ตอนที่ ๒ (ต่อ)
ห้องอ่านหนังสือของหอชาย คราคร่ำไปด้วยเด็กรุ่นเดียวกัน ต่างส่งเสียงแข่งกันราวนกแตกรัง เป็นธรรมดาของเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่เมื่อมารวมกลุ่มกันแล้วจะต้องมีเรื่องมากมายที่มาพูดคุยกัน แล้วยิ่งเป็นวัยรุ่น วัยที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่าภายในห้องที่อาจารย์เรียกประชุมนั้นจะมีเสียงดังกันขนาดไหน
“หวัดดีครับ ผมชื่อนัท เกียร์๒๘” เสียงแนะนำทักทายตัวเองทำเอาบอยต้องเงยหน้าไปมอง
ใบหน้ายิ้ม ๆ ตาหยี ที่ลอดมาจาแว่นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ทำเอาบอยแทบจะละลายไปกองอยู่กับพื้น บอยมันมองหน้านัทราวกับจะจดจำใบหน้านั้นเอาไว้ชั่วชีวิต มันยิ้มน้อย ๆ กับใบหน้าที่ห่างกับมันไม่ถึงเมตร
“บอยครับผม บอยวิดยา” มันยิ้มตอบคำถาม
“เราเจอกันหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกันเลย เมื่อกี้ตอนออกจากห้องน้ำซุ่มซ่ามไปหน่อย บอยมาจากไหนครับ” นัทมันเอ่ยชวนคุยพลางนั่งลงใกล้ ๆ บอย
บอยใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก . . .
. . . มันอายกว่าทุก ๆ ครั้ง นัทนั่งเบียดอยู่กับมันเพราะห้องมันแคบ ผิวแขนของนัทสีกับแขนของบอย บอยมันยิ้มน้อย ๆ ใจลอยแทบไม่อยู่กับตัว มันไม่รู้เลยเหมือนกันว่าทำไมต้องมีอาการแบบนั้น
แบบนี้หรือปล่าวหว่าที่เขาเรียกว่า . . .
. . . รัก
“เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ พื้นมันลื่น เรายังกลัวเลยตอนเดินออกมา กลัวโป้” บอยหัวเราะเบา ๆ
นัทเลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย
บรรยากาศของความเป็นเพื่อนเริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อย เมื่อต่างคนต่างพร้อมที่จะเปิดรับเพื่อนใหม่ ๆ บ่อยครั้งที่บอยแอบเหลือบมองนัท มันไม่กล้ามองนัทตรง ๆ บอยมันยังอายอยู่
“ตกลงบอยมาจากไหนนี่ เรามาจากน่าน ได้โควต้ามา” นัทบอกบอย
ในมหาวิทยาลัยประจำภาคแห่งนี้ มีนักศึกษาที่สอบในระบบโควตามากมาย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้านัทมันจะเป็นหนึ่งในนักเรียนระบบโควต้า
“เราสอบเข้ามาแหละ มาจากเพชรบูรณ์ เคยไปมะ”
นัทส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไม่เคย ไม่เคยไปไหนไกลจากน่านเสียด้วยซ้ำ”
เสียงคุยเริ่มเงียบลงเมื่ออาจารย์ประจำหอเดินเข้ามา การสนทนาของทั้งสองก็ค่อย ๆ สิ้นสุดลงเช่นกัน อาจารย์ป๋า เริ่มคุย เริ่มแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ของการใช้ชีวิตในหอชาย บอยมันเหลือบมองนัทเป็นระยะ
บางครั้งที่นัทหันมายิ้ม . . .
. . . บอยมันจะเขินจนหน้าแดง
“นามสกุลนายนี่สงสัยเป็นลูกหลานเจ้าผู้ครองนครเก่านะ” บอยถาม เมื่ออาจารย์ป๋าให้ทุกคนที่พักในหอแนะนำตัวเอง
“อ๋อ เห็นพ่อบอกมาแบบนั้นแหละ แต่เราไม่รู้ไรมากนักหรอก”
บอยมันเริ่มเข้าใจหัวใจตัวเองที่ละนิด
มันค่อย ๆ เก็บเอาทุกสิ่งทุกอย่างของนัทไว้ในหัว มันมองนัทด้วยสายตาชื่นชม มันยิ้มกับตัวเอง อย่างน้อยชีวิตของบอย มันก็ยังได้รักคนที่มันอยากรัก มันไม่สนด้วยซ้ำว่าคนที่บอยรัก จะมองบอยหรือไม่
. . . มันไม่เรียกร้องให้นัทมารักมัน
แค่นัทพูด . . .
. . . นัทยิ้มกับมัน
บอยมันก็สุขหัวใจแล้ว มันต้องการเพียงเท่านี้จริง ๆ มันไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่าที่หัวใจมันรู้ว่า มันจะได้สิ่งที่มันควรจะได้เท่านั้น
“บอยเลือกชมรมหรือยัง” นัทต้องเป็นฝ่ายชวนคุยทุกครั้งเมื่อป๋า แกไม่ใช้สายตาปรามสักเท่าไหร่
“ยังเลย นัทล่ะ”
“ว่าจะลงชมรมวอลเลย์บอล ส่วนอีกชมรมต้องดูก่อน”
“นัทเล่นวอลเลย์ด้วยเหรอ” บอยมันแปลกใจ มันหันมามองหน้าอีกฝ่าย
“เล่นดี พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนอยู่น่านสมัยเรียนม.ปลายเคยเล่นทีมเยาวชนเขตด้วยนะ เราชอบกีฬาแทบทุกชนิดแหละ บอล แบด แต่ถนัด ๆ นี่บอลกับวอลเลย์” นัทยิ้มพลางขยับแว่นไปมา
“อืม ผิดกับเราแฮะ เล่นได้เกือบทุกอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่างเดียว”
“เอาน่า เล่นได้หมดก็ดีไง”
“ดียังไง”
“ดีที่ยังเล่นได้ไง เล่นอย่างละนิดละหน่อย รู้จักเพื่อนเยอะดีไง มีเพื่อนเยอะดีออก ไม่เหงาไง” นัทยิ้มตาหยี
บอยมันเปิดหัวใจรับข้อมูลของนัทไปเรื่อย ๆ มันจะเก็บทุก ๆ รายละเอียดที่เพื่อนบอกกับมัน เก็บเอาไว้ในหัวใจของมัน ผู้ชายคนแรกที่ยิ้มให้มันตั้งแต่ที่มันก้าวเข้ามาในรั้ว “เฌองดอย”
จะเรียกว่าบอยมันยึดนัทเอาไว้ก็ได้ . . .
. . . แต่มัน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทุกครั้งที่มันเจอนัท มันจะต้องอายทุกครั้ง บอยมันไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง เหมือน ๆ ที่มันไม่เข้าใจแหละว่านั่นคืออาการเริ่มแรกของคนตกหลุมรัก
บอยมันค่อยตกหลุมหัวใจของนัทช้า ๆ . . .
มันไม่รู้สึกเจ็บเพราะมันหายเจ็บทุกครั้งที่มันเห็นหน้านัท ใบหน้าที่มันเองก็ไม่รู้ว่าจะมาอะไรนักหนากับหัวใจของมัน บางครั้งมันเหนื่อยมันล้า
แต่เพียงแค่มันเดินลงมาจากห้องของมันที่ชั้นสาม . . .
มาหยุดยืนหน้าห้องนัทที่ชั้นสอง บอยมันก็ยิ้มกับตัวเอง มันยิ้มกับประตูห้องของนัท ทั้ง ๆ ที่มันรู้ว่านัทอยู่ภายหลังประตูบานนั้น แต่บอยมันกลับไม่กล้าที่จะยกมือเคาะ มันแค่ยืนนิ่ง ๆ สักพัก แล้วมันเดินกลับขึ้นไปนอนที่ห้องของมันเหมือนเดิม
บอยมันทำแบบนี้บ่อยมาก
บอยนอนกระสับกระส่ายไปมา มันหลับไปตื่นนึงแล้ว แต่อากาศมันอบอ้าวคล้ายฝนจะตก บอยลืมตามาช้า ๆ แสงจากภายนอกลอดผ่านหน้าต่างบานเกร็ดเข้ามา บอยมันลืมตาโพลงในความสลัว ๆ ของคืนข้างแรม มันลุกขึ้นจากเตียงช้า ๆ มาหยุดที่ระเบียง
จันทร์กระจ่างสว่างนวลละออกลางฟากฟ้า คล้ายโคมดวงใหญ่ บอยมองแสงจันทร์นวลเต็มดวงที่บดบังแสงดาวจนหมดสิ้น มันยืนนิ่ง ๆ ริมระเบียงหลังห้องมองเพ็ญโพยมดวงกลมโต ที่อาบแสงไล้มาตั้งแต่เหนือยอดไม้ที่เขาสูงไล่ระดับลงมาตามยอดไม้ที่ไหวอ่อน ๆ ด้วยแรงลม แนวทิวเขาที่สลับซับซ้อน ซ่อนความงามเอาไว้ยามคืนเดือนหงาย
เสียงขลุ่ยแว่วมาตามลมเย็นเสนาะหู . . .
. . . ทำนองคล้ายคนรำพึงรำพันตัดพ้อ ฟังดูเหงายิ่งนัก เสียงนั้นไล่ทำนองสูงต่ำ บางครั้งโหยหา บางครั้งมีสุข บอยขมวดคิ้ว เขาตั้งใจฟังเสียงขลุ่ยนั้น มันแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ไม่ไกลจากที่บอยยืนอยู่
บอยแน่ใจ . . .
. . . มันมาจากตึกเดียวกันกับที่บอยอยู่ เสียงมาจากด้านบน มันค่อย ๆ เปิดประตูออกไปเบา ๆ ราวกับจะกลัวเพื่อนร่วมห้องตื่นเพราะมันทำเสียงดัง เสียงขลั่ยสะกดให้เจ้าตัวหยุดนิ่ง เงี่ยหูฟังแหล่งที่มาของเสียง
บอยมายืนตรงทางเดินกลางของหอพัก . . .
เสียงนั้นยังคงล่องลอยมาตามลม บอยเดินตามเสียงนั้นไปช้า ๆ คล้ายมนต์สะกด ที่ค่อย ๆ พาเขาเดินตามเสียงนั้น อย่างช้า ๆ มันเดินขึ้นไปที่ชั้นสี่ เสียงนั้นค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น บอยแน่ใจมันมาถูกทางแล้ว แล้วเสียงชัดยิ่งขึ้นเมื่อบอยเดินผ่านประตูเหล็กที่ชั้นดาดฟ้า ที่เป็นราวตากผ้า
บอยเห็นชัด คนที่นั่งที่ดาดฟ้าใช่คนเดียวกับที่มำให้เกิดเสียงขลุ่ยเป็นแน่แท้
คนที่นั่งหันหลังให้บอย . . .
. . . คนนั้นแน่นอนที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงขลุ่ย
บอยมันยืนพิงกับประตูเหล็ก . .
สายตาที่ทอดมองไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งเป่าขลุ่ยใต้แสงจันทร์ อ่อนหวานจับหัวใจ แววตาที่ไม่อาจซ่อนความรู้สึกของหัวใจตัวเองเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย ด้านบนดาดฟ้าลมพัดหวิว บอยยกมือมาประสานกันไว้ที่หน้าอก สายตาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่นั่งอาบแสงจันทร์
แววตามันยิ้ม . . .
. . . บอยปล่อยหัวใจให้ลอยไปตามเสียงเพลงจากขลุ่ยเลานั้น เสียงเพลงที่บ่งบอกจิตใจของคนเป่า เสียงที่ปล่อยออกมา บอกตัวตนที่แท้จริงของคนเป่าได้เป็นอย่างดีที่สุด บอยมันไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าหรอก เพราะแค่แผ่นหลังมันก็รู้แล้ว ใบหน้าของคนที่นั่งครวญเพลงจากขลุ่ยนั้นเป็นใคร
นัทระรัวนิ้วลงบนเลาขลุ่ย . . .
เสียงทำนองสูงต่ำ คร่ำครวญหา ฟังดูกินใจยิ่งนัก สักพัก เสียงค่อย ๆ ทอดต่ำลง แล้วระรัวมาอีกครั้งก่อนที่นัทจะเอาริมฝีปากออกจากเลาขลุ่ย
“เศร้าจังเลย เพลงอะไรเหรอนัท” บอยมันเดินเข้ามาทางด้านหลัง แล้วนั่งลงที่ม้าหินกลมตรงข้ามกับนัท
ด้านบนไม่มีไฟ . . .
. . . มีเพียงแสงจันทร์อาบไล้ใบหน้า บอยมองเห็นชัดเจน ใบหน้าอีกคนที่นั่งด้วยกัน ทุก ๆ ความรู้สึกที่บอยเก็บเอาไว้กับตัว บอยจำได้ดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ หรือ แววตาที่หวาดวิตก . . .
. . . จารจำทุก ๆ สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจของบอย
นัทมันสะดุ้งเล็กน้อย มันคาดไม่ถึงว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วจะยังมีคนที่ไม่หลับไม่นอนอยู่อีก เอ หรือเสียงขลุ่ยมันปลุกคนทั่วทั้งหอนะ มันยิ้มแห้ง ๆ แววตานัทคล้ายมีทุกข์
“เพลงเขมรไทรโยค บอยยังไม่หลับรึ” นัทมันยิ้ม
“หลับแล้ว แต่ตื่นเพราะเสียงขลุ่ยนี่แหละ ทีแรกนึกว่าผีหลอกเสียอีก แต่พอฟังดี ๆ ถึงรู้ว่ามีคนเป่าเลยเดินขึ้นมานี่แหละ”
“อ้าว เราเลยปลุกให้บอยตื่นเลย” นัทเกาศรีษะไปมาแก้เก้อ
“ไม่ใช่หรอนัท . . .” บอยรีบปฎิเสธ
“. . . ข้างล่างร้อน ขนาดพัดลมยังช่วยไม่ได้เลย นัทมีไรในใจหรือปล่าวเล่นเพลงเสียเศร้าเชียว ทำเอาเราเหงาไปเลย มีไรไม่สบายใจเล่าเราฟังได้นะ ยังไงเราก็เพื่อนกัน เราช่วยไรไม่ได้ แต่เรานั่งเป็นเพื่อนนัทได้เสมอ” บอยมันเริ่มกล้ามากขึ้น แต่มันยังรู้สึกอายอยู่ดี
นี่คงเป็นประโยคแรกกระมังที่มันพูดยาว ๆ กับนัท
“วันนี้ร้อนแหละ เรานอนไม่หลับเหมือนกัน เลยออกมานั่งเล่น อากาศบนนี้ดีหน่อยลมพัด” นัทหันไปรอบ ๆ ตัว
นัทไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำว่าบอยมองนัท และไม่ใช่มองแค่เพื่อนธรรมดาแบบคนอื่น ๆ หากบอยมองแบบเก็บทุกรายละเอียดเลยทีเดียว ทุก ๆ อย่างของคนที่นั่งตรงหน้าสำคัญสำหรับบอยเสมอ
“คิดถึงบ้านมั้ยบอย” นัทมันหันมาถาม เมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันอยู่นาน
แต่ . . .
สำหรับบอยมันไม่อยากให้เวลาเคลื่อนคล้อยไปด้วยซ้ำ มันอยากหยุดเวลาทั้งหมดเอาไว้ตรงนี้ ตรงที่มันอยู่กับคนที่มันรัก ในเวลาที่ไม่มีใคร มีแค่มันสองคนแบบนี้ เวลาที่บอยคิดว่าดีที่สุดแล้ว. . .
บอยขมวดคิ้ว มองหน้าคนที่นั่งตรงข้าม แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างให้บอยเห็นนัทได้ชัดเจนทีเดียวแหละ บอยมันยิ้มอย่างเคย
“คิดถึงดิ แทบร้องเลยแหละ”
“เราก็คิดถึง แต่ทำไงได้มาเรียนแล้วนี่ เวลาเหงาก็ทำได้แค่มานั่งเป่าขลุ่ยเล่นให้มันหายเหงาลงได้บ้าง” แววตานัทเริ่มสดใสขึ้นเมื่อมีเพื่อนคุย
นัทมันไม่รู้หรอก . . .
. . . คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย
ก็ตอนนี้มันอยู่กันสองคน มันก็ดีกว่าอยู่คนเดียวมิใช่หรือ แม้มันจะยังไม่สนิทกันมาก ที่มันเพิ่งแค่เวลาเริ่มต้นเท่านั้นเอง มันยังมีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้กัน ถนนสายมิตรภาพนี้เพิ่งเริ่มต้นเอง
ความเหงา . . .
ไอ้นี่สิมันตัวร้ายเลยทีเดียว มันชอบเข้ามายามที่เราอยู่คนเดียว มันเข้ามาเมื่อไหร่ จิตใจเราจะค่อย ๆ อ่อนลง ๆ จนแทบอยากร้องไห้ออกมาเลยทีเดียวล่ะ มันชอบคิดว่าเราคือเพื่อนแท้ของมัน แต่มันไม่เคยถามเราว่าเราต้องการมันไหม แต่เมื่อเวลาที่มันต้องการเรา มันจะเดินมาอยู่ใกล้ ๆ เราทันที โดยที่เราไม่ต้องร้องขอ นัทมันรู้ดี ตั้งแต่มันมาอยู่ที่นี่ มันเหงาหลายครั้งแล้วล่ะ
“นึกว่าคิดถึงแฟน”
บอยหลุดปากมาแล้วมันทำหน้าแหย . . .
. . . มันยังไม่สนิทกับนัทถึงขั้นที่จะเข้าไปในโลกส่วนตัวของเขา มันพยักหน้าทำหน้าแหย คล้ายขอโทษ นัทยิ้ม รอยยิ้มของนัทสว่างกว่าพระจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือหัวด้วยซ้ำไป
“โอ้ย ยังไม่มี ใครจะมาเอาคนอย่างเรา” นัทมันรีบปฏิเสธ ก่อนหัวเราะเบา ๆ
“เราก็ยังไม่มี หายากว่ะ” บอยเลยพลอยหัวเราะตามนัทไปด้วย
มิตรภาพเล็ก ๆ ก่อเกิดขึ้นในใจของบอย บอยมันเริ่มยึดติดกับนัทมากขึ้น มันไม่แยกหรอกว่ามันรักนัท แบบไหน มันรู้แค่ว่า ผู้ชายคนนี้คนที่อยู่ตรงหน้ามัน สร้างรอยยิ้มให้มันได้ทุกครั้ง และผู้ชายคนเดียวกันนี้แหละ ที่ทำให้มันคลายเหงาทุกครั้งในเวลาที่มันนึกถึงรอยยิ้มของนัท
ความรักเหมือนเส้นไหม . . .
. . . ที่ต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงม่อนไหม จนมันมีใยไหม แล้วผ่านกรรมวิธีสาวไหม จนได้เป็นเส้นไหมเส้นบาง ๆ แล้วถึงจะนำมาถักทอเป็นผ้าไหม ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นผ้าไหม ล้วนเกิดจากความทะนุถนอมแทบทั้งสิ้น
บอยมันอยากให้รักมันถักทอขึ้นช้า ๆ มันไม่เร่ง ไม่รีบ เพราะรู้ดีว่าการเร่งรีบย่อมนำมาซึ่งความไม่สมบูรณ์ ยังมีเวลาอีกมากสำหรับการได้เรียนรู้คนที่บอยรัก เวลาที่จะทำให้ได้หัวใจของอีกฝ่าย
เมฆทะมึนเริ่มเข้ามาบดบังดวงจันทร์ ลมกรรโชกแรงมากยิ่งขึ้น เพียงชั่วเดียวฝนที่ไม่มีทีท่าก็เทกระหน่ำลงมาอย่างรวดเร็ว บอยกับนัทต้องรีบวิ่งเข้าไปด้านในเพื่อหาที่หลบฝน
“ฝนจะตกนี่เอง มิน่าร้อนซะแทบแย่” บอยมันบ่นเมื่อเดินลงมาจากดาดฟ้า
“นั่นสิ ท่าจะตกแรงเสียด้วยสิ ดีเหมือนกันหลับสบาย ตอนเด็ก ๆ นะ นัทไปบ้านยาย แล้วบ้านยายมุงสังกะสี พอฝนตกทีไร เสียงเม็ดฝนกระทบสังกะสีดังไปทั่วบ้านเลย นอนฟังเสียงฝนกระทบหลังคาจนหลับไปทุกทีเลย”
“ช่าย ๆ เสียงมันเพราะดี” บอยเห็นด้วย
“เฮ้ยจะไปไหน ห้องบอยอยู่ชั้นนี้ ลงไปอีกชั้นก็ห้องเราดิ” นัทมันทักเมื่อบอยจะเดินลงจากชั้นสามไปชั้นสอง
บอยยกมือเกาหัว มันเพลินจนลืมห้องตัวเอง
“เออ จริงแฮะ คุยเพลินไปเลย งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ” บอยมันยิ้มอีกครั้งก่อนที่นัทหันหลังให้แล้วเดินลงไปยังห้องของตัวเอง
“อืมไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ฝันดีล่ะ” นัทยกมือที่ถือขลุ่ยร่ำลา
“ได้ ๆ แล้ววันหลังเป่าขลุ่ยอีกนะ เพราะดี”
บอยมองนัทเดินไปจนลับตา มันค่อย ๆ ย่องลงมา แล้วแอบมองไปทางระเบียงทางเดินกลาง มันเห็นหลังนัทไวๆ มันมองจนนัทเดินเข้าห้องไป บอยเอนหลังพิงกับพนังห้องที่บันไดทางขึ้น มันหลับตาพริ้ม
มันต้องฝันดี แน่ ๆ
คืนนี้น่าจะเป็นคืนที่ดีที่สุดตั้งแต่มันย่างก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย น่าเสียดายที่มันน่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันยาวนานกว่าน้อีกสักหน่อย มันเกลียดฝน ไม่น่ามาตกเอาตอนนี้เลย มันรักเสียงขลุ่ย รักพระจันทร์เข้าแล้วสิ
เอ! หรือมันรักคนที่นั่งกับมันหนอ
ช่างเหอะ !
บอยมันไม่อยากรู้อะไรแล้วล่ะ มันรู้แค่ว่า คืนนี้ของมันมันสุขหัวใจยิ่งนัก มันเดินช้า ๆ กลับไปที่ห้อง เสียงฟ้าร้องด้านนอก แต่บอยมันแทบไม่ได้ยินเสียง หัวใจของมันล่องลอยกลับไปบนดาดฟ้า ตอนที่มันนั่งคุยกับนัทใต้แสงจันทร์มากกว่า บอยค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอน มันหยิบหมอนข้างมากอด แล้วมันก็ค่อย ๆ หลับตารอยยิ้มพริ้มบนใบหน้า มันอยากให้ในฝันของมันคืนนี้มีแต่นัทเท่านั้น