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ พวกเราก็ถึงบางอ้อกัน จะว่าไปก็น่าเห็นใจพี่สาไม่น้อย แต่ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากทำได้เพียงเห็นใจ เพราะคณะกรรมการก็ตัดสินไปแล้ว

"หวังว่ากัปตันคงจะเข้าใจพี่เขานะ" พี่ปริมทิ้งท้าย

"ครับพี่ ผมเข้าใจครับ" ผมยิ้มยืนยัน

พี่ปริมยิ้มบางๆ ให้ผม ดูเหมือนจะรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าผมไม่ถือสาเพื่อนของเขา

"พี่ไปแล้วนะ" พี่ปริมลาแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับอั้มซึ่งเพียงแต่ยิ้มๆ ให้พวกเรา

เมื่อคนอื่นๆ ไปหมด ตอนนี้ก็เหลือผมกับอะตอมสองคนเท่านั้น เสร็จจากนี้ผมจะพาอะตอมกับอินไปที่บ้าน พี่โดมเสนอไอเดียว่าให้สองคนนี้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ป๊าผมฟัง ป๊าผมน่าจะมีทางออกที่ดีให้ เพราะเด็กๆ อย่างพวกเราประสบการณ์ยังไม่มากพอ ใช้ประสบการณ์ผู้ใหญ่น่าจะดีกว่าเอาหัวไปโขกเหลี่ยมเสาด้วยตัวเอง

ยังไม่ทันที่ผมกับอะตอมจะได้ไปไหน อยู่ๆ ก็มีสาวคนหนึ่งโผล่มาตรงหน้า เธอมาพร้อมกับดอกไม้ช่อหนึ่งในมือสีขาวล้วน เมื่อเห็นปั๊บผมก็จำได้ สาวที่ผมเคยคุยด้วยในเฟสบุ๊คนั่นแหละ เธอเคยตามมาเจอผมที่คณะด้วยเมื่อไม่นานนี้

"อ้าวกรีน มาหาใครเหรอ" ผมร้องทักพลางยิ้มให้ คนยืนข้างหลังผมทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย

"มาหากัปตันนั่นแหละ สู้ๆ นะ กรีนเป็นกำลังใจให้" พูดจบกรีนก็ยื่นดอกไม้ช่อนั้นมาให้ผม

ผมยังไม่รับทันที ทั้งประหลาดใจและแปลกใจไปพร้อมๆ กัน "โห ขอบใจนะกรีน จริงๆ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้"

ถึงปากจะบอกอย่างนั้น แต่ผมก็ต้องรับไว้อย่างเกรงใจ ในช่อดอกไม้มีการ์ดด้วย ผมหยิบขึ้นมาอ่านเพราะรู้สึกว่ากรีนอยากให้อ่าน มีข้อความสั้นๆ ธรรมดาๆ เขียนด้วยลายมือไว้ว่า

"สู้ๆ นะกัปตัน เป็นกำลังใจให้เสมอนะ กรีน :)"

อ่านจบผมก็เงยหน้ายิ้มให้กรีนอีกรอบ

"กรีนให้เพื่อนดูคลิปแล้ว ทุกคนเห็นใจกัปตันทั้งนั้นแหละ พี่คนนั้นแย่มาก สมควรแล้วล่ะที่โดนทำโทษ ว่าแต่...พี่เขาโดนหนักขนาดไหนเหรอ" กรีนอยากรู้

"โดนพักการเรียนหนึ่งเทอมน่ะ"

"สมน้ำหน้า ดีแล้วที่โดนแบบนี้ คนแบบนี้ไม่น่ามาเรียนที่นี่เลย"

ผมไม่ต่อปากต่อคำด้วย ชักเริ่มรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูก ผมไม่อยากเดาเลยว่าเพื่อนผู้หญิงต่างคณะคนนี้คิดอะไรกับผมหรือเปล่า เท่าที่คุยกันมา ผมรู้สึกได้ว่าเธอแสดงท่าทีสนใจผม แต่ค่าที่เคยอกหักเพราะเรื่องนี้ตอนมอปลาย ผมก็เลยไม่กล้าคิดว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนมาชอบผมอีก

"แล้วนี่...จะไปไหนกันเหรอ" กรีนถามหลังจากที่อยู่ๆ เราก็เงียบกันไปสักพัก

"อ๋อ กำลังจะกลับบ้านพอดีเลย"

"อ๋อ...อืม...แล้ว...พรุ่งนี้ตอนเย็น กัปตันไปไหนหรือเปล่า" กรีนถามด้วยท่าทางแปลกๆ ที่ผมยังเดาไม่ออก

"พรุ่งนี้เหรอ" ผมทำท่าครุ่นคิด คนข้างหลังแอบเอามือสะกิดไหล่ผม ผมจึงแวบหันไปมองและถามเบาๆ "อะไร"

อะตอมไม่พูดอะไร ผมก็เลยต้องหันไปตอบคำถามเมื่อสักครู่นี้ของกรีน "ไม่ได้ไปไหนหรอก กรีนมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า"

กรีนส่ายหน้า "ไม่มี พอดีว่า...กรีนว่างน่ะ ก็เลยว่าจะ..."

"จะอะไร" ผมถามอย่างพาซื่อ คนข้างหลังก็สะกิดอีกแล้ว แต่คราวนี้ผมไม่หันไปมอง

"อ๋อ เอ่อ...พอดี...กรีนชวนเพื่อนไปกินข้าวด้วยที่พารากอน กัปตัน...ว่างไปกินด้วยกันไหม" ในที่สุดกรีนก็เฉลยซะที

ผมหันกลับไปมองอะตอมคล้ายกับจะถามความเห็น แต่อะตอมกลับนิ่งเฉย

"เพื่อนของกรีนน่ะ...อยากคุยกับกัปตันไง เขาชื่นชมกัปตันมากเลยนะ แล้วก็อยากเจอกัปตันมากด้วย ไปเจอเพื่อนกรีนหน่อยไหม" กรีนพยายามโน้มน้าว

ผมหันกลับไปมองอะตอมอีก แต่ก็เหมือนเดิม อะตอมไม่ยอมให้ความเห็นอะไรเลย ท่าจะพึ่งไม่ได้ซะแล้ว

"อ๋อ...ก็ได้นะ" ผมรับปากไปเพราะนึกไม่ออกว่าจะปฏิเสธยังไง เล่นชวนแบบนี้ก็คงจะปฏิเสธยากหน่อย

กรีนยิ้มแป้นขึ้นมาทันที ดูท่าทางตื่นเต้นด้วย "งั้น...กรีนจะบอกเพื่อนตามนี้เลยนะ"

ผมพยักหน้า "อืม"

"เย้ เพื่อนกรีนต้องดีใจมากแน่ๆ เลย" กรีนบอกพลางพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในมือถือ สงสัยจะไลน์ไปบอกเพื่อน เมื่อพิมพ์เสร็จกรีนก็ถาม "กัปตันจะกลับแล้วใช่ไหม"

ผมพยักหน้า

"นี่เพื่อนเหรอ" กรีนถามถึงอีกคนข้างหลังและทำหน้าสงสัย

"อืม" ผมตอบสั้นๆ อาจจะด้วยความลืมตัว หรือเพราะคิดไปว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้กรีนรู้ตอนนี้ก็ได้

"ทำไมหน้าคุ้นๆ" กรีนทำท่านึก ไม่นานก็นึกออก "อ๋อ ชื่ออะตอมใช่ไหม ที่เป็นนายแบบ ตอนนี้มีคนเอารูปมาลงเต็มเพจมหาลัยเลยไม่ใช่เหรอ"

ผมกับอะตอมหน้าเสียด้วยกันทั้งคู่ ตอนอยู่ในห้องประชุม เราไม่รู้เลยว่าโลกข้างนอกเป็นยังไงบ้าง ไม่คิดว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงจะมีคนรู้แล้วว่าหนึ่งคนในโพสต์นั้นเป็นใคร แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก เพราะงานของอะตอมน่าจะผ่านตาหลายคนมาบ้าง

"โห...แต่ว่า...ถ่ายแรงเหมือนกันนะ ถ้าทางมหาลัยรู้เข้า เขาจะโอเคหรือเปล่า" กรีนสงสัย

เราสองคนพากันเงียบ อาจจะเป็นเพราะกังวลนั่นแหละ แต่ความเงียบก็ดีตรงที่ทำให้คนเกรงใจ ตอนนี้กรีนคงรู้ตัวแล้วว่าเราควรจะร่ำลากันซะที

"งั้น...กรีนขอตัวก่อนนะ ที่บ้านมารับแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะกัปตัน อย่าลืมนัดล่ะ" กรีนกำชับก่อนร่ำลาไป

"โอเค ไม่ลืมหรอก" ผมยกมือทำท่าโอเคไปด้วย

พอกรีนไปแล้ว ผมก็หันไปคุยกับอะตอมด้วยสีหน้ากังวลทันที "เขารู้กันหมดแล้วนะเว้ยว่าเป็นมึง"

อะตอมยังคงไม่พูด ท่าทางมันดูแปลกไปจนผมรู้สึกได้ ผมจึงแกล้งว่ามัน

"เฮ้ย ทำไมเมื่อกี้มึงไม่ช่วยกูหน่อยวะ เห็นไหม...กูเลยต้องตอบตกลงเขาไปเลย"

"เขาชอบมึง มึงดูไม่ออกเหรอ" คราวนี้อะตอมยอมเปิดปากพูด แต่น้ำเสียงฟังดูเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

"ไม่รู้เว้ย กูไม่กล้าคิดหรอกว่าเขาจะชอบกู เคยเจ็บมาแล้วนี่หว่า" ผมทำหน้าเศร้าเล็กน้อย

คราวนี้อะตอมจึงยิ้มและทำท่าเห็นใจ "มีกูทั้งคน กูไม่ให้ใครมาทำมึงเจ็บหรอก ไปเหอะ เดี๋ยวป๊ามึงรอ ไอ้อินมันไลน์มาตามแล้ว"

หยอดแล้วก็รีบตัดบทไปทันที แต่ผมก็เห็นด้วย ขืนคุยพิรี้พิไรก็จะไม่ได้ไปไหนกันพอดี

... ... ...

เมื่อมาถึงบ้าน ป๊าก็กลับมาพอดีตามที่ผมกะเวลาเอาไว้ ส่วนแม่ยังอยู่ที่โรงงาน น่าจะกลับเกือบๆ สองทุ่ม ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่แม่กับป๊ามักจะกลับบ้านเวลานี้อยู่แล้ว ยกเว้นว่าผมจะมาบ้าน

เมื่อพร้อมแล้ว อะตอมกับอินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป๊าผมฟัง แรกๆ ก็กล้าๆ กลัวๆ แต่พอเห็นว่าป๊าผมตั้งใจฟังและไม่ตัดสิน ทั้งสองคนจึงสามารถเล่าได้อย่างสบายใจมากขึ้น ผมกับพี่โดมนั่งฟังไปด้วย บางคราวก็แอบสังเกตท่าทีของป๊า เพราะลึกๆ ก็อดกลัวไม่ได้ว่าป๊าอาจจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อฟังจนจบ ป๊าผมก็ไม่แสดงท่าทีอย่างที่ผมกังวลให้เห็นเลย

ป๊าถามอะตอมหลายคำถาม อย่างเช่น ทำไมถึงเลือกถ่ายแบบ ทำไมไม่ทำอาชีพอื่น ไม่ถ่ายแบบได้ไหม ไม่ถ่ายแบบแนวนี้ได้ไหม งานที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นอนาคตหรือเป็นแค่สะพานเชื่อมไปหาอนาคตที่ดีกว่า ทำไมเลือกมาเรียนที่นี่ อยากได้อะไรจากการเรียนที่นี่ อะตอมเชื่อว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดเกิดจากความตั้งใจดีของตัวเองหรือเปล่า และอีกหลายๆ คำถามที่ช่วยให้อะตอมเข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อรู้จักตัวเองดีแล้ว อะตอมก็จะตอบคำถามได้อย่างมั่นใจ ป๊าให้กำลังใจอะตอมว่าไม่มีใครกล้าตัดสินอะตอมไม่ดีหรอกหากได้รู้เหตุผลเบื้องหลังเหล่านี้

ส่วนอิน ป๊าบอกเพียงว่าหากถูกจับได้อินก็ควรยอมรับผิดไปตามตรง เพราะเรื่องนี้เป็นเพียงความคึกคะนองตามประสาวัยเท่านั้น ที่สำคัญอินก็เลิกแล้ว แสดงว่าคิดเป็นระดับหนึ่ง แต่แค่เลิกทำอย่างเดียวไม่พอ ในระหว่างนี้อินต้องสร้างภาพใหม่ด้านบวกให้ตัวเองให้เร็วที่สุด ทำกิจกรรมช่วยสังคมเยอะๆ แม้สิ่งที่ผิดไปแล้วลบล้างไม่ได้ แต่ต้องทำให้คนเชื่อว่าอินเป็นคนดีได้ หนักก็จะเป็นเบาในที่สุด

เมื่อเริ่มเห็นทางสว่าง ทั้งสองคนก็ดูสบายใจขึ้นมาก เหลือก็เพียงแค่รอวันที่ "ของจริง" จะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าทำได้อย่างที่ป๊าผมสอน ผมก็เชื่อว่าทั้งสองคนจะผ่านพ้นเรื่องหนักๆ นี้ไปได้แน่นอน ถึงอย่างนั้นก็คงไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้รับโทษหรือบทเรียนอะไรเลย

ระหว่างรอแม่กลับบ้านมากินข้าวเย็นด้วยกัน ป๊าก็พาอะตอมไปดูรถคันที่จะให้ยืมไปใช้ขับอูเบอร์ น่าแปลกที่ไม่ชวนพวกเราอีกสามคนไปด้วยเลย พวกเราจึงนั่งคุยกันอยู่ข้างในไปเรื่อยเปื่อย กินของว่างรองท้องที่แม่บ้านทำมาให้กินไปพลางๆ

ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าป๊าผมอยากคุยอะไรบางอย่างที่สำคัญกับอะตอม แต่จะเป็นเรื่องอะไรก็สุดจะคาดเดา



TBC


ถ้ายังมีคนอ่านอยู่ ผมก็จะลงจนจบนะครับ จนกว่าจะไม่มีคอมเมนต์หรือจำนวนเป็ดเป็น 0


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)


นานแล้วที่ผมฝันอยากจะมีความรักที่อบอุ่นกับใครสักคนบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสเลยตลอดยี่สิบกว่าฝนที่ผ่านมา ฝนตอนเด็กๆ ไม่หนาวเท่าไรหรอก แต่ฝนตอนโตทั้งหนาวและเหงาจนแทบทนไม่ไหว แต่ทุกครั้งที่เจอคนถูกใจ เขาก็มีแฟนกันหมด หรือไม่ก็ไม่ได้ชอบแบบผม ผู้ชายคนนี้คงเป็นเพียงอีกหนึ่งคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ได้ชอบแค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องหยุดใจไว้​

รักหลากฤดู - The Seasons Short Stories

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/355551469-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-10-2017 19:28:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
รออ่านตอนต่อไป :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-10-2017 19:29:54
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 10-10-2017 20:58:21
ฝากฝังให้ดูแลกัปตันป่าวว ดีใจที่พ่อแม่เข้าใจในงานของอะตอมนะ จริงๆมันก็เป็นงานสุจริตอ่ะ

ติดตามต่อไปจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 10-10-2017 21:35:39
รอๆๆๆๆๆ อยากรู้บทสรุประหว่างอะตอมกับกัปตันหวังว่าไม่มีดราม่านะ ....
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 10-10-2017 21:53:17
มารอทุกวันเลย ชอบๆๆๆ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2017 23:18:59
 :katai2-1: เขียนได้น่าติดตามมากครับ  o13


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-10-2017 23:37:47
พ่อเขาคงจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่นะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 10-10-2017 23:49:50
ติดตามอยู่นะคะ
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 11-10-2017 01:12:28
หวังว่าทุกๆ อย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีทั้งคู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-10-2017 05:30:30
พี่โดม เข้าใจกับอิน ก็ดีต่ออินมาก  เพราะอิน โหยหาความรัก
แต่อินก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้สมกับที่พี่เขากลับมาหา

กรีน จะเข้ามาป่วนหรือเปล่า
กัปตัน ก็คิดช้านะ ยังไม่คุ้นเคยกันเลย  ก็รับปากไปกินข้าวกันเขาแล้ว
แล้วว่าอะตอมไม่ช่วย
อะตอมก็สะกิดถึงสองครั้งอะตอมยังซื่อคิดไม่ออก  ไม่สะกิดสิ ถึงไม่ช่วย
แล้วยังบอกอะตอมเป็นเพื่อน ไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ก็ถูก แต่อะตอมน้อยใจคิดมากแน่เลย

พ่อกัปตัน คงพาอะตอมไปพูดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่สินะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 11-10-2017 05:42:54
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 11-10-2017 06:20:22
รออ่านต่อจร้า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 11-10-2017 09:13:47
ขอบคุณที่มาต่อคร้าบ

รออ่านตอนต่อไปนะ ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [2/3] - 10.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 12-10-2017 20:38:03
EP24 (3/3)
รุมเร้า

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: ATOM :::

"หายโกรธกันแล้วเหรอ"

"ก็ประมาณนั้น แต่ก็ยังไม่หายสนิทหรอกครับ"

"หมายความว่าไง"

"ผมต้องหาเงินเข้าชมรมให้มันได้หนึ่งแสนก่อน มันถึงจะยกโทษให้ผม" คนตอบขำเบาๆ

"หนึ่งแสนเลยเหรอ" คนถามทำหน้าทึ่ง "งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยหา พี่เคยทำกิจกรรมหาทุนสองสามครั้งแล้ว ถ้าเจอคนใจดีๆ นะ เผลอๆ ใช้เวลาไม่กี่วันเอง แต่ต้องทำแคมเปญให้ดีๆ คนถึงจะอยากสนับสนุน"

"จริงเหรอครับพี่โดม พี่โดมจะช่วยผมจริงๆ เหรอ"

น้ำเสียงและท่าทางลิงโลดของอินทำเอาคนนั่งหน้าสองคนสงสัย ดูมันจะร่าเริงเป็นพิเศษตั้งแต่พี่โดมยอมคุยด้วย ที่จริงอาจไม่ใช่ความสงสัยหรอก น่าจะเป็นการยืนยันสิ่งที่ผมกับกัปตันสงสัยมากกว่า

"ไม่ต้องช่วยมันหรอกพี่ ให้อินหาเอง ไม่งั้นผมไม่ยกโทษให้หรอก" ผมหันไปพูดหยอกเล่น

"อะไรวะมึง ให้กูมีตัวช่วยหน่อยไม่ได้หรือไงวะ" อินโอดครวญไม่จริงจังนัก พวกเราสามคนที่เหลือพากันหัวเราะชอบใจ

"เออ...งั้นพี่ไม่ช่วยดีกว่า" พี่โดมเข้าข้างผมทันที

"อ้าว ไหงเป็นงั้นล่ะพี่ คนชอบกันทำไมไม่ช่วยกันล่ะคร้าบบบ" อินทำเสียงทะเล้น

"ใครชอบมึง มโนแล้ว" พี่โดมบอกปัดเป็นพัลวัน ผมได้ยินเสียงคล้ายคนโดนตบหัวด้วย พอหันไปดูก็เห็นอินเอามือลูบหัวตัวเองและทำหน้าเหยเก

"เจ็บนะ คนยังป่วยอยู่ แทนที่จะช่วยดูแล มาตบหัวอีก"

"เอาอีกสักทีไหม" พี่โดมทำท่ายกมือขึ้นอีกครั้ง อินรีบเอามือข้างที่เหลือป้องไว้

"พูดความจริงก็ไม่ได้ จะอายทำไมล่ะพี่ สองคนข้างหน้าเขารู้กันหมดแล้ว"

"นี่แน่ะ รู้เหี้ยอะไรของมึง" พี่โดมอดตบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ได้ คงเขินอย่างที่อินว่าก็เลยต้องหาอะไรทำ

"พูดไม่เพราะอีกแล้วนะครับ" อินแสร้งตำหนิ

"ถีบตกรถดีไม่ไหมเนี่ย" พี่โดมยกขาขึ้นทำท่าเตรียมจะถีบค้างไว้ อินผงะหนีทันที ไม่รู้ว่ากลัวจริงหรือกลัวเล่นๆ

"พี่โดมจะถีบเพราะร้องนักหรือเปล่าครับ" กัปตันเน้นเสียงตรงคำว่า "ร้องนัก" เพื่อให้พี่ชายสงสัย ถ้ารู้จักผวนคำก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก

พี่โดมทำหน้างงๆ คล้ายกับพยายามประมวลผลคำพูดของน้องชายอย่างหนัก บางทีอาจจะผวนคำจาก "ร้องนัก" เป็น "นักร้อง" ก็ได้ ก็เลยงงว่าทำไมต้องถีบเพราะเป็นนักร้องด้วย

"ร้องนักก็...รักน้องไงพี่" ผมเฉลยให้เมื่อเห็นพี่โดมยังคงนึกไม่ออกซะที พวกเราสามคนพากันหัวเราะชอบใจลั่นรถ ส่วนพี่โดมหน้าออกเหวอๆ

"โห...ไม่ช่วยพี่เลยนะกัปตัน เล่นพี่แบบนี้เลยเหรอ" พี่โดมบ่นอุบเพราะเสียรู้ แต่สีหน้าก็ยิ้มๆ ไม่มีความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย

บรรยากาศในตอนนี้คงพอจะบอกได้แล้วว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะไปทางไหน แม้จะเคยทำไม่ดีต่อกันมาก่อน แต่ไม่นานก็มีเหตุให้พวกเราเข้าใจกันและเห็นใจกันจนได้ บางทีพวกเราทั้งหมดที่มาพบกันครั้งนี้ อาจจะมาพบกันเพื่อทำเรื่องบางอย่างที่สำคัญร่วมกันก็ได้

สารถีจำเป็นของผมขับรถต่อไป ที่หมายแรกคือส่งอินที่บ้าน ตามด้วยพี่โดม ก่อนมาถึงที่หมายสุดท้ายที่คอนโดของเรา

หลังจากนั้นเราสองคนก็คงจะได้นอนหลับพักผ่อน เก็บแรงใจและกายไว้เผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แม้จะน่าหวั่นใจ แต่เมื่อได้โค้ชชีวิตที่ดีอย่างป๊าของกัปตัน ความกลัวก็ลดน้อยลงไปบ้าง

... ... ...

"ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับพวกคุณแล้ว ตอนนี้มหาลัยของเรามีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ทำไมพวกคุณถึงได้ขยันทำแต่เรื่องแย่ๆ พวกนี้อยู่เรื่อย เฮ้อ" ท่านรองอธิการถอนหายใจอย่างหนักใจ ก่อนทิ้งตัวเอนบนพนักเก้าอี้ สีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก จะเรียกว่าบึ้งเลยก็ได้

เมื่อไม่กี่วันนี้ มหาลัยเพิ่งจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องของกัปตันไป ผ่านไปไม่กี่วันก็ต้องมาสอบสวนเพื่อนของกัปตันอีกคน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรอีกหรือเปล่า เพราะยังมีนักศึกษาลึกลับอีกหนึ่งคนที่ยังสืบไม่ได้ว่าเป็นใคร ถ้ารู้แล้วก็คงจะฉาวอีกรอบ

"ตอนนี้ข่าวมันออกไปทั่วแล้ว คุณรู้ไหมว่ามันส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยมากแค่ไหน กฎระเบียบมันก็มีอยู่ ทำไมไม่รู้จักเคารพกฎกติกา แล้วอย่างนี้พวกคุณจะเป็นนิสิตที่มีคุณภาพได้ยังไง ที่สำคัญ ชื่อเสียงเราป่นปี้แบบนี้ ใครเขาจะอยากมาเรียนที่นี่ ผมอยู่ที่นี่มาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยเจอเรื่องแบบที่พวกคุณทำเลย เอ้า มีอะไรจะอธิบายก็ว่ามา" ท่านรองอธิการทำท่าคล้ายรำคาญ ยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเครียดไปกันใหญ่

ที่จริงตอนที่เกิดเรื่องของกัปตัน ท่านรองอธิการยังดูไม่เครียดเท่านี้ แต่พอเกิดเรื่องใหม่ซ้ำ แถมยังจะมีอีกเรื่องตามมาในไม่ช้าอีก ความอดทนที่จะรักษากิริยามารยาทจึงลดลงไป

ผมยังไม่พูดทันที เพราะต้องรวบรวมสมาธิและความกล้าหาญของตัวเองด้วย ป๊าของกัปตันแนะนำผมว่าไม่ควรพูดตอนที่รู้สึกกดดัน แต่ควรพูดหลังจากที่เห็นท่าทีผ่อนคลายของคู่สนทนาแล้ว แม้จะเพียงนิดเดียวก็สร้างความมั่นใจให้คนพูดได้ เมื่อท่านรองอธิการมีสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ผมจึงเริ่มพูดตามที่ป๊าของกัปตันแนะนำเอาไว้

"ถ้าผมไม่ถ่ายแบบ ผมจะเอาอะไรกินล่ะครับ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเรียน ครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวย ผมต้องทำงานส่งตัวเองเรียนตั้งแต่มอสี่ ผมก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก แต่เพื่อความอยู่รอดผมก็ต้องทำ อาชีพมันมีเยอะก็จริงนะครับ แต่ผมก็อายุแค่นี้เอง จะให้ผมไปทำอาชีพอะไรล่ะครับที่ผมจะมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงพ่อ เลี้ยงตัวเอง แล้วก็ส่งตัวเองมาเรียนที่นี่ได้ ใช่ครับ...ผมเลือกวิธีหาเงินไม่ได้ แต่ที่ผมเลือกมาเรียนที่นี่ มันก็แปลว่าผมก็อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ ถ้าไม่ใช่เพราะผมใฝ่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะผมอยากมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ผมก็คงไม่ดิ้นรนมาเรียนที่นี่หรอก เพราะผมรู้ว่าที่นี่มีโอกาสให้ผม ที่นี่จะเปลี่ยนชีวิตผมได้ ที่ผมพยายามทำทุกอย่างจนได้มาเรียนที่นี่ ก็เพราะผมอยากได้โอกาสดีๆ เหมือนที่คนอื่นเขาได้ครับ ให้โอกาสดีๆ แบบนี้กับเด็กที่สู้ชีวิตอย่างผมบ้างไม่ได้เหรอครับ หรือว่าจะมีให้แต่ลูกคนรวยอย่างเดียว"

ดูเหมือนคณะกรรมการจะอึ้งกันไปทั้งห้อง ความเงียบแล่นเข้าครอบคลุมพื้นที่ว่างของเสียงในทันที ได้ยินก็แต่เสียงแอร์ครางหึ่งเบาๆ เท่านั้น เมื่อผมหันไปมองรอบๆ โต๊ะ ผมก็เห็นบางคนมีแววตาสลดวูบ บางคนก็แสดงความเห็นใจ

"ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ที่นี่เสื่อมเสียเพราะการถ่ายแบบของผมเลยนะครับ เพราะมันเป็นอาชีพส่วนตัวที่ผมเลือกเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับมหาลัย ถึงจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น แต่มันก็เป็นอาชีพสุจริต ผมทำเพราะผมแค่อยากหาเงินมาเรียนหนังสือ ไม่ได้ทำเพราะอยากให้ใครเสียชื่อเสียง เป้าหมายชีวิตของผมไม่ใช่แค่นี้นะครับ วันนี้ผมจน ผมมีทางเลือกไม่เยอะเหมือนนิสิตคนอื่นๆ แต่วันหนึ่งที่ผมเรียนจบ ผมก็จะมีโอกาสดีๆ มีทางเลือกดีๆ เหมือนที่คนอื่นมี นี่คือเป้าหมายจริงๆ ของผมครับ"

ทั้งห้องยังคงเงียบอย่างเดิมเมื่อผมพูดจบ คณะกรรมการนั่งมองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีใครพูดอะไร หนึ่งในนั้นมีอาจารย์ที่ปรึกษาของผมด้วย เหตุผลของผมคงทำให้แต่ละคนลำบากใจพอดูว่าจะลงโทษผมยังไง ตามระเบียบแล้ว ถ้าทำให้มหาลัยเสียชื่อเสียง โทษอาจจะถึงขั้นพักการเรียนหรือจะให้ออกก็ได้

เมื่อไม่มีใครพูด ผมจึงพูดต่อซะเอง "เอาเป็นว่าผมยินดีจะให้ลงโทษผมยังไงก็ได้นะครับ แต่ถ้าจะขอไม่ให้ผมทำอาชีพนี้อีก ผมคงรับปากได้ยาก ครั้งหนึ่งผมเคยหิว ไม่มีเงินกินข้าว มันทรมานมากนะครับ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างผมก็จะอดตาย แต่อาชีพที่หลายคนดูถูกว่าไม่ดีกลับทำให้ผมมีข้าวกิน ผมกับพ่อไม่อดตายเพราะอาชีพนี้ ผมมาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะอาชีพนี้ แล้วที่สำคัญ...ผมก็คงต้องทำอาชีพนี้ต่อไปจนกว่าจะเรียนจบและมีงานทำ แต่ถ้าอาชีพของผมทำให้มหาลัยเสียชื่อเสียง จะเอาอนาคตของผมคืนไป...ผมก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ"

"คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกอะตอม" อาจารย์ต่อโพล่งขึ้นมาเป็นคนแรก สายตาทุกคู่เปลี่ยนจากจ้องผมไปจ้องอาจารย์ต่อแทน นี่คือจังหวะเวลาที่ดีที่สุดที่อาจารย์ต่อจะขยายความ

"ท่านรองครับ ผมไม่รู้ว่าใครจะคิดยังไงนะครับ แต่สำหรับผม...โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ในยุคของพวกเรา เราโตมากับความเชื่อว่าการเต้นกินรำกินเป็นเรื่องน่าอาย แต่ทุกวันนี้...คนเต้นกินรำกินมีชื่อเสียง มีเงิน มีคนยอมรับ มันไม่ใช่อาชีพที่น่ารังเกียจอีกต่อไปแล้วครับ เพราะมันสร้างความบันเทิงให้คน คนสมัยนี้ทำงานหนัก เครียด เขาต้องการความบันเทิง ก็ต้องมีอาชีพเต้นกินรำกินให้คนหายเครียด มันเป็นอาชีพที่ทำประโยชน์ให้สังคม มหาลัยเรายังสอนเรื่องพวกนี้เลยไม่ใช่เหรอครับ" อาจารย์ต่อหยุดพักเพื่อดูการตอบรับ จากนั้นก็พูดต่อ

"เด็กสมัยนี้เขาเปิดเผยตัวตนมากกว่าพวกเรา เขาเป็นตัวของตัวเองมากกว่า งานถ่ายแบบพวกนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของมนุษย์เราๆ ไม่ใช่เหรอครับ พวกเราอยากดูของพวกนี้ แต่เราต้องเก็บกดไว้ในยุคของพวกเรา ถ้ามองกันอีกด้านหนึ่ง...ผมว่ามันก็เป็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศด้วยครับ สมัยก่อนหนังสือแบบนี้มีแต่ผู้หญิงถ่าย เพราะผู้ชายอยากดู ผู้ชายดูไม่แปลก ไม่ผิด ไม่น่าอาย แต่ยุคนี้ผู้หญิงเขาก็อยากดูผู้ชายบ้าง เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเหมือนผู้หญิงยุคเรา หรือแม้กระทั่งกลุ่ม LGBT เขาก็อยากดูภาพพวกนี้ มันก็เกิดเป็นธุรกิจ แต่ถ้ามองลึกๆ มันก็เป็นธุรกิจที่ดีนะครับ เพราะมันทำให้เพศต่างๆ เท่าเทียมกัน ไม่เหมือนยุคของพวกเราที่มีแต่ผู้ชายแท้ๆ เท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ ซึ่งถือเป็นการกดขี่เพศหญิงหรือเพศอื่นๆ ทางหนึ่ง ทุกวันนี้...ความคิดพวกนี้มันใช้กับสังคมปัจจุบันไ่ม่ได้แล้วครับ"

เสียงฮือฮาของคนในห้องประชุมดังขึ้น ผมไม่ค่อยได้คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองนักหรอก เพราะเรียนเสร็จก็มักไปทำงานอื่น วันนี้ได้ฟังแกพูดยาวๆ เป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าอาจารย์ต่อจะมีความคิดแตกต่างสุดขั้วขนาดนี้ ใครฟังแกพูดคงต้องอึ้งไปตามๆ กัน

"ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้ชี้แจงกับสังคมไปล่ะครับว่ามหาลัยของเราให้ความเคารพในอาชีพของนักศึกษา เคารพในความหลากหลายทางเพศ เคารพในการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เราต้องสอนให้นิสิตของเราใช้ชีวิตในยุคของเขาได้ครับ ผมว่าตรงนี้ต่างหากเป็นจุดขายสำคัญ" อาจารย์เว้นจังหวะ ดูเหมือนคนที่นั่งฟังเริ่มส่งสัญญาณคล้อยตามมากขึ้น

"อาจารย์อย่างพวกเรา ตอนกลางวันก็สอนหนังสือเหมือนอาจารย์ทั่วไป แต่ตกเย็นอาจารย์หลายคนก็เข้าผับ กินเหล้า เที่ยวเตร่ นอกเวลามหาลัยแล้วทุกคนก็มีชีวิตส่วนตัวของตัวเอง จะทำอะไรก็ได้ ขอแค่มาทำงานตามที่ตกลงให้ได้ก็พอแล้ว เราเคารพชีวิตส่วนตัวของอาจารย์ได้ก็ต้องเคารพชีวิตส่วนตัวของนิสิตได้ไม่ใช่เหรอครับ เขาจะทำอะไรนอกเวลาเรียนก็เรื่องของเขา ขอแค่ให้เขามาเรียน ตั้งใจเรียนและสอบผ่าน แค่ทำหน้าที่นิสิตให้ครบถ้วนก็พอแล้ว เอาตรงๆ นะครับ ถ้าอาจารย์มหาลัยจะไปถ่ายแบบอย่างนั้นบ้าง สำหรับผม...ผมไม่มีปัญหา ผมก็ไม่อยากอ้างแต่ต่างประเทศหรอกนะครับ แต่ไม่นานนี้มีข่าวอาจารย์สอนคณิตไปถ่ายแบบเซ็กซี่ ก็ไม่เห็นเขาเป็นอะไรกัน เขาก็ยังสอนได้เหมือนเดิม ผมว่าเราต้องหลุดออกจากกรอบคิดเดิมๆ บ้าง นี่ต่างหากที่จะทำให้เราเป็นมหาลัยชั้นนำ"

ประโยคท้ายเรียกเสียงฮือฮายิ่งกว่าเดิม ผมเองยังไม่กล้าคิดอย่างที่อาจารย์ต่อคิดเลย สมแล้วที่เขาว่าเด็กและอาจารย์คณะนี้ติสต์แตกกันแทบทุกคน

"เอาอย่างนี้ไหมครับ ผมเสนอว่า...เราจัดงานแถลงข่าว แล้วก็ยืนยันจุดยืนของเรา บอกสังคมไปเลยว่าเราเคารพสิทธิในร่างกายของนิสิต เราเคารพสิทธิของเพศวิถีที่เท่าเทียม เราเคารพการตัดสินใจ เคารพอาชีพและความเป็นส่วนตัวของนิสิตและอาจารย์ทุกคน สังคมสมัยใหม่เราต้องเคารพเรื่องพวกนี้ครับ เราแค่อยู่ร่วมกันด้วยกฎกติกาบนพื้นฐานที่จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ เราต้องให้ความรู้แก่สังคมเรื่องสิทธิในร่างกายของเราครับ สังคมควรจะเลิกตัดสินคนว่าดีหรือไม่ดีเพียงเพราะเขาถ่ายแบบเซ็กซี่หรือโป๊เปลือยได้แล้ว อ้อ ให้อะตอมเขาแถลงข่าวด้วยก็น่าจะดีครับ ให้นักข่าวได้ฟังเขาพูดเองเลย เราไม่ต้องพูดแทนเขา ไม่ทราบว่าท่านรองคิดเห็นยังไงครับ"

อาจารย์ต่อโยนคำถามกลับไปที่ท่านรองอธิการในตอนท้าย ผมสังเกตเห็นว่าสีหน้าของท่านดูผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอาการคล้ายๆ กัน ที่คนเขาพูดกันว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมของคนคุณภาพ ผมก็เริ่มเห็นภาพนั้นบ้างแล้ว เพราะทุกคนรับฟังและเข้าใจเหตุผลของอาจารย์ต่อ แต่ถ้าอาจารย์ไปพูดเรื่องนี้ที่อื่นคงไม่เป็นแบบนี้

ท่านรองอธิการถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูด "ผมคิดว่าวันนี้เราพักเรื่องหาบทลงโทษไว้ก่อนละกันนะครับ ยังไงผมจะขอหารือกับท่านอธิการอีกสักรอบ ผมคิดว่าเรื่องนี้เราคงตัดสินใจกันเองไม่ได้ สื่อก็เพ่งเล็งเราด้วย ถ้าผลีผลามทำอะไรไปอาจเป็นผลเสียมากว่าผลดี ทุกท่านเห็นว่ายังไงครับ"

ไม่มีใครคัดค้านท่านรองอธิการแม้แต่คนเดียว แปลว่าเรื่องของผมจะยังไม่จบภายในวันนี้ แต่ความไม่แน่นอนก็ยังรออยู่ข้างหน้า เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เผลอๆ อาจจะต้องถึงมือคณะกรรมการที่สูงกว่านี้ก็ได้

ก่อนออกจากห้อง ผมรีบเดินไปยกมือไหว้ขอบคุณอาจารย์ต่อ อาจารย์ตบไหล่ผมเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ช่วยให้ผมมีกำลังใจมากขึ้นทีเดียว

เมื่อลงมาจากห้องประชุม ผมก็พบว่ามีเพื่อนๆ ที่คณะมายืนให้กำลังใจหลายคน รุ่นพี่บางคนก็มาด้วย เพื่อนต่างคณะอย่างอั้ม ปาร์ตี้และคอปเตอร์ก็มา ทุกคนคงอยากรู้ว่าผลการประชุมเต็มแก่ ถ้าหากผมถูกไล่ออก คนที่มาก็พร้อมจะก่อหวอดประท้วงทันที

แน่นอนว่าคนที่ผมเห็นก่อนใครก็คือกัปตัน ที่จริงก็มองหาง่ายกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำเพราะเขาใช้วีลแชร์ เรายิ้มให้กันทันทีที่สายตาเราเจอกัน ยิ้มของเขาช่างดีต่อใจของผมจริงๆ แต่พอนึกได้ว่าเขามีนัดกับกรีนเย็นนี้อีกแล้ว

ผมกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของกัปตันเหมือนมีหนามเล็กๆ แทงใจส่งมาด้วย



TBC


ถ้ายังมีคนอ่านอยู่ ผมก็จะลงจนจบนะครับ จนกว่าจะไม่มีคอมเมนต์หรือจำนวนเป็ดเป็น 0


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 12-10-2017 21:08:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 12-10-2017 21:16:30
รออ่านจนบทสรุปสุดท้ายโน่นแหละคับ จะเกิดอะไรกับกัปตันอีกมั้ย!!!! รออออออ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-10-2017 21:58:28
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-10-2017 22:03:19
อ.ต่อ มีแนวคิดที่ทันสมัย เข้าใจโลกปัจจุบันมาก
เข้าใจนักศึกษา เพศที่มากกว่าสองเพศ รวมทั้งความต้องการของคน
สังคมโดยทั่วไปควรมีคนที่มีทัศนคติที่ยืดหยุ่น
ไม่ใช่สุดโต่ง หัวเก่า หัวโบราณ มองโลกด้านเดียว

กัปตัน ยังไม่รู้ตัวว่าทำให้อะตอมน้อยใจ
รู้สึกว่ามีแต่อะตอม ที่กลัวว่าไปการพูด การกระทำของตัวเอง
ไปกระทบอารมณ์ ความคิดของกัปตันฝ่ายเดียว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 12-10-2017 22:54:31
จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 13-10-2017 01:06:54
อยากให้อะตอมมีความนุขสักที

เหนื่อยยากลำบากเหลือเกิน

 :hao4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP24 รุมเร้า [3/3] - 12.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 13-10-2017 01:43:22
จะดราม่าอะไรอีกไหมครับ เริ่มเครียดแล้ว มันเริ่มหน่วงๆ ในใจ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-10-2017 09:04:23
อะตอมงอนให้หนักๆๆๆๆไปเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 14-10-2017 09:09:52
EP25 (1/3)
เย็นเศร้าคืนซี๊ด

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: CAPTAIN :::

ดูเหมือนว่าการขับรถและเอารถวีลแชร์ลงจากหลังคารถของผมจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อย กรีนกับเพื่อนอีกสองคนกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ถึงกับหยิบมือถือมาถ่ายตอนที่ผมลงจากรถกันเลย

ห้างนี้มีที่จอดรถสำหรับคนพิการด้วย ผมก็เลยลงสะดวกหน่อย แต่ก็แอบเสียวๆ ว่าจะมีใครมาแอบถ่ายรูปไปประจานในเฟส เพราะรถผมไม่มีสัญลักษณ์คนพิการ แถมยังเป็นรถหรูอีก ใครเห็นคงจะด่ากันสนุกปากว่ารวยแต่ไม่มีจิตสำนึก

วันนั้นที่กรีนชวนไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ ที่พารากอน ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะมีงานกลุ่มที่ต้องทำกับเพื่อน แต่ใช้วิธีไปกินข้าวเที่ยงที่คณะด้วยแทน ต่อมากรีนก็รบเร้าจะไปกินข้าวที่ห้างด้วยกันให้ได้ สุดท้ายผมก็ใจอ่อนตอบตกลง

พูดก็พูดเถอะ ลึกๆ ผมก็ยังมีความสงสัย คนอย่างผมยังมีผู้หญิงคนไหนสนใจอยู่หรือเปล่า ยังมีผู้หญิงแบบไหนที่จะรักคนอย่างผมบ้าง อกหักคราวนั้นทิ้งแผลและความสงสัยนี้ไว้ให้ผมมาตลอด ที่ผ่านมาก็กลัวเจ็บซ้ำจนไม่กล้ามองใคร แม้ว่าตอนนี้ผมได้เจออะตอมแล้ว แต่ความรักของเขาก็ไม่ทำให้คำถามในใจนี้หายไป

แต่มาแบบนี้ผมก็กลัวอะตอมน้อยใจเหมือนกัน แทนที่จะได้อยู่ปลอบใจมันซะหน่อยเพราะวันนี้มันเจอเรื่องหนัก แต่ผมกลับมัวแต่เกรงใจคนอื่น อย่างน้อยไปดูมันเดินแบบข้างๆ เวทีก็ยังดี แต่ผมก็ตัดสินใจมาที่นี่แล้วเพราะนัดไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง

"กัปตันสุดยอดเลยอ้ะ กรีนยังขับรถเองไม่เป็นเลย" กรีนยิ้มด้วยสีหน้าชื่นชม จะว่าไปก็น่ารักไม่น้อย คงไม่มีหนุ่มคนไหนไม่ชอบสาวสวยยิ้มให้อยู่แล้ว

"ไม่ขนาดนั้นหรอก มีอุปกรณ์ดีช่วย" เวลาใครชม ผมมักจะถ่อมตัวบ่อยๆ ป๊าสอนว่าเราไม่ได้เก่งด้วยตัวเองทั้งหมด ต้องมีคนและสิ่งของอำนวยความสะดวกทั้งนั้น

"ยังไงก็เก่งอยู่ดีแหละ ใช่ไหมพวกเธอ พวกเธอว่ากัปตันเก่งไหมล่ะ" กรีนหันไปถามความเห็นเพื่อน คุนหมิงกับจาวาพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ลังเล

"ปกติไม่เคยเห็นคนแบบกัปตันขับรถเลย นึกว่าจะต้องมีคนพาไปไหนมาไหนตลอด แล้วก็น่าจะทำอะไรเองไม่ค่อยได้ แต่นี่กัปตันทำได้หมดเลย พวกเราแทบไม่ต้องช่วยเลยสักอย่าง อะเมซซิ่งมาก" คุนหมิงสำทับด้วยคำชมอีกคน

"ไปกันยัง หิวแล้ว" จาวาเตือนเพื่อนๆ

พวกเราหยุดคุยและพากันเดินไปเข้าห้าง โชคดีตรงที่ที่จอดรถคนพิการอยู่ใกล้ทางเข้า จึงไม่ต้องเดินไกล ถือว่าสะดวกดีเหมือนกัน หลังๆ มานี้ผมว่าบ้านเราคำนึงถึงเรื่องนี้มากขึ้น ในห้างแทบทุกที่มีที่จอดรถ ทางลาดและห้องน้ำคนพิการหมดแล้ว

เมื่อมาถึงร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดแห่งหนึ่ง เราก็ลงมือสั่งอาหารกัน ผมอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองมาในฐานะอะไรกันแน่ คงไม่ใช่มาเดตแน่นอน มาหลายคนแบบนี้ ถือซะว่ามากินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ ละกัน เสียอย่างเดียวเป็นเพื่อนสาวหมดเลย

ระหว่างรออาหารที่สั่งเราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากเป็นเรื่องในมหาลัยนั่นแหละ เรื่องที่คุยก็เป็นเรื่องพี่สานั่นแหละ คุยตั้งแต่นั่งรถออกมาด้วยกันแล้ว

พออาหารมาก็พักคุยชั่วคราว เมื่อได้พลังเพิ่มจากอาหาร สามสาวก็ชวนคุยต่อ

"แล้วเรื่องอะตอมเป็นไงมั่ง โดนเยอะหรือเปล่า" กรีนถามด้วยสีหน้าอยากรู้

"ยังไม่รู้เลย วันนี้เขายังไม่ตัดสินน่ะ สงสัยจะเรียกไปคุยอีกรอบ" พูดไปแล้วผมก็นึกถึงใครอีกคนขึ้นมาทันที ป่านนี้จะได้กินข้าวหรือยังก็ไม่รู้

"หวังว่าจะไม่โดนไล่ออกนะ"

"ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง เราว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวนะเธอ ถ้าไล่ออกก็เกินไปแล้วล่ะ สมัยนี้เขาก็ถ่ายแบบนี้กันเยอะแยะ ไม่เห็นมีอะไรเลย" คุนหมิงแย้ง

"ดูบ่อยเหรอยะถึงรู้ว่าเขาถ่ายกันเยอะแยะ" จาวาแซวพลางขำ

"ก็ดูบ้าง แหม...ทำยังกะเธอไม่ชอบดูงั้นแหละ" คุนหมิงแซวกลับ เพื่อนๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่

จากนั้นการสนทนาก็ไหลไปเรื่องอื่น ปกติการมาคุยกันแบบนี้ก็ไม่มีประเด็นหลักให้ยึดอยู่แล้ว ใครนึกอะไรได้ก็คุยเรื่องนั้น เรื่องที่คุยจึงไหลไปเรื่อยจนกว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านนั่นแหละ

"ตายแล้วเพิ่งนึกได้! ชวนกัปตันออกมาแบบนี้ แฟนจะว่าอะไรไหมเนี่ย" กรีนทำท่าตกใจ พวกเราจึงหันไปมองเธอเป็นตาเดียวกัน

ผมรู้สึกตกใจพอสมควรเพราะนึกว่ากรีนรู้แล้วว่าใครเป็นแฟนผม ถ้าไม่โกหกตัวเองจนเกินไป ผมว่าการมีแฟนเป็นผู้ชายนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะเปิดเผยก็ยังกล้าๆ กลัวๆ แม้สังคมจะเปิดกว้างมากขึ้นก็เถอะ แต่คนต่อต้านเรื่องนี้ก็มี เผลอๆ อาจจะเป็นสามสาวนี้ก็ได้

"ทำท่าแบบนี้ อย่าบอกนะว่ามีแฟนแล้ว กัปตันมีแฟนแล้วจริงๆ เหรอ" กรีนหน้าเสีย สงสัยจะเห็นผมทำหน้าเหวอๆ ก็เลยทึกทักว่าผมน่าจะกลัวแฟนว่า

"อ๋อ...เอ่อ...มีแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก เขารู้แล้วว่ามาที่นี่" ผมตอบตะกุกตะกัก

"หา! มีแล้วเหรอ" สามสาวถามผมแทบจะพร้อมกัน พวกเธอทั้งตกใจและแปลกใจ วางช้อนส้อมกันแทบไม่ทัน

"ใครเหรอ บอกได้เปล่า" กรีนถามหน้าเศร้าๆ

"คนในคณะเดียวกันนั่นแหละ" ผมตอบอ้อมๆ

"ผู้หญิงหรือผู้ชาย" อยู่ๆ จาวาก็ถามอย่างนั้น เมื่อเห็นผมตกใจเธอก็ขำ "เอ้า สมัยนี้ก็ต้องถามแบบนี้แหละ ตอนมอปลายนะ จาวาเคยชอบรุ่นพี่คนหนึ่ง หล่อมากกกกกก แอบมองบ๊อยบ่อย แต่เขาก็ไม่สนใจเราเลย สุดท้าย...เขามีแฟนเป็นผู้ชายจ้า จบข่าว"

ถึงแม้จาวาจะบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่การพูดไปหัวเราะไปทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นการเหยียดเพศกลายๆ

"เธอนี่ก้อ กัปตันเขาออกจะหล่อ ดูไม่เห็นเหมือนเกย์ตรงไหนเลย เขาเป็นแบบนี้แล้วยังจะให้เขาเป็นเกย์อีกเหรอ ไม่ไหวมั้ง" คุนหมิงแย้งกึ่งตำหนิ แต่คำพูดของเธอเหยียดเพศหนักกว่าจาวาซะอีก แถมยังเหยียดคนพิการด้วย ผมนี่สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีกเพราะโดนหลายดอก

"แหม หน้าแมนก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นนะเธอ รุ่นพี่คนนั้นที่ฉันชอบน่ะ แมนๆ เตะบอลเลยจ้า เตะไปเตะมา กินกันเองเลย เศร้าแพร็พ" จาวาทำท่าปาดน้ำตาและร้องไห้กระซิกๆ เพื่อนๆ จึงหัวเราะชอบใจ

"สงสัยแฟนกัปตันต้องสวยมากๆ แน่ๆ เลยว่าไหม" กรีนพูดขึ้นหลังเงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผิดหวังหรือเปล่า แต่ผมก็สังเกตเห็นสีหน้าของเธอดูเศร้าๆ

"ทำไมถึงคิดว่าแฟนกัปตันจะสวยล่ะ" ผมย้อนถาม

"อ้าว คนหล่อๆ ก็ต้องมีแฟนสวยๆ ดิ กัปตันไม่รู้ตัวเหรอว่ากัปตันหล่อมากเลยนะ ประกวดคิวท์บอยได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว" กรีนยอ

"เราเป็นแบบนี้ ไม่มีผู้หญิงสวยๆ ที่ไหนชอบเราหรอก" ผมแค่นหัวเราะคล้ายหยันตัวเอง

"ไม่จริง!" สามสาวค้านพร้อมกันอย่างแข็งขัน

"กัปตันเป็นคนมีเสน่ห์จะตาย แถมยังเก่งด้วย ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างแน่ะ อย่างน้อยพวกเราสามคนก็ไม่คิดแบบนั้นนะ ไม่งั้น...จะชวนกัปตันมากินข้าวด้วยทำไม จริงไหม" จาวายิ้มให้กำลังใจ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อยหรอก ตามประสาคนเคยเจ็บนั่นแหละ

"พวกเราคิดอย่างนี้จริงๆ นะ กัปตันอย่าน้อยใจดิ นี่ถ้าไม่ติดว่ากัปตันมีแฟนแล้วนะ คนแถวๆ นี้เขาก็..." คุนหมิงละไว้ สายตาของเธอมองเหล่ไปที่กรีน จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ

ผมกับกรีนสบตากันโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองดีๆ จะเห็นความหวั่นไหวในแววตาคู่นั้น เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้หญิงมองผมด้วยแววตาแบบนี้ แววตาเศร้าระคนเขินอายหน่อยๆ บ่งบอกความรู้สึกบางอย่าง

ผมเคยอยากได้ความรู้สึกแบบนี้จากผู้หญิงสักคนไม่ใช่เหรอ?

"หัวใจว่างเมื่อไหร่ อย่าลืมผ่านไปแถวๆ คณะอักษรด้วยนะกัปตัน มีคนรอเสียบอยู่" คุนหมิงพูดทีเล่นทีจริง แต่บางคำพูดก็น่าเกลียดไปหน่อย

ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยังไงไม่รู้ ดีที่ว่าสามสาวพากันคุยเรื่องอื่นไปซะก่อน ระหว่างนั้นผมแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นสามสาวคุยกันเองผมก็แอบพิมพ์ไลน์ส่งให้อะตอมสั้นๆ

"กินข้าวยัง"

ไม่มีคำตอบใดๆ ส่งกลับมา แถมมันยังไม่อ่านด้วย อาจจะเดินแบบอยู่ก็ได้ หลังข้อความแรกผมก็หาโอกาสส่งไปอีกสองสามข้อความ แต่อะตอมก็ไม่ตอบ ทำเอาผมกังวลไม่น้อย แต่จะโทรหาตอนนี้ก็ไม่สะดวก ผมจึงส่งอีกข้อความทิ้งท้าย

"อีกยี่สิบนาทีจะกลับ เดี๋ยวเจอกันนะ"

ผมกดส่งข้อความ พอเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ สาวๆ พากันแซวผมใหญ่

"นั่นแน่ คุยกับแฟนล่ะสิ อิจฉาจังคนมีแฟน"

ผมทำหน้ายิ้มๆ อีกตามเคย ไม่พูดโต้ตอบใดๆ พวกเธอคงลืมไปแล้วว่าผมยังไม่ตอบคำถามเรื่องเพศของแฟนผม แต่ลืมไปก็ดีเหมือนกัน กระนั้นผมก็คิดว่าต้องรีบหาทางออกเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ขืนปล่อยไว้ความรักมีปัญหาแน่ๆ

กรีนมองผมด้วยสายตาเศร้าๆ อีกแล้ว เท่าที่คุยกันมาทางเฟส ผมก็ว่าเธอชอบผมนั่นแหละ ความรู้สึกข้างในบอกว่าผู้หญิงคนนี้รู้สึกบางอย่างกับผม ผมจึงต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม ทำเอากรีนห่อเหี่ยวไปเลย ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเธอดูไม่ร่าเริงเท่าที่ควรเวลาคุยกัน

วันนี้ผมน่าจะได้คำตอบรางๆ แล้วล่ะ แม้ว่ามาแบบนี้อาจจะไม่ค่อยดีกับอะตอมเท่าไหร่ แต่ถ้ามันช่วยให้ผมลบล้างความทรงจำแย่ๆ ไปได้บ้างก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนทุกข์กับความเชื่อลึกๆ ว่า...

ไม่มีผู้หญิงคนไหนรักผมได้!



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-10-2017 09:25:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-10-2017 09:46:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 14-10-2017 11:03:00
ขอบคุณค่ะ  กัปตันเสน่ห์แรงใช่ยอยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 14-10-2017 13:05:36
ขอบคุณคร้าบ
เห็นใจอะตอมเล็กน้อย
รออ่านตอน 2/2 ^^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-10-2017 14:27:40
คิดว่ากัปตัน จะไม่คิดเรื่องที่ทำให้อะตอมน้อยใจซะอีก

อะตอม คิดมากงอนไปแล้ว หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-10-2017 14:52:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [1/2] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 14-10-2017 16:35:26
เมื่อไร 2/2 จะมา………… ไม่ได้หื่นนะ 555

 :ling1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 14-10-2017 17:50:46
EP25 (2/3)
เย็นเศร้าคืนซี๊ด

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: CAPTAIN :::

กว่าจะกลับถึงคอนโด เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มแล้ว สามสาวเดินทางกลับด้วยรถไฟฟ้า แต่ผมต้องติดอยู่บนถนนเพราะเป็นวันศุกร์แห่งชาติ แม้ระยะทางไม่ไกลมาก แต่ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะฝ่ามาถึงห้อง

พอมาถึงก็พบว่าในห้องปิดไฟสนิท ผมก็เลยเข้าใจว่าอะตอมยังไม่กลับ พอเปิดไฟในห้อง ผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานนักเพราะเริ่มง่วงๆ อาบเสร็จก็กะว่าจะเข้าไปนอนเล่นในห้องรออะตอมกลับมาซะหน่อย

พอเข้าไปในห้องนอน ผมก็ต้องแปลกใจที่พบว่าอะตอมนอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่ไม่แสดงท่าทางรับรู้ใดๆ ว่าผมเข้ามาในห้อง สงสัยคงหลับไปแล้วมั้ง ใจหนึ่งผมก็ลังเลว่าจะปลุกมันดีไหม ที่จริงผมอยากคุยกับมันคืนนี้เลย ไม่อยากรอจนถึงพรุ่งนี้เช้า ไม่งั้นผมคงจะนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเกรงใจ อะตอมคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของมัน

ผมก็เลยขึ้นไปนอนบนเตียงของตัวเอง ห่มผ้าแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ ในเมื่อมันนอนแล้วผมก็คงต้องเปลี่ยนแผน แต่พอจะข่มตานอนผมก็นอนไม่หลับอย่างที่คิดไว้ ในหัวคิดกังวลแต่เรื่องของคนนอนเตียงข้างๆ เพราะดูเหมือนว่าเราจะคุยกันน้อยลงในช่วงหลังๆ คงต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ

ผมรู้สึกว่าอะตอมแปลกไปตั้งแต่คุยกับป๊าผมวันนั้นแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง สงสัยว่าจะเกี่ยวกับผม หวังว่าป๊าคงไม่สงสัยหรอกนะว่าอะตอมรักผม ก็แอบเสียวๆ เหมือนกันว่าป๊ากับแม่จะรับไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นคนมีเหตุผลทั้งคู่ แต่เรื่องแบบนี้ทำให้พ่อแม่ที่มีเหตุผลสติหลุดมานักต่อนักแล้ว

เสียงคนขยับตัวทำให้ผมหยุดคิดชั่วคราว ผมรีบพลิกตัวนอนตะแคงไปทางเตียงของอะตอมทันที สายตาคอยจับสังเกตคนนอนหลับ อยู่ๆ ก็นึกสงสัยว่า...

อะตอมแกล้งหลับเพราะงอนผมหรือเปล่า?

ตอนนี้มันจะหลับจริงหรือแกล้งหลับผมก็ไม่สนแล้ว ยังไงๆ ก็ต้องคุยกับอะตอมคืนนี้ให้ได้ คิดแล้วผมก็ลุกขึ้นนั่ง ถัดตัวไปนั่งบนวีลแชร์ที่จอดอยู่ข้างเตียง ก่อนค่อยๆ เข็นตรงไปที่เตียงของอะตอมอย่างเงียบๆ แต่ล้อหน้าผมสองข้างก็ดันมีไฟซะนี่ มันสว่างวูบวาบทุกครั้งที่ผมเข็น ประกายไฟหลากสีเกิดจากก๊าซที่ล้อทำปฏิกิริยากับอะไรสักอย่าง ใครเห็นผมเข็นรถผ่านไปก็มักจะตื่นเต้นกับไฟล้อหน้าของผมเสมอ

ผมเพ่งสายตาฝ่าความมืดสลัวไปยังใบหน้าคนที่นอนหลับใหล อยากรู้ว่ามันแอบลืมตาดูผมอยู่หรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจจึงก้มไปดูใกล้ๆ อีกที แต่ก็เห็นว่าอะตอมนอนหลับตาสนิทเหมือนคนนอนหลับจริงๆ ไม่งั้นก็คงแสดงได้แนบเนียนมาก

เอาวะ! เป็นไงก็เป็นกัน!

ผมใช้สองมือยันเบาะวีลแชร์ไว้ ท่านี้จะช่วยให้ผมกระโดดจากวีลแชร์ขึ้นไปบนเตียงได้ ผมนับหนึ่งถึงสามในใจ เมื่อพร้อมแล้วก็ใช้แรงแขนถีบตัวแทนขา ร่างผมลอยหวือออกจากวีลแชร์ลงไปบนเตียง ผมรีบกางแขนออกขณะตัวลอยอยู่บนอากาศ พอตัวตกลงไปทับคนที่นอนอยู่ ผมก็สวมกอดมันไว้ทันที

ตุ้บ!

"ขอนอนด้วยได้เปล่า" ผมพูดข้างๆ หูด้วยเสียงอ้อนๆ น่าจะเป็นเสียงน่ารักที่สุดที่ผมทำได้ในตอนนี้แล้ว

อะตอมลืมตาแป๋วขึ้นมอง พอเห็นใบหน้าผมอยู่ใกล้แค่คืบก็ตกใจ

"เชี่ย ตกใจหมดเลย"

น้ำเสียงของอะตอมฟังดูไม่งัวเงียแม้แต่น้อย แสดงว่ามันรู้ทุกอย่างนั่นแหละ

"ขอนอนด้วยนะ อยากนอนกับแฟนน่ะ" ผมอ้อนและกอดมันแน่นขึ้น แต่ก็ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะมีผ้าห่มกั้นอยู่

อะตอมไม่ตอบ แต่ก็ไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ

"กินข้าวยัง" ผมชวนคุยเล่น ได้จังหวะเมื่อไหร่ก็จะเข้าเรื่องทันที

"อือ" อะตอมไม่สบตาผมตรงๆ ท่าทางดูหมางเมินเล็กน้อย

"แล้วกินอะไร"

"ข้าวกล่อง"

"อร่อยไหม"

"อือ"

"งานโอเคไหมวันนี้"

"อือ"

"มึงกลับมาเร็วเหรอ"

"อือ"

"มึงงอนกูเหรอ"

"อือ"

สักพักอะตอมก็หน้าเหวอ มันเสียรู้ผมซะแล้ว ผมกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว ส่วนอะตอมนอนนิ่งๆ เหมือนเดิม พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ ที่จริงมันคงอยากปฏิเสธว่าไม่ได้งอนนั่นแหละ แต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย

"กูขอโทษเว้ย กูผิดไปแล้ว เนี่ย...กูมาให้มึงลงโทษแล้วเห็นไหม ลงโทษกูหน่อยดิ มึงอยากลงโทษแบบไหน กูยอมหมดเลยนะเว้ย" ผมเบียดตัวเข้าหาอะตอมอีกนิด ทำตัวเหมือนดาวยั่วเข้าไปทุกขณะ แต่มันกลับเงียบเหมือนเดิมซะงั้น

"อ้าว ยังไม่หายงอนอีกเหรอ" ผมนิ่วหน้า พลางก็นึกหาวิธีง้อใหม่

ผมเอามือดึงผ้าห่มออก จากนั้นก็พยายามสอดตัวเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน อะตอมอาศัยจังหวะนั้นตะแคงหันหลังให้ แบบนี้ก็เข้าทางผมพอดี ผมจึงสวมกอดเข้าด้านหลังซะเลย ร่างกายเราเบียดเสียดแนบชิดกันแทบทุกตารางนิ้ว เมื่อไม่มีอะไรกั้นนอกจากเสื้อผ้าบางๆ อารมณ์วาบหวามก็เริ่มก่อตัว

ผมเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง ก่อนซุกตัวเข้าหาร่างอุ่นหนา กลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆ ลอยมาติดจมูกผม แสดงว่าอะตอมน่าจะอาบน้ำนอนก่อนผมไม่นานมาก ผมชะโงกหน้าข้ามไปมองหน้าคนขี้ใจน้อย นึกว่ามันจะยิ้มให้แต่เปล่าเลย

"ให้หอมแก้มเอาไหม" ผมถามพลางยื่นแก้มไปให้มันใกล้ๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรมาสัมผัสที่แก้มผมแม้แต่น้อย

"งั้น...จูบกูไหม" ผมยื่นปากเข้าไปใกล้ ทำปากจู๋ๆ ให้ดูตลก

อะตอมทำท่าจะหัวเราะ แต่ก็พยายามกลั้นไว้ ดูท่าจะไม่ยอมหลงกลผมง่ายๆ ซะแล้ว

"ไรวะ โกรธขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย" ผมชักท้อ แต่ในเมื่อเป็นคนผิด ผมก็โอดครวญไม่ได้

"จริงๆ กูก็ไม่อยากไปหรอกเว้ย กูเป็นคนขี้เกรงใจเขามึงก็รู้ แต่กูบอกกรีนไปแล้วนะเว้ยว่ากูมีแฟนแล้ว อีกอย่าง...กูก็แค่อยากรู้ว่าคนอย่างกูจะมีผู้หญิงมาชอบหรือเปล่าเท่านั้นแหละ มึงก็รู้นี่ว่ากูเคยโดนผู้หญิงหลอกให้รัก แล้วเขาก็ทิ้งกู มันเป็นคำถามคาใจกูนะเว้ย วันนี้กูก็พอได้คำตอบแล้ว กูว่า...กรีนเขาก็ชอบกูอย่างที่มึงบอกนั่นแหละ แต่ว่ากูไม่ได้คิดอะไรกับเขานะเว้ย กูมีคนที่กูรักและก็รักกูอยู่ทั้งคน ดีขนาดนี้...กูจะไปรักใครที่ไหนได้วะ มึงไม่รู้เหรอว่ากูรักมึงมากแค่ไหน กูไม่เคยง้อใครแบบนี้เลยนะเว้ย"

ผมหยอดคำหวานซึ้งหยดย้อย แต่หวานขนาดนี้อะตอมก็ยังนอนเฉย ไม่ยอมพูดจากับผมสักคำ

"น้องอะตอมครับ พี่กัปตันขอโทษ พี่กัปตันผิดไปแล้ว แต่พี่กัปตันก็รักน้องอะตอมคนเดียวจริงๆ นะ ยกโทษให้พี่กัปตันซะทีสิ ง้อจนเหนื่อยแล้ว ไม่รู้จะง้อยังไงแล้วนะ" ผมงัดไม้เด็ดมาใช้ พร้อมทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารสุดๆ

ปกติผมไม่เคยเรียกตัวเองว่าพี่เลย อะตอมจึงแสดงอาการสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็น้อยจริงๆ ไม่นานก็ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม ไม้เด็ดของผมจึงกลายเป็นไม้เหี่ยวๆ ในทันที

"อ้าว ยังไม่หายโกรธอีก ถ้าไม่หาย เดี๋ยวกูงอนบ้างนะเว้ย" ผมขู่ แต่ก็ยังไม่กล้างอนมันหรอก

ผมพยายามพลิกตัวอะตอมให้หันมาเผชิญหน้ากับผม แรกๆ มันก็ขัดขืน แต่ไม่นานก็ยอมหันหน้ามา ผมใช้สองมือประคองใบหน้ามันให้มองผมตรงๆ ไม่งั้นมันหลบตาผมอีกแน่ๆ

เมื่อสายตาเราประสานกันเต็มๆ ผมก็ส่งพลังงานความรักผ่านสายตาออกไปอย่างเต็มที่ ใบหน้าหล่อคมเริ่มมีรอยยิ้ม แม้จะพยายามฝืนมากแค่ไหนก็ตาม

"พี่กัปตันรักน้องอะตอมคนเดียวนะ ยกโทษให้พี่นะครับ ต่อไปพี่จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ถ้าน้องอะตอมไม่ยกโทษให้พี่นะ พี่ต้องขาดใจตายแน่ๆ เลย" ผมพูดไปทำตาปริบๆ ไป ไม่เห็นใจก็ให้มันรู้ไป



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-10-2017 18:06:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-10-2017 18:11:57
อยากรู้ตอนเปิดตัวแล้วพ่อแม่กัปตันจะยอมรับได้มั้ย อย่าดราม่าหนักๆๆก็พอใจแล้ว
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-10-2017 18:31:12
อะตอม ใจแข็งเกิ้น  :mew2:
กัปตัน รู้แล้วนะ อย่าทำอะไรให้กัปตันงอนอีก

ว่าแต่ ง้อกันมาครึ่งคืน ไม่มีอะไรพัฒนาเล้ย  :z3: :z3: :z3:
กัปตันใช้ท่าพิฆาต จู่โจมซะเลย รออยู่นะ
อะตอมไม่จูบ ก็จูบซะเอง จบ
คราวนี้ยังจะทำเฉยเมย มึนชา อีกไหม  o18
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [3/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 14-10-2017 20:34:56
EP25 (3/3)
เย็นเศร้าคืนซี๊ด

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: CAPTAIN :::

"รักจริงเหรอ ขนาดรู้ว่ากูเศร้า ยังทิ้งกูไปหาสาวๆ เฉยเลย" อะตอมยอมเปิดปากพูดจนได้ ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ถึงจะพูดประชดก็ไม่เป็นปัญหา

"จริงสิ" ผมเอามือข้างหนึ่งลูบตรงหน้าผากของอะตอม ปัดเกลี่ยผมที่ปรกหน้าขึ้น ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ลงบนหน้าผากนั้นอย่างรักใคร่

"กูผิดไปแล้ว กูขอโทษเว้ย มึงจะให้กูคาบไม้บรรทัดสักชั่วโมงไหมล่ะ หรือว่าจะให้กูคัดลายมือคำว่าขอโทษหนึ่งเล่มก็ได้นะ"

"กูไม่ใช่ครูซะหน่อย" ริมฝีปากของอะตอมเริ่มคลี่ยิ้ม

"ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ มึงเป็นครูของกูนะเว้ย ไม่รู้เหรอ"

"ครูไรวะ"

"ครูสอนรักไง" ผมหัวเราะเบาๆ

"วอนจริงๆ นะมึง อยากโดนจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย" อะตอมยกยิ้มมุมปาก

"พูดยังกะมึงรู้แล้วงั้นแหละว่าใครจะอยู่บนหรืออยู่ล่าง ไม่คิดว่ากูจะอยู่ข้างบนมึงมั่งเหรอ" ผมยักคิ้วท้าทาย

"มึงจะเอากูเหรอ" อะตอมทำหน้าตกใจ

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "อืม...ของอย่างนี้ มันก็แล้วแต่ตกลงนะกูว่า ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็เป่ายิ้งฉุบกันดีไหม"

อะตอมหัวเราะหึๆ แต่ไม่ตอบคำถามของผม

"ตกลงมึงหายโกรธกูแล้วใช่ไหม" ผมวกกลับมาเรื่องเดิม

"เออ หายตั้งแต่มึงกระโดดทับกูแล้ว" อะตอมสารภาพ

"เชี่ย งั้นมึงก็แกล้งกูดิ" ผมประท้วง

"ก็กูชอบเวลามึงง้อกูไง น่ารักดี"

"โห...เล่นงี้เลยเหรอ มึงรู้ไหมว่ากูเครียดแทบแย่ ง้อเท่าไหร่ก็ไม่หายโกรธ ที่แท้..."

อะตอมหัวเราะ ผมก็พลอยหัวเราะไปกับมันด้วย

"กูรักมึงนะอะตอม"

พูดจบผมก็ประกบปากลงไป ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกันแล้ว ทำอะไรที่มันผ่อนคลายบ้างดีกว่า ไม่กี่อึดใจอะตอมก็ตั้งตัวได้ ผมถูกมันจับพลิกและเหวี่ยงลงไปนอนข้างล่างแทน ก่อนที่มันจะขยี้จูบหนักหน่วงลงมาที่ปากผม บางจังหวะเราก็แลกลิ้นกัน ผมเริ่มคุ้นกับลีลาจูบของมันแล้วจึงสู้ได้ดีขึ้น

จู่ๆ ในหัวผมก็คิดซุกซน ผมนึกอยากให้มันโลมเลียทั่วตัวผม อยากให้ส่วนนั้นของมันเข้ามาในกายผม อยากให้มันกระแทกกระทั้นหนักๆ รัวๆ จนเสร็จสมอารมณ์หมาย บางทีผมก็อยากลองอะไรดิบเถื่อนแบบนั้น แค่คิดผมก็เผลอครางเสียวแล้ว สองมือจึงเผลอผวากอดอะตอมแน่น รู้สึกเหมือนตอนใกล้จะปลดปล่อยยังไงยังงั้น สวรรค์คงอยู่ไม่ไกลแน่คืนนี้ แต่...

อะตอมก็พลันทำสวรรค์ล่มอีกแล้ว!

อยู่ดีๆ มันก็หยุดจูบและถอนปากออก จากนั้นก็นอนหงายลงข้างๆ ผม ทิ้งไว้เพียงลมหายใจหอบด้วยแรงปรารถนาของเรา ที่จริงผมก็พอจำได้ว่าทำไมอะตอมถึงไม่อยากเลยเถิด ผมก็อยากเชื่อตามที่มันบอกนะ แต่ลึกๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ เป็นเพราะรูปร่างที่แตกต่างไปของผมหรือเปล่า อะตอมถึงไม่กล้าทำแบบนั้นกับผม ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ผมคิดแบบนี้ เพราะมันหลายครั้งแล้ว

"เฮ้ย ทำไม...มึงไม่ทำต่อวะ" ผมถามเสียงเบาโดยไม่หันไปมอง รู้สึกเหมือนตัวเองเสียความมั่นใจไปจนแทบไม่เหลือ

"กูอยากทำนะเว้ย แต่ว่า..."

"ที่มึงไม่ทำอะไรกู เป็นเพราะว่ามึงรังเกียจกูหรือเปล่าวะ บอกกูตรงๆ ได้นะเว้ย ไม่ต้องเกรงใจ" ผมพูดสวนไปก่อนที่อะตอมจะทันพูดจบ น้ำเสียงเริ่มดราม่าเล็กน้อย

อะตอมหันมามองหน้าผม เราสบตากันนิ่งและเนิ่นนาน แววตาวิบไหวของอะตอมยากที่จะเข้าใจว่ามันคิดอะไร แต่ถ้าอะตอมไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ หัวใจผมก็อาจจะแหลกสลายเอาได้ เพราะไม่ช้าผมก็จะเข้าใจว่าขาผมคืออุปสรรคของความรัก สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมรับคนพิการอย่างผมได้ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย

แต่ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะทวีกำลัง อะตอมกลับค่อยๆ ยิ้มให้ผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันยิ้มทำไม แต่รอยยิ้มของมันก็ช่วยยุติการก่อตัวของความคิดลบๆ ในใจผมไปได้บ้าง

อะตอมชันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ก่อนรวบขาสองข้างของผมและดึงมาวางไว้บนตัวของมัน ผมยังไม่ทันได้ถามอะไร อะตอมก็ถอดกางเกงนอนผมออก ตามด้วยเสื้อของผม น่าแปลกที่ผมไม่ขัดขืนเลย ตอนนี้ขาข้างหนึ่งของผมพาดอยู่บนเอว อีกข้างพาดอยู่บนต้นขาของมัน

อะตอมถอดเสื้อของตัวเองออก จากนั้นก็หันมาบอกผม "ถอดกางเกงให้กูหน่อย"

ผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องการอะไร แต่ก็ช่วยถอดกางเกงให้ตามที่ขอ ผมดึงกางเกงบ็อกเซอร์ของมันลอดผ่านใต้ขาผม ก่อนใช้มืออีกข้างดึงและรูดออกจนพ้นตัวของมัน อาวุธหนักของอะตอมแข็งขันดันกางเกงในรอสโซ่สีเทาเก่าๆ จนแทบทะลุ บางคราวก็ผงกหงึกๆ มาโดนต้นขาผมด้วย แข็งขนาดนี้มันคงจะมีอารมณ์มากแน่ๆ

อะตอมไล่สายตาไปตามขาของผม ปกติผมจะไม่ยอมถอดเสื้อผ้าให้ใครดูขาผมเลย มีแต่อะตอมเท่านั้นที่ผมยอมเปิดเผยให้เห็นทุกอย่าง เมื่อเทียบขาผมกับขามันแล้ว ขาของอะตอมใหญ่กว่าของผมพอสมควร ขาของผมเหมือนขาตะเกียบของผู้หญิงมากกว่า ดีที่แม่พาผมไปฟื้นฟูไม่เคยขาด จึงพอรักษากล้ามเนื้อส่วนมากไว้ได้ เพียงแต่ไม่มากพอจะช่วยให้ผมเดินได้เท่านั้น

สีหน้าของอะตอมเริ่มแดงเรื่อ เมื่อผมเหลือบดูตรงส่วนที่ตุงเด่ของมัน ก็เห็นหยดน้ำใสไหลซึมจนชุ่ม ผมนึกซนอยากลองชิมเล่น แต่ก็ยังไม่กล้าทำอย่างนั้น

อะตอมจับขาผมงอขึ้น เขาก้มลงมาสูดดมกลิ่นที่หัวเข่าของผม สลับกับใช้ลิ้นเลียไปตามต้นขาและปลีน่องที่พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง สองมือของมันคอยลูบไล้ไปตามขาของผม จากบนลงล่างและสลับขึ้นลงไปมา เสียงหอบหายใจด้วยความต้องการดังขึ้นและดังขึ้น

ไม่นานอะตอมก็ช้อนตัวผมขึ้นนั่งบนตัก มันให้ผมกอดคอมันไว้เพื่อทรงตัว เมื่อนั่งลงไปแล้วผมก็เสียวจนเผลอคราง อาวุธหนักของอะตอมจ่อดันและเสียดครูดไปมาตรงร่องด้านหลังของผม อะตอมขยับตัวและกดดันถูไถเข้ากับตรงนั้นของผมหนักบ้างเบาบ้าง น้ำหล่อลื่นใสๆ ของมันเปียกเนื้อผ้าตรงร่องของผมจนชื้น ถึงไม่คิดจะทะลวงเข้าไปจริงๆ แต่เล่นหมาหยอกไก่แบบนี้ก็เสียวแทบขาดใจเหมือนกัน

ผมมองหน้าของอะตอมไปด้วยในระหว่างนั้น สายตามันไม่ละจากผมไปไหน แค่เห็นผมก็รู้แล้วว่ามันต้องการผมมาก แต่ก็พยายามอดทนเอาไว้ มันดันมาทีผมก็เสียวท้องน้อยที บางครั้งก็นึกอยากจะให้มันจับใส่เข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด เราต่างครางฮือด้วยความเสียวทั้งคู่ ยิ่งเห็นแววตาที่บ่งบอกความอยากในกายก็ยิ่งเพิ่มความเสียวให้มากขึ้นและมากขึ้น

อะตอมใช้สองมือจับใต้รักแร้ของผม ก่อนจับตัวผมโยกขึ้นลงเบาๆ อาวุธหนักแข็งเป็นหินของมันครูดเสียดสีร่องหลังของผมเป็นจังหวะ ผมเสียวมากจนต้องกอดคอมันไว้ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ามันเข้าไปจริงๆ จะเสียวสักแค่ไหน

"ซี๊ด...อาห์...กูเสียวว่ะอะตอม จะทำอะไรก็ทำเหอะ" ผมบอกไปอย่างไม่อาย

อะตอมปล่อยมือและดึงหน้าผมเข้าไปจูบทันที ทั้งหนักหน่วงและเร่าร้อน ในขณะที่ข้างล่างของมันก็ยังดุนดันจะเข้าแหล่มิเข้าแหล่ ผมเสียวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อะตอมอยากทำอะไรผมก็ปล่อยให้เขาทำ จะบีบจับขยำตรงไหนก็ทำไปเถอะ

ผมรู้สึกว่าร่องหลังผมเปียกชื้นมากขึ้น ร่างของอะตอมก็สั่นๆ มันกอดผมแน่น ถอนปากออกและครางเสียงดังเหมือนเสียวจัด อาการของมันเหมือนคนกำลังเสร็จเลย แต่ไม่นานมันก็จูบผมต่อ ทว่าก็ไม่นานนัก

"กูโคตรอยากเอามึงเลย มึงรู้ไหม" อะตอมพูดเหมือนคนไม่รู้ตัว ถึงผมจะตกใจหน่อยๆ แต่มันก็ได้ฟิลลิ่งดีไม่น้อย

อะตอมดันตัวผมให้เอนไปข้างหลัง ผมใช้สองแขนยันพยุงตัวเองไว้ แต่ก็ยังนั่งตักของอะตอมในตำแหน่งเดิมอยู่ ดูเหมือนอาวุธหนักของมันจะอ่อนลงไป แต่ผมก็ไม่ทันมีเวลาสงสัยเพราะอะตอมก้มลงมาดูดนมชมพูของผมอย่างหื่นกระหาย ถ้าไม่เกรงใจคงจะกัดขาดแน่ๆ ยังไม่ทันจะรู้สึกเจ็บมันก็เปลี่ยนเป็นเลียวน ลงน้ำหนักลิ้นแรงๆ ให้ผิวเนื้อผมได้สัมผัสความสากของลิ้นหนา

"โอยเสียว ซี๊ด" ผมเผลอแหงนหน้าสูดปากเหมือนกินของเผ็ด

พานนมขาวๆ ผมแดงเป็นปื้น เปียกชื้นไปด้วยน้ำลายของอะตอมล้วนๆ ตามตัวและแขนก็มีรอยแดงเช่นกันเพราะโดนอะตอมบีบขยำ แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเจ็บเลย เพราะความเสียวขึ้นหน้าจนไม่รู้สึกอย่างอื่นแล้ว

อะตอมจับผมเปลี่ยนท่า คราวนี้เขาผลักผมนอนลงไปบนเตียง มันรีบตามมาซุกหน้าลงที่เป้าของผมทันที จมูกโด่งสวยของอะตอมสูดดมขึ้นลงไปตามท่อนอาวุธของผมซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกางเกงในเนื้อนุ่มลื่น ผมพอจะเดาออกว่าอะตอมกำลังจะทำอะไร แม้จะตกใจที่มันกล้าทำให้ แต่ผมก็ไม่ห้ามมันแม้แต่น้อย

ขอบขากางเกงในดีจีสีขาวของผมถูกถกขึ้น ลูกบอลข้างหนึ่งโผล่พรวดออกมาอวดสายตา อะตอมก้มเลียและดูดเล่นเบาๆ ผมถึงกับเสียวสะท้านจนต้องกำผ้าปูที่นอนแน่น ใครโดนครั้งแรกมักเสียวจนผวา ต่อไปก็จะติดใจจนต้องขอให้คู่ขาทำให้บ่อยๆ

"อะตอม กูเสียว อูย อาห์"

หน้าตาผมบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว และยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเมื่ออะตอมงัดออกมาทั้งลำ มักถกหนังหุ้มผมลง เผยส่วนหัวที่มีน้ำใสเยิ้มซึมเต็มที่ อะตอมจูบลงไปบนหัวนั้นเบาๆ เลียชิมน้ำใสเล่น ก่อนค่อยๆ อมโอบลึกลงไปราวหนึ่งในสาม ลิ้นของมันโลมเลียโอบรอบตวัดไปมารอบท่อนลำ ผมเสียวมากจนนึกอยากจะดิ้นเร่าๆ แต่ก็ทำได้เพียงผงกหัวดูและสูดปาก

"ซี๊ด อูย อะตอม ลึกๆ อีก"

ผมเผลอเอ่ยปากขอร้องไปตามอารมณ์ตอนนั้น อะตอมทำตามอย่างว่าง่าย มันดูดลึกลงไปจนสุดลำของผม ก่อนใช้ลิ้นของมันเลียเล่นรอบลำไปด้วย ผมเสียวจัดจนรู้สึกเหมือนทำนบจะทลายคาปากมันเลย

"อูย พอก่อนอะตอม กูจะแตกว่ะ"

ผมเอามือดันหัวของอะตอมออก เห็นปากของมันรูดขึ้นไปตามท่อนลำแล้วก็ยิ่งเสียว ดูเหมือนมันไม่อยากเอาปากออกเลย พอเอาปากออกแล้วมันก็แซวผม

"นอกจากปากกับนมมึงจะเป็นสีชมพูแล้ว _วยมึงก็เป็นสีชมพูด้วย"

ผมยิ้มเขินๆ พร้อมกับหอบไปด้วย อะตอมอาศัยจังหวะน้้นรูดกางเกงในผมออกไป ตอนนี้ร่างกายทุกส่วนของผมไม่มีสิ่งใดปิดบังแล้ว ถ้ารับได้ก็ได้ รับไม่ได้ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ผมคงได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว

อะตอมก้มลงมาโลมเลียอาวุธหนักสีชมพูของผมอีกแล้ว มันถกหนังเลียเล่นอย่างเอร็ดอร่อย บางคราวก็เอาจมูกไถขึ้นลงและสูดดมไปตามท่อนลำ ไม่รู้ว่าหอมตรงไหนเพราะมีแต่น้ำลายของมัน บางคราวก็สลับไปเลียลูกบอลสองลูกให้ผมโดยไม่มีท่าทางรังเกียจใดๆ ถ้าไม่รักกันจริงมันคงไม่ทำแบบนี้ให้

หลังเสียวอยู่นานผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ช่วยอะตอมทำอะไรเลย คิดแล้วผมก็เขยิบหมุนตัวลงต่ำ เราเปลี่ยนมาอยู่ในท่าหกเก้า แต่พอผมจะทำให้มันบ้าง กลิ่นน้ำรักของผู้ชายก็คลุ้งเข้าจมูก เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นว่ากางเกงในของอะตอมมีคราวน้ำขาวๆ ซึมเลอะไปทั่วเป้า

"มึงเสร็จแล้วเหรอ" ผมหันไปถามด้วยเสียงหอบ

"อือ"

อะตอมตอบเสียงอู้อี้เพราะมีของคาปากมันอยู่ ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดจะถามต่อว่ามันเสร็จตั้งแต่ตอนไหน สงสัยมันคงเสียวจัดตอนที่เอาท่อนของมันดุนดันถูไถร่องหลังผมแน่ๆ ก็เลยน่าจะเสร็จตั้งแต่ตอนนั้น

"ก้นมึงสวยว่ะ" ผมชมพลางสังเกตดูก้นแน่นกลมกลึงของมันซึ่งถูกปิดไว้ด้วยเนื้อผ้ากางเกงใน

อะตอมจับมือผมไปวางแหมะลงที่ก้นของมันทันที ผมจึงบีบคลึงเล่นไปตามเนื้อผ้า สูดดมกลิ่นน้ำคาวของมันไปด้วย แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นกลิ่นที่โคตรเร้าอารมณ์เลย ผมสอดมือเข้าไปในขอบกางเกงในสีเทาๆ ก่อนขยำและลูบไล้เนื้อก้นกลมๆ เล่น มันนุ่มมือดีจริงๆ ยิ่งเล่นก็ยิ่งเสียวจนผมทานทนไม่ไหว

"อะตอม กูจะแตกแล้ว"

ผมร้องครางบอก สองมือกดก้อนเนื้อกลมเอาไว้แน่น ก่อนซุกหน้าลงซุกตรงเป้าของมันด้วย น้ำคาวมันเปียกหน้าผม แต่ในเวลานี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จังหวะนี้อะตอมครอบปากลงลึกสุดลำ มันดูดแรงจนเหมือนท่อนลำผมจะหลุดเข้าคอมันไปอยู่แล้ว

"โอย อะตอม กูจะแตกแล้ว เอาปากออก"

ผมร้องครางเตือนเสียงหลง แต่อะตอมกลับยิ่งดูดแน่นลึกและแรงขึ้น

"โอย แตกแล้ว แตกแล้ว"

ผมร้องครางเสียงดัง ร่างกระตุกอย่างรุนแรง ตัวงอก่องอขิง กอดก้นอะตอมและซุกหน้าลงเป้ามันแน่น ไม่กี่วินาทีก็ฉีดน้ำรักเข้าไปในโพรงปากของอะตอมหลายครั้งอย่างล้นหลาม ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าอะตอมจะกลืนกินจนหมด มันกลืนกินราวกับเห็นเป็นของหวานแสนอร่อย

กระทั่งร่างของผมค่อยๆ หยุดกระตุก อะตอมก็ยังเอามือถกหนังลงจนสุดและโลมเลียกินน้ำที่เหลือบนหัวเห็ดและท่อนลำ มันเก็บกินจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวเลย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเขยิบขึ้นมาจูบผมเบาๆ และนอนกอดกันอย่างเหนื่อยอ่อน

ผมซุกหน้าเข้าหาอกอุ่น หอบหายใจเบาๆ และหลับตาพริ้มสบาย อีกไม่นานความเหนื่อยหอบก็จะหายไปแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ใช่บทรักแบบเต็มคอร์ส แต่อะตอมก็ทำเอาผมเสียวจนแทบขาดใจ

"กูรู้แล้วนะเว้ย ขอบใจมึงมากนะอะตอม กูรักมึงนะ รักมึงคนเดียว" ผมพึมพำตรงอกอุ่น แต่ก็รู้ว่าอะตอมคงได้ยินที่ผมพูดทั้งหมด

"เออ กูก็รักมึงคนเดียวเหมือนกัน ทีหลังมีอะไรก็บอกกูนะเว้ย กูเป็นแฟนมึง เป็นคนรักของมึง กูทำให้มึงได้ทุกอย่างแหละ"

ผมพยักหน้าหงึกๆ

"ส่วนเรื่องเมื่อกี้ เอาไว้ให้ป๊ากับแม่มึงยอมรับกูก่อน เดี๋ยวกูจะจัดให้มึงเต็มคอร์สเลย รับรองมึงต้องร้องขอชีวิตกู ไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันแน่มึง" อะตอมขู่และหัวเราะเบาๆ

"เออ เดี๋ยวกูจะรอ กูอยากร้องขอชีวิตมึงเต็มทีแล้ว"

"ติดใจล่ะซี้" อะตอมทำเสียงล้อเลียน

"เออ ติดใจมึงทุกเรื่องแหละ ไม่งั้นจะยอมเป็นแฟนมึงเหรอ เป็นแฟนกันก็ต้องติดใจกันอยู่แล้ว จริงไหม"

"ครับผม ผมก็ติดใจปากชมพู นมชมพูและ...อวยชมพูของพี่กัปตันเหมือนกันครับ" อะตอมหัวเราะชอบใจ ผมก็หัวเราะไปกับมันด้วย

"ไปอาบน้ำเหอะ เกงในมึงเลอะหมดแล้ว เสร็จก็ไม่ยอมบอกกูนะมึง กูเลยอดชิมของดีนายแบบเลย"

"ไปชิมในห้องน้ำไหมละ กูยังได้อีกรอบนะเว้ย" อะตอมคุยโว

"งั้น...มึงให้ทำกูอีกรอบได้เปล่า" ผมถามอายๆ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว

"เอาใหญ่แล้วนะมึง"

"มึงเป็นคนสอนกูเองนะเว้ย ถ้ากูติดใจ มึงก็ต้องรับผิดชอบ ห้ามบ่ายเบี่ยงด้วย" ผมขู่ทีเล่นทีจริง

"โอเค ได้เลย กูชอบของชมพูอยู่แล้ว ให้กินอีกก็กินได้" อะตอมขำเบาๆ สองมือของมันโอบกอดและลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผม

"อ้อ เดี๋ยววันเกิดมึง กูจะซื้อซีเคให้สักสองสามตัวนะเว้ย" ผมเปลี่ยนเรื่อง

"ไม่เอาหรอก แพงไป" อะตอมรีบปฏิเสธทันที

"เออน่า ของขวัญวันเกิดนะเว้ย ไม่ได้ซื้อให้เฉยๆ กูเห็นก้นมึงสวยดี ใส่เกงในเท่ๆ น่าจะสวย"

"นั่นแน่ หลงก้นกูเหรอ" อะตอมทำเสียงล้อเลียน

"เออ หลงก็หลง"

"งั้นก็ซื้อมา เดี๋ยวกูใส่ให้ดู หุ่นนายแบบอย่างกูใส่สวยแน่นอน เดี๋ยวมึงจะหลงกูจนโงหัวไม่ขึ้นเลย"

"ไปอาบน้ำได้แล้ว" ผมตัดบทแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี พอปลดปล่อยแล้วก็รู้สึกเบาสบายตัว คืนนี้คงหลับสบายดีจนถึงเช้า

แต่สบายตัวก็ยังไม่สู้สบายใจหรอก ตอนนี้ผมสบายใจแล้วว่าอะตอมไม่ได้รังเกียจผม ความรักของผู้ชายคนนี้ ปลดล็อกความคิดแย่ๆ ผมไปหลายอย่างเลย ไม่รู้จะขอบคุณมันยังไงเหมือนกัน

หมดเรื่องของตัวเองแล้วก็ยังเหลือเรื่องป๊ากับแม่ แต่ในเมื่ออะตอมบอกว่ามีวิธีแล้ว ผมก็จะเชื่อใจมัน



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-10-2017 20:45:16
ถ้าป๊ากับแม่จะรุ้เรื่องก็อย่าดราม่ามากนักเลยนะ :call: :call: :call:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 14-10-2017 21:24:02
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 14-10-2017 23:39:35
กลัวจะได้เต็มคอร์ส……เลือดหมดตัว

 :m25:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 15-10-2017 00:10:02
อยากให้ทั้งคู่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไปได้ด้วยดีนะครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-10-2017 00:39:02
อ่านะ  กัปตันใจแตกแย้ว  5555
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้า คืนซี๊ด (NC) [2/3] - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-10-2017 09:26:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้าคืนซี๊ด (NC) (ปรับภาษา) - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 15-10-2017 11:48:09
รอด่านพ่อกับแม่ ขออย่าดราม่าหนักๆๆๆเป็นพอ...จะได้ดูคอร์สจัดเต็มซะที 55555
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้าคืนซี๊ด (NC) (ปรับภาษา) - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 15-10-2017 20:47:05
นี่แค่คอร์สเล็กๆนะ :-[ รอฟูลคอร์สนะน้องอะตอมจัดมา อย่าดราม่าหนักเลยตอนบอกพ่อแม่
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้าคืนซี๊ด (NC) (ปรับภาษา) - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-10-2017 22:15:12
เลือดกกระฉูด  5555  หาผ้าห่มมาซับเลือดด่วนมาก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้าคืนซี๊ด (NC) (ปรับภาษา) - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-10-2017 23:18:34
เลือดกกระฉูด  5555  หาผ้าห่มมาซับเลือดด่วนมาก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP25 เย็นเศร้าคืนซี๊ด (NC) (ปรับภาษา) - 14.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 17-10-2017 17:57:25
เป็นความฟินแบบหน่วงๆยังไงไม่รู้ เหมือนอะตอมก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้มากกว่านี้ กัปตันก็คิดมากแต่ก็เข้าใจนะ ปัญหามันต้องต้องๆเคลียร์ :katai4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 20-10-2017 08:16:24
EP26 (1/2)
หลอกแดกคนพิการ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: ATOM :::

บ่ายนี้ กัปตันกับผมชวนเพื่อนๆ ที่สนใจชมรมยูดีมาที่คอนโดเพื่อวางแผนการทำงานกัน มีน้ำหวาน แบงค์ กวิน ปาร์ตี้และคอปเตอร์มาช่วย ถ้าจะเรียกว่าผู้ร่วมก่อตั้งก็คงไม่ผิดนัก

วันนี้พวกเราจะช่วยกันวางแผนจัดกิจกรรมระดมทุนก่อนเป็นอันดับแรก ทุกคนพอจะรู้มาบ้างแล้วว่าเราต้องช่วยกันหาเงินหนึ่งล้านบาท สำหรับเด็กๆ อย่างพวกเราแล้ว เงินจำนวนนี้แทบจะไกลเกินฝันเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหากจะต้องหาให้ได้ภายในสองสามเดือนนี้ แต่พวกเราก็อยากลองดู บางคนเตรียมไอเดียดีๆ เป็นการบ้านมาหลายไอเดียเลย

อ้อ เย็นๆ แม่ของกัปตันกับพี่โดมจะแวะมาหา เห็นบอกว่าจะซื้อของกินอร่อยๆ มาฝากพวกเราด้วย

ห้องของกัปตันมีโต๊ะที่ใช้นั่งคุยกันได้อยู่หนึ่งตัว เราลากมาวางไว้ใกล้ๆ กับโซฟานั่งเล่น ใครอยากนั่งโต๊ะก็นั่ง ใครอยากนั่งบนโซฟาก็ได้ เพราะพวกเราเน้นการพูดคุยสบายๆ เป็นกันเอง แต่กว่าจะได้คุยกัน เพื่อนๆ ของเราก็เดินดูห้องซะทั่ว บางคนก็ตื่นเต้นเพราะไม่เคยมีห้องสวยๆ แบบนี้ บางคนก็เฉยๆ เพราะที่บ้านมีฐานะดี ก็เลยไม่รู้สึกว่าแตกต่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็เดินไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าในห้องมีอะไรบ้าง ผมให้เจ้าของห้องเป็นคนพาทัวร์ จบจากตรงนั้นแล้วถึงมานั่งประชุมกัน

"ไอเดียกูนะเว้ย มันต้องมีอีเว้นต์ให้คนสนใจ ที่ต่างประเทศนะเว้ย เขาทำกราฟิตตี้วอลล์ให้คนมาถ่ายรูป แล้วก็แชร์ให้คนมากดไลค์ กูว่าก็น่าสนใจนะเว้ย ถ้าเราขอใช้ที่ที่คนเดินผ่านเยอะๆ หน่อยอย่างเช่นสกายวอล์คใหม่ตรงเอ็มบีเค กูว่าได้คนเยอะแน่ๆ ทีนี้ก็หาคนมาช่วยพ่นสีกราฟิตตี้วอลล์ให้มันน่าสนใจหน่อย ในมหาลัยเราน่าจะหาคนช่วยทำได้ไม่ยากหรอก แล้วก็มีข้อความว่า I Support UD อยู่บนกำแพง เวลาคนมาถ่ายรูปก็ให้เขายืนตรงตัวไอ ทุกคนที่มาถ่ายรูปกับวอลล์ของเราก็จะได้บอกชาวโลกว่าเขาสนับสนุนยูดีไง แล้วก็ให้เขาเอารูปแชร์ขึ้นเฟส แล้วดูว่าในยี่สิบสี่ชั่วโมงได้กี่ไลค์ เอาแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงก็พอ ได้จำนวนไลค์เท่าไหร่ ก็บริจาคเท่านั้น คนที่มากดไลค์ช่วยกันบริจาคด้วยก็ได้ หนึ่งไลค์ก็บริจาคหนึ่งบาท หมื่นไลค์ก็บริจาคหมื่นบาท พวกมึงคิดว่าไง"

กวินนำเสนอไอเดียก่อนเพื่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าไอเดียมันน่าสนใจมากๆ เพื่อนๆ ถึงกับตาลุกวาวและฮือฮา

"เฮ้ย กูว่าไอเดียนี้ใช้ได้เลย ถ้าจะให้ดีนะเว้ย ต้องหาเซเลบมาถ่ายกับกราฟิตตี้วอลล์ด้วย คนดังมีคนกดไลค์เยอะนะเว้ย ถ้าหามาได้นะมึง ได้ตังค์เยอะแน่ๆ " อินเสริมไอเดีย เพื่อนๆ ต่างก็เห็นด้วย

"กูว่าวันแรกมันน่าจะต้องมีอะไรนำเข้างานนิดนึงดีไหมวะ เอาพวกคิวท์บอยที่เคยซ้อมเต้นด้วยกันมาทำแฟล็ชม็อบดีไหม ตรงนั้นมันมีหลายห้าง เลือกเอาสักห้างก็ได้ แล้วก็ให้พวกคิวท์บอยนี่แหละเดินแฝงตัวไปกับคนทั่วไป พอเพลงมาก็เต้น แล้วก็ค่อยๆ มารวมตัวกัน เต้นเสร็จ ก็เชิญชวนไปคนไปถ่ายรูปที่กราฟิตตี้วอลล์ เพราะบางทีคนที่เดินห้างเขาไม่รู้ไง เราต้องมีวิธีบอกให้มันน่าสนใจ" ปาร์ตี้ช่วยเพิ่มสีสันให้ไอเดียมากขึ้น ถึงมันจะไม่ค่อยชอบหน้าอิน แต่เพื่อกัปตันมันก็ยอมมาร่วมงานนี้กับพวกเราด้วย

เมื่อไอเดียดีๆ เริ่มมา ผมกับเพื่อนๆ ก็ช่วยกันแลกเปลี่ยนความเห็น ค่อยๆ ตบจนเริ่มเข้ารูป จนกระทั่งเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจน น่าจะเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว หลายๆ คนที่มาช่วยมีพ่อแม่เป็นคนใหญ่คนโต พอจะช่วยเจรจาขอใช้สถานที่แถวๆ นั้นได้อยู่แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่จะมาช่วยงานปลีกย่อย พวกเราก็คงจะหาเอาในมหาลัยนี่แหละ

โดยสรุปแล้วเราจะเรียกงานนี้ว่า "I Support UD หนึ่งไลค์ หนึ่งบาท สร้างโอกาสให้ทุกคน"

เมื่อจบไอเดียนี้แล้ว ผมก็เสนอไอเดียของผมบ้าง "ส่วนของกูนะเว้ย กูคุยกับพี่โมเดลลิ่งที่กูทำงานด้วยแล้ว จะให้เขาช่วยจัดแคมเปญหนึ่งโหลดหนึ่งบาท พี่เขาจะหาเจ้าของหนังสือออนไลน์ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อการกุศลมาร่วมโครงการให้ ถ้ามีคนโหลดหนึ่งครั้งก็บริจาคหนึ่งบาท หมื่นครั้งก็หมื่นบาท"

"เราเล่นไวโอลินเป็น งั้นเราไปเล่นดนตรีเปิดหมวกตามที่สาธารณะด้วยดีกว่า แล้วก็ให้คนมาบริจาค มีใครเล่นอะไรเป็นอีกไหม จะได้ไปเล่นด้วยกัน ไปคนเดียวแล้วมันเขินๆ น่ะ" คอปเตอร์เสนอตัวบ้าง ขณะเดียวกันก็หาเพื่อนไปด้วย

"กูเล่นคีย์บอร์ดเป็น" อินเสนอตัวเป็นคนแรก

"กูเล่นไม่เป็น แต่เดี๋ยวกูกับน้ำหวานจะช่วยทำแฟนเพจแคมเปญให้" แบงค์หัวเราะเขินๆ เพราะคิดว่าตัวเองเลือกงานง่ายกว่าคนอื่นๆ ส่วนน้ำหวานก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย

"โห แล้วกูจะทำอะไรดีเนี่ย" กัปตันหันไปมองรอบๆ โต๊ะด้วยสีหน้าอายๆ

"เป็นนายแบบไง" ปาร์ตี้เสนอไอเดียให้

"นายแบบอะไรวะ" กัปตันทำหน้างงๆ

"เอ้า งานพวกนี้มันต้องมีสื่อไง ต้องทำแบนเนอร์ ทำเอกสารแจก ทำข่าวแจก ต้องมีภาพโปรโมท คลิปโปรโมท มึงก็เหมาเป็นนายแบบให้หมดเลย เหมาะที่สุดแล้ว"

"อ๋อ เออ...ก็ดีว่ะ อ้อ เรื่องคลิปโปรโมทน่ะ พวกมึงจำพี่โป้งได้ไหมวะ ที่เขาอยู่คณะภาพยนตร์ เดี๋ยวกูจะลองชวนพี่เขามาช่วย" กัปตันยิ้มภูมิใจที่ตัวเองมีไอเดียเสนอกับเขาบ้าง

งานนี้เราต้องการจิตอาสาเท่านั้น เพราะพวกเราไม่มีเงินจ้าง แถมยังมีกฎเหล็กที่สำคัญด้วยว่าเราจะไม่ขอเงินพ่อแม่ งานนี้เราจะให้สังคมช่วยกันเท่านั้น ทุกคนก็เห็นด้วย

ส่วนพี่แอร์ของผม แกตื่นเต้นมากและอยากช่วย พอรู้ว่าผมจะทำโครงการนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อหาเงินมาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในมหาลัย แต่อีกความตั้งใจหนึ่งก็คือจะใช้ความสำเร็จของงานนี้พิสูจน์ใจป๊าและแม่ของกัปตัน ผมเชื่อว่าถ้าทำได้ก็จะได้ใจผู้ใหญ่ทั้งสองคนแน่นอน ดังนั้น พี่แอร์ก็จะช่วยผมเต็มที่ เพราะแกเข้าใจความยากลำบากของความรักชาย-ชายเป็นอย่างดี

พวกเราคุยกันตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงเกือบสี่โมง ได้ไอเดียและรายละเอียดสำคัญๆ หลายอย่าง ผมก็เลยเสนอว่าให้พักก่อนสักหนึ่งชั่วโมง ทุกคนก็เห็นด้วย

ผมกับกัปตันพาเพื่อนๆ ลงไปนั่งคุยกันที่สระว่ายน้ำ แต่ไม่ได้ว่ายน้ำหรอกเพราะไม่ได้เตรียมชุดมา พวกเราจึงหามุมนั่งคุยกันระหว่างรออาหารเย็นที่คาดว่าน่าจะอร่อยเป็นพิเศษ

พวกเรานั่งคุยกันเป็นกลุ่มย่อยๆ กัปตันพาน้ำหวาน คอปเตอร์และกวินเดินดูตรงนั้นตรงนี้ จากนั้นก็โพสต์ท่าเก๋ๆ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ส่วนอินกับปาร์ตี้แยกไปคุยกันสองคน ผมเข้าใจว่าคงอยากเคลียร์ปัญหาคาใจที่มีกันมานาน ก็เลยไม่มีใครเข้าไปยุ่ง ตรงริมสระน้ำจึงเหลือแค่ผมกับแบงค์สองคนเท่านั้น

ผมไม่ค่อยได้คุยกับแบงค์สองคนแบบนี้นานแล้วตั้งแต่เข้ามหาลัยมา ตอนเรียนมัธยมปลายด้วยกัน ผมก็สนิทกับมันบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาสนิทกับใครมากนักหรอก เพราะต้องทำงานไปเรียนไป แถมช่วงหลังๆ ผมยังหลงอั้มหัวปักหัวปำด้วย ก็ยิ่งไม่มีเวลาให้เพื่อนๆ เข้าไปใหญ่ ผมก็เลยเป็นคนเพื่อนน้อยไปโดยปริยาย

เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร แบงค์ก็ส่งโทรศัพท์ของมันมาให้ผมดู ในหน้าจอนั้นเป็นหน้าเฟสบุ๊คของผมเอง สงสัยมันคงเห็นอะไรบางอย่าง เพราะเมื่อเช้าผมเพิ่งอัปเดตสเตตัสเป็น "In a relationship"

ผมชำเลืองดูแล้วก็พูด​ "เออ กูอัปเดตตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว"

"มึงเอาจริงเหรอวะ"

ท่าทางเคลือบแคลงสงสัยของเพื่อนทำให้ผมสะดุดใจพอสมควร แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก

"เออ มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า"

แบงค์ถอนหายใจ มันมองหน้าผมด้วยความรู้สึกที่ชวนอึดอัด จนผมรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้มันเลย

"กูไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ ตอนแรก...กูไม่อยากคิดอะไรเยอะนะเว้ย เห็นพวกมึงสองคนรักกัน กูก็ยินดีด้วย แต่..." แบงค์พูดค้างไว้

"แต่อะไรของมึงวะ"

"มึงคิดดีแล้วเหรอวะอะตอม กัปตันมันเป็นคนพิการนะเว้ย มึงอย่าหาว่ากูอย่างงั้นอย่างงี้ละกัน กูน่ะไม่ได้มีปัญหาอะไรกับกัปตันหรอก ที่ผ่านมากูเห็นมึงชอบแต่ผู้หญิงสวยๆ เป็นเพลย์ด้วยซ้ำ ที่สำคัญนะเว้ย กูไม่เคยเห็นมึงชอบผู้ชายเลย อยู่ดีๆ มึงก็กลับขั้วซะขนาดนี้ จริงๆ กูก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้มึงชอบกัปตันขนาดนี้ แต่กัปตันไม่เหมือนผู้หญิงสักคนที่มึงคบมาเลยนะเว้ย มึงไม่กลัวมึงเปลี่ยนใจทีหลังเหรอวะ แล้วถ้ามันเกิดขึ้น มึงว่ากัปตันมันจะเสียใจแค่ไหนวะ มึงอย่าบอกกูนะเว้ยว่ามึงเป็นเหมือนที่คนอื่นๆ เขาลือกันน่ะ" สายตาของแบงค์ยังคงแฝงด้วยความคลางแคลงใจ

"อะไร" ผมชักจะเก็บอาการหงุดหงิดไว้ไม่ไหว

"มันมีคนไปพูดกันเว้ยว่าที่มึงยอมมาเป็นเพื่อนกับกัปตัน คอยดูแลกัปตัน เพราะมึงอยากอยู่คอนโดหรูๆ ของมัน อยากใช้รถดีๆ มัน พูดง่ายๆ ก็คือ...หลอกแดกนั่นแหละ! "

ถึงฟังยังไม่ทันจบ ผมก็หน้าชาซะแล้ว ที่จริงผมก็เคยได้ยินแว่วๆ มาบ้าง แต่ที่ผ่านมาผมไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจเลย จนกระทั่งแบงค์เอามาพูดให้ฟัง

ก็ดี...ในเมื่ออยากคิดแบบนี้กันดีนัก!

"เออ! กูเป็นอย่างที่เขาว่านั่นแหละ กัปตันน่ะมันโคตรหลอกง่ายเลยว่ะ เพราะมันไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยมีคนทำดีกับมันแบบกู เห็นไหม...แค่กูแกล้งทำดีกับมันนิดเดียว มันก็เชื่อแล้วว่ากูรักมันจริง ทำไม ผิดหวังเหรอ คนจนๆ อย่างกูแม่งก็ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว กูทำได้แค่นี้แหละ คนพิการกูก็หลอกแดกได้เว้ย!"

พูดจบผมก็ลุกหนีด้วยความหงุดหงิด ขืนอยู่ต่อผมคงได้ต่อยปากมันแตกแน่ๆ แบงค์เรียกตามแต่ผมก็ไม่สนใจ เป็นใครก็คงต้องเคือง ทั้งที่มันเป็นเพื่อนผมมาตั้งหลายปี แทนที่จะเข้าใจหรือให้กำลังใจกันบ้าง กลับมาพูดจาแบบนี้

ผมเดินดุ่มๆ ตรงไปยังกลุ่มของน้ำหวานซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สอดส่ายสายตามองหากัปตันว่าอยู่ตรงไห แต่พอไม่เห็นผมก็ร้องถามด้วยความแปลกใจ "น้ำหวาน กัปตันไปไหนน่ะ"

"ไปห้องน้ำ" น้ำหวานหันมาบอกขณะที่โพสต์ท่าให้กวินถ่ายรูปให้

เมื่อได้คำตอบผมก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม ปล่อยให้น้ำหวานสนุกกับการถ่ายรูปลงเฟสบุ๊กต่อไป ทางไปห้องน้ำอยู่เลยตรงที่ผมนั่งคุยกับแบงค์ไปอีกหน่อย มีแนวต้นไม้ประดับกั้นทางเดินและสระว่ายน้ำเอาไว้ เดินไปได้หน่อยผมก็เห็นกัปตันเข็นรถมาตามทางเดินพอดี ผมจึงยิ้มและรีบเข้าไปหา กัปตันหยุดรถรออยู่ตรงนั้น

"แม่มึงกับพี่โดมใกล้ถึงยังวะ"

"อีกครึ่งชั่วโมง" กัปตันตอบสั้นๆ สีหน้าดูเรียบๆ

"กูโคตรตื่นเต้นเลยว่ะ" ผมเอามือถูกันไปมา ปกติผมจะทำแบบนี้บ่อยๆ เวลารู้สึกตื่นเต้น

กัปตันเข็นรถออกไปช้าๆ เขาจะไม่เข็นเร็วมากเวลามีคนเดินคุยด้วย แต่สำหรับคนที่ใช้ขาเดินอาจจะไม่ถือว่าช้าเท่าไหร่ ก็อย่างว่าใช้ขาเดินกับล้อเดินมันต่างกันอยู่แล้ว

"ตื่นเต้นเรื่องอะไร"

"กูกลัวแม่มึงรู้ไง"

"มึงจะกลัวไปทำไมวะ"

"ไม่รู้ว่ะ ไม่มีเหตุผลมั้ง" ผมขำตัวเองเบาๆ ก่อนบอกที่มาที่ทำให้ผมประหม่า "ก็เมื่อเช้ากูเพิ่งอัปเดตสเตตัสไปไง แม่มึงจะเห็นหรือเปล่าวะ"

"เขาไม่ค่อยมีเวลาดูหรอก" กัปตันตอบสั้นๆ

ที่จริงผมก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ไปบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงกับเอะใจมาก เพราะบางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของผมกับกัปตันก็ราบรื่นดีในช่วงนี้ จึงไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร

"เหรอ แล้วป๊ามึงล่ะ เขาดูเฟสบ้างเปล่า" ผมยังมิวายวิตกจริต

"ถ้ามึงจริงใจ มึงจะกลัวทำไมวะ คนจริงใจเขาไม่กลัวหรอกเว้ย" พูดจบกัปตันก็เข็นปรื๊ดทิ้งห่างผมไปหาเพื่อนๆ ทิ้งผมให้ยืนงงๆ อยู่คนเดียว

ไม่รู้ว่าเมื่อกี้กัปตันพูดด้วยความรู้สึกธรรมดาหรือประชดผมกันแน่ แต่มันก็ฟังดูทะแม่งๆ ชอบกล แถมท่าทางของกัปตันก็ดูแปลกๆ ไปด้วย

เมื่อไม่รู้แน่ชัด ผมก็โคลงศีรษะไปมาเบาๆ ก่อนจะรีบเดินแกมวิ่งตามกัปตันไปหาเพื่อนๆ กะว่าจะขอถ่ายรูปเล่นด้วยซะหน่อย



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-10-2017 08:26:17
กัปตันได้ยินแล้วเข้าใจผิดแน่ๆ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-10-2017 09:01:56
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 20-10-2017 10:41:20
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-10-2017 10:52:53
ได้ยินล่ะสิ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 20-10-2017 14:10:33
น้องกัปตันได้ยินที่อะตอมพูดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 20-10-2017 18:36:34
ไม่น่าเลยอะตอม พูดไม่คิดเลย :z3:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [1/2] - 20.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 21-10-2017 15:39:57
อะตอมไม่น่าประชดออกไปแบบนั้นเลย กัปตันได้ยินแล้วเข้าใจผิดแน่ๆ สุขยังไม่ทันไรเลย ปัญหามาอีกแร่ะ :serius2: แต่ถ้ากัปตันใจเย็น ติดก่อนแล้วดูจากการกระทำทั้งหมดของอะตอมน่าจะรู้นะว่าอะตอมประชดเพื่อน ถ้าไม่รักจริงคงไม่ทำอะไรให้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [2/2] - 21.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 21-10-2017 16:26:26
EP26 (2/2)
หลอกแดกคนพิการ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: ATOM :::

"แม่ นี่น้ำหวาน แบงค์ แล้วก็กวิน เป็นเพื่อนที่คณะครับ"

กัปตันเลือกแนะนำเพื่อนร่วมคณะก่อน แต่แปลกที่ยกเว้นอินไว้ ทั้งสามคนยกมือไหวผู้ใหญ่ แม่ของกัปตันรับไหว้ จากนั้นกัปตันก็แนะนำคนต่อไป

"ส่วนคนนี้ปาร์ตี้ อยู่วิศวะ คนนี้คอปเตอร์ อยู่คณะอักษร รู้จักกันตอนประกวดคิวท์บอยครับ"

ทั้งสองคนทำเหมือนสามคนก่อนหน้านี้ แม่ของกัปตันรับไหว้และยิ้มให้ แม้ว่าจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างที่ได้ยินการประกวดที่แสนอื้อฉาวอีกครั้ง

"ส่วนคนนี้ ชื่ออินครับแม่ เป็น…" กัปตันหันไปทางลูกพี่ลูกน้องซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนพี่ชายที่แสนดีมาตลอด

"เป็นอะไรเหรอลูก" แม่ของกัปตันขมวดคิ้วสงสัย ก่อนมองไปที่หลานชายตามสายตาของกัปตัน

"ไม่มีอะไรหรอกครับน้าเล็ก อินเป็นเพื่อนคณะเดียวกับกัปตันนั่นแหละครับ เมื่อกี้เขาลืมแนะนำ" พี่โดมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน จะว่าแก้ตัวก็อาจจะไม่ถูกนัก ที่จริงน่าจะร้อนตัวมากกว่า ผู้พี่ก็เลยแอบส่งสัญญาณเตือนผู้น้อง แต่พี่โดมก็คงรู้ว่ากัปตันจะยังไม่บอกตอนนี้หรอก

"อ๋อ" แม่ของกัปตันขำ ก่อนจะหันมารับไหว้อิน

"โห คุณน้าซื้อของกินมาเยอะเลยครับ มีแต่ของอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย" ปาร์ตี้ตาโต มองไล่ไปตามความยาวของโต๊ะซึ่งมีอาหารเต็ม แทบไม่มีที่ว่างเลย

"ก็ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณพวกมึงไง เดี๋ยวกูก็ไม่อยู่แล้ว" กัปตันหันไปบอกเพื่อน

ปาร์ตี้เลิกคิ้ว "อ้าว มึงจะไปไหนวะ"

"ไปเรียนที่เมกา" กัปตันตอบสั้นๆ

เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ทำหน้าตกใจ แต่คนที่ตกใจมากกว่าใครก็คือผมนี่แหละ เพราะที่ผ่านมากัปตันทำท่าไม่อยากไป แม่บอกให้คุยกับลมหนุนเรื่องนี้ก็บ่ายเบี่ยง ก็เลยยังตกลงไม่ได้ว่าจะเรียนที่ไหน แต่มาวันนี้กัปตันกลับเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน ที่น่าผิดสังเกตกว่านั้นก็คือกัปตันไม่ค่อยสบตาผม พูดกับผมน้อยลง แถมตอนนี้ยังไปนั่งข้างๆ แม่อีกด้วย

"อ้าว ตกลงกัปตันจะไปเหรอ" พี่โดมทำหน้าแปลกใจ กระทั่งแม่ของกัปตันเองก็พลอยแปลกใจไปด้วย

"ครับพี่โดม" กัปตันรับคำ แต่ไม่บอกเหตุผลว่าทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น

"ว้า จะไปแล้วเหรอ" น้ำหวานทำหน้าเสียดาย

"ไปเรียนเมกาก็ดีแล้ว ที่โน่นสังคมเขาเปิดกว้าง คนพิการไปได้ทุกที่เลยนะเว้ย คนที่โน่นเขายอมรับคนพิการ รับรองว่าไม่เจอคนอย่างพี่สาแน่ๆ" พูดถึงรุ่นพี่แล้วปาร์ตี้ก็หัวเราะ

พี่โดมหันมามองผม สีหน้าดูมีคำถาม แต่คงไม่สามารถถามผมตอนนี้ได้ ถึงอย่างนั้นผมก็พอรู้ว่าพี่โดมสงสัยอะไร

"กินได้แล้วเด็กๆ เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะก่อน" แม่ของกัปตันเตือน ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อกี้ได้บ้าง

กินไปได้สักพัก แม่ของกัปตันก็ถาม "อ้อ แล้ววันนี้มาเตรียมงานอะไรกันเหรอ"

"เล่าดิ" กวินพยักพเยิดมาทางผม

เมื่อทุกคนมองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน ผมก็เลยต้องเล่าเอง แต่ก็ควรเป็นอย่างนั้น เพราะผมเป็นประธานชมรม

"อ๋อ พอดี…พวกเราจะระดมทุนหาเงินมาทำทางลาดกับห้องน้ำคนพิการน่ะครับ วันนี้ก็เลยมาช่วยกันวางแผนว่าจะระดมทุนยังไง ได้ไอเดียดีๆ มาเยอะเลยครับ"

แม่ของกัปตันมุ่นคิ้ว สีหน้าดูแปลกใจ "อ้าว แล้วที่มหาลัยไม่มีงบเหรอ"

"มีครับ แต่…ไม่พอ" ผมบอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

"จริงเหรอ มหาลัยใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีงบได้ยังไง" แม่ของกัปตันทำหน้าไม่เชื่อ แต่สักพักก็ขำเบาๆ "จริงๆ น้าก็ไม่น่าถามนะ เขาคงจะมีแหละ แค่ไม่เห็นความสำคัญเฉยๆ ดีแล้วที่กัปตันไปเรียนเมกา เผื่อจะช่วยให้เขาคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง ว่าแต่จะหาเงินเท่าไหร่ล่ะ เดี๋ยวน้าช่วยบริจาค"

"ล้านหนึ่งครับ" ผมตอบ สายตาชำเลืองมองไปทางกัปตัน เขาทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่มีความรู้สึกอะไรกับผมเลย

"ล้านหนึ่งเลยเหรอ" แม่ของกัปตันทวนเสียงสูง

"ครับน้า ล้านหนึ่งครับ พวกเราจะพยายามหาให้ได้ ถ้าหาเงินได้ครบในสองเดือน ก็น่าจะทำเสร็จทันก่อนกัปตันไปเมืองนอก พวกเราอยากให้กัปตันได้ใช้ครับ จะได้มาเรียนได้สะดวก ต่อไปถ้ามีคนแบบกัปตันมาเรียนที่นี่อีก ปัญหาก็จะน้อยลง ส่วนเรื่องเงินบริจาค พวกเราตั้งกฎเหล็กกันไว้ว่าจะไม่ขอเงินผู้ปกครองครับ จะพยายามหากันเองก่อน"

"แน่ใจนะ" แม่ของกัปตันเลิกคิ้ว

"ครับน้า" ผมพยักหน้ายืนยัน

"อะตอมให้กัปตันขี่หลังขึ้นตึกเรียนแทบทุกวันเลยครับคุณน้า ถ้าทำได้ก็ดีครับ" กวินเสริม

แม่ของกัปตันมองผมด้วยสายตาทึ่งๆ ที่จริงก็ทราบเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าในสายตานั้นมีความคิดอะไรบ้าง แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกขอบคุณ

"ขอบใจมากนะลูก ถ้าไม่ได้อะตอม ลูกชายน้าคงแย่เลย" แม่ของกัปตันยิ้มให้ผมอย่างเกรงใจ

"ไม่เป็นไรครับน้า เรื่องแค่นี้เองครับ ช่วยกัน" ผมยิ้มตอบ

พวกเพื่อนๆ ผมแอบทำตาเล็กตาน้อย ถ้าไม่เกรงใจผู้ใหญ่พวกมันคงแซวผมแล้ว

"ผมขอกุญแจรถหน่อยครับน้าเล็ก พอดีผมลืมเอาน้ำพริกมาด้วย น่าจะอยู่หลังรถ" พี่โดมลุกขึ้นและเดินไปหาน้าสาว เปลี่ยนจุดสนใจไปทางนั้นบ้าง

"ซื้อมาฝากใครเป็นพิเศษไหมคะพี่โดม รู้สึกว่าในคณะเราจะมีคนหนึ่งนะที่ชอบกินน้ำพริกมาก" น้ำหวานแกล้งแซว เล่นเอาพี่โดมร้อนๆ หนาวๆ แต่ก็ไม่มีอะไรมากนัก เพราะแม่ของกัปตันคงไม่เข้าใจที่เด็กๆ คุยกันหรอก

"อะตอมไปช่วยพี่ถือหน่อยดิ รู้สึกยังมีของอีกเยอะเลย" พี่โดมไม่ตอบน้ำหวาน แต่หันมาชวนผมแทน

"ครับพี่" ผมรับคำทัน

จากนั้นผมกับพี่โดมก็ขอตัวออกไปนอกห้อง ออกมาไกลพอสมควรแล้วพี่โดมก็ถามทันที

"เฮ้ยอะตอม มีปัญหาอะไรกับกัปตันหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ กัปตันถึงยอมไปเรียนเมกาง่ายๆ แบบนั้นล่ะ"

"ไม่รู้จริงๆ ครับพี่ แต่หลังๆ มานี้เราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลยนะครับ" ผมทำหน้ากังวล

"พี่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ตั้งแต่พี่มาถึง พี่ไม่ค่อยเห็นกัปตันคุยกับอะตอมเลย" พี่โดมทำหน้ากังวลพอกัน

"คงไม่มีอะไรหรอกมั้งพี่ กัปตันคงกลัวแม่รู้มั้งครับ ก็เลยไม่อยากอยู่ใกล้ผมมาก"

"พี่ว่าไม่ว่ะ แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวพี่จะลองคุยกับกัปตันดู อ้อ แล้ววันนั้น น้าพงศ์เขาคุยอะไรกับอะตอมน่ะ เห็นคุยกันนานเลย" พี่โดมเปลี่ยนมาถามเรื่องที่เราไปบ้านกัปตันเมื่อเร็วๆ นี้

ผมถอนหายใจเบาๆ น้าพงศ์ที่พี่โดมพูดถึงก็คือน้าเขยหรือป๊าของกัปตัน มีชื่อจริงว่าพุทธิพงศ์

"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกพี่ น้าพงศ์เขาแค่อยากให้ผมช่วยกัปตันหน่อยน่ะครับ"

"ช่วยเรื่องอะไรเหรอ" พี่โดมถามพลางกดลิฟต์ลงไปชั้นลานจอดรถ

"ก็เรื่องที่กัปตันเขาเคยอกหักจนเสียความมั่นใจนั่นแหละครับ" ผมตอบ

ประตูลิฟต์เปิดทันที น่าจะเป็นเพราะเมื่อกี้มันคงมาส่งคนที่ชั้นนี้พอดี ผมกับพี่โดมรีบเข้าไปในลิฟต์ก่อนที่มันจะปิด

"แล้วช่วยยังไงล่ะ" พี่โดมไม่เข้าใจ

"ก็…ยังไงล่ะพี่ ก็ประมาณว่า…ถ้ากัปตันชอบสาวที่ไหน น้าพงศ์ก็อยากให้ผมช่วยสอนกัปตันเรื่องจีบสาว ให้คำแนะนำ สร้างความมั่นใจ อะไรทำนองนี้ครับ"

"เหรอ แล้วทำไมอยู่ดีๆ น้าพงศ์ถึงขอให้อะตอมช่วยเรื่องนี้ล่ะ พี่ว่ามันต้องมีเหตุนะ" พี่โดมมุ่นคิ้ว

"ครับ พอดี…กัปตันเขาไปเล่าให้น้าพงศ์ฟังว่ามีสาวทักมาคุยกับเขาทางเฟสหลายคน แต่เขาไม่ค่อยมั่นใจที่จะคุยด้วย ไม่รู้ว่าสาวๆ ที่ทักมาคิดอะไรกับเขา น้าพงศ์เขาก็เลยกังวลน่ะครับ ก็เลยขอให้ผมช่วยแก้ปมในใจนี้ให้กัปตันหน่อย"

"เอ…กัปตันนี่ยังไง เขาเป็นแฟนอะตอมอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่คุยเรื่องนี้กับอะตอมล่ะ" พี่โดมไม่วายสงสัย

"เขาคงเกรงใจผมมั้งพี่" ผมตอบด้วยเสียงเศร้าๆ

ประตูลิฟต์เปิดพอดี ผมกับพี่โดมจึงรีบออกไป ระหว่างทางเดินไปที่รถก็คุยกันอีก

"แล้ว…น้าพงศ์เขาสงสัยเรื่อง…อะตอมกับกัปตันไหม"

ผมหยุดเดิน พี่โดมก็หยุดตาม ผมครุ่นคิดสักพักก็เล่า

"ตอนแรกก็ไม่สงสัยหรอกครับ แต่ผมลองถามน้าพงศ์ว่า…ถ้าเกิดกัปตันไม่ได้ชอบผู้หญิง น้าพงศ์จะว่ายังไง"

พี่โดมทำหน้าทึ่ง คงไม่คิดว่าผมจะกล้าถามอย่างนั้น "แล้วน้าพงศ์ตอบว่าไง"

"เขาก็หัวเราะ แล้วก็ตอบผมว่า…ถ้าได้คนขยันๆ แล้วก็สู้ชีวิตอย่างผม เขาก็โอเคนะ จะได้มาช่วยกันทำงาน"

"จริงเหรอ" พี่โดมทำหน้าไม่เชื่อ ก่อนออกเดินนำผมไปที่รถ

"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับพี่ น้าพงศ์เขาอาจจะแค่พูดตลกๆ ก็ได้มั้งครับ เพราะหลังจากนั้น น้าพงศ์ก็ชวนผมคุยเรื่องสอนกัปตันจีบสาวอีก"

"พี่ว่า…น้าพงศ์ไม่น่าพูดเล่นหรอกมั้ง พี่ว่าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีนะ ก็เหลือแค่น้าเล็กนี่แหละ แต่กัปตันนี่สิ ทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้กะทันหันก็ไม่รู้ อะตอมรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าเขาตัดสินใจจะไปเรียนเมกา" พี่โดมวกกลับมาคุยเรื่องน้องชายอีกจนได้

"เพิ่งรู้วันนี้แหละพี่" ผมหัวเราะแห้งๆ

"เฮ้ย จริงเหรอ" พี่โดมหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่เชื่อ

"จริงพี่" ผมยิ้มเศร้าๆ

"เดี๋ยวพี่คุยกับกัปตันให้ละกัน พี่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เลย"

"ขอบคุณครับพี่โดม" ผมยิ้มให้พี่ชายของแฟนด้วยความรู้สึกขอบคุณ

เรามาถึงรถพอดี พี่โดมปลดล็อกแล้วก็เดินมาเปิดกระโปรงหลังรถ ในนั้นมีแค่น้ำพริกกับผักเท่านั้น มันอยู่ค่อนข้างลึกตรงที่มืดๆ พี่โดมก็เลยมองไม่เห็น

"ผมถือให้ละกันนะครับพี่" ผมยื่นมือไปรับถุงน้ำพริกและผักจากพี่โดม พี่โดมหัวเราะเบาๆ และส่งถุงให้ผมถือไว้

ขณะเดินกลับมาที่ลิฟต์ พี่โดมก็ชวนผมคุยอีก "ถ้ากัปตันไปเรียนเมืองนอก อะตอมจะทำไง"

"ผมก็จะรอเขาจนกว่าเขาจะกลับมานั่นแหละครับ แต่ถ้าเขาไม่กลับมา ผมก็จะรอจนกว่าเขาจะบอกผมว่า…ไม่ต้องรอเขาแล้ว"

พี่โดมทำหน้าทึ่งอีกแล้ว ผมเดาว่าใครๆ ก็คงสงสัยว่าทำไมผมถึงรู้สึกกับกัปตันมากขนาดนี้ คราวนี้พี่โดมไม่แค่สงสัยเท่านั้น แต่ยังถามเป็นคำพูดด้วย

"พี่ถามตรงๆ นะอะตอม ทำไม…อะตอมถึงรักกัปตันล่ะ"

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ผมจะนึกถึงวันแรกที่เจอกัปตันตรงบันไดขึ้นตึกเรียนเสมอ จากนั้นก็จะนึกถึงตอนที่ผมพากัปตันไปล้างคราบอาหารที่หกใส่ในห้องน้ำ น่าจะเป็นตอนนั้นที่ผู้ชายคนนี้ขโมยหัวใจผมไป แต่จะเป็นเพราะอะไรนั้นก็ยากที่จะตอบ

รักก็คือรัก ไม่ค่อยมีเหตุผลหรอก

ผมก็เลยเล่าสิ่งที่คิดในใจให้พี่โดมฟังตอนเข้าไปในลิฟต์ แต่ก็ไม่มีเวลาคุยกันมากนักเพราะมาถึงที่ห้องของกัปตันพอดี เราก็เลยยุติการสนทนาเรื่องนี้ไว้ก่อน

"อ้าว ไหนว่ามีของเยอะ ทำไมมีแค่นี้ล่ะ"

กลับเข้ามาปุ๊บ น้ำหวานก็แซวปั๊บ พี่โดมหัวเราะเก้อๆ ก่อนตอบไป "ตอนแรกพี่นึกว่าเยอะไง แต่พอไปดู มีแค่นี้เอง"

พี่โดมยื่นมือมาขอถุงน้ำพริกไปจากผม ผมยื่นให้แต่โดยดี ได้มาแล้วพี่โดมก็จัดการเอาไปแกะใส่จานให้ ใครบางคนที่นั่งกินข้าวอยู่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีแฟนรู้ใจและคอยดูแลดีแบบนี้ก็ต้องภูมิใจเป็นธรรมดา

เสร็จจากอาหารคาวก็ตามด้วยอาหารหวาน เด็กๆ พากันกินจนอิ่มแปล้ไปตามๆ กัน ก่อนกลับก็ช่วยกันเก็บกวาดและล้างจานด้วย แม่ของกัปตันห้ามก็ไม่ฟัง ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

เกือบๆ สามทุ่ม เพื่อนๆ ของเราก็ขอตัวกลับ เหลือแต่ผม กัปตัน พี่โดมและแม่ของกัปตัน แต่ก็คงจะอยู่ไม่นาน พูดคุยกันอีกนิดหน่อยก็คงจะกลับแล้ว

"แม่ คืนนี้กัปตันขอกลับไปนอนบ้านด้วยนะแม่"

กัปตันทำผมกับพี่โดมแปลกใจอีกแล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ถึงตอนนี้ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ากัปตันจงใจทำตัวห่างเหิน

"อ้าว ทำไมล่ะลูก" แม่ของกัปตันสงสัย

"กัปตันอยากไปคุยกับป๊าน่ะแม่ กัปตันอยากปรึกษาเรื่องเรียนต่อ" กัปตันหันไปบอกแม่ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุในสายตาของกัปตันไปแล้ว

"จะคุยคืนนี้เลยเหรอ" คนเป็นแม่แปลกใจ

"ครับแม่ ผมตื่นเต้นน่ะ ถ้าตอนนี้หาที่เรียนได้แล้วนะ ผมจะบินไปเรียนเลย"

"อะไรกันลูกคนนี้ บทจะอยากไปก็อยากไปซะเหลือเกิน แต่ปรึกษากับป๊าเขาหน่อยก็ดี หาที่เรียนได้แล้วจะได้รีบทำเรื่องย้าย คืนนี้อะตอมเหงาหน่อยนะลูก" แม่ของกัปตันหันมาคุยกับผมตรงประโยคท้าย

"ไม่เป็นไรครับ" ผมหัวเราะแห้งๆ เพราะไม่รู้จะแสดงการตอบรับอะไรได้ดีไปมากกว่านี้

กัปตันมองผมเหมือนเราไม่รู้จักกัน สายตาที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากอะไรกันแน่ เมื่อคืนเรายังบอกรักกันหวานซึ้งอยู่เลย ทำไมอยู่ดีๆ กัปตันถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

จะไปเรียนเมืองนอกผมก็ไม่ว่าหรอก สนับสนุนด้วยซ้ำ แต่เวลาที่เหลือเราไม่ควรจะมีบรรยากาศแบบนี้ระหว่างกันเลย



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [2/2] - 21.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 21-10-2017 17:16:48
ทำไมรอบนี้รู้สึกสมน้ำหน้าอะตอม ปากพาพังหลายรอบแล้ว เป็นบทเรียนไปละกัน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [2/2] - 21.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 21-10-2017 17:33:27
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [2/2] - 21.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2017 18:30:19
 :เฮ้อ:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP26 หลอกแดกคนพิการ [2/2] - 21.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 21-10-2017 18:41:58
ตายเพราะปากแท้ๆอะตอม กัปตันน่าจะคุยกับอะตอมก่อนไม่น่าด่วนตัดสินใจแบบนี้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 23-10-2017 14:20:07
EP27 (1/3)
ร่วมทุกข์ร่วมสุข

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


::: CAPTAIN :::

เพียงสัมผัสแรกเข้าเริ่มขึ้น ร่างกายผมก็ตอบสนองต่อสัมผัสแปลกใหม่นั้นอย่างรุนแรง เมื่อเธอเริ่มโยกตัวขึ้นลง ผมก็เผลอครางด้วยความเสียว มันทั้งดึงและดูด แต่ก็ยืดหยุ่นและให้สัมผัสแนบชิดรอบด้าน

ผมมองภาพสาวน้อยน่ารักบนตัวผมด้วยแววตาหื่นกระหาย ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเหยเกแต่ก็มีความสุข ผมยาวสลวยของเธอสะบัดขึ้นลง บางคราวเธอต้องรีบเอามือเสยออกให้พ้นหน้า เนินอกสล้างเด้งขึ้นลงด้วยจังหวะเดียวกัน ผมเอื้อมมือไปบีบคลึงสัมผัสเล่นอย่างมันมือ สาวน้อยสูดปากเสียวและเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น แต่สักพักก็เริ่มผ่อนช้าลง

ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินไปกับม้าสาวที่ควบขี่ผมอย่างร้อนแรงอยู่นั้น ผมก็ต้องตกใจที่จู่ๆ สาวน้อยก็หยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพกิจกรรมเข้าจังหวะของเราไปด้วย

"พิชชา ถ่ายทำไม"

"ก็เผื่อพี่อยากเก็บเอาไว้ดูไง"

เธอตอบหน้าตาเฉย ผมไม่ค่อยชอบใจนักหรอก แต่ปล่อยก็เลยปล่อยเลยเพราะกำลังเข้าได้เข้าเข็ม ผมโดนยั่วจนหน้ามืดแล้วก็ยากที่จะหยุดเอาไว้ได้ จนกระทั่งเราสองคนต่างพากันไปถึงที่หมาย ประสบการณ์วันไนท์สแตนด์ครั้งแรกของผมจึงยุติลง แต่ถ้าเธอยังพอไหวผมก็คงจะขออีกสักรอบ

"ชอบไหมคะ" สาวน้อยถามด้วยเสียงเหนื่อยหอบ เพราะเธอเล่นควบเองตั้งแต่ต้นจนจบ น่าแปลกที่เธอไม่มานอนคลอเคลียกับผมเหมือนที่เรามักเคยเห็นในทีวีบ่อยๆ

ผมไม่ตอบแต่พยักหน้ายิ้มๆ พอทำเสร็จไปแล้วสติสัมปชัญญะก็เริ่มกลับคืนมา

"เดี๋ยวพิชชาต้องไปแล้ว มีนัดกับเพื่อนที่ผับน่ะ"

พิชชาลุกขึ้น หยิบชุดชั้นในและเสื้อผ้าที่หล่นกระจัดกระจายตามพื้นขึ้นมาสวมใส่ แม้จะเป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย แต่เธอก็ดูโชกโชนกับเรื่องนี้ ไม่มีเขินอายหรือตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย ผมซะอีกที่นอนเอาผ้าคลุมตัวไว้

ตั้งแต่ประกวดคิวท์บอยเมื่อเดือนที่แล้ว ผมก็รู้สึกว่ามีสาวๆ ให้ความสนใจผมพอสมควร ส่วนมากจะเข้ามาหาผมทางเฟส ผมคุยเล่นอยู่หลายคน บางคนคุยแค่ครั้งสองครั้งก็เลิกคุย แต่บางคนก็คุยต่อเนื่องอย่างเช่นกรีนและพิชชา ผมเจอกรีนแล้วเพราะเรียนมหาลัยเดียวกัน มีแต่พิชชาเท่านั้นที่ผมเพิ่งนัดเจอเป็นครั้งแรก

"จะให้พี่ไปส่งไหม" ผมอาสา

"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพิชชาไปเอง"

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย พิชชาก็หยิบมือถือขึ้นมาค้นหาอะไรบางอย่าง เมื่อเจอแล้วเธอก็วางบนเตียงให้ผมดู

"นี่เบอร์บัญชี"

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนชันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เริ่มสังหรณ์ใจว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

"บัญชีอะไร"

"อ้าว! ก็บัญชีของพิชชาไง" พิชชาเสียงเขียวและชักสีหน้าเล็กน้อย

"แล้ว…ให้พี่ดูทำไม" ผมยังไม่เข้าใจ

"อ้าว! คิดว่าพิชชามาให้เอาฟรีๆ เหรอ"

เมื่อเธอพูดจบผมก็ยังไม่เข้าใจทันที แต่พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็หน้าเหวอเหมือนโดนผีหลอก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้

"เร็วสิคะพี่กัปตัน พิชชาจะรีบไปแล้ว" สาวน้อยเร่งเร้า

"เดี๋ยวนะพิชชา นี่มันอะไรกัน เธอมาขาย..."

"ปกติพิชชาก็ไม่คิดเงินหรอกค่ะ แต่สำหรับพี่ พิชชาขอคิดเงินละกันนะคะ สารรูปแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะเอาด้วย คิดสิคิด! " พิชชาเบะปากใส่ผม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเหยียดหยันและรังเกียจ

ผมหน้าชาไปหมด จะว่าโกรธก็โกรธ จะว่าอายก็อาย ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาโดนผู้หญิงด่าแบบนี้อีกแล้ว

"เร็วสิ จะไปแล้ว" พิชชาเริ่มขึ้นเสียง

"แล้วจะให้ทำไง" ผมถามเสียงสั่นๆ

"ก็โอนมาสิ หน้าตาก็ดีไม่น่าโง่เลย ยากตรงไหนเนี่ย น่ารำคาญ" พิชชาทำท่ารำคาญ

ผมได้แต่กัดฟันกรอดๆ และกำหมัดแน่น ถ้าเป็นผู้ชายผมคงต่อยปากแตกไปแล้ว แต่พอเป็นผู้หญิง ผมก็ได้แต่นับหนึ่งถึงสิบในใจ

"ตกลงจะโอนหรือไม่โอน ถ้าไม่โอน พิชชาจะปล่อยคลิปว่อนเน็ตเดี๋ยวนี้เลย" สาวน้อยที่ดูเหมือนเดียงสาเปลี่ยนเป็นคนละคน ท่าทางของเธอดูเอาเรื่องจนน่ากลัว ถ้าผมไม่โอนเงินให้คงมีเรื่องอื้อฉาวอีกจนได้

คิดแล้วก็ยิ่งโมโหตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำอะไรไร้สติและสิ้นคิดขนาดนี้มาก่อนเลย เสียรู้คนไม่ดีจนได้

"เท่าไหร่"

"มือถือรุ่นที่พิชชาอยากได้มันสามหมื่นแปดน่ะ โอนมาสี่หมื่นละกัน" พิชชาบอกหน้าตาเฉย ราวกับกำลังขอเงินแม่ยี่สิบบาทซื้อขนมยังไงยังงั้น


สรุปว่าขายตัวหาเงินซื้อมือถือนี่เอง!


ผมเห็นข่าววัยรุ่นขายตัวซื้อไอโฟนมาเมื่อไม่กี่วันนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับตัวเอง มิน่าล่ะ พิชชามักถามผมเรื่องรถ เรื่องบ้านหรือธุรกิจของครอบครัว เมื่อเธอมั่นใจว่าผมมีเงิน เธอก็เลยตัดสินใจนัดเจอผม จนกระทั่งมาจบที่โรงแรมนี้

ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเงินสี่หมื่นให้เธอหรอก ถึงผมจะไม่เคยขัดสน แต่ป๊ากับแม่ก็สอนเรื่องการใช้เงินมาตั้งแต่เด็ก จะกินใช้อะไรผมก็ยังมีสติ ถึงจะกินของดีหรือใช้ของแพงแต่ก็ไม่เคยซื้อแบบบ้าคลั่ง ที่สำคัญ ผมไม่เคยหมดเงินสี่หมื่นไปกับอะไรที่ไร้ค่าขนาดนี้เลย

แต่มันคือค่าบทเรียนที่ผมต้องจ่ายให้กับความโง่ของตัวเอง!

เมื่อไม่อยากมีปัญหา ผมจึงจำใจต้องหยิบมือถือของตัวเองมา ก่อนเข้าแอปธนาคารและจัดการโอนเงินให้พิชชาไป

"โอนแล้ว" ผมหันหน้าจอให้เธอดูรายการโอนเงินในมือถือ

"ขอบคุณค่ะ แต่ครั้งหน้าไม่ต้องมาใช้บริการพิชชาอีกแล้วนะ ครั้งเดียวก็คลื่นไส้จะแย่แล้ว"

พิชชาสะบัดหน้าหนีและลุกขึ้นจากเตียง ทำท่าเหมือนจะเดินออกไปข้างนอก แต่ผมรีบเรียกเธอไว้ก่อน

"เดี๋ยว ลบคลิปด้วย"

พิชชาหยุดชะงัก เธอหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า ทำท่ากดอะไรบางอย่างบนหน้าจอ จากนั้นก็โยนลงมาบนเตียงให้ผม

"อยากเก็บเอาไว้ดูตายล่ะ อุบาทว์ ลบเอาเองละกัน"

แม้จะโดนเธอดูถูกไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่คราวนี้ผมกลับไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ผมรีบหยิบมือถือของเธอมา พิชชาเปิดหน้าที่ผมต้องการไว้ให้แล้ว ผมเพียงแต่กดลบคลิปก็เป็นอันเรียบร้อย เมื่อเช็คดูจนมั่นใจว่าไม่มีหลงเหลือ ผมก็ส่งคืนให้เธอ

"ยี้! ไอ้คนพิการ! "

พิชชารับมือถือกลับไป ก่อนเดินตัวปลิวออกไปจากห้องโดยไม่แยแส ทิ้งไว้แต่ประสบการณ์เซ็กซ์ครั้งแรกกับผู้หญิงที่น่าอัปยศสิ้นดี


สรุปว่าโดนหลอกแดกอีกแล้ว!


ทำไมผมถึงไม่เคยจำเลย!


ก่อนหน้านี้พิชชาพยายามนัดเจอผมหลายครั้ง แต่ผมก็ปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงมาตลอด จนกระทั่งผมบังเอิญได้ยินอะตอมคุยกับแบงค์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั่นแหละ มันทำให้ผมเสียใจจนนึกอยากทำอะไรบ้าๆ ประชดชีวิต พอพิชชาชวนอีกครั้ง ผมก็ตกปากรับคำโดยไม่เอะใจสงสัยใดๆ เลย

จากนี้ไปผมควรจะเลิกสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว สนใจการเรียนอย่างเดียวดีกว่า รักผู้หญิงก็โดนหลอก รักผู้ชายก็ยังโดนหลอกซ้ำอีก ทั้งชีวิตนี้ผมคงต้องอยู่อย่างคนไร้รักไปจนวันตายแน่ๆ เลย

แล้วอะตอมล่ะ ผมจะทำยังไงกับเขาดี บอกตามตรงว่าผมคงไม่สามารถอยู่ร่วมห้องกับมันได้อีกแล้ว คำพูดของมันทำเอาผมเจ็บจนแทบกระอักเลือด แต่ครั้นจะไล่มันไปผมก็สงสาร ผมก็เลยเลือกที่จะไม่กลับคอนโด ประจวบเหมาะว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชย ผมก็เลยอยู่บ้านต่ออีกวัน เพิ่งจะออกมาเมื่อตอนเย็นๆ นี่แหละ ป๊ากับแม่คงเข้าใจว่าผมจะกลับคอนโด แต่จุดหมายปลายทางของผมก็มาลงเอยที่นี่ในที่สุด

ผมถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกเครียดๆ เมื่อไม่รู้จะอยู่ในห้องนี้ต่อไปทำไมก็หยิบเสื้อผ้ามาใส่ ทีแรกผมตั้งใจว่าจะพักอยู่กับพิชชาสักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปเรียน

ไม่รู้ว่าอะตอมจะอยู่ที่ห้องหรือเปล่า มันส่งไลน์มาบอกผมเมื่อวันเสาร์ตอนเย็นว่าจะกลับบ้าน วันจันทร์มีงานถ่ายแบบ ผมรับรู้แค่นั้นแต่ก็ไม่ตอบ น่าแปลกที่อะตอมไม่โทรหาหรือส่งข้อความมาหาผมเลย ก็แหงล่ะ มันแค่มาหลอกแดกผม ถึงตอนนี้มันคงเหนื่อยที่จะเสแสร้งเป็นห่วงเป็นใยผมแล้วก็ได้


หรือว่าผมจะไปนอนห้องพี่โดมดี?


แต่อย่าเลยดีกว่า ผมไม่อยากเล่าเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้ให้ใครฟังเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอะตอมหรือพิชชา เพราะต่างก็เป็นเรื่องที่น่าสมเพชด้วยกันทั้งสองเรื่อง


งั้นกลับคอนโดละกัน


เป็นไงก็เป็นกัน หนีปัญหาไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ถ้าจะต้องแตกหักกับมันก็แตกหักกันไปเลย เพราะไหนๆ ผมก็จะไปเรียนเมืองนอกอยู่แล้ว เสียดายก็เพียงแค่ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก เพราะสิ่งที่อะตอมต้องการคือ…

หลอกแดกผม!



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 23-10-2017 14:39:39
อ่านบทนี้แล้วได้แต่ร้องว่า เฮ้ออ.... กัปตันเอ้ยยย ตอนแกเห็นเค้าจูบกับคนอื่นแกยังไม่พอใจเลย นี่ประชดแล้วไปเอากับคนอื่นเลยเหรอมมม เฮ้ออออ (ปล.อยากจะสงสารนะแต่สมน้ำหน้ามากกว่าที่โดนหลอก -..-*  :เฮ้อ:)
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-10-2017 15:38:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-10-2017 16:04:48
 :a5:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 23-10-2017 17:29:58
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 23-10-2017 17:56:16
เลิกๆๆๆ แยกๆๆๆกันไปเหอะ ดูไม่มีเหตุผลกันทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [1/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 23-10-2017 18:34:17
แล้วก็ต้องเจ็บปวดกันทั้งคู่ เฮ้อ :serius2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 23-10-2017 20:35:44
EP27 (2/3)
ร่วมทุกข์ร่วมสุข

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)


::: CAPTAIN :::

ผมกลับมาถึงคอนโดราวๆ สามทุ่มกว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่คำเดียว แต่ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินอะไรหรอก ในหัวมันตื้อไปหมด พลอยทำให้ระบบอื่นๆ ในร่างกายเพี้ยนไปด้วย

เมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้อง ผมก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะเปิดเข้าไปดีไหม แต่ในเมื่อมาถึงแล้วก็คงต้องเข้าไป ตอนแรกผมว่าจะใช้คีย์การ์ดเปิดเอง แต่ก็เปลี่ยนใจเป็นเคาะประตูแทน

ไม่นานประตูก็เปิดออก คนที่อยู่ในห้องก็ไม่ใช่ใคร อะตอมนั่นเอง เขาอยู่ในชุดกางเกงบ็อกเซอร์ลายตาผ้าขาวม้าและเสื้อกล้ามสีขาว พอเห็นผมก็ยิ้มแฉ่งต้อนรับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะยิ้มด้วยดีไหม ก็เลยหลบสายตาลงมองพื้น

"กินอะไรมาหรือยัง กูทำกับข้าวไว้ให้มึงตั้งหลายอย่างแน่ะ มีหมูแดดเดียวทอด ไข่เจียว แกงจืดผักกาดขาวแล้วก็ข้าวสวยร้อนๆ ไม่ใช่อาหารหรูๆ หรอก มึงก็รู้ว่ากูทำไม่เป็น แต่อร่อยนะเว้ย"

พอผมเข้ามาในห้อง อะตอมก็ชวนกินข้าว ผมมองไปที่โต๊ะอาหาร มีกับข้าวหลายอย่างจัดวางไว้ ส่งกลิ่นหอมน่ากิน คนทำคงใช้เวลาพอสมควรถึงทำได้หลายอย่าง แสดงว่าอะตอมน่าจะกลับมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว

เรื่องอาหารหรูหรือไม่หรูไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก เพราะผมกินกับข้าวฝีมืออะตอมบ่อยๆ ฝีมือก็พอใช้ได้ ตอนแรกมันทำเผ็ดไปหน่อย แต่หลังๆ ก็ปรับรสให้อ่อนลง ผมก็เลยพอกินอาหารบ้านๆ ได้

ผมเข็นรถไปที่โซฟารับแขก ย้ายตัวลงไปนั่งบนโซฟา ตอนนี้บอกตรงๆ ว่าผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะคุยหรือจะทำเฉยๆ กับอะตอมดี แต่เมื่ออยู่ในห้องเดียวกัน จะต่างคนต่างอยู่ก็กระไรอยู่

อะตอมเดินมายืนข้างๆ ผม สีหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าสิ่งที่ทำอยู่คือการแสดง ผมก็ยอมรับว่ามันแสดงเก่งมาก เพราะดูยังไงก็ดูไม่ออก ไม่งั้นต่อมแยกแยะการโกหกของผมก็คงบกพร่องอย่างหนัก

"อาบน้ำก่อนไหม"

"ยัง" ผมตอบเสียงเนือยๆ โดยไม่หันไปมอง

"งั้นนั่งพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูไปเอาน้ำมาให้นะ" อะตอมทำท่าจะเดินไป แต่ผมก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

"มึงเลิกแสดงละครซะทีได้ไหมวะ! "

อะตอมหันมามองผม คิ้วสองข้างเลิกขึ้น "ละครอะไรของมึงวะ"

"ไม่ต้องมาทำงง คราวนี้จะหลอกแดกอะไรกูอีกล่ะ! " ผมแขวะเสียงเข้ม

อะตอมหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าตลกอะไรของมัน "แดกข้าวไง อุตส่าห์ทำให้ ไม่กินหน่อยเหรอ อร่อยนะเว้ย"

"ไอ้เหี้ย! กูไม่ตลกนะเว้ย" ผมตวาดลั่น ตอนนี้หน้าผมคงแดงก่ำเพราะความโมโหไปแล้ว

อะตอมหน้าเสีย คงไม่เคยเห็นผมทำท่าทางแบบนี้ใส่มันมาก่อน พอเห็นอาการของผมก็เริ่มได้สติ แต่ก็ยังคงทำสีหน้าขึงขังอยู่

"อยากด่าอะไรกูอีกไหม ด่ามาให้หมดเลย ด่าให้พอใจ ถ้ายังไม่พอ จะต่อยกูหรือทำร้ายกูยังไงก็ได้"

ไม่ใช่แค่ท้าเท่านั้น อะตอมเดินกลับมาหาผมและนั่งลงข้างๆ

"เอาดิ โกรธกูไม่ใช่เหรอ อยากด่ากูไม่ใช่เหรอ ทำให้พอใจเลยกัปตัน ต่อยกูเลยก็ได้"

"มึงอย่าท้ากูนะเว้ย! คิดว่าคนพิการอย่างกูต่อยมึงไม่ได้เหรอ" ผมเถียงเสียงสั่น

"ก็ต่อยดิ! กูพร้อมแล้ว"

"กูต่อยมึงแน่! แต่ก่อนที่กูจะต่อยมึง กูจะขอพูดอะไรหน่อย" ผมนึกอยากจะเอามือชี้หน้า แต่ก็กลัวหยาบคายเกินไป

"ว่ามาเลย" อะตอมท้าทาย ดูท่าทางมันไม่กลัวอะไรเลย

"มึงรู้ไหมว่ากูน่ะโคตรจะผิดหวัง กูโคตรจะเสียใจเลย กูรักมึงนะเว้ย มึงทำให้กูรักมึงน่ะ แต่มึงเสือกมาทำเหี้ยๆ กับกูแบบนี้ หัวใจมึงทำด้วยอะไรวะอะตอม คิดว่ากูพิการแล้วจะโง่ไม่ทันมึงเหรอวะ!"


ผัวะ!


ผมซัดไปหนึ่งหมัดอย่างลืมตัว คงเป็นเพราะอารมณ์ตอนนั้นมันได้ที่แล้ว อะตอมเอามือลูบๆ ตรงที่โดนต่อย จากนั้นก็หันมาท้าทายอีก

"ต่อดิ"

ผมอึ้งไปเล็กน้อยที่เห็นมันยังท้าทาย แต่ด้วยความอัดอั้นตันใจก็เลยพูดต่อ

"เออ! กูมันโง่! ถึงได้โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แม่งก็เสือกไม่เข็ด ไม่เจียมสังขารตัวเอง เพ้อเจ้อคิดว่าจะมีคนมารัก ใครจะมารักคนพิการวะ แม่ง! สุดท้ายก็โดนเขาหลอกอยู่ดี มึงก็เหมือนกัน แกล้งมาทำดีกับกู หลอกให้กูรักมึง แต่พอกูรักมึงไปแล้ว มึงก็เสือกหลอกกูเหมือนคนอื่นๆ ทำไมวะ! คนพิการอย่างกูมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอวะ! ถ้ามึงไม่รักกู มึงมาหลอกให้กูรักมึงทำไม ไอ้เหี้ย!"


ผัวะ!


ผมซัดไปอีกหมัด คราวนี้มีเลือดออกซิบๆ ด้วย อะตอมเพียงแต่ลูบๆ คลำๆ แล้วก็ยิ้ม

"มีอีกไหม พูดมาให้หมด"

ผมรวบคอเสื้อกล้ามของอะตอมเข้าหากันและดึงเข้ามาใกล้ ก่อนตะโกนใส่หน้ามันอย่างเหลืออด "มึงทำอะไรของมึงกันแน่วะอะตอม! มึงจะหลอกอะไรกูอีก มึงหลอกกูไม่ได้แล้วนะเว้ย มึงมีอะไรมึงพูดมาให้หมดเลย เพราะสิ่งที่มึงทำกับกู กูบอกเลยว่ากูให้อภัยมึงไม่ได้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่กูจะถูกหลอก ต่อไปกูจะไม่ให้ใครมาหลอกกูแบบนี้อีกแล้ว มึงคิดจะทำอะไรมึงพูดมาให้หมดเลยสิวะไอ้เหี้ย!"

อะตอมไม่ตอบ แต่ผมเห็นมันน้ำตาไหล ว่าแต่มันจะร้องไห้ไปทำไม เพราะคนที่ควรจะร้องไห้ควรจะเป็นผมไม่ใช่เหรอ พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็น้ำตาไหลบ้าง

"ที่กูเสียใจ ที่กูโมโหขนาดนี้ เพราะกูรักมึงไปแล้ว มึงหลอกกูแล้วมึงได้อะไรวะอะตอม มึงไม่เห็นใจกูบ้างเหรอ กว่ากูจะทำใจจากคนนั้นได้ มันใช้เวลานานนะเว้ย ความรักของคนอย่างกูไม่มีค่าเหรอวะ กูไม่ได้รักใครง่ายๆ นะเว้ย แล้วถ้ากูรักใคร มันก็ลืมไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน กูมีหัวใจ กูเจ็บเป็น กูร้องไห้เป็น กูอยากรัก กูอยากถูกรัก กูอยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ กูเหมือนมึง เหมือนคนอื่นๆ อย่าล้อเล่นกับหัวใจกูแบบนี้สิวะ! "

ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น มือที่จับคอเสื้อของอะตอมไว้ค่อยๆ หมดแรงลง ไม่นานก็ตกลงข้างตัว ไม่อยากเชื่อเลยว่าปมด้อยในอดีตจะทำให้ผมบ้าคลั่งได้ถึงขนาดนี้ แต่พอได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว อาการตื้อและหนักหัวก็ค่อยทุเลาลง

"ที่กูกลับมา เพราะกูคิดถึงมึง กูไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมามึงรักกูจริงหรือแค่หลอกกูเล่น แต่กูรักมึงไปแล้ว เพราะมึงดีกับกู มึงช่วยเหลือกูทุกอย่าง มึงทำให้กูรู้สึกว่าหัวใจของกูมีค่า มึงทำให้คนที่ไม่มั่นใจในความรักอย่างกูกลับมารักใครสักคนได้อีกครั้ง เพราะมึงทำแบบนี้ กูถึงรักมึง แล้วทำไมมึงถึงทำกับกูแบบนี้วะอะตอม มึงไม่เห็นเหรอว่ากูมีความสุขมากแค่ไหนที่มีมึงอยู่ใกล้ๆ กูอยากได้ความรักแบบนี้ กูอยากมีคนที่รักกูแบบนี้ กูไม่มีสิทธิ์เลยเหรอวะ มึงไม่หลอกกูได้ไหมอะตอม กูไม่อยากให้เรื่องของกูกับมึงเป็นแค่เรื่องโกหก มึงไม่รู้สึกดีๆ เหมือนกูเหรอ มึงไม่อยากให้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเหมือนจริงเหมือนกูบ้างเลยเหรอวะ มึงเริ่มต้นก่อนเพราะมึงชอบกูไม่ใช่เหรอ มึงอยากเป็นแฟนกูไม่ใช่เหรอ แล้วกูก็รักมึงแล้ว กูรักมึงไปแล้วนะเว้ย มึงอย่าทำแบบนี้กับกูสิวะ"

ผมซบหน้าร้องไห้ลงบนไหล่ของอะตอม หยดน้ำตาของผมไหลลงมาเป็นสายหยดแล้วหยดเล่า อะตอมกอดผมไว้เบาๆ และลูบหลังไปด้วย สัมผัสที่ดูเหมือนรักใคร่นี้ทำให้ผมรู้สึกเสียดายเหลือเกิน เพราะหลังจากวันนี้ไป เรื่องโกหกนี้ก็จะจบลง สิ่งดีๆ ที่เคยได้รับก็จะจบลงไปด้วย

ผมหมดเรื่องจะพูดแล้ว ผมก็ปล่อยตัวเองให้ร้องไห้และปลดปล่อยความรู้สึกอย่างเต็มที่ นานทีเดียวกว่าผมจะหยุด เรียกได้ว่าร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา

อะตอมใช้สองมือดันไหล่ผมออก เราสองคนมองหน้ากันนิ่งๆ ผมไม่เหลืออารมณ์โกรธเคืองอีกแล้ว ในใจเตรียมพร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

"ถ้ามึงหมดเรื่องจะพูด คราวนี้มึงฟังกูหน่อยนะเว้ย"

ปากเจ่อๆ ของอะตอมเอื้อนเอ่ย ผมพยักหน้ารับรู้

"กูจะไม่พูดอะไรเยอะหรอก แค่อยากให้มึงตอบคำถามกูสักสี่ห้าข้อได้ไหม"

ผมพยักหน้า อะตอมยิ้มเล็กน้อยและเอามือลงจากไหล่ผม จากนั้นก็ถามคำถามแรก

"ตั้งแต่กูมาอยู่กับมึง กูเคยขอยืมเงินมึงไหม"

"ไม่เคย" ผมตอบโดยแทบไม่ต้องใช้เวลาคิด

"กูเคยเบี้ยวไม่จ่ายค่าห้องมึงไหม"

"ไม่เคย"

"ของกินของใช้ในบ้าน กูช่วยมึงออกตังค์ซื้อทุกครั้งหรือเปล่า"

ผมพยักหน้ายอมรับ

"เวลาไปกินอะไรข้างนอก กูช่วยมึงจ่ายไหม"

ผมพยักหน้า เริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมารางๆ แล้ว

"ก่อนที่แม่มึงจะอนุญาตให้กูมาอยู่ด้วย เขาเคยให้มึงทดสอบกูแล้วไม่ใช่เหรอว่ากูเป็นคนแบบไหน มึงจำได้หรือเปล่า"

"จำได้"

"คำถามสุดท้ายนะเว้ย แล้วทั้งหมดนี้…มึงคิดว่ากูหลอกแดกมึงหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าทันที เมื่อทบทวนจากคำถามทั้งหมดที่อะตอมถามมา ผมก็ยังไม่เห็นว่าอะตอมจะมีพฤติกรรม "หลอกแดก" ตรงไหน นี่มันหมายความว่ายังไงกัน

"แล้วที่มึงคุยกับไอ้แบงค์วันนั้น มันหมายความว่าไงวะ" เมื่อเดาไม่ได้ ผมก็ถามไปตรงๆ

"กูประชดมันเฉยๆ เว้ย ไอ้แบงค์น่ะมันชอบเอาเรื่องขี้ปากชาวบ้านมาเล่าให้กูฟัง กูก็เลยโมโห มึงคิดดูนะเว้ย มันเป็นเพื่อนกูมาตั้งหลายปี แต่แม่งเสือกมองกูในแง่ร้ายตลอดเลย มันคิดว่ากูจะมาหลอกแดกมึงเหมือนที่คนอื่นเขาพูดกัน กูก็เลยพูดประชดมัน แล้วมึงก็เสือกมาได้ยิน" อะตอมพูดให้ฟังดูตลกๆ ช่วงท้าย

"แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะ" ผมใจหายวาบ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับอะตอมเมื่อกี้ ผมทั้งด่าทั้งต่อยมัน ทำมันเจ็บทั้งตัวและใจ แต่มันก็ยังทนได้ ไม่โต้ตอบผมเลยแม้แต่น้อย

"ไม่รู้จะตอบไงเว้ย" อะตอมยิ้มเขินๆ

"อะตอม"

ผมเรียกชื่อแล้วก็โผเข้ากอดอะตอมแน่น น้ำตาที่ว่าหมดไปแล้วถูกผลิตขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจอีกแล้ว

"มึงทำไมไม่บอกกูตั้งแต่วันนั้นวะ แล้วมึงปล่อยให้กูต่อยมึงทำไม" ผมบ่นไปร้องไห้ไป

"กูอยากให้มึงระบายออกมาให้หมด มึงจะได้สบายใจ ไม่มีอะไรติดค้างไง"

ฟังเหตุผลของอะตอมแล้วผมก็ยิ่งกอดมันแน่นขึ้น รู้สึกสะท้อนใจเหลือใจ ใจหนึ่งก็นึกโมโหตัวเองที่โกรธจนไม่ลืมหูลืมตา

"กูรักมึงนะเว้ยอะตอม มึงไม่หลอกกูใช่ไหม มึงไม่เอาหัวใจมึงคืนไปใช่ไหม อย่าเอาคืนไปเลยนะเว้ย กูอยากให้มึงรักกู กูอยากให้มึงอยู่กับกูแบบนี้" ผมละล่ำละลักและสะอื้นฮักๆ

"เออ กูไม่เอาคืนหรอก มึงเก็บไว้ให้ดีๆ ละกัน มึงไม่รู้เหรอ กูรักใครแล้วกูรักจริงนะเว้ย รักหัวปักหัวปำด้วย"

"กูขอโทษนะเว้ยที่ทำร้ายมึง ทำให้มึงเจ็บทั้งตัวทั้งใจเลย กูนี่แม่งแย่จริงๆ เลยว่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้"

"เออ กูไม่โกรธมึงหรอก กูรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นแผลในใจมึง ถ้ามึงไม่ปลดปล่อยมันออกมา มันก็ไม่หายง่ายๆ หรอก"

"นี่มึงช่วยกูเหรอวะอะตอม"

พูดไปผมก็ใจหายวาบ อะตอมยอมให้ผมด่า ยอมให้ผมต่อย เพียงเพราะมันอยากให้ผมปลดปล่อยความคิดด้านลบเก่าๆ ออกมาให้หมด ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก ผมก็นึกไม่ออกว่ามันจะยอมทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

"มึงเป็นแฟนกู แล้วกูก็รักมึง จำไว้นะเว้ยว่ากูรักมึง รักมากด้วย" อะตอมย้ำหนักแน่น

สิ่งที่อะตอมทำมันยิ่งกว่าคำว่ารัก บอกรักกันคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่แสดงให้เห็นว่ารักจริงนั้นต้องใช้ความกล้าหาญและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ นี่คือสิ่งที่อะตอมแสดงให้ผมเห็นแล้ว

"เออ กูจะจำไว้"

อะตอมจับไหล่ผมดันออก เราสองคนยิ้มทั้งน้ำตาให้กัน ครู่หนึ่งปากเจ่อๆ ของมันก็เอ่ยคำพูดที่ทั้งซึ้งและตลก

"ถึงจะเจ็บตัวและเจ็บใจ แต่ก็โคตรคุ้มเลยว่ะ ได้ยินแต่คำว่ารักๆ ๆ ๆ เต็มไปหมดเลย"

ผมอดขำเบาๆ ไม่ได้ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มอะตอมเบาๆ ไม่รู้ว่าผมจะต้องทำอะไรอีกมากแค่ไหนถึงจะไถ่โทษความผิดครั้งนี้ได้ ตอนนี้ขอให้รางวัลง่ายๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งไปก่อนละกัน

"ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะเว้ย เกิดในห้องมีปืนแล้วกูยิงมึงตายจะทำไง กูไม่อยากอยู่คนเดียวนะเว้ย กูอยากให้มึงอยู่กับกูไปนานๆ "

อะตอมพยักหน้า ผมเอื้อมมือไปแตะปากเจ่อๆ ของมันเบาๆ

"เจ็บมากหรือเปล่า สงสัยจะเจ็บแน่เลย กูเข็นวีลแชร์ทุกวัน หมัดกูก็เลยหนัก"

"ไกลหัวใจตั้งเยอะ" อะตอมยิ้มจริงใจ

"ไปเอายามา เดี๋ยวจะทาให้"

ผมออกคำสั่ง แต่ก็เป็นคำสั่งที่มาจากความห่วงใย ไม่ใช่อะไรหรอก อะตอมมันเดินได้ วิ่งไปหยิบแป๊บเดียวก็ได้แล้ว

อะตอมทำตามอย่างว่าง่าย มันวิ่งจู๊ดไปตรงตู้ยาตามที่ผมบอก ผมยิ้มตามไปอย่างเอ็นดูระคนสงสาร จากนี้ไปผมจะไม่ใช้ปมด้อยในอดีตมาทำร้ายตัวเองและคนที่ผมรักอีกแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย

ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องของพิชชาเท่านั้นที่ผมยังไม่ได้เล่า เอาเป็นว่าคืนนี้ก่อนเข้านอนผมจะเล่าให้มันฟัง



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-10-2017 20:53:42
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 23-10-2017 21:01:23
ขอให้ไม่มีม่าม่านะคะ ………แค่นี้ก็น้ำตตากกับกัปตันมากแล้ว

ขอความสุขจงบังเกิด
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 23-10-2017 21:03:05
ดีจังที่เคลียร์กันได้ :hao5:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 23-10-2017 21:03:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 23-10-2017 21:17:40
 เสียน้ำตาแล้ว ได้รอยยิ้มกลับมา  :katai2-1:
  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 24-10-2017 09:06:05
เย็นนี้จะมาต่อนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-10-2017 09:20:11
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [2/3] - 23.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 24-10-2017 22:33:47
อ้าว อยู่ๆ ก็มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาอีก ยังดราม่าไม่พอนะกัปตัน หวังว่าถ้าอะตอมรู้แล้วจะเข้าใจนะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [3/3] - 25.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 25-10-2017 08:51:29
EP27 (3/3)
ร่วมทุกข์ร่วมสุข

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/120817610-member.jpg)


+ CAPTAIN +

"ก่อนไป เขาบอกกูว่าไม่ต้องมาใช้บริการเขาอีกแล้ว เพราะเขาคลื่นไส้ที่มีอะไรกับกู เขาร้องยี้ใส่กูด้วย แล้วก็เรียกกูว่า...ไอ้คนพิการ กูโคตรทุเรศตัวเองเลย โง่ออกไปให้เขาหลอกเอาเงิน แถมยังโดนด่าเหมือนหมูเหมือนหมาอีก"

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ผมก็พบว่าตัวเองไม่รู้สึกเจ็บกับมันอีกแล้ว คงเป็นเพราะผมมีอะตอมอยู่ข้างๆ เรื่องร้ายๆ ก็ผ่อนเบาลง ก่อนจะจบเรื่องนี้ ผมก็ย้ำสิ่งสำคัญทิ้งท้าย

"ตอนนั้นกูนึกไม่ออกว่ากูจะคุยกับมึงยังไง กูทำใจไม่ได้ว่ะ เพราะว่าที่กูได้ยินน่ะมันโคตรแรงเลย กูเสียใจมาก ก็เลยอยากทำอะไรบ้าๆ บอๆ ประชดชีวิต บังเอิญพิชชาทักเฟสกูมาพอดี กูก็เลยคุยด้วย แล้วก็นัดไปเจอกัน แต่ที่กูออกไปหาน้องเขา กูไม่ได้คิดจะไปทำอะไรเขาหรอก แต่มาสติหลุดเอาตอนที่เขาขึ้นรถมากับกูนั่นแหละ"

ผมไม่เล่าตรงนี้ซ้ำเพราะเล่าไปแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือผมไปรับพิชชาที่บ้านเพื่อนของเธอ พอขึ้นรถมาเธอก็เริ่มอยู่ไม่สุข แถมยังแต่งตัวเซ็กซี่ยั่วยวนอีก ผมก็เลยตบะแตก

"กูผิดนะอะตอม ผิดเต็มๆ เลย กูไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก มึงจะว่ากูเลว โง่ หรืออะไรก็ได้ กูพลาดไปแล้วว่ะ กูรู้ว่าไม่ควรทำ กูขอโทษจริงๆ"

"มันใช่เรื่องหรือเปล่า!" อะตอมสวนมาทันควันหลังนั่งนิ่งฟังอยู่นาน เล่นเอาผมตกใจ เห็นมันทำท่าโกรธก็ใจแป้ว

"โตแล้วนะเว้ย ทำไมถึงเชื่อคนง่ายแบบนี้วะ รู้จักเขาดีแล้วเหรอถึงได้ออกไปหาเขาน่ะ เห็นเขาเป็นผู้หญิง มึงคิดเหรอว่าเขาจะไม่มีพิษสงอะไร มึงเคยได้ยินข่าวนางนกต่อไหม เกิดมันเอาคนมาทำร้ายมึง ฆ่าปาดคอชิงทรัพย์มึง หรือฆ่าหั่นศพมึงขึ้นมา มึงจะทำยังไงวะ!"

อะตอมต่อว่าผมอย่างไม่ลดละ ผมไม่เคยเห็นมันต่อว่าผมแบบนี้มาก่อน จึงได้แต่อ้าปากค้าง

"แล้วที่มึงไปมีอะไรกับเขาน่ะ มึงป้องกันหรือเปล่า ถ้าเกิดติดเอดส์ขึ้นมา มึงหมดอนาคตเลยนะเว้ย"

"กูใส่ถุงยางเว้ย ว่าแต่กูเหอะ เมื่อก่อนมึงก็เพลย์บอยไม่ใช่เหรอ ไอ้แบงค์มันบอกกู" ผมย้อนคืนไม่เต็มเสียงนัก

อะตอมชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานมันก็ใส่ผมอีกชุด

"มึงไม่ต้องมาเถียงเลย อะไรที่ไม่ดีมึงจะทำตามทำไมวะ ทีหลังจะทำอะไรแบบนี้ก็ปรึกษาคนอื่นบ้าง ไม่ใช่คิดคนเดียวทำคนเดียว แล้วมึงจะมีกูไว้ทำไม มึงจะมีพี่โดมไว้ทำไม มึงจะมีป๊ากับแม่ไว้ทำไม มึงจะมีเพื่อนๆ ไว้ทำไม รู้ว่าตัวเองยังไม่มีประสบการณ์ก็ต้องปรึกษาคนอื่นดิ"

พูดจบอะตอมก็ลุกขึ้นจากโซฟาด้วยสีหน้าหงุดหงิด มันเดินไปหยิบคีย์การ์ดแล้วก็เดินตรงไปที่ประตู

"เดี๋ยวมานะเว้ย"

เสียงประตูปิดดังปังทำเอาผมสะดุ้งโหยง ไม่คิดเลยว่ามันจะโกรธผมมากขนาดนี้ ดูเหมือนจะมีหลายกระทงซะด้วย ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องไหนกันแน่ที่ทำให้มันโกรธหรืองอนได้ขนาดนี้

ผมย้ายตัวขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์ นึกไม่ออกเลยว่าจะทำอะไร คงไม่ไปตามอะตอมหรอก มันคงอยากไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก อย่าไปกวนมันเลยดีกว่า เอาเป็นว่าผมจะนั่งรอมันอยู่ตรงนี้จนกว่ามันจะกลับมาละกัน

คิดได้แล้วผมก็เข็นรถมานั่งรออะตอมที่ประตู ระหว่างรอก็คอยคิดหาคำพูดหรือวิธีที่จะทำให้มันหายโกรธไปด้วย แค่ขอโทษจะพอหรือเปล่า เมื่อกี้ขอโทษแล้วแต่กลับโดนมันด่าเฉยเลย หรือจะบอกรักมันอีก แต่เมื่อกี้ก็บอกไปหลายรอบแล้ว ให้ฟังอีกก็คงเอียนกันพอดี


ทำไงดีเนี่ย นึกไม่ออกเลย


บทจะโกรธมันก็มาเป็นพายุบุแคม ด่าเอาๆ จนผมแทบจะเถียงไม่ทัน ก็คนทำผิดไปแล้วจะให้ทำไง ผิดก็ยอมรับผิดแล้ว ขอโทษก็ขอโทษแล้ว ที่จริงจะไม่บอกก็ยังได้ แต่เห็นว่าเป็นแฟนหรอกนะ ก็เลยไม่อยากมีความลับด้วย


แต่เอาเถอะ ในเมื่อผมผิดก็ต้องได้รับโทษ ให้มันโกรธผมคืนบ้างก็ดีเหมือนกัน


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าอะตอมจะกลับมา ผมนึกอยากจะโทรหาหรือไลน์ไปถามดูบ้าง แต่หยิบมือถือมาแล้วก็ไม่กล้าทำอย่างที่คิด ก็เลยต้องรอต่อไป

พลันผมก็เกิดไอเดียบางอย่าง ข้อเสียของการนั่งวีลแชร์คือผมจะกอดมันไม่ได้ ยกเว้นอะตอมจะช่วยพยุงผมลุกขึ้นยืน แต่มันโกรธผมขนาดนี้คงไม่ทำอยู่แล้ว ถ้าอยากกอดมัน ผมก็ต้องหาวิธียืนขึ้นและกอดมันด้วยตัวผมเอง

คิดแล้วผมก็เข็นรถมาที่ตู้เก็บเสื้อผ้า ผมเก็บไม้ค้ำยันไว้ในนี้ แต่ไม่ใช่อยู่ๆ ผมจะหยิบมาใช้แล้วเดินได้เลย ผมต้องใส่เบรสที่ขาหรือรองเท้าแบบมีเหล็กพยุงทั้งสองข้าง จะใส่ทีก็ยุ่งยากหน่อย ใช้เวลาพอสมควร แถมเดินไปนานๆ ก็จะรู้สึกเจ็บ หลังๆ ผมก็เลยเลิกใช้

เมื่อใส่เบรสเสร็จแล้วผมก็เอาไม้ค้ำยันมาช่วยพยุงตัวลุกขึ้นยืน ถึงไม่ได้ใช้นานแล้วแต่ก็ยังพอเดินได้อยู่ จากนั้นผมก็เดินกลับมายืนรออะตอมตรงประตูเหมือนเดิม

ผ่านไปสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงคนเดินมาที่ประตู คนที่ผมรอมาเกือบชั่วโมงน่าจะกลับมาแล้ว อาการง่วงที่เริ่มเล่นงานผมหายเป็นปลิดทิ้งทันที เมื่อประตูเปิดออก ร่างสูงของคนคุ้นเคยก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าผม หน้าตามันดูเรียบเฉยมาก แต่ผมไม่สนใจแล้ว ผมปล่อยไม้ค้ำยันร่วงลงพื้นพร้อมกับโผเข้ากอดอะตอมทันที


ในที่สุดผมก็ได้อกอุ่นๆ นี้กลับคืนมาแล้ว


ผมไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ถ้าอะตอมรักผมจริง เห็นแค่นี้มันก็คงจะเข้าใจทุกอย่าง พอมันกอดผมตอบผมก็โล่งใจ แสดงว่ามันเข้าใจและหายโกรธผมแล้ว

ผมยิ้มมีความสุขและหลับตาพริ้ม นึกถึงตอนที่มันพาผมลงไปในทะเลลึกที่เกาะเสม็ด แม้จะน่ากลัว แต่พอมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยผมก็รู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ความรู้สึกพิเศษแบบนี้ผมไม่เคยได้รับจากใครเลย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะรักษาไว้ยิ่งชีวิต

"ดึกแล้ว นอนเหอะ" อะตอมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ผมผละตัวออก แต่ยังจับไหล่อะตอมไว้อยู่เพื่อพยุงตัว เราสองคนมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม พอผมเห็นมันยิ้มแล้วผมก็อดดีใจอีกไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกอดมันอีกรอบ

"มึงรู้ไหม เรื่องเดียวที่กูไม่ค่อยชอบเวลานั่งวีลแชร์ก็คือ...ไปไหนกูก็จับมือมึงไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเคียงข้างมึงหรือกอดมึงไม่ได้ แต่กูก็รักมึงนะเว้ย อะไรที่กูทำได้กูก็จะทำให้ ต่อไปนี้...กูสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว เรากลับมารักกันเหมือนเดิมนะอะตอม ที่ผ่านมาทั้งหมด...กูขอโทษ"

อะตอมเอามือลูบหลังผมเบาๆ เมื่อรู้ว่าผมร้องไห้ ขณะเดียวกันก็เอาขาข้างหนึ่งยันปิดประตูห้องที่ยังเปิดอยู่เบาๆ ไปด้วย เสร็จแล้วก็ช้อนตัวผมขึ้นมาอุ้มเหมือนเจ้าสาว

"ที่รักของผม หยุดร้องไห้ได้แล้วนะครับ"

ใบหน้าหล่อคมยิ้มหวาน น่ารักเสียจนผมอดที่จะหอมแก้มให้รางวัลไม่ได้ อะตอมยิ้มพอใจเมื่อได้รางวัลจากผม หนุ่มร่างสูงหุ่นนายแบบอุ้มผมพาเดินเข้าไปในห้องนอน เมื่อมาถึงก็วางผมลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ค่าที่ผมกลัวมันหนีไปอีก ก็เลยฉุดมันลงมานอนด้วย สองมือของผมโอบรอบเอวของร่างหนักๆ ที่ทับตัวผมไว้หลวมๆ

"นอนเป็นเพื่อนกูนะคืนนี้" ผมส่งสายตาเว้าวอน

"เออ แต่กูบอกไว้ก่อนนะเว้ย ปากกูเจ่อ โดนใครไม่รู้ต่อยตั้งสองครั้ง กูคงจูบมึงไม่ได้ อย่างอื่นก็ไม่น่าจะทำได้ด้วย" อะตอมพูดหยอกตลกๆ

"เออ ไม่เป็นหรอก อย่าหนีกูไปก็พอแล้ว" ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ "หายโกรธกูแล้วนะเว้ย"

อะตอมใช้มือปัดเกลี่ยผมที่หน้าผากให้เบาๆ จากนั้นปากเจ่อๆ ของมันก็พูด

"ใครจะโกรธมึงลงวะ คนอื่นเขาทำมึงเจ็บแล้ว กูจะทำมึงเจ็บอีกได้ยังไง เราสองคนต้องดูแลกันนะเว้ย มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมสุข เมื่อกี้ที่กูหายไปน่ะ กูโทรไปปรึกษากับพี่ฝางกับพี่เอิร์ธ เดี๋ยวพวกกูสามคนจะช่วยแก้แค้นยัยพิชชาให้มึงเอง กูไม่ยอมให้เขาทำแบบนี้กับมึงแล้วหนีไปเฉยๆ หรอก แต่มึงไม่ต้องทำอะไรนะเว้ย คอยฟังข่าวก็พอ"


นั่นไง! อะตอมช่วยผมอีกแล้ว ผมซะอีกที่ทำตัวงี่เง่าไร้สาระกับมัน อดรู้สึกผิดอีกไม่ได้เลย


"กูถามมึงตรงๆ นะอะตอม แล้วกูจะไม่ถามมึงอีก กูอยากรู้ว่ามึงรักกูตรงไหน กูเป็นผู้ชาย แถมขากูก็ไม่ดี มีอะไรให้มึงรักกูขนาดนี้วะ"

อะตอมพลิกตัวลงนอนข้างๆ ผมบนหมอนใบเดียวกัน เหยียดแข้งขาสบายๆ ส่วนผมก็ตั้งตารอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

"กูว่าคนที่สร้างกูขึ้นมา เขาไม่ต้องการให้กูรู้หรอกว่ากูรักมึงทำไม ความรักเป็นของขวัญจากคนบนฟ้า จะรู้ว่าเป็นแบบไหนก็ตอนแกะออกมาดูแล้ว ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกว่าเราจะไปเจอใคร...หรือรักใคร คนที่รักจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหนหรือเพศไหน แต่รักก็คือรักนะเว้ย แล้วมันก็เป็นของมีค่าด้วย ใช่...กูรู้ว่ามึงเป็นผู้ชาย กูรู้ว่าขามึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าความรู้สึกมันใช่ ถ้าเติมเต็มให้กันได้ ช่วยเหลือกันได้ รับกับให้สมดุลกัน คุยกันรู้เรื่อง ความรักมันก็ไปต่อได้" อะตอมเว้นจังหวะ ก่อนหันหน้ามามองผมด้วยแววตาซึ้งๆ

"กูบอกตรงๆ เลยนะเว้ย ตั้งแต่รักกับมึงมา ชีวิตกูโคตรมีความสุขเลย ตอนที่กูรักอั้ม มันเหมือนว่ากูรักเขามาก แต่ได้คืนมาน้อย กูเลยรู้สึกเหมือนคนกินข้าวไม่เคยอิ่ม แต่พอมารู้จักกับมึง กูรู้สึกอิ่ม ไม่โหยหา เพราะกูรักมึงเท่าไหร่ มึงก็ให้กูคืนมาเท่านั้น อีกอย่าง...มึงก็สเปคกูเลยนะเว้ย กูชอบคนผิวขาว ปากแดง หน้าตาน่ารัก กูตกหลุมรักมึงเพราะหลงเสน่ห์มึงนี่แหละ อย่าดูถูกตัวเองดิ คนทุกคนคนมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองทั้งนั้นแหละ มึงก็มีเหมือนกัน"

ผมอยากจะร้องไห้อีกแล้ว ยิ่งรู้จักอะตอมมากขึ้นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรัก ขอบคุณจริงๆ ที่อั้มปล่อยมือผู้ชายคนนี้มาให้ผม ทำให้คนอย่างผมได้มีโอกาสสัมผัสรักที่แสนอุ่นกับเขาบ้าง คราวนี้จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปไหน จะดูแลและทะนุถนอมหัวใจของผู้ชายที่แสนน่ารักคนนี้เท่าชีวิต

"จะว่าไป...มึงนี่ยิ่งมองก็ยิ่งหล่อนะเว้ย" ผมเอื้อมมือไปลูบไล้แก้มของอะตอมเบาๆ เพ่งพิศดูหน้าหล่อคมและเผลอยิ้ม

"อย่ามายั่วกูนะเว้ย ถึงกูจะปากเจ่อ แต่ถ้าจะทำกูก็ทำได้เว้ย"

"เชี่ย กูไม่ได้ยั่วเว้ย กูซึ้งต่างหาก" ผมว่า ก่อนขำเบาๆ ด้วยกันทั้งคู่

อะตอมพลิกตัวขึ้นมาทับตัวผมไว้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะทำอะไรของมัน ใจผมเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำเลย แต่ถึงจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พร้อมจะสู้

"เรื่องวันนี้ กูยกเว้นให้หนึ่งครั้ง ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยมึงก็มีประสบการณ์กับผู้หญิงแล้ว แต่กูบอกไว้ก่อนนะเว้ย กูให้มึงได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เพราะตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป..." อะตอมกระหยิ่มยิ้ม สายตาดูเจ้าเล่ห์

"กูจะไม่ยอมให้มึงมีประสบการณ์แบบนี้กับผู้หญิงที่ไหนอีก เก็บปากแดงๆ เก็บนมชมพู เก็บผิวขาวๆ เนียนๆ ของมึงไว้ให้กูคนเดียว ส่วนกู...กูก็จะไม่มีอีกเหมือนกัน ตกลงตามนี้ไหม"

ผมไม่ตอบคำถามนั้น แต่เอามือซ้ายลูบไล้หน้าอกตัวเองเบาๆ ส่วนมือขวาก็ลูบไล้เบาๆ บนริมฝีปากของตัวเอง

"ไม่รู้ดิ เมื่อกี้กูตกใจน่ะ ก็เลยนึกอะไรไม่ออก แต่ถ้ามีคนช่วยปลอบใจกูสักหน่อย กูอาจจะนึกออกก็ได้ว่าจะตอบยังไง"



TBC



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [3/3] - 25.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-10-2017 08:58:58
คราวหน้าก็อย่าประชดจนมีปัญหาตามมาล่ะคุยกันดีๆก่อน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [3/3] - 25.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2017 11:15:05
ดีใจที่เข้าใจกันได้ด้วยดี
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [3/3] - 25.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 25-10-2017 13:21:21
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [3/3] - 25.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-10-2017 13:30:05
  :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP27 ร่วมทุกข์ร่วมสุข [3/3] - 25.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 25-10-2017 18:25:49
ดีจังที่อะตอมเข้าใจ ไม่ซ้ำเติมความผิดพลาด :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [1/3] - 26.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 26-10-2017 21:38:41
EP28 (1/3)
คุณแม่ขอร้อง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1596200635-member.jpg)

"ถอดเสื้อออกดิวะ เดี๋ยวจะทาให้"

"ให้กูถอดตรงนี้เนี่ยนะ"

"เออ จะอายทำไมวะ เร็ว เดี๋ยวเขาจะมากันแล้ว"

หนุ่มปากชมพูอิดออด แต่สุดท้ายก็ยอมถอดเสื้อออก ผมจึงเอาเจลทาแก้ปวดกล้ามเนื้อนวดตามแขน อกและหลังให้ สาเหตุที่ปวดกล้ามเนื้อก็ไม่ใช่อะไร ผมพาเขาออกกำลังกายฟิตหุ่นเตรียมถ่ายแบบ แต่เจ้าตัวดันเล่นหนักไปหน่อย ตื่นเช้ามาเลยปวดกล้ามเนื้อ ปวดจนแทบเข็นรถเองไม่ไหว ผมก็เลยต้องช่วยเข็นให้ เมื่อเช้าก็ทาไปสองรอบแล้ว แต่บ่ายก็ปวดอีก

ช่วงหลังๆ พี่แอร์เห็นรูปคู่ผมกับกัปตันในเฟสบุ๊คส่วนตัวของผมบ่อยๆ อยู่ๆ แกก็เกิดสนใจอยากให้ผมกับกัปตันถ่ายแบบด้วยกัน แกบอกจะช่วยหาหนังสือที่สนใจให้ อยากให้ออกแนวคู่จิ้น สดใส อบอุ่นและเซ็กซี่เล็กน้อย สื่อสารความรักความห่วงใยระหว่างคนสองคนที่แตกต่างกัน แกยินดียกรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้โครงการของผมเลย พอผมเอาเรื่องนี้มาคุยกับกัปตัน เจ้าตัวก็สนใจ ก็เลยขอให้ผมช่วยฟิตหุ่นให้ แต่เมื่อเย็นวานมันบ้าพลังไปหน่อย

"กูบอกมึงแล้วว่าอย่าหักโหม ตอนเล่นใหม่ๆ มันต้องเล่นเบาๆ ก่อนเว้ย เป็นไงล่ะ" ผมทาไปว่าไป

"ก็มันสนุกนี่หว่า"

"สนุกได้วันเดียว ง่อยแดกเลยไหมล่ะมึง" ผมหัวเราะตลก

กัปตันเอามือขึ้นจุ๊ปาก แต่ก็ยกได้ไม่สูงนักเพราะยังปวดอยู่ "เฮ้ย อย่าใช้คำว่าง่อยดิ ไม่ดีเว้ย"

นั่นสิ มันเป็นคำพูดที่ไม่ดีเลย สงสัยจะติดมาจากเพื่อนๆ อะไรไม่ดีก็มักจะบอกว่า "ง่อย" กลายเป็นคำด่าติดปากไปแล้ว

"ขอโทษๆ ต่อไปกูจะไม่ใช้คำนี้แล้ว"

"ถ้าพูดอีกกูจะเก็บเงินค่าห้องเพิ่มคำละพันดีไหม" กัปตันพูดหยอก

"ถ้ากูไม่พูดล่ะ มึงลดให้กูวันละพันไหม" ผมย้อนคืนบ้าง จากนั้นก็วกกลับมาเรื่องออกกำลังกายอีก "เดี๋ยวมึงต้องพักสักสองสามวันก่อน หายปวดแล้วค่อยเล่นใหม่ แต่ไม่ต้องเล่นเยอะนะเว้ย เอาแค่ลดพุง แล้วก็พอมีกล้าม อย่าเล่นจนล่ำบึ้กล่ะ"

"ทำไม"

"คนขาวๆ หุ่นล่ำไม่น่าดูหรอก ตัวเล็กๆ น่ารักๆ แบบนี้ดีแล้ว มีกล้ามอีกหน่อยก็แจ๋วเลย" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มและทำตาหวานใส่

"กูไม่ได้คิดจะเล่นให้ล่ำซะหน่อย"

"เออ ดีแล้ว ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย แฟนใครวะเนี่ย" ผมอดเอ็นดูไม่ได้จนต้องเอามือขยี้ผมกัปตันเบาๆ

"เชี่ย หัวกูเหนียวพอดี" กัปตันโวยวายเพราะมือผมยังมีเจลติดอยู่ ผมรีบเอามือออกแทบไม่ทัน

"ทำอะไรกันน่ะ! "

เสียงกลุ่มคนดังขึ้นตรงประตูห้อง ผมกับกัปตันหันไปมองพร้อมกัน พอเห็นเพื่อนๆ มากัปตันก็หน้าเหวอๆ ตั้งแต่เป็นแฟนกับผม มันก็ถูกเพื่อนๆ แหย่ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็แซวสนุกๆ ซะมากกว่า

"ว้าว ขาวโอโม่มาก นมชมพูด้วย"

น้ำหวานแซวเป็นคนแรก มันรีบวิ่งเข้ามาตรงที่ผมกับกัปตันนั่งอยู่ คงอยากเห็นกับตาให้ชัดๆ เพราะไม่เคยเห็นกัปตันถอดเสื้อโชว์ผิวขาวจั๊วะข้างใน ถึงกับก้มลงมาดูนมชมพูใกล้ๆ ทีเดียว

"ขอจับได้ไหมเนี่ย"

"เฮ้ย ไม่เอา" กัปตันรีบผลักหัวเพื่อนออก พลางก็ครางเจ็บไปด้วย

"เขาเอาไว้ให้คนนั่งข้างๆ จับคนเดียวเว้ย ไปจับของแฟนเขา เดี๋ยวมึงก็โดนหรอก เขายิ่งหวงๆ อยู่" กวินพูดแทรกขึ้นมาขณะเดินเข้ามาสมทบ

"เอาเสื้อกูมาเร็ว" กัปตันหันมาบอกผม ผมรีบหยิบเสื้อที่วางบนโต๊ะใกล้มือมาให้

"นั่งเฉยๆ เดี๋ยวกูใส่ให้"

กัปตันทำตามอย่างว่าง่าย เพราะมันปวดกล้ามเนื้อมากจนใช้แขนมากไม่ได้ เวลายกแขนขึ้นจะปวดมาก ผมใส่แขนเสื้อให้ก่อน จากนั้นก็ติดกระดุมให้ แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาก็คือตอนเอาชายเสื้อเข้าในกางเกงนี่แหละ กัปตันเขินจนหน้าแดงเพราะเพื่อนแซว อินถึงกับเอามือถือมาถ่ายคลิป

"โห อิจฉาว่ะ ตากูจะละลายแล้ว" ดูเหมือนน้ำหวานจะเขินคนถูกล้วงด้วยซ้ำ จึงโดนกวินแขวะเข้าให้

"งั้นมึงก็รีบหาแบบนี้ดิวะ ไหนวันนั้นเห็นมึงบอกมีหนุ่มมาเหล่ไง ไปไหนแล้วล่ะ"

"มันไปแล้ว ตอนแรกมันเห็นกูสวย มันก็นึกว่ากูจะหวาน พอเห็นกูแมนเกิน มันไปเลย เชี่ย" น้ำหวานสบถขำๆ เพื่อนๆ พากันหัวเราะชอบใจ

หลังแซวกันเล่นจนพอใจ อินก็เดินมาถามเรื่องที่ผมว่าจะเล่าเมื่อเช้า แต่ก็ยังหาจังหวะเหมาะๆ เล่าไม่ได้

"เฮ้ย เมื่อคืนมึงแก้แค้นยัยพิชชายังไงมั่ง"

ผมยิ้มภูมิใจ ก่อนหยิบมือถือเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันคือไอโฟนรุ่นล่าสุดที่โคตรแพง

"ดูนี่ เดี๋ยวกูจะเอาไปขายเอาเงินเข้าโครงการเว้ย" ผมบอกเพื่อน กัปตันเป็นคนอนุญาตแล้วว่าให้เอาไปขายเอาเงินมาสมทบโครงการ

"แล้วมึงทำไงวะ" แบงค์อยากรู้พลางเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ

หลังๆ มานี้มันไม่ค่อยกล้าคุยกับผมเท่าไหร่ เรื่องที่กัปตันโดนผู้หญิงหลอกเอาเงินไปซื้อโทรศัพท์ก็เกี่ยวข้องกับมันด้วยส่วนหนึ่ง แต่ผมไม่ได้โกรธมันมากหรอก ตอนนี้ก็หายโกรธแล้ว

จากนั้นผมก็เล่าเรื่องให้เพื่อนๆ ฟัง เริ่มจากพี่ฝางสร้างแอคเคาท์เฟสบุ๊คปลอมขึ้นมาก่อน ขั้นต่อไปจึงแอ๊ดพิชชาเป็นเพื่อน พี่ฝางถึงกับลงทุนไปใช้บริการคอมที่ร้านเกม คุยเล่นกันไม่นานก็นัดมาเจอกันที่ผับ ผับเลิกพี่ฝางก็พาเข้าม่านรูด ผมกับพี่เอิร์ธตามไปสมทบที่นั่นด้วย พิชชาตกใจมากเพราะนึกว่าพวกเราจะชวนเธอสวิงกิ้ง ผมกับพี่เอิร์ธจึงเฉลยว่าที่จริงแล้วพวกเราสามคนเป็นแก๊งติดเชื้อเอดส์ ตระเวนมีอะไรกับผู้หญิงเพื่อแพร่เชื้อโดยเฉพาะ

พิชชาหน้าซีดตัวสั่น ถึงกับยกมือไหว้พวกเราปลกๆ และขอร้องไม่ให้ทำอะไร ตอนแรกพวกเราแกล้งต่อรองขอเงินสามหมื่น พิชชาบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่ห้าร้อย พวกเราจึงรุกคืบขอของมีค่าที่เธอพอจะมี สุดท้ายเธอก็ยอมให้มือถือเครื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ผมจัดการลบข้อมูลและรีเซตเครื่องทันที จากนั้นพวกเราก็กลับ ส่วนพี่ฝางก็จัดการลบแอคเคาท์ปลอมทิ้งเพื่อไม่ให้มีหลักฐานสาวถึงตัวได้

"สุดยอดว่ะมึง สมน้ำหน้าแม่ง กูอยากเห็นหน้ามันตอนรู้ว่าจะโดนคนติดเอดส์ข่มขืนจริงๆ " อินพูดอย่างสะใจ ดูท่าทางจะอินไม่น้อย

แม้จะยังมันในอารมณ์กันอยู่ แต่พวกเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ เพราะตอนนี้สมาชิกชมรมเริ่มทยอยมากันแล้ว วันนี้ผมนัดสมาชิกมาคุยงานที่ห้องของชมรมยูดี อ. วิว เป็นคนช่วยฟาดฟันหาห้องมาให้หยกๆ นอกจากนี้ผมก็จะอัปเดตรายได้เข้าโครงการล่าสุดด้วย ตอนนี้ได้เงินมาประมาณห้าหมื่นเศษๆ ซึ่งถือว่ายังไกลจากเป้าหมายมากทีเดียว แต่พวกเราก็เชื่อว่าแผนกิจกรรมที่จะทำหลังจากนี้จะช่วยให้หาเงินได้เพิ่มขึ้น

วันนี้ อ. วิว จะพานักศึกษารุ่นพี่ที่ได้เรียนวิชาเลือกยูดีมาช่วยงานด้วย หลังจากประชุมวันนี้แล้ว เราก็จะทยอยทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่วางแผนไว้ มีตั้งแต่การแสดงดนตรีตามที่สาธารณะ การขอทุนสนับสนุนจากบริษัทห้างร้าน การถ่ายแบบเพื่อการกุศล รวมทั้งอีเวนต์ "I Support UD หนึ่งไลค์ หนึ่งบาท สร้างโอกาสให้ทุกคน" ที่น่าจะเป็นไฮไลท์ พวกเราคาดหวังว่าจะได้เงินบริจาคจากกิจกรรมนี้มากทีเดียว

อ. วิว เสนอว่าชมรมยูดีควรเริ่มจากปรับปรุงมหาลัยของเราก่อน ต่อไปค่อยขยายเครือข่ายไปยังมหาลัยอื่น รวมทั้งพื้นที่สาธารณะ เช่น ฟุตบาททางเท้า รถไฟฟ้า รถเมล์ สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ทางศาสนาและพื้นที่อื่นๆ ที่เปิดเป็นสาธารณะ ถ้าพวกเราสนใจและทำจริงจังต่อเนื่อง ต่อไปจะสามารถทำเป็นอาชีพให้คำปรึกษาหรือให้บริการโซลูชั่นในด้านนี้ได้ เพราะหลายๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้จัก หรือแม้ว่าจะรู้จักแต่ก็ยังทำไม่ได้ตามมาตรฐาน ในขณะที่คนจะให้คำปรึกษาด้านนี้แทบไม่มีเลย

พวกเราเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ข้อดีอย่างแรกคือมหาลัยจะไม่เพ่งเล็งพวกเรา เพราะการทำแบบนี้เท่ากับประจานว่ามหาลัยไม่ให้ความสำคัญ จนนักศึกษาทนไม่ไหวต้องออกมาหาเงินทำเอง ข้อดีอย่างที่สองคือจะช่วยให้ระดมทุนง่ายขึ้น เพราะคนจะรู้สึกว่าไม่ได้ทำเพื่อช่วยที่เดียว แต่เผื่อแผ่ไปถึงที่อื่นๆ ด้วย

ส่วนเรื่องคดีของผมนั้น โชคดีที่คณะผู้บริหารของมหาลัยต้องไปดูงานต่างประเทศหลายคน กว่าจะกลับมาก็อีกสองสัปดาห์ เรื่องของผมจึงยังไม่มีข้อยุติว่าจะลงโทษยังไง ก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ผมจะได้ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดมาที่โครงการของชมรมยูดี นอกจากโครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับส่วนรวมแล้ว

ผมยังมีเดิมพันที่สำคัญรออยู่ข้างหน้าด้วย



TBC


ช่วงต่อไป

​​​​"หลังๆ มานี้ แม่เห็นกัปตันกับอะตอมถ่ายรูปคู่กันลงเฟสบ่อยๆ แต่แม่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนเพื่อนถ่ายรูปด้วยกันเลย ไม่รู้ว่าแม่คิดไปเองหรือเปล่านะ ไหนจะหนังสือที่ไปถ่ายแบบด้วยกันนั่นอีก ตกลง...เป็นอะไรกันหรือเปล่า"

แม้น้าเล็กจะไม่ได้พูดยาวมาก เกริ่นเรื่องเพียงสั้นๆ แต่ทุกอย่างก็ชัดเจน คนถูกถามรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร แต่ในความเรียบง่ายของคำพูด พวกเราทั้งสามคนก็เห็นสัญญาณของความยุ่งยาก

"ชอบกันเหรอ"

เมื่อไม่มีใครกล้าพูดอะไร ได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมา น้าเล็กก็ถามออกมาตรงๆ ด้วยตัวเอง ยิ่งทำให้พวกเราตกใจและประหม่ามากขึ้น ประเมินดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว คนถามคงไม่ได้ถามอย่างคนไม่รู้ แต่น่าจะจับสังเกตมาเป็นอย่างดีจนมั่นใจในระดับหนึ่ง

"ครับ" ผมยอมเป็นหน่วยกล้าตายคนแรก ในเมื่อลูกเขามีพ่อมีแม่ ผมจะคบเล่นสนุกไปวันๆ คงไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องบอกให้พ่อแม่เขารู้ ถ้าอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [1/3] - 26.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-10-2017 23:38:16
อะตอมเยี่ยมมาก กล้าหาญ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [1/3] - 26.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-10-2017 23:45:34
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [1/3] - 26.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-10-2017 08:45:54
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [1/3] - 26.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-10-2017 10:02:42
อะตอมยอดมากเลย เพื่อนๆ ในชมรมก็ดีค่ะช่วยกันไม่มีเกี่ยงเลยดีจัง
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 27-10-2017 21:13:46
EP28 (2/3)
คุณแม่ขอร้อง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/422907137-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1596200635-member.jpg)

ในที่สุดโฟโต้บุ๊คของผมกับกัปตันก็ออกวางจำหน่ายออนไลน์ ราคาเล่มละเกือบสองร้อยบาท ถ่ายโดยช่างภาพมือดีอันดับต้นๆ ของไทย หัวข้อแฟชั่นชุดนี้คือ "เข็นรักขึ้นภูเขา" ตอนคิดคอนเซปต์ ผมบอกทีมงานไปว่ากัปตันอยากไปเที่ยวภูเขา ส่วนผมชอบทะเล ก็เลยเลือกไปถ่ายที่พังงาเพราะมีทั้งภูเขาและทะเล

ภาพหน้าปกเรียกเสียงฮือฮาได้มากทีเดียว ภาพนั้นถ่ายในโรงแรม กัปตันอยู่ฉากหน้า เปลือยท่อนบน ทีมงานเห็นผิวกัปตันขาวเกินไปก็เลยหาสติ๊กเกอร์รอยสักมาติดให้บนอก และอีกชิ้นเป็นรูปหัวใจที่แก้ม ส่วนผมนั่งเก้าอี้อยู่ตรงประตู ใส่กางเกงในสีขาวยี่ห้อหนึ่งที่เราต้องโฆษณาให้ ตอนแรกก็แค่ให้ผมนั่งเฉยๆ และทำท่าหยิบแก้วน้ำมาดื่ม แต่ตอนหลังให้ผม "ปั่นแข็ง" ด้วย เพื่อให้คนดูเห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน ตอนแรกเราสองคนก็เกรงว่าภาพจะแรง แต่ช่างภาพขอให้ลองดูก่อน ถ้าไม่ดีค่อยตัดทิ้ง เราก็เลยยอม สุดท้ายก็ได้ภาพที่ออกมาค่อนข้างสวย

นอกจากนั้นก็มีหลายภาพที่ผมชอบ เช่น ภาพกัปตันขี่หลังผมบนริมชายหาด ภาพผมกับกัปตันจ้องตากันในทะเล ภาพผมเข็นรถวีลแชร์ขึ้นเนินเขา ภาพผมอุ้มกัปตันขึ้นไปบนเนินหิน ภาพเรานั่งคุยกันบนโขดหินริมทะเล ภาพกัปตันอาบน้ำในอ่างอาบน้ำซึ่งเต็มไปด้วยฟองสบู่สีขาวฟูฟ่อง

แนวภาพถ่ายจะออกเซ็กซี่เล็กน้อย ส่วนมากเราสองคนต้องถอดเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้น ใส่กางเกงในก็มีบ้าง เพราะต้องโฆษณาให้เขาด้วย ก็เลยมีภาพชุดที่ผมกับกัปตันใส่กางเกงในยี่ห้อนั้นหยอกกันบนเตียงนอนสีขาว แต่ก็ดูน่ารักสดใสมากกว่าจะสื่อไปในทางนั้น

กัปตันดูไม่ค่อยมั่นใจในหุ่นของตัวเองอยู่บ้าง แต่พี่ตากล้องก็อธิบายว่าไม่ได้ถ่ายภาพเน้นขา เพราะสิ่งที่เน้นคือการแสดงออกถึงความรัก แต่ถ้ายังไม่มั่นใจก็จะใช้มุมกล้องช่วยได้ กัปตันก็เลยดูสบายใจขึ้น

สิ่งที่พิเศษสุดของภาพถ่ายทั้งหมดก็คือแววตาของเรา คนจะรักกันจริงหรือไม่นั้นดูแววตาก็รู้แล้ว ภาพถ่ายของเราจึงออกมาเป็นธรรมชาติ แค่ดูสีหน้าและแววตาก็จะรู้ทันทีว่าเรารักกัน เพื่อนๆ ของพวกเราชอบกันใหญ่เลย ต่างช่วยกันโหลดช่วยกันแชร์ ไม่กี่วันก็มีคนโหลดไปเกือบพันครั้ง ยอดขายเกือบถึงสองแสน หักต้นทุนไปแล้วก็น่าจะเหลือเข้าโครงการเป็นแสน ส่วนยอดขายที่ตามมาหลังจากนี้จะเป็นของโครงการทั้งหมด

เพราะภาพถ่ายชุดนี้นี่แหละ แม่ของกัปตันจึงเรียกเราสองคนเข้าไปคุยด้วยที่บ้าน ที่จริงกัปตันบอกแม่แล้วว่าจะถ่ายแฟชั่นหาเงินเข้าโครงการ แต่น้าเล็กอาจจะนึกไม่ถึงว่าภาพจะออกมาในแนวนี้

เมื่อมาถึงผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็รออยู่แล้ว พอเราสองคนนั่งประจำที่และทักทายกันพอหอมปากหอมคอ แม่ของกัปตันก็เริ่มเรื่อง

"หลังๆ มานี้ แม่เห็นกัปตันกับอะตอมถ่ายรูปคู่กันลงเฟสบ่อยๆ แต่แม่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนเพื่อนถ่ายรูปด้วยกันเลย ไม่รู้ว่าแม่คิดไปเองหรือเปล่านะ ไหนจะหนังสือที่ไปถ่ายแบบด้วยกันนั่นอีก ตกลง...เป็นอะไรกันหรือเปล่า"

แม้น้าเล็กจะไม่ได้พูดยาวมาก เกริ่นเรื่องเพียงสั้นๆ แต่ทุกอย่างก็ชัดเจน คนถูกถามรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร แต่ในความเรียบง่ายของคำพูด เราสองคนก็เห็นสัญญาณของความยุ่งยาก

"ชอบกันเหรอ"

เมื่อไม่มีใครกล้าพูดอะไร ได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมา น้าเล็กก็ถามออกมาตรงๆ ด้วยตัวเอง ยิ่งทำให้พวกเราตกใจและประหม่า ประเมินดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว คนถามคงไม่ได้ถามอย่างคนไม่รู้ แต่น่าจะจับสังเกตมาเป็นอย่างดีจนมั่นใจในระดับหนึ่ง

"ครับ" ผมยอมเป็นหน่วยกล้าตายคนแรก ในเมื่อลูกเขามีพ่อมีแม่ ผมจะคบเล่นสนุกไปวันๆ คงไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องบอกให้พ่อแม่เขารู้ ถ้าอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น

แววตาตกใจฉายวาบขึ้นในดวงตาของน้าเล็ก ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของกัปตันคิดอะไร แต่คนที่นั่งอยู่ก็ร้อนๆ หนาวๆ กับท่าทางนั้นไปตามๆ กัน สีหน้าของน้าเล็กเครียดขึ้น เหมือนกับว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าปลงหรืออะไรกันแน่ ที่เห็นได้ชัดคือตอนนี้แววตาของน้าเล็กดูหม่นเศร้าลงมาก

"พอกัปตันโตเป็นหนุ่ม น้าก็คิดถึงเรื่องที่เขาจะมีแฟนเหมือนกันนะ เมื่อสองสามปีที่แล้วเขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง น้าก็ยังคิดอยู่ว่ามันจะเป็นยังไง แต่ไม่นาน วันหนึ่งกัปตันเขาก็มาบอกแม่ว่าเขาอกหัก เขาเสียใจมาก คนเป็นแม่อย่างน้าก็เจ็บไปด้วย เพราะน้าทำให้เขาเป็นแบบนี้เอง ถ้ากัปตันไม่พิการเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆ คงไม่มีใครทำกับเขาแบบนี้หรอก หลังจากนั้น…น้าก็จะคอยระวัง คอยถามเขาเรื่อยๆ ว่าชอบสาวที่ไหนอีกไหม เขาคงเข็ดมั้ง ก็เลยไม่กล้าจีบใครอีก น้าก็เลยเลิกจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องนี้ไป"

นี่คงเป็นการเกริ่นของน้าเล็ก แต่จะนำไปสู่อะไรนั้นก็ยากที่จะเดาได้

"น้าก็ไม่ได้คิดว่าจะให้กัปตันอยู่เป็นโสดหรอกนะ เพราะเขาต้องมีคนดูแล ที่จริงน้าก็รู้นะว่ามันเป็นปมด้อยในใจของกัปตันไปแล้ว ลึกๆ น้าก็สงสารลูกนะ เพราะน้าก็อยากให้เขามีชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่น้าก็ไม่กล้าให้เขาเผชิญความเจ็บปวดแบบนั้นอีก น้าก็เลยคิดว่าบางทีวันหนึ่ง ถ้ากัปตันโตแล้ว มีงานการดีๆ ทำ คงจะมีผู้หญิงมาชอบเขาเองนั่นแหละ แต่จะเจอคนดีหรือเปล่าก็บอกไม่ได้ เพราะบางคนอาจจะมาเพราะอยากได้เงินทองมากกว่าจะรักกันจริงๆ รู้ไหมว่าทำไมน้าถึงพูดเรื่องนี้"

แม่ของกัปตันหันมาถามผม เท่าที่ผมฟังดู น่าจะมีหลายๆ เหตุผล ผมจึงลองตอบเท่าที่พอจะนึกออก

"น้าเล็กกำลังจะบอกว่า…คนที่จะมารักกัปตัน ต้องเป็นคนที่น้าเล็กเชื่อมั่นว่ารักกัปตันจริง ดูแลกัปตันได้ เพราะน้าเล็กไม่อยากเห็นกัปตันโดนหลอกเหมือนที่ผ่านมา"

น้าเล็กถอนหายใจอย่างหนักใจ ที่สุดก็เผลอโทษตัวเองอีกจนได้ "เพราะน้าเองแหละ"

"แม่" กัปตันรีบร้องปราม เพราะถ้าขืนปล่อยให้แม่พูดเรื่องนี้ต่อ เดี๋ยวก็จะดราม่าอีกจนได้

บรรยากาศช่วงนี้หยุดนิ่งไปพักใหญ่ สองแม่ลูกมองหน้ากันคล้ายกำลังสื่อสารความรู้สึกบางอย่าง แต่วันนี้ผมคงยังไม่เข้าใจเรื่องภายในของครอบครัวนี้ดีนัก ก็เลยอ่านความรู้สึกไม่ออกหรืออ่านได้ไม่ชัดเจน ทว่าก็น่าแปลกที่น้าพงศ์กลับดูนิ่งๆ ทั้งที่จริงควรจะตกใจด้วยซ้ำ

"แต่น้าก็ยังมีความหวังนะว่าวันหนึ่งเขาจะมีคนดูแล มีครอบครัวที่อบอุ่น ในฐานะที่เป็นแม่ น้าก็อยากให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งอย่างเขาจะมีได้ ซึ่งก็คือ…มีแฟน แต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูกมีหลาน"

ใจผมเริ่มแป้ว น้าเล็กพูดแบบนี้จะหมายความว่ายังไงได้ล่ะ แต่ผมก็ยังใจเย็นฟังต่อไป

"ที่จริงน้าก็ยังไม่มีภาพหรอกว่าลูกสะใภ้ในอนาคตจะเป็นยังไง เพราะกัปตันยังเรียนอยู่ ยังไม่ถึงเวลาต้องคิดเรื่องนั้น ถึงน้าจะไม่เคยคิดภาพเอาไว้ แต่น้าก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะมีแฟน…แบบนี้"

ใจผมชาวาบขึ้นมาทันที แม้จะไม่บอกตรงๆ แต่ผมก็พอเดาได้ว่า "แฟนแบบนี้" ไม่ใช่สิ่งที่น้าเล็กต้องการ

น้าเล็กถอนหายใจอีกครั้ง ถึงจะดูเครียด แต่ผมก็รู้สึกว่าน้าเล็กดูสงบกว่าที่ผมคิดไว้ก่อนหน้านี้มากทีเดียว

"ชีวิตเป็นของกัปตันก็จริงนะ แต่น้าก็มีสิทธิ์ที่จะคอยดูคนที่ผ่านที่เข้ามาให้ในฐานะแม่ แม้กระทั่งอะตอมก็เหมือนกัน น้ารู้จักอะตอมมาสองเดือนแล้ว ถ้าพูดตรงๆ น้าก็ประทับใจหลายอย่าง ทั้งจากที่เห็นเองหรือจากที่กัปตันเล่าให้ฟัง พอกัปตันได้เพื่อนดี น้าก็เบาใจไปหลายเรื่อง หลังๆ ก็เลยไม่ค่อยห่วงเขามาก แต่ถ้าถามว่าน้ารู้จักอะตอมมากพอที่จะยอมให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไหม น้าก็ต้องบอกตรงๆ ว่ายัง มันอาจจะเป็นเรื่องของเวลาก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น…น้าก็ยังอยากให้กัปตันมีแฟนเป็นผู้หญิงนะ เขาเป็นแบบนี้ชีวิตก็ยากอยู่แล้ว ถ้าต้องมีแฟนเป็นผู้ชายด้วย มันก็จะยิ่งยากเข้าไปอีก"

"แม่" กัปตันอุทาน แต่พออ้าปากจะเถียงแม่ก็ขัดจังหวะซะก่อน

"แม่ยังพูดไม่จบนะกัปตัน"

เมื่อแม่ทำเสียงดุใส่ กัปตันก็เลยเงียบ ส่วนน้าพงศ์คอยจับตาดูตลอด เหมือนรอจังหวะเหมาะสมที่จะแทรกเข้ามา

"แต่เอาเถอะ ที่น้าพูดไปทั้งหมด มันก็เป็นแค่ความหวังดีตามประสาคนเป็นแม่อย่างน้า แต่สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต้องการเห็นมากกว่าอนาคตดีๆ ก็คือ…ความสุขของลูก ถ้าเขามีพร้อมทุกอย่าง แต่ใจเขาไม่มีความสุข คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทุกข์ไปด้วย เพราะฉะนั้น…"

น้าเล็กหันไปมองทุกคนรวมถึงสามีด้วย ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ผม "อะตอมทำอะไรก็ได้ให้น้ามั่นใจว่า…อะตอมจริงใจและรักกัปตันด้วยความบริสุทธิ์ใจ น้าจะไม่บอกหรอกนะว่าอะตอมต้องทำอะไรบ้าง มากแค่ไหน หรือนานแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรจะนานเกินไปเพราะกัปตันต้องไปเรียนเมืองนอกอีกไม่กี่เดือนนี้ วันไหนที่น้ามั่นใจ น้าจะบอกอะตอมเอง แต่ถ้าน้าไม่มั่นใจ น้าก็จะไม่พูดอะไร ที่สำคัญ…ในระหว่างนี้ น้าอยากจะขอให้อะตอมให้เกียรติลูกชายของน้า อะตอมคงเข้าใจอยู่แล้วล่ะว่าน้าหมายถึงอะไร อะตอมคิดว่ายังไง"

เมื่อกี้ไฟความหวังของผมเกือบจะดับมอดไปหมดแล้ว แต่อยู่ๆ ก็ได้เชื้อเพลิงอย่างดีมาใหม่ มันจึงกลับมาลุกโชนได้อีกครั้ง

"ได้ครับน้าเล็ก ผมสัญญาครับ ขอบคุณมากนะครับที่ให้โอกาสผม"

ผมพูดพร้อมกับน้ำตาคลอ หันไปมองกัปตันด้วยรอยยิ้มมีความหวัง จากนั้นผมจึงลงนั่งคุกเข่ากับพื้นและก้มกราบป๊าและแม่ของกัปตัน

"ตั้งแต่ผมได้มารู้จักกัปตัน แล้วก็มารู้จักครอบครัวนี้ ผมคิดว่าผมโชคดีมาก น้าเล็กกับน้าพงศ์ดีกับผม คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาเด็กกำพร้าแม่และขาดที่พึ่งอย่างผมมาตลอด ทำให้ชีวิตของผมไม่อ้างว้างเหมือนแต่ก่อน เมื่อก่อน…เวลาเสียใจ เวลามีปัญหา ผมก็ไม่รู้จะไปหาใคร แต่ทุกวันนี้ผมมีกัปตัน ผมมีน้าเล็กกับน้าพงศ์ ผมขอสารภาพอย่างลูกผู้ชายว่า…ผมรักกัปตันนะครับ ไม่เคยรังเกียจเลยไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง เขาเติมเต็มชีวิตให้ผม เขาทำให้ชีวิตผมมีความหมาย เขาทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตผมยังเหลือใครสักคน ขอบคุณอีกครั้งที่ให้โอกาสผมนะครับ ผมจะทำให้ดีสุด เพราะผม…อยากมีบุญวาสนาได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ครับ"

เมื่อพูดจบผมก็เงยหน้าขึ้น ผู้ใหญ่ทั้งสองคนดูตกใจพอสมควร คงไม่คิดว่าผมจะดีใจมากขนาดนี้ที่ได้รับโอกาส ทว่าก็เห็นสายตาอ่อนโยนซึ่งแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจด้วย

เมื่อผมลุกขึ้นยืนและหันไปทางกัปตัน เขาก็อ้าแขนออก ผมคุกเข่าลงนั่งข้างๆ วีลแชร์และให้กัปตันกอดผม เขาลูบหลังผมเบาๆ เป็นการปลอบใจ

"กูรู้ว่ามึงทำได้" กัปตันบอกเบาๆ เท่านี้ผมก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจและมีกำลังใจอีกมากโข

ผมกลับขึ้นมานั่งบนโซฟา ดูเหมือนผู้ใหญ่ทั้งสองมีท่าทางแปลกๆ คล้ายกับทำตัวไม่ถูกหรืออะไรทำนองนั้น

"อ้าวป๊า ทำไมป๊าไม่เห็นพูดอะไรเลย" น้าเล็กหันไปถามสามีแก้เก้อ

ป๊าของกัปตันทำหน้าเหลอหลาคล้ายจะถามว่าเกี่ยวอะไรกับตนด้วย แต่สักพักก็ยิ้มและขำเบาๆ

"อ้าว จะให้ป๊าพูดอะไรล่ะ ก็ป๊ารู้มาตั้งนานแล้ว มีแต่แม่นั่นแหละยังไม่รู้"



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-10-2017 21:51:01
 o13
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-10-2017 22:19:28
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :man1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 27-10-2017 23:07:34
ดราม่าไม่หนัก ดีต่อใจ...
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-10-2017 23:43:40
ครอบครัวกัปตันอบอุ่นน่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-10-2017 23:55:40
อะตอม รักกัปตันจริง มีแต่ความจริงใจ
ดูแล เอาใจใส่ช่วยเหลือมาตลอด

แต่ข้อเสียของอะตอมคือ พอโกรธพูดประชด
แล้วคนที่ฟังทั้งแบงค์ ทั้งกัปตันรู้ไหมว่าเป็นการประชด   มีแต่ผลเสีย

อะตอมว่ากัปตันไปยุ่งกับพิชชา ทำไมไม่คิดดีๆ
เรื่องนี้ก็มาจากอะตอมที่พูดประชดน่ะแหล่ะ
กัปตันก็ประชดอะตอม เหมือนกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2017 08:53:49
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-10-2017 09:24:44
ว่าแล้วว่าป๊าต้องรู้เรื่องก่อนหน้าอยู่แล้ว ดีจังที่ได้รับโอกาสและหวังว่าพวกผู้ใหญ่จะเปิดรับได้ในเร็ววัน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 28-10-2017 10:35:15
สู้ๆ นะ อะตอม

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [2/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-10-2017 14:28:24
ผู้ชายเขารู้กันนิ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [3/3] - 27.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 28-10-2017 16:44:13
EP28 (3/3)
คุณแม่ขอร้อง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/122561563-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/2111394858-member.jpg)

บรรยากาศยามเย็นเริ่มดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศเข้ามามากขึ้น แสงยามเย็นริมน้ำเจ้าพระยาช่วยสร้างบรรยากาศกินเที่ยวหลังเลิกงานให้น่ารื่นรมย์ไม่น้อย หนุ่มสาวและผู้คนหลากหลายวัยจึงหลั่งไหลมาหาความสำราญ เติมพลังก่อนกลับบ้านนอนและออกไปทำงานในวันรุ่งขึ้น เป็นวัฏจักรวนเวียนไปเหมือนหนูถีบจักร

ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้น สองหนุ่มนักศึกษายืนบรรเลงเพลงอยู่ตรงมุมหนึ่งของแหล่งชอปปิ้งริมน้ำเลื่องชื่อ เติมสีสันด้วยเสียงให้แก่คนที่ผ่านมาได้ยิน หนึ่งคนเล่นไวโอลิน อีกหนึ่งคนเล่นคีย์บอร์ด เพลงที่เล่นก็เป็นเพลงวัยรุ่นสมัยนี้นั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนให้เป็นเพลงบรรเลง ฟังเพลินดีเหมือนกัน

เราติดป้ายไว้ด้วย มีข้อความสั้นๆ ว่า "เพื่อโครงการยูดี" แน่นอนว่าไม่มีใครรู้หรอกว่ามันคืออะไร เราจึงมีข้อความเชิญชวนสั้นๆ ข้างใต้ว่า "ช่วยอย่างมีความหมาย โปรดถามก่อนช่วยเสมอ" สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้เพราะกัปตันแนะนำว่า ไม่อยากให้คนหย่อนเงินให้โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาไปทำอะไร คนที่อยากช่วยจึงควรเข้ามาพูดคุยสอบถาม ผมมีไอแพดขนาดใหญ่ติดมือมาด้วย พอมีคนมาถามผมก็จะเปิดพรีเซ็นเทชั่นให้ดูพร้อมกับอธิบายไปด้วย ส่วนมากเมื่อฟังจบก็บริจาค แต่ก็มีบ้างที่แค่ยิ้มๆ และเดินจากไป แต่ผมก็ไม่ลืมแจกแผ่นกระดาษเท่านามบัตรให้ด้วย ในนั้นมีรายละเอียดเฟสบุ๊ก ไลน์และอีเมลให้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่ออินกับคอปเตอร์เล่นเพลงจบ ทั้งสองคนก็จะช่วยกันอธิบายและเล่าความเป็นมาของโครงการ ผมจะคอยยืนอยู่ข้างๆ ยกแท็บเล็ตและเลื่อนพรีเซนเทชั่นให้คนดูไปด้วย อย่างน้อยได้เห็นภาพก็ช่วยเรียกความสนใจได้ ทำแบบนี้อยู่หลายรอบ แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข มีคนเข้ามาชื่นชมและขอถ่ายรูปไปแชร์ในเครือข่ายสังคมออนไลน์เยอะพอสมควร ภาพของอินกัปคอปเตอร์จึงเริ่มแผ่กระจายออกไป พร้อมกับข้อความชื่นชมว่าเป็นนักศึกษาที่เด็กสมัยนี้ควรเอาเป็นแบบอย่าง เท่านี้ก็หายเหนื่อยและมีแรงจะตระเวนไปยังที่ต่างๆ ในวันต่อๆ ไปแล้ว

ประมาณสองทุ่มเศษๆ เราก็เลิก กัปตันกับอะตอมตามมาสมทบด้วยหลังจากเพิ่งถูกเรียกไปคุยที่บ้านมา ด้วยความที่เห็นเพื่อนเหนื่อย กัปตันจึงพาพวกเราไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านอาหารไทยเพราะอินเป็นคนขอ ไหนๆ จะเลี้ยงแล้วเขาก็เลยอยากกินของที่อยากกินบ้าง

"ทำไมนายชอบน้ำพริกล่ะ ปกติเราไม่ค่อยเห็นลูกคนจีนกินเผ็ดนะ"

ดูเหมือนคอปเตอร์จะสงสัยไม่น้อย เพราะของที่อินสั่งมากินแต่ละอย่างเผ็ดๆ ทั้งนั้น คนที่ลำบากหน่อยก็คือผม กัปตันและคอปเตอร์ ส่วนอินกับอะตอมกินได้สบายมาก

"ตอนมอต้นกูโดนเพื่อนล้อไง แค่กูกินเผ็ดไม่ได้ก็หาว่ากูเป็นลูกแหง่ แล้วพวกมันก็ชอบแกล้งเอาพริกมาซ่อนในข้าวให้กูกิน ตอนหลังกูก็เลยลองหัดกิน ไปๆ มาๆ ก็เลยกลายเป็นของโปรดกูไปเลย แต่ตอนหัดแรกๆ กูท้องเสียไปหลายรอบเลยนะเว้ย"

อินอธิบายอย่างอารมณ์ดี หลังๆ มานี้ผมรู้สึกได้ว่าเขามีความสุขมากขึ้น ก็เป็นธรรมดา คนเราเมื่อรู้ตัวว่ามีคุณค่าต่อผู้อื่น เขาก็จะมีความสุข

"ดีแล้ว จะได้ไม่โดนเพื่อนแกล้งอีก" ผมเอ่ยชม ก่อนหันไปถามคู่รักนายแบบ "แล้ววันนี้เป็นไงมั่ง น้าเล็กกับน้าพงศ์ว่าไง โอเคไหม"

"โอเคครับพี่ น้าพงศ์ไม่มีปัญหาอะไรเลย ส่วนน้าเล็ก…ตอนแรกก็นึกว่าจะรับไม่ได้ น้าเล็กเขาบอกว่ากัปตันเป็นแบบนี้ก็ยากอยู่แล้ว ถ้ามีแฟนเป็นผู้ชายด้วยก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ น้าเล็กอยากให้กัปตันแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก เหมือนผู้ชายทั่วไป แต่ก็กังวลว่ากัปตันจะถูกผู้หญิงหลอก" อะตอมเล่าด้วยสีหน้าเรียบๆ และดูผ่อนคลาย

"อ้าว แบบนี้น้าเล็กก็ไม่โอเคสิ" ผมทำหน้างง อะตอมจึงเล่าต่อ

"ตอนแรกพวกเราก็คิดอย่างงั้นครับ แต่อยู่ๆ น้าเล็กก็พูดขึ้นมาว่า เขาอยากเห็นกัปตันมีความสุข มีคนที่รักเขาจริงคอยดูแล ถ้าผมคิดว่าผมจะเป็นคนนั้นได้ น้าเล็กก็จะให้โอกาส น้าเล็กบอกผมว่าทำอะไรก็ได้ให้น้าเล็กเชื่อว่าผมรักกัปตันจริง ดูแลกัปตันได้ ก่อนที่กัปตันจะไปเรียนเมืองนอก"

คอปเตอร์ยิ้มดีใจไปด้วย ก่อนจะพูดความรู้สึกของตัวเองด้วยเอกลักษณ์การสื่อสารที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะที่บ้านเขาไม่ชอบให้พูดคำหยาบ

"ดีจังเลย เราว่านายทำได้แน่ๆ อะตอม แค่เราเห็นนายลุกขึ้นมาทำชมรมยูดี เราก็เห็นแล้วล่ะว่านายโคตรรักกัปตันเลย ถ้าเราเป็นแม่ของกัปตันนะ เรายอมรับนายตั้งแต่รู้ว่านายลุกขึ้นมาทำแบบนี้แล้ว อ้อ เราว่าป๊าของกัปตันนี่สุดยอดเลยว่าไหม ไม่น่าเชื่อว่าจะรับเรื่องนี้ได้ด้วย ทำไมง่ายจัง ที่บ้านเรานะ เราไม่กล้าบอกใครเลย ป๊าเราดุมาก ถ้าเกิดเขารู้เรื่องเราขึ้นมานะ เราแย่แน่เลย"

ได้ฟังคอปเตอร์พูดแล้ว ผมกับกัปตันก็ทำหน้าสงสัย จากนั้นกัปตันก็หันไปถามคนนั่งข้างๆ

"เออ…จริงด้วย ทำไมป๊ากูยอมรับเรื่องนี้ง่ายจังวะ"

อะตอมขำเบาๆ ท่าทางเหมือนมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนไว้

"มึงไปคุยอะไรกับป๊ากูเปล่า" กัปตันหรี่ตามองและย่นคิ้วเข้าหากัน

อะตอมหันมองไปรอบๆ โต๊ะ พอเห็นทุกคนจ้องมาที่ตัวเองเป็นตาเดียวกันก็ยิ้มเขินๆ ไม่นานก็หันไปยอมรับกับคนข้างๆ

"เออ"

"พี่ว่าแล้ว" ผมอยากจะเอามือตบโต๊ะสักฉาด

"มึงไปคุยอะไรกับป๊ากูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ" กัปตันสงสัย

"ก็ตอนที่มึงงอนกูนั่นแหละ" อะตอมบอก

"งอนตอนไหนวะ" กัปตันถาม

"ก็ตอนที่มึงได้ยินกูคุยกับไอ้แบงค์ไง" อะตอมเฉลย

"ไหนเล่ามาซิ" กัปตันชักจะเก็บความอยากรู้ไว้ไม่ไหวแล้ว

อะตอมจึงเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เขามั่นใจว่ากัปตันน่าจะเข้าใจผิด เขาก็เลยโทรหาน้าพงศ์ น้าพงศ์จึงนัดอะตอมไปคุยด้วยที่โรงงาน เสร็จจากงานถ่ายแบบเขาก็รีบไปทันที ไปถึงอะตอมก็เล่าให้น้าพงศ์ฟังว่ากัปตันกำลังเข้าใจเขาผิด อยากได้คำปรึกษาว่าจะขอโทษกัปตันยังไงดี

น้าพงศ์ให้คำแนะนำมาหลายอย่าง แต่หลักๆ ก็คือต้องเข้าใจว่ากัปตันมีปมด้อยเรื่องนี้ คนที่จะคบกัปตันได้ต้องเข้าใจให้มากๆ ทางที่ดีคือต้องหาทางช่วยให้กัปตันระบายออกมาให้หมด เพราะที่ผ่านมากัปตันเก็บกดเอาไว้ แม้ว่าป๊ากับแม่จะคอยให้กำลังใจแต่เขาก็ไม่กล้าพูดความรู้สึกจริงๆ ให้ฟัง แต่กัปตันน่าจะกล้าพูดกัปอะตอมเพราะวัยใกล้เคียงกัน

ก่อนกลับน้าพงศ์ก็ถามอะตอมว่าทำไมดูเป็นห่วงเป็นใยกัปตันขนาดนี้ ชอบลูกชายของน้าหรือเปล่า อะตอมตกใจมาก เขารู้ว่าผู้ใหญ่ถามแบบนี้คงไม่ใช่ถามเล่นๆ ถึงจะกลัวแต่ก็กัดฟันยอมรับ จากนั้นน้าพงศ์ก็พูดเหมือนวันนี้ว่าพอสังเกตออกมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะแววตาและการแสดงออกของสองคนไม่เหมือนเพื่อนธรรมดา อะตอมนึกว่าน้าพงศ์จะโกรธ แต่กลับฝากทิ้งท้ายไว้ว่า

"ฝากลูกชายของน้าด้วยนะ"

เมื่อฟังอะตอมพูดจบ ผมก็แสดงความคิดเห็น "จริงๆ พี่ก็รู้แหละว่าน้าพงศ์เป็นคนใจกว้าง แต่พี่แค่ไม่คิดว่าจะกว้างถึงขนาดยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ พี่ดีใจด้วยนะกัปตัน อะตอมด้วย เหลือก็แค่พิสูจน์ให้น้าเล็กเห็น พี่ว่าถ้าอะตอมทำโปรเจกต์นี้สำเร็จนะ น้าเล็กต้องยอมรับอะตอมแน่ๆ เขาชอบคนสู้ชีวิต ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะช่วยกันเต็มที่ เงินล้านหาไม่ยากหรอก วันนี้ก็ได้มาตั้งหลายพันแล้ว" ผมพูดติดตลกตอนท้าย คนอื่นๆ ก็พลอยขำไปด้วย

"แล้วพี่โดมล่ะครับ" กัปตันถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ พลางก็หันไปมองอินด้วย

"อะไร" ผมเลิกคิ้วสงสัย

"ก็พี่โดมกับอินไงครับ"

"เฮ้ย ยังไม่ได้คิดอะไรถึงขนาดนั้นหรอก"

ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองหลุดปากพูดอะไรออกไป แต่พอเห็นอินหน้าเสีย ผมถึงได้นึกได้ว่าไม่ควรพูดแบบนี้ ถ้าถามตัวเองตรงๆ บางทีผมก็สับสน บางทีผมก็กลัวว่าที่บ้านจะไม่โอเค บางทีผมก็รู้สึกอยากเป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป ความรู้สึกของผมไม่นิ่งเลย จึงทำให้ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาแบบไหนกันแน่

ใช่แต่อินเท่านั้นที่หน้าเสีย ผมรู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไป เหมือนมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนหรืออะไรทำนองนั้น

"ผมก็คิดอยู่แล้วว่าพี่โดมไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก" อินยิ้ม พยายามกลบเกลื่อนความเศร้าบนใบหน้าเท่าที่จะทำได้

"อิน คือว่า…" ผมรู้สึกใจหายวาบ แต่คนอยู่เยอะขนาดนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

"ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ ยังไงๆ ผมก็ยังเป็นน้องพี่โดมได้ จริงๆ นะพี่" อินยืนยัน แต่ใครจะเชื่อ เพราะสีหน้าของอินทรยศกับลมปากของเจ้าของไปแล้ว

ในขณะที่บรรยากาศกำลังมาคุอยู่นั้น จู่ๆ อะตอมก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เขามองออกไปนอกร้านซึ่งเป็นกระจก สีหน้าดูเหมือนตกใจหรือประหลาดใจกับอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าเห็นอะไร

"เดี๋ยวกูมานะเว้ย" อะตอมหันไปบอกกัปตัน พลันเขาก็รีบเดินแกมวิ่งออกไปจากร้านอาหาร

"อ้าว มีอะไรเหรอ" ผมถามกัปตันงงๆ สีหน้าของกัปตันและทุกคนก็งงพอๆ กัน

"ไม่รู้เหมือนกันพี่ เดี๋ยวผมออกไปดูดีกว่า"

"พี่ไปด้วย สองคนนั่งอยู่นี่แป๊บหนึ่งนะ" ผมหันไปบอกอินกับคอปเตอร์

กัปตันเข็นนำหน้าผมออกไปก่อน ผมรีบตามไปสมทบ เมื่อกวาดสายตามองไปตามทางเดินชั้นสองริมแม่น้ำตรงที่อะตอมวิ่งออกไป ไม่นานเราสองคนก็เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเห็น

อะตอมกำลังยืนกอดกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็กอดอะตอมด้วย นี่มันอะไรกันแน่!


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/109431571-member.jpg)



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [3/3] - 28.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-10-2017 17:31:03
เจอแม่?
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [3/3] - 28.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2017 18:31:17
 o13


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [3/3] - 28.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-10-2017 20:22:45
อินเปลี่ยนตัวเองเยอะเลย ซึ่งก็เป็นไปในทางที่ดีอ่ะนะ :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP28 คุณแม่ขอร้อง [3/3] - 28.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-10-2017 09:27:44
ภายในหนึ่งวันมีเรื่องเกิดขึ้นล้านอย่าง มาพิสูจน์รักกันเหลือเกิน
หวังว่าอะตอมกัปตันจะผ่านไปได้นะ

เข้าใจอารมณ์คนมีปมด้อย แถมยังถูกหลอกบ่อยครั้ง ไม่แปลกที่จะระแวง
แต่อย่างน้อยกัปตันก็ใช้ชีวิตปกติสุขได้

อะตอมทำดีมาหลายอย่าง อย่ามาล่มอะไรตอนนี้นะ หรือว่าที่เจอเป็นแม่หรอ

สงสารอินนะ เลือกทางผิด แต่ได้รับโอกาสก็ต้องรีบแก้ไข
โดม ถ้ายังเป็นแบบนี้ อย่าก้าวล้ำไปหาใครเลย จะพากันเจ็บซะป่าว

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 29-10-2017 12:30:34
EP29 (1/3)
ความจริงที่ยากจะรับได้

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1328519804-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1596200635-member.jpg)

ภีมมาเที่ยวกับแฟนและเพื่อนๆ ของเธอที่นี่ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่เราได้เจอกัน ตอนที่ผมเจอเธอ เธอกำลังจะกลับพอดี เมื่อผมมองออกไปนอกร้านและเจอภีม ผมก็สองจิตสองใจว่าใช่ภีมหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจวิ่งตามไปดูก่อนเผื่อว่าจะใช่ พอผมเรียกชื่อเธอเท่านั้น ภีมก็หันมาจริงๆ ด้วย เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นผม ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปเราก็ยังจำกันได้ไม่ลืม

ตอนนี้ภีมย้ายมาอยู่ปทุมธานีกับพ่อเลี้ยงคนใหม่ กำลังเรียนอยู่มอห้า เธอเป็นน้องผมสองปี แต่ถ้านับจำนวนเดือนก็จะแค่ปีครึ่ง

เห็นการแต่งตัวของเธอแล้วผมก็อดแปลกใจไม่ได้ ไม่คิดว่าภีมจะกล้าแต่งตัวอวดเนื้อหนังมังสาขนาดนี้ แถมแฟนของเธอก็ยังมีสภาพไม่ต่างจากเด็กแว้นเท่าไหร่ เท่านี้ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

หลังจากพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ผมก็ไม่ลืมที่จะถามถึงอีกคนที่ผมคิดถึงมากที่สุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกน้อยใจสิ่งที่คนคนนั้นทำมากที่สุดด้วย

"แม่ล่ะภีม แม่เป็นไงบ้าง แม่สบายดีหรือเปล่า"

"สบายดี ตอนนี้แม่ทำงานอยู่ที่ อบต. ที่เดียวกับพ่อนั่นแหละ" มือน้อยๆ ป้ายน้ำตาขณะพูดไปด้วย

ผมรักน้องสาวของผมมาก สิบห้าปีที่เราใช้ชีวิตด้วยกันมาเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่เคยลืมเลย แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะจากกันไปอย่างไม่คาดฝัน

"ก็ดีแล้ว" ผมยิ้มเศร้าๆ รู้สึกโหวงๆ ในใจเมื่อรู้ว่าแม่มีสามีใหม่ไปแล้ว เพราะอย่างนี้หรือเปล่าถึงลืมผม

"ภีมรู้ไหมว่าพี่คิดถึงภีมกับแม่มาก"

ภีมพยักหน้าทั้งน้ำตา "ภีมก็คิดถึงพี่ คิดถึงพ่อ แต่...ภีมก็มาหาไม่ได้ แม่ไม่ให้มา ถ้ามา...แม่จะตัดลูกตัดแม่กับภีมเลย"

ขนาดนั้นเลยหรือ?

ผมนึกไม่ออกเลยว่าทำไมแม่ผมถึงไม่อยากเจอพวกเราขนาดนั้น ตอนที่ภีมไม่สบายและพ่อผมไปเช็ดตัวให้ ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมภีมกับแม่ถึงคิดว่าพ่อลวนลามลูกสาวตัวเอง กระทั่งกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและหย่าร้างกันในที่สุด

ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงโกรธพ่อมากขนาดนั้น ถึงพ่อผมจะเคยเจ้าชู้มาก่อนสมัยหนุ่มๆ แต่ผมก็ไม่คิดว่าพ่อจะทำอย่างนั้นกับลูกสาวตัวเองได้

ผมไม่สาวความต่อ เพราะยังมีอีกอย่างที่ผมอยากรู้มากที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่คาใจผมมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปหาคำตอบได้ที่ไหน

"แม่...พูดถึงพี่บ้างหรือเปล่า"

ภีมหันหน้าหนี กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่จะหลั่งไหลมาอีกคำรบ น่าแปลกที่สีหน้าของภีมดูไม่ดีเลย แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ

"ภีมไม่รู้จะบอกพี่ยังไง" ภีมหันมาเผชิญหน้ากับผม

"ก็บอกความจริงพี่มาสิภีม สามปีกว่าที่ผ่านมา พี่คิดถึงแม่มาก แต่พี่ไม่เคยรู้เลยว่าแม่คิดถึงพี่หรือเปล่า แม่ไม่เคยมาหาทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าพี่อยู่ไหน ไม่เคยโทรหา ไม่เคยติดต่ออะไรเลย รู้ไหมว่าพี่น้อยใจ พี่ทำอะไรให้แม่โกรธเหรอ แม่จะโกรธพ่อก็โกรธได้นะภีม พี่เข้าใจ แต่พี่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงไม่สนใจใยดีพี่ พี่ทำอะไรผิดหรือเปล่า"

อารมณ์ของผมเริ่มพลุ่งพล่าน ถ้าใครเป็นผมก็คงคิดและรู้สึกไม่ต่างกันหรอก เห็นเขาว่ากันว่าไม่มีแม่ที่ไหนไม่รักลูกของตัวเอง แล้วแม่ผมล่ะ แม่ยังรักผมหรือเปล่า ทำไมไม่เคยคิดจะมาหาหรือติดต่อผมบ้างเลย

"ภีม...มีเรื่องอยากจะบอกพี่ ถ้าพี่อยากฟัง ภีมก็จะเล่าให้ฟัง ไหนๆ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แล้ว ภีมไม่อยากปิดบังพี่อีกต่อไป พี่อยากฟังหรือเปล่า แต่พี่ต้องทำใจนะ เพราะพี่อาจจะรับไม่ได้ก็ได้"

มาถึงขนาดนี้แล้ว คงจะไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอะไร ผมก็อยากจะฟังให้หายคาใจซะที

"ภีมเล่ามาเลย พี่รอฟังมาหลายปีแล้ว" ผมบอกน้องสาวด้วยเสียงหนักแน่น

ภีมยังคงมองหน้าผมคล้ายกำลังชั่งใจอย่างหนัก ก่อนจะเล่าเธอก็ถอนหายใจเบาๆ

"แม่บอกภีมว่าจริงๆ แล้ว...แม่ไม่ใช่แม่ของพี่ แม่ที่แท้จริงของพี่หนีไปกับชู้ตั้งแต่พี่ยังอายุไม่ถึงขวบ ส่วนแม่ของภีมก็เป็นหม้าย เพราะพ่อของภีมติดคุกตลอดชีวิตโทษฐานค้ายาเสพติด พอแม่ของพี่หนีไปได้ไม่ถึงเดือน พ่อของพี่ก็มาเจอกับแม่ของภีม หลังจากนั้น...เขาก็ตัดสินใจอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นแม่ท้องภีมได้สามสี่เดือนแล้ว"

"หมายความว่าไง" ผมพยายามตีความ ที่จริงก็ไม่ยากนักที่จะเข้าใจ แต่ที่มันยากเพราะผมไม่อยากจะเชื่อต่างหาก

"เราสองคน...ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน" ภีมเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น พูดจบแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพรากและสะอื้นหนักขึ้น

ผมเห็นคล้อยตามที่ภีมบอกไม่ยากนัก เพราะตอนเด็กๆ ผมก็เคยสงสัยว่าทำไมผมหน้าตาไม่เหมือนแม่ ไม่เหมือนภีม ตอนเด็กๆ ผมได้ไปหาแค่ปู่กับย่าและญาติๆ ของพ่อที่ต่างจังหวัด แต่ผมกลับไม่เคยได้ไปหาญาติฝ่ายแม่เลย เพราะแม่บอกว่าถูกญาติๆ ตัดขาดไปแล้ว

เพราะอย่างนี้นี่เอง!

หากแม่เป็นแม่ผมจริง ถึงจะโกรธกับพ่อ แต่อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงผมที่เป็นลูกบ้าง แต่แม่กลับหายไปเลย วันนี้ผมได้คำตอบแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากรู้ หัวใจผมเริ่มชาจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทว่าหยดน้ำตาก็เริ่มรินไหลอย่างไม่อาจห้ามได้

"เพราะอย่างงี้ใช่ไหม...แม่ถึงทิ้งพี่ไป ไม่มาหาพี่เลย เพราะพี่ไม่ใช่ลูกของเขาใช่ไหม" ผมพูดพลางสะอื้น ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยพ่อไปด้วย ทำไมพ่อไม่เคยบอกความจริงเรื่องนี้กับผมเลย กลับปล่อยให้ผมเป็นทุกข์กับความรู้สึกแบบนี้มาตั้งสามสี่ปีที่แม่ทิ้งไป

"พี่...ภีมขอโทษ"

ภีมดึงผมไปกอด เราสองคนพี่น้องกอดกันร้องไห้อีกครั้ง ไม่ใช่สิ ตอนนี้เราสองคนไม่ใช่พี่น้องกันแล้ว สิบกว่าปีที่ผ่านมาเราเข้าใจผิดกันมาตลอดว่าเราเป็นพี่น้องกัน

"ภีมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่"

"ตั้งแต่เกิดเรื่องตอนนั้น แม่บอกภีมว่าพ่อไม่ใช่พ่อของภีม"

ผมหลับตาแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น มันช่างเป็นความจริงที่ยากเกินจะรับได้ แต่วันนี้ผมกำลังเผชิญกับมันอยู่อย่างโหดร้าย

พักหนึ่งผมก็ผละตัวออกจากน้องสาว ก่อนตัดสินใจถามสิ่งที่ผมไม่กล้าที่จะถามภีมตอนนั้น

"แล้วมันจริงเหรอที่พ่อเขา...เขาทำแบบนั้นกับภีม"

สีหน้าของภีมดูเครียดมากขึ้น เธอเสมองไปข้างๆ แสดงว่าสิ่งที่ผมถามน่าจะเป็นคำถามที่น่าหนักใจ ภีมกลืนก้อนที่จุกที่คอหอย ครู่เดียวก็หันมาตอบ

"ถ้าภีมบอกพี่ว่า...ภีมรู้สึกว่าพ่อทำแบบนั้นกับภีม พี่จะหาว่าภีมโกหกหรือเปล่า"

"อะไรนะภีม" ผมส่ายหน้าไปมา นึกอยากตะโกนออกมาให้สุดเสียง ให้สมกับความอัดอั้นตันใจทั้งหมดในตอนนี้

พ่อผมทำอย่างนี้กับภีมได้ยังไง ถึงจะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่พ่อก็ไม่ควรทำแบบนี้เลย พ่อยังมีความเป็นคนเหลืออยู่หรือเปล่า!

แต่ครั้นจะให้ผมกลับไปต่อว่าพ่อตอนนี้ ผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะที่ผ่านมาพ่อก็เสียใจไปแล้ว ชีวิตล้มเหลวไม่เป็นผู้เป็นคน ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปสะกิดแผลเก่าขึ้นมาอีก พ่อก็อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้

แล้วผมจะนับถือพ่อต่อไปได้ไหม?

แล้วผมจะรู้สึกดีกับพ่อได้ยังไงที่พ่อทำแบบนี้กับภีม!

ผมเคยคิดว่าวันหนึ่งถ้าเจอภีม ผมจะพาน้องไปหาพ่อ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากพาไปแล้ว ให้มันจบไปเลยดีกว่า ไม่ต้องรื้อฟื้นขึ้นมาอีกให้เจ็บปวดกันทุกฝ่าย

พ่อนะพ่อ ทำไมทำอย่างนี้ไปได้!

"โว้ย!"

ผมตะโกนสุดเสียงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนนี้ร้านรวงปิดหมดแล้ว คงไม่มีใครสนใจผมหรอก แต่อีกสี่คนที่รออยู่ไม่ไกลคงอยากรู้เต็มทีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผมหันไปมองกัปตันซึ่งอยู่กับพี่โดมและเพื่อนๆ เขามองมาที่ผมตลอดเวลาเลย ทุกครั้งที่หันไปหาผมก็จะเห็นเขาคอยมองด้วยสายตาเป็นห่วง

ผ่านไปนานทีเดียวกว่าผมจะสงบสติอารมณ์ได้ ดูเวลาอีกทีก็ดึกมากแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย

"ภีมจะกลับยังไง"

"กลับกับแฟน เขาเอามอไซค์มา"

ผมหันไปมองเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมซึ่งยืนรออยู่ไม่ไกลออกไป เห็นภีมมีแฟนแบบนี้แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่คงไม่ใช่เรื่องดีที่ผมจะไปก้าวก่าย

ก่อนจะร่ำลาจากกัน ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ก่อนส่งเงินสามพันให้น้องสาวในลักษณะจับใส่มือ เหลือไว้ใช้ส่วนตัวแค่ไม่กี่ร้อย

"ภีมเอาไว้ใช้นะ ต่อไปถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกพี่ ถึงเราจะไม่ใช่พี่น้องกันแล้ว แต่ภีมก็เป็นน้องสาวของพี่ ภีมเป็นน้องสาวของพี่เสมอนะ อย่าลืมพี่คนนี้ล่ะ"

ภีมโผเข้ากอดผมพร้อมกับร้องไห้เบาๆ อย่างอดสูใจ ไม่รู้กอดนี้จะเป็นกอดสุดท้ายหรือเปล่า แต่ผมก็หวังว่าการจากกันครั้งนี้จะไม่ใช่จากกันตลอดไป อย่างน้อยเราก็มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันแล้ว ต่อไปคงจะได้ติดต่อพูดคุยกันมากขึ้น

ผมว่าจะไปหาแม่ของภีมอีกไม่นานนี้ เพราะถึงไม่ใช่แม่จริงๆ ของผม แต่เธอก็เลี้ยงดูผมมาจนโต ยังไงผมก็คงต้องตอบแทนเธอบ้าง ส่วนแม่ที่แท้จริงของผมนั้น ถ้าเรามีโชคชะตาร่วมกันก็คงจะได้เจอกันสักวันหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะตายจากกันไปในชาตินี้

แฟนของภีมเดินมารับภีมแล้ว เมื่อถึงเวลาภีมก็เดินจากผมไปกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ผมไม่เคยรู้จักเลยว่าเป็นใคร เธอหันกลับมามองผมเป็นระยะๆ เรายิ้มให้กัน จนกระทั่งความมืดมิดพาน้องสาวของผมหายไปอย่างช้าๆ

ผมถอนหายใจเบาๆ แม้จะรู้สึกเศร้า แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่ได้รู้ความจริงซะที เมื่อหันไปอีกด้านก็ยังเห็นสี่คนนั้นยืนรอผมอยู่ ผมรีบเดินแกมวิ่งเข้าไปหา

มีเพียงหนึ่งในนั้นที่ผมต้องการกำลังใจจากเขามากที่สุด ความรู้สึกตอนนี้เหมือนตอนที่ผมเจอเขาใหม่ๆ เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผมไปหาเขาทุกวันที่คอนโดเพราะอยากได้กำลังใจจากเขานี่แหละ

เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถวีลแชร์ ผมก็ย่อตัวลงและใช้สองมือยกใต้รักแร้ของเขายืนขึ้น เราสองคนกอดกันในทันที ชีวิตของผมตอนนี้เหมือนไม่เหลือใครแล้ว พ่อก็แทบจะพึ่งพาไม่ได้ แม่ที่แท้จริงก็ไม่รู้อยู่ไหน

แต่ชีวิตผมจะยังไปต่อได้เพราะคนคนนี้



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-10-2017 12:37:46
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-10-2017 15:43:06
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-10-2017 16:23:15
อะตอม มีความกตัญญู ทั้งที่แม่ไม่รักไม่ติดต่อ

พอรู้ความจริงว่าไม่ใช่แม่ ก็ยังคิดกลับไปหา เยี่ยมมาก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-10-2017 17:32:57
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 29-10-2017 18:36:13
ขอบคุณที่มาต่อครับ

เป็นกำลังใจให้อะตอมผ่านช่วงนี้ไปได้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 29-10-2017 20:23:55
ช่วงนี้ผมจะอัปถี่หน่อยนะครับ เหลืออีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว
พอดีผมกำลังทำรวมเล่มนิยายเรื่องหนึ่ง ยังทำค้างไว้ไม่เสร็จซะที
ก็เลยจะเร่งเขียนนิยายเรื่องนี้ให้จบ จะได้มีเวลาไปทำรวมเล่มอย่างเต็มที่
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ มีหล่นหายระหว่างทางไปบ้าง
แต่ก็ยังเหลืออีกหลายคนที่จะเดินทางไปส่งตัวละครของผมจนถึงที่หมาย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 30-10-2017 21:11:58
พักอัปเดตช่วงนี้ไปก่อนนะครับ
กลัวคนอ่านจะรู้สึกว่าเฝือ สงสัยจะถี่เกินไป
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [1/3] - 29.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 30-10-2017 21:38:35
สงสารอะตอมมากอ่ะ ชีวิตเล่นตลกอะไรไม่รู้
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 31-10-2017 12:31:03
EP29: 2-3/3
ความจริงที่ยากจะรับได้

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1328519804-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/329548813-member.jpg)

อะตอมไม่สบายซะแล้ว ผมรู้ตอนที่เข็นรถมาปลุกให้มันตื่นไปอาบน้ำ แต่อะตอมลุกไม่ขึ้น ท่าทางดูอ่อนระโหยโรยแรง

"กูไม่สบายว่ะ มึงไปก่อนเหอะ ฝากบอกอาจารย์ให้ด้วยนะเว้ย"

เสียงแหบแห้งขนาดนี้น่าจะไม่สบายหนักเลย ผมจึงเข็นรถเข้าไปใกล้ เอามือแตะหน้าผาก ปรากฏว่าอะตอมตัวร้อนจี๋เลย

"ตัวร้อนมากเลย ไปหาหมอไหม"

"ไม่ไป เป็นไข้หวัดเฉยๆ กินยาก็หายแล้ว" อะตอมหยีตา คงเป็นเพราะแสงอาทิตย์จากผ้าม่านที่ส่องเข้ามา

ผมเข็นรถไปรูดม่านปิดวิวเมืองจากชั้นยี่สิบกว่าเอาไว้ตามเดิม จากนั้นก็เข็นกลับมาหาอะตอม

"เดี๋ยวกูทำข้าวต้มให้มึงกินนะ จะได้กินยา เสร็จแล้วกูจะเช็ดตัวให้ จะได้นอนสบายๆ "

อะตอมไม่ตอบว่าอะไร ป่วยขนาดนี้มันคงไม่มีแรงลุกมาทำอะไรเองหรอก ก็เลยปล่อยให้ผมทำให้ แม้ว่าจะเกรงใจก็ตาม แต่ผมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมอยากดูแลมันบ้าง เพราะผมมีเวลาเหลืออยู่ใกล้ๆ กับมันอีกไม่นานแล้ว

ผมเข็นมาส่วนที่เป็นครัว เปิดดูในตู้เก็บของก็มีโจ๊กสำเร็จรูปเก็บไว้อยู่จำนวนหนึ่ง ในตู้เย็นมีกุ้งแช่แข็งแกะเปลือกไว้แล้วหนึ่งถุง มีผักชีหัวหอมเหลืออยู่บ้าง อะตอมซื้อมาไว้ทำกับข้าวกิน จึงพอมีวัตถุดิบให้พอทำข้าวต้มได้อยู่ สิ่งที่ผมต้องทำก็คือต้มโจ๊กในหม้อ ใส่กุ้ง จากนั้นก็หั่นผักชีกับต้นหอมใส่ ปรุงรสอีกนิดหน่อยก็น่าจะกินได้แล้ว

ไม่นานผมก็ได้โจ๊กหอมฉุยน่ากินพร้อมสำหรับเสิร์ฟ ผมวางชามโจ๊กบนถาดรอง จากนั้นจึงเอามาวางบนตัก ก่อนเข็นเอาไปให้อะตอมถึงห้องนอน มาถึงก็วางไว้บนโต๊ะหัวเตียง อะตอมพยายามลืมตาขึ้นมามอง พอได้กลิ่นอาหารก็เลยพยายามลุกขึ้นนั่ง

"ให้กูป้อนไหม" ผมอาสา

"แล้วมึงไม่ไปเรียนเหรอ วันนี้มีเรียนเช้านะเว้ย ใกล้เวลาเรียนแล้ว มึงไปเหอะ เดี๋ยวกูจัดการเอง"

"มึงไม่สบายแบบนี้ จะให้กูไปเรียนได้ไงวะ เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึง" ผมยิ้มบางๆ ให้

"เอางั้นเหรอ"

"เออ"

ผมถ่ายตัวขึ้นไปนั่งบนเตียง อะตอมเขยิบที่ให้เล็กน้อย จากนั้นผมก็ใช้ช้อนตักโจ๊กร้อนๆ ขึ้นมาเป่า หายร้อนก็ส่งเข้าปากอะตอมไป ถึงจะเป็นโจ๊กสำเร็จรูป แต่พอเพิ่มผักสดและกุ้งเข้าไปมันก็อร่อยพอกินได้ อะตอมเคี้ยวกินตุ้ยๆ ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นมันว่าอะไร

"ทำงานหนักขนาดนี้ก็ป่วยสิวะมึง" ผมพูดด้วยเสียงเรียบๆ เจตนาเพียงแค่ชวนคุยพอไม่ให้เงียบเท่านั้น อะตอมทำหน้ายิ้มๆ ผมก็เลยพูดต่อ "สองสามวันนี้มึงพักให้เต็มที่ละกันนะ งานชมรมของมึง เดี๋ยวกูประสานงานให้เอง อ้อ ช่วงนี้ก็งดขับอูเบอร์ชั่วคราวด้วยนะ"

จะไม่ให้ป่วยได้ยังไง กลางวันก็เรียน ช่วงพักก็ประสานงานชมรม ตกเย็นก็ออกไปขับอูเบอร์ แต่ถ้ามีงานก็จะไปทำงาน บางทีเลิกงานแล้วก็ขับอูเบอร์ต่อ กว่าจะกลับถึงบ้านก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว เงินที่ได้มาจากการขับอูเบอร์กับถ่ายแบบ อะตอมจะแบ่งสามสิบเปอร์เซ็นต์เข้าโครงการ ดูมันทุ่มเทและตั้งใจมากทีเดียว

"ครับผม" อะตอมยิ้มให้ แต่ก็ยังพอเห็นร่องรอยความเศร้าในแววตาอยู่บ้าง คงจะเป็นเพราะเรื่องน้องสาวของมันเมื่อคืนที่ผ่านมานั่นเอง

อะตอมหนออะตอม ทำไมชีวิตถึงได้เจอเรื่องราวแย่ๆ เยอะเหลือเกิน

"อร่อยไหมเนี่ย ไม่เห็นพูดอะไรเลย" ผมเปลี่ยนเรื่อง

"ก็พอกินได้ แค่มึงทำให้กูก็ดีใจแย่แล้ว แล้วมึงกินหรือยัง"

"กินแล้ว โปรตีนกับบอดี้คีย์พลัสนั่นแหละ"

ตอนเช้าๆ ผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอาหารการกินหรอก เพราะแม่ผมจัดการซื้อโปรตีนและอาหารเสริมสำหรับทดแทนมื้ออาหารมาไว้ให้ไม่เคยขาด ผมกินมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยกินแบบนี้มาตลอด ผิวพรรณผมถึงดี

"เดือนนี้กูว่ามึงใช้เงินเยอะเหมือนกันนะเว้ย ค่าห้องเดือนนี้ ถ้ามึงยังไม่สะดวกก็เอาไว้ก่อนก็ได้" ผมเสนอ

อะตอมส่ายหน้าทันที "ไม่ได้ กูไม่อยากเป็นหนี้"

ดูเหมือนอะตอมจะกลัวการเป็นหนี้มาก เพราะเคยทำงานใช้หนี้ให้พ่อมาก่อน กว่าจะหมดหนี้มันต้องทำงานตั้งหลายเดือน ตั้งแต่นั้นมันก็เลยออกปากบังคับพ่อว่าไม่ให้ไปยืมเงินใครอีก ฟังจากที่อะตอมเล่าแล้ว พ่อของมันดูเหมือนจะสร้างปัญหาให้ลูกไม่น้อยเลย ผมอดคิดไม่ได้ว่าพ่อของมันเป็นคนไม่เอาไหนเลย น่าแปลกที่อะตอมนิสัยไม่เหมือนพ่อแม้แต่นิดเดียว​

แล้วมันเหมือนใครล่ะ อาจจะเป็นแม่ของมันก็ได้

"งั้น...ให้กูบริจาคค่าห้องมึงเดือนนี้เข้าชมรมนะ" ผมขออนุญาต แต่อะตอมก็ยังทำสีหน้าลังเล

"โทรศัพท์มึงก็ได้มาหลายหมื่นแล้ว กูเกรงใจ"

"แต่ว่ากูอยากช่วยอีกน่ะ คอปเตอร์กับอินก็เล่นดนตรีเป็น น้ำหวานกับแบงค์ก็ช่วยทำเว็บให้ กวินก็ช่วยออกแบบ ปาร์ตี้ก็ช่วยซ้อมเต้น ของกูยังไม่มีอะไรเลย ให้กูช่วยนะ" ผมอ้อนวอนและทำตาปริบๆ ไม่นานอะตอมก็ตกลง

"เออ ตามใจเว้ย"

ผมยิ้มดีใจ จากนั้นก็ป้อนข้าวอะตอมต่ออีกพักใหญ่ ก่อนข้าวจะหมดผมก็เล่าให้มันฟังว่าวันนี้ผมจะทำอะไรบ้าง

"เดี๋ยววันนี้กูตามงานชมรมให้มึงเอง กูอยู่ในไลน์กลุ่มแล้ว เดี๋ยวกูจะตามงานกราฟิตตี้วอลล์กับรุ่นพี่ให้ ตามเรื่องขอใช้สถานที่ ตามเรื่องขอสนับสนุนทุนจากบริษัท อะไรอีกนะ อ้อ ตามงานของปาร์ตี้ ตามงานของกวิน ตามงานของน้ำหวานกับแบงค์ แล้วก็...ปรึกษากับอาจารย์วิวเรื่องเนื้อหาการจัดงาน ตามเรื่องรายได้ล่าสุด กูว่าตอนนี้น่าจะได้สักสามแสนแล้วนะ แล้วก็ตามเรื่องเชิญเซเลบมาถ่ายรูปกับกราฟิตตี้วอลล์ จะให้กูตามอะไรให้อีกบอกมาเลยนะเว้ย อ้อ ตามพี่โป้งมาช่วยทำคลิปนำเสนอโครงการด้วย เกือบลืม" ผมหัวเราะแหะๆ ช่วงท้าย

ที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะทำด้วยแต่ไม่บอกอะตอม ผมจะโทรไปเล่าเรื่องอะตอมให้ป๊ากับแม่ฟัง ถึงยังไม่ได้คะแนนความมั่นใจ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้คะแนนความสงสารไว้ก่อน เผลอๆ เย็นนี้ป๊ากับแม่อาจมาเยี่ยมอะตอมก็ได้

"จะทำไหวไหมเนี่ย" อะตอมทำหน้าทึ่งๆ

"ไหวดิ มึงยังทำไหวเลย"

"อย่าหักโหมละกัน เดี๋ยวจะป่วยอีกคน" อะตอมเตือน

"เออ ไม่หักโหมหรอกน่า กูแข็งแรงนะเว้ยจะบอกให้" ผมโว ก่อนหัวเราะเบาๆ

เสร็จจากป้อนข้าว ผมก็หายามาให้อะตอมกิน ก่อนปิดท้ายด้วยการเช็ดตัวให้ อะตอมนอนนิ่งๆ ให้ผมเช็ดตัวให้อย่างว่าง่าย ช่วงที่ผมกำลังเช็ดขาให้ อะตอมก็เรียก

"กัปตัน"

"หืม" ผมหยุดและหันไปมอง

อะตอมยังไม่พูดทันที ทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง จนกระทั่งคิดจนพอใจถึงได้พูด

"กูอยากมีเงินสักสิบล้านว่ะ"

ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันที "ทำไม จะเอาเงินไปทำอะไรตั้งเยอะแยะ"

"กูอยากไปเรียนเมืองนอกกับมึงไง"

พออะตอมเฉลย ผมก็รู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย พูดอะไรไม่ออกเลย จุกในคอหอยไปหมด ผมจึงได้แต่เงียบและก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวต่อ จนกระทั่งถึงตอนเช็ดหลัง ผมให้อะตอมลุกขึ้นนั่ง เพื่อให้เช็ดได้สะดวก แต่ขณะที่ผมกำลังเช็ดอยู่ อะตอมก็กอดผม ผมก็เลยต้องหยุดเช็ดโดยปริยาย

"กูไม่มีใครแล้ว กูเหลือแต่มึง มึงไม่ไปได้หรือเปล่าวะกัปตัน กูไม่รู้จะหาเงินเยอะขนาดนั้นมาจากไหน กูคงตามมึงไปไม่ได้ แต่กูก็ไม่อยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเดิมเลย กูอยากมีมึงอยู่ใกล้ๆ กูแบบนี้ ไม่มีใครทำให้กูรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนเวลาที่กูอยู่กับมึงเลยนะเว้ย"

ฟังจบแล้วผมก็แทบจะน้ำตาร่วง เท่าที่ผมรู้จักอะตอมมา เขาไม่เคยขอร้องอ้อนวอนใครแบบนี้เลย แต่ผมก็จนใจที่จะช่วย ยังไงผมก็ต้องไป จะให้ผมพูดกลับไปกลับมากับแม่คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ติดต่อและทำเรื่องกับมหาลัยที่จะไปเรียนไว้แล้ว

"ถ้ากูเลือกได้ กูก็ไม่อยากไปหรอก มึงก็รู้ กูตกลงกับแม่ไปแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะเว้ย อยู่ไกลแค่ไหนเราก็คุยกันได้ วิดีโอคอลล์ก็ได้ คุยกันทุกวันก็ยังได้เลย กูไม่ปล่อยให้มึงเหงาหรอก" ผมพยายามปลอบใจ แต่ก็รู้แก่ใจว่ามันไม่เหมือนกัน

"พี่กัปตันอย่าทิ้งผมนะ ผมไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว โดยเฉพาะ...พี่กัปตันของผม"

เจอคำพูดแบบนี้เข้าไป ผมก็ร้องไห้จนได้ ปกติอะตอมจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ตอนนี้เขากลับอ้อนวอนผมเหมือนเด็กๆ เล่นเอาผมปรับอารมณ์ไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกสะท้อนใจและสงสารใครเท่านี้มาก่อนเลย

"พี่ไม่ทิ้งอะตอมหรอก พี่รักอะตอมนะ รักหมดหัวใจของพี่แล้ว" ผมกอดอะตอมแน่นขึ้น พลางก็ลูบหลังปลอบใจไปด้วย ตัวมันร้อนพอสมควรแม้จะเช็ดตัวไปแล้วก็ตาม

ไม่นานอะตอมก็เริ่มสงบ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างช้าๆ ผมจึงลงจากเตียง เตรียมเอาชามใส่น้ำและข้าวของไปเก็บให้เรียบร้อย ผมเอาของวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อน จากนั้นก็ช่วยห่มผ้าให้อะตอม ลูบหน้าผากให้มันเบาๆ

"พักผ่อนเยอะๆ นะ เดี๋ยวกูจะทำงานให้"

อะตอมพยักหน้าเบาๆ

"ตอนเย็นป๊ากับแม่กูจะมาเยี่ยมนะ" ผมบอกทั้งที่ยังไม่ได้โทรบอกทั้งสองคน แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าป๊ากับแม่จะมาแน่นอน

อะตอมพยักหน้าอีกครั้ง แต่แววตาของมันยังดูเศร้าเหลือเกิน เห็นแล้วก็อดสงสารแทบไม่ไหว แต่ผมจะช่วยอะตอมยังไงดี ผมไม่อยากทิ้งมันไปเลย ยิ่งเห็นมันเจอเรื่องราวแย่ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งทำใจลำบาก ถ้าจะไม่ไปจริงๆ ผมก็เชื่อว่าพอมีทางทำได้ แต่มันหมายถึงผมต้องยอมเสียคำพูดกับแม่

แล้วมันจะมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า?


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/173967709-member.jpg)

เมื่ออีกฝ่ายส่งข้อความว่ามาถึงแล้ว ผมก็พาร่างโงนเงนและสะลึมสะลือของตัวเองลงจากเตียง หวีผมเผ้าให้พอดูได้ เปลี่ยนกางเกงและเสื้อที่มักใส่เป็นประจำเวลาไม่ได้ไปไหน เหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องก็เห็นว่าบ่ายโมงกว่าแล้ว ผมนอนหลับเป็นตายเลย เพิ่งจะมาตื่นเมื่อใครบางคนโทรหาตอนเที่ยงๆ นี่แหละ ที่จริงมีคนโทรและส่งข้อความผ่านช่องทางต่างๆ มาหาเยอะกว่านั้น แต่ผมเพิ่งจะตื่นมาได้ยินเสียงเมื่อไม่นานนี้ ก็เลยตื่นไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะกลับมานอนต่อระหว่างรอ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็หยิบคีย์การ์ดและออกไปจากห้อง ใช้เวลาไม่นานก็ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง ใครบางคนนั่งรออยู่แล้ว พอเห็นผมเขาก็เดินมาหา ผมรีบขอโทษขอโพยเป็นอันดับแรก

"โทษทีพี่ รอนานหรือเปล่าครับ"

"ไม่นาน" ร่างสูงตอบ หน้าเข้มๆ มองเหมือนจะหาสิ่งจับผิด

"พี่กินข้าวมาหรือยัง"

"กินแล้ว แล้วอินล่ะ"

"ยังไม่ได้กินไรเลย" ผมยิ้มแหยๆ

ร่างสูงส่ายหน้า พลันก็ส่งของในมือให้ "ซื้อมาฝาก"

ของที่ส่งมาให้น่าจะเป็นของกินได้ ผมรับแล้วกล่าวขอบคุณ "ขอบคุณครับพี่ พี่โดมจะขึ้นไปบนห้องผมเลยไหมครับ"

พี่โดมพยักหน้า ผมจึงเดินนำชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเข้าไปยังพื้นที่ด้านในซึ่งคนนอกเข้าไม่ได้ ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงห้อง พี่โดมเคยมาห้องผมแล้ว จึงพอคุ้นเคยอยู่บ้าง ผมบอกให้พี่โดมนั่งที่โซฟา ส่วนผมเอาอาหารไปจัดการ มันเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อนั่นเอง นอกจากน้ำพริกแล้ว อีกอย่างที่ผมชอบกินก็ก๊วยเตี๋ยวเนื้อนี่แหละ ผมแกะใส่ชามแล้วก็ยกมานั่งกินที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ขนาดสองที่นั่ง

"กินข้าวเสร็จแล้ว พี่มีอะไรจะคุยด้วยนะ" พี่โดมหันมาบอก พลางก็หันกลับไปเล่นมือถือต่อ

"ครับพี่" ผมหันไปตอบ

ผมใช้เวลาไม่นานก็จัดการความหิวของตัวเองให้สิ้นฤทธิ์ ก่อนจะรีบเดินมาหาพี่โดมและนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่โดมหยุดเล่นมือถือ เหยียดหลังตรง มองผมด้วยสายตาเหมือนตอนที่เจอกันตรงลอบบี้เมื่อกี้

"ทำไมเมื่อเช้าไม่ไปเรียน"

นั่นไง ถามจนได้ แต่ครั้นจะตอบตรงๆ ผมก็ไม่กล้าตอบ

"เมื่อคืนไปทำอะไรมา พี่หมายถึง...หลังกลับจากเล่นดนตรีแล้ว" พี่โดมถามต่อ

"เอ่อ..." ผมอ้ำอึ้ง

"มีปัญหาอะไรอีกล่ะ" เสียงพี่โดมเริ่มดุ ทำเอาผมกลัวขึ้นมาหน่อยๆ

"ผม...แค่อยากสังสรรค์นิดหน่อยน่ะพี่ พอดีรู้สึกเครียดๆ" ในที่สุดผมก็หาคำตอบที่พอฟังได้จนได้

"เครียดเหรอ เครียดเรื่องอะไร"

"เรื่อง..."

"เรื่องพี่เหรอ"

เมื่อพี่โดมบอกซะเอง ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ จึงพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงยอมรับ เชื่อได้เลยว่าพี่โดมต้องตำหนิผมแน่ๆ เพราะเมื่อคืนผมไปเที่ยวผับอีกแล้ว หลังจากที่หยุดเที่ยวมาได้เป็นเดือน

"เรื่องพี่เอาไว้ก่อนละกัน แต่ที่พี่จะบอกอินก็คือ พี่รู้สึกผิดหวังนะ ตกลงอินตั้งใจจะกลับเนื้อกลับตัวจริงหรือเปล่า น้าพงศ์บอกไว้ว่าไง จำได้ไหม เป็นคนรับปากเองไม่ใช่เหรอว่าจะทำให้ได้ ยังไม่ถึงเดือนเลย ตบะแตกซะแล้ว แล้วทีนี้ใครเขาจะเชื่อถือล่ะ อย่าลืมสิว่าตัวเองยังมีคดีอะไรอยู่"

เมื่อถูกต่อว่าแบบนี้ ผมก็ชักจะเคืองเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าตัวเองทำผิดก็เถอะ ผมก็เลยเถียง

"แค่ครั้งเดียวเอง"

"ครั้งเดียวเองเหรอ" พี่โดมย้อนถาม ก่อนแค่นหัวเราะ "อะไรที่จะทำให้คนอื่นไม่เชื่อใจน่ะ ต่อให้ทำแค่ครั้งเดียว แต่มันก็ทำให้ทุกอย่างที่อินทำมาหมดความน่าเชื่อถือแล้ว จะทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ ก่อนนะอิน"

"แล้วพี่โดมมาบอกผมทำไม ผมกับพี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย!" ผมชักโมโห ถึงจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง แต่เมื่อทำไม่มากพอ นิสัยเดิมๆ ก็ยังแผลงฤทธิ์ได้

พี่โดมชะงัก มองผมนิ่ง จากที่ผิดหวังในตัวผมอยู่แล้วก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นไปอีก ผมเห็นสายตาแบบนั้นแล้วก็ใจหาย ที่พูดไปเมื่อกี้คงกระทบใจอีกฝ่ายไม่น้อย ไม่นานก็แค่นหัวเราะอีก

"โอเค กูเสือกเรื่องของมึงเอง ถ้างั้น...กูก็ไม่มีอะไรจะคุยกับมึงละ"

พูดจบพี่โดมก็ลุกขึ้น พลันก็เดินตรงไปยังประตู ผมใจหายวาบ รีบวิ่งไปขวางประตูไว้ทันที

"พี่โดมเดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ผมขอโทษ" ผมยกมือไหว้ เอาหลังพิงประตูไว้ เมื่อคิดได้แล้วก็รู้สึกผิด

"จะออกหรือไม่ออก" พี่โดมขู่เสียงดุ หน้าก็ดุมากด้วย

"ไม่ออก พี่โดมฟังผมก่อนดิ"

"กูไม่อยากเสือกเรื่องของมึงแล้ว เก่งนักมึงก็แก้ปัญหาของมึงเอาเองละกัน ออก!" พี่โดมเสียงดังตอนท้าย เล่นเอาผมสะดุ้งตกใจ

"ผมไม่ได้อยากเหลวไหลนะพี่ ผมแค่น้อยใจพี่โดมเฉยๆ ทำไมล่ะพี่ พี่รู้สึกดีกับผมไม่ใช่เหรอ พี่เป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าผมไม่มีความหมายกับพี่โดม พี่โดมก็ไม่มาหาคนอย่างผมหรอก แล้วทำไมอยู่ดีๆ พี่โดมก็มาบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับผมล่ะ พี่โดมไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไง"

ในที่สุดผมก็พูดออกมาจนได้ เพราะถ้าไม่พูดพี่โดมอาจจะไปจากผมและไม่กลับมาอีกเลย พี่โดมนิ่งอึ้ง ถือว่าเป็นจังหวะดีที่ผมจะรุกต่อ

"ถ้าพี่โดมไม่รู้สึกอะไรกับผม พี่จะมาให้ความหวังผมทำไม ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่ทีแรก ไม่ใช่มาให้ความหวังผมแบบนี้ แต่สุดท้ายก็มาบอกว่าไม่ได้คิดอะไร ผมเสียใจนะพี่ คนนิสัยไม่ดีอย่างผมก็เจ็บเป็นนะเว้ย" ผมตัดพ้อ ความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ค่อยๆ แรงกล้าขึ้น

"พี่เงียบทำไมล่ะ บอกผมมาสิว่าพี่จะเอายังไง!" ผมคาดคั้นต่อ ยิ่งพี่โดมเงียบผมก็ยิ่งกดดันตัวเอง เมื่อพี่โดมยังไม่ตอบ ผมจึงถามด้วยน้ำเสียงที่กร้าวขึ้น

"ผมยังมีความหมายกับพี่อยู่หรือเปล่า!"

ยังไม่ตอบใช่ไหม งั้นผมจูบเลยละกัน!

ผมใช้สองมือดึงศีรษะพี่โดมเข้ามาหา จากนั้นก็บดขยี้จูบลงไปอย่างหนักหน่วง แต่ไม่นานผมก็โดนผลักออกเต็มแรง ร่างผมกระแทกประตูดังโครม เล่นเอาผมจุกเลยทีเดียว

"ไอ้เด็กเวร! มึงอย่ามาทำอย่างนี้กับกูนะเว้ย!" พี่โดมลั่นเสียงสั่น ก่อนใช้หลังมือเช็ดถูปากของตัวเองสองสามครั้ง ดูท่าจะโมโหผมมากทีเดียว

นี่ผมทำผิดอีกแล้วเหรอ!

สรุปว่าคนอย่างผมจะทำอะไรดีๆ กับเขาไม่ได้เลยใช่ไหม!

"ได้ครับพี่โดม ต่อไปผมจะไม่ทำอย่างนี้กับพี่อีก เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่แล้ว เอาเป็นว่า...ผมผิด คนอย่างผม...ไม่มีทางเป็นคนดีได้หรอก ผมทำได้แค่นี้แหละพี่ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ ต่อไป...พี่ไม่ต้องหวังอะไรกับผมแล้ว!"

พูดจบผมก็ร้องไห้จนได้ เพราะน้ำตามาจ่อไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ผมทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นประตูเหมือนคนสิ้นหวัง เงยหน้ามองพี่โดมซึ่งยังมีท่าทางไม่พอใจ สายตาแบบนั้นทำให้ผมเจ็บมากเหลือเกิน

เจ็บที่เข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายมีใจให้

เจ็บที่คนอย่างผมไม่มีทางเป็นคนดีกับเขาได้

ผมก้มหน้าลงซบหัวเข่า จากนั้นก็ร้องไห้โฮอย่างหนัก ไม่ได้สนใจแล้วว่าพี่โดมจะอยู่หรือไป เพราะสิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเอง ผมผิดหรือที่ผมน้อยใจ ผมเสียใจไม่ได้หรือที่รู้ว่าคนที่ผมชอบไม่ได้คิดอะไรกับผม มันก็มีแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธและต่อว่าผมขนาดนี้ด้วย

พี่โดมคงไม่สนใจผมแล้ว เสียใจขนาดนี้ยังไม่คิดจะปลอบใจผมบ้างเลย ยิ่งรู้ก็ยิ่งเสียใจ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีความหมายใดๆ กับพี่โดยเลย ก็ดีแล้ว นี่คงเป็นบทเรียนที่คนอย่างผมสมควรได้รับ

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนตามด้วยคำพูดที่ไม่รู้ว่าเห็นใจหรือรำคาญกันแน่

"หยุดร้องไห้ได้แล้ว"

ผมเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้หรอก

"อย่าคิดว่าเอาน้ำตามาใช้แล้วพี่จะเห็นใจง่ายๆ นะ บอกไว้ก่อนว่าคราวนี้พี่ยอมให้อภัยง่ายๆ หรอก อยากทำอะไรแย่ๆ ต่อก็ทำได้ พี่ไม่ห้าม ทำแล้วมีความสุขก็ทำไป แต่รู้ไว้อย่างนะ มันไม่ใช่เพราะอินทำดีไม่ได้หรอก แต่อินไม่อดทนต่างหาก เจอปัญหาหน่อยก็ท้อง่ายๆ ถ้าอยากพิสูจน์ตัวเอง ถ้าอยากเอาชนะใจคนให้ได้ ทำแค่นี้ไม่พอนะเว้ย หัดมีความอดทนซะบ้าง บ่ายนี้ก็อยู่กับตัวเองแล้วก็คิดให้ดีๆ ละกัน พี่จะไปเยี่ยมอะตอม เขาไม่สบาย"

พูดจบพี่โดมก็เอามือจับลูกบิดประตูและดึงเปิดออก มันหนักเล็กน้อยเพราะผมนั่งพิงอยู่ แต่พี่โดมก็เปิดออกไปจนได้ ทิ้งผมไว้ในห้องคนเดียวเงียบๆ น่าแปลกที่ผมค่อยๆ หยุดร้องไห้ อาจจะเป็นเพราะข้อคิดที่พี่โดมให้ผมไว้เมื่อกี้ก็ได้

เอาเถอะ อย่างน้อยพี่โดมก็กลับมาเรียกแทนตัวเองว่า "พี่" ก่อนจากไป ผมคงไม่หมดหวังซะทีเดียว แต่คงต้องรู้จักอดทนให้มากกว่านี้



// นิยายจะจบแล้วนะครับ
// 555 สงสารตัวเองจังเลย คนหาย
// แต่ก็ยังโชคดีที่ยังพอมีเหลืออยู่
// ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดนะครับ



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-10-2017 12:49:06
อะตอมเคว้งแน่เลยถ้ากัปตันไปเรียนต่ออ่ะ ถ้าจะขอแม่ไม่ไปอะตอมจะดูเห็นแก่ตัวในสายตาแม่กัปตันไหมอ่ะ :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-10-2017 12:52:58
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 31-10-2017 13:03:02
น่าแปลกใจจริงๆ จนถึงตอนนี้แล้วอินก็ยังคิดไม่ได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ได้คุยกับป๊าก็แล้ว นั่นกูรูส่องแสงนำทางชีวิตเลยนะก็ยังคิดไม่ได้ บัวใต้น้ำก็ยังอยู่ใต้น้ำต่อไป ปล่อยวางเถอะพี่โดม จะได้ปล่อยตัวเองด้วย เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 31-10-2017 17:48:14
 :hao5: สงสารร ต่อไปก็ต้องห่างไกลกันอีก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 01-11-2017 11:03:51
ชีวิตต้องสู้ อย่างน้อยก็มีกำลังใจนะอะตอม :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-11-2017 12:05:19
ใกล้จบแล้วเหรอ ใจหายนะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 12:59:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 06-11-2017 19:30:58
จะมีใครสักคนถามหานิยายเรื่องนี้บ้างไหมหนอ?
จะจบแล้วนะครับ ไม่อยากอ่านตอนจบแล้วเหรอ ฮิือๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP29 ความจริงที่ยากจะรับได้ [3/3] - 31.10.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: dashdash ที่ 06-11-2017 23:13:53
เข้ามาให้กำลังใจคนเขียนนะครับ ฮีบๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 07-11-2017 07:59:26
EP30 - P1
MovingForward

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1328519804-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/329548813-member.jpg)

ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกเดือนแล้ว ผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย สำหรับคนที่ไม่คาดหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคงเฉยๆ แต่สำหรับผม ทุกวินาทีที่ผ่านไปหมายถึงเวลาที่ผมจะได้อยู่กับคนที่ผมรักน้อยลงไปด้วย

วันนี้อะตอมกลับบ้าน ช่วงที่ผ่านมาเขาทำงานหนักมาก เพราะต้องระดมทุนทุกวิถีทางเท่าที่จะหาได้ เรียกว่าไม่ได้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อเลยเป็นเดือนนอกจากโทรหา รู้สึกว่ามันจะคุยกับภีมบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ พอเสร็จงานมันก็เลยขอไปหาพ่อ ถึงอะตอมจะรู้สึกไม่ดีกับพ่อนัก แต่ผมก็บอกเขาให้เขาลองคิดอีกด้าน ตอนนี้เท่ากับว่าอะตอมเหลือพ่ออยู่คนเดียวแล้ว ถึงจะโกรธกันแค่ไหนก็ต้องไม่ทิ้งกัน เพราะวันไหนที่พ่อจากไป อะตอมจะไม่เหลือใครเลยที่เป็นสายเลือดเดียวกัน เขาก็เลยฟัง

พออะตอมไม่อยู่ผมก็เลยมาหาแม่ ช่วงสายๆ วันอาทิตย์ผมลงมานั่งเล่นข้างล่าง ส่วนมากเล่นเฟสและไลน์คุยกับเพื่อน รวมทั้งลมหนุนด้วย ดึกป่านนี้ไม่รู้ว่าทำไมมันยังไม่นอน แถมยังมาถามผมเรื่องที่ผมไม่ค่อยอยากตอบอีก

“ทำไมไม่บอกว่ามีแฟนล่ะ จะได้ไม่ยุแม่ให้พี่มาเรียนนี่”

“ถามทำไม” ผมตอบน้องชายไป ปกติคนที่อเมริกาไม่เล่นไลน์หรอก แต่ลมหนุนมีแอปนี้ไว้คุยกับครอบครัวและญาติๆ

“อายเหรอ ผมถามพี่โดมหมดแล้ว แฟนพี่เป็นผู้ชายเหรอ”

พวกเราอาจจะใช้ภาษาที่ดูห้วนๆ กันไปบ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของการสื่อสารทางไลน์อยู่แล้ว

“อือ”

“เขานึกยังไงมาชอบพี่”

“ไม่รู้เว้ย” ผมชักรำคาญ

“กล้าเนอะ”

“หมายความว่าไง” ผมเริ่มรู้สึกถึงการคุกคาม เพราะน้องชายชอบข่มผม

“พี่ก็น่าจะรู้”

“ทำไมยังไม่นอนอีก” ผมชวนเปลี่ยนเรื่อง

“ไปเที่ยวกับเพื่อนมา”

“เดี๋ยวนี้เที่ยวกลางคืนเหรอ” ผมขมวดคิ้ว แม่น่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้แน่ๆ

“อือ เบื่ออยู่เฉยๆ”

ผมไม่ตอบทันที ลมหนุนจึงส่งมาอีกข้อความ

“ส่งรูปแฟนมาให้ดูหน่อย”

“จะดูไปทำไม”

“ก็อยากเห็น หล่อมะ”

ผมไม่ตอบ แต่ลมหนุนก็รบเร้าขอดูไม่เลิก ผมจึงตัดรำคาญด้วยการส่งรูปที่อะตอมถ่ายแบบไปให้

“ห๊า เป็นนายแบบเหรอ”

“อือ”

“ไม่น่าเชื่อว่ามาชอบพี่ได้” ลมหนุนส่งสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนหัวเราะตลกมาด้วย ไม่รู้ว่าขำอะไรนักหนา แล้วก็ถามอีก

“มีไรกันยัง”

ยิ่งถามก็ยิ่งละลาบละล้วง ผมก็เลยไม่ตอบ ชักกังวลแล้วว่าไปอยู่ด้วยจะเป็นยังไง ตอนเด็กๆ ที่อยู่ด้วยกัน เขาชอบทำอะไรทำนองนี้กับผมบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมเลย

“ผมว่าเขาคงคิดหนัก 555” ลมหนุนยังแหย่ไม่เลิก

“จะมากไปแล้วนะลมหนุน”

ผมรู้สึกหงุดหงิดจนต้องวางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโต๊ะ หมดอารมณ์จะคุยเล่นกับเพื่อนไปเลย

“อ้าว เป็นไรลูก ทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะ”

แม่ผมลงมาพอดี วันนี้แม่อยู่บ้านก็เลยลงมาสาย ส่วนป๊าอยู่ฮ่องกง ไปเจรจาดีลสินค้าที่นั่น

“เปล่าครับ” ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติและยิ้มให้แม่

แม่นั่งลงแล้วก็ถาม “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอลูก”

“พักมั่งดีกว่าครับ ช่วงก่อนงาน ผมออกข้างนอกทุกวันเลย เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด”

“ก็ดีลูก จะได้หายเหนื่อย อ้อ ตกลงอะตอมเขาหาเงินได้ถึงล้านไหมลูก" อยู่ๆ แม่ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา เล่นเอาผมใจคอไม่ดี

"เอ่อ...ยังครับแม่"

ผมตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ แม่คงไม่ได้ถามเรื่อยเปื่อยแน่นอน แต่มีความคาดหวังบางอย่าง

"แล้วหาได้เท่าไหร่ล่ะ" แม่ถามต่ออีก

"ก็...ประมาณ...ห้าแสนครับ" ผมเริ่มไม่กล้าสบตากับแม่ เพราะตัวเลขที่บอกห่างจากเป้าหมายตั้งครึ่ง แถมเวลาก็เหลือน้อยลงไปทุกที

"ห้าแสนเหรอ" แม่ถามทวน

"ครับ"

"โทรเรียกอะตอมมาหาแม่หน่อยสิ"

“เขากลับบ้านไปหาพ่อน่ะครับ”

“เย็นๆ มาได้ไหมล่ะ” แม่ต่อรอง

“เดี๋ยวผมถามอะตอมก่อนนะครับ”

ผมแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาใหม่และกดโทรหาอะตอม ไม่นานอะตอมก็รับสาย

“ไงครับที่รัก โทรมาแต่เช้าเลย กลัวแฟนหายเหรอ”

รับสายปุ๊บก็หยอดผมปั๊บเลย ไม่รู้ว่าแม่ผมได้ยินหรือเปล่าเพราะนั่งอยู่ใกล้ๆ ดีที่แม่ลุกออกไปก่อน น่าจะไปหาอะไรกินในครัว

“เออ คุยได้ไหมเนี่ย”

“ได้สิ กูมีเวลาให้แฟนกูเสมอแหละ”

“มึงอย่ามาเว่อร์ กูจะอ้วก” ผมแกล้งว่า อะตอมถึงกับขำก๊าก

“เย็นนี้มาบ้านกูได้ไหม” ผมรีบเข้าเรื่อง

“เย็นนี้เหรอ กูว่าจะพาพ่อไปกินข้าวนอกบ้านหน่อย พาเมียเขาไปด้วย มีไรเปล่า”

“แม่กูอยากคุยกับมึงน่ะ ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรว่ะ แต่เมื่อกี้เขาถามกูว่าชมรมเราหาเงินได้เท่าไหร่ กูบอกเขาไปแล้ว เขาทำหน้าแปลกๆ ว่ะ ไม่รู้ว่าโอเคหรือเปล่า”

อะตอมใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจ “งั้นเดี๋ยวกูเข้าไป”

“อ้าว แล้วมึงไม่พาพ่อไปกินข้าวเหรอ”

“เดี๋ยวพาไปตอนเที่ยงๆ แทนก็ได้ เย็นๆ กูจะได้ไปบ้านมึงแล้วก็กลับคอนโดเลย”

“เออๆ เอาอย่างงั้นก็ได้”

“มึงกลัวอะไรหรือเปล่า”

ดูเหมือนอะตอมจะจับสังเกตความรู้สึกของผมผ่านน้ำเสียงได้ พออยู่ด้วยกันมากเข้า เราก็เริ่มรู้รายละเอียดเล็กน้อยของกันและกันมากขึ้น

“เออดิ เมื่อกี้แม่กูทำสีหน้าไม่ค่อยดีเลย กูกลัวว่าเขาจะ…” ผมไม่กล้าพูดต่อ

ผมได้ยินเสียงอะตอมถอนหายใจและเงียบไปสักพัก

“อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแหละวะ แต่กูก็พยายามเต็มที่แล้วนะเว้ย แต่มันได้เท่านี้ ให้ทำไงวะ” น้ำเสียงของอะตอมฟังดูเศร้าตอนท้าย

“เออ กูก็รู้แหละว่ามึงเต็มที่ กูรู้ว่ามึงโคตรเหนื่อยเลย แต่แม่กูเขาไม่ได้เห็นเหมือนที่กูเห็นไง ทำไงดีวะ กูกลัวแม่ไม่ให้กูคบมึงว่ะ ไหนจะต้องไปเรียนเมืองนอกอีก กูไม่อยากไปเลย กูว่ากูอยู่กับน้องกูไม่ได้หรอกว่ะ” ผมบ่นและเริ่มเครียด

“เฮ้ย กูว่าอย่าเพิ่งตีโพยตีพายเลย บางทีมันอาจจะไม่ได้มีอะไรแย่ๆ อย่างที่เราคิดก็ได้นะเว้ย เอาเป็นว่า…รอเย็นนี้ดีกว่า ถ้าแม่มึงไม่ยอมให้กูคบมึงนะ เดี๋ยวกูฉุดมึงหนี” อะตอมพูดติดตลกตอนท้าย

“เออ เย็นนี้เจอกันเว้ย” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสบายใจขึ้นหน่อย

“ครับผม แล้วเจอกันนะครับที่รัก จุ๊บๆ”

อะตอมทำเสียงจุ๊บใส่โทรศัพท์มาด้วย ผมก็เลยพอหัวเราะได้ทั้งๆ ที่เครียด นึกถึงแววตาขี้เล่นของมันแล้วก็ยิ้ม จะว่าไปมันก็เป็นคนน่ารัก อยู่ด้วยแล้วผมมีความสุข หลังๆ มานี้แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย แถมยังช่วยกันทำงานหาเงินอย่างกับเป็นคู่ชีวิตกันจริงๆ ด้วย

เย็นนี้เราคงจะได้รู้ชะตากรรมของเรากันแล้ว หวังว่าแม่จะไม่ตัดสินอะตอมแค่จำนวนเงินที่หาได้ เพราะสิ่งที่มากกว่าเงินก้อนนี้ก็คือความทุ่มเทและตั้งใจของอะตอมนี่แหละ


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/334549881-member.jpg)

​ผมพนันกับอินไว้ว่าถ้าเขาหาเงินได้ถึงห้าหมื่นจากการเล่นดนตรีหนึ่งเดือน ผมจะพาเขามาเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง รวมทั้งจะให้เสื้อยีนซึ่งตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สุดเท่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงชอบ เพราะไม่ค่อยเข้ากับหน้าหวานๆ มันเท่าไหร่ แต่ก็ไปหาแบบที่อินชอบมาให้จนได้

ที่จริงตอนที่อินแอบไปเหลวไหลผมก็โมโหไม่น้อย แต่พออารมณ์เย็นลงก็เริ่มเข้าใจว่าเขายังเด็ก ผมจึงให้อภัย จากนั้นก็หาวิธีสร้างแรงจูงใจให้ การให้รางวัลความพยายามน่าจะช่วยได้ พอจึงผมท้าทายให้อินพิสูจน์ตัวเอง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำผลงานอย่างตั้งใจ ทำตัวดีขึ้น มีระเบียบวินัยกับชีวิตมากขึ้น แม้บางวันจะเหนื่อยไม่อยากออกไปเล่นดนตรี แต่เขาก็ยังอุตส่าห์กัดฟันออกไป จนในที่สุดก็สามารถทำได้ตามเป้าหมาย

หลังเสร็จจากดูหนังที่อินอยากดูตอนเย็น ผมก็พาอินมาส่งที่ห้อง ถือถุงใส่กล่องของขวัญชิ้นหนึ่งติดมือมาด้วย แต่ยังไม่บอกให้อินรู้ว่าเป็นอะไร ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ว่าเขาคงสงสัย เพราะยังเหลืออีกหนึ่งอย่างที่ผมติดค้างไว้

"ขอบคุณนะครับพี่โดมวันนี้ อาหารก็อร่อย หนังก็สนุก หายเหนื่อยเลย" อินนั่งลงบนโซฟาพลางยิ้มมีความสุข

"ทำดีก็ต้องให้รางวัลสิ" ผมชมพลางเอาของวางบนโต๊ะก่อน จากนั้นก็ตามไปนั่งบนโซฟาข้างๆ อิน

"ตอนแรกนึกว่าจะทำไม่ได้ซะแล้ว พี่โดมตั้งโจทย์โหดมาก คิดดูดิ บางวันก็ได้หลายพันนะ แต่บางวันได้ไม่ถึงพันเลย ผ่านไปยี่สิบวันได้แค่สองหมื่นกว่า ตอนนั้นผมคิดแล้วว่ายังไงก็ไม่ได้แน่ๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้" อินหัวเราะขำตัวเอง คงจะนึกถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองทำลงไปด้วย แต่ถ้าดูสีหน้าจะเห็นว่าเขาภูมิใจไม่น้อย

"ก็งัดออกมาใช้จนหมดนี่ ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งแสดง เล่นตลกก็เป็นด้วย เห็นไหม ถ้าจะทำให้มันได้จริงๆ มันก็ทำได้ แค่อดทนหน่อยเท่านั้นเอง" ผมชมพลางเอามือลูบหัวอินเบาๆ

"ก็ต้องขอบคุณพี่โดมด้วยแหละที่ให้กำลังใจผม แต่น่าเสียดาย ได้มาแค่ห้าแสนกว่าเอง ไม่รู้ว่าที่บ้านกัปตันจะว่ายังไงมั่ง สงสารอะตอมนะพี่ เขาเหนื่อยมากเลย ทำสารพัดอย่าง เหนื่อยกว่าผมอีก ถ้าอะตอมไม่ตั้งโจทย์แบบนั้นไว้นะ ผมจะขอให้ป๊าบริจาคให้สักแสนเลย ถ้าให้พ่อแม่ของพวกเราหลายๆ คนช่วยกันบริจาคนะ ป่านนี้ได้ครบล้านแล้ว เฮ้อ" อินถอนหายใจด้วยความเสียดาย

วันนี้อินเปลี่ยนไปมากทีเดียว เขารู้จักห่วงคนอื่น เห็นใจคนอื่น แถมยังรู้จักอดทนช่วยเหลือเพื่อน แค่นี้ผมก็รู้สึกภูมิใจแล้ว ใช่แต่ผมเท่านั้น ทางมหาลัยเองก็ได้ชื่อเสียงไปด้วย แม้ว่าอินกับอะตอมจะมีเรื่องภาพไม่เหมาะสมก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายทางมหาลัยก็แค่เรียกไปเตือน ทั้งสองคนจึงรอดพ้นจากการถูกลงโทษเพราะสิ่งดีๆ ที่พวกเขาช่วยกันทำ

"พี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงนะ พวกเราทุกคนก็ทำเต็มที่แล้ว แต่เงินห้าแสนก็ไม่ใช่น้อยๆ หรอก ช่วยกันหาเงินเยอะขนาดนี้ภายในเดือนสองเดือนได้ พี่ก็ว่าไม่ธรรมดาแล้ว หวังว่า…น้าของพี่เขาจะมองเห็นมุมนี้นะ ไม่ใช่มองแต่ตัวเงิน"

"ผมเห็นด้วยเลยพี่ เงินมันหาไม่ได้ตามเป้าก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเราขี้เกียจหรือไม่สู้ซะหน่อย แต่สู้จนยกสุดท้ายแล้วมันได้เท่านี้" อินพูดเหมือนรำพึง

"เอาเหอะ ยังไงๆ พี่ก็ภูมิใจกับผลงานของน้องๆ ทุกคนแหละ ถ้าทำเต็มที่แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไร ไม่มีใครมาว่าได้หรอกว่าไม่พยายาม" ผมเหยียดปากยิ้ม จากนั้นก็ลุกไปหยิบถุงใส่กล่องของขวัญมา

"ของรางวัลชิ้นสุดท้ายสำหรับอิน พี่ไม่มีอะไรติดค้างแล้วนะ"

"เสื้อยีนเหรอพี่" อินถามอย่างตื่นเต้น

"แกะดูสิ" ผมยื่นถุงใส่กล่องของขวัญให้

อินลุกขึ้นมารับ จากนั้นก็เอาไปวางบนโต๊ะเตี้ยกระจกตรงโซฟา กล่องของผมไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แกะกระดาษออกไม่กี่ครั้งก็เผยให้เห็นของที่อยู่ข้างใน อินตาลุกวาวทันทีที่ได้เห็นของสิ่งนั้น

"โห เท่มากเลยครับพี่โดม" อินหยิบเสื้อขึ้นมาดูด้วยสายตาชื่นชม จากนั้นก็หันมายิ้มให้ผม

"ขอบคุณนะครับ"

ดูเหมือนว่าอินอยากทำอะไรบางอย่างมากกว่าแค่พูดขอบคุณ แต่แววตาของเขาบ่งบอกว่าไม่กล้าทำสิ่งที่คิด ผมก็เลยอ้าแขนออก อินวางเสื้อลงแล้วรีบโผเข้ากอดผมทันที

"หวังว่าจะชอบนะ" ผมถามพลางลูบหลังอินเบาๆ

"ชอบครับพี่"

"ของที่พี่ให้ เก็บไว้ดีๆ นะ"

"ครับพี่"

"เสื้อที่พี่ให้ไม่ใช่แค่ของขวัญ แต่มันเป็นรางวัลความพยายามของอิน ใส่แล้วอินจะได้นึกถึงสิ่งดีๆ ที่อินทำไง มันจะช่วยเตือนใจอินให้รู้จักอดทน เวลาท้อ อินต้องนึกถึงเสื้อตัวนี้ไว้นะ มันจะช่วยให้อินลุกขึ้นมาสู้ต่อไปได้"

"ครับพี่โดม ขอบคุณพี่มากนะครับ"

ถ้าฟังจากเสียงอินน่าจะร้องไห้ไปแล้ว แต่น้ำตาของเขามาจากความดีใจและภูมิใจ

"อย่าขอบคุณแต่พี่คนเดียว มีหลายคนที่อินต้องขอบคุณรู้ไหม"

"ครับพี่"

ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้อินจะกลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายไปแล้ว แต่เขาไม่ได้เชื่อง่ายเพราะความโง่เขลาเหมือนที่ผ่านมา บทเรียนชีวิตคงช่วยสอนให้เขาฉลาดกับชีวิตมากขึ้น ผมเชื่อว่าเขาจะเลือกทางเดินที่ดีให้กับตัวเองได้อย่างมั่นคงต่อไป

ไม่นานเราก็ผละออกจากกัน แม้ว่าจะพูดอะไรไปบ้างแล้ว แต่ผมก็รู้ว่าเรายังมีอีกเรื่องที่ค้างคามานานพอสมควร ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพูดมันออกมาก่อน

"ผม/พี่…"

อยู่ๆ เราสองคนก็พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นต่างคนก็ต่างหัวเราะเขินๆ

"พี่พูดก่อนละกันครับ ในฐานะที่มีอาวุโสกว่า" อินผายมือให้เกียรติและเชื้อเชิญ

"หาว่าพี่แก่เหรอ" ผมแแกล้งทำเสียงดุ

"เปล่า พี่ไม่แก่หรอก แค่อายุมากกว่าเฉยๆ" อินหัวเราะ

"โอเค พี่พูดก่อนก็ได้" ผมตัดสินใจรับคำเชิญ เปลี่ยนท่าทางให้ดูจริงจังมากขึ้น สอดนิ้วมือประสานกันไว้ จากนั้นก็เริ่มเข้าเรื่องสำคัญ

"พี่คิดว่าพี่ได้คำตอบแล้วล่ะว่าเราสองคน…ควรจะเป็นแบบไหน พี่ก็…คิดอยู่นานนะ ค่อยๆ ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดว่าพี่…รู้สึกหรือคิดอะไรกับอินกันแน่ ตอนแรกมันก็ไม่ชัด พี่ไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร ไม่รู้ว่าเราชอบกัน หรือแค่รู้สึกแบบ…โบรแมนซ์ ไม่รู้มีอย่างอื่นอีกหรือเปล่านะ พี่นึกออกแค่นี้ บางครั้งพี่ก็โกรธอิน เกลียดก็เคย บางทีก็ไม่คิดว่าพี่จะรักคนแบบอินได้ แต่สุดท้าย…พี่ก็ให้อภัย เพราะพี่เห็นบางอย่างในตัวอินที่คนอื่นอาจจะไม่เห็น พี่ถึงให้โอกาสอินอีกครั้ง แล้วอินก็ทำได้ซะด้วย ทำได้ดีมากเลย พี่ขอชื่นชมจากใจจริงนะ"

ผมหยุดเว้นจังหวะและยิ้มให้อินบางๆ

"แต่ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ตอนนี้ พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่ามันจะตรงกับสิ่งที่อินคิดไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ตรง…พี่ก็คงต้องขอโทษด้วย แต่ถ้าตรงกัน…"

"ขอบคุณนะครับพี่ชาย" อินพูดขัดจังหวะขึ้นมา

ผมหยุดนิ่งไปเลยทันที เราสองคนมองหน้ากันนิ่ง ผมเห็นความเศร้าในแววตาของอินปรากฏ แต่ก็ไม่ใช่ความเศร้าแบบคร่ำครวญเสียใจ ทว่ามันเป็นความเศร้าแห่งการยอมรับความจริง เหมือนเขาเองก็รู้ตัวและทำใจมาก่อนแล้ว ในไม่ช้าการยอมรับนี้ก็จะนำความสุขและสิ่งที่ดีกว่ามาให้ ชีวิตก็จะไปข้างหน้าต่อได้

ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงความรู้สึกเห็นใจก่อนดี

"อินโอเคใช่ไหม"

ริมฝีปากของอินเริ่มสั่น เขาพยายามจะยิ้ม แต่ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นร้องไห้ซะแล้ว

"โอเคครับพี่ ผมรู้แล้วล่ะ ผมไม่เหมาะกับพี่หรอก พี่โดม…ควรจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม ผมทำใจไว้แล้ว แต่ผมก็ดีใจนะพี่ เพราะอย่างน้อยผมก็มีพี่ชายใจดีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน พี่โดมไม่รังเกียจใช่ไหมครับถ้าผม…จะขอเป็นน้องชายของพี่คนหนึ่ง"

"พี่จะรังเกียจอินได้ไง พี่ภูมิใจในตัวอินนะ ภูมิใจมากๆ ด้วย" ผมยืนยันหนักแน่น

อินโผเข้ากอดผมอีกครั้ง คราวนี้น้ำตาที่กลั้นไว้พังทำนบกั้นจนต้านไม่อยู่ เขาคงเจ็บที่เราสองคนจะไม่ได้ไปต่อในแบบที่เขาหวังเอาไว้ อินกอดผมแน่นและตัวสั่นเทิ้ม คิดๆ ไปแล้วผมก็เสียใจที่ต้องบอกเขาแบบนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถโกหกตัวเองต่อไปได้ เพราะยิ่งจะทำให้อินมีหวังและเจ็บยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ความจริง

"พี่โดม…ผมมีอะไรอยากจะบอกพี่อย่างหนึ่ง ขอให้ผมบอกพี่ได้หรือเปล่า" อินพูดละล่ำละลัก

"ได้สิอิน พี่ยินดีฟังทุกอย่างที่อินจะพูดเลย"

"จริงนะพี่ พี่อย่าว่าผมนะ"

"พี่จะว่าอินทำไม วันนี้…เราสองคนต้องเปิดใจคุยกันให้หมดนะ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกันไง" ผมยืนยัน

"ครับพี่"

อินพยายามจะหยุดร้องไห้ แต่ก็ใช้เวลาอีกสักพักเลยทีเดียวกว่าเขาจะสงบจิตใจได้ เขาปล่อยอ้อมแขนออกจากผม บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาเหลืออยู่ แต่เขาก็มีรอยยิ้ม แม้จะเป็นยิ้มของความผิดหวัง แต่ผมรู้ว่าสุดท้ายเขาก็จะเข้าใจและยอมรับได้ในที่สุด

"บอกพี่ได้หรือยัง" ผมถามด้วยเสียงอ่อนโยน

อินพยักหน้าช้าๆ แต่ก็ยังต้องใช้เวลารวบรวมความกล้าอีกเล็กน้อย

"มันเป็นความรู้สึกดีๆ ของผมนะพี่ ผมแค่อยากให้พี่รับไว้ ไม่ต้องส่งคืนให้ผมหรอก เพราะผมเต็มใจให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่พี่โดมต้องการแล้ว แต่ผม…"

อินหยุดเว้นจังหวะ จากนั้นก็พยายามมอบรอยยิ้มที่ดีที่สุดของเขามาให้ผม นี่คือรอยยิ้มของอินที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย

"ผมรักพี่โดมครับ"



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-11-2017 09:02:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-11-2017 09:02:54
ความรู้สึกลึกแท้จริงของพี่โดม ที่บอกอินว่า ไม่ได้รักอินแบบคนรัก
คิดแค่น้องชาย จริงรึ  :hao3:
ถ้าต่อไมีคนมาชอบอินจริงๆ พี่โดมก็รับความรู้สึกที่จะเกิดกับตัวเองให้ได้ละกัน

ลมหนุน ทำไมชอบข่มพี่ชาย
เพราะกัปตันพิการหรือ ถ้าใช่ก็เป็นน้องที่ร่างกายสมบูรณ์ แต่จิตใจพิการ
หรืออิจฉาที่พ่อแม่รัก สนใจ เอาใจใส่กัปตัน นี่ก็โทษกัปตันไม่ได้
เพราะแม่คิดว่าเป็นความผิดของแม่

แต่คิดว่าลมหนุน คิดกับกัปตันเกินพี่น้อง
พอรู้ว่ามีนายแบบมาชอบกัปตัน เลยพูดให้กัปตันคิดมาก
ว่าอะตอมไม่ได้รักกัปตันจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-11-2017 11:44:39
ลมหนุนพูดจาแบบดูถูกดูเหยียดพี่ชายมากเลยอะ จะรักจะห่วงกันหรือเปล่าไม่รู้แต่คนฟังไม่ได้รู้สึกดีเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2017 12:29:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - P1 - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 07-11-2017 18:04:05
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - P2 - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 07-11-2017 18:37:59
EP30 - P2
MovingForward

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1328519804-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/329548813-member.jpg)

“นั่งสิ”

“ครับ”

อะตอมนั่งลงตามที่แม่ผมบอก ดูไม่มีท่าทางเคอะเขินหรือตื่นกลัวให้เห็นเลย คงจะเตรียมตัวมาดีแล้ว เพราะเมื่อตอนบ่ายผมให้อะตอมโทรไลน์หาป๊าผม น่าจะได้คำแนะนำดีๆ มาพอสมควร จะว่าไปป๊าผมก็เชียร์อะตอมอย่างออกหน้าออกตาเอาเรื่องเหมือนกัน

“งานโครงการเสร็จหมดแล้วเหรอ”

“ก็ไม่เชิงครับ แต่พองานอีเวนต์จบ กระแสมันก็เลยตก แต่ก็ยังพอมีเงินบริจาคเล็กๆ น้อยๆ มาอยู่ครับ” อะตอมตอบด้วยท่าทางสบายๆ และไม่ดูกดดัน

“ก็ดีนะ แล้วอะตอมวางแผนต่อยังไงล่ะ เห็นว่าไม่ได้เงินตามเป้านี่”

ผมว่าวันนี้แม่ผมคงจะเล่นแต่คำถามยากๆ แน่ๆ น่าจะรู้มาบ้างว่าป๊าผมคุยกับอะตอมเมื่อตอนบ่าย

“ช่วงนี้ผมคงพักงานอีเวนต์ไว้ก่อนครับ เพราะว่าตอนนี้เพื่อนๆ เหนื่อยกันมาก แต่ผมก็คุยๆ กับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมไว้ว่าเราจะเริ่มปรับปรุงมหาลัยบางส่วนจากเงินที่หาได้ ทำเสร็จแล้วก็จะเอามาทำพีอาร์ให้คนเห็นว่าเราใช้เงินบริจาคมาทำประโยชน์จริงๆ ก็จะพยายามนำเสนอให้เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ยังไง จากนั้นค่อยหาอีเวนต์ทำต่อครับ ผมเชื่อว่าถ้าคนเห็นความตั้งใจของเรา เขาก็น่าจะอยากจะสนับสนุนมากขึ้น”

แม่ของผมพยักหน้ารับรู้หลังฟังอะตอมอธิบาย ก่อนยิงคำถามอีก

“เงินห้าแสนน่ะ ได้มาจากไหนบ้าง”

“จากหลายที่เลยครับ” อะตอมหัวเราะ “เงินก้อนแรกมาจากงานเดินแบบของผม จากนั้นก็ตามด้วยเงินจากการเล่นดนตรีของเพื่อนๆ แล้วก็…เงินจากการบริจาค เงินจากอีเวนต์ เงินจากบริษัทที่บริจาคมาให้ เงินส่วนแบ่งจากแอปทำวิจัยตลาด เงินจากการประมูลของดารา เงินจากคลาวด์ฟันดิ้ง เงินจากโครงการขอทุน สสส. เงินจากเพื่อนๆ ที่ขับอูเบอร์ด้วยกัน เงินจากนิตยสารออนไลน์ที่ผมกับกัปตันไปถ่ายด้วยกัน แล้วก็นายแบบคนอื่นๆ ก็ช่วยบริจาคเงินมาด้วย เงินจากมูลนิธิฟิแลนธรอพิสต์ที่เขาช่วยทำโครงการระดมทุนให้ เงินจากค่าห้องกัปตันที่บริจาคให้ก็มีนะครับ อืม…ไม่แน่ใจว่าหมดหรือยัง แต่ก็ได้มาจากหลายที่ครับน้า”

“โห เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ อะตอมทำยังไงถึงได้เครือข่ายมาเยอะขนาดนี้ หาเองเหรอ”

“ส่วนหนึ่งก็หาเองครับ แล้วก็ได้เพื่อนๆ รุ่นพี่ แล้วก็อาจารย์ช่วยแนะนำให้ครับ เพื่อนๆ ก็ช่วยกันเต็มที่มาก ช่วงจัดอีเวนต์นี่อดหลับอดนอนไปหลายวันเลย” อะตอมเล่าไปยิ้มไป ดูเหมือนมีความสุขแทนที่จะรู้สึกเหนื่อยที่ต้องทำเยอะขนาดนี้

แม่ผมพยักหน้ารับรู้ ส่วนผมก็พยายามจับสังเกตสีหน้าของแม่ไปด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าอ่านยากจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นแม่ลูกกันมายี่สิบปีได้

“ทำเยอะขนาดนี้ ทำไมถึงได้เงินไม่ได้ตามเป้าล่ะ แสดงว่าแผนที่ทำมาทั้งหมดก็ล้มเหลวสิ ถ้าทำแล้วล้มเหลวแบบนี้ จะดูแลลูกชายของน้าได้เหรอ”

นั่นไง แม่เล่นคำถามหนักอีกแล้ว ถ้าเป็นผมคงนึกไม่ออกเลยว่าจะตอบยังไง

“อืม…ผมไม่ได้มองว่ามันล้มเหลวนะครับน้า อย่างน้อย…เราก็ได้ประสบการณ์ ได้รู้ว่าอะไรทำแล้วมันได้ผล อะไรทำแล้วไม่ค่อยได้ผล ของพวกนี้…ไม่มีสอนในมหาลัย ผมว่าพวกเราทุกคนที่มาช่วยงานโครงการโชคดีนะครับ เพราะพวกเราได้เรียนรู้หลายอย่างเลย อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ไม่เคยลองก็ได้ลอง ผมว่าพวกเราแค่ล้มเหลวเรื่องตัวเลข แต่ไม่ได้ล้มเหลวเรื่องความพยายาม ที่มันไม่ได้ตามเป้า ไม่ใช่เพราะเราไม่พยายามนะครับ แต่เพราะประสบการณ์เราน้อย วางแผนผิดพลาดไปบ้าง ประมาทไปบ้างก็มี แต่ผมเชื่อว่าถ้าให้ทำอีก พวกเราก็น่าจะทำได้ดีขึ้นนะครับ แต่มันก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าทุกความพยายามจะทำให้สำเร็จ แต่ทุกๆ ความสำเร็จเกิดความพยายาม ยังไงๆ พยายามทำมันก็ดีกว่าไม่พยายามอยู่แล้วครับ”

ถ้าไม่เกรงใจแม่ ผมจะปรบมือรัวๆ ให้กับคำตอบนี้ของอะตอมไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ซ่อนยิ้มชื่นชมแฟนตัวเอง

“พูดดีนี่ แต่น้าว่า…แค่พูดดีเฉยๆ ไม่พอนะ ผลงานมันต้องดีด้วย ใครๆ ก็ชอบแก้ตัวหรือว่าโทษนั่นโทษนี่ แต่ผลงานมันก็จะบอกเองไม่ใช่เหรอว่าทำได้หรือทำไม่ได้ ในโลกธุรกิจเราไม่ฟังว่าใครพูดดีแค่ไหนหรอก เราดูที่ผลงานว่าได้ตามเป้าไหม”

อ้าว ทำไมแม่พูดแบบนี้ล่ะ ผมนึกว่าแม่จะชมอะตอมบ้างซะอีก นี่ไม่มีหลุดปากออกมาเลยสักคำ อะตอมถึงกับนิ่งอึ้ง เด็กอายุแค่สิบเก้าปีอย่างอะตอมจะตอบให้ถูกใจแม่ผมได้ยังไงหนอ ถึงจะทำงานเยอะจนดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ประสบการณ์ของเขาก็ยังห่างไกลจากเรื่องที่แม่ผมถามไม่น้อย

“ครับ ผมว่าทุกคนก็มีข้ออ้างหรือว่าข้อแก้ตัวบ้าง แต่ข้ออ้างก็มีสองแบบนะครับ แบบแรก…อ้างเพราะว่าไม่อยากทำอะไร แบบที่สอง…อ้างเพราะคิดว่าได้ลงมือทำอย่างดีที่สุดแล้ว คุณน้าคิดว่าผมอ้างแบบไหนล่ะครับ แล้วแบบไหนดีกว่ากัน”

ผมอยากกระโดดกอดคออะตอมแล้วร้องเย้ดังๆ แม่ผมเป็นนักบริหาร ไม่ค่อยมีใครกล้าถามคำถามแบบนี้กับแม่ผมหรอก ลูกน้องที่โรงงานก็เกรงๆ แม่ผมทั้งนั้น เพิ่งจะเห็นอะตอมนี่แหละที่กล้าถามแบบนี้

ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแม่ผมอึ้งไปเหมือนกัน หวังว่าแม่จะไม่จนมุมอะตอมเองซะล่ะ ชักสนุกแล้วสิ

“แบบแรกคงไม่ใช่อะตอมหรอก แต่ถึงอะตอมจะเป็นแบบที่สอง แต่คนแบบที่สองก็ยังอ้างอยู่ดี ไม่ว่าจะอ้างแบบที่หนึ่งหรือสอง ก็ยากจะประสบความสำเร็จนะ”

อีกแล้ว แม่หาข้อโต้แย้งมาจนได้ แต่ก็ใช่ว่าอะตอมจะยอมแพ้เหมือนกัน

“ใช่ครับ แต่ยังไงผมก็มองว่าคนแบบที่สองมีภาษีดีกว่าอยู่ดี ถ้ามีคนสอนเขาให้คิดแบบคนสำเร็จได้ ต่อไป…เขาก็จะไม่อ้างแล้วครับ ผมว่าทุกคนที่ลงมือทำเขาก็อยากทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จทั้งนั้น ถ้าได้คนมีประสบการณ์มาช่วยสอน ยังไงก็ต้องทำได้ดีกว่าเดิม วันนี้…ผมกับเพื่อนๆ เรียนรู้แล้วก็ทำกันเอง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง อันไหนไม่รู้เราก็ปรึกษาอาจารย์ แต่ของพวกนี้ มันเรียนกับไม่จบหรอกครับน้า พวกเราต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ”

“เอาล่ะ พอแล้ว อะตอมไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

แม่ผมพูดขัดขึ้น สีหน้าเรียบเฉยของแม่ทำเอาพวกเราใจคอไม่ดี ยิ่งพูดขัดจังหวะแบบนี้ยิ่งน่าหวั่นใจว่าแม่จะไม่พอใจอะตอม ว่าแต่แม่ผมจะไม่พอใจเรื่องอะไรล่ะ เพราะที่อะตอมตอบมา ผมก็เห็นด้วยทุกอย่าง แถมยังตอบได้ดีมากๆ ด้วย

“น้าตัดสินใจแล้ว”

แม่ผมยังคงทำหน้าขึงขัง จากนั้นก็หันหน้ามาทางผมและเรียกชื่อ

“กัปตัน”

“ครับแม่” ผมเสียวสันหลังวาบ เพราะน้ำเสียงของแม่ดูเย็นๆ

“หาเวลาพาอะตอมไปทำพาสปอร์ตหน่อยนะลูก”

“ทำไมต้องทำด้วยล่ะครับแม่” ผมกับอะตอมมองหน้ากันอย่างงงๆ

แม่มองผมที อะตอมที ก่อนสีหน้าขรึมๆ จะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาทีละน้อย

“แม่จะให้อะตอม…ไปส่งกัปตันที่อเมริกาด้วย แล้วเทอมต่อไป…แม่จะให้อะตอมไปเรียนที่นั่นกับลูก เทอมนี้คงไม่ทัน รออีกเทอมละกันนะลูกนะ”

“อะไรนะครับแม่!” ผมอุทานเสียงหลง ด้วยว่าไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“แม่อนุญาตให้ลูกสองคนคบกันแล้วไงจ๊ะ แม่เชื่อแล้วว่าอะตอมเขาดูแลลูกของแม่ได้” เมื่อพวกเรายังไม่เชื่อ แม่จึงพูดชัดๆ อีกครั้งให้เข้าใจง่าย

“แม่!”

ผมเข็นรถเข้าไปตรงโซฟา เขยิบพรวดลงนั่งและกอดแม่ไว้

“ขอบคุณนะครับแม่ ผมรักแม่นะครับ”

“แม่ก็รักกัปตันนะลูก”

เราสองคนแม่ลูกกอดกันร้องไห้ แน่นอนว่าไม่ได้เสียใจ แต่ซาบซึ้งใจกันต่างหาก ครู่สั้นๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีคนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เมื่อหันไปมองก็เห็นอะตอมนั่งอยู่ ผมผละจากแม่และโผไปกอดอีกคนที่ผมจะรักไปทั้งชีวิต

“มึงทำได้แล้วนะอะตอม มึงทำได้แล้ว” ผมย้ำซ้ำๆ นี่คืออีกหนึ่งครั้งในชีวิตที่ผมรู้สึกซาบซึ้งและดีใจ จะว่าไป ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีอะไรทำให้ดีใจเท่านี้มาก่อนเลย

“แม่ฝากกัปตันด้วยนะลูก”

เสียงแม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง คงไม่ได้พูดกับผม แต่น่าจะพูดกับอะตอมมากกว่า ผมปลื้มปิติยิ่งเมื่อแม่เรียกแทนตัวเองว่าแม่แทนที่จะเป็นน้า

“ครับน้า”

อะตอมตอบกลับไป เสียงเขาสั่นๆ เหมือนคนกำลังร้องไห้ ผมจึงปล่อยอ้อมแขนออกจากอะตอม พลันสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อแม่ผมพูดว่า...

“ต่อไป ถ้าอะตอมอยากจะเรียกน้าว่าแม่ น้าก็ยินดีนะลูก”

พอได้ยินแม่ผมพูดอย่างนั้น อะตอมก็ยิ้มดีใจสุดชีวิต เขารีบลงไปนั่งที่พื้นและกราบแทบเท้าแม่ผม

“ลุกขึ้นเถอะลูก ต่อไป…แม่จะถือว่าอะตอมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของแม่นะลูก”

“ขอบคุณครับแม่”

อะตอมลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา จากนั้นแม่ผมก็ดึงเขาไปกอด แค่เห็นแม่ผมกับลูกชายอีกคนกอดกัน ผมก็รู้สึกได้ว่าน้ำตาผมไหลลงมามากขึ้น อะตอมไม่เคยเจอแม่ แถมยังเจ็บปวดเพราะคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นแม่หนีจากไป แต่วันนี้อะตอมจะมีผู้หญิงอีกคนที่เขาจะเรียกว่าแม่ได้ ถึงจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ผมก็เชื่อว่าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างแน่นอน

เมื่อเราสามคนหยุดร้องไห้ แม่ผมก็ถามเรื่องเบาๆ ที่แม่อยากรู้

“ทำไมอะตอมถึงชอบกัปตันล่ะลูก”

อะตอมยิ้มเขิน ก่อนตอบด้วยคำพูดเรียบง่าย

“กัปตันเขาน่ารักครับแม่ เห็นครั้งแรกผมก็ชอบเลย เขาใจดีด้วยครับ”

“จริงเหรอลูก” แม่ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง​ อะตอมจึงย้ำให้ฟังอีกรอบ

“จริงครับ กัปตันเขาน่ารักจริงๆ นะครับ”

“แค่นั้นเองเหรอ” แม่ยังไม่วายสงสัย

“อืม…ตอนที่ผมเจอเขาใหม่ๆ ผมกำลังอกหัก เขาช่วยปลอบผม ผมรู้สึกดีขึ้นก็เพราะกัปตันนี่แหละครับ ผมก็เลยซึ้งใจ แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะเขาน่ารัก เขาน่ารักจริงๆ นะครับแม่ เห็นทีไรก็อยากอยู่ใกล้ๆ” อะตอมพูดไปยิ้มไป เมื่อยืนยันถึงสามรอบแม่ก็เลยเชื่อ​

“โอเคๆ แม่เชื่อละ"

แม่ยิ้มเปี่ยมสุข คงจะหมดห่วงไปหลายเปลาะเมื่อรู้ว่าลูกชายได้เจอคนรักที่พอจะฝากชีวิตไว้ได้ ผมเชื่อสายตาเฉียบคมของแม่ แค่คุยกันไม่กี่คำแม่ก็มองคนทะลุแล้ว เมื่อแม่วางใจอะตอม ผมก็ยิ่งมั่นใจคนที่ผมรักได้อย่างไร้กังวล

“ไปส่งกัปตันแล้วจะอยู่สักสองสามอาทิตย์ก็ได้นะลูก แล้วก็ค่อยกลับมาเรียนต่ออีกเทอม แม่ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษของอะตอมเป็นยังไง แต่แม่ว่าลองหาที่เรียนเพิ่มดูนะลูก เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวแม่กับป๊าจัดการให้ รวมทั้งทุนที่จะไปเรียนที่อเมริกาด้วย อะตอมไปช่วยดูแลกัปตันให้แม่หน่อยก็ดี น้องชายกัปตันน่ะเขาไม่ค่อยอะไรกับพี่เขาเท่าไหร่ แต่ถ้าอะตอมไปอยู่ด้วย แม่ก็คงจะหมดห่วง รออีกเทอมนะลูก ตอนนี้มันสมัครไม่ทันเพราะว่าเลยเวลาแล้ว อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องพ่อของอะตอมนะ เดี๋ยวจะหาวิธีช่วยดูแลให้” แม่ยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดีและอบอุ่น​

“ขอบคุณครับแม่ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อันไหนที่ผมหาเองได้ ผมก็จะไม่รบกวนครับ”

อะตอมทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกคำรบ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้จากคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่เดือนเท่านั้น ที่สำคัญ ผมรู้ว่าแม่ผมไม่ให้โอกาสอย่างนี้กับใครง่ายๆ หรอก ยกเว้นว่าจะไว้ใจและรักคนคนนั้นมากพอ

“จ้ะลูก ไปกินข้าวกันดีกว่านะ จะได้กลับไปพักผ่อนที่คอนโด พรุ่งนี้จะได้ไปเรียน” แม่ผมตัดบท

… … …

“นี่กูฝันไปหรือเปล่าวะกัปตัน” อะตอมถามผมขณะนั่งรถกลับคอนโดด้วยกัน มีผมเป็นสารถีเช่นเคย

“ถ้ามึงฝันกูก็ฝันเหมือนกันแหละวะ” ผมหันไปยิ้มให้

“กูไม่เคยคิดเลยนะเว้ยว่ากูจะได้ไปเรียนเมืองนอก แถมได้ไปเรียนกับมึงด้วย จะโชคดีอะไรขนาดนี้วะ” อะตอมเอามือตบหน้าตัวเองสองสามครั้ง คงอยากจะแน่ใจจริงๆ ว่าไม่ได้ฝันไป ผมเห็นแล้วก็ขำ

“แม่กูเชื่อใจมึงแล้วไง เขาไม่เชื่อใจใครง่ายๆ นะเว้ย มึงเอาชนะใจเขาได้ก็แสดงว่ามึงสุดยอดแล้ว” ผมหยอดช่วงท้าย

“แฟนใครนะ เก่งขนาดนี้”

“แฟนกูเองแหละ” ผมรีบรับสมอ้างและหัวเราะคิกคักชอบใจ

“ไหนๆ แม่มึงก็อนุญาตแล้ว คืนนี้…จัดหน่อยไหม” อะตอมยักคิ้วและทำหน้าทะเล้นใส่ผม

“อนุญาตปุ๊บก็จะเอาทันทีเลยนะมึง” ผมแกล้งว่า

“หรือมึงไม่อยาก เห็นสะกิดกูให้_ว่าวให้แทบทุกวัน ทำเองก็ไม่ทำ”

“อ้าว ก็มีแฟนแล้วจะทำเองทำไมล่ะ ก็ให้แฟนทำให้ดิ”

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย กูชอบ ว่าแต่…คืนนี้จัดเลยไหม” อะตอมถามย้ำอีก

“เดือนที่แล้วมึงใช้งานกูหนักนะเว้ย ยังไม่หายเหนื่อยเลย จะไม่ให้กูพักมั่งเหรอ” ผมเฉไฉ

“อ๋อได้ งั้นเก็บแรงไว้เยอะๆ นะ เพราะเรื่องนี้กู…ซาดิสม์” อะตอมเค้นเสียงให้ฟังดูน่ากลัว

“จริงดิ” ผมถามกวน

“เออ แล้วกูก็ชอบจิกหัว ตีก้น แล้วก็พูดคำหยาบด้วย อ้อ อีกอย่างนะ ต้องมีแซ่เฆี่ยนแล้วก็เอาน้ำตาเทียนหยดด้วย”

“เชี่ยนี่ พูดซะกูหดหมด เดี๋ยวกูเบี้ยวซะเลย”

“โอ๋ๆ อะล้อเล่นๆ” อะตอมทำเสียงทะเล้น ยกมือทำท่าบ๋อแบ๋ ไม่นานก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อีก “แต่ที่พูดไปเมื่อกี้ มีจริงอยู่อย่างหนึ่งนะเว้ย”

“อะไร”

“เก็บแรงไว้เยอะๆ เดี๋ยวก็รู้ แต่กูประเมินแล้ว กูว่ามึงไหว กูคิดท่าไว้แล้วด้วย” อะตอมหัวเราะหึๆ

“หื่นนะมึง แหม...ปล่อยมาเยอะเลยนะ กลัวตายล่ะ” ผมท้าทาย

“มึงไม่ต้องกลัวกูหรอกเว้ย กูรักมึง แล้วมึงก็รักกู คนรักกันเขาต้องทำให้คู่เขามีความสุขอยู่แล้ว รับรองกูจะทำให้มึงสุขสุดๆ จนต้องร้องขอชีวิตกูเลย”

ผมไม่โต้ตอบ ได้แต่ยิ้มมีความสุขไปความทะลึ่งทะเล้นของอะตอม

“ก่อนไปเมกา ไปเที่ยวภูเขากันไหม” อะตอมเปลี่ยนเรื่อง

“เอาดิ ไปไหนดี”

“ภาคเหนือดีไหม ภูเขาเยอะดีนะ กูอยากเข็นรักขึ้นภูเขา”

“เหนื่อยแล้วอย่ามาบ่นนะเว้ย” ผมเตือนกึ่งขู่

“เดี๋ยวกูฟิตเต็มที่เลย แค่นี้สบาย” อะตอมโว

“ได้ เดี๋ยวกูจะคอยดู”

“เออ...กูว่า…ต่อไปเราเลิกพูดกูมึงดีไหม” อยู่ๆ อะตอมก็ถามแบบนี้

“ทำไม แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

“ถ้ากูไปอยู่บ้านมึงแล้วพูดมึงกู กูว่ามันฟังดูไม่ดีว่ะ เพราะว่ากูกับมึงเป็นแฟนกันแล้ว ให้กูเรียกมึงพี่ละกันนะ ไหนๆ มึงก็อายุมากกว่ากูอยู่แล้วนี่ กูว่าน่ารักดีนะเว้ย ดีไหมครับพี่กัปตัน”

“ดีสิครับน้องอะตอม” ผมทำเสียงทะเล้นบ้าง จากนั้นเสียงหัวเราะขบขันของพี่กัปตันและน้องอะตอมก็ดังลั่นรถ

ผมมีความสุขเหลือเกินที่มีคนเห็นค่าความรักของคนอย่างผม ขณะเดียวกันก็มีความสุขที่ได้เห็นคนที่ผมรักมีความสุขกับชีวิตใหม่ เพราะความรักและความพยายามของเขา แม้จะต้องเข็นรักขึ้นภูเขาจนเหนื่อยแค่ไหน แต่เขาก็อดทนทำจนสำเร็จ เอาชนะใจผม เพื่อน พี่ ป๊าและแม่ผมได้อย่างราบคาบ เราสองคนจึงมีวันนี้ในที่สุด

ขอบคุณที่รักพี่คนนี้นะครับน้องอะตอม



จบ…ไม่บริบูรณ์



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - P2 - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-11-2017 19:58:01
ผ่านด่านคุณแม่ได้แล้วคุณแม่ยังให้ได้ไปเรียนที่เมืองนอกด้วยกันด้วย  :katai2-1: :katai2-1:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - P2 - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-11-2017 20:05:14
อะตอมโชคดีมากๆที่เจอคนดีให้โอกาสต่างๆในชีวิต  o13
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - P2 - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-11-2017 21:50:11
เยี่ยมมากเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP30 Moving forward (จบ) - P2 - 7.11.2017 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 07-11-2017 22:18:46
ดีใจด้วยนะกัปตัน ที่อะตอมสอบผ่านด่านคุณแม่แล้ว ก็ได้รับโอกาสได้ไปเรียนกับคนที่รักด้วย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 08-11-2017 09:03:48
นิยายจบแล้ว รบกวนแอดมินย้ายให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-11-2017 09:22:50
เง้ออออ......จบ....ไม่สมบูรณ์
ไหนว่าอะตอมซาดิสถ์ จัดหนัก มีแส้ น้ำตาเทียน
แสดงว่าไรท์ มีตอนพิเศษใช่ไหม รอนะ  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-11-2017 09:35:00
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 08-11-2017 10:32:42
ทั้งสองคนโชคดีนะที่เจอรักแท้ ครอบครัวก็เข้าใจ เข้าใจแม่ของกัปตันนะ
เป็นเราๆก็กลัวๆลูกถูกหลอก ยิ่งพิการด้วยจะหาคนรักจริงยากมากๆ
แต่อะตอมเก่งนะ เด็กดีมาก สู้ชีวิตสุดๆ จะบอกว่าใครโชคดีกว่ากันก็คงเป็นพ่อแม่ของกัปตันแหละ
งานเยอะมากไม่มีเวลาเข้ามาอ่านเลย อยากเข้ามาตอบหลายรอบแล้ว
แต่ไม่รู้จะพิมพ์อะไร บรรยายไม่เก่ง  :mew2:
นิยายเรื่องนี้ดีนะไม่ได้เน้นแต่เรื่องรักของหนุ่มสาวเราชอบมาก
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ อย่าน้อยใจคนเม้นท์น้อย ยังไงก็ยังมีคนรออ่านผลงานคุณอยู่ :L1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 08-11-2017 20:00:26
เอาชนะใจแม่ได้  แถมได้ไปเรียนต่อด้วยกันอีก ดีใจ :กอด1: ขอบคุณนะคะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: annch ที่ 09-11-2017 04:41:15
ละมุนต่อจัยมากกกกก :3123:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 09-11-2017 23:57:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: npsp2555 ที่ 10-11-2017 12:45:43
 :pig4:เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-11-2017 18:21:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 11-11-2017 08:42:34
เป็นเรื่องที่น่ารักมาก ๆ ได้มุมมองใหม่ ๆ มากมายเลย
นี่อ่านแล้วซึ้งมาก น้ำตาปริ่มตลอด 55
ทำไมเราพึ่งมาเจอกัน เขียนบรรยายไม่เก่งแต่นิยายดีจริงค่ะ
คนเขียนไม่ต้องน้อยใจนะคะ  :กอด1:
ของดีอยู่ได้นานค่ะ ตอนนี้นิยายในเล้าเป็ดเยอะมาก
อาจยังหากันไม่เจอค่ะ  รอตอนพิเศษนะคะ
ขอบคุณที่เขียนนิยายดี ๆ มาให้จร้าาาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 11-11-2017 15:24:05
เป็นนิยายที่ดีมาก บางปมเรารู้สึกตันหนทางมาก แต่คนเขียนก็ยังวางเรื่องให้ตัวละครแก้ปัญหาในส่วนนั้นๆได้ดี ขอบคุณมากเลยสำหรับนิยายที่มีแต่ความอบอุ่นและให้ข้อคิด
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-11-2017 17:35:17

มันดีต่อใจจริงๆ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-11-2017 18:09:44
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ   o13

ถึงช่วง แรกๆ จะรู้สึกว่าพระเอกจะใจเร็วด่วนได้ไปหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นล่ะนะ 
แต่สุดท้ายก็สามารถเคลียร์ตัวเองได้ดี 
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 12-11-2017 00:58:08
มาสิๆ ฉากนั้นต้องมาสิ
เขียนดีมากเลยค่า พึ่งได้มาตามอ่าน เข้าใจมุมมองของมนุษย์ล้อมากขึ้นด้วย เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 12-11-2017 01:38:37
เป็นเรื่องฟีลกู๊ดที่ครบรสจริงๆ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักหนุ่มวีลแชร์อย่างผม - Husky Lover - นิยายวายละมุน
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 15-11-2017 21:22:00
ตอนพิเศษรอแป๊บนะครับ คนเขียนยังหาเวลาว่างไม่ได้เลย  :mew6:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 15-11-2017 21:50:49
ตามมาอ่านแล้ววว
เหมือนได้เติบโตไปกับตัวละครเลยค่ะ เอาใจช่วยไปกับกัปตันและอะตอมตลอด
จะรอตอนพิเศษนะคะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 16-11-2017 03:13:02
รอตอนพิเศษอยู่นะครับ ดูแลกันไปนานๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: TeyJunson ที่ 17-11-2017 15:20:22
 :m15: อ่านไป ร้องไห้ไป มันซึ้ง มันเศร้า และมีข้อคิดหลายๆๆอย่าง ชอบ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕ จบแล้ว รบกวนย้ายด้วยครับ [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 18-11-2017 21:58:46
ในที่สุดแม่ก็ยอมรับแล้ว จะมีตอนพิเศษมั้ยน๊า ขอบคุณมากจ้า บอกเลยว่าอดหลับอดนอนเพื่ออ่านเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 19-11-2017 11:27:58
หลงมาอ่าน หาทางออกไม่ได้...แจ้งคนะขียนมาต่อด้วน ชอบบบบบบบบบ ร้อนตัว น่าร๊าก~~~~
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: SuperBB ที่ 19-11-2017 17:04:35
. ชอบมากๆเลย เปิดเจอหลายทีพึ่งมีโอกาศได้อ่าน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-11-2017 21:20:50
รอตอนจบบริบูรณ์ และตอนพิเศษจ้า

สมหวังสักทีนะ ได้รับการยอมรับด้วย แล้วยังได้ไปอยู่ด้วยกัน ดีไปอีกค่ะ
พ่อแม่กัปตันดีมากจริงๆ ค่ะ มองคนที่คุณค่า ไม่มองที่ยากมี

อะตอมได้ไปอยู่ด้วยกันแล้วนะ ดีใจด้วยจริงๆ อย่างน้อยได้พยายาม ได้ทุ่มเท ทำเต็มที่
กัปตันก็พยายามด้วย และทุกคนก็ช่วยเหลือกันทุกทางไม่ต่างกัน

แม่กัปตันก็น่าจะรู้นะว่าน้องชายชอบแกล้งพี่ เลยต้องพิสูจน์อะตอม จนได้ส่งตัวไปอยู่ด้วยกัน

ขอบคุณสิ่งดีๆ ที่พ่อแม่ กัปตัน ทำให้อะตอมนะ แล้วอะตอมก็พิสูจน์ตัวเองได้ดี สมกับความตั้งใจ

โดมอินคือชัดเจนสักทีนะ หลังจากที่อินต้องทนคลุมเครือมานาน
อินต้องพยายามให้มากนะ ได้รับโอกาสแล้ว อย่าทำพังอีกนะ

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ ติดตามมาตลอดเลยค่ะ
จนมาถึงตอนนี้ และจะรอตอนต่อไป จนกว่าจะจบบริบูรณ์ค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: cirrus ที่ 22-11-2017 00:42:23
เรื่องนี้เปิดมุมมองจริงๆ ย้อนมามองมหาลัยตวเอง คณะตัวเองแล้ว ย่ห็นถึงปัญหาว่า ทางลาด กับห้องน้ำสำหรับคนพิการมีไม่เพียงพอจริงๆ อย่างที่คณะมีทางลาดกับลิฟต์ทุกตึก  ก็จริงแต่บางจุดยังเป็นทางต่างระดับกับบันไดอยู่ ห้องน้ำก็ไม่มีด้วย                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                           
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 23-11-2017 01:04:31
ยังมีตอนเข็นกันภูเขาชิมิ รออยู่น๊า ^_^
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ใครจะรักคนพิการอย่างผมจริง - Husky Lover - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: ม่านหมอก ณ ปลายฝัน ที่ 24-11-2017 04:56:44
[คุณนักเขียนไม่ต้องน้อยใจไปนะคะ เนื้อเรื่องคุณข้อมูลพร้อมมาก แถมยังสอดแทรกไปด้วยความละมุนขนาดนี้คนอ่านก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเองนะคะ

เราชอบทัศนคติแบบคุณมากเลยค่ะเรื่องเกี่ยวกับผู้ป่วยทั้งหลาย
เห็นด้วยจนอยากจะชวนมาตั้งชมรมกันจริงๆเลย 55555

ปล. มีแฟนเพจมั้ยคะ จะได้ติดตาม ผลงานต่อๆไป/color]
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [1/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 24-11-2017 10:53:38
EP31 - P1
พี่กัปตัน-น้องอะตอม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/2043389716-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/2044922121-member.jpg)

“ผู้โดยสารเดินได้ไหมคะ” ปากสีสวยถามเสียงหวานระรื่นหู

“ไม่ได้ครับ” กัปตันตอบเสียงเรียบๆ

"ไม่ได้เลยเหรอคะ" เธอไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดขาของกัปตัน สายตามีแววอยากรู้อยากเห็น ช่างไม่มีมารยาทเอาซะเลย

"จะเอาข้อมูลไปทำอะไรครับ" กัปตันย้อนถาม หน้าหล่อใสเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววไม่สบอารมณ์นัก เมื่อหันดูซ้ายขวาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นเป้าสนใจของผู้โดยสารอื่นที่กำลังเข้าแถวรอเช็กอินไปแล้ว เขาคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจพอดู ใครล่ะอยากเล่าเรื่องส่วนตัวต่อหน้าคนไม่รู้จัก

“แล้วผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องเองได้ไหมคะ พอดีมันเป็นบัสเกต ไม่มีงวง ทางเราไม่สามารถอุ้มผู้โดยสารได้ เรามีกฎเรื่องความปลอดภัยค่ะ ถ้าผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องเองไม่ได้หรือว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราอาจจะต้องขอปฏิเสธการให้บริการ แต่เราจะให้รีฟันด์ตั๋วค่ะ" พนักงานสาวสาธยายเจื้อยแจ้วหน้าตาเฉย ไม่สนใจที่กัปตันถามเมื่อกี้ด้วยซ้ำ เธอช่างไม่รู้สึกรู้สาว่าที่พูดมาคือการเลือกปฏิบัติต่อผู้โดยสาร ไม่มีสายการบินมืออาชีพที่ไหนเขาทำกันหรอก

ผมชักไม่ชอบใจจึงพูดแทรกเสียงขุ่น “แล้วไม่มีบริการอำนวยความสะดวกเลยเหรอครับ ถ้าไม่มีแล้วทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มาบิน แบบนี้ถือว่าผิดกฎหมายหรือเปล่า หรือว่าสายการบินนี้เป็นสารการบินเถื่อน”

หน้าสวยๆ อึ้งสนิท คราวนี้จุดสายตาเปลี่ยนมาที่เธอบ้าง แก้มที่แดงเพราะเครื่องสำอางอยู่แล้วแดงขึ้นไปอีก ทีอย่างนี้กลับรู้สึกโกรธ ไม่นึกบ้างที่เธอปฏิบัติต่อกัปตันเมื่อกี้น่าละอายแค่ไหน ทว่าไม่นานเธอก็แสร้งยิ้มและอธิบายต่อ

“พอดีมันเป็นกฎของเราน่ะค่ะผู้โดยสาร ถ้าผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องเองไม่ได้ เราจะไม่สามารถให้บินได้ เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน เราจะไม่สามารถช่วยอุ้มได้”

“สายการบินนี้มันเกิดเหตุฉุกเฉินทุกเที่ยวบินเลยเหรอครับ ถ้างั้นผมบินกับสายการบินอื่นไม่ดีกว่าเหรอ" ผมขัดขึ้นอย่างเหลืออด

เจ้าหน้าที่คนเดิมเริ่มชักสีหน้า ก่อนเชิดหน้าบอกอย่างเย่อหยิ่ง

“แต่ทางเราจะไม่รีฟันด์ตั๋วให้คุณนะคะ เพราะว่าเราไม่ได้ปฏิเสธคุณ เรารีฟันด์ให้ได้เฉพาะผู้ป่วยที่เดินขึ้นเครื่องเองไม่ได้เท่านั้นค่ะ”

ผมจวนเจียนหมดความอดทน เพราะรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจแทนกัปตัน จึงพูดขู่เสียงเข้ม “ถ้ากล้าทำก็กล้ารับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยนะครับ เดี๋ยวกลับมาผมจะจัดการ ไปกัปตัน ไม่ต้องบินแม่งแล้วสายการบินนี้ เดี๋ยวกูซื้อตั๋วให้มึงใหม่”

กัปตันยื่นมือไปขอบัตรประชาชนคืนมา เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นส่งให้แต่โดยดี สีหน้าเธอดูหวั่นๆ พอสมควรเมื่อผมทำหน้าจริงจัง ก่อนไปผมก็ไม่ลืมทิ้งท้ายหลักการบริการให้เธอเอาไปนอนคิด ความคิดพวกนี้ผมได้มาจากการทำโครงการที่ผ่านมานั่นเอง

“ผมแนะนำว่าไม่ควรถามผู้โดยสารว่าเดินได้หรือเปล่าต่อหน้าคนอื่นนะครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าผมถามพี่ว่าพี่มีไฝที่ก้นหรือเปล่าต่อหน้าคนอื่นพี่จะรู้สึกยังไง ทำไมไม่บอกมาว่ามีบริการอะไรหรือไม่มีบริการอะไรล่ะครับ ผมจะบอกให้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้โดยสารเดินได้หรือไม่ได้หรอก แต่สายการบินพี่นั่นแหละที่ไม่มีมาตรฐานในการให้บริการ ถ้าสายการบินพี่มีบริการหรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ จะเดินได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นเครื่องได้เหมือนกัน ผมว่าไม่ถูกนะที่พี่มาโยนความผิดให้ผู้โดยสารว่าเดินไม่ได้แบบนี้ เขาเสียเงินซื้อตั๋วเพราะต้องการเดินทาง ไม่ได้ต้องการเงินรีฟันด์ ถ้าไม่รับแต่แรกก็เขียนไว้ในหน้าจองตั๋วสิครับว่าไม่รับผู้โดยสารเดินไม่ได้ เขาจะได้ไม่ซื้อ ปฏิเสธหน้างานแบบนี้มันเสียเวลาผู้โดยสาร เสียความรู้สึกด้วย!”

ผมใส่ไปชุดใหญ่จนเธอหน้าเหวอ ตอนแรกว่าจะพอแค่นี้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมจะเล่นให้ครบทุกประเด็นเลยละกัน ก็เลยจัดให้อีกดอกสุดท้าย

“อ้อ พี่ต้องแยกให้ออกด้วยว่าคนพิการกับคนป่วยไม่เหมือนกัน เขาแค่ใช้รถวีลแชร์ ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรซะหน่อย คิดว่าเขาจะไปชักแหง็กๆ บนเครื่องหรือไง ผู้โดยสารอื่นมีเป็นร้อย พี่เช็คหมดหรือยังว่ามีใครป่วยหรือเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ถ้าจะกลัวเรื่องนี้ก็ต้องกลัวให้หมดทุกคน ไม่ใช่มาโฟกัสคนใช้วีลแชร์คนเดียว แล้วที่มากล่าวหาว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้น่ะ คิดใหม่นะครับ เขาขับรถเองได้ ไปเรียนหนังสือเองได้ ดูแลตัวเองได้ ทำอะไรตั้งหลายอย่างเองได้ ถามหน่อยว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตรงไหน เลิกยัดเยียดความคิดแบบนี้ให้คนพิการได้แล้ว ถ้าไม่มีบริการก็บอกมาเลยว่าไม่มี จะได้ไปใช้สายการบินอื่น ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ เขาแค่ใช้รถวีลแชร์ แต่พี่ปฏิเสธไม่ให้เขาขึ้นเครื่องเหมือนเขาเป็นผู้ก่อการร้ายเลย ไม่ถูกนะครับ”

หมดเรื่องที่ผมอยากพูดพอดี แค่นี้ก็สบายใจและไปต่อได้แล้ว

“ไปเหอะกัปตัน”

พูดจบผมก็ลากกระเป๋าสองใบออกไป กัปตันรีบเข็นหลบฝูงชนตามมาแทบไม่ทัน ผมได้ยินเสียงผู้โดยสารอื่นซุบซิบคุยกันเรื่องเมื่อกี้เซ็งแซ่ เข้าใจว่าหลายคนคงเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด ถ้าผมพูดขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

ผมพากัปตันไปซื้อตั๋วสายการบินหนึ่งที่เคาน์เตอร์ เพื่อความสะดวกผมให้กัปตันรออยู่ใกล้ๆ และเฝ้ากระเป๋าไว้ ส่วนผมเดินไปเข้าแถวรอคิวซื้อตั๋ว ตอนซื้อผมถามย้ำกับคนขายจนมั่นใจว่ากัปตันจะไม่ถูกปฏิเสธ โชคดีที่เขามีบริการให้ทั้งๆ ที่เป็นสายการบินต้นทุนต่ำเหมือนกัน ผมก็เลยหมดห่วงและหายกังวล เสร็จธุระจากตรงนั้นเราก็หาที่นั่งรอ เพราะอีกกว่าชั่วโมงถึงจะเช็คอินได้

“จัดชุดใหญ่เลยนะมึง ขนาดกูเจอเองกูยังไม่กล้าพูดแบบมึงเลยว่ะ เอาเรื่องเหมือนกันนะมึงเนี่ย” กัปตันขำกับวีรกรรมของผมเมื่อครู่นี้

“มึงก็ดูเขาพูดดิ มันน่าโมโหไหมล่ะ เสียเวลาเลย แทนที่จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ แม่งต้องมาอารมณ์เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สายการบินเมื่อกี้เขาไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย” พูดถึงแล้วผมก็ชักหงุดหงิด

“กูดีใจนะเว้ยที่มึงเข้าใจ ที่มึงพูดเมื่อกี้ ตรงกับที่กูคิดหมดเลย คนชอบเข้าใจว่ากูช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือไม่ก็ชอบคิดว่ากูป่วย แรกๆ กูก็พยายามอธิบายแหละ แต่พอเจอทุกวัน กูก็ขี้เกียจพูด อธิบายไม่ไหวว่ะ เมื่อกี้ตอนที่กูรอมึงซื้อตั๋ว มีคนเดินเข้ามาถามกูตั้งหลายคนว่ามีอะไรจะให้ช่วยไหม กูบอกตรงๆ ว่าบางทีกูก็รำคาญนะเว้ย เข้าใจแหละว่าหวังดี แต่มึงคิดดู เดี๋ยวคนนั้นก็มาถาม เดี๋ยวคนนี้ก็มาถาม กูก็ต้องคอยตอบว่าไม่เป็นไรครับๆ ไม่รู้กี่รอบ เขาคิดว่าคนพิการต้องการความช่วยเหลือตลอดเวลาหรือไงวะ กูก็อยู่ของกูดีๆ”

“เขาอยากทำบุญมั้ง” ผมหัวเราะ

“ก็ไปทำที่วัดสิวะ กูไม่ใช่ตัวทำบุญนะเว้ย ไม่ใช่ปลาไหลซะหน่อย บางทีกูก็อยากพูดนะเว้ยว่าปล่อยให้กูอยู่คนเดียวสงบๆ เหอะ ถ้าอยากให้ช่วยเดี๋ยวกูบอกเอง” กัปตันเล่นเสียงสูงต่าให้ฟังดูตลก

“ตอนที่กูเจอมึงครั้งแรก แล้วกูวิ่งเข้าไปช่วยมึง มึงไม่หงุดหงิดเหรอวะ” ผมแกล้งแหย่

“กูไม่หงุดหงิดมึงหรอก หงุดหงิดบันไดมากกว่า แต่อันนั้นมันเมกเซนส์กว่าไง เพราะมันเห็นชัดว่ากูต้องการให้ช่วย แต่อันนี้กูนั่งอยู่ดีๆ เว้ย คนนั่งเฉยๆ จะมาช่วยเรื่องอะไรวะ กูจำได้ว่าเคยมีคนเอาเงินมายัดใส่มือกูยี่สิบบาทตอนกูไปเที่ยวพัทยากับพี่โดม กูนั่งชมวิวอยู่ดีๆ แต่งตัวก็โอเคนะเว้ย ดูน่าสงสารตรงไหนวะ” กัปตันส่ายหัวไปมาอย่างระอาใจ จากนั้นก็ถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น

“เออ ว่าแต่ทำไมมึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดีเหมือนมึงเป็นแบบกูเลยวะ มึงเพิ่งรู้จักกูไม่นานเองนะเว้ย”

“ไม่รู้ว่ะ สงสัยเพราะกูคิดจะจีบมึงมั้ง” ผมตอบตลกๆ กัปตันก็เลยประท้วง

“เอาจริงๆ ดิ”

ผมทำท่านึก แต่พอจะคิดหาคำตอบก็รู้สึกว่าหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ “กูไม่รู้จริงๆ นะเนี่ย สงสัยเป็นเพราะว่ากูอยู่กับมึงทุกวันมั้ง ก็เลยค่อยๆ เข้าใจไปเอง แล้วมึงก็สอนกูด้วย แต่บางอย่างมันก็เป็นคอมมอนเซนส์เปล่าวะ อย่างตอนพี่สามาชวนมึงไปสมัครคิวท์บอย แต่พอเขาเห็นมึงใช้รถวีลแชร์เขาก็ตกใจ กูก็ว่ามันไม่ถูกนะเว้ย แต่ตอนนั้นกูก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมกูคิดแบบนั้น เหมือนที่กูชอบมึงตอนแรกๆ แล้วก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงชอบไง” ผมยิ้มและทำตาหวานๆ ใส่ เปลี่ยนบรรยากาศที่ร้อนแรงให้เย็นลง

“มั่วแล้วมึง เหมือนกันตรงไหน” กัปตันว่าผมขำๆ

“เหมือนดิ เรื่องพวกนี้นะ แรกๆ มันจะไม่ค่อยชัดหรอก มันชอบมาชัดเอาตอนหลังๆ นี่แหละ อ้อ ตอนแรกๆ กูก็คิดเหมือนพี่คนเมื่อกี้แหละ กูคิดว่ามึงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ามึงช่วยเหลือตัวเองได้ ที่สำคัญนะเว้ย ช่วยเหลือกูได้ด้วย เก่งอีกต่างหาก” ผมยิ้มทะเล้น กัปตันคงรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร

“เชี่ย สนามบินนะเว้ย คนเยอะแยะ” กัปตันแสร้งเอ็ดพลางหันไปมองรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวง

“เยอะตรงไหน ตรงนี้มีแค่กูกับมึงสองคน” ผมยักคิ้วหงึกๆ สองสามครั้ง

“แล้วมึงจะเล่นงานนุ๊กแอร์ยังไงวะ” กัปตันเปลี่ยนเรื่องทันที ผมเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน

“กูเรคคอร์ดไว้แล้วเว้ย เดี๋ยวกูปล่อยลงโซเชียล” ผมพูดพลางตบปุๆ บนกระเป๋ากางเกงข้างที่ใส่มือถือไว้

“ไม่ใช่เล่นเลยนะมึง” กัปตันทำหน้าทึ่ง

“ไม่งั้นกูจะชนะใจแม่มึงได้เหรอวะ”

“ถ้าแม่กูรู้ สงสัยได้ซื้อรถเบนซ์ให้มึงแน่เลยว่ะ”

“กูไม่อยากได้รถเบนซ์ตอนนี้หรอก อยากได้รางวัลที่ค้างไว้มากกว่า” ผมวกเข้าเรื่องอย่างว่าอีกแล้ว

“เอาอีกละ จนได้นะมึง” กัปตันหันมองซ้ายขวาอีก คงกลัวคนมาได้ยิน แต่ตรงนี้ก็มีแค่ผมกับกัปตันสองคนจริงๆ

“ยังไม่ได้เอาเลย รออยู่เนี่ย พร้อมแล้วใช่ไหม” ผมทำตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่

“เออ มึงนี่มัน…” กัปตันส่ายหน้าไปมาพลางขำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอีกรอบ “ไปหาอะไรกินดีกว่า กูหิว”

“เออๆ ไปๆ กูก็หิวเหมือนกัน”

แม้ว่าก่อนเดินทางจะมีเรื่องให้หงุดหงิดบ้าง แถมยังเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ผมก็เชื่อว่าเมื่อเราไปถึงที่หมายแล้ว บรรยากาศดีๆ จะพัดพาเรื่องขุ่นเคืองใจให้หายไปจนหมดสิ้น เวลาห้าวันที่เราอยู่ที่นั่น เราคงจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงามไปพร้อมๆ กับความรัก สถานที่ที่ไปอาจจะลำบากสำหรับกัปตันบ้าง แต่ผมก็ฟิตร่างกายมาอย่างดีแล้ว พร้อมที่จะเข็นกัปตันขึ้นภูเขาเป็นลูกๆ และเผื่อแรงไว้ทวงของรางวัลชิ้นงามอีกเหลือเฟือ[/size]



TBC...


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

// พอเรื่องจบไปแล้วก็รู้สึกว่ามีคนมาอ่านเยอะขึ้นนะครับ
// แต่มันก็เหมือนได้สิ่งที่อยากได้ตอนที่มันเลยเวลาช่วงที่อยากได้มาแล้ว
// คนเขียนอยากได้กำลังใจตอนที่กำลังเขียนมากที่สุดครับ
// แต่พอจบแล้ว ภาระกิจก็จบ ผมก็จะไปทำอย่างอื่นหรือเขียนเรื่องอื่น
// ไม่ค่อยได้เข้ามาดูเรื่องนี้บ่อยๆ เหมือนเดิมแล้ว
// อย่างไรก็ขอบคุณและดีใจที่มีคนชอบเรื่องนี้
// เอาตอนพิเศษส่วนแรกมาฝากก่อนนะครับ วันอาทิตย์จะมาต่อให้จบ
// ใครถามหาแฟนเพจก็ดูที่ภาพประกอบนิยายเลยครับ

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [1/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 26-11-2017 11:30:54
เย้ ๆ มาต่อแล้ว ขอบคุณนะคะ  อะตอมเจ๋งมากเลย สะใจ 5555
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP02 ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม - 11.4.2017
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 26-11-2017 21:09:35
ปล้ำคนพิการไม่บาปหรอก(ถ้าเขาสมยอมตอนท้าย)5555
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 26-11-2017 21:15:09
EP31 - P2
พี่กัปตัน-น้องอะตอม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/2043389716-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1469912654-member.jpg)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/987483407-member.jpg)

ลมหนาวพัดไหลเลื้อยไปตามใบหน้า เส้นผมและเสื้อกันหนาว แสงแดดจ้าส่องฟ้าใสสีครามเข้มกระจ่างชัด ขุนเขาใหญ่เด่นตระหง่านรายรอบน่าเกรงขาม แมกไม้เขียวสลับกับท้องทุ่งนา บ้านเรือนของคนแถวนี้อยู่ห่างๆ กัน ช่วยให้มองไปไกลได้สุดสายตา ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าโลกมันกว้างแค่ไหน

“โขกู้โส่” หรือ “สะพานบุญ” ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแห่งใหม่สำหรับเมืองปาย เริ่มแรกชาวบ้านไม่ได้ทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรอก แต่สะพานบุญนี้เกิดขึ้นมาได้จากความศรัทธาของชาวบ้านในหมู่บ้าน “บ้านแพมบก” ซึ่งต้องการสร้างสะพานไม้ไผ่จากถนนสายหลักลัดเข้าไปยังวัดที่ตั้งอยู่ด้านใน เพื่ออำนวยความสะดวกให้พระที่เดินออกมาบิณฑบาต จะได้ไม่ต้องเดินลุยโคลนหรือพื้นเฉอะแฉะในหน้าฝน แต่วันนี้มันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆ ก็อยากมา

อะตอมช่วยพยุงผมลงนั่งบนสะพาน เขาช่วยพับเก็บรถเข็นและจอดหลบข้างทางเดิน จะได้ไม่เกะกะคนอื่น จากนั้นก็ลงมานั่งห้อยขาข้างๆ ผม

“เป็นไง พี่ชอบไหม” อะตอมเปลี่ยนสรรพนามเรียกผม ช่วงนี้มันผีเข้าผีออก เดี๋ยวเรียกพี่ เดี๋ยวพูดมึงกู คงยังไม่ชินนั่นเอง

ผมหันไปยิ้มด้วยแววตาขอบคุณ “ชอบดิ ชอบมากเลย ถ้าไม่ได้อะตอมพามานะ พี่คงไม่ได้มาหรอก ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้เลย”

อะตอมเอียงหัวมาชนกับผมเบาๆ “ผมบอกพี่แล้วไง ถ้าพี่อยู่กับผม อะไรที่พี่ไม่เคยทำ ผมก็จะพาพี่ทำหมดแหละ อยากทำอะไร อยากไปไหน บอกผมมาละกัน ฟ้าลิขิตให้ผมมาเจอพี่ เพราะเขาอยากให้ผมเป็นแขนขาให้พี่ แล้วพี่ก็เป็นคนนำทางผมไง”

“ซึ้งอีกแล้ว” ผมเอามือยีผมอะตอมเบาๆ อย่างเอ็นดู พอเขาเรียกผมว่าพี่แล้ว บรรยากาศระหว่างสองเราก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ

“ผมปล่อยคลิปลงยูทูปแล้วนะพี่ คนแชร์เยอะมาก ด่ากันใหญ่เลย สะใจจริงๆ” อะตอมเปลี่ยนมาพูดเรื่องสายการบินที่ทำให้เรามาถึงนี่ช้าไปหนึ่งวัน เพราะทันทีที่เรามาถึงเชียงใหม่ เที่ยวบินต่อไปที่เราจองไว้ก็ออกไปก่อนแล้ว

“พี่เห็นแล้ว” ผมส่ายหน้าไปมาและหัวเราะเบาๆ

“ก็มันน่าไหมล่ะ ดูดิ ผมกับพี่ต้องมาตะลอนๆ หาที่พักในเชียงใหม่แทบขาลาก ช่วงไฮซีซั่นหาห้องพักได้ง่ายที่ไหน เสียเวลาเลย แล้วก็ต้องเสียเงินค่าโรงแรมเพิ่ม เสียเงินซื้อตั๋วมาแม่ฮ่องสอนเพิ่ม เดี๋ยวกลับไปผมจะต้องเรียกค่าเสียหายซะหน่อย” อะตอมบ่นอุบ สีหน้าไม่พอใจราวกับเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อกี้

“เอาเลย คนแบบนี้ต้องจัดการซะบ้าง จะได้ไม่กล้าทำอีก” ผมผสมโรงไปด้วย แต่ครู่เดียวก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากเสียอารมณ์ “ว่าแต่วันนี้เราจะไปกี่ที่ดี”

“สักสามที่ไหวไหมพี่ ผมว่าจะพาไปโป่งน้ำร้อนท่าปายตอนสายๆ หาข้าวกลางวันกินแถวๆ นั้น แล้วก็ไปปายแคนยอนตอนบ่ายๆ เย็นๆ ค่อยกลับมาหาอะไรกินแถวๆ ตลาดคนเดิน พรุ่งนี้…ไปจุดชมวิวหยุนไหล ต้องไปแต่เช้ามืดเลยนะ พี่กัปตันจะไหวเปล่า”

“ไหวดิ แต่คืนนี้อย่าดึกมากละกัน”

“อ้าว จะดีเหรอ”

“ทำไม” ผมทำหน้างง แต่สักพักก็นึกออก “อ๋อ…”

“ไม่เป็นไร ทำแต่หัววันก็ได้ จะได้ไม่ง่วง” อะตอมขำเบาๆ

“จะเอาจริงเหรอ”

“เอาจริงดิ เตรียมมาซะขนาดนี้แล้ว”

“กูเอ๊ยพี่…พี่มีอะไรจะบอกอะตอมเรื่องหนึ่ง” ผมขำตัวเองที่เผลอพูดมึงกู

“อะไรครับ” อะตอมเอียงคอ

“กูเคยไปอ่านเจอในเน็ต เขาบอกว่ามึงน่ะ…เป็นผู้ชายที่มีเซ็กซ์แอพพีลสูงมาก”

“แล้วพี่ว่าจริงไหมล่ะ” อะตอมถามหยอก

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ฟังต่อก่อนดิ แล้วเขาก็คุยกันต่อว่า…อย่างอะตอมน่ะ ไม่น่ามีแฟนเป็นคนพิการเลย”

อะตอมขมวดคิ้ว หน้าเข้มเครียดขึ้นมาทันที “พี่ไม่ต้องไปฟังพวกเขาหรอก ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา”

“เออ พี่รู้ แต่ตอนแรกพี่ก็เครียดไง เรื่องที่พี่จะบอกอะตอมก็คือว่า…พี่เคยน้อยใจ แล้วก็เคยคิดจะบอกให้อะตอมทบทวนด้วยว่า…”

“ผมต้องการความรักนะพี่” อะตอมขัดจังหวะ ผมจึงต้องหยุดและฟังอะตอมพูด

“สาวๆ พวกนั้นน่ะ พูดตรงๆ นะพี่ ผมเคยได้มาหมดแล้ว ผมเป็นนายแบบตั้งแต่อายุสิบหก เจอคนเยอะแยะ สาวๆ เข้ามาหาเยอะ จะเป็นร้อยแล้ว แต่ไม่มีใครทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่สักคน ความรักมันสำคัญมากนะครับพี่กัปตัน เพราะมันทำให้เราสองคนยอมรับกันได้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่เหมือนกันเลย ผมขอรักพี่คนเดียวนะ ผมอยากได้ความรักแบบนี้ ผมอยากมีใครสักคนอยู่ดูแลกันแบบนี้ พี่กัปตัน…กับน้องอะตอม”

อะตอมพูดประโยคท้ายช้าๆ ชัดๆ เพราะเขาต้องการย้ำให้ผมมั่นใจ เราสองคนจ้องตากันนิ่งๆ ปล่อยให้ลมหนาวไหลพัดผ่านผิวเสื้อกันหนาว แม้แดดจะแรงจ้า ทว่ามันกลับอบอุ่น หัวใจของเราก็พลอยอบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาวไปด้วย

“ขอบคุณมากนะ” ผมเอ่ยเบาๆ

อะตอมเอื้อมมือมาจับมือผม ผมพลันหันไปมองรอบๆ อย่างระแวดระวังโดยสัญชาตญาณ

“ไม่ต้องสนใจใครหรอกพี่ ถ้าใครเดินมาถามนะ ผมจะบอกเลยว่าผมกับพี่เป็นแฟนกัน” อะตอมพูดดักอย่างรู้ทัน

ผมก็เลยได้สติ ปล่อยให้คนเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่คิดจะสนใจ อะตอมเขยิบเข้ามาใกล้จนไหล่เราชิดกัน ลมหนาวแทบจะหมดอานุภาพ ทั้งแสงแดด เสื้อผ้าและมือของเราที่กอบกุมกันไว้ต่างก็ช่วยกันแผ่คลื่นความอบอุ่นปกป้องสองเรา

สักพักอะตอมก็ลุกขึ้นและเอาวีลแชร์มากางให้ เขาช่วยจับผมลุกขึ้นยืนและช่วยพยุงผมให้นั่งลงบนวีลแชร์ พอเรียบร้อยเขาก็เข็นผมไปตามสะพานไม้พัดซึ่งขัดกันถี่ๆ มันยวบยาบบ้างเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความมั่นคง เวลาเข็นต้องยกล้อหน้าขึ้นเล็กน้อย เพราะพื้นทางเดินขรุขระ ถ้าไม่ระวังล้อหน้าจะสะดุด ผมเคยหล่นจากวีลแชร์เพราะล้อหน้าสะดุดมาแล้ว อะตอมจึงต้องคอยระวัง

“เสียดายนะ ผมไปเรียนกับพี่ไม่ทัน ผมว่าผมต้องคิดถึงพี่กัปตันมากแน่ๆ เลย พี่เชื่อไหม เมื่อก่อนผมไปถ่ายแบบหลายๆ วันได้ แต่เดี๋ยวนี้ไปแค่วันเดียวก็อยากกลับแล้ว เพราะผมอยากกลับมาอยู่กับแฟน โห…แต่นี่ผมจะต้องอยู่ห่างจากพี่ครึ่งปี จะทนคิดถึงได้ไหมเนี่ย”

“ก็วิดีโอคอลมาดิ”

“อันนั้นผมทำอยู่แล้ว แต่ผมเป็นห่วงพี่ไง ไม่รู้ดิ เท่าที่ฟังจากพี่นะ ผมว่าน้องชายพี่เขาไม่ค่อยชอบพี่เท่าไหร่ ผมกลัวเขาดูแลพี่ไม่ดี ไม่งั้นแม่คงไม่ให้ผมไปเรียนกับพี่หรอก จริงไหม ว่าแต่…ทำไมน้องพี่เขาถึงไม่ชอบพี่ล่ะ” อะตอมถือโอกาสถามเรื่องที่อยากรู้ตรงๆ

“ก็ตอนเด็กๆ แม่เขาดูแลพี่เยอะกว่าลมหนุนไง เขาก็เลยรู้สึกอิจฉา เวลาแม่เผลอ บางทีเขาก็ชอบแกล้งพี่ แต่พี่ก็ไม่เคยฟ้องแม่หรอก”

“ทำไม”

“เขาเคยขู่พี่ว่า…ถ้าพี่ฟ้องแม่ เขาจะเตะพี่ตกรถเข็น”

“เขาพูดขนาดนั้นเลยเหรอ” อะตอมรู้สึกตกใจไม่น้อย อาจจะถึงกับอึ้งด้วย

ผมยิ้มเศร้าๆ “ใช่ เหตุผลหนึ่งที่แม่ไม่อยากให้พี่ไปเรียนเมืองนอกตอนเด็กๆ ก็เพราะเขากลัวนี่แหละ แต่ถึงพี่ไม่ฟ้อง แม่เขาก็รู้แหละ เขาเคยอบรมลมหนุนเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง แต่ลมหนุนเขาก็โวยวายหาว่าแม่ลำเอียง แม่เขาก็เลยไม่รู้จะพูดยังไง ก็เลยส่งลมหนุนไปเรียนเมืองนอกตอนมอต้น”

“โห เขาเป็นน้องชายของพี่นะ ทำไมเขาทำแบบนี้” อะตอมหยุดเข็นรถ เมื่อผมหันไปมองก็เห็นเขาตาแดงๆ น้ำตาซึมๆ

“เป็นไรเหรอ” ผมถามอย่างเป็นห่วง

“ผมสะเทือนใจน่ะพี่ น้องพี่เขาจะกล้าเตะพี่จริงๆ เหรอ ถึงว่า…พี่กัปตันถึงไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องเขาให้ผมฟัง” อะตอมหน้าเศร้า เจ้าตัวดูจะเห็นใจผมไม่น้อย

“พี่ก็ไม่รู้ว่าเขากล้าหรือเปล่านะ แต่เขาขู่พี่แบบนั้นไง พี่ก็เลยไม่อยากมีเรื่องกับเขา แต่ช่างเหอะ ตอนนั้นเขายังเด็ก ตอนนี้เขาคงไม่คิดแบบนั้นแล้วมั้ง” ผมพยายามขำเบาๆ แต่อะตอมก็ยังไม่คลายกังวล

“ผมเป็นห่วงพี่เลยนะเนี่ย ทำไงดี ผมอยากไปเรียนพร้อมพี่เลย”

“ไม่ทันแล้ว ไม่เป็นไรหรอก อะตอมไม่ต้องกังวลนะ พี่ไม่ได้พักกับเขา แม่เขารู้แหละ ถ้าแม่ไม่มีแผนว่าจะให้อะตอมตามไปนะ พี่ก็คงต้องพักอยู่กับน้อง แต่เพราะอะตอมชนะใจแม่พี่ได้ไง พี่ถึงได้พักคนเดียว” ผมยิ้มกว้างสดใส อะตอมจึงยิ้มตามในที่สุด

“ดีแล้วพี่ ไม่ต้องอยู่กับเขาหรอก ถ้าเขาเป็นแบบนี้ ผมว่าอยู่คนเดียวดีกว่า อ้อ กลับไปผมจะตั้งใจฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งๆ นะ ผมจะได้ไปเรียนกับพี่ได้ พี่กัปตันอดทนอีกนิดเดียวนะครับ ผมจะรีบตามพี่ไปให้เร็วที่สุดเลย” ท่าทางกังวลของอะตอมหายไปแล้ว เขายิ้มได้เต็มปากตามปกติ

“มีคนดูแลดีแบบนี้ พี่จะเสียนิสัยไหมเนี่ย” ผมสัพยอก

“ไม่เสียหรอก พี่กัปตันนิสัยดีจะตาย ผมก็ไม่ได้คิดจะทำให้พี่เสียนิสัยนะ แค่อยากช่วยอำนวยความสะดวกให้พี่กัปตันทำสิ่งที่พี่อยากทำได้ง่ายขึ้น จำไม่ได้เหรอ ผมชื่ออะตอม…เป็นพลังงาน ส่วนพี่ชื่อกัปตัน…เป็นทิศทาง”

“จำได้” ผมเงยหน้ามองอะตอมอย่างซาบซึ้ง ถ้าไม่เกรงใจนักท่องเที่ยวแถวนี้ ผมจะขอให้เขาช่วยพยุงผมลุกขึ้นยืนและกอดเขาไว้

“พี่อยากกอดผมเหรอ” อะตอมถามอย่างรู้ทัน ทำหน้ายิ้มๆ ด้วย

ผมพยักหน้ายอมรับตามตรง

“เชื่อยัง ผมเคยบอกพี่ว่าผมจะทำให้พี่รักผมให้ได้” อะตอมชวนผมย้อนคิดถึงคำพูดนั้นของเขาตอนเจอกันใหม่ๆ

“เชื่อแล้ว เชื่อมาหลายเดือนแล้วไง ไม่รู้เหรอ”

อะตอมเปลี่ยนมายืนหน้าวีลแชร์ผม เขายิ้มละไมมีความสุข ครู่เดียวก็เอื้อมมือมาจับใต้รักแร้ผม ก่อนจับผมลุกขึ้นยืนตัวตรงและกอดผมไว้ ตอนแรกผมว่าจะตกใจ แต่อะตอมพูดดักเอาไว้อย่างรู้ทันซะก่อน

“เราสองคนรักกัน เราสองคนเป็นแฟนกัน ถ้าอยากกอดกัน ทำไมจะต้องอายด้วย ผมอยากให้พี่รู้ว่าผมไม่เคยอายที่ผมเป็นแฟนพี่ ผมไม่สนใจใคร เพราะคนที่ผมสนใจมากที่สุด…ก็คือพี่กัปตันของผม ผมรักพี่นะครับ”

“พี่ก็รักอะตอมนะ” ผมกอดอะตอมแน่น มีคนหันมามองเราสองสามคนไกลๆ ออกไป แต่ผมก็ไม่สนใจใครแล้ว

สังคมคงไม่มีภาพคนพิการแบบผมเท่าไหร่หรอก คนมักคิดว่าผมเป็นคนด้อยโอกาส น่าสงสาร ทำอะไรไม่ค่อยได้ ไปไหนไม่ค่อยได้ ชีวิตไม่น่ามีความสุข ไม่มีเพศ ไม่มีความรัก ยิ่งรักเพศเดียวกันยิ่งห่างไกลเกินจินตนาการถึง แต่ผมก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อผมรักแฟนผม อยากกอดแฟนผม ผมก็อยากทำอย่างคนธรรมดาทั่วไปบ้าง ขอบคุณอะตอมจริงๆ ที่ช่วยปลดล็อกความคิดให้พี่คนนี้ได้ซะที

ที่คืนนี้ผมจะยอมให้อะตอมก่อน เพราะผมอยากขอบคุณและให้รางวัลแก่คนดีๆ อย่างเขานี่แหละ คิดแล้วผมก็แอบเขิน เราสองคนอุตส่าห์อดทนไม่ทำอะไรเกินเลยกันไปมากกว่าแค่ช่วยเหลือกัน เพราะเราอยากเก็บเอาไว้มาทำที่นี่ จะได้น่าจดจำ ผมว่าเราคงจำได้ไปอีกนานเลย เอาเป็นว่า…

คืนนี้พี่จะทำให้สุดฝีมือเลยนะอะตอม




TBC...

อีกเรื่องที่อยากให้ลองไปฟังดูครับ
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/236253571-member.jpg)

EP01
https://www.youtube.com/v/9mE8lkT_aNw

EP02
https://www.youtube.com/v/M_apm6wGHEY


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เข็น ❤️ ขึ้นภูเขา - EP04 ผมแพ้ผู้ชายน่ารัก - SOON [นิยายวายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 26-11-2017 21:38:05
กอดๆๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP09 พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ✍ 4.5.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 27-11-2017 12:26:22
ถามตรงๆอะตอมก็ต้องตอบตรงๆสิ5555 ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 27-11-2017 21:30:47
เป็นนิยายที่ดีมากๆ มีมุมให้ข้อคิดหลายมุมเลยทีเดียว

เราเองก็มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกอยู่หลายเรื่องแต่พอได้มา

อ่านเรื่องนี้แล้วมันทำให้เรามีกำลังใจและไม่ย่อท้อต่อสิ่ง

ที่เรากำลังเผชิญอยู่. ต้องขอบคุณคนเขียนจริงๆที่

ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ

#รอส่วนสุดท้ายของบทนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ☕EP15 เป็นเมียก็ยอม (100%) - 15.6.17 [วายละมุน]
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 28-11-2017 00:06:54
อ่านแล้วหน่วงใจสลับกับอมยิ้มชอบใจไปด้วย นึกภาพพระเอกจะกลายเป็นรับไม่ออกเลย5555
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 29-11-2017 00:27:31
น่ารักตลอดเลยคู่นี้ เค้าจะได้กันแล้วค่าาาาาาาาาาา 55
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 29-11-2017 08:35:55
อ่านเพลินล่วงเลยมาจนตีหนึ่งกว่าๆ ละมุมมากเลยนิยายนี้จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 01-12-2017 17:35:30
น่ารักจัง ยินดีกับทั้งคู่ที่สุดท้ายก็้จะได้ไปอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 01-12-2017 21:32:04
สนุกดีค่ะ ละมุน หวานหน่อยๆ นิยายเรื่องนี้ทำให้เราเห็นคนพิการในอีกมุม
ชอบกัปตัน กับ อะตอม  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [2/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 02-12-2017 00:36:33
อะตอมเป็นคนดีมากเลยที่เข้าใจและใส่ใจ และยอมรับในสิ่งที่เป็นกัปตันได้เป็นอย่างดี

ส่วนกัปตันก็เป็นตัวอย่างในการที่เป็นคนมุ่งมั่น ต่อสู้กับความยากลำบากแล้วก็ปรับตัวได้ดี ก็แทบจะไม่รู้สึกว่าเป็นคนพิการเลยด้วยซ้ำ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [3/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: HuskyLover ที่ 02-12-2017 07:39:35
EP31 - P3
พี่กัปตัน-น้องอะตอม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/2043389716-member.jpg)


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/1469912654-member.jpg)

ตรงหน้าของเราคือทิวเขาสลับซับซ้อน แม้อยู่ไกลออกไปก็ยังดูน่าเกรงขาม ท้องฟ้าเหนือทิวเขาฉาบทาด้วยสีส้มแดงฉานของดวงอาทิตย์ซึ่งหายลับไปแล้ว อีกไม่นานความมืดก็จะครอบคลุมโลกอีกครึ่งซีกทั้งหมดไปอีกว่าสิบชั่วโมง

เราปล่อยให้อากาศเบาบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย เพียงมาอยู่ได้วันสองวันก็รู้สึกว่าระบบภายในสะอาดขึ้น เมื่อร่างกายของเราซึ่งถูกสร้างมาจากธรรมชาติได้เชื่อมต่อกับสิ่งที่สร้างมันมา ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งแวดล้อมจึงบังเกิด ในขณะที่เราจะไม่รู้สึกแบบนี้กับอิฐหินปูนทรายในเมืองใหญ่เลย

“โคตรสวยเลยว่ะอะตอม”

ผมทอดสายตามองไกลออกไปจากระเบียงห้อง นอกจากสายตาจะได้เห็นความงดงามของธรรมชาติ ร่างกายของผมก็รู้สึกผ่อนคลายกับน้ำอุ่นๆ ซึ่งไหลเวียนไปรอบๆ พร้อมกับมีฟองสีขาวละเอียดนุ่มผิวยามสัมผัส กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้นานาพันธุ์เพิ่มสัมผัสรื่นรมย์ให้นาสิกประสาท หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน การได้พักผ่อนสบายๆ แบบนี้ก็ถือเป็นรางวัลที่น่าชื่นใจไม่น้อย

“ผมดีใจนะที่พี่ชอบ เสียดายวันหายไปหนึ่งวันเพราะไอ้สายการบินเชี่ยนั่น” อะตอมแขวะสายการบินนั้นอีกจนได้ “เอาไว้พี่กลับเมืองไทยคราวหน้า ผมจะพามาเที่ยวแบบนี้อีกนะ”

“ครั้งต่อไปไปทะเลดีไหม อะตอมชอบทะเลนี่” ผมนึกได้

“ผมน่ะ…ไปไหนก็ได้ ถ่ายแบบก็ดีอย่างนะผมว่า ได้ไปหลายที่ ทำงานด้วย เที่ยวไปด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมเที่ยวมาเยอะแล้ว ผมอยากพาพี่ไปตรงไหนก็ได้ที่พี่อยากไปมากกว่า”

“ครั้งต่อไปพี่อยากไปทะเลไง แต่ว่า…ไม่ไปเกาะเสม็ดแล้วนะ ไปทางใต้ดีกว่า” ผมพูดยิ้มๆ เป็นอันรู้กันว่าทำไม

“แหม ผมไม่พาพี่ไปอีกหรอกน่า แต่เชื่อผมสิ ถึงจะไปเกาะอื่นๆ หรือที่ไหนๆ ถ้ามีผมกับพี่สองคน…ก็เสร็จได้เหมือนกัน ไม่ต้องไปถึงเกาะเสม็ดหรอก” อะตอมสัพยอก ผมหัวเราะเบาๆ ตามไปด้วย

“หันหลังหน่อย” ผมสั่ง

“ทำไม” อะตอมทำหน้างงระคนตกใจ ไม่รู้ว่ากลัวอะไรของมัน

“ตกใจทำไม พี่จะถูหลังให้ วันนี้อะตอมเหนื่อยมาทั้งวันเลยนะ ไหนจะเข็น ไหนจะอุ้ม ไหนจะยก มา…เดี๋ยวพี่จะให้รางวัล เร็ว ว่าง่ายๆ จะได้โตไวๆ”

พอผมอธิบายจบ อะตอมจึงยอมหันหลังให้ ผมเริ่มด้วยการหยิบฟองน้ำบนขอบอ่างมาชุบฟองในอ่างอาบน้ำจนชุ่ม จากนั้นก็เอามาถูหลังให้อะตอมเบาๆ ห้องที่เราพักเป็นห้องดีที่สุดของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในอำเภอปาย มีอ่างอาบน้ำแบบเปิดโล่งเห็นธรรมชาติตรงระเบียง ที่จริงคงไม่เหมาะกับอากาศหนาวๆ เท่าไหร่ แต่โชคดีที่มีน้ำแร่อุ่นๆ ให้อาบด้วย

“สบายจังเลย” เสียงอะตอมฟังดูเคลิ้ม

ผมวางฟองน้ำไว้ที่เดิม ก่อนเปลี่ยนมาบีบนวดตรงไหล่ทั้งสองข้างและต้นแขน ตามด้วยการใช้ศอกคลึงไปมาตามแผ่นหลังหนักสลับเบา จนกระทั่งคิดว่าอะตอมคงจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อจนสบายตัวดีแล้ว ผมก็เบียดชิดแนบหลังและกระซิบถามเบาๆ ข้างหูอะตอม

“หายเมื่อยยัง”

“สบายขึ้นเยอะเลยครับพี่ แต่…มีอีกที่อยากให้พี่ช่วยนวดเพิ่มน่ะ” อะตอมยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ตรงไหน” ผมวางคางลงบนไหล่อะตอม สองมือลูบไล้ไปตามหน้าท้องของอะตอมเบาๆ

“ลองจับไปเรื่อยๆ สิครับ ถ้าใช่เดี๋ยวผมจะบอก” เสียงของอะตอมเริ่มสั่นๆ

“ตรงนี้เหรอ” ผมเลื่อนมือลงไปจับข้อเท้าของอะตอมซึ่งจมอยู่ในน้ำเป็นจุดแรก

“ยังครับ”

“ตรงนี้ใช่ไหม” ผมเลื่อนขึ้นมาที่หัวเข่า

“อืม…ตรงนี้มันยังไม่ค่อยเมื่อยหรอก เขยิบขึ้นไปหน่อย”

“ตรงไหนน้า…” ผมเล่นเสียงสูงต่ำ ก่อนเลื้อยมือขึ้นมาจนถึงสะดือ ลูบไล้วนไปมาตรงนั้นและตามขอบเอวเบาๆ

“ตรงนี้เปล่า” ผมถามเสียงสั่นพอกัน แม้จะเคยทำแบบครึ่งคอร์สมาแล้ว แต่พอรู้ว่าจะทำแบบเต็มคอร์สก็อดตื่นเต้นไม่ได้

“ตรงนั้นมันไม่เมื่อยตอนนี้หรอก แต่หลังจากนี้ไม่แน่ ลองทายอีกสิ ใกล้จะถูกแล้ว มันเป็นของแข็งน่ะครับ”

“ยากจัง ทายหลายรอบแล้วก็ยังไม่ถูกซะที” ผมแสร้งพูด

“แต่คราวนี้ผมว่าน่าจะถูกนะ” อะตอมหันมายิ้มยั่ว

ผมจ้องตาอะตอมด้วยแววตาหยาดเยิ้ม มือที่ลูบวนตรงสะดือเคลื่อนต่ำลงไปอีกเล็กน้อย ไม่นานก็คว้าอวัยวะหนึ่งเอาไว้ มันแข็งตัวรออยู่นานแล้ว

“ตรงนี้แน่ๆ เลย” เสียงผมสั่นยิ่งกว่าเดิม

อะตอมไม่ตอบ ผมจึงถือวิสาสะกำและรูดหนังหุ้มขึ้นลงในน้ำเบาๆ สลับกับใช้นิ้วโป้งบดคลึงและบี้ตรงหัวเล่นด้วย อะตอมถึงกับครางฮือและซี๊ดปาก

“ขึ้นไปนั่งสิ เดี๋ยวพี่จะนวดด้วยวิธีพิเศษให้” ผมกระซิบด้วยเสียงที่บอกถึงความปรารถนา

อะตอมทำตามอย่างว่าง่าย เขารีบเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนขอบอ่าง ผมเขยิบตามไปหาทันที สายตาจับจ้องเป็นมันอยู่ที่อวัยวะนั้นซึ่งกำลังผงกหงึกหงัก มีฟองขาวๆ ติดอยู่จำนวนหนึ่ง ผมเอาผ้าเช็ดมือซับฟองออกจนหมด ก่อนกำรอบและรูดหนังหุ้มลงจนสุด เผยให้เห็นหัวเห็ดสีแดงก่ำรูปทรงโค้งมนสวยน่าลิ้มลอง

ผมก้มลงไปใกล้ ใช้ปลายลิ้นอุ่นๆ แตะและเลียเบาๆ ตรงรูเล็กๆ กลางหัวเห็ดมันวาวเป็นเชิงทักทาย มีน้ำใสๆ ไหลซึมจนชุ่มเป็นเงาลื่น เท่านี้อะตอมก็เสียวจนสะดุ้งแล้ว

“อูยยย ซี๊ด”

สัมผัสลื่นๆ แข็งๆ หยุ่นๆ ช่างเย้ายวนลิ้นและรสสัมผัส ผมใช้ลิ้นเลียวนตรงหัวหยัก สลับกับดูดดึงหนักบ้างเบาบ้าง เล่นเอาอะตอมครางดังกว่าเดิม

“พี่กัปตันครับ ผมเสียวครับพี่ อูยยย ซี๊ดดดด”

อร่อยลิ้นและหนำใจดีแล้วผมก็จับท่อนลำชักขึ้นลงสามสี่ครั้ง กำรอบและหมุนควงไปมาด้วย เจ้าเห็ดหัวบานเย้ายวนชวนผมเอาปากชมพูลงไปครอบ มันให้สัมผัสวิเศษต่อลิ้นอุ่นๆ สากๆ ของผมดีจัง อะตอมชอบมากๆ เวลาเห็นปากชมพูดของผมรูดขึ้นลงกับท่อนลำของมัน เจ้าตัวเคยบอกว่าแค่เห็นก็จะ “แตก” แล้ว

อะตอมครางดังและตัวสั่นเทิ้ม เขาก้มมองดูท่อนลำตัวเองหายเข้าไปในปากชมพูของผมด้วยใบหน้าเหยเก ผมดูดกลืนมันราวกับหิวมาจากไหน ทำไปเงยมองหน้าอะตอมไปด้วย ท่อนลำอวบยาวช่างเต็มปากเต็มคำดีจริงๆ สักพักอะตอมก็กระเด้งส่งท่อนลำเข้าออกปากผมโต้ตอบ สีหน้าหื่นกระหายกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเราให้สูงทะยาน ต่างคนต่างซี๊ดปากแข่งกัน เสียงผมอู้อี้หน่อยเพราะมีของคาเต็มปาก

“ซี๊ด อาห์ โอวววว เสียวฉิบหายเลย” อะตอมครางเสียงแตกๆ ดุๆ

ผมแอบตกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวันนั้นมันพูดจริงหรือพูดเล่น ที่ว่าชอบพูดคำหยาบตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่ถ้ามันจะเผลอพูดก็ไม่น่าเป็นไร ผมว่ามันน่าจะได้อารมณ์มากขึ้นด้วยซ้ำ

อะตอมดันหัวผมออก ก่อนจับเอาหัวของท่อนของมันถูไปมาตามขอบปากของผม ถูไปก็ซี๊ดปากและเลียปากไปด้วย มันมองกิจกรรมนั้นแทบไม่กะพริบตาเลย

“อูย เสียวว่ะ ผมชอบปากชมพูของพี่มากเลย โคตรเซ็กซี่ อาห์”

อะตอมเอาท่อนมันตบปากผมเบาๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็สั่ง

“เอาปากชมพูของพี่อมให้ลึกๆ เลยนะครับ เอาให้ถึงคอหอยเลย”

ผมครอบปากลงไปที่ท่อนลำของอะตอมอย่างว่าง่าย ที่จริงเราก็ศึกษาเรื่องพวกนี้มาจากคลิปโป๊บ้างแล้ว ก่อนมาก็คุยกันไว้ว่าจะทำท่าไหนบ้าง แม้ถึงเวลาจริงคงใช้สัญชาตญาณและอารมณ์เป็นหลัก แต่รู้ไว้บ้างก็ดี จะได้มีลูกเล่นมาปรับใช้

พอท่อนลำยาวจ่อถึงคอหอย อะตอมก็กดหัวผมไว้ มันร้องครางและดิ้นไปมาราวกับปลาโดนทุบหัว พักหนึ่งก็ปล่อยหัวผมออกก่อนที่ผมจะเผลออ้วก น้ำลายใสๆ ของผมเปียกลื่นไปทั่วท่อนลำจนเยิ้ม ผมจึงดูดเลียทำความสะอาดให้ สะอาดดีแล้วผมก็พยายามกลืนท่อนยาวลงคอลึกๆ อีกรอบ อะตอมกดหัวผมอีกครั้ง แต่ไม่นานก็ปล่อยออก

“พอก่อนพี่ เดี๋ยวจะแตก โคตรเสียวเลย พี่เป็นคนแรกนะครับที่ทำให้ผมเสียวขนาดนี้ สุดยอดเลยที่รักของผม” อะตอมชมผมทิ้งท้าย

“อีกนิดได้เปล่า ยังเหลืออีกอย่าง” ผมต่อรองเขินๆ

“อะไรพี่ อย่าทำผมแตกนะ” อะตอมเตือน

ผมรีบจับท่อนลำของอะตอมพับแนบลงกับหน้าท้อง พวงไข่กลมย้อยน่ารักน่าเลียอวดแก่สายตา ผมอดใจไม่ไหวจนต้องรีบก้มลงดูดเลียเบาๆ บางจึงหวะก็ดูดและดึงขึ้นเบาๆ ด้วย มันช่างนุ่มลิ้นดีแท้ แถมกลิ่นก็หอมยวนใจ อะตอมก้มมองพลางครางเสียวไปด้วย

“พี่กัปตันเก่งจัง ซี๊ดดดด อาห์”

ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายถูกกระทำบ้าง ผมก็จับท่อนลำของอะตอมมาดูดเลียอีกรอบ ผมใช้มือรูดขึ้นลงเร็วๆ และจูบกึ่งดูดลงไปบนหัวนั้น อะตอมก้มมองปากชมพูบนหัวหยักแล้วก็ร้องซี๊ดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เมื่อรู้ว่าชอบผมก็จัดให้

ไม่นานอะตอมก็เลื่อนตัวลงมาอยู่ในอ่างกับผม เขาดึงผมเข้าไปกอดจูบลูบคลำอย่างหิวกระหาย สัมผัสลื่นๆ จากฟองสบู่ตามเนื้อตัวช่วยให้สัมผัสลูบไล้ของเราน่ารื่นรมย์และเสียวเป็นพิเศษ

จูบเสร็จอะตอมก็ดันตัวผมจนหลังติดขอบอ่าง เขาโลมเลียไปตามลำคอและไล่ไปถึงใบหูของผมอย่างคุ้นเคย ทว่าก็ไม่ทำให้ความเสียวซ่านน้อยลง ขณะที่สองมือก็บีบคลึงที่นมสองข้างของผมไปด้วย บางครั้งก็เขี่ยเล่นไปมาเบาๆ ให้ผมเสียวเล่นและครางฮือ

อะตอมเอาผ้ามาเช็ดตรงหน้าอกผมจนหมดฟอง จากนั้นก็ดูดและเลียวนที่นมสองข้างของผมสลับกันไปมา ไม่เจอแบบนี้มาหลายวันก็เล่นเอาผมเสียวไม่น้อย จึงเผลอกดหัวอะตอมเข้ากับหน้าอกของตัวเองเพื่อคลายความเสียวที่ไม่เคยน้อยลงเลย อะตอมทำอยู่นานจนนมชมพูของผมแดงเรื่อด้วยรอยดูดและแรงบีบ แต่ผมก็พอใจที่มันให้ความสุขกับอะตอมได้

คราวนี้อะตอมให้ผมขึ้นไปนั่งบนขอบอ่างบ้าง ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะจัดการท่อนลำของผม แต่เปล่าเลย เขาจับเท้าผมขึ้นมาจากน้ำ เอาผ้าขนหนูเช็ดจนแห้งสะอาด ก่อนใช้ลิ้นเลียปลายนิ้วเท้าให้พอเสียว จากนั้นก็เพิ่มความเสียวยิ่งขึ้นด้วยการดูดกลืนและโลมเลียหนักๆ ไปตามง่ามนิ้ว ผมว่ามันให้ความรู้สึกเสียวซ่านที่แปลกไปอีกแบบ ผมปล่อยอารมณ์ให้เพลิดเพลินอย่างเต็มที่ สายตาทอดมองออกไปจากระเบียง แต่คราวนี้เห็นแต่ความมืดมิดเพราะหมดแสงอาทิตย์แล้ว

จากข้างหนึ่งอะตอมก็ย้ายมาข้างหนึ่ง เขาบอกผมว่าไม่เคยทำแบบนี้กับสาวที่ไหนมาก่อนเลย เขาทำให้ผมเป็นคนแรกและน่าจะเป็นคนสุดท้าย ผมก็ไมรู้ว่าทำไมเขาถึงชอบ แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีของการมีเซ็กซ์ ผมรับได้ถ้ายังไม่เลยเถิดถึงขั้นเอาแซ่เฆี่ยนตีหรือเอาน้ำตาเทียนหยดใส่

มือข้างหนึ่งของอะตอมเอื้อมมาจับท่อนลำแข็งปั๋งของผม เขารูดเล่นขึ้นลงเบาๆ เมื่อความเสียวเพิ่มเป็นสองจุดผมก็ร้องครางดังขึ้น อะตอมวางขาผมลงในน้ำ คราวนี้คงได้เวลาจัดการกับ_วยชมพูของผมอย่างเต็มที่

หนังหุ้มของผมถูกรูดลงไปจนหัวเห็ดแดงชมพูของผมโผล่ชัดขึ้น อะตอมใช้ลิ้นเลียวนไปมาเบาๆ บนหัวเห็ด แม้ไม่ใช่ท่าแปลกใหม่แต่ทำทีไรก็เสียวทุกครั้ง ไม่นานเขาก็อมลึกลงไป ใช้ปากรูดขึ้นลงอย่างเมามัน

อะตอมทำไม่นานก็ลุกขึ้น เอาผ้าเช็ดตัวเช็ดตัวให้ผมและตัวของเขาด้วย จากนั้นเขาก็อุ้มผมเข้าห้อง ท่อนลำชี้โด่เด่ไปสารพัดทิศ เมื่อวานผมลงบนเตียงนอนเขาก็เริ่มเล้าโลมผมใหม่ ไล่ลงมาตั้งแต่ปาก หู ลำคอ นม หน้าท้อง ปลายเท้าและ_วยชมพูของผม เขาใช้เวลาเล้าโลมผมนานมาก ผมเสียวแล้วเสียวอีกแต่ก็ไม่สุด นี่คือเทคนิคปลุกเร้าอารมณ์เพื่อให้ครั้งแรกผ่านไปได้อย่างราบรื่นที่สุด

จนกระทั่งผมถูกจับพลิกนอนคว่ำและหันหน้าไปทางขอบเตียง ผมก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เราสองคนรอคอยกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว อะตอมฉีกถุงยางและสวมใส่อย่างคล่องแคล่วเตรียมไว้ แต่ก็ยังไม่ผลีผลามสอดใส่ทันที เขาบีบเจลใส่นิ้วมือ จากนั้นก็เริ่มกระบวนการสร้างความคุ้นเคยให้ช่องหลังของผมซึ่งทำแท้งเรียบร้อยแล้ว เขาสอดนิ้วเข้ามาหนึ่งนิ้วก่อน แค่นี้ผมก็เริ่มครางเจ็บ เมื่อจำนวนนิ้วเพิ่มขึ้นเป็นสองและสามตามลำดับ ความเจ็บก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนน้ำตาเล็ด ไปๆ มาๆ ผมก็ชักกลัวว่าถ้าสอดใส่ท่อนลำจริงจะเจ็บขนาดไหน

อะตอมหยุดสอดนิ้วแล้วเอาเจลหล่อลื่นมาชโลมท่อนลำซึ่งมีถุงยางหุ้มไว้ เขาใส่เยอะเป็นพิเศษเพราะรู้ว่านี่คือครั้งแรก ที่เขาให้ผมนอนคว่ำเพราะเราศึกษามาแล้วว่าท่านี้เจ็บน้อยที่สุด

สองขาผมถูกจับแยกออก อะตอมเคลื่อนท่อนลำเข้ามาจ่อที่ปากช่องหลัง ใจผมต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะกลัวเจ็บ และมันก็เจ็บจริงๆ ด้วยเมื่อท่อนลำนั้นเริ่มดันตัวสอดแทรกเข้ามาทีละน้อย เข้าไปได้ครึ่งลำผมก็ร้องห้าม

“อะตอมพอก่อน พี่เจ็บน่ะ”

ผมไม่ได้พูดเล่น มันเจ็บมากจนผมนึกอยากผลักอะตอมออกจากตัวเลยล่ะ แม้จะเข้าไปได้แค่นั้นอะตอมก็ครางเสียว เขาก้มลงมาจูบผม โลมเลียไปตามต้นคอและใบหู ผมรู้ดีว่านี่คือเทคนิคช่วยให้คลายกังวลก่อนสอดใส่ แต่ก็ยอมปล่อยให้อะตอมแอบดันท่อนลำเข้ามาลึกขึ้น

ในที่สุดท่อนลำก็แทรกลึกเข้ามาจนมิดด้าม แต่มันก็แน่นเปรี๊ยะและเจ็บจนผมน้ำตาไหล อะตอมแทบไม่กล้าขยับตัวเลย เขาแช่ทิ้งไว้สักพัก ไม่นานก็ลองเริ่มขยับเข้าออกสั้นๆ ช้าๆ คราวนี้อะตอมครางเสียว แต่ผมครางเจ็บ เราต้องทำๆ หยุดๆ อยู่หลายรอบ

“อดทนหน่อยนะครับพี่” อะตอมปลอบด้วยน้ำเสียงเห็นใจ ผมพยักหน้าและกัดฟันกรอดๆ ไม่ใช่โกรธแต่เจ็บต่างหาก

อะตอมค่อยๆ โยกเข้าออกช้าๆ รอเวลาให้ช่องหลังผมคุ้นเคยและปรับตัวได้ ผมทั้งเจ็บทั้งเสียวระคนกัน สองมือเกาะขอบเตียงแน่น บางครั้งก็ต้องเอาหลังมือปิดปากตัวเองไว้ นึกอยากให้มันเอาออกไปเลย แต่ก็พยายามอดทนเพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวมันก็จะเสียว

“พี่อย่าเกร็งนะครับ เดี๋ยวก็ดีแล้ว”

อะตอมก้มมาปลอบข้างๆ หู จากนั้นก็เอามือจับคางผมพลิกหน้าไปจูบด้วย คงกะจะให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ก็ช่วยได้พอสมควร ผมจูบแลกลิ้นกับอะตอมอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกดีขึ้นจึงหยุดจูบ ระหว่างที่โยกเข้าออกช้าๆ อะตอมก็จะกอดคลอเคลียผมไปด้วย สองมือช่วยลูบไล้ตามเนื้อตัวและเขี่ยนมผมเบาๆ จนกระทั่งผมรู้สึกว่าเริ่มโอเค

“พี่พร้อมแล้ว”

อะตอมลุกขึ้นนั่ง ดึงก้นผมโด่งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มโยกเร็วขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับเร็วและแรงมาก เพราะถึงแม้ว่าจะเริ่มเสียวแต่ความเจ็บก็ยังอยู่ อะตอมจึงใช้วิธีดันขาผมให้ยกสูงขึ้น มันช่วยถ่างช่องหลังให้กว้างขึ้นได้อีกหน่อย คราวนี้ผมค่อยรู้สึกว่าดีขึ้นมาก ความเสียวเริ่มแซงความเจ็บไปบ้างแล้ว

“อูยยย พี่กัปตัน ผมรู้สึกดีมากเลยพี่ ของพี่โคตรแน่นเลย อาห์”

อะตอมเริ่มโยกเร็วขึ้นอีกหน่อย เขาก้มมองท่อนลำตัวเองที่กำลังพุ่งเข้าออกช่องหลังของผมด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ท่าจับแยกขาช่วยให้แก้มก้นของผมสัมผัสเสียดสีกับท่อนลำมากขึ้นด้วย

“พี่ครับ ผมเสียวมากเลย พี่ดูสิครับ ของผมมันเข้าไปแล้ว อูย มันแน่น มันดีมากเลยครับพี่ ต่อไปผมขอเอาพี่ทุกวันได้ไหมเนี่ย อาห์ ที่รัก ผัวเสียวมากเลยครับ ซี๊ด”

ผมตกใจไม่น้อยที่อะตอมเรียกตัวเองว่า “ผัว” แสดงว่าตอนนี้ผมก็เป็น “เมีย” มันอยู่น่ะสิ ไม่รู้ว่าต่อไปมันจะพูดคำว่า เ-็ดด้วยหรือเปล่า แต่ตอนนี้เป็นไงก็เป็นกัน ความเสียวบังตาแล้ว ผมยังไงก็ได้ ถ้าวันไหนผมเอาคืนผมก็คงจะได้เป็น “ผัว” ของอะตอมบ้าง

“พี่เสียวหรือเปล่าครับ” อะตอมร้องถามขณะโยกเข้าออกดังตับๆ เบาๆ

“เสียวครับอะตอม พี่เสียวแล้ว อาห์” ผมเอามือเกาะขอบเตียงแน่นราวกับจะกลัวหลุดไปไหน ความเสียวสะใจเริ่มทวีขึ้น

สักพักอะตอมก็ลงไปยืนข้างเตียง จับผมหมุนกลับหัวกลับหาง เขาย่อตัวลงเล็กน้อย ก่อนจับท่อนลำยัดจ่อช่องหลังของผมซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ขอบเตียงแล้ว อะตอมบีบเจลใส่เพิ่มจนแทบจะหมดขวด พอสอดใส่อีกครั้งก็เริ่มง่ายขึ้น เป็นเพราะเจลช่วยและความชินขนาดของผมด้วย

เมื่อเข้าไปจนสุดอะตอมก็ซี๊ดปาก จากนั้นก็เริ่มโยก จากช้าๆ ก็เริ่มเร็วขึ้น แรงขึ้น แต่เขาก็คอยระวังไม่ให้แรงเกินไป ดีที่ว่าผมหายเจ็บไปพอสมควร ที่จริงก็ยังเจ็บต่อพอทนได้ ก็เลยร้องครางเพราะทั้งเจ็บทั้งเสียวแบบนี้

อะตอมก้มแนบลำตัวกับแผ่นหลังของผม เขาดึงผมไปจูบแลกลิ้นอีกครั้ง ขณะที่ท่อนลำก็ซอยเข้าออกไปด้วย จูบเสร็จอะตอมก็พูด คงตั้งใจเร้าอารมณ์ไปด้วย

“ผมรักพี่นะครับ พี่รักผมไหม”

“รักสิ ไม่รักจะยอมเหรอ”

“เรามีความสุขด้วยกันนะครับพี่ พี่เป็นเมียผมนะครับ”

“อือ” ผมครางตอบ ใบหน้าเหยเก

“พี่ชอบของผมหรือเปล่า”

“ชอบสิ ชอบมากเลย”

“ผมก็ชอบตูดพี่ มันโคตรแน่นเลย ผมไม่เคยเสียวแบบนี้มาก่อนเลยพี่ พี่ดูหน้าผมสิ ผมเสียวมากเลยนะครับพี่”

อะตอมยื่นหน้ามาให้ผมดูใกล้ๆ เราจ้องหน้ากันไปพร้อมกับปฏิบัติภารกิจไปด้วย ปกติใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกคงไม่น่าดู แต่ตอนนี้กลับทำผมอารมณ์กระเจิดกระเจิง

“แรงอีกก็ได้นะอะตอม พี่พอไหวอยู่” ผมบอกด้วยเสียงขาดๆ หายๆ เพราะแรงกระแทกที่ถี่ขึ้น

“งั้นเปลี่ยนท่าดีกว่าพี่ ผมขอพี่ท่านี้นะครับ”

ผมพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย อะตอมถอนท่อนลำออก บีบเจลใส่เพิ่มอีก เขาให้ผมนอนหงายตรงขอบเตียง ก่อนย่อตัวและเอาท่อนลำจ่อช่องหลังผมอีก ไม่นานก็สอดใส่เข้าไปจนหมด คราวนี้อะตอมก้มลงมากอดผม ผมพอจะรู้ว่าเป็นท่าอะไรก็เลยกอดคออะตอมไว้ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรผมก็เสียวจนเผลอคราง

“ซี๊ดดด อาห์”

อะตอมจับตรงสะโพกผมและค่อยๆ โยกขึ้นลงช้าๆ สองขาของผมซึ่งยังพอมีแรงเกี่ยวกระหวัดก้นอะตอมไว้ ผมยอมรับเลยว่าท่าลิงอุ้มแตงเป็นท่าที่เสียวและเข้าได้ลึกมาก เสียวจนผมต้องกอดอะตอมไว้แน่น ยิ่งอะตอมจับเอวผมโยกขึ้นลงและแรงขึ้นผมก็ยิ่งเสียวและกอดแน่น ทั้งเสียวทั้งอบอุ่น เมื่อความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้ง เราสองคนก็เชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์ สองร่างของเราแทบจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน

“อะตอม พี่เสียว พี่รักอะตอมนะ พี่เป็นเมียอะตอมแล้วนะ”

“ครับพี่ เราสองคนเป็นผัวเมียกันนะครับพี่”

ผมกอดอะตอมแน่นขึ้นและพยักหน้า คนสองคนถ้าจะรักกันและอยู่ด้วยกันแล้ว คำว่าผัวเมียซึ่งแต่ก่อนใช้กับชายหญิงดูจะเป็นคำที่บ่งบอกความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งได้ดีที่สุด แม้แรกๆ ผมจะต่อต้าน แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความหมายของมันแล้ว

ในเมื่อชายหญิงใช้คำนี้เพื่อสร้างโลกด้วยกันมาแล้ว ทำไมชายกับชายจะเอามาใช้บ้างไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราเป็นและทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคู่ผัวตัวเมียแม้แต่น้อย เพียงแต่เราก็มีนิยามส่วนตัวของเราในคำว่า “ผัว” และ “เมีย” ของเราเอง เพราะเราสลับบทบาทกันได้ ในขณะที่ชายหญิงเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้นไปจนตาย

อะตอมจับผมโยกขึ้นลงเร็วขึ้น มันเป็นท่าที่ผมรู้สึกว่ามันมากและเสียวมาก ขณะเดียวกันก็อบอุ่นมากด้วยเพราะเราได้กอดรัดกันเต็มที่ ซ้ำผมยังตัวเบาก็เลยช่วยให้อะตอมยืนระยะได้นานหน่อย

“พี่ผมใกล้แล้ว” อะตอมบอกด้วยเสียงรีบเร่ง

เขาพาผมกลับขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้ง ให้ผมนอนตะแคง เมื่อสอดใส่เข้ามาได้เขาก็จับขาผมยกสูงขึ้น จากนั้นก็เร่งจังหวะซอยเข้าออก ตัวผมโยกคลอนตามแรงกระแทกดังป้าบๆ ท่อนลำของผมก็แกว่งไปมาด้วย อะตอมจึงช่วยจับรูดขึ้นลงให้ แต่พอจะเสร็จเขาก็ปล่อยมือออก เพราะตอนนี้เขาต้องโฟกัสทุกอย่างไปที่การปลดปล่อยครั้งสุดท้าย

“ผมแตกในพี่นะครับ” อะตอมร้องบอกพลางเร่งจังหวะเร็วขึ้น

ผมตอบไม่ได้เพราะมัวแต่ร้องอั๊กๆ ตามแรงกระแทก แต่เมื่อผมปล่อยเลยตามเลย อะตอมก็น่าจะรู้ว่าผมโอเค ผมไม่กลัวหรอกเพราะอะตอมใส่ถุงยางไว้

“โอ๊ยพี่ ผมจะออกแล้วพี่ โอว โคตรเสียวเลยพี่ ผมออกแล้วนะครับพี่ ผมออกแล้ว อาห์”

อะตอมร้องครางอย่างดิบเถื่อน ไม่นานร่างที่กระแทกกระทั้นก็กระตุกและพ่นน้ำรักอุ่นวาบใส่กะเปราะถุงยาง เขาพ่นน้ำรักระลอกแล้วระลอกเล่า เพราะก่อนมาเขาไม่ได้ทำอะไรกับตรงนั้นเลยเป็นอาทิตย์ พักใหญ่ๆ ร่างที่กระตุกก็ค่อยๆ สงบลง ทว่าก็ยังคงกอดผมไว้แน่น

ผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผัวคนแรกของผมหอบเหนื่อยและหายใจแรง เขาแช่ท่อนลำไว้ หายเหนื่อยแล้วก็ค่อยๆ ถอนออก เมื่อผมก้มดูก็เห็นว่ามีเลือดสีแดงๆ ติดมาด้วย รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของครั้งแรก

อะตอมถอดถุงยางออกและวางทิ้งไว้ชั่วคราวบนพื้นข้างเตียง จากนั้นก็ถลามาหาผมและถามอย่างเป็นห่วง

“พี่เจ็บไหม”

“เจ็บดิ แต่ตอนนี้…อะตอมช่วยพี่หน่อยนะ ไม่งั้นพี่นอนไม่หลับแน่ๆ” ผมบอกพลางขำเบาๆ

อะตอมยิ้ม คงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร เขาเลื่อนตัวลงต่ำ ก่อนที่ปากของเขาจะเข้ามาจัดการกับท่อนลำของผมอย่างหิวกระหาย อะตอมเลียวนตรงหัวเห็ดสีชมพูของผมเล่นหลายรอบ เขาชอบ “_วย” ชมพูของผมมาก เวลาช่วยกันทีไรก็มักชมให้ผมฟังบ่อยๆ

“พี่จะออกแล้ว” ผมเตือน

อะตอมเอาปากออก จากนั้นก็รูดขึ้นลงเร็วขึ้น เขาเลื่อนตัวขึ้นมาช่วยดูดเลียนมของผมเพื่อเพิ่มความเสียวด้วย

“อาห์ พี่จะออกแล้วอะตอม” ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย

อะตอมเลื่อนตัวลงไปและอ้าปากรอรับน้ำรักของผม ไม่นานท่อนลำของผมก็พ่นของเหลวขาวขุ่นเข้าปากอะตอม บางส่วนก็กระเด็นเลอะหน้า ร่างผมกระตุกอย่างแรงเพราะเสียวจัด

“อาห์”

ผมปล่อยเสียงครางสุดท้ายออกมาอย่างแรงพร้อมกับน้ำหยดสุดท้าย อะตอมรูดหนังลงและดูดเลียวนทำความสะอาดให้ เขาชอบกินน้ำของผมเพราะบอกว่าหวานและหอมดี แต่ผมว่ามันคาวมากสำหรับผม

พอท่อนลำผมสะอาดดีอะตอมก็เลื่อนขึ้นมาจูบผมเบาๆ เราแลกลิ้นกันสองสามครั้งก็หยุด ต่างคนต่างหอบเหนื่อย แต่ใบหน้าก็เปี่ยมสุข

“เราเป็นผัวเมียกันโดยสมบูรณ์แล้วนะครับพี่”

“ใครบอก” ผมรีบแย้ง อะตอมทำหน้าฉงนทันที

“อ้าว ยังอีกเหรอพี่”

“มันจะสมบูรณ์ได้ไง น้องอะตอม…ยังไม่ได้เป็นเมียพี่กัปตันเลยนะ” ผมทวง

อะตอมหัวเราะแหะๆ ดูท่าทางจะเขินอายมาก ผมเลื้อยมือลงต่ำไปบีบที่แก้มก้นของอะตอมเบาๆ พร้อมกับยิ้มมีเลศนัย

“พรุ่งนี้…เตรียมตัวให้ดีๆ เลยนะจ๊ะเมียจ๋า”

“พี่ไหวเหรอวะ” อะตอมชักกลัว

“น้องอะตอมไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาว่า…พี่ไม่ต้อง…น้องทำเอง งั้น…พรุ่งนี้ช่วยทำให้พี่ด้วยนะ”

“ครับพี่” อะตอมรับคำอย่างว่าง่าย แต่สีหน้าก็ยังไม่หายกลัวอยู่ดี

ผมเอามือลูบผมอะตอมเบาๆ อย่างเอ็นดู สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น

“พี่มีความสุขที่ได้เป็นแฟนอะตอมนะ”

สีหน้ากลัวๆ ของอะตอมค่อยๆ หายไป ไม่นานเขาก็ยิ้มให้ผม ดึงมือผมขึ้นมาจูบเบาๆ และดูอบอุ่น

“ผมก็มีความสุขที่ได้เป็นแฟนพี่ครับ เมื่อก่อนผมก็เหมือนเด็กหลงทาง หาที่พึ่งพิงไม่ได้ ชีวิตผมเหมือนไม่มีใครเลย แต่ตอนนี้ผมมีพี่แล้ว ผมมีที่พักพิงแล้ว ผมจะไม่ไปที่ไหนอีกแล้ว ช่วยนำทางเด็กหลงทางคนนี้ด้วยนะครับพี่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆ พี่นะ ผมจะเข็นพี่ขึ้นภูเขาเองจนกว่าผมจะเข็นไม่ไหว”

ผมพยักหน้าตกลงและยิ้มมีความสุข น้องอะตอมอ้อนเก่งขนาดนี้ พี่กัปตันจะขอเก็บไว้เป็นของพี่คนเดียวละกันนะครับ

จบบริบูรณ์


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/484320/736253779-member.jpg)

หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [3/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 02-12-2017 22:42:25
เรากลัวตอนท้ายมากค่ะเสียดายอะตอมนิดๆจะต้องสลับบทบาท :ling3:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [3/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 03-12-2017 00:45:04
สลับตำแหน่งเพื่อความเสมอภาคกันใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) [3/3] - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-12-2017 20:45:29
ขอบคุณกับเรื่องละมุนละไมดีต่อใจมาก
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ EP31 พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 10-12-2017 01:33:51
เป็นเรื่องที่สนุกมากกกกกกก

สมจริงทุกส่วนเลย

ข้อมูลแน่นมาก

การเล่าเรื่อง วิธีเขียนผมก็ชอบนะ กระชับดี

ขอขอบคุณผู้แต่งมาก สนุกมากๆเลยครับ

อยากจะแนะนำคนอื่นๆให้มาอ่านมากๆ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-12-2018 22:42:46
เนื้อเรื่องแปลกใหม่ดี แต่บางช่วงบางตอนไม่ค่อยละมุนเท่าไหร่อ่านแล้วห้วน ๆ

ความรู้สึกของแต่ละตัวก็เรียลดี..คงความรู้สึกของกิเลสคนทั่วไปดี  o13

                 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: lnwgreankak ที่ 03-01-2019 11:04:17
ชอบครับ บางจุดมันลึกซึ้งมาก จะเก็บไว้อ่านอีกรอบ  o13
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: noveeo ที่ 06-01-2019 03:12:39
อยากอ่านตอนอะตอมเป็นเมียจังเลย
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: tong_x_zhi ที่ 09-01-2019 06:31:19
รออ่านตอนน้องอะตอมเป็นเมียนะครับ ฮ่าๆๆๆ 
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiiHarem ที่ 11-01-2019 21:03:29
อ่านแล้วได้คิดหลายๆเรื่องเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 12-01-2019 11:32:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: politesseone ที่ 24-06-2020 16:49:23
ประทับใจค่ะ ครบรสมากเลย  :katai2-1:
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: keekytobe ที่ 27-06-2020 11:02:18
รักกัปตัน กับอะตอมอ่ะค่ะ^^
อยากอ่านตอนพิเศษษษษษ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-06-2020 00:05:33
อ่านมา 2 วัน
ชอบมากกกกกกกก

ขนาดอ่าน..ยังรู้สึกว่า อะตอมเป็นผู้ชายที่เซ็กส์แตก น่าแดรกจริงๆ
บอกตรง อยากกินเจรงๆ อิอิ

อิจฉากัปตันอ่ะ ได้จับ ได้กินกันมานานแล้ว
ฮ่าฮ่า

ครบทุกรสจริงๆ ทั้งตื่นเต้นและเร้าจวยยยยยยยยย ตามลุ้นทุกตอนจนจบ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 29-06-2020 13:49:41
ละมุนดีจริง ส่งกำลังใจให้ +1

 o13 :bye2: o13

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: Sriwanan ที่ 29-06-2020 17:33:10
 :hao5: :hao5: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
เริ่มหัวข้อโดย: Sriwanan ที่ 01-07-2020 13:43:33
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: