แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .  (อ่าน 53152 ครั้ง)

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป


ตอนที่  ๔  (ต่อ)


อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่อยู่ตีนดอยสุเทพ ตั้งอยู่ในบริเวณสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ภาคเหนือ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หรือที่เรียกกันติดปากว่าบริเวณอ่างเกษตร หากมาทางเส้น ถ.สุเทพ (หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ให้ตรงมาเรื่อยๆ จะเจอกับเนินสูงก็ให้ตรงขึ้นมา เลี้ยวโค้งทางซ้ายเสร็จแล้วตรงมา ให้เลี้ยวขึ้นไปบนเนินสูงทางขวามืออีกครั้ง ก็จะเจอห้องอาหารกาแล  แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะเจออ่างเกษตร

   เสียงดนตรีพื้นเมืองดังถนัดขึ้นเมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในบริเวณงาน  บนท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวไปด้วยโคมลอย  นับร้อย ๆ  ดวง  หนุ่มสาวมากหน้าหลายตาล้วนสนุกสนานกับประเพณีที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่

   ปลายตุลาคม . . .   

ช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศกำลังดี  เพราะต้นไม้แถวตีนดอยเพิ่งได้รับฝนอย่างเต็มที่  ต่างออกใบเขียวขจี  อีกไม่นานเมื่อถึงธันวาคม  ต้นไม่เมืองเหนือจะแข่งกันผลิดอกอวดสีสันต่อสายตาผู้คนอีกครา

   นัทมันเอาโคมลอยที่มีลักษณะกลม ๆ  ก้านด้านล่างทำด้วยไม้ไผ่  ห่อด้วยกระดาษว่าวจนเป็นรูปทรงกระบอก  ความบางของกระดาษทำให้สามารถพับเก็บได้  ส่วนตัวเชื้อเพลิงนั้นทำจากกระดาษชำระที่ตัดมาทั้งก้อน ชุบด้วยน้ำมันและขี้ผึ้งเพื่อให้มันแข็งตัวและไหม้ไฟช้าขึ้น    ทั้งหมดช่วยกันผูกก้อนเชื้อเพลิงที่ด้านตรงกลางของโคมเพื่อให้มันได้สมดุล  แล้วโคมจะลอยขึ้นสวย 

   “บอยผูกดี ๆ  หน่อยสิ  เดี๋ยวลอยโย้ไปเย้มานะ”  เมย์บอก  พางดึงกระดาษให้กลายเป็นรูปทรงกระบอก

   “ผูกดีแล้ว  แน่นแล้วด้วย  เอาเลยนัทจุดเลย”  บอยบอก

   นัทเอาไฟจุดที่ก้อนเชื้อเพลิง  ควันสีดำพวยพุ่งเป็นทาง  เข้าไปดันในกระดาษว่าวทรงกระบอกที่เมย์ถือไว้

   “เมย์ดึงสูง ๆ  ดิ  เดี๋ยวไฟไหม้โคม”  นัทร้องบอก  เมื่อแรงลมโหมไฟแรงขึ้น

   “เริ่มเต็มแล้วเมย์  จับขอบไม้ที่โคมไว้”  นัทร้องบอก  เมื่อควันไฟ  เข้าๆไปดันให้โคมนั้นกลายเป็นโคมที่พร้อมจะล่องลอยไปในอากาศ

   “แปลกจังมันลอยได้ไงนี่”  เมย์ทำหน้าแปลกใจ  เมื่อกระดาษจากโคมลอยค่อย ๆ  ตึงขึ้น

   “คิดตามหลักวิทยาศาสตร์ไงเมย์  ก๊าซที่เกิดจากการเผาไห้มวลต่ำกว่าอ๊อกซิเย่น  มันจะลอยขึ้นสู่ที่สูง  แต่มันมีโคมกระดาษมาดักเอาไว้  แล้วถ้าดักจนเต็ม  และยังมีมวลก๊าซอยู่เรื่อย ๆ  มันก็จะทำให้โคมลอยได้เหมือนบอลลูนไง”  บอยอธิบายฉาดฉาน

   ก็มันเด็กวิดยานี่นา  แล้วเรื่องพวกนี้ก็เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แล้วด้วย

   คนล้านนาเก่ง  สามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์มาปรับใช้กับภูมิปัญญาชาวบ้าน  จนออกมาเป็นงานประเพณีที่หาดูได้ยาก  โคมเริ่มตึง  ลมพัดโคมไหวไปมา  แต่มือของทั้งสามยังยึดติดกันอยู่  โคมเลยยังไม่สามารถลอยได้อย่างอิสระ

   “เอาละนะ  คราวนี้หลับตาแล้วอธิษฐานนะ  คนโบราณเชื่อว่าการลอยโคมคือการลอยทุกข์ลอยโศก  ใครที่มีทุกข์โศกลอยมันไปให้หมดนะ  อย่าเก็บมันมาจนต้องเสียน้ำตาอีกล่ะ”  นัทบอก  แต่สายตามองมาที่บอย

   บอยมันอ่านสายตานัทออก  นัทจงใจจะบอกมันแหละ  ในสายตาของนัท  มันเห็นแหละ  มีความรู้สึกเป็นเพื่อนให้มันเสมอ  มันละอายใจจังเลยที่กลับไปคิดกับนัทแบบนี้

   เสียงประทัด  และลูกโยนดังกันระงมไปหมด  บอยมันหลับตานิ่ง  มันขอ  มันขอให้อะไรก็ได้ในที่นี้  ช่วยมัน  ช่วยให้มันเดินกลับมาที่เส้น  “เพื่อน”  มันไม่อยากทรมานกับการรัก   แม้มันเต็มใจที่จะรัก  แต่มันรู้รักของมันผิด  มันผิดธรรมชาติ  มันไม่ใช่แนวทางที่ควรจะเป็น

   ไม่มีใครผิดที่จะรัก  และผิดที่เป็นคนถูกรัก  แต่มันผิด  ถ้าไม่รู้จักแยกแยะความรักนั้น

   บอยมันไม่อยากผิดหรอก  มันเฝ้าบอกหัวใจตลอดมาแหละ  หัวใจของมันที่มันเก็บมันซ่อนเอาไว้มานาน  นานตั้งแต่วันแรกที่มันเจอกับนัทด้วยซ้ำ  มันไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง  แต่มันก็ถอยหลังเสมอเมื่อมันรู้ว่ามันเดินล้ำเส้นหัวใจของความเป็นเพื่อน  ใครเลยอยากสูญเสียเพื่อนดี ๆ  ไป

   เพื่อนที่ดีไม่ได้หากันง่าย ๆ เหมือนหาซื้อปลาทูในตลาดนะ

   มิตรภาพมันต้องใช้เวลา  และใจ  สร้างมันขึ้นมา

   “ปล่อยแล้วน๊า”  นัทบอกพลางค่อย ๆ  ปล่อยมือจากที่เกาะกุมโครงโคม 

   เมย์กับบอยก็ปล่อยพร้อม ๆ  กับนัท

   โคมลอยสีขาวค่อย ๆ  ลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ  ท่ามกลางแสงจัทร์นวลของเดินสิบสอง พลุดวงใหญ่หลากหลายสีถูกจุดขึ้นเรื่อย ๆ  นัทมันแหงนมองดูโคมที่ลอยไปในอากาศ เหมือนหัวใจของมันหลุดลอยไปตามโคม  ถ้ามันลอยความรู้สึกที่เกินเลยกับนัทได้ก็ดีสินะ  มันคงไม่ต้องทนเก็บความรู้สึกส่วนนั้นเอาไว้  มันอาจจะมองนัทได้เต็มตากว่านี้  หรือมันอาจเดินกอดคอนัทเล่นได้เหมือนเพื่อนสนิทคนนึ่ง  โดยที่มันไม่รู้สึกตะขิดตะขวงหัวใจเหมือนในตอนนี้
   


   ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว  บอยมันเดินกอดอกตัวเอง  ข้าง ๆ  มันมีนัทเดินมาด้วยกัน  มันเพิ่งกลับจากการส่งเมย์กลับเข้าหอ  ถนนในมหาวิทยาลัยเริ่มเงียบ  เพราะดึกมากแล้ว  แสงไฟจากโคมถนนส่องสว่างเป็นระยะ  ลมหนาวกระทบผิวจนบอยมันรู้สึกได้ 

   “ดีขึ้นยัง”  นัทเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ

   บอยยิ้ม  ก่อนหันไปมองคนที่เดิน  เคียงใกล้  “อะไรว่ะ”

   “ก็มึงไง  อาการดีขึ้นยัง”  นัทหันมามอง

   บอยมันยิ้ม  มันอดดีใจไม่ได้  นัทมันห่วง  แม้จะแตกต่างอย่างคนละความรู้สึกที่บอยอยากได้ก็เหอะ  แต่สิ่งที่นัทมีให้มันมีค่ามากกว่าสิ่งที่บอยอยากจะได้ด้วยซ้ำไป

   บอยมันลืมคิด  “เพื่อน”  มันยิ่งใหญ่  กว่า  “คนรัก”

   เพราะจะนาน สิบปี  ยี่สิบปี  หรือตายจาก  เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อน

   แต่

   คนรักอาจจะคลายกันไปตามกาลเวลา  เมื่อใดที่เลิกรักจะยังมองหน้ากันได้อีกหรือปล่าวยังไม่มีใครสามารถตอบได้  แต่เพื่อนนั้นมันคงอยู่  และยังอยู่ในหัวใจตลอดไป   

   “เป็นไร  ไม่ได้เป็นไรนี่”  บอยมันทำหน้าตาย

   “ไอ้ห่าบอย  ไอ้เวรนี่  ทีเมื่อค่ำเล่นไปทำมิวสิคบนดาดฟ้า  ทีตอนนี้มาบอกไม่เป็นไรถุยขอแตะทีเหอะมึง”  นัทกวาดเท้ามาที่ก้นบอย 

   แต่ช้ากว่าบอย  มันหลบส้นเท้านัทได้อย่างเฉียดฉิว  แล้วยังหันมาทำหน้าเยาะเย้ยอีก  “เอาดิ  แตะให้โดนดิมึง”  บอยมันทำหน้าล้อเลียนอีก  ก่อนวิ่งหนีนัทที่ไล่แตะมันไปตลอดทาง

   ถ้าบอยมันหยุดมองสักนิดอย่างตั้งใจแล้วล่ะก็ มันจะรู้เองแหละว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง  ความสุขที่มันสามารถเล่นสนุกกับเพื่อนได้  ภาพที่มันวิ่งไล่แตะกันบนถนนสายเล็ก ๆ  ในคืนเดือนสิบสอง  ในคืนของหนาวแรก  มันมีความสุขขนาดไหน  มันคือความสุขแท้ ๆ  ของเพื่อนพึงกระทำต่อเพื่อน




RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #31 เมื่อ28-06-2009 23:49:42 »


ตอนที่ ๕


   แสงแดดยามเย็นสอดส่องทิวเขาเบื้องหน้า  และเห็นทิวเขาหลังมหาวิทยาลัยที่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา    มองเห็นยอดเขาลูกแล้วลูกเล่า  บางลูกสูงแทบเทียมเมฆที่ลอยต่ำ  แมกไม้บางต้นเริ่มเปลี่ยนสี  กุมภาพันธ์ไม้เริ่มเปลี่ยนใบ  ยอดไม้ที่ยังคงมีสีเขียวปลิวไหวลู่ลมอ่อนช้อยราวคลื่นทะเลสีมรกตระลอกแล้วระลอกเล่า  ไล่ล้อเล่นใบกันอย่างสนุกสนาน  และด้วยอาการล้อไหวของยอดไม้  นกหลายสิบตัวที่แอบซ่อนตัวตามยอดไม้  พากันตื่นตระหนกโผบินออกมาทั้งฝูงขึ้นสู่ท้องฟ้าสีสดใสของยามเย็น  เมฆขาวก้อนน้อย ๆ  ลอยต่ำแต้มอยู่ตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย  ปลิวละล่องอย่างช้า ๆ  ท่ามกลางฟ้ากว้าง


   ดูเหมือนความงามของธรรมชาติ มันจะไม่เข้าไปซึมซับในหัวใจของบอยได้เลย แม้แต่น้อย  บนดาดฟ้าของหอพักที่บอยมันยึดเอาเป็นโลกของมันกับเก้าอี้ม้าหินตัวเดิมที่มีหนังสือกองอยู่มากมาย   

   บอยมันยังคงนั่งนิ่ง . . . 

   . . . หน้ามุ่ย  หัวคิ้วขมวดมุ่น  และเม้มริมฝีปากแน่น

   เสียงเพลงจากวิทยุจากห้องด้านล่างลอยมาตามลม  แต่มันไม่ได้เข้าในหูบอยแม้แต่น้อย  มองมันไม่นึกถึงตำราที่กองอยู่ด้วยซ้ำ  ที่มันพาลกลับนึกไปถึงการประชุมเมื่อเที่ยง  ที่ชมรมค่ายอาสาพัฒนาจะไปออกค่ายอาสากันที่บ้านแม่นะ  อ.เชียงดาว การออกค่ายครั้งนี้จะออกหลังจากสอบปลายภาคเสร็จ  กำหนดการ ๓๐ วัน  บอยมันเป็นตัวแทนของชมรมค่ายอาสา  ที่ปีนี้  มีการประสานงานไปยังชมรมอื่น ๆ  เพื่อจะไปช่วยกันสร้างห้องสมุดให้นักเรียนที่นั่น  และสอนหนังสือให้กับเด็กชาวเขาที่นั่นด้วย

   บอยยังจำได้ดี . . . 

   ตัวแทนชมรมวิชาการที่เข้ามาร่วมประชุมออกค่ายครั้งนี้ด้วย  นัทนั่นแหละที่เสนอเรื่องที่จะต้องช่วยเหลือกันโดยให้แยกไปทำงานต่าง ๆ  ที่ประชุมมีโครงการต่าง ๆ  มากมายที่จะเสนอ  สำหรับเวลาอันน้อยนิดที่ลำพังนักศึกษาอย่างพวกเขาจะพอช่วยกันได้

   บอยมันยังจำได้แม่น . . . 

   ตอนที่นัทลุกขึ้นเสนอเรื่องที่ควรจะทำและดำเนินการ  ทุกคนในห้องล้วนเงียบกริบ  ฟังนัทอธิบายถึงโครงการเร่งด่วนที่ควรทำควบคู่ไปกับห้องสมุดของโรงเรียน

   “ผมคิดว่า  เราน่านำทฤษฏีเศรษฐกิจแบบพอเพียงกับการเกษตรทฤษฏีใหม่ของในหลวงมาปรับใช้ที่นี่  เพราะตอนนี้เราโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานประเทศต้องไปกู้ IMF  เศรษฐกิจปลายน้ำพังพินาศ  ธุรกิจต่าง ๆ  ล่ม  บริษัทล้ม  โรงงานหลายแห่งทยอยปิด  ไม่มีงาน  ไม่มีเงินเดือน  ชาวบ้านหลายคนต้องกลับมาบ้าน  เราน่าจะมีโครงการองรับพวกเขาเหล่านั้น  จะทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นมีแรงที่จะต่อสู้กับปัญหาที่พวกเขาเจอมา  ซึ่งมันออกจะยากอยู่สักหน่อยเพราะเขาเหล่านั้นชาชินกับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน  การที่เขาต้องมาเริ่มทำเกษตรซึ่งเขาเหล่านั้นอาจเป็นลูกหลานของคนที่นั่นก็จริงอยู่แต่มันไม่ชิน   เราต้อง ค่อย ๆ  ช่วยกันให้เขาเหล่านั้นกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง  อีกอย่างเรามีคณะเกษตรที่มีการทดลองทำฟาร์มเห็ดอยู่แล้ว  เราแค่ขอความร่วมมือไปกับทางคณะ  ขอให้คนไปสอนการเพาะเห็ด  ซึ่งอุปกรณ์ในการเตรียม  เราก็ประยุกต์ใช้เอาจากวัสดุในพื้นที่  ซึ่งทางพวกวิศวะเองก็เต็มใจกับงานนี้”

   ที่ประชุมต่างนั่งนิ่งฟังนัทอธิบายโครงการนี้ไม่เหมาะสำหรับ ๓๐ วัน แน่ ๆ   

   แต่ . . .

   ทุกคนในที่ประชุมเห็นด้วย  และเสนอว่า  หลังจากกลับมาแล้วจะยังคงมีคนคอยประสานงานที่นั่นต่อเพื่อจะทำเป็นโครงการนำร่อง สำหรับการออกค่ายอาสาพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป  โดยจะทำโครงการนี้และดูผลระยะยาว  ว่าสิ่งที่ในหลวงวางรากฐานเอาไว้นั้น  มันใช่แนวทางที่ประชาชนของพระองค์ท่านจะดำเนินตามรอยหรือไม่

   “อีกอย่าง  ทางเราขอประสานงานไปกับเทคโนตีนดอย  อยากได้เด็กช่างไปช่วยด้วย  สิ่งที่สำคัญคือ  ทางโน้นเขามีโครงการที่จะช่วยสร้างฝายแม้วอยู่แล้ว  เพราะที่แม่นะสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบ  เวลาฝนตกน้ำจะไหลแรงมาก  พอหน้าร้อนน้ำในลำห้วยก็จะลดลง  จนเหลือน้อยมาก  ฝายแม้วที่ทางการก็เก่ามากแล้ว  เห็นทางตีนดอยบอกว่า  ไปสำรวจมาแล้วจะสร้างเพิ่มเป็นระยะ  ห่างกันราว ๕๐๐ เมตร  สักสามถึงสี่ฝาย  ผมว่างานนี้เราคงต้องประสานงานกันให้ดี  เพราถ้าเราทำสำเร็จนั่นหมายถึงชีวิตคนอีกมาก  ที่จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้”

   ที่ประชุมสรุปกันว่า  ในการประชุมครั้งหน้าอีกสามวันจะมาลงความเห็นกันว่า  ข้อเสนอของชมรมต่าง ๆ  ที่มารวมกันออกค่ายอาสาในครั้งนี้  จะทำอะไรเพิ่มเติมนอกจากภารกิจหลักคือ  การสร้างห้องสมุดให้กับนักเรียนที่บ้านแม่นะ

   บอยใช้ปลายนิ้วบีบที่ขมับเบา ๆ   

   มันปวดหัวจิ้ดมาตั้งแต่ตอนบ่าย  มันไม่รู้เหมือนกัน  ทำไมภาพที่นัทลุกขึ้นเสนอที่กลางวงประชุม  คอยตามติดอยู่ในใจของมันมาเรื่อย ๆ  ภาพที่นัทลุกขึ้นอธิบายอย่างฉาดฉานยังคงฝังอยู่ในหัวของบอยยากที่จะสลัดมันทิ้งง่าย ๆ

   “นึกแล้วเชียวว่าต้องมาอยู่บนนี้”

   นั่นไงแค่บอยมันนึกถึงคนนั้น  เสียงเจ้าตัวก็ตามหลอกหลอนมันอีกจนได้  มันเงยหน้ามอง  นัทเดินเข้ามาใกล้ ๆ  มัน    แล้วนั่งที่ม้าหิน

   “เป็นไรว่ะหน้าเครียดเชียว  อ่านหนังสือสอบไม่ทันเหรอ”  นัทมันหยิบกองหนังสือที่บอยมันขนมากองอยู่พลิกไปมา

   มันยังไม่ได้อ่านสักวิชาเลย . . . 

   . . . แล้วแบบนี้จะเรียกว่าอ่านไม่ทันหรือปล่าวหว่า 

   ไม่รู้สิ . . . 

   ตอนนี้สมองมันไม่แล่น  มันคล้าย ๆ  ตื้อไปหมด  ที่ผ่านมาบอยมันจะมีสมาธิกับการอ่านหนังสือ  แต่ครั้งนี้มันบอกไม่ถูก  มันตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไม

   “ยังไม่ได้อ่านเลยว่ะ  ไม่รู้สิ  ไม่เข้าหัวเลย  แล้วนัทอ่านจบแล้วเหรอ”

   “โอ้ย  ของเรานะอ่านคืนนี้พรุ่งนี้สอบทันถมเถไป”  มันตอบอย่างมั่นใจในตัวเอง

   “ถ้าเป็นบอยก็คงกินแต่เอฟแน่แบบนั้น . . .”   มันหัวเราะเบา ๆ 

   “. . . เออ  ว่าแต่เมื่อตอนประชุมนะ  ทำไมชมรมวิชาการถึงได้เสนอเรื่องนั้นเข้าไปล่ะ”  บอยหันมาถามในสิ่งที่ยังติดคาหัวใจอยู่

   นัทมันนิ่ง  มันขยับแว่นเล็กน้อย

   “ก็เราลองมาคิดเล่น ๆ  นะบอย”  ไอ้คนต้นคิดท่าทางจริงจังเมื่อคุยถึงเรื่องนี้

   “. . . ชาวบ้าน  เขาไม่มีเวลามาลองผิดลองถูกแบบการทดลองในห้องแลปหรอก  แล้วตอนนี้พวกแรงงานที่ไปทำงานตามกรุงเทพฯ  ก็กลับมาบ้านกันเรื่อย ๆ  เพราะบริษัทต่างทยอยปิดเพราะพิษค่าเงินทำให้โรงงานเจ๊งกันเป็นแถว  แล้วทีนี้พวกที่กลับมานี่ส่วนมากเป็นลูกหลานคนในท้องถิ่น  ซึ่งแน่นอนพวกเขาเหล่านั้นเหมือนพวกเรานี่ไง  ที่ละถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อมาเรียนต่อ  แล้วหางานทำ  เป็นมนุษย์เงินเดือน  เข้าใจมั้ย”

   บอยมันพยักหน้ารับ 

   “แล้วไงต่อ”

   “ก็พอพวกเขาไม่มีงาน  ไม่มีเงินเดือน  เขาก็ต้องกลับมาอยู่บ้าน  แล้วที่บ้านเราน่ะมันมีงานตรงที่เขาเรียนมาหรือ . . .”

   บอยส่ายหน้า

   “. . . ถูกต้อง ก็มันไม่มีงานที่คนส่วนมากเรียนจบมา” 

   “เรายังเรียนอยู่  ไม่จบเลย  เขาจบกันหมดแล้ว  เราจะช่วยอะไรได้”  บอยมันนิ่ง  เพราะ  คนที่จบมาสูงกว่าจะเชื่อคนที่กำลังเรียนได้หรือ

   สังคมเรา  ไม่เคยเปิดโอกาสให้คนที่เรียนน้อยกว่าอยู่แล้ว

   “มันต้องลองดูว่ะบอย”

   “แต่มันยากว่ะ  โครงการนี้มันหมายถึงปากท้องของคนนะนัท”

   “ยากสิดี  ถ้าเราทำได้แปลว่าเราเจ๋งเหมือนที่เราบอกไง  ชีวิตคนจริง ๆ  ไม่ใช่การทดลอง”  เจ้าตัวยิ้มมั่นใจ

   “จะทำไงว่ะ”

   “ก็ทางเดียวที่จะต้องช่วย ๆ  กันคนละไม้คนละมือตอนนี้ก็คือ เราต้องให้เขามีกินก่อน  ถ้าเขาไม่เริ่มทำอะไรเขาจะมีกินมั้ย  ก็ไม่มี  แล้วบ้านเรานะมันเป็นสังคมกสิกรรมไม่ใช่สังคมอุตสาหกรรม  เราต้องทำการเกษตรแผนใหม่ตามโครงการของในหลวง  สร้างชุมชนให้เข้มแข็งขึ้นมาก่อน  ให้เขารู้จักเรียนรู้อาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษ”

   บอยมันฟังนิ่ง . . .

   มันทึ่ง  มันอึ้งกับสิ่งที่นัทพูดมา 

   มันคิดตามแหละ  ถูกต้องบ้านเราเป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ใช่สังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมทุนนิยมแบบที่นายกมาดนักซิ่งจากโคราชวางรากฐานเอาไว้

   “สิ่งที่เราต้องทำมากที่สุดในตอนนี้นะบอย . . .”  นัทยิ้มอีกรอบ

   หัวใจบอยมันชุ่ม  ราวต้นไม้เจอฝนแรกกับรอยยิ้ม

   “. . . คือการเพิ่มรายได้  และลดรายจ่ายของครอบครัวก่อน  แน่นอนว่ารายได้ของชาวบ้านมันไม่สูงอยู่แล้ว  แล้วลูกหลานที่กลับมาอีกเล่า  เขาเคยชินกับความสะดวกสบายในเมือง  การที่จะให้เขาต้องมาปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอีกแบบ  เขาคงยังไม่ชิน  นี่แหละคือปัญหาที่ชมรมวิชาการมอง  ไม่ใช่แค่ว่าเราไปสร้างห้องสมุดแล้วจบ  นั่นมันแค่การเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมส่วนหนึ่ง  แต่ที่ชมรมวิชาการอยากจะทำคือการเข้าไปช่วยให้เขามีหนทางที่ดีขึ้นต่างหาก”

   “อ้าว  แล้วถ้าเกิดเราไปส่งเสริมให้เขาปลูกผัก  ทำไร่แบบทฤษฏีใหม่แล้ว  คราวนี้เมื่อทุกคนหันมาทำแบบที่นัทบอก  สินค้าที่ผลิตออกมาล้นตลาด  ดีมานด์ไม่สัมพันธ์กับซัพพลายอีก  มันจะก่อเกิดปัญหาตามมาอีกนะนัท”

   บอยมันตั้งคำถามขึ้นมา  คำถามที่เพิ่งผุดมาจากหัวของมัน 

   นัทยิ้ม . . .   

   มันรู้ดี  ว่าคำถามแบบนี้จะต้องตามออกมาอีกแน่  และยังมีคำถามอื่นที่คนไม่เข้าใจอีกมากมายที่อยากจะรู้  แต่นัทมันไม่ห่วงหรอก  มันเป็นตัวแทนของชมรมวิชาการ  มันรู้ดี  รู้จักดีถึงความเป็นอยู่ของผู้คน

   คำว่า . . .

   . . . ชาวบ้าน

    ถ้าเขียนเป็นตัวอักษรมันก็แค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัวบนกระดาษ ตัวหนังสือ  ที่เป็นตัวประกันได้อย่างดี  ในระบบการเสนอโครงการขอรับความช่วยเหลือจากข้าราชการ  ที่ต้องการงบประมาณเบิกจ่าย

   แต่  ที่นัทมันต้องการคือ  วิถีชาวบ้านจริง ๆ

   “ข้อนั้นเราเตรียมไว้หลายทางออกนะบอย . . .”

   “ยังไง”

   “. . .  บอยต้องรู้ไว้อย่างนึงว่า  บ้านเรานี่จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับต้น ๆ  ของประเทศ  และมีนักท่องเที่ยวแทบทั้งปี  เราจะส่งเสริมให้ชาวบ้านทำเกษตรไร้สารพิษตามทฤษฏีใหม่ แล้วอย่าลืมอีกนะว่าที่มหาวิทยาลัยของเราก็มีคณะที่จะแปรรูปสินค้าเกษตรกรรมด้วย  อีกอย่าง  เราอาจขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิโครงการหลวงได้อีกทาง  แต่ทุกอย่างมันต้องเป็นไปอย่างช้า ๆ  เราไม่สามารถทำโครงการนี้ได้ใน ๓๐ วันหรอก  ไอ้ ๓๐ วันที่เขียนในการเสนอนะมันแค่แผ่นกระดาษ  แต่ความจริงแล้วเราต้องใช้เวลา  บางทีอาจตลอดชีวิตเราก็ยังต้องทำเลย”

   อันที่จริงสิ่งที่นัทมันพูดมาก็ถูกต้อง . .   

   การจะทำอะไรสักอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไป  ชีวิตชาวบ้านนะไม่มีการทดลองซ้ำแบบในห้องแลปหรอก  ถ้าพลาดมันหมายถึงรายได้ที่เสียไป  เวลาที่ทุ่มเทลงไป  บอยมันปวดหัวจื้ดขึ้นมาอีก  ดูเหมือนว่าเมื่ออายุมันมากขึ้น  ความรับผิดชอบมันก็ค่อย ๆ  มากตามขึ้นเป็นเงาตามตัว

   บอยมันเริ่มมองโลกกว้างใบนี้ใหม่ . . . 

   มันเริ่มมองในมุมที่นัทมอง มันมองนัทอย่างชื่นชม  มันเริ่มลบภาพนัท  ที่มันเห็นเป็นเด็กหนุ่มร่าเริงเมื่อตอนแรก ๆ  ที่มันรู้จัก  วันนี้นัทโตขึ้นมาก  ทั้งความคิดดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว  แววตามีความมุ่งมั่น  ท่าทางมั่นอกมั่นใจ  ดวงตารีคู่นั้นฉายแววฉลาดเฉลียวและสนใจกับปัญหาของผู้อื่น 

   บอยยิ้มกว้างกับชายหนุ่มที่นั่งประจันหน้ากัน



   ตำบลแม่นะ มีฐานเป็นตำบลหนึ่งใน อ.เชียงดาว ตำบลแม่นะ เป็นตำบลที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเชียงดาว มีจำนวนหมู่บ้านทั้งสิ้น ๑๓ หมู่บ้าน  ต.แม่นะเป็นพื้นที่ราบลุ่มหุบเขาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีจำนวนหมู่บ้าน ๙ หมู่บ้านที่อยู่บริเวณหุบเขา ล้อมรอบด้วยภูเขา และป่าไม้ตามธรรมชาติ ระยะทางห่างจาก อ.เชียงดาวประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ส่วนอีก ๔  หมู่บ้าน อยู่ห่างจาก อบต.แม่นะไปอีก ราวยี่สิบกิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถจักรยานยนต์ ตั้งอยู่บริเวณบนภูเขาที่มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติไหลผ่าน ระยะทางห่างจาก อ.เชียงดาว ประมาณ ยี่สิบกิโล ปัจจุบันประชากร ต.แม่นะ ประกอบด้วยชนหลายเผ่า และมาจากหลายแห่ง เพราะ ต.แม่นะเป็นตำบลที่เขตติดต่อกับพื้นที่อื่น ๆ หลายแห่ง เช่น ติดเขตพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และตำบลต่าง ๆ ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วยชนเผ่าไทยใหญ่ ลีซอ มูเซอ กะเหรี่ยง และคนพื้นเมือง เป็นต้น

   บอยล้ากับงานที่ทำกันมาทั้งวัน . . . 

   วันแรกของการมาถึง  มันยืนตะลึงกับที่ราบเล็ก ๆ  ที่รายล้อมด้วยหุบเขาของบ้านแม่นะ    สิ่งที่อยู่รอบตัวมันคือป่าไม้แทบทั้งนั้น   บอยมันมองภาพชาวบ้านที่มาช่วยนักศึกษาปรับพื้นที่เล็ก ๆ  ในเขตโรงเรียนเพื่อจะสร้างห้องสมุดให้นักเรียนที่นี่  เหงื่อมันโทรมกาย  แต่มันไม่เหนื่อย  เพราะยามใดที่มันท้อ  มันจะหันไปมองคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยมิปริปากบ่น  ที่อยู่ใกล้ ๆ  กัน  แค่นั้นบอยมันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ

   แรงผลักดันในหัวใจมันมีมากกว่าความเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ

   “เหนื่อยมั้ยว่ะ”  น้ำเสียงที่เข้ามาทักทายเหมือนน้ำทิพย์ที่ริดโชลมหลั่งรดหัวใจอันแห้งเหี่ยวของมัน

   บอยมันยิ้มตามเคย . . . 

   มันส่ายหน้าแทนคำตอบ  พลางเก็บอุปกรณ์เอาไว้เข้าที่  แล้วเดินลงไปล้างมือในลำห้วยใกล้ ๆ  น้ำเย็นเฉียบสมกับที่ไหลมาจากบนผืนป่าใหญ่  นัทมันลงมาล้างใกล้ ๆ  งานวันนี้ของพวกผู้ชายหมดลงแล้ว  พรุ่งนี้พวกเขาจะมีงานใหม่เริ่มต้นขึ้นอีก

   “พวกตีนดอยสร้างฝายกันอยู่ข้างบน  มีเด็กก่อสร้างมาช่วย  เลยดีหน่อยอย่างน้อยฝายที่พวกนั้นสร้าง คงช่วยบรรเทาความแห้งแล้งในยามหน้าร้อนได้บ้าง  แล้วเดี๋ยวอาคารห้องสมุดเสร็จ  เด็กตีนดอยอาสามาติดตั้งระบบไฟฟ้าให้  เห็นลุงกำนันบอกว่าอีกสองวันจะจัดงานผูกขวัญนักศึกษาที่มาช่วยกัน”  นัทมันเล่า  แต่กมหน้ากวักน้ำที่ไหลแทบติดท้องห้วย

   หน้าร้อนเดือนมีนาคม . . . 

   แม้จะอยู่เขตต้นน้ำ  แต่ที่แม่นะยังขาดแคลนน้ำอยู่ดี  พื้นที่ชันทำให้น้ำไหลลงที่ราบเร็วกว่าปกติ 

   “ก็บ้านเราคนตัดไม้กันเยอะนี่  แถมยังไปตัดที่แหล่งต้นน้ำอีก  เฮ้ย”  บอยมันถอนหายใจเฮือกใหญ่

   นัทมันยิ้ม . . .

   อย่างน้อยเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ  มันยังสนใจที่จะอนุรักษ์เป็นอย่างดี  นัทมันจำแม่น  วันที่ประชุมลงมติ  มันเห็นบอยเดินล้อบบี้คนโน้นที คนนี้ทีกับข้อเสนอของชมรมวิชาการที่นอกจากงานสร้างอาคารห้องสมุดแล้ว ยังมีโครงการนำความรู้ทฤษฏีใหม่ของในหลวงเข้ามาปรับใช้กับชีวิตของชาวบ้านที่นี่ด้วย 

   จนในที่สุด . . . ที่ประชุมยอมรับคำเสนอของชมรมวิชาการ

   แต่สิ่งนึงที่บอยไม่รู้ . . . 

   คือ . . . ความคิดนี้เกิดจากนัท

   พ่อของนัทเป็นข้าราชการ  บ้านนัทรับราชการมาตั้งแต่สมัยปู่ของปู่  ที่พร่ำสอนให้นัทมสำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน นัทเติบโตมากับความซื่อสัตย์  ความชัดเจน  ตรงแน่วยิ่งกว่าไม้บรรทัดของผู้เป็นพ่อที่ตลอดระยะเวลาในการรับราชการ  พ่อของนัทได้ชื่อว่าเป็นคนมือสะอาดไม่มีนอกมีในกับใคร  ไม่อยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองคนใดเสียด้วย

   ความดีทั้งหมดถ่ายทอดมาสู่นัททางสายเลือดของผู้เป็นพ่อ . . .

   . . . นัท คือ ลูกไม้ใต้ต้น

   บอยมันเดินตามนัทมาเงียบ ๆ 

   อากาศเริ่มเย็นลงทั้ง ๆ  ที่พระอาทิตย์ยังไม่ลาดับลับขอบฟ้า  ที่ราบเล็ก ๆ  ในหุบเขา  ย่อมมีความชื้นจากต้นไม้มากกว่าปกติเป็นธรรมดา  บอยมันเห็น  นัทตรงแน่วไปที่โรงครัว  ที่ทั้งชาวบ้านและนักศึกษาหลายคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ  กลิ่นอาหารโชยกรุ่นมาแตะจมูก  นัทยิ้มแผ่เมื่อมองเห็นคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาซอยหอมอยู่

   “อ้าวเมย์  เมย์เป็นอะไรนะ”  นัทมันเห็นอาการแปลกตาของเมย์ชัดเจนขึ้นเมื่อไปถึงที่ตรงนั้น

   “หัวหอมค่ะ  หัวหอม”  จากที่แสบตาในตอนแรกที่เมย์เริ่มสัมผัสกับเจ้าหอมแดง  ขณะนี้เมย์ปวดร้าวที่กระบอกตา  จนไม่อาจฝืนลืมตาได้อีกต่อไป

   นัทมันยิ้มขำ . . .

   กับภาพที่เห็นข้างหน้า อาการของเมย์  มองน้ำตาที่ไหลหยาดเป็นทางบนร่องแก้มสีชมพูระเรื่อ  หลากหลายความคิดที่นัทมองภาพนั้นหลากหลายมากมาย  และหนึ่งในความรู้สึกนั้น  คือนึกอยากจะซับน้ำตาของเมย์ด้วยมือของเขาเอง

   “งั้นพอเถอะ  บอยช่วยเมย์หน่อยได้มั้ย”  นัทหันมาทางบอย

   บอยมันพยักหน้ารับแทนคำตอบ   

   ไม่มีใครรู้ความคิดของบอยในตอนนั้น เพราะบอยเก็บเอาความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้อย่างมิดชิดที่สุด   หรือหากว่า นัทรู้ทันความคิดของบอย  นัทจะคิดที่จะขอให้บอยช่วยอีกมั้ย

   บอยนั่งลงใกล้ ๆ  เมย์  เอามือแตะหลังมือเมย์ที่จับมีดอยู่  แล้วค่อย ๆ  จับมีดที่เมย์ค่อย ๆ  วางลง  เมย์กำลังคิดว่าใครจะช่วยให้เขาหายปวดแสบปวดร้อนกับอาการแพ้หอมแดง  เสียงเหมือนคนนั่งตรงหน้า  แม้พยายามฝืนตามอง  แต่เมย์ปวดกระบอกตาจนแทบลืมตาไม่ขึ้น

   สัมผัสเผ่วเบาที่ปลายนิ้วมือทั้งสองข้าง  บอกให้รู้ว่าเมย์ต้องลุกขึ้น

   “เดินตามนัทมานะเมย์”

   ในความมืดมิดและปวดร้าวที่ดวงตาทั้งสองข้าง . . . 

   . . . สิ่งเดียวที่เมย์รับรู้ 

   สิ่งที่หัวใจของเมย์สัมผัสได้  เมย์รู้สึกถึงสัมผัสเผ่วเบาที่จับจูงอย่างอ่อนโยน  พาเดินช้า ๆ  และหูเมย์ได้ยินน้ำเสียงที่นุ่มบอกทางตลอดเวลา

   “หมุนตัวนิดนึง  แล้วเดินก้าวเท้าออกมาช้า ๆ  นะครับเมย์”

   เมย์ไม่นึกกลัวที่จะสะดุดหรือล้มลงไปเลยแม้แต่น้อย  ความมั่นใจจากปลายนิ้วที่อีกฝ่ายถ่ายทอดออกมาจากปลายนิ้วไหลรี่ตรงมาสู่หัวใจของเมย์อย่งรวดเร็ว

   “ดีมากครับ  ตรงมาเรื่อย ๆ  นะครับ  อย่างนั้นแหละเมย์  ตอนนี้เมย์มีหัวใจนำทาง  ส่วนนัท  นัทจะเป็นดวงตาให้เมย์เองนะครับ” 

   นัทบอก . . . 

   . . .แต่

   นัทมันไม่รู้ 

   มันไม่ได้อยู่กันแค่สองคน  คนนั่งก้มหน้าซอยหอม  ร้าวรวดไปถึงหัวใจ  บอยแค่เหลือบตามองนัทที่จูงเมย์ออกไปอย่างเผ่วเขา  หัวใจของเขาคล้ายตกลงในก้นเหวลึกกับคำพูดเพียงไม่กี่คำที่นัทเอ่ยกับเมย์

     เมย์มีหัวใจนำทาง . . . 

   . . . ส่วนนัท 

   นัทจะเป็นดวงตาให้เมย์เองนะครับ . . .

   บอยมันรวดร้าวเหลือที่จะคณานับ  ความเจ็บแล่นจิ้ดเข้ามาถึงในหัวใจของบอย  แต่มันต้องฝืนกลืนความเจ็บปวดเอาไว้   ก็คนเคยพูดกัน  ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

   มันรู้ทั้งรู้ว่าสองคนนี้รักกันแต่มันยังอดสงสารตัวเองไม่ได้  บอยก้มหน้าซอยหอม  ทั้ง ๆ  ที่ตาเริ่มพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตา

   “ซ้ายนิดนึงครับเมย์ . . .”

   “. . . น่าน   ดีมาก”

   “แบบนั้นแหละครับ  ยกเท้าสูงนิดนึงครับ”

   จากแตะต้องเพียงปลายนิ้ว . . . 

   นัทรวบกุมมือนุ่มไว้แน่น  กระชับในอุ้งมือใหญ่ของนัท  นิ่งนาน เมย์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง

   เป็นเสียงหัวใจของเมย์เองหรือเสียงหัวใจของนัท  เมย์เองก็ยากที่จะคาดเดา

   “รู้ไหม  ใจเมย์นำทางนัทมาตลอดเลยนะเมย์”  นัทเอ่ยเสียงนุ่มก่อนจะจับมือเมย์ไปวางไว้ที่ก้อกน้ำ  ที่ต่อลงมาจากภูเขา

   บอยมันหมดแรงที่จะต่อสู้กับหัวใจตัวเอง . . . 

   . . . มันปล่อยให้น้ำตาไหลพรากลงเป็นทางยาว  มันหมดเรี่ยวแรง  แม้บอยมันจะทำใจมาก่อนหน้าแล้วว่าระหว่างมันกับนัท  มันแค่พวกหลงรูปจูบเงาเท่านั้น  แต่คำพูดและกิริยาที่นัทแสดงออกต่อเมย์  บอยกลับรู้สึกปวดร้าวอย่างที่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม

   บอยซอยหอมหัวสุดท้ายหมด พอดีกับที่เมย์กลับมาที่เดิม

   “อ้าวไอ้บอย  แพ้หอมเหมือนกันเร่อะ  มาเดี่ยวพาไปล้าง”  นัทมันหัวเราะเบา ๆ

   “ไม่ต้อง”  บอยตอบเสียงห้วนกว่าทุกครั้ง  ก่อนที่จะเดินออกไป

   บอยมันเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว  มันรู้มันนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้แค่วินาทีเดียว  มันสาวเท้าเร็ว ๆ  มาถึงริมห้วย  น้ำตามันไหลหยดรดอาบแก้ม  มันเดินตามลำห้วยขึ้นไปช้า ๆ  มันรู้มันไม่สามารถบังคับหัวใจตัวเองให้แข็งแรงได้ในตอนนี้  มันกระเซอะกระเซิงราวสมันน้อยโดนตะปบจากเจ้าป่า 

   บอยมันแค่อยากอยู่คนเดียว  มันปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ  ในขณะที่เท้ามันก้าวไปโดยไร้จุดหมาย

   ใช่สิ . . .

   . . .  มันไม่มีหัวใจนำทางนี่หว่า

   แล้วมันก็ไม่มีดวงตาที่จะพาหัวใจมันไปไหนด้วย

   มันเคยยิ้มกับภาพนัทกับเมย์มาตลอด  แต่วันนี้คำพูดของนัทเฉือนหัวใจมัน  เฉือนหัวใจมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  มันมีหัวใจอยู่อีกกระนั้นหรือ  มันเฝ้าถามตัวเอง  ก่อนที่จะพาร่างมันมานั่งละที่ริมห้วย   ไม้ใหญ่ให้ร่มเงา  มันค่อย ๆ  นั่งลงรงรากไม้ใหญ่  เอาขาแช่ในลำห้วย  มันเอนหลังพิงไม้ใหญ่   มันเหนื่อย  มันอ่อนล้า  มันคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง  น้ำตามันยังไม่หยุดไหล  ในสายตาที่พร่ามัวมันมองเห็นแม่ 

   มันนึกถึงแม่ขึ้นมาจับขั้วหัวใจ . . . 

   . . . บอยรู้ 

   แม่รักมัน  รักมันมาก  แต่ตอนนี้มันรักใครอยู่  ทำไมมันไม่รักแม่  ทำไมมันต้องรักคนที่ไม่เคยหยุดมองหัวใจของมันเลย

   รู้ไหม . . . ใจเมย์นำทางนัทมาตลอดเลยนะเมย์

   เสียงนี้ยังตามก้องในหัวสมองบอย  มันยังได้ยินชัดเจน  มันก้มหน้าลงกับฝ่ามือ  สะบัดหน้าไปมาอย่างแรง  แต่ดูเหมือนตอนนี้อะไรในร่างกายของบอยมันอ่อนไปหมด  มันล้าเหลือเกิน     บอยกวักน้ำจากลำห้วยมาล้างคราบน้ำตาที่มันมี  แล้วมันนั่งลงพิงกับต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง มันหลงคิดว่ามันพิงอยู่กับอกของแม่  สายตามันทอดยาวไปไกล  ไร้ซึ่งจุดหมาย

   เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้  บอยมันหลับตานิ่ง  มันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นในเวลานี้  เพราะใจมันแหลกไปหมดแล้ว  ใครจะมาทำอะไรมันได้  มันนิ่งซะอย่าง  เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดลงใกล้ ๆ  มัน

   “เป็นอะไรหรือปล่าวครับ”  น้ำเสียงแปลกหูเอ่ยถามมัน  บอยลืมตาขึ้นช้า ๆ  มองเจ้าของเสียง

   “ปล่าวครับ  พอดีเหนื่อยนิดหน่อยเลยนั่งพัก”  บอยมันยิ้ม  แต่ยิ้มมันเศร้า

   “มากับค่ายอาสาหรือปล่าวครับนี่”  คนร่างใหญ่ตั้งคำถาม

   “ครับ”  บอยตอบแบบขอไปที 

   มันอยากอยู่คนเดียวในเวลานี้  มันไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น  โลกของมันแคบลงเมื่อมันไม่อยากยุ่งกับใคร  แต่คนร่างใหญ่กลับไม่สะทกสะท้านยังคงคอยถามโน่นถามนี่มันอยู่อีก

   “ใกล้มืดแล้วนะครับ  กลับลงไปที่พักเหอะครับ  บนนี้มันอันตราย”  คนร่างใหญ่บอก  หากแต่ไม่ได้สนใจบอย  เขาใช้กล้องถ่ายรูปซูมไปมาหามุมที่จะถ่าย  เขาแค่หันหลังคุยกับบอย

   “อืม  ขอบคุณนะครับ”  บอยบอกเบา ๆ  พลางหลับตาลงอีกครั้ง

   “ผมชื่อต้นนะครับ  มากับค่ายของตีนดอย  ผมว่าเราลงกันไปเหอะครับ  มืดแล้วจะลำบาก  ทางไม่ชินด้วย”  บอยหันกลับมาที่เจ้าของเสียงอีกครั้ง

   คราวนี้เขาเห็น  ยิ้มจากชายแปลกหน้าอีกคน

   “ผมบอยครับ”

   บอยมันยิ้มซื่อ ๆ  อาจเพราะมันระอากับคนที่ก้าวมาในโลกส่วนตัวของมัน  ในห้วงเวลาที่มันอยากอยู่คนเดียวแบบนี้  แต่เขาคนนั้นกลับทำให้มันลืมเรื่องของนัทลงไปได้บ้าง  เมื่อเขาชวนมันคุยเสียมากมาย  จนมันรู้สึกว่า  บางทีในโลกนี้มันไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว  แต่มีคนอีกมากมายที่ยืนอยู่บนโลกนี้กับมัน  เพียงแต่มันไม่ได้เปิดประตูออกไปหาคนเหล่านั้นเลยก็เป็นได้




RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #32 เมื่อ29-06-2009 00:25:48 »


ตอนที่  ๖

   สองวันแรกของการทำงานที่นี่  นัทมัวแต่ช่วยเพื่อน ๆ  ทำงานอยู่กับการก่อสร้างอาคารที่จะให้เป็นห้องสมุด  จนลืมไปว่า  เมล็ดพันธุ์  และกากน้ำตาล  รวมทั้ง  น้ำเอ็นไซน์  ยังกองอยู่เต็มไปหมด  แล้วการหมักปุ๋ย  และทำน้ำชีวภาพนั้นมันต้องใช้เวลาเสียด้วย  มันไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้หรอก  มันรู้เพียงแต่ว่ามีการทำปุ๋ยหมักและน้ำชีวภาพได้  งานนี้นัทมันต้องอาศัยบอย  เพราะบอยนั่นแหละที่วิ่งโร่ประสานงานขอสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชทั้งที่เกษตรจังหวัด  ที่โครงการหลวง  และในส่วนของคณะเกษตรที่มหาวิทยาลัยเองก็ตาม
 

   “บอยเราไปที่บ้านกำนันกันเถอะนะ  ปรึกษากันเรื่องเกษตรทฤษฏีใหม่”    นัทมันเดินมาที่บอยที่กำลังง่วนอยู่กับงานก่อสร้าง

   บอยมันมุงานหนัก . . . 

   . . . มันคอยหลบหน้านัทมาตั้งแต่วันนั้น 

   ไม่รู้สิ  มันเหมือนมันเป็นอณูในอากาศที่นัทไม่เคยมองเห็นมันมั้ง  ยิ่งใกล้นัทมันยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ  มันก็คน  มีเลือดเนื้อและชีวิต  มันไม่อยากอยู่ใกล้นัทมากไปกว่านี้อีกแล้ว

   “ก็ไปดิ  ไปคนเดียวก็ได้  เราทำงานอยู่”

   “ได้ไง  นัทไม่รู้เรื่องไรเลยนะ  ต้องบอยเพราะบอยรู้เรื่องการทำปุ๋ยหมักอะไรพวกนี้  ไปด้วยกันหน่อยเหอะ”

   บอยมันหรือจะยอมให้นัทลำบาก . . . 

   มันมองหน้าบอย  แววตานัทมันอ้อนวอนหรือ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้   แค่มันเห็นหน้านัท  มันก็ใจอ่อนวูบ  บอยเดินไปล้างมือช้า ๆ  แล้วค่อย ๆ เดินกลับมาที่นัท

   “ไปดิไป”

   นัทมันค่อยยิ้มออก  แล้วมันเดินนำหน้าบ้านกำนันดวงหาไม่ยากหรอก  แม้มันจะไม่เคยมา  แต่มันอาศัยถามชาวบ้านเอา  มันเดินตามที่ชาวบ้านบอกมาเรื่อย ๆ  นัทมันบอก

   “หนทางอยู่กับปากว่ะกลัวทำไม”

   บอยมันได้แต่ทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี . . . 

   ชั่วแค่ได้เหงื่อซึมกาย  นัทมันเดินมาถึงบ้านกำนันดวง  มันเห็นแล้วรั้วผักหวานที่กำลังแตกยอดอ่อนทอดยาวไปตลอดแนว  มีต้นแคขาวและแคม่วงสลับกันเป็นระยะ ๆ  ตรงกึ่งกลางแนวรั้วมีประตูไม้กลางเก่ากลางใหม่  ที่เปิดเอาไว้ราวกับจะรอการมาของลูกบ้าน    นัทเดินผ่านเข้าประตูไปช้า ๆ  โดยที่บอยยังทำหน้าที่เป็นผู้ตามเช่นเคย 

   บอยมองเห็นบ้านที่สร้างแบบทางเหนือ . . . 

   ไม้สักแท้ทั้งหลังตั้งเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า  ด้านบนที่มุกเชิงหลังคามีกาแล  สมกับเป็นบ้านทรงล้านนาแท้ ๆ  ตัวบ้านดูเก่า  แต่สะอาดนั่นหมายถึงเจ้าของบ้านเขาดูแลเป็นอย่างดี  ด้านซ้ายของบ้านมีโรงรถ  ที่มีทั้งรถมอเตอร์ไซด์  รถไถ  และปิคอัพจอดอยู่  ต้นลำไยใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา รอบ ๆ  บ้านที่ปลูกห่างกันเป็นระยะ ๆ    สวนอีกฝั่งของบ้านมีแปลงดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกอยู่เป็นดง เลยออกไปเป็นสวนลำไยที่บอยเองก็ไม่รู้ว่ามันไปสิ้นสุดตรงไหน  เมื่อมองลอดใต้ถุนบ้านออกไปจะเห็นพวกแปลงผักสวนครัวกับเล้าไก่  บางแปลงมีไม้ไผ่ปักเป็นนั่งร้านสำหรับให้ไม้เถาว์ได้เลื้อยเกาะ  บ้านกำนันดวงร่มรื่นดีแท้บอยมันนึกใจใจ

   เสียงสวบสาบจากทางด้านโรงรถ  ทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง  นัทมองเห็น  ชายวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินนำเพื่อนอีกสามสี่คนออกมา  มือหอบผักพื้นเมืองหลากหลายชนิดติดมือมาด้วย

   “สวัสดีครับ  มาหากำนันเหรอครับ”  เด็กหนุ่มสูงโปร่งผิวขาวเอ่ยทัก  เมื่อเห็นนัทกับบอยทำท่าละล้าละลัง

   บอยมองเห็นชัดเจน  หนึ่งในกลุ่มที่เพิ่งออกมาจากในสวนคือ  . . .

   . . . ต้น

   “ครับผม  พอดีผมมีเรื่องจะเรียนปรึกษากำนันดวงนะครับ”  นัทยิ้มตอบกับคนที่เอ่ยถาม

   “เชิญเลยครับ  พ่ออยู่บนบ้านนะครับ  ผมแดนนะครับเป็นลูกพ่อดวง  มากับค่ายอาสาหรือปล่าวครับ  ขาดเหลืออะไรบอกผมก็ได้นะครับ”  แดนยิ้มพลางกุลีกุจอนำทางนัทไป

   ต้นยิ้มให้บอยเล็กน้อย . . .

   . . .  บอยยิ้มตอบ  ก่อนเดินตามนัทเข้าไป

   “อ้าวใครมาละนั่นเจ้าแดน”   เสียงห้าวทุ้มดังทรงอำนาจดังมาจากบนบ้าน

   บอยมองเห็นชายคนหนึ่งอายุไม่น่าจะเกินห้าสิบ  ท่าทางยังทะมัดทะแมง  สวมเสื้อฝ้ายทอมือแบบชาวพื้นเมือง  สีซืด  สวมกางเกงขาแค่เข่า ผ้าขาวม้าพาดที่บ่าเดินลงมา

   “อ้าวพ่อหนุ่มที่มาช่วยงานสร้างห้องสมุด  เชิญ ๆ  เชิญนั่งคุยกันก่อน”  พ่อกำนัน  เดินนำทั้งสองไปนั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้าน

   “แดนเอ้ย  หาน้ำหาท่า  เอาขะหนมขะต้มมาเลี้ยงแขกหน่อยลูกเอ้ย  พ่อหนุ่มเขามาเหนื่อย ๆ”  กำนันตะโกนสั่งไป

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . ภาพกำนันบ้านนอก  ที่แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่ามีนำใจเหลือเฝือ  เพราะเพียงแค่แขกที่ไม่รู้จักผ่านมา  กำนันยังยินดีต้อนรับโดยไม่เลือกด้วยซ้ำว่ารู้จักหรือไม่ 

   คนบ้านนอกน้ำใจเหลือเฝือ . . . 

   . . . ผิดกับคนในเมืองที่นับวันเริ่มเหือดแห้งด้วยน้ำใจ  แต่กำนันดวงคนนี้ยังเป็นคนไทยแท้ ๆ

   อ้าว ! 

   ธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณใครมาถึงเรือนชานให้ต้อนรับ

   แคร่เป็นแคร่ดีหรือปล่าว  เพราะมันสร้างจากไม้สักแผ่นโตกว้างประมาณศอกนิด ๆ  ที่เอามาต่อกันขัดเงามันแวววับ  เนื้อไม้ไม้ผุกร่อนไปตามเวลา  แต่ขาไม้ที่ฝังอยู่ในดินเริ่มผุพังไปบ้างแล้ว

   “สวัสดีครับ”  ทั้งนัทและบอยยกมือไหว้กำนัน

   “นั่งก่อนลูกเอ้ย  มีอะไรให้ช่วยบอกมาเลย  ติดขัดเรื่องไรกันมั่งละเนี่ย  เดี๋ยวคืนนี้พวกชาวบ้านจะเลี้ยงรับขวัญที่มาช่วยสร้างห้องสมุดให้เด็ก ๆ  กัน . . .”  ผู้นำชุมชนยิ้ม  แสดงอาการขอบคุณ  ก่อนหันไปทางเด็กหนุ่มอีกกลุ่ม

   “ . . .  นั่นก็พวกเพื่อน ๆ  เจ้าแดนมัน  เรียนกันอยู่ตีนดอย  ท่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันละมั้ง  พวกที่มากันช่วยสร้างฝายแม้วนั่นแหละ”   พ่อกำนันบุ้ยปากไปทางกลุ่มที่ออกมาจากสวน

   ขันทองเหลืองใบโตยื่นมาที่บอย . .   

   . . . บอยรับก่อนยกขึ้นดื่ม  น้ำเย็นจับใจแม้จะไม่ใช่น้ำที่แช่เย็นหรือใส่น้ำแข็งมาด้วยก่อนส่งต่อให้นัท

   “น้ำฝนลูกเอ้ยสะอาด  แต่นับวันจะหากินยากทุกที  อ้าวเจ้าแดนจะไปไหนละนั่น”  พ่อกำนันร้องถาม  เมื่อเห็นคนที่นำน้ำมาให้กำลังจะถอยไป

   “จะเอาผักไปให้ยายทองนะพ่อ  แกให้ไอ้หนุ่ยมาบอกตั้งแต่เช้าแล้วว่าคืนนี้จะเลี้ยงรับขวัญพวกมาสร้างห้องสมุดนะพ่อ” 

   “เอ้า ๆ  ไป ไป  แต่ไอ้หนูเอ้ย  เอ็งลองเข้าไปดูที่เล้าไก่ดิ เก็บเอาไข่ไปด้วยนะลูก  แล้วเอาที่พ่อใส่เข่งแขวนไว้ที่หลังบ้านไปด้วยแล้วกัน . . .”  กำนันใจดี  ตะโกนบอกลูกชาย

   “. . .  เออ   จับไก่ที่มันไม่ตกไข่ไปสักห้าหกตัวก็ดีนะให้แม่ทองต้มยำหม้อใหญ่ ๆ  เลี้ยงพวกเด็ก ๆ  กัน  รายนั้นนะฝีมือหาตัวจับยาก”  ประโยคสุดท้ายกำนันหันมาบอกกับสองคนที่นั่งสนทนากัน

   “จ้ะพ่อ”

   บอยมันยิ้มตามเคย . . . 

   . . . มันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก  ท่ามกลางภาวะที่รุมเร้า  แต่บอยมันยังรับรู้ได้  ผู้คนที่แม่นะล้วนมีน้ำใจ  มันมองตามร่างชายหนุ่มที่หายไปด้านหลังบ้านด้านที่มีเล้าไก่ 

   “ว่าไงพ่อหนุ่ม  มีอะไรให้ลุงช่วยก็บอกมาไม่ต้องเกรงใจ”  กำนันหันกลับมายิ้ม 

   แววตาที่ดูเหมือนจะดุ  แต่ไม่ดุเลย  น้ำเสียงที่ห้าวนั้นแค่ภายนอก  เพราะที่จริงแล้วกลับใจดีเสียมากกว่า

   เสียงไก่ร้องลั่นเล้าดังมาตามลม . . .   

   “คือผมมีเรื่องมาเรียนปรึกษา เพราะทางคณะที่มาเมล็ดพันธุ์ผักที่ได้มาจากสำนักงานเกษตร  กับสูตรปุ๋ยชีวภาพ  ไม่ทราบว่าทางลุงกำนันจะสนใจบ้างหรือปล่าวครับ”  นัทเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเกรงใจลุงกำนัน

   กำนันดวงตบเข่าฉาดด้วยความถูกใจ

   “เออดีพ่อหนุ่ม  ลุงเองก็ทดลองทำอยู่เหมือนกัน  ก็เจ้าแดนนะซิ  มันบอกตอนนี้ที่ในเมืองกำลังเห่อกระแสผักปลอดสารพิษ  เลยเอาสูตรชีวภาพอย่างที่พ่อหนุ่มว่ามาลองทำดู  แต่ลุงมันแค่ลองที่แปลงหลังบ้านก่อน  ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะกระจายให้พวกลูกบ้าน  อีกอย่างยังกลัว ๆ  อยู่  ขืนเราลงกายลงแรงไปแล้วมันไม่ได้ผล  ชาวบ้านเขาจะเสียกำลังใจเอาปล่าว ๆ  ชีวิตชาวบ้านเขาไม่มีเวลามาทดลองอยู่หรอกนะ”  กำนันดวงยิ้มอย่างพอใจ

   “ครับ  ผมก็เห็นเช่นนั้น  เลยให้เพื่อนที่เรียนอยู่คณะวิดยากับพวกที่คณะเกษตรซึ่งมีโครงการวิจัยของโครงการหลวง  ขอปันเมล็ดพันธุ์กับสูตรปุ๋ยที่ทดลองแล้วได้ผลมานั่นแหละครับ  เพราะผมเองก็เชื่ออย่างที่ลุงกำนันเชื่อแหละครับ  ชีวิตชาวบ้านเขาไม่มีเวลามาทดลองเล่น  เพราะถ้าพลาดมันหมายถึงความหวังที่เขาตั้งไว้ดับวูบไปด้วย”

   กำนันดวงยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี   แววตาที่ทอดมองมามีแต่แววเอ็นดู . . .   

   . . . ยังเด็กอยู่มาก  ปากคอ  คิ้วคาง  ยังโตไม่เต็มที่เลย  น่าจะรุ่น ๆ  เดียวกับลูกชาย  ผิวพรรณแม้ไม่ขาวแบบชาวเหนือทั่วไป  แต่ก็ละเอียดเนียนไม่ทิ้งเค้าชาวล้านนา  ดูท่าก็พอรู้  ตัวเล็กกว่าเจ้าแดนนัก  แต่แววตาดูแกร่ง มุ่งมั่น  และคงจะมีความคิดที่แน่วแน่เอาเรื่องทีเดียว

   “ลุงดีใจพ่อหนุ่ม  ที่เห็นพวกเด็ก ๆ  รุ่นพ่อหนุ่มสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของชาวบ้าน  ที่นี่บ้านเราดินดี  น้ำชุ่ม  เพียงแต่เราปล่อยให้พื้นที่มันรกร้างว่างปล่าวกันไปมาก  พวกชาวไร่ชาวสวนเขาก็ไม่ค่อยสนใจกันหรอกเรื่องปุ๋ยชีวภาพ  เพราะเขาไม่แน่ใจ  ไปเห่อไปปู๋ยสุตรตัวเลขที่ขายกระสอบนึงหลักร้อยหลักพัน  ปุ๋ยพวกนั้นมันให้ผลดีในระยะแรกเท่านั้นแหละ  แต่ระยะยาวดินมันจะเสีย  แล้วทีนี้พอดินเสียชาวสวนอย่างเรา ๆ จะทำอะไรกินกัน  นี่พวกเจ้าแดนก็มารนณรงค์ให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสัตว์ . . .”   ลุงกำนันใช้ผ้าขาวม้า  สะบัดไปมาไล่ความร้อน

   “. . . แต่อย่างว่าแหละ มันยังไม่มีคนที่จะอบรมจริงจังสักที เลยได้แต่ทดลองที่แปลงหลังบ้านไปก่อน  ทีนี้พอผักในไร่หลังบ้านลุงมันงอกงาม  เขาเริ่มมาถามหาสูตรกันอยู่  ไอ้ลุงมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรมาก  ต้องรอเจ้าแดนกับเพื่อน ๆ  มาช่วย  แต่ก็นั่นอีกแหละพ่อหนุ่มเอ้ย   มันยังเรียนอยู่  มาได้เวลาว่างเท่านั้น  พวกหนุ่ม ๆ  ไฟแรงทั้งนั้น  ดี  ดี  ช่วยกันคนละไม้คนละมือ  อย่าให้ไฟที่จะกระทำความดีมันมอดเร็วนักล่ะ  บ้านเมืองยังต้องการคนที่ทำงานเอาจริงเอาจังไม่เหยาะแหยะ”

   ลุงกำนันหยิบขันน้ำมาดื่มแก้กระหาย 

   บอยมันแอบมองนัทด้วยสายตาที่ชื่นชม . . . 

   . . . มันเห็นความรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ในตัวนัท  แม้นัทจะเรียนวิศวะ  แต่นัทมันยังรู้สึกว่าชนกลุ่มใหญ่ของประเทศยังคงยากจนอยู่

   จะด้วยนโยบายของรัฐ . . . 

   . . . หรืออะไรก็แล้วแต่ 

   คนส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกรยังลำบากยากจนอยู่ดี  แม้เวลาจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม  แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศล้วนแต่มุ่งไปที่ภาคอุตสาหกรรมแทบทั้งสิ้น จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วบ้านเราเป็นสังคมเกษตรกรรม 

   ไม่ใช่ . . .

   . . .   “ทุนนิยม”

   แต่ . . .

   ตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่านโยบายของประเทศเริ่มผิด  ก็ต่อเมื่อระบบเศรษฐกิจที่เราพยายามจะเปิดเสรีมันล่มสลาย  การเปิดเสรีทางการเงินในสมัยรัฐมนตรีคลังที่เป็นชาวเชียงใหม่  มันย้อนกลับมาทำร้ายคนทั้งประเทศเพราะเพียงแค่พ่อมดทางการเงินจอร์ส โซรอส  ทุ่มเงินมาปั่นตลาดหุ้นบ้านเราไม่เท่าไหร่  ฟองสบู่ก็แตกดังโป๊ะ  จนนายกที่ประกาศตนว่าจะกระโดดแม่น้ำโขงตายถ้าทำให้คนไทยหายจากความจนไม่ได้ต้องแสดงสปิริตโดยการ . . .

   . . .   “ลาออก”

   “ตอนนี้ทางผมมีทั้งสูตรปุ๋ยน้ำชีวภาพ  และปุ๋ยดินชีวภาพนะครับ  แล้วอีกสามสี่วันทางคณะเกษตรจะส่งคนมาอบรมเรื่องการเพาะเห็ด  เพื่อจะจะเป็นรายได้เสริมสำหรับคนที่ตกงานกลับมาบ้านนะครับ  ทางพวกผมเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ”  บอยเสริมขึ้นมา

   “เออดี  ลุงเองก็ขอไปทางเกษตรจังหวัด วันก่อนพัฒนากรอำเภอก็มาดู  เขาบอกจะช่วยโน่นช่วยนี่กับพวกแรงงานคืนถิ่น  บ้านเราตอนนี้ก็มีหลายคนที่กลับมาเพราะโรงงานปิด  เขายังไม่รู้กันด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรกันต่อดี  ได้แต่ช่วยงานเล็ก ๆ  น้อย ๆ  ที่พ่อแม่ทำไว้นั่นแหละ  ลุงเองก็ห่วงอยู่  ถ้าเศรษฐกิจบ้านเรายังแย่  ยังไม่รู้จะมีพวกแรงงานคืนถิ่นกลับมาอีกมากเท่าใด  แต่นั่นแหละรู้กันทั้งนั้นขืนเรารอระบบราชการมีหวังอดตายกันแน่  ก็ระบบราชการบ้านเรามันพิกลพิการ  คนที่ทำเหมือนไม่เต็มใจ  ทางบ้านเรายังดีที่มีในหลวงมาสร้างโครงการหลวง  บ้านเราดินดำน้ำชุ่ม  แต่ทางอีสานสิแย่ดินทรายแห้งแล้งทั้งนั้น”  กำนันยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อเอ่ยถึงศูนย์รวมของชาวไทย

   เราโชคดีที่มีกษัตริย์นักพัฒนา . . . . 

   . . . พระองค์ไม่เคยหยุดนิ่งและดูดายราษฏร 

   แม้พระชนม์มายุจะมากขึ้น  แต่พระองค์ยังทรงงานตรากตรำ  สารพัดโครงการที่พระองค์ดำริขึ้นมาเพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฏร์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น

   คนไทยโชคดีที่สุดในโลกที่มีกษัตริย์ที่รักประชาชนอย่างเต็มเปี่ยม

   แล้วเราเคยคิดที่จะทำประโยชน์ใดถวายตอบแทนพระองค์ท่านบ้าง?

   “คือตอนนี้นะครับ  ผมว่าเราช่วยกันได้ก็ช่วย ๆ  กันก่อน  คนที่เขากลับมา  เขาก็คิดมากเรื่องงาน  เรื่องเงิน  ส่วนผลผลิตที่จะได้นี่  ผมคุยกับเจ้าหน้าที่โครงการหลวงไว้แล้วนะครับ  ทางโน้นยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่  จะรับซื้อสินค้าด้วยนะครับ  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องปลูกแบบไร้สารพิษเท่านั้น”  นัทบอกรายละเอียดเพิ่มเติม

   เขาไม่ใช่แค่เสนอ . . . 

   แต่ . . .

   นัทมันยังวางแผนไปถึงอนาคต  มันอยากช่วยด้วยหัวใจที่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ชาติเดียวกันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

   นัทรู้ . . .

   . . .  ถ้าผลิต 

   แต่ไม่มีตลาดมันก็แย่  นอกจากจะส่งเสริมการผลิตแล้วยังต้องมีการหาตลาดรองรับด้วย  ใช่แต่ว่าส่งเสริมการผลิต  แต่ไม่มีตลาดเราก็ไม่รู้ว่าจะผลิตไปขายใครที่ไหน

   “ลุงดีใจพ่อหนุ่ม  อย่างน้อยลุงก็รู้ว่านักศึกษาสมัยใหม่ยังสนใจความเป็นอยู่ของคนบ้านนอกอยู่บ้าง  ไม่เหมือนพวก สส.  ที่จะเห็นหน้าก็โน่นตอนจะเลือกตั้ง  มาถึงก็ไหว้ไปทั่วทุกทิศ  แต่พอเดินเข้าสภาลืมคนที่ให้เขาเข้าไปหมดสิ้น  เมื่อไหร่นักการเมืองบ้านเราจะเห็นแก่ประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวเสียทีก็ไม่รู้”  ลุงกำนันบ่นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

   “ครับลุง  ผมกับเพื่อน ๆ  ก็แค่ตัวจักรเล็ก ๆ  ในสังคมเท่านั้นแหละครับ  ได้แต่หวังไว้ว่าสักวันนึง เราจะได้คนที่เข้ามาปกครองด้วยหัวใจที่อยากช่วยเหลือประชาชนจริง ๆ  ไม่ใช่อ้างประชาชนแต่หาประโยชน์เข้าพกเข้าห่อ”

   บอยมันไม่เคยมองภาพสังคมกว้าง ๆ . . . 

   มันรู้แค่เพียงหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น  การที่ตามนัทมา  ทำให้บอยมันรู้  ในประเทศของเรายังมีคนอีกมากที่ยังลำบากตรากตรำ  คนส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับค่านิยมยกย่องคนมีเงิน

   “ขอบใจพ่อหนุ่มขอบใจ  เอาอย่างงี้นะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้วันพระ  คนส่วนมากจะไปวัดกัน  พ่อหนุ่มไปที่วัดด้วยกันนะ  ลุงจะได้ให้พ่อหนุ่มคุยเรื่องนี้กับพวกชาวบ้านกัน  เพราะมีหลายคนที่เขาเข้ามาขอเรื่องนี้กับลุง  แต่ลุงมันยังทำอะไรไม่ได้มาก”  ลุงกำนันตบที่ขานัทเบา ๆ

   นัทมันหันมายิ้ม กับบอย

   งานของมันง่ายมากยิ่งขึ้นเมื่อผู้นำหมู่บ้านเห็นด้วย  อย่างน้อยคนในชนบทส่วนใหญ่  ยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก  การชักจูงให้คล้อยตาม  จะมาจากผู้นำแทบทั้งสิ้น  ที่ใดได้ผู้นำดี  ก็นับเป็นบุญของชาวบ้าน 

   แต่ในทางกลับกัน

   . . . ถ้าที่ใดผู้นำเห็นแก่ตัวแล้ว  ชาวบ้านจะเดือดร้อนไม่รู้จักจบจักสิ้น

   ลุงกำนันแม้จะเป็นผู้นำหมู่บ้าน  แต่ไม่ถือตัว  สิ่งใดที่จะเกิดประโยชน์แก่ลูกบ้าน  ลุงกำนันไม่เคยปฏิเสธ 

   นัทมันยิ้ม . . . 

   . . . หัวใจมันพองโต  อย่างน้อยในยามที่บ้านเมืองประสบปัญหารุมเร้า  ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ  คนไทยแม้จะต่างเชื้อชาติ  ต่างศาสนาแต่เมื่อถึงเวลาคับขัน  ชาวไทยพร้อมจะหันหน้าเข้าหากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความเต็มใจ



   บอยมันเฝ้าคิดถึงเรื่องที่นัทคุยกับกำนันเกือบทั้งวัน  มันตั้งใจแน่วแน่  สิ่งที่มันเรียนมาคงพอช่วยเหลือชาวบ้านได้มาก  น้ำชีวภาพ  กับปุ๋ยสูตรต่าง ๆ  ที่มันเคยทำในแลป  บอยมันเอาสูตรตำราที่มันจดมาอ่านทวนดูคร่าว ๆ  อีกครั้ง  มันรู้  ในห้องเรียนกับชีวิตจริงมันแตกต่างกัน  ก็ คงเหมือนกับที่นัทบอก

   ในแลปผิดเราก็แก้ . . .

   . . .  แต่

   ชีวิตชาวบ้านแก้ไม่ได้

   . . . ชีวิตในมหาวิทยาลัยมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ 

   แต่ . . .

   . . . มหาวิทยาลัยชีวิตไม่มีวันหยุด

   การหยุดหมายถึงรายได้ที่จะหยุดตาม  รายได้ที่หดหายหมายถึงรายจ่ายที่ต้องจ่ายไปกับค่ากับข้าว  ค่าน้ำค่าไฟของวันนั้นด้วย  เพราะฉะนั้น ความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่มีวันหยุดแบบนักศึกษา

   เรื่องความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  การทำอะไรผิดพลาดไปนั่นย่อมหมายถึงการหมดความเชื่อถือ  และหมดกำลังใจ  ในช่วงเวลาที่สภาพบ้านเมืองประสบปัญหาเช่นนี้  ถ้าทำให้ชาวบ้านยิ่งหมดกำลังใจจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้นไปอีก  บอยมันรวบรวมสติ  คิดแต่งานที่มันต้องทำ  งานที่นัทมันฝันเอาไว้  มันจะต้องทำความฝันของนัทให้เป็นจริงให้ได้

   มันลืมเรื่องที่มันเศร้าใจเพราะนัทเสียสนิท  เมื่อนึกถึงคนอีกหลายคนที่จะได้ประโยชน์จากสิ่งที่มันกำลังจะทำ

   เสียงเพลงจากเครื่องขยายเสียงที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน ลอยมากระทบหูมันเป็นระยะ  ใกล้เย็นแล้วพวกเด็กจากเทคโนตีนดอยเอาเครื่องขยายเสียงที่มาจากวัดติดตั้ง  แล้วเปิดเพลงจังหวะคึกคัก  บอยมันนั่งอยู่ที่ม้าหินทางหน้าประตูโรงเรียน 

   ชาวบ้านทยอยกันมาในมือหอบหิ้วปิ่นโตอาหาร . . .   

   . . . ตามาแบกกล้วยมาเครือใหญ่ 

   ลุงสนเอาแตงแคนตาลูปใส่รถเข็นมาเข่งเบ่อเร่อ 

   แม้แต่ . . เถ้าแก่ฮวดที่เค็มแบบเกลือเรียกพ่อ ยังมีน้ำใจเอาน้ำอัดลมกับน้ำแข็งมาเลี้ยงพวกนักศึกษาที่มาช่วยงานสร้างห้องสมุด

   บอยมันอดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้  ภาพที่บอยมันไม่ชินตามากนัก  ชาวบ้านไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือร่ำรวย ต่างแสดงความมีน้ำจิตน้ำใจมารับขวัญนักศึกษาที่เปรียบเสมือนลูกหลาน  หัวใจมันตืบตันเพราะคาดไม่ถึง  ในหมู่บ้านเล็ก ๆ  ที่ห่างไกลความเจริญแบบแม่นะยังคงมีความรักให้กับทุก ๆ  คนอย่างเหลือเฟือ  กลิ่นอาหารที่แม่ครัวเอกประจำหมู่บ้านปรุงหอมฟุ้งกำจายไปทั่วบริเวณงาน

   สังคมเล็ก ๆ  ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยคำสั้น ๆ 

   . . . น้ำใจ

   “หวัดดีครับ  ไม่เข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนเหรอครับ”  บอยมันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงเอ่ยทัก   

   คนตัวโตยิ้มกว้าง . . . 

   บอยมันจำได้  คนเดียวกับที่ชวนมันเดินลงมาจากลำห้วย  คนเดียวกันกับที่ยิ้มให้มันที่บ้านผู้ใหญ่เมื่อเช้า  บอยยิ้มให้เพราะเริ่มคุ้นเคย

   “ก็กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ  นิดหน่อยนะครับ  ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างผมกับนายใครจะอายุมากกว่ากัน ผม  ๑๙  แล้วครับ”  บอยยิ้ม

   “งั้นพี่คงเรียกเราว่าน้องบอยแล้วล่ะ  เพราะพี่ ๒๑  แล้ว  เมื่อเช้าเห็นแวบ ๆ  ที่บ้านพ่อแดนมัน  เห็นว่าจะมาช่วยกันทำปุ๋ยหมักชีวภาพเหรอครับ”    คนตัวโตยิ้มพลางถือวิสาสะนั่งลงใกล้ ๆ  มัน

   “ก็ใช่ครับ  พอดีได้เมล็ดพันธุ์ที่ทางคณะปรับปรุงให้กับโครงการหลวงมานะครับ  แล้วทางโครงการหลวงก็ยินดีที่จะสนับสนุนด้วย  เลยเอาไปเรียนปรึกษาลุงกำนันดู  พี่ต้นเรียนที่ตีนดอยเหรอครับ”  บอยมันเริ่มคุ้น  มันเริ่มคุยกับเพื่อนใหม่ต่างวัยมากขึ้น

   “ใช่ครับผม  เรียนไฟฟ้าครับ  น้องบอยเรียนไรครับ”

   “วิดยาครับ” 

   “อืมดีนะ  เรียนวิดยา  คงมีสูตรดี ๆ  เยอะนะครับ  ชาวบ้านที่นี่ใจดี  แต่รายได้น้อย  พี่รู้จักกับแดนมันนานแล้วล่ะ มากันทุกปิดเทอม  คราวนี้ทางเฌองดอยประสานงานไปจะทำฝายแม้ว  เลยระดมพลกันมาช่วยก็สนุกดี  ได้รสชาติชีวิตอีกแบบ”

   “งั้นพี่ต้นก็ออกค่ายบ่อยสิครับ” 

   บอยมันถาม  มันไม่ได้สนใจอะไรมากมายกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามัน  เพียงแต่บอยมันอยากมีเพื่อนคุยมากกว่า

   บอยมันแค่อยากให้มันไม่มีเวลาว่าง . . . 

   . . . มันอยากให้ทุก ๆ  เวลาของมันมีแต่งาน  มันรู้  ถ้ามันว่างมันอาจเผลอคิดไปถึงเรื่องนั้นอีก  มันไม่กลัวเจ็บหรอก  เพราะมันเจ็บเสียจนชิน  มันไม่กลัวช้ำเพราะมันช้ำจนถึงที่สุดแล้ว  มันไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้วนอกจาก

   บอยกลัวว่านัทจะรู้ว่ามันรักนัทเกินกว่าเพื่อน

   ให้มันตายเสียตอนนี้ดีกว่าที่จะให้นัทต้องเดินหันหลังให้มัน 

   “บ่อยนะ  บางทีไม่อยากกลับบ้านก็ออกมาตามบ้านเพื่อน  บางครั้งก็ไปบนดอยไกล ๆ เดินข้ามเขาไปสี่ห้าลูก ไปสอนหนังสือชาวเขาชาวดอย  ไปกับพวกสอนศาสนา หรือไม่ก็กับพวกค่ายอาสาต่าง ๆ  สนุกดี  บอยละ  ออกค่ายบ่อยมั้ย”   ต้นเล่าเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ

   บอยมองคนที่นั่งใกล้ ๆ  มัน

   คน ๆ  นี้จะเป็นใครมันไม่รู้

   แต่มันรู้  โลกของเขาผาดโผนดี  ขาใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้ม  ถ้าเทียบกับอายุที่ห่างจากบอยไม่เท่าไหร่ มันเสียอีก  ที่ยังไม่เคยออกไปสร้างประโยชน์ให้สังคมเลย  งานนี้ถือว่าเป็นงานแรกของมันเลยก็ว่าได้

   “ครั้งแรกในชีวิตเลยพี่”  มันยิ้มตาหยี

   ปกติมันก็หยีอยู่แล้วแต่ยิ่งมันยิ้มดวงตารี ๆ  ของมันคล้ายปิดสนิท

   “บอยนัทตามหาบอยอยู่แน่ะ เห็นว่าอยากคุยเรื่องที่จะไปที่วัดพรุ่งนี้”  เมย์เดินมาบอกบอยใกล้ ๆ 

   บอยหันไปส่งสัญญาณรับทราบ

   “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่ไว้คุยกันใหม่นะครับ”  บอยหันมายิ้ม  ก่อนจะเดินไปกับเมย์



RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #33 เมื่อ29-06-2009 00:45:32 »



ตอนที่ ๗

   . . . การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ  สำคัญที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน  แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า  อุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง . . .


   แนวพระราชดำริล้ำค่าอันหาที่เปรียบมิได้นี้ . . .



   . . . พระราชทานมาในช่วงเวลาอันเหมาะเจาะยิ่งนัก  

   นัทมันเชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทุกคนควรจะหันกลับมามองเรื่องชีวิตที่พอเพียงอย่างจริงจังเสียที  เพราะวันนี้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติทรุดหนักลง  และมันกำลังส่งผลไปยังทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องทั้งสังคมเมืองและสังคมชนบท

   “กระแสโลกาภิวัตร”  

   ที่มุ่งทางภาคการผลิตและบริโภคอย่างบ้าคลั่ง  หลาย ๆ  ชุมชนรับเอากระแสโลกเข้ามาแบบไม่เคยไตร่ตรอง  ทดสอบ  หรือแม้แต่จะค้นหาขีดระดับความสามารถที่เหมาะสมทางการแข่งขันของตัวเอง  ทุกคนเปิดรับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่โถมเข้ามาราวน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้าน เรือกสวนไร่นา  พัดพาเอาชีวิตและจิตใจไปสู่วังวนของความอยากได้อยากมี  ที่ได้มาอย่างง่าย ๆ  ในช่วงแรก ๆ  จวบจนกระทั่ง  ความแรงนั้นมันย้อนมาทำลายแบบขุดรากถอนโคนเลยทีเดียว   

   ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ . . .

   . . . ภาครัฐขยับนโยบายเร่งเพื่อจะปรับตัวเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย  

   กระแสการตั้งโรงงานเพื่อผลิตโน้นผลิตนี้มากมาย  บางคนขายที่นา  ที่สวนได้เป็นล้าน ๆ   ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์และที่ดินได้รับการสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก  หลายคนแอบหวังจะรวยจากการตั้งโรงงาน  แล้วพอมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้  โรงงานก็ต้องปิด  เงินก็หมดจากการลงทุน  ที่ดินเรือกสวนไร่นาก็หมดไปแล้วกับการลงทุนตั้งโรงงาน  ธุรกิจต่าง ๆ  พาลล้มกระทบกันเป็นโดมิโน่   เพียงเพราะเราไม่รู้จักพอนั่นเอง

   สองหนุ่มคลานเข่าไปตามพื้นศาลา . . .  

   เมื่อลุงกำนันพยักหน้าบอกสัญญาณ  หลังจากที่หลวงตาก้อง  ได้ให้ศีลให้พรจบแล้ว  หลายคนที่สองคนเห็นเมื่อคืนยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร    ในวันพระ  ชาวบ้านต่างมาชุมนุมกันที่วัด  สถานที่เปรียบเสมือนแหล่งรวมศูนย์กลางทางจิตใจของผู้คนที่นี่

   “เอ้า ๆ  เงียบ ๆ  กันหน่อยญาติโยมทั้งหลาย”  หลวงตาก้องเอ่ยออกมา  ทำให้ผู้คนที่จับเข่าคุยกัน  รีบหันมาทางหลวงตา

   “เออ  เงียบ ๆ  แบบนี้ค่อยดีหน่อย  เอ้าไอ้ดวงมีอะไรว่าไป”  หลวงตาหันมาทางกำนัน

   กำนันดวงขยับผ้าขาวม้าที่คาดเอวนิดนึงก่อนจะเอ่ยกับลูกบ้าน

   “พ่อแม่พี่น้อง  คือยังงี้  ตอนนี้เราก็รู้ว่าพวกนักศึกษาเขามากันช่วยสร้างห้องสมุดให้ลูกหลานบ้านเรา    แล้วทีนี้  เขาก็มีเมล็ดพันธุ์  กับปุ๋ยชีวภาพที่ไม่เป็นอันตรายต่อสภาพของดินและไม่มีผลตกค้างกับพืชผล  เหมือนที่ไอ้แดนมันลองทำที่บ้านข้านั่นแหละ  ข้าเห็นว่ามันมีประโยชน์กับบ้านเรา  ใครสนใจอยากจะอบรมเรื่องการปลูกพืชตามแผนเกษตรทฤษฏีใหม่  ข้าก็อยากให้เรามาลงชื่อกันไว้  เพราะทางค่ายอาสาเขาจะมีทั้งเมล็ดพันธุ์และการทำปุ๋ยหมัก  เอางี้  รายละเอียดนี่  ข้าให้พ่อหนุ่มสองคนที่บอกแล้วกัน”  

   สิ้นเสียงของกำนันดวง . . .  

   บางคนหันหน้าเข้าหากัน  เสียงซุบซิบดังกันทั่วไปทั้งบริเวณศาลา  จนหลวงตาบัวต้องเอาไม้ตะพดเคาะกับพื้นไม้นั่นแหละ  กลุ่มคนถึงได้เงียบ

   “ฟังกันก่อนสิวะ  ลูกหลานมันเรียนกันมา  มันอยากเอามาช่วย  จะฟังมันหน่อยไม่ได้ดอกหรือ”  เสียงปรามจากผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้านทำเอาเสียงในศาลาเริ่มเงียบอีกครั้ง

   บอยมันสะกิดนัทเบา ๆ  ให้ลุกขึ้นอธิบาย

   “สวัสดีครับ  พี่ป้าน้าอา ลุง  ทุกคน  คือทางผมมีเมล็ดพันธุ์ที่ขอปันมาจากคณะเกษตรที่พัฒนาเมล็ดพันธุ์มาจากโครงการหลวงนะครับ  แล้วยังมีสูตรปุ๋ยชีวภาพด้วยนะครับ”

   “แล้วไอ้ปุ๋ยชีวภาพมันดียังไงรึพ่อหนุ่ม  มันดีกว่าปุ๋ยที่ร้านเถ้าเส็งในตัวอำเภออย่างไรรึ”  ตาสา  ยกมือขึ้นถาม  

   เพราะแกไม่คุ้นกับชื่อ . . .  

   . . . แกรู้จักแค่ปุ๋ยสูตรตัวเลขเท่านั้น  

   นัทหันมาทางบอย . . .

   มันประหม่าเล็กน้อย  ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับกลุ่มชาวบ้าน  แล้วค่อย ๆ  ตอบอย่าฉาดฉานเต็มคำ

   “ปุ๋ยหมักชีวภาพ  คือ ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงบำรุงดิน สามารถผลิตได้ง่าย ใช้เวลาน้อย โดยการนำเอาเศษวัสดุเหลือใช้ผสมคลุกเคล้าหมักรวมกับมูลสัตว์ แกลบดำ รำละเอียด คลุมด้วยกระสอบป่าน ใช้เวลาประมาณ ๓ วัน สามารถนำไปใช้ได้ การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ว่าเป็นการหันหลังให้กับการใช้สารเคมี นำสิ่งที่มักจะถูกมองว่าไร้ค่ามาสร้างมูลค่าช่วยทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้นได้ และเป็นการใช้ธรรมชาติดูแลรักษาธรรมชาตินะครับ”

   “โอ้ย  แล้วถ้ามันดีจริงทำไมคนเขาไม่ทำกันใช้ละพ่อหนุ่ม  เขายังไปซื้อปุ๋ยกันที่ร้านเถ้าแก่เส็งกันโครม ๆ  แถมยังใช้ง่าย  แค่หว่าน ๆ  ซัด ๆ  ไปก็ได้แล้ว  เอาปุ๋ยมาใช้ก่อนพอเก็บผลผลิตค่อยไปจ่าย”  ยายแช่ม  ตะโกนมาจากด้านหลัง

   นัทกับบอยมองสบตา . . .  

   มันเริ่มมองเห็นกับปัญหาที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย  ความคิดและความเชื่อของชาวบ้านนี่แหละคืออุปสรรคด่านใหญ่  จะทำอย่างไรให้ชาวบ้านเปลี่ยนแนวความคิด

   “แล้วไงล่ะยายแช่ม  ไอ้ดอกเบี้ยที่ไปเชื่อปุ๋ยร้านเถ้าแก่เส็งมันงามยิ่งกว่าเห็ดหน้าฝนมั้ยล่ะ  เราทำมากี่ปียังไม่รวยเลย  แค่ไอ้เถ้าแก่มันให้เชื่อปุ๋ยไม่กี่ปี  มันขยายร้านรวงเสียใหญ่โต  ดอกเบี้ยกับเงินเชื่อนะมันโตเร็วนะยายแช่ม”  

   เสียงกำนันตะโกนดักคอขึ้นมา  เมื่อเห็นว่าเริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อย ๆ บนศาลาวัด

   หลวงตาก้องยิ้มพยักหน้าช้า ๆ

   “แหมพ่อกำนัน  ชั้นก็แค่อยากให้มันติดผลดี  จะขายได้ราคาดี”  ยายแช่มเสียงเริ่มอ่อนล้าลง

   “ผมไม่เถียงนะครับว่าปุ๋ยเคมี ให้ผลดีในระยะเวลาสั้น  แต่ในระยะยาวนั้น  ปุ๋ยเคมีจะมีผลต่อดิน  เพราะปุ๋ยเคมีจะฆ่าจุลินทรีย์ที่อยู่ในดิน  ทำให้ดินแข็ง  และดินเสื่อมสภาพเร็วขึ้นนะครับ  แต่โครงการที่ผมเสนอให้พ่อแม่พี่น้องนั้นเป็นโครงการเกษตรแบบไร้สารพิษ การทำเกษตรไร้สารพิษอยู่ภายใต้หลักการที่ว่า . . .”  บอยหยุดยิ้มอีกครั้ง

" . . . เลี้ยงดินเพื่อให้ ดินเลี้ยงพืช   และผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือ  มนุษย์  เพราะเราจะต้องไม่กินผัก  ผลไม้ที่ยังมีสารพิษตกค้างอีกต่อไป  มันอาจจะยากสักหน่อยในระยะแรกที่เริ่มทำเพราะความเคยชินกับการใช้ปุ๋ยเคมี  แต่ถ้าเราไม่เริ่มต่อไปข้างหน้า  ถ้าดินมันเสียแล้วจะแก้ไขยากนาครับ”   บอยยกข้อมูลที่ได้ศึกษามาเป็นอย่างดี

   เสียงคนจับกลุ่มแสดงความคิดเห็นกันอีกครั้ง . . .  

. . . เท่าที่บอยมันฟังชาวบ้านเริ่มเห็นคล้อยตามกันมากขึ้น  ก็ปุ๋ยที่ว่าต้นทุนมันต่ำ  แถมยังทำเองใช้เองได้อีก  ไม่ต้องไม่เชื่อเถ้าแก่เส็งที่แม้จะมาส่งถึงไร่  แต่พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตแทบจะไม่มีเงินเหลือไว้ทำอย่างอื่น  ต้องไปจ่ายค่าปุ๋ยค่าดอกที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ

   “เอาล่ะ  ไม่ต้องเถียงกัน  ข้าแค่อยากจะบอกให้พวกที่สนใจเท่านั้น  ใครไม่สนข้าก็ไม่บังคับ  แต่ถ้าใครที่มันเคยเห็นแปลงผักที่หลังบ้านข้าก็จะรู้แหละ  ว่ามันได้ผลขนาดไหน  งานนี้ข้ามาบอกสำหรับคนสนใจเท่านั้น”  กำนันตัดบท

   “เอาก็เอาว่ะ  ลูกหลานมันอุตส่าห์ตั้งใจจริงลองกับมันสักตั้งว่ะ”  ตาสาโผล่งขึ้นมา

   “ชั้นก็เอาด้วยคน เบื่อดอกเบี้ยไอ้เถ้าแก่เส็งเต็มทนแล้ว”  ยายมีที่นั่งคุยกับยายแช่มยกมือด้วยคน

   เท่านั้นแหละ . . .  

   . . . คนโน้นก็เอาด้วย  

   คนนี้ก็เอาด้วย . . .  

   นัทมันหันไปยิ้มกับบอย  เรื่องคนที่จะรับการอบรมมันโล่งใจไปเปราะหนึ่ง  แต่ปัญหามันอยู่ที่  สถานที่และอุปกรณ์ที่จะทำปุ๋ยหมักชีวภาพอีก  บอยมันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ  เมื่อมันเอ่ยกับนัทเบา ๆ  เรื่องนี้  นัทถึงกับสีหน้าไม่สู้ดี  ลำพังวัสดุที่จะเอามาทำปุ๋ยหมักหาได้ไม่ยากหรอก  แต่อุปกรณ์นี่สิ  ปัญหาหนักของมัน

   “ว่าไงว่ะไอ้หนุ่ม  ทำสีหน้าเหมือนมีอะไรในใจ”  หลวงตาก้องเอ่ยถามเมื่อเห็นสองคนยืนซุบซิบกัน

   “คือ  สถานที่กับพวกอุปกรณ์บางอย่างนะครับ  ทางพวกผมไม่ได้เตรียมมาขอรับหลวงพ่อ”

   “แล้วมันต้องเอาอะไรมั่งล่ะ”

   “ถังพลาสติกใบใหญ่ ๆ  หรือจะเป็นโอ่งก็ได้ครับ  แล้วถ้าได้สถานที่กว้างสักนิดก็จะดีขอรับหลวงพ่อ”

   “เอา . . . เอา  ไอ้ถังไอ้โอ่งที่วัดมีเยอะแยะ  ส่วนสถานที่ก็ที่ศาลาหลังเก่าใกล้โรงเรียนนั่นล่ะพอใช้ได้มั้ย  อะไรที่พ่อหนุ่มคิดว่ามันดีมันมีประโยชน์ก็เอาไปใช้เหอะ  อาตมาไม่หวงหรอก  ขอชาวบ้านกินมามากแล้ว  ถึงเวลาตอบแทนคืนให้ชาวบ้านมั่งก็ดี”  หลวงตาก้องยิ้ม

   บอยกับนัทมันก้มลงกราบ

   พระแบบนี้สิมันกราบได้อย่างสนิทใจ . . .  

   . . . พระที่อยู่กับชาวบ้าน  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  ไม่ใช่หลงยึดติดกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่  อยากได้โบสถ์ใหญ่  วิหารใหญ่   ขนาดพระศาสดามีทุกสิ่งทุกอย่าง  มีวัง ๓ ฤดู  แต่พระองค์กลับละทิ้งเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์  

   แต่ . . .

   แปลกจัง พระในสมัยนี้กลับเดินในทางตรงกันข้าม

   “แล้วทางกระผมอยากขอรบกวนหลวงพ่ออีกอย่างขอรับ”  นัทมันพนมมือแต้

   “มีอะไรว่ามาเลยพ่อหนุ่ม”

   “คืออีกสองสามวันที่คณะเกษตรจะมาอบรม  และสอนให้ชาวบ้านเพาะเห็ดนะครับ  มีทั้งเห็ดนางฟ้า  เห็ดฟาง  และเห็ดหอมครับ  คือทางพวกผมเห็นว่ามีคนที่หมู่บ้านเราหลายคนตกงานมาจากกรุงเทพฯ  อยากให้เขาเหล่านั้นได้มีอาชีพเสริมเล็ก ๆ  น้อย ๆ ไปก่อนระหว่างที่ยังหางานใหม่ไม่ได้นะขอรับ  เลยอยากขอที่วัดสักเล็กน้อยเพื่อสร้างเป็นโรงสาธิตนะขอรับ  เพราะเห็ดพวกนี้มีระยะเวลาเก็บเกี่ยวไม่นานนะขอรับ  เขาจะได้เก็บขายกันได้”

   หลวงตาก้องตบเข่าฉาด

   “เออ . . .  เข้าท่าว่ะ  ดี  ดี  เศรษฐกิจมันตกสะเด็ดแบบนี้ต้องช่วย ๆ  กันคนละไม้คนละมือ  อย่ามัวแต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรของตัวเอง  เอาเลยไอ้หนุ่ม  เอาเลยข้าสนับสนุนเต็มที่  ไอ้ที่ทางมันยังเหลืออีกเยอะ  แถว ๆ  หลังวัดนี่ก็ได้  ส่วนพวกโรงเรินโรงเรือนอะไรนั่นก็  เสาไม้เศษฝาโลงเยอะเยอะไปเอามาใช้เหอะ”

   ชาวบ้านหัวเราะกันทั้งศาลา

   “ไม่ไหวล่ะมั้งหลวงตา  ประเดี๋ยวพวกที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองจะจับไข้หัวโกร๋นกันหมด  ไม่ทันได้เห็นผลผลิตกันพอดี”  กำนันดวงยิ้มขัน ๆ

   หลวงตาก้องยิ้มอย่างเมตตา  

   “เอา ๆ  จะเริ่มกันวันไหนก็เอาไอ้ดวง เอ็งนั่นแหละนัดวันกันมา  พาพวกที่กลับมาจากพิษเศรษฐกิจมาให้ข้ารดน้ำมนต์  ชาวบ้านเดือดร้อนกันขนาดนี้จะให้ข้านั่งสวดมนต์อยู่แต่ในโบสถ์ในกุฏิข้าทำไม่ได้ว่ะ  หรือจะให้นั่งมาคิดเรื่องผ้าป่า กฐินข้าก็ไม่เอา  อาบัติเป็นอาบัติสิวะ  เอาเลยไอ้หนุ่ม  งานนี้ข้าช่วยเต็มที่”

   นัทอมยิ้ม  . . .

   มันก้มลงกราบหลวงตาก้องอีกครั้ง  ศรัทธาในพุทธศาสนาที่คลานแคลงมาจากในเมือง  กลับเริ่มสว่างอีกครั้งในหัวใจ เมื่อเจอหลวงตาก้อง



   บอยมันลืมเรื่องหัวใจเสียสนิท  เพราะมันต้องเตรียมงานจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น  หลังจากที่ได้ไฟเขียวมาจากหลวงตาก้องมันก็มุทำงาน  ประชุม  แบ่งกลุ่มชาวบ้านออกเป็นกลุ่ม ๆ  มันนัดแนะชาวบ้านให้หาเอาเศษวัสดุเหลือใช้ที่จะนำมาเป็นปุ๋ยหมัก  กำนันให้ชาวบ้านช่วยกันยกกระดานดำมาที่โรงเรือนหลังเก่า  เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการ

   “นัท  ทำไมนัทไม่ช่วยบอยมันบ้างล่ะ  ปล่อยให้บอยทำคนเดียวอยู่ได้”  เมย์เอ่ยกับนัทหลังจากที่เห็นว่า บอยมันมุงานจนบางครั้งมันลืมแม้กระทั่งมากินข้าวกับเพื่อน ๆ   เมย์เอาน้ำเย็นมาส่งให้บอย  ก่อนเดินกลัมายืนคุยกับนัท

   “ใครบอกเมย์นัทไม่ช่วย  นี่เราแบ่งงานกันไง  เรื่องทำปุ๋ยนัทไม่รู้สักแอะเลย  ต้องบอยมัน  บอยมันรู้ดี  มันเด็กวิดยานะเมย์  ใช่มั้ยบอย”    นัทยิ้มอย่างเคย  ก่อนหันไปพยักเพยิดกับบอย

   บอยมันพยักหน้าตอบ

   “จ้า  แหมช่างคิดโครงการ  แต่ไม่ลงมือช่วยเลย”

   “ใครบอกล่ะ  นัทช่วยนะ  ช่วยมากกว่าใครทั้งหมดที่มาด้วยกันอีก  นี่ไง  ที่บอยมันจดให้นัทไปเตรียมมา”  นัทมันงัดเอาหลักฐานเป็นแผ่นกระดาษที่มีรายการยาวเป็นหางว่าว

   “แล้วหาได้ครบยังล่ะ”

   นัทส่ายหน้าช้า ๆ  

   “ยังเลย  ยังไม่ครบ  อยากเห็นหน้าเมย์  ไม่เห็นหน้าแล้วหมดเรี่ยวแรงที่จะทำอะไร  เมย์ก็ใจดำไม่แวะมาให้ดูหน้าบ้างเลย  นัทจะได้มีกำลังใจทำงาน”

   คำหวานจากปากนัททำเอาเมย์อายหน้าแดง . . .

   . . . ก้มหน้าหงุด  

   นัทมันยิ้มกับท่าทางเอียงอายของเมย์  แค่รอยยิ้มบาง  ๆ  จากคนที่มันรัก หัวใจนัทมันก็พองโตแล้ว  มันเหมือนต้นไม้ที่ได้น้ำพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้ไปอีกครั้ง

   บอยมันมองภาพนั้นด้วยหัวใจเหงา ๆ

   . . . มันแบนหน้าหนี  

   ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป  แดดยามเที่ยงร้อนระอุ  แต่มันจะร้อนเท่าหัวใจบอยในตอนนี้หรือปล่าวไม่รู้  บอยมันเฝ้าถามตัวเอง  ทำไมมันดึงตัวเองออกมาที่จุดนั้นไม่ได้  จุดที่ความสัมพันธ์มันมีแค่คำว่า . . .

   . . . เพื่อน

   มันอยากจะคิด  แต่มันไม่มีเวลาคิด เพราะชาวบ้านกำลังรอมันอยู่  หลายคนกระตื้อรือร้นที่จะเรียนรู้งานจากมัน  มันจะไม่ปล่อยให้หัวใจตัวเองเรียกร้องนานนัก  เพราะความต้องการของชาวบ้านย่อมมาก่อน  ชาวบ้านอีกหลายคนที่เดือดร้อน  และต้องการความช่วยเหลือ  ต้องการเรียนรู้เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในปัจจุบัน  บอยเดินไปที่ศาลาที่ชาวบ้านรออยู่ก่อนแล้ว

   “หวัดดีครับพี่ ๆ  น้า ๆ  ทุกท่าน”  บอยมันยกมือไหว้  หลายคนมันเริ่มรู้จักแล้ว  แต่อีกหลายคนเหมือนกันที่มันยังแปลกหน้า

   “ว่าไงครับตาสา  วันนี้พาใครมาด้วยครับ”  บอยหันไปทักตาสาที่วันนี้มาพร้อมกับหนุ่มใหญ่  น่าจะแก่กว่ามันหลายปี

   “อ๋อ  ลูกชายนะ  ชื่อสมชายพอดีเห็นว่าบริษัททมันเลย์ออฟ เลย์เอ้าน์อะไรนี่แหละ  มันบอกอยากมาเรียนรู้ด้วยคน”

   “หวัดดีครับพี่สมชาย”  

   บอยยกมือไหว้  มันยิ้ม  ชายต่างวัยมองมันด้วยแววตาที่มันเองก็บอกไม่ถูก

   มันไม่อยากอ่านสายตาใครหรอก  เพราะมันไม่มีหัวจิตหัวใจจะมองอะไรอีกแล้ว  หน้าที่ของมันคือสานงานให้กับนัท  คนที่มันยอมรับให้เข้ามาเพ่นพ่านและก่อกวนหัวใจมันนั่นแหละ  มันยอมนัทคนเดียว  คนเดียวเท่านั้น  

   “ได้แล้วครับ  ได้ของครบแล้ว”  นัทมันเข็นวัสดุหลาย ๆ  อย่างมายังศาลา    นัทหันมาทางบอยพยักหน้าบอกให้บอยเริ่ม

   “เอาละนะครับ  คราวนี้เริ่มกันเลยนะครับ  ของทั้งหมดนี้  เราจะเอามาทำปุ๋ยหมักชีวภาพกันก่อนนะครับ”  บอยมันชี้ไปที่วัสดุที่กองอยู่ด้านหน้า

   “อันนี้เราเรียกว่า  น้ำสกัดชีวภาพ หรือ น้ำเอนไซม์  อันที่จริงเราทำเองได้นะครับ  เห็นขวดเล็ก ๆ  แบบนี้  เราใช้งานได้นานนะครับ  แล้วต่อไปถ้าหมด  ก็ขอรับได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหรืออาจขอไปทางคณะเกษตรที่มหาวิทยาลัยก็ได้ครับ  ส่วนที่ทางพวกผมเตรียมมาเราจะเก็บไว้ที่บ้านกำนันดวงนะครับ  ใครอยากได้ก็ไปขอแบ่งปันกันได้ครับ”   บอยมันยกขวดขนาดขวดน้ำปลามาส่งต่อให้ชาวบ้านดูกัน  

   ชาวบ้านรับไปดู  พลางจดใส่สมุดที่เตรียมกันมา  

บอยมันยิ้ม  มันเหมือนเป็นครูกำลังสอนนักเรียนอยู่เลย  แต่นักเรียนของมันล้วนแต่แก่กว่ามันแทบทั้งสิ้น  แต่เขาเหล่านั้นกระตื้อรือร้นที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ ๆ

   “ส่วนนี้กากน้ำตาลนะครับ  สองสิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญสำหรับทำปุ๋ยหมักชีวภาพนะครับ  เราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ครับผม”  บอยมันอธิบายช้า ๆ  เพราะมันรู้ชาวบ้านจะรับรู้สิ่งใหม่ ๆ  ได้  แต่ต้องให้เวลาเขาด้วย

   บอยหันไปมองหน้านัท . . .

. . . นัทยกหัวแม่โป้งให้ด้วยมือทั้งสองข้าง

   แค่นี้บอยมันก็มีกำลังใจโขแล้ว  มันแค่เห็นนัทมีรอยยิ้ม  มีความสุขจากสิ่งที่นัททำ  กับสิ่งที่นัทต้องการช่วยเหลือชาวบ้าน  บอยมันเต็มใจจะสร้างฝันให้นัท  ฝันที่มันเองก็ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้มันจะทำแบบนัทได้

   “เรามีเจ้าสองตัวนั้นแล้ว  คราวนี้เรา  มีมูลสัตว์แห้ง  มีแกลบดำ  มีรำละเอียด  มีขี้เลื่อยถ้าเราไม่ใช้ขี้เลื่อยเราอาจใช้ขุยมะพร้ามแทนก็ได้นะครับ  แล้วเราก็มีถึงวิธีทำกันนะครับสำหรับปุ๋ยหมักชีวภาพกันนะครับ”  บอยมันบอก  พลางเดินมาที่กองวัสดุต่าง ๆ  ที่กองอยู่

   ชาวบ้านล้อมวงกันเข้ามามุงดู

   “เราใช้กากน้ำตาล ๑ ขวดนะครับ  แล้วก็น้ำเอ็นไซด์ ๑ ขวด  กับน้ำอีก ๑๐๐ ขวดโดยประมาณนะครับ”  บอยเทส่วนผสมทั้งหมดลงในถังพลาสติกสีดำ

   นัทมันใช้ไม้พายลงไปคนให้ส่วนผสมนั้นเข้ากันดี

   “เราต้องคนให้มันกลายเป็นเนื้อเดียวกันนะครับ  เพราะจะทำให้เวลาที่เราเอาไปรดที่ส่วนผสมอื่นดียิ่งขึ้นนะครับ”   นัทมันบอก  พลางคนส่วนผสมไปมา

   คนที่ล้อมวงกันมา  พยักหน้ารับ

   “เอาละครับ  ทีนี้  ให้ทุกคนที่ได้แบ่งกลุ่มกันแล้ว  ทำขั้นตอนนี้พร้อมกันนะครับ  เพราะเราจะได้รู้ว่า  สิ่งที่เราทำกันนั้นมันจะออกมาได้ผลหรือไม่  แยกย้ายกันนะครับ”  บอยบอก  ก่อนที่ชาวบ้านจะแยกกันไปกลุ่มนึง ๔ คนบ้าง ๕ คนบ้าง

   หลวงตาก้องมายืนมองยิ้ม ๆ . . .    

ไม่มีใครรู้ว่าหลวงตาคิดอะไร  เพราะเห็นหลวงตาหันไปซุบซิบกับกำนันดวงก่อนที่กำนันดวงจะพยักหน้ารับ  แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

   สักพักใหญ่ . . .  

งานแรกที่บอยให้ทำก็เสร็จสมบูรณ์  โดยที่มันกับนัทเดินไปดูตามกลุ่มต่าง ๆ  และคอยแนะนำอย่างใจจดใจจ่อกับงานแรกของพวกเขา

“เอาละครับ  ที่นี่พี่ ๆ  ลุง ๆ  ก็ เอาวัสดุทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากันแบบนี้นะครับ  แล้วค่อย ๆ  ใช้ฝักบัวรดน้ำที่เราผสมให้ชุ่ม  ทำไปทีละชั้นแบบนี้นะครับ  แล้วค่อยเกลี่ยกองปุ๋ยหมักบนพื้นให้หนาประมาณ ๑ ศอก คลุมด้วยกระสอบป่าน  หรือคลุมด้วยแกลบสด หรือฟางก็ได้ครับ เพื่อไม่ให้ถูกแสงแดดประมาณ ๕ วัน ตรวจดูความร้อนในวันที่ ๒ หรือ ๓ ไม่ต้องกลับกองปุ๋ย”

“ตรวจความร้อนแบบไหนเหรอพ่อบอย”  ลุงชมตะโกนถามมา

บอยชูเทอร์โมมิเตอร์ในมือ   “นี่ครับผม  เขาเรียกเทอร์โมมิเตอร์ใช้วัดอุณหภูมิ  อุณหภูมิในการหมักที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง ๔๐ - ๕๐ องศาเซลเซียส ถ้าให้ความชื้นสูงเกินไป จะเกิดความร้อนนานเกินไป ฉะนั้นความชื้นที่ให้พอดีครับผม”

เสียงชาวบ้านขานรับ  พลางรับเทอร์โมมิเตอร์ไปดู

“ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ได้จะประกอบด้วยจุลินทรีย์ สารอินทรีย์ต่าง ๆ ที่มีสารอาหารเหมาะสำหรับพืชนำไปใช้ทันที ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ดีจะมีกลิ่นหอม มีใยสีขาวของเชื้อรา ในระหว่างการหมักถ้าไม่เกิดความร้อนแสดงว่ามีข้อผิดพลาด   เราจะต้องเริ่มทำใหม่นะครับ”  นัทบอกเสริมขึ้นมา

หลายคนทำตามที่บอยบอก . . .  

. . . เสียงหัวเราะ  พูดคุยดังขึ้นพร้อม ๆ  กับลงแรงช่วยกันคนละไม้คนละมือ

“ไอ้สองหนุ่มนี้ไม่เบาเลยนะไอ้ดวง  มีวิธีการให้ชาวบ้านร่วมมือกันทำ  เด็กพวกนี้แหละจะเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติต่อไป”  หลวงตาก้องเปรยกับกำนันเบา ๆ

   “ครับหลวงตา  ผมอดปลื้มใจแทนพ่อแม่เขาไม่ได้จริง “

   “เอาละครับ  คราวนี้เราก็เสร็จปุ๋ยหมักชีวภาพแล้ว  เดี๋ยววันพรุ่งนี้ผมจะสอนการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพอีกอย่าง  อันโน้นใช้เวลาน้อยกว่าอันนี้เยอะเลยครับ  ส่วนปุ๋ยนี้  ให้พี่ ๆ  ช่วยกันผลัดเวรกันมาเช็คอุณหภูมิทุกวันนะครับ ราว ๑๐  วันเราก็เอาปุ๋ยนี้มาใช้ได้แล้วครับ  แล้วที่เหลือเราเก็บใส่ถุงปุ๋ยไว้ใช้ได้เป็นปีเลยแหละครับ”

   “อ้าว  ไม่สอนเลยล่ะพ่อบอย”  ยายแจ่มใจร้อนเรียกเสียงหัวเราะกันครื้นแครง

   “ใจเย็น ๆ  ครับ  เดี๋ยวผมจะขอแรง  พี่ ๆ  ลุง ๆ  ช่วยกันยกร่องผัก เราจะมาปลูกผักสวนครัวกันนะครับ  เพราะมีปุ๋ยน้ำชีวภาพกับปุ๋ยหมักชีวภาพที่ผมขอแบ่งมาจากโครงการหลวง  เราจะได้รู้ว่า  ระหว่างของที่เราขอมากับของที่เราทำเอง  อย่างไหนมันจะได้ผลดีกว่ากัน”  นัทมันหันมาตอบแทน

   มันเริ่มคุ้นเคยกับชาวบ้านมากยิ่งขึ้น . . .  

   . . . งานที่ทั้งหมดร่วมกันทำอยู่ในสายตาของหลวงตาก้องทั้งนั้น  หลวงตาไม่เอ่ยอะไรมากมาย  แค่มายืนดูห่าง ๆ  และเดินมาทักทายกับคนโน้นทีคนนี้ที  ทั้งหมดทั้งสิ้นหลวงตาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองหนุ่ม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2009 00:47:24 โดย ราชบุตร »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #34 เมื่อ30-06-2009 00:43:38 »

มาลงชื่ออ่านไว้ก่อน
ยังอ่านไม่ทันเลย ๆๆๆ
จะรีบตามอ่านน๊า ๆๆ  :L2: :L2:

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #35 เมื่อ30-06-2009 10:37:44 »

เนื้อเรื่องช่วงไปค่ายนี่ จินตนาการตาม เหมือนดูละครเฉลิมพระเกียรติเลยอะครับ ชอบๆ  :L2:

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #36 เมื่อ30-06-2009 14:37:27 »

ยิ่งอ่านยิ่งอยากไปออกค่ายบ้าง แต่ของผมอยากออกค่ายที่ชายแดนใต้
โดนค้านหัวชนฝา  :serius2:

ชอบๆ มาต่ออีกนะครับ เป็นอีกคนที่รออยู่

dokjarn

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #37 เมื่อ06-07-2009 16:22:45 »

 :L2:

คุณราชบุตรครับ

ผมอ่านเรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว

นึกถึงตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย

ได้ออกค่าย ทุกปี ตั้งแต่ปี ๑ ยัน ปี๓

ปี ๔ จบแล้วต้องหางานเลยไม่ได้ ออกไปใหน

บรรยากาศเก่าๆ กลับมาเลยอ่ะครับ

มหาวิทยาลัยสอนแนวคิด ทฤษฏี

การออกค่าย ไปเจอะเจอชาวบ้าน

เป็นการสัมผัส โลกแห่งความเป็นจริง

ที่คนยุคนี้คงต้อง หันมาเอาใจใส่มากขึ้นแล้วล่ะครับ

ชอบที่บอกว่า มหาวิทยาลัยหยุดวันเสาร์ - อาทิตย์

แต่ชีวิต ชาวบ้านไม่มีวันหยุด หยุดทำก็ต้องหยุดกินด้วย

การนำเสนอแนวคิด แบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ

เป็นสิ่งที่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องใส่ใจมากๆ ทำให้มากกว่านี้ ให้จริงจังกว่านี้

ผมชื่นชมการนำเสนอของคุณราชบุตรมาก ๆ

แต่พอเราลงเรื่องยาวๆ หนักไปทางแนวคิดมาก

ดูเหมือนพวกเราในเล้า ไม่ค่อยอ่านไงไม่รู้นะ

ผมยังติดตามอ่านอยู่ตลอดไปนะครับ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ

ที่นำเสนอ

ครับ


 :pig4: :pig4:

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #38 เมื่อ07-07-2009 12:10:54 »


^

^

^

เหมือนคนอ่านจะห่วงเรื่อง "เรตติ้ง"


แต่ . . .

. . . คนเล่าเรื่องแบบผม  ไม่พะวง  ทั้งเรตติ้ง  ทั้งความนิยม  บวก  หรือ ลบ  เพราะมันไม่ได้ทำให้ท้องผมอิ่ม  ไม่ได้มีแรงกระทบใด ๆ  ต่อผมเลยสักนิดเดียว  ตามนี้นะครับ  คนอ่านอย่าห่วงว่าผมจะไม่มีกำลังใจเขียน  เพราะยังไง ก็เขียน 

จบไม่จบ  ค่อยว่ากัน  แต่โดยเนื้อแท้พยายามให้จบทุกเรื่อง  นอกจากว่า  มุขจะตันจริง ๆ  ครับผม

ผมเขียนเพราะอยากเขียน  ไม่ได้เขียนเพราะเรตติ้ง  ใครก็มาชี้นำผมไม่ได้

ในเวลาที่ผมเขียน  ผมมักถามตัวเองเสมอ  เขียนเพื่ออะไรหว่า ?

สำหรับผม . . .

. . .คำตอบอยู่ในใจ  ผมอยากใช้ภาษาเขียนให้สวยงามที่สุด  ผมมักจะเลี่ยงภาษาพูด  มาเป็นภาษาเขียน  เพราะนอกจากมันไม่ทำให้ภาษาสวยงามแล้ว  มันจะค่อย ๆ  ฆ่าภาษาของเราให้ตายลงในที่สุด

ผมห่วงตรงนี้มากกว่า  ห่วงเด็กรุ่นใหม่หลงไปกับกระแส  จนทำลายภาษาโดยไม่รู้ตัว

"คำเมือง" ไพเะราะเสนาะหู

แต่

จะมีสักกี่คนที่เขียนภาษาล้านนาได้ 

ภาษาเขียนล้านนา  ค่อย ๆ ตายไป  ทั้ง ๆ  ที่เป็นภาษาที่สวยงาม  ผมได้แต่วาดหวังเอาไว้  อย่าให้มีประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยวัฒนธรรมทางด้านภาษาอีกเลย  เพราะอย่างน้อยที่สุดผมหวงแหน

ภาษาไทย . . .

. . . จะเหลือแค่ภาษาพูดหรือไม่  อยู่ที่คนไทยทุกคนจะช่วยกันรักษา  หรือ ทำลาย


ผมยืนยัน  และ  ยืนหยัด  ในความตั้งใจเดิมของผม

. . . ทุก ๆ  งานเขียน  จะอนุรักษ์ภาษาเขียนให้ดีที่สุดครับผม . . .

ในหนังตลกดาษดื่น  ยังมีหนังนอกกระแสแบบ . . . นางไม้  ในนิยายที่มีแต่รักใส ๆ  แบบเฟิร์สเลิฟ  ผมขอแหวกระแสด้วยคน  เพราะผมเชื่อว่า

. . . พลุ  ยิ่งขึ้นฟ้าสว่างสวยงาม  แต่ผมขอเป็นดาวดวงเล็ก ๆ  ที่  สว่างทุกค่ำคืน


ผมขอเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากซึมซับอรรถรสในภาษาจริง ๆ เท่านั้นก็เพียงพอ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2009 12:23:03 โดย ราชบุตร »

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #39 เมื่อ07-07-2009 12:32:37 »



ตอนที่ ๘

   แดดสุดท้ายของวันสาดส่องมายังอาคารโรงเพาะชำเห็ด ที่อยู่ริมรั้วระหว่างเขตวัดกับโรงเรียนติดกับอาคารหลังเก่า  ที่บอยเคยใช้เป็นที่อบรมการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ  บอยมันเดินดูโรงเพาะเห็ดที่ตอนนี้เริ่มมีเห็ดตูม ๆ  ออกมาแล้ว  ส่วนนัทกำลังช่วยชาวบ้านแบกปุ๋ยหมักชีวภาพ ที่เสร็จสิ้นกระบนการหมักเรียบร้อยแล้ว  บรรจุในถุงปุ๋ย  ขนมาเรียงไว้เป็นชั้น ๆ  ในอาคารหลังเก่า    ทั้งหมดล้วนเหงื่อโทรมกาย  หากแต่แววตาเท่านั้นที่บ่งบอกว่าพวกเขามีความสุขกับงานที่กำลังทำแข่งกับเวลา


   “กินน้ำกินท่าเสียก่อนเต๊อะ พ่อนัท  บ่อต้องยะแล้วก๋า  ให้พวกอ้ายเขายะกั๋นเน้อ”  ป้าแช่ม  ที่ตอนนี้กลายมาเป็นสมาชิกคนสำคัญของ  “สหกรณ์คนจน”  ที่หลวงตาก้องตั้งขึ้นมา  เอ่ยด้วยสำเนียงคนเมืองพลางส่งขันน้ำใขใหญ่ให้นัท

   “ขอบคุณครับป้าแช่ม”  นัทมันรับขันน้ำจากป้าแช่มมา  พลางยกขึ้นดื่ม

   น้ำในขันเย็นชื่นใจดีเหลือเกิน  มันค่อย ๆ  ดับความกระหาย  ในตัวของนัทได้มากทีเดียว  เขาไม่รู้เหมือนกันว่าไม่ได้ดื่มน้ำมานานแค่ไหนแล้ว  เพราะตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ  เมื่อประชุมกันเสร็จแล้ว  นัทมันก็ง่วนอยู่กับกองปุ๋ยที่ได้จากการหมักครั้งแรกจนลืมหิว  ลืมกระหายไปเสียเลย

   “ยะก๋านยะง๋านเก่งจะอี้  มีลูกสาวจายกฮื้อฟรี ๆ  เน้อ”    ป้าแช่มเอ่ยตามเคย

   นัทมันอายหน้าแดง  มันโดนคนแก่แซวต่อหน้าเสียด้วยสิ  มันแทบวางไม้วางมือไม่ถูก  เพราะชาวบ้านที่มาช่วยกันทำงานต่างขานรีบเป็นเสียงเดียวกัน

   “พ่อบอยอีกคนน๊าแม่แช่ม  ยกให้แต่พ่อนัทเร่อะ”  เสียงตาสาแซวมา  ทำเอากลุ่มชาวบ้านร้องรับกันอีกครั้ง

   “ป้าแช่มแซวผมอีกแล้ว”   นัทอายหน้าก่อนส่งขันคืนป้าแช่ม

   “สหกรณ์คนจน”  เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมาด้วย  เงินจากวัดที่หลวงตาก้องสมทบทุนมาก้อนใหญ่  เมื่อตอนวันที่กำนันดวงนำลูกหลานชาวบ้านที่ตกงานจากกรุงเทพฯ  มากราบ  วันนั้นนัทยังจำได้แม่น  เมื่อฉันท์เพลเรียบร้อยแล้ว  หลวงตาก้อง  ก็ให้ศีลให้พร   

   “ไปอยู่ในเมืองกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย  คราวนี้เจอวิกฤติต้องกลับกันมาตั้งหลักที่บ้าน  เอา...เอา  ไม่มีที่ไหนอุ่นใจเท่าบ้านเราหรอกนะ  พ่อดวงเอ้ย  ที่วันก่อนไอ้สองหนุ่มนี่มันคุยกันเรื่องสหกรณ์นะ  ข้าเห็นด้วยว่ะ  เอางี้  เอานี่ไป”  หลวงตาก้องส่งห่อผ้าห่อใหญ่ไปให้กำนันดวง

   “อะไรขอรับหลวงตา”  กำนันรับห่อผ้าคะม้า ออกมา  แล้ววางกับพื้น

   ชาวบ้านที่นั่งอยู่บนศาลาตีวงล้อมกันเข้ามา  บางคนซุบซิบกันถึงว่าหลวงตาก้องใบ้หวยเลยก็มี        เสียงดังลั่นศาลาไปหมด  จนเมื่อกำนันแกะผ้าดูนั่นแหละ  ถึงเห็นว่า  ข้างในห่อผ้ามีธนบัตร  หลากหลายชนิด  บางฉบับยังอยู่ในซองที่ญาติโยมบริจาคอยู่เลย

   “มันคืออะไรครับหลวงตา”  กำนันดวงยังไม่เข้าใจ

   “อ้าว  ก็เงินก้อนแรกที่จะตั้งสหกรณ์ไงว่ะ  เอาเงินนี้ไปเหอะ  อยู่กับพระอย่างข้ามันก็แค่กระดาษ  สู้เอามาเป็นกองทุนไว้คอยช่วยเหลือพวกที่ยังไม่มีงานจะทำ  ก็เงินที่พวกชาวบ้านทำบุญนั่นแหละ  เงินของพวกเอ็ง  ข้าก็เอามาช่วยเหลือพวกเอ็งยามตกทุกข์ได้ยากกันนี่แหละ”  หลวงตาบัวยิ้มอย่างมีเมตตา

   ชาวบ้านรวมทั้งพวกที่ตกงานมาจากกรุงเทพฯ  ก้มลงกราบ  หลวงตาก้อง  พระแก่ ๆ  ที่ชาวบ้านนับถือกันมานาน . . .

   บอยมองภาพนั้นน้ำตารื้น  มันไม่นึกว่าชั่วชีวิตของมันจะมาเจอพระที่กราบได้อย่างสนิทใจ  พระที่ไม่ยึดติดกับทรัพย์  ก็ก่อนหน้านั้น  มันแค่คุยกับนัทเล่น ๆ  ว่าถ้าชาวบ้านรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์  มันก็มีแรงเพิ่งขึ้น เหมือนมีข้อต่อรองมากขึ้น  แล้วถ้ามีเงินทุนมากพอ  ก็ซื้อของใช้ที่จำเป็นพวกสบู่ยาสีฟัน  น้ำปลา น้ำตาลมาขาย  ให้ชาวบ้านมาถือหุ้นสหกรณ์ มันก็จะทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น

   ต้องสร้างชุมชนให้เข้มแข็งก่อน  แล้วเราถึงจออกไปต่อสู่กับที่อื่นได้ . . .

   . . . . ก็เป็นบางส่วนของพระราชดำรัสที่สองหนุ่มรับมาใส่สมอง

   มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลวงตาก้องยืนฟังมันสองคนคุยกันอยู่  แล้วหลวงตาเรียกมันทั้งสองมาถามเรื่องสหกรณ์อีกมากมาย  ก่อนที่จะนำเอาเงินก้อนใหญ่สุดลงมาในนามสหกรณ์คนจน

   “เออ . . . เออ   ช่วย ๆ  กันนะ  เราอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน  วัดพึ่งชาวบ้าน  ชาวบ้านพึ่งวัด  มีอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็มาช่วย ๆ  กัน”   เสียงที่อ่อนโยนยังคงพรั่งพรูออกมา

   “. . .  อ้อ ไอ้ดวงเอ้ย  เอ็งลองประชุมกัน  จะเอาใครมาเป็นสมาชิกกันบ้าง  ระหว่างที่ยังไม่มีรายได้ ก็ช่วย ๆ  กันไปก่อน    สำหรับไอ้พวกที่เพิ่งกลับมาใหม่  ขอให้จำใส่กะโหลกเอาไว้ว่าพวกเอ็งไม่ได้เป็นคนแพ้มาจากที่ไหนหรอก   กลับมาบ้านเราครานี้ก็ช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ตราบใดที่ยังมีแผ่นดิน ความคิด  มีปัญญา  ไม่อดตายหรอกว่ะ มองไปทางไหนก็พี่น้องกันทั้งนั้น สิ่งที่พวกเอ็งต้องกอบกู้มันไม่ใช่ฐานะทางเศรษฐกิจ ให้มั่งคั่งมั่นคงเหมือนที่เอ็งไปทำงานที่โน่นหรอกว่ะ . . .”  หลวงตาก้องมองกวาดไปยังชาวบ้านที่นั่งกันสงบนิ่ง

   “. . . แต่สิ่งที่พวกเอ็งจะต้องกอบกู้คือจิตใจ  ใจหรือจิต  ของพวกเอ็งที่เศร้าหมองตกต่ำไปเพราะวิกฤติต้มยำกุ้งนั่นแหละ   อย่าลืมเทียวละมันมีตก  มันก็มีขึ้น  มีขึ้นได้ก็มีตกได้  ต่อให้พวกเอ็งมีเงินเป็นหมื่นล้าน  รถคันเป็นสิบล้าน แต่ถ้าใจพวกเอ็งมันไม่สุข  ไม่สงบ  เงินทองมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกว่ะ  กอบกู้หัวใจให้ได้นั่นแหละคือชัยชนะ  พวกเอ็งจำคำข้าเอาไว้”

   หลวงตาแก่ ๆ  ที่ปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตร  ไม่ยอมตกยุคเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องมีพิธีรีตองกวาดสายตามองไปยังผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาชุมนุมกันศาลาแห่งนี้

   “ข้าจะยกคำของในหลวงที่พระราชทานเอาไว้ใน สคส  เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา  พวกเอ็งจดจำน้อมรับใส่กะโหลกเอาไว้เถอะ . . .”  หลวงตาแห่งแม่นะยิ้มอีกคำรบ

   “. . . ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง  เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร  โภคะทั้งหลายมิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น  จำกันไว้ให้ดีล่ะ”

   ชาวบ้านพนมมือท่วมหัว . . . 

   นัทมันขนลุกซู่  ก่อนก้มกราบหลวงตาก้องพระแก่ ๆ   ตามชาวบ้านที่กราบลงทั้งศาลา  พระที่ยืนหยัดบนโลกเบี้ยว ๆ  ใบนี้ด้วยหัวใจบริสุทธิ์  ธรรมบางอย่างไม่ได้สอนแบบภาษาธรรมเพราะมันยากที่จะเข้าถึงหัวใจที่หยาบกร้านของคนในสังคมปัจจุบัน 

   แต่ . . .

   . . . หลวงตาก้องสอนธรรมที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ

   “เอา เอา  ค่อย ๆ  ทำกันไป พอเราเริ่มแข็งแรงก็ค่อย ๆ  ให้เงินดาวน์เงินเดือนกันไป  อ้อ  ไอ้พวก  ข้าวสารอาหารกระป๋องทั้งหลาย  ผ้าขนหนู  ที่ญาติโยมเขามาทำสังฆทานนะเอ็งเอาไปลงบัญชีในนามสหกรณ์ได้เลย  ใครไม่มีตังค์ซื้อก็มายืม มาเชื่อกันไปก่อน  ดูแลทุกข์สุขลุกบ้านให้ทั่วถึงละเอ็ง  มา ๆ  ประเดี๋ยวข้าจะพรมน้ำมนต์ให้”

   หลวงตาก้องลุกขึ้นยืน  ในมือท่านมีก้านมะยมที่มัดรวมกัน  หลวงตาเดินลงจากที่นั่งยกพื้นด้านหน้า  มายืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้านแม่นะ  ที่เป็นคนเก่าแก่  และพวกที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองด้วยพิษเศรษฐกิจ  กำนันดวงอุ้มบาตรน้ำมนต์เดินตามหลวงตาก้อง

   “นี่ใครล่ะ  ลูกแม่แช่มดอกรึ”

   “เจ้าค่ะ  ไอ้จุกไงเจ้าค่ะ”

   “โรงงานที่ผมทำอยู่  เขาปลดพนักงานขอรับหลวงตา”  จุกพนมมือแต้

   “เออ  เออ  กลับมาอยู่บ้านเรานี่แหละ  มีงานมีการไรก็ช่วย ๆ  กันทำไปก่อน  แล้วค่อยขยับขยายกัน”

   หลวงตาก้องจุ่มก้านมะยมในบาตรน้ำมนต์ก่อนสะบัดไปยังกลุ่มคน  ที่บนศาลา    หยาดน้ำเย็นฉ่ำจากแรงสะบัดของพระรูปแก่ ๆ  ปลิวมากระทบกับผิวเนื้อ  แทรกซึมเข้าไปโชลมหัวใจที่แห้งผากของพวกแรงงานคืนถิ่น

   “อยู่เย็นเป็นสุขนะพวกเอ็ง  สามัคคี  แบ่งปันกันไว้  คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น  มีอะไรก็ช่วย ๆ  กันไป  เดือดเนื้อทุกข์ใจมาหาข้า  ข้าจะดับทุกข์ให้”  หลวงตาก้องเดินแหวกฝ่าฝูงชาวบ้าน  ประพรมน้ำมนต์ไปทั่วทุกผู้ทุกคน

   “อ้าว  ไอ้สองเสือมานั่งอยู่นี่เอง  เอ๊า  เอา  รดน้ำมนต์เป็นศิริมงคลกับตัว  รักษาสิ่งดี ๆ  ที่ทำในวันนี้ไปจนแก่จนเฒ่านะเอ็ง”  หลวงตาก้องซัดข้อมือมาที่นัทที่ก้มลงกราบกับพื้น

   นัทหันมายิ้มกับบอย  . . .

   . . . เป็นครั้งแรกกระมังที่บอยมันเห็นรอยยิ้มจากนัทในระยะใกล้  มันยิ้มทั้งแววตาเลยทีเดียวแหละ  นัทมันคงไม่แตกต่างจากชาวบ้านบนศาลาในวันนั้นหรอ  ที่รู้สึกซาบซึ้งกับเมตตาธรรมอันสูงสุดยามที่ชาวบ้านหลายคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก 



   “ใจลอยไปถึงโรงเรียนเลยเหรอว่ะเพื่อน”  บอยมันตบที่ไหล่นัทเบา ๆ   เมื่อมันเดินออกมาโรงเพาะเห็ด  แล้วมันเห็นนัทนั่งเหม่ออยู่

   “อ้าวบอย  มาเงียบ ๆ”  นัทมันหันมายิ้ม

    นัทยิ้ม . . . 

   . . . บอยเห็นชัด 


   รอยยิ้มของนัท  รอยยิ้มที่จะทำให้มันหายเหนื่อยล้าจากงานที่มันทำมาทั้งวัน  รอยยิ้มที่เปรียบเสมือนหยาดฝนแรก  ที่ตกมาให้ความชุ่มฉ่ำยามที่ต้นไม้กำลังขาดน้ำ  เหมือนหัวใจที่มันอยากให้มีน้ำมารดหยดรินหล่อเลี้ยงหัวใจให้มันมีแรงที่จะต่อสู้

   “กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ  นึกถึงวันแรกที่เรามาที่นี่  นึกถึงหลวงตาก้องที่เมตตาชาวบ้าน  นึกถึงน้ำใจของพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย  ที่ร่วมแรงแข็งขัน  จนงานมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  บางทีนะบอย  สิ่งที่เราได้จากที่นี่  มันมีค่ามากกว่าที่เราเรียนในห้องเรียนเป็นไหน ๆ  มันคือชีวิตจริง ๆ  ของชาวบ้านเลยนะเนี่ย” 

   แววตานัทช่างฝัน . . .

   . . . นัทอาจมุ่งมั่นกับงานนี้มาก  สิ่งที่สำคัญที่บอยมองเห็น  มันไม่ใช่แค่ความสำเร็จ  แต่บอยมองลึกไปมากกว่านั้น  มองลึกลงไปเห็นถึงหัวใจของคนที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่างหาก

   คนแบบนัทมันหายากขึ้นทุกวันในสังคมที่แก่งแย่งแข่งขัน

   “แต่มันแค่เริ่มเองนะนัท   ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท้านั้น”

   “มันเพิ่งเริ่ม  เข้าใจแหละบอยว่ามันเพิ่งเริ่ม  แต่บอยอย่าลืมนะ  ว่าถ้าเราไม่หัดคลานเราก็เดินไม่ได้  ถ้าเราเดินไม่ได้  เราก็จะวิ่งไม่ได้  วันนี้เราเริ่มแล้ว  ชาวบ้านทุกคนเห็นดีด้วยกับแนวคิดสหกรณ์  ทุกคนยกปุ๋ยที่ผลิตล้อตแรกให้สหกรณ์  แล้วล้อตต่อไป  พวกเขาก็ยินดีที่จะรับจ้างสหกรณ์ผลิต  แล้วเขาก็ขายให้สมาชิกในราคาถูก”

   “เห็นพี่สมชายที่เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ  แกเอาปุ๋ยไปเสนอขายที่เชียงดาว  ที่โน่นสั่งซื้อมาตั้งห้าร้อยกระสอบ  แถมจ่ายมัดจำไว้ก่อนมาตั้งเจ็ดพันแล้วด้วย”  บอยบอกข่าวที่เพิ่งทราบมาวันนี้

   “เหรอ . . .”  แววตานัทเบิกกว้าง  แสดงออกถึงความดีใจอย่างชัดเจน

   “. . . ห้าร้อยกระสอบ  กระสอบละ สามสิบบาทก็ตกหมื่นห้าพันบาท  หักต้นทุนกระสอบละ สิบห้าบาท  สหกรณ์ก็เหลือเงินอีก เจ็ดพันห้า”  นัทมันคิดรวดเร็วสมเป็นเด็กวิศวะ

   มันยิ้มเมื่อเริ่มมองเห็นทางสว่าง . . .

   . . . ไม่ใช่ทางสว่างของตัวนัทเองหรอก 

   แต่ . . .

   . . . นั่นมันหมายถึง  ปากท้องของชาวบ้าน  เงินที่ได้จะกลับคืนสู่ชาวบ้าน  ชาวบ้านมีงานเพิ่งจากการทำปุ๋ย  รายได้ส่วนนี้เพิ่มมาจากงานสวนงานนาที่เขาเคยทำกันประจำ  ถ้าชาวบ้านมีเงินเพิ่ม  ความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น  นัทมันหวังไว้  อยากให้ชาวบ้านร่วมมือกันแบบนี้ตลอดไป

   นัทมองแค่เหรียญด้านเดียว  โดยลืมมองในเหรียญอีกด้าน

   บอยมันเผลอคิด . . . 

   . . . ถ้าชาวบ้านมีเงินเพิ่ม  แล้วเกิดอยากได้โน่น  ได้นี่ขึ้นมาอีก  ถ้าตาสีอยากเปลี่ยนมอเตอร์ไซด์ใหม่  ยายแช่มอยากได้ตู้เย็น  ยายทองอยากมีทีวีสีใหม่  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกิเลสที่ทุกคนเมื่อมีแรงเพียงพอต่างอยากได้มาประดับบ้านทั้งสิ้น

   บอยมันได้แต่หวัง . . .   

   . . . สิ่งที่มันคิดอย่าเกิดขึ้นมาเลย  เพราะถ้าทุกคนอยากได้สิ่งเหล่านั้น  แล้วคิดแต่ว่ามีกำลังที่จะผ่อนได้  ไปซื้อสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยแพงในตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด  สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ  คือพ่อค้าเงินผ่อนอีกนั่นแหละ  เหมือนเถ้าแก่เส็งที่ร้านค้าปุ๋ยนั่นไง

   วงจรความยากจนแบบไม่มีที่สิ้นสุด . . .

   . . .  ก็จะเดินมาเยี่ยมชาวบ้านแม่นะอีกครั้ง 

   ความพอเพียง . . . 

   . . . ที่พวกมันพยายามจะให้เกิดขึ้นก็ล้มสลายตายจากในทันที  ทุกคนจะต้องตกไปเป็นทาสนายทุนอีกครั้ง

   บอยมันหวั่นวิตกในใจลึก ๆ  กับสิ่งที่มันคิด

   “เออ  นัท  เห็ดเริ่มออกดอกแล้วล่ะ  อีกไม่กี่วันก็จะเก็บล้อตแรกได้  ชาวบ้านที่นี่เขามีฐานความรู้เรื่องการเพาะปลูกอยู่แล้ว  เราแค่ปรับให้เขารับกับเทคโนโลยี่นิดหน่อย  แล้วเขาก็เรียนรู้กันเร็ว”  บอยมันสลัดความคิดเก่าออกจากหัวสมองอย่างรวดเร็ว  มันเอาข่าวใหม่  มาเล่าสู่กันฟัง

   “จริงดิ  ในแปลงเกษตรที่เราทดลองปลูกก็เริ่มโตแล้วล่ะ  คะน้า  สวยต้นอวบอ้วนดี  กวางตุ้งก็ใช้ได้  น้ำหมักสมุนไพรสูตรกำจัดแมลงที่บอยขอสูตรมาจากคณะเกษตรได้ผลดีชะมัด  ชาวบ้านเองยังทึ่งเลย  ว่าไม่ใช้ปุ๋ยเคมีซักเม็ดกับยาฆ่าแมลงสักหยด  แต่พืชผักกลับสวยทั้งแปลงเลย”   นัทมันยกหัวแม่โป้งให้บอย

   มันต้องยกความดีให้บอย  . . .

   . . . แค่นัทมัน คิด ๆ  แล้วเปรยให้บอยฟัง  บอยมันก็คอยประสานงานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งในมหาวิทยาลัย  และตามหน่วยราชการนอกมหาวิทยาลัยด้วยความเต็มใจยิ่ง

   บอยยินดีทำทุกอย่าง . . . 

   . . . ขอแค่สิ่งที่บอยทำมันสามารถสร้างรอยยิ้มเล็ก ๆ  บนใบหน้านัทมันยินดี

   “แล้วผักที่รั้วอีก  กำลังเลื้อยขึ้นร้าน  ทั้งมะระหวาน บวบ  ฟัก  ถั่วฝักยาว  พืชพวกนี้ล้วนแต่เจริญดีทั้งนั้นเลยบอย  แต่นั่นแหละ  อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับแล้ว  เมื่อเรากลับไป  ยังไม่รู้เหมือนกันว่า  สิ่งที่เราทำอยู่จะมีใครสานต่อหรือปล่าว  แต่นัทตั้งใจไว้แล้วนะบอย  ว่านัทจะหาเวลาเข้ามาทุกเดือน”  นัทมันเน่วแน่กับงานที่มันลงไปทั้งหัวใจ

   นัทมันสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจ . . . 

   . . . ด้วยหัวใจของเด็กหนุ่มคนนึงที่อยากเห็นความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านมากขึ้น  มันจะเหนื่อยมันก็ยอม  เพียงแค่ให้มันได้ทำในสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อคนในชาติบ้างก็เท่านั้น

   “บอยมาด้วย  อยากเห็นสิ่งที่เราทำกับมือมันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง”  บอยมันบอก  มันอยากมา  ที่ไหนที่นัทอยู่  ที่นั่นมันก็อยากอยู่  มันไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นยังไง  มันรู้แค่มันเห็นนัทมีความสุข  มันก็สุขแล้วในหัวใจมันเอง

   “จริง ๆ  นะ  บอยมาจริง ๆ  นะ”   นัทมันตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ 

   บอยมันเห็นท่าทางของนัท . . .

   . . .  มันยิ้ม นัทเหมือนเด็ก ๆ  ที่เจอของเล่นถูกใจ  มันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้  นัทอาจจะรู้สึกกับมันแบบที่มันรู้สึกกับนัท  แต่มันต้องสะลัดความคิดนั้นทิ้ง  เพราะมันรู้  หัวใจของนัทในตอนนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับมันหรอก  นัทมันมีหัวใจเพื่อคนอื่นไปแล้ว  ซึ่งบอยเองมันก็รู้ดีว่าหัวใจนัทอยู่ที่ใคร

   “ไปหาเมย์กันเหอะ   ไม่ค่อยได้คุยกับเมย์เลยว่ะ”  บอยเปลี่ยนเรื่องพลางลุกขึ้นเดิน  บอยมันรู้ดี  หน้าที่บางอย่างที่มันต้องทำ  แม้มันจะเดินเหยียบเดินย่ำไปในหัวใจของมันก็ตาม  แต่มันยินดี  ยินดีกับรอยยิ้มที่ที่เกิดขึ้นบนใบหน้านัทอีกคราเมื่อเจอคนนั้นของนัท

   นัทมันลุกตาม . . . 

   . . . ก่อนที่มันจะเอามือวางแหมะที่ไหล่บอย  มันเดินกอดคอบอย  บอยมันรู้สึกร้อนวาบแทบจะละลายไปกองอยู่ตรงนั้น  มันไม่รู้นัทคิดแบบไหน  แต่รอยสัมผัสที่นัทวางบนไหล่มัน  มันรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด  หรือเพราะสิ่งนี้ที่หัวใจมันต้องการ  มันก็เลยทึกทักเอาไปเองว่านี่แหละคือสิ่งที่หัวใจมันต้องการ  มันต้องการแค่นี้จริง ๆ

   แค่สัมผัสเบา ๆ  ที่นัทมีให้เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ 


   เสียงลั่นเปรี๊ยะจากฟืนที่สุมลงไปในกองไฟ  สะเก็ดไฟกระเด็นออกเป็นระยะ ๆ    คืนนี้เดือนมืดมิด  ยามค่ำหลังอาหารเย็นพวกที่มาออกค่ายบางคนไม่รู้จะทำอะไร  การมานั่งล้อมวงรอบกองไฟ  ร้องเพลงกัน  นั่งคุยกันจึงเป็นกิจกรรมที่ทุกคนเห็นว่าสนุกที่สุดยามค่ำคืน  บอยมันนั่งอยู่เยื้อง ๆ  กับนัทที่นั่งชิดเบียดไหล่อยู่กับเมย์   บอยมันสนุกสนานไปกับกิจกรรมที่เพื่อน ๆ  จัดขึ้น  คนที่นั่งล้อมวงจะต้องมีอะไรมาเล่นกับเพื่อนหรือจะโซโล่เดียวก็ได้แล้วแต่ถนัด

   บ่อยครั้งที่บอยเหลือบไปมองนัทหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเมย์  หัวใจมันเหงา ๆ  ขึ้นมาทันที  มันพยายามบังคับสายตาตัวเองไม่ให้มองไปบ่อย ๆ  แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งยากเสียเหลือเกิน  มันต้องทนเก็บสิ่งที่มันคับแน่นอยู่ในหัวอก  บอยมันฝืนบังคับให้ค่อย ๆ  หล่นลงไปในหัวใจอย่างช้า ๆ

   “อ้าว  น้องบอยถึงคิวน้องบอยแล้วครับ  นั่งเหม่อไปถึงเชียงใหม่แล้วเน้อน้องบอยเรา”   เสียงรุ่นพี่แซว เพราะบอยมันพยายามลบภาพที่มันเห็นอยู่ตลอดเวลา

   มันหันไปมองนัท . . .

   . . . นัทยิ้ม  เหมือนที่ทุกในกองไฟยิ้มนั่นแหละ  บอยมันอาย  ก้มหน้าเล็ก ๆ  ก่อนละลุกขึ้นโค้งคำนับรอบวง

   “โทษครับ  พอดีผมมคิดไรเพลินไปหน่อย  เอาล่ะครับ  เดี๋ยวผมจะเดี่ยวกีตาร์ให้ฟังแล้วกันนะครับ  เพราะดูเหมือนว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุด”  บอยบอกพลางรับกีตาร์มาจากเพื่อนอีกคน

   คืนนี้เงียบ  . . . 

   . . . ลมนิ่ง 

   บอยมันแหงนมองดูฟ้า  แม้แต่ดาวสักดวงมันแทบจะมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ  ทั้ง ๆ  ที่มันเป็นคืนเดือนมืด  เหมือนหัวใจของมันตอนนี้กระมังมืดมิดไร้แสงสว่าง  มันมองไม่เห็นทางต่อเลย  ชีวิตมันจะอยู่มืดมิดแบบนี้อีกนานเท่าใดหนอ   บอยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ  ท้องฟ้า  แต่มันก็หาทางสว่างไม่เจอ  มันหันไปมองเพื่อน ๆ  ในกลุ่มที่นั่งจับกลุ่มกันรอบกองไฟ  หลายคนเร่งให้บอยเล่น  เพราะรู้ดี  ว่าฝีมือกีตาร์ของบอยหาตัวจับยากเลยคนนึง   

   บอยมันเกากีตาร์เพื่อเทียบเสียง  ก่อนที่มันจะขึ้นอินโทรล  เสียงคุยกันเงียบกริบเพราะรอฟังเสียงบอย  แค่เสียงนิ้วสัมผัสกับสายกีตาร์มันก็เหงาจับใจพอดู  แล้วบอยมันค่อย ๆ เปร่งเสียงออกมาท่ามกลางความเงียบของผู้คนในรอบกองไฟ


อยากจะมีใคร คอยห่วงใยดูแลกัน  ในวันที่ฉันเหงาใจ

อยากจะมีใครที่จับมือกันเดินไปในคืนที่ฟ้ามืดมน

แต่มันเหมือนทั้งโลกว่างเปล่า  ไม่มีคนเข้าใจเหมือนไม่เคยเจอใครสักคน

อาจจะเคยมีคนที่เคยมองตากัน  แต่ก็ไม่เคยซึ้งใจ

อาจจะเคยมีคนที่เดินเคียงกันไป   แต่ก็ดูเหมือนไม่มี

ก็ชีวิตฉันยังว่างเปล่า ไม่มีคนเข้าใจ ฉันต้องการแค่ใครสักคน

ใครสักคนที่เป็นทุกอย่าง  ให้ความหวังและคอยห่วงใยทุกวัน

ใครที่คอยจะอยู่เคียงข้างกัน ที่จะพร้อมให้ความผูกพันจริงใจ

ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษ  ช่วยให้เหงาที่มีได้จางหายไป

ช่วยเป็นแสงสว่างให้หัวใจ  อยากจะขอแค่ใครสักคนที่รักจริง

ก็ชีวิตฉันยังว่างเปล่า ไม่มีคนเข้าใจ ฉันต้องการแค่ใครสักคน

ใครสักคนที่เป็นทุกอย่าง  ให้ความหวังและคอยห่วงใยทุกวัน

ใครที่คอยจะอยู่เคียงข้างกัน ที่จะพร้อมให้ความผูกพันจริงใจ

ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษ  ช่วยให้เหงาที่มีได้จางหายไป

ช่วยเป็นแสงสว่างให้หัวใจ  อยากจะขอแค่ใครสักคนที่รักจริง

บอยมันค่อย ๆ  โซโล่กีตาร์อย่างเหงา ๆ

   . . . บ่อยครั้งที่มันเหลือบสายตาไปมองนัท  นัทแค่ยิ้มให้มันอย่างเคย  นัทไม่เคยรู้หรอก  ไม่เคยมองมาที่หัวใจของมันเลย มันพูดไม่ได้  บอยมันพูดอะไรไปไม่ได้  บอยทำได้แค่ส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านเสียงเพลง  บอยมันแค่อยากให้เสียงเพลงสื่อความหมายจากหัวใจของมัน  ล่องลอยผ่านสายลมไปกระทบหัวใจของบางคน  บางคนที่บอยมันรักยิ่งชีวิต  แต่ดูเหมือนสายลมจะไม่ทำงานเอาเสียเลย เพราะเสียงเพลงของมันไม่สามารถเข้าไปกระทบกับหัวใจของชายคนนั้นได้เลย  เพราะชายคนนั้นเขาเลือกแล้ว 

   คนที่เขาเลือกไม่ใช่ . . .

   . . . บอย

   เสียงตบมือเกียวกราว  เมื่อบอยมันโชว์จบสิ้น  ทุกคนชื่นชม  ชื่นชอบ  แต่บอยมันกลับรู้สึกยิ่งเหมือนตัวคนเดียวในโลก  เมย์ยิ้มให้มัน  ยิ้มแบบเคย แบบที่เมย์เคยยิ้ม  มันยิ้มแหละ  แต่ตอนนี้มันรู้สึกแปลก ๆ  ในหัวใจ  มันส่งกีตาร์ต่อไปให้กับคนอื่นที่ต้องโชว์ต่อจากมัน

   สายตาบอยเหลือบไปเห็น  เขาอิงแอบแนบชิดกับเมย์  นัทมันยิ้มอย่างมีความสุข  แต่บอยล่ะ  หัวใจของบอยตอนนี้มันเป็นอะไรไปหนอ  มันตอบตัวเองไม่ไหรอก  สิ่งเดียวที่มันจะทำได้ตอนนี้คือเดินออกจากที่ตรงนี้  มันควรจะมีที่เป้นของตัวเองซึ่งมันไม่ใช่ที่รอบกองไฟแน่นอน

   นัทมันขมวดคิ้ว . . .

   . . . เมื่อมองมาทางบอย  ที่ไม่กล้าแม้จะมองหน้านัทอีกต่อไป 

   บอยลุกเดินออกมาจากกองไฟไปเงียบ ๆ  มันเหนื่อยหัวใจอีกแล้วหรือ  มันพยายามเป็นอย่างมากที่จะต่อสู้กับหัวใจ  ต่อสู้กับความรู้สึกในหัวใจของตัวเอง  แต่มันเหมือนยิ่งสู้มันจะยิ่งแพ้  มันแพ้หัวใจตัวเอง  มันห้าม  มันหยุดความรู้สึกที่หัวใจมันสั่งมาไม่ได้   ความอ่อนแอเหรอ  หรือความอ่อนล้าไม่รู้  ค่อย ๆ  มาเยือนมัน  หัวตามันร้าว  แววตามันพร่ามัว  มันรับรู้สองแก้มของมันเริ่มมีหยาดน้ำอุ่น ๆ  มาเยือน  บอยมันไปปัด  มันไม่เช็ด  ในเมื่อมันอยากไหลออกมา  บอยก็จะปล่อยให้มันไหล  แล้วมันจะแห้งไปเองแหละ  มันไหลมาเองได้  มันก็ต้องหยุดไหลได้เหมือนกัน

   เสียงหรีดหริ่งเรไรร้อง  สลับกับเสียงเพลงจากองไฟที่ล่องลอยมาตามลม  บอยมันแหงนมองฟ้า  คืนนี้ฟ้ามืด  แม้ยามดึกฟ้ายังมืด  มิดมิดแบบไร้ดาวเสียด้วย  มันแค่อยากมีแสงสว่างเล็ก ๆ ของดวงดาวดวงไหนก็ได้ มานำทาง  นำหัวใจของมันให้หลุดพ้นจากความมืดมิด  แต่มันไม่มี  มันไม่มีเลย  บอยมันจำต้องปล่อยให้สายลมที่พัดโชยเอื่อยโลมเลีย  และโอบกอดมันเอาไว้  ก็มันไม่มีมือใด ๆ  มาโอบกอดมันไว้นี่หว่า  ความอบอุ่นเหรอ  มันก็เอาจากน้ำตาที่ยังไหลมาแบบไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดนี่ไง   มันมีตัวเองเป็นเพื่อน  ยามที่มันหว่าเหว่หัวใจเป็นที่สุด

   มันค่อย ๆ  เดินช้า ๆ  มาหยุดที่ชิงช้าที่เป็นสนามเด็กเล่น  มันนั่งเงียบ ๆ เพื่อฟังเสียงหัวใจมันสะอื้นให้  มันไม่ไหวแล้ว  มันสะอื้นเบา ๆ  ปลดปล่อยสิ่งที่คับข้องหมองใจของมัน  ยามนี้น้ำตานั่นแหละคือเพื่อนที่ดีที่สุดของมัน  รอเดี๋ยวนะ  รออีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้น  รอให้มันเข้มแข็งกว่านี้อีกสักหน่อย  ตอนนี้มันยังไม่แข็งแรงพอ  ขอมันปลดปล่อยความอ่อนแอทั้งหมดของมันไว้ที่นี่  ไว้ตรงนี้แหละ  ที่ตรงนี้อาจจะเหมาะที่สุดสำหรับบอย  เหมือนกับที่บนดาดฟ้าที่หอในเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
« ตอบ #39 เมื่อ: 07-07-2009 12:32:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #40 เมื่อ07-07-2009 20:37:56 »

เรตติ้งอาจไม่สำคัญ
แต่อยากเข้ามาให้กำลังใจค่ะ
ดีใจที่คุณราชบุตรมาเขียนต่อแล้ว
ขอบคุณค่ะ
 :L2:

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #41 เมื่อ07-07-2009 23:00:01 »

ตอนที่ ๙
ใต้ร่มพระบารมี



   นัทแปลกใจ  บอยค่อย ๆ  เดินหายลับไปทางสนามเด็กเล่น  บอยมันเป็นอะไรไปหว่า  เมื่อตอนเย็นมันยังดี ๆ  อยู่เลย  มันยังสนุกสนานกับงานที่มันช่วยกันทำ  มันยังยิ้มยังหัวเราะตามปกติ    แถมตอนกินข้าวด้วยกันมันยังคอยแซวคนโน้นคนนี้  และที่สำคัญ  เมื่อก่อนหน้านี้สักประเดี๋ยวเดียว  มันยังหน้าระรื่นอยู่เลย 

   “เมย์  บอยเป็นอะไรไปหรือ”  นัทพูดเบา ๆ  ในขณะที่คนอื่น ๆ  ยังสนุกสนานกับกิจกรรมรอบกองไฟ

   “อืม  เมย์ยังแปลกใจอยู่เลย  บอยเหมือนมีอะไรในใจ  นัททำงานอยู่กับบอยทั้งวันไม่เห็นเลยเหรอ”  เมย์หันกลับมาตั้งคำถามกับนัท

   นัทมองหน้าเมย์ . . . 

   . . . แม้เดือนจะมืด  แต่นัทมันเห็นชัด  ประกายวับวาวจากแววตาเมย์  นัทมันจำได้ดีเสมอ  แววตาที่นัทมันยึดถือเป็นแสงสว่างของหัวใจ  แววตาที่นัทมันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งยามเห็นแววตาคู่นี้พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ  เหมือนกำลังใจ

   “งั้นนัทไปดูบอยมันหน่อยนะ  เผื่อมันจะไม่สบาย  วันนี้มันขลุกอยู่กับงานทั้งวันเลย”  นัทบีบมือเมย์เบา ๆ 

   เมย์พยักหน้ารับรับรู้ . . . 

   นัทมันค่อย ๆ  ลุกเดินตามบอยไปตามทางที่บอยเดินไป  แม้มืด  แต่นัทมันปรับสภาพสายตาได้อย่างรวดเร็ว  ในความเป็นเพื่อนนัทมันห่วงเพื่อนแหละ  มันห่วงเพราะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ  ในหัวใจของนัท  บอยมันก็เพื่อนคนนึง  และออกจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับบอยเสียด้วยสิ

   นัทย่างเท้ามาช้า ๆ . . .

   ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่าง ๆ  เมื่อมันได้ยินเสียง สะอื้นให้มาตามสายลม ที่โชยเอื่อยอ้อยอิ่ง  ลมพัดใบไม้กรูไหว  ราวกับรับรู้กับความเสียงใจของคนที่นั่งอยู่ที่ชิงช้า  นัทมันรู้  บางเรื่อง ไม่สมควรเดินเข้าไป  นัทมันก็เคย  มันอยากอยู่คนเดียวเหมือนกัน  เพราะบางเวลา  มันไม่ต้องการใคร 

   ไม่ต้องการแม้คำปลอบประโลมใด ๆ  จากใครทั้งสิ้น

   นัทนั่งลงเงียบ ๆ  ที่ม้าหินใต้ต้นไม้  มันควรนั่งมองห่าง ๆ  ตรงจุดนี้  ตรงนี้น่าจะเหมาะที่สุด  นัทมองไปยังร่างของบอยที่นั่งหันหลังอยู่  คิ้วมันเริ่มขมวด  นัทมันเริ่มคิด  งานเหรอ  ไม่น่าจะใช่เพราะบอยมันสนุกกับงาน  เรื่องอื่นที่จะกระทบจิตใจบอยมะไรอีหว่า นัทมันคิดไปมากมายร้อยแปด  จนมันมาหยุดที่ . . .

   . . . เมย์

   ต้องเป็นเมย์ . . .

   . . . เมย์ แน่ ๆ 

   บอยชอบเมย์

   นัทมันสรุปเอาในใจ . . . 

   เพราะตั้งแต่วันแรกที่มันเจอบอยเดินมากับเมย์  ท่าทางสนิทสนมกัน  จนกระทั่งถึงวันลอยโคมยี่เป็ง  ที่บอยมันนั่งเกากีตาร์ร้องให้อยู่บนดาดฟ้า  แล้วยังวันแรก ๆ  ที่มาถึง 

   วันที่นัทจูงเมย์ไปล้างตาเพราะพิษของหัวหอม  แล้วนัทกลับมาเห็น  บอยเองก็น้ำตาไหล  แถมยังลุกหนีไปเสียดื้อ ๆ  แล้วมาวันนี้อีก  วันนี้ที่มันนั่งอิงแอบแนบชิดกับเมย์หยอกล้อต่อกระซิก  บอยมันร้องเพลงจบ  มันค่อย ๆ  ปลีกตัวออกมาห่างจากกิจกรรมที่มีเมย์เกี่ยวข้อง

   มาถึงตอนนี้นัทเองก็รู้สึกเครียด . . . 

   . . . ในความเป็นเพื่อนมันจะบอกกับบอยยังไงดี   เพราะนัทเองก็รู้สึกดีกับเมย์  นัทยอมรับในเวลานี้  ไม่มีใครมาปั่นป่วนหัวใจของนัทได้เท่าเมย์   แล้วเรื่องความรักมันก็อยู่ที่คนสองคน  มันไม่ใช่จะมาบังคับเอาให้ได้  ว่าจะต้องให้ใครคนใดคนนึงมารัก  แบบนั้นมันไม่ใช่ความรัก



   ลมเย็นจากชายป่าพัดเข้ามากระทบกับร่างบอย  ถ้าเป็นช่วงที่บอยอารมณ์ดี ๆ  มันคงสุขใจกับบรรยากาศตอนนี้  แสงดาวเริ่มสุกสกาวพราวแสง  หลังจากเมฆครึ้มผ่านพ้นไป  มันค่อย  ๆ  ใช้หลังมือเช็ดนำตา  ยิ้มรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะต้องเกิดขึ้น  มันยังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันทีเดียว  มันต้องทำหัวใจของมันให้สนุกกว่านี้  มันนึกถึงคำของนัท

   . . . มหาวิทยาลัยยังมีวันหยุด  แต่ความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่มีวันหยุด

   นัทพูดถูก . . . 

   บอยมันตัดเรื่องส่วนตัวของมันทิ้ง  มันค่อย ๆ  เอาจุดใหญ่ที่มันจะต้องทำ  ถ้ามันอ่อนแอ  อ่อนล้าทิ้งงานไปตอนนี้  คนที่จะเหนื่อยคือนัท  และชาวบ้านอีกนับร้อยที่ฝากความหวังไว้กับมัน  ฝากความหวังไว้กับเกษตรทฤษฏีใหม่  ที่นัทมันพยายามปั้นขึ้นมา  แล้วมันเองมิใช่หรือ  ที่ช่วยนัทมันปั้น  แล้วมันจะทิ้งไปกลางคันแบบนี้เชียวหรือ 

   ชิงช้ามันโยกไหวเพราะแรงไกว . . . 

   . . . บอยมันสะดุ้ง 

   มันปล่อยจิตใจให้คิดเตลิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาเลยหรือนี่  คนที่จับชิงช้ามันไกว  ก้าวข้ามมานั่งที่ชิงช้าอีกตัว  บอยมันเห็นแหละ  แม้ในความมืดมิดของรัตติกาล  แต่ในหัวใจของบอยมันไม่มืด  เพราะมันใช้รอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่ที่ชิงช้าอีกตัวนำทาง 

   . . . นำทางหัวใจของบอย 

   “มึงเป็นห่าอะไรของมึงไอ้บอย  อยู่ ๆ  ลุกออกมาเฉยเลย”  นัทถาม  เมื่อชิงช้าที่มันไหวแรง ๆ  เพียงครั้งเดียวของบอยเริ่มไกวช้าลง

   บอยมันยิ้ม . . .

   มันยิ้มเพราะสุขหัวใจกับแรงไกวชิงช้าเพียงครั้งเดียว  หรือมันสุขใจเพราะในที่ตรงนี้มีเพียงมันกับนัทเท่านั้น  มันอยากหยุดเวลาทั้งโลกเอาไว้แบบนี้ทุกครั้งในเวลาที่มีเพียงมันกับนัท

   “ไม่ได้เป็นไรนี่  แค่เหนื่อยนิดหน่อย”  มันไม่ได้ปดนัท

   บอยเหนื่อยจริง ๆ 

   . . . แต่บอยเหนื่อยที่หัวใจ 

   หัวใจที่มันพยายามรักษาระยะห่างของหัวใจตัวเองเอาไว้  ให้เท่ากับระยะห่างที่นัทไม่สงสัยในความเป็นเพื่อน  มันรู้  มิตรภาพที่มันสร้างขึ้นมาต้องใช้เวลา  มันไม่อยากทำลายมิตรภาพอันนั้นไป  มันคงเสียใจเจียนตาย  ถ้ามันต้องเสียมิตรภาพที่ดีระหว่างมันกับนัทไป

   “บอย  คนเราเหนื่อยกันได้  แต่อย่าท้อนะ”  นัทมันยิ้ม

   บอยสุขไปถึงหัวใจที่เหือดแห้งก่อนหน้านี้ . . . 

   น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกที่พูดออกมาอ่อนโยน  เหมือนน้ำทิพย์หลั่งไหลมาชโลมหัวใจของบอยที่แห้งผากเพราะพิษรัก  ที่บอยมันเพาะพิษนั้นเอาไว้เอง  นัทเคยรู้อะไรด้วยหรือ  ในเมื่อความรักที่บอยมีให้  มันแค่รักเงียบ ๆ  รักในเงามืด  รักที่มันก็เอ่ยไม่ได้เช่นกัน

   ความรักบางครั้งก็คือยาพิษที่คอยเกาะกินใจเราดี ๆ  นี่เอง

   แต่บอยมันรู้ . . . 

   . . .ในความรัก   

   ความรักที่มันมีให้นัท  มีแต่ทุกข์  แต่บอยมันไม่เคยทุกข์  มันเก็บเอารอยยิ้มของนัทมาเป็นยาดับพิษ  หรือที่จริงแล้วมันกลับสะสมพิษในหัวใจของมันให้มากกว่าเดิมหรือแปล่าวมันไม่รู้

   มันคล้ายตะกอนที่ค่อย ๆ  ตกลงในห้วงลึกของหัวใจ

   “บอยกำลังใจมันอยู่ตรงนี้ . . .”   นัทเอามือมาแตะที่หัวอกข้างซ้ายของบอย 

   บอยมันเขินจนหน้าแดง . . . 

   . . . สัมผัสเผ่วเบาจากมือของชายที่มันมาดหมาย  แต่บอยมันโชคดียามนี้ค่ำคืน  มืดมิดมีเพียงดาวนับหมื่นล้านทอประกายพราวแสงที่คุ้งฟ้า  มันอิ่มหัวใจที่ได้รับสัมผัสจากมือคนที่มันรัก  แม้แค่เพียงสัมผัสแค่เผ่วเบาเท่านั้น

   “. . . มันอยู่ที่นี่  และอยู่มานานแล้ว  บางครั้งบอยอาจท้อ  บอยอาจสิ้นหวัง  แต่สิ่งที่อยู่ในนี้  มันสร้างขึ้นมาใหม่ได้  กำลังใจบอยสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้  มันเป็นของบอย  มันเป็นสิ่งที่ติดมากับตัวบอย”   นัทยิ้มกับบอยอย่างเคย

   บอยมันอิ่มซ่านรับรู้ไปถึงส่วนลึกสุดในหัวใจของมัน

   “ขอบใจนะนัท  ขอบใจที่ทำให้เวลาที่เรารู้สึกว่าเลวร้ายที่สุด  กลับกลายมาเป็นเวลาที่เราควรจดจำไว้มากที่สุดเช่นกัน”

   ถ้าบอยมันมีมนต์วิเศษ  มันจะร่ายมนต์บทนั้นให้นัทได้ยินในเสียงหัวใจของมัน  ให้นัทรับรู้ว่าในหัวใจของมันสุขมากเพียงใดที่ได้ยินคำปลอบโยนจากนัท  แต่มันไม่มีมนต์วิเศษ  มันแค่แค่หัวใจที่รักด้วยความรู้สึกที่อยากรัก 

   รักที่มันเองก็ไม่ปรารถนาจะดึงนัทมาเป็นของมัน . . . . 

   . . . . หัวใจรักมันมีเท่านั้นเอง


   โรงเพาะเห็ด  เริ่มมีดอกหลายขนาด  บอยมันเดินตรจดูด้วยความกระปรี้กระเปร่า  ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนมันกลับยิ้มอายหน้าแดง  มันรู้มันเป็นเอามาก  ขนาดเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ  ในฝันมันเห็นนัท  มันฝันว่านัทรู้แล้ว  ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับนัท  แต่นัทไม่รังเกียจมัน  นัทบอก 

   “เราเพื่อนกันไงบอย  บอยจะเป็นอะไรไม่สำคัญ  เท่ากับว่าบอยเป็นเพื่อนของนัท” 

   เท่านั้นแหละที่บอยมันยิ้ม  มันอดขำตัวเองไม่ได้  ที่เก็บเอาเรื่องจริงไปต่อเติมเข้ากับฝันจนได้

   ความฝันไม่เคยทำร้ายใคร . . .

   . . . แล้วทำไมเราต้องทำลายความฝันด้วยล่ะ

   “แหมบอย  ยิ้มกับเห็ดก็เป็นด้วยนะคนเรา”  เสียงนุ่ม ๆ  ทำเอาบอยต้องแหงนหน้าไปดู

   “อ้าวเมย์นั่นเอง  นัทมันอยู่ที่ลานผสมปุ๋ยมั้ง  เพราะวันนี้ต้องหมักปุ๋ยเพิ่ม”  บอยบอกพลางชี้ไปที่ลานวัดที่ชาวบ้านต่างช่วยกันคนละไม้คะละมือ

   “มาหาบอยนี่แหละ  ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”  เมย์เดินดูโรงเห็ด  ที่สร้างเป็นชั้น ๆ  มีถุงเห็ดสอดไว้  แล้วเห็ดนางฟ้าที่ออกดอกเร็ว  โผล่พ้นถุงเห็ดออกมา

   “ต้องรีบแหละเมย์  อีกไม่กี่วันต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้ว  ต้องเรียนซัมเมอร์อีก  กว่าจะปลีกตัวมาได้ก็อีกหลายวันแหละ  กลัวชาวบ้านเขาจะทำต่อกันไม่ได้  เลยต้องรีบถ่ายทอดให้คนที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองให้มากที่สุด”  บอยตรวจความชื้น  ตรวจอะไรไปตามเรื่องตามราว  เดินนำเมย์ที่มองดูเห็ดในโซนโน้นทีโซนนี้ที

   “บอยเป็นอะไรไปหรือปล่าว  เห็นเมื่อวานดูเศร้า ๆ  ยังไงไม่รู้”  เมย์ถามออกมาตรง ๆ

   บอยหันกลับมามองหน้าเมย์ . . . 

   . . . มันยิ้มแบบเคย 

   เห็นเมย์จ้องมันด้วยสีหน้าของคนที่คอยคาดคั้น  เหมือนครูใหญ่ที่กำลังจับผิดนักเรียน  หากแฝงไว้ด้วยความห่วงใย  ความห่วงใยที่บอยเองก็สัมผัสได้ 

   บอยมันอดที่จะขำไม่ได้มันหัวเราะเบา ๆ  นี่มันเป็นเอามากขนาดที่เพื่อน ๆ จับความรู้สึกได้เทียวหรือ  แล้วยังมีใครจับได้อีกไหมนั่นว่ามันรักนัท  ตายละหวา  ขืนใครจับได้มีหวังมันอายจนต้องมุดแผ่นดินหนีแน่ ๆ

   เรื่องแบบนี้สังคมยังไม่เปิดรับนี่หว่า

   “ทำไมมองแบบนั้น  ไม่มีอะไร”  บอยมันยิ้มอีก

   “แน่นะ”  เมย์คาดคั้น

   “อืม  แน่สิ  จะมีอะไรได้ล่ะ”  บอยมันยังยืนยันเช่นเดิม

   “แต่ท่าทางบอยอย่างกับคนอกหักเลยนะบอย”  เมย์ยังไม่ยอมเลิก  แววตาเมย์มันห่วงใยบอยจริง ๆ 

   เมย์จี้เข้าจุดตายของมันเลย

   บอยรู้ เพื่อนห่วงมัน  มันน่าเขกกะโหลกตัวเองนัก  เผลอหลุดอาการแบบนี้ไปให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร  เมื่อคืนนัทปลอบมันทีนึงแล้ว  มาเช้านี้เมย์ยังตามมาแสดงความเป็นห่วงมันอีก มันถอนหายใจช้า ๆ  อดสงสารตัวเองไม่ได้  ที่ดันไปหลงรักเพื่อนดี ๆ  แบบนัท

   “อูยเมย์พูดเข้า  แฟนยังหาไม่ได้เลย  จะมาอกหักได้ไง  ถ้าจะอกหักจริงก็เมย์แหละที่หักอกบอย”    มันพูดทีเล่นทีจริง

   “บ้า  บอยนี่บ้าใหญ่แล้ว”  เมย์มันอาย

   แต่ . . .

   . . . บอยมันพูดไปแล้ว 

   มันพูดไปโดยไม่ทันคิด . . .

   อีกแล้ว  อีกครั้งแล้วนะที่มันอยากเขกกบาลตัวเอง  พูดไปได้อย่างไรกัน  เดี๋ยวเมย์พาลคิดแบบที่บอยมันคิดจะยิ่งยุ่งหนักไปอีก  แต่เออมันก็เรื่องจริงนี่หว่า  ก็เมย์หักอกมันจริง ๆ  นี่หว่า

   ก็เมย์เล่นตกลงเป็นแฟนกับนัท    คนที่มันแอบมอบหัวใจให้ไปทั้งดวงนี่

   “หน้าแดงเลยเมย์  เมย์ก็รู้  บอยไม่มีใคร  เมย์ก็เพื่อนบอยบอยจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรกัน  เมย์ไม่ต้องเป็นห่วงบอยหรอก  ไม่มีอะไรจริง ๆ  ไว้ถ้ามีบอยจะบอกเมย์เป็นคนแรกเลย”  บอยยิ้ม  ยืนยัน

   “จริง ๆ  นะบอย  มีอะไรที่บอยไม่อยากเก็บไว้เล่าให้เมย์ฟังนะบอย”  แววตาเมย์จริงจัง

   “จ้าสัญญา”  บอยชูสองนิ้วส่ายไปมา

   “อ้าว ๆ ๆ ๆ  มาอยู่นี่เอง  บอย  ชาวบ้านรอกันอยู่  รอแกจะไปสอนสูตร  การผลิตน้ำสกัดชีวภาพสมุนไพรไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา  เห็นตามิ่งขน ใบสะเดาแก่  ใบน้อยหน่า  ใบฝรั่ง  โอ้ยใบอะไรต่อมิอะไรมาเต็มคันรถเข็นเลย”

   นัทตะโกนมาบอกก่อนที่ตัวจะมาถึงเสียอีก

   “อ้าวเมย์  มาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ  ไปดูบอยมันทำน้ำสกัดชีวภาพกันมั้ย  บอยมันเก่งนะ  สอนจนชาวบ้านจะยกลูกสาวให้มันอยู่แล้ว”  นัทแหย่  พลางเดินมาใกล้ ๆ  เมย์

   “จริงเหรอนัท  เอ!  ลูกสาวใครน๊า  โชคดีจะได้บอยไปเป็นคู่”  เมย์เอียงคอล้อเลียนบอย

   “อูยเมย์  ไปเชื่อนัทมัน  บ้าแล้วล่ะ  มันนั่นแหละ  ยายแช่มจะยกลูกให้อยู่แน่ะวันนั้น”  บอยโยนกลับมาที่นัท

   “อ้าวบอย  ไหงโยนกลับมาวะแบบนี้ล่ะ อย่าปล่อยให้เขารอเลย  ไม่ดีว่ะ”    นัทมันพยักหน้า  แล้วเดินนำหน้าออกไป

   บอยมันเดินตามมาอีกตามเคย 

มันยินดีที่จะตามนัทไปอยู่แล้ว  ตามไปทุกที่แหละ  แม้จะไม่ได้ใกล้ตัวนัท  มันขอเดินใกล้ ๆ  เงาของ นัทที่ทอดยาวลงมาที่พื้นดินก็ยังดี  เพราะมันรู้ในเงาดำ ๆ  นั้นเจ้าของเงาคือชายที่มันแอบมอบหัวใจไปให้แล้วทั้งหัวใจ


   สถานที่ที่ชาวบ้านแม่นะนึกถึงมากที่สุดในเวลานี้คือ . . . 

. . . สหกรณ์คนจน 

ที่หลวงตาก้องให้ใช้สถานที่ของวัดดำเนินการได้    ใกล้ ๆ  ที่ทำการสหกรณ์มีหมู่มวลสามชิกต่างมาชุมนุมพูดคุย  ปรึกษาหารือกันถึงงานต่าง ๆ  บางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด  ใบหน้าหม่นหมอง  ดวงตามีม่านหมองทาบทับ  ทุกข์ที่เกาะกินใจชาวบ้านมีทุกวี่ทุกวัน

   ความเดือดร้อนไม่เคยจางหายไปจากผืนแผ่นดินของชาวไร่  ชาวนา ชาวสวน  เกษตรกรไทยยังคงต้องเจอกับความยากจนอีกนานเท่าใด  เพราะทั้งฟ้า  ฝน  ธรรมชาติ  และนายทุน  พ่อค้าคนกลางต่างคอยจ้องเอารัดเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่าอยู่เสมอ 

   “กำนันเราจะทำอย่างไรดี  นี่ก็ใกล้สงกรานต์แล้ว  ฝนไม่ตกเลย  ฝายแม้วที่พวกเด็ก ๆ  มันมาช่วยสร้างก็ช่วยได้แค่เรามีน้ำกินน้ำใช้เท่านั้น  ไม่เหลือพอทำเกษตรหรอกนะ  แล้วลำไยมันก็ติดลูกอยู่  ขืนฝนไม่ตกไม่มีน้ำรด  ปีนี้ท่าจะแย่เอานา”   ลุงชม  เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา

   เสียงอื้ออึงของคนโน้นคนนี้ตามมา  ปีนี้ฝนทิ้งช่วงนาน 

   “บ่อหลังบ้านฉันก็แห้งขอด  แทบจะตักน้ำมาใช้ไม่ได้แล้วเหมือนกันนะกำนัน”    ยายดวงยกมือบอกถึงความเดือดร้อนอีกคน

   “ขืนเป็นแบบนี้มีหวังปีนี้  สวนล่มอีกแหงเลยนะกำนัน  ไอ้ฉันอดดีใจที่พวกเด็ก ๆ  มันเอาปุ๋ยชีวภาพมาฉีดไล่แมลง  ทุ่นค่ายาฆ่าหญ้าไปได้โข  ยังแอบหวังลึก ๆ  ว่าจะปลดหนี้ไอ้เถ้าแก่เส็งมันให้หมดเสียที  เพราะปีหน้าคงต้องเอาปุ๋ยของสหกรณ์นี่แหละไปใช้  แต่ถ้าฝนไม่ตก  ไม่มีน้ำรดแบบนี้  ลำใยมันจะยืนต้นตายเอานา”    ตาสม  บอกด้วยแววตาที่มีความหวังในตอนแรก  แต่ลงท้ายด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง

   ความทุกข์อันใหญ่หลวงของคนทำมาหากิน  ทุกข์ที่ไม่รู้จะหมดไปเมื่อใด   

   ทุกข์ . . .

. . . ที่แต่ละคนแบกเอาไว้ไม่เหมือนกัน

   ยามเด็ก  เราทุกข์  ว่าจะมีอะไรกินมั้ย  มีเวลาวิ่งเล่นมั้ย  พอโตมาหน่อยวัยรุ่น  ทุกข์คือความรัก   เรื่องเรียนจะเอ็นท์ติดคณะอะไร  พอเรียนจบก็ทุกข์อีก  จะหางานที่ไหนทำดี

   แต่งงาน . . . มีลูก  ก็ทุกข์

   มนุษย์เราแบกทุกข์  ตั้งแต่เกิด. . . . จนตาย

   “แล้วพรุ่งนี้พวกเด็ก ๆ  ต้องกลับกันแล้วด้วย  มีแต่พ่อนัทกับพ่อบอย  ที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ  จะกลับมาทุกเดือน  จะมาช่วยพวกเรา  ชั้นก็ได้แต่หวังนะกำนัน  พวกเด็ก ๆ  มันจะทำให้เรามีรายได้เพิ่มบ้าง ซึ่งมันก็เริ่มมองเห็นทางแหละ  เพราะพืชที่พวกเด็ก ๆ  นำมาให้  มันโตดี  และต้านโรค  แต่ถ้าเราไม่มีน้ำนี่สิมันเรื่องใหญ่นา”    ยายแช่มเองก็ยังทุกข์

   ความกังวลใจที่แผ่ออกมาจากเนื้อตัวและหัวใจของแต่ละคน  ดูจะครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้วของพื้นที่แห่งนั้นเอาไว้เสียสิ้น เหมือนม่านหมอกหนาทึบที่ยังมองไม่เห็นทางสว่างอันใดเลย 

หลวงตาก้องเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด   ทุกข์ของชาวบ้านมากมายเสียเหลือเกิน  มีเรื่องนี้แล้วมีเรื่องโน้นตามอีก  แม้แต่พระสงฆ์  ยังกังวลเพราห่วงใยชาวบ้านที่ล้วนแต่ประเดประดังด้วยทุกข์

   สองหนุ่มคนที่ยายแช่มอ่ยถึง . . .

. . . เดินผ่านเมฆหมอกที่อึมครึมอยู่ทั่วบริเวรเข้ามาด้วยกันช้า ๆ       กลับทำให้หลายคนในที่นั้นเริ่มรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด  และเริ่มมองเห็นแสงสว่าง

   ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยยิ่มอ่อน ๆ  ที่แฝงความเคร่งเครียดที่ฉาบอยู่บนสีหน้าของนัท  เขาเดินเข้ามาได้ยินชัดเจนทีเดียว  ทุกข์ของชาวบ้านนานับประการ  ตอนนี้โครงการของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง  แต่มาสะดุดเพราะขาดน้ำ

   “น้ำ”   ปัจจัยหลัก  หัวใจสำคัญของการเกษตร

   บ้านแม่นะ  โอบล้อมด้วยขุนเขายังประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ  แล้วที่อื่น ๆ  ที่อยู่ไกลออกไปอีกล่ะ  จะเจอปัญหาหนักขนาดไหน  แหล่งต้นน้ำโดนทำลายไปมาก  มากเสียจนภัยแล้ง  กลายเป็นภัยที่น่ากลัวขึ้นทุกวี่ทุกวัน

   ฤดูแล้ง  แล้งยาวนานร้อนเพราะไร้ต้นไม้ให้ร่มเงา

   หากแต่พอถึงฤดูฝน  ฝนตกหนัก  ภูเขาไร้ต้นไม้ไม่มีอะไรต้านทานน้ำ  กลางเป็นปัญหาดินถล่ม  น้ำป่าหลาก

   ปัญหาที่มนุษย์เองทั้งนั้นเข้าไปย่ำยีธรรมชาติ

   ถึงตอนนี้ . . .

. . . ธรรมชาติเริ่มทวงคืน

   “พ่อนัท  จะทำยังไงกันดี  ลำใยกำลังออกผล  ผักที่พ่อนัทให้ปลูกกำลังโต  แต่ถ้าขาดน้ำนี่ท่าจะแย่นา  ไอ้ฝายที่พ่อแดนกับเพื่อน ๆ  มาช่วยทำ  มันก็ช่วยได้แต่ให้เราพอมีน้ำกินน้ำใช้  เพราะมันยังไม่เต็มฝาย  มันไม่พอกับการเพาะปลูกหรอกนะพ่อนัท  ป้าล่ะกลุ๊ม กลุ้ม”    ป้าชมมาลูบที่ต้นแขนนัทเบา ๆ

   นัทมันหันมาสบตากับบอย . . . 

. . . แววตานัทมันร้าวรวด  เจ็บปวดกับสิ่งที่มันรับรู้  ธรรมชาติโหดร้ายนัก  หรือเพราะมนุษย์ไปรุกรานธรรมชาติก่อนก็ไม่รู้

มันอยากให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ดีขึ้น  แต่ดูเหมือนว่า  ยิ่งทำมันกลับยิ่งมองไม่เห็นทางเอาเสียเลย  มันแก้ปัญหานี้ได้  อีกปัญหาก็ตามมา  แล้วเมื่อไหร่ปัญหาที่มันแก้จะหมดไปเสียทีนะ  บอยเข้าใจดีเป็นที่สุด   มันเข้าใจเพื่อนมันดี  นัทมันแบกภาระเอาไว้มาก 
ภาระอันหนักอึ้ง  ที่ไม่ใช่เป็นปัญหาของตัวเองด้วยซ้ำ

   “เอ๊า ๆ ๆ ๆ    ใจเย็น ๆ  เงียบ ๆ  กันหน่อย  เราค่อย ๆ  คิดกัน  ตั้งสติกันก่อน  อย่าเพิ่งโวยวาย  ปัญหามาเราก็ค่อย ๆ  แก้กัน  ไอ้นัท  ไอ้บอย  มันก็ต้องมีหน้าที่ของมัน  มันก็ต้องกลับไปร่ำไปเรียน  ที่มันมาช่วยเราที่นี่เดือนกว่า ๆ  มันก็เป็นฐานที่ดีอยู่แล้ว  ถ้าพวกเรารักมันสองคนก็ช่วยกันทำให้สิ่งที่มันทำเอาไว้เกิดผลสิวะ”  หลวงตาก้องปรามเมื่อหลายคนเริ่มวิตกกันมากขึ้น

   “โธ่หลวงตา  พ่อนัทพ่อบอย  ก็เหมือนลูกเหมือนหลาน  ใครที่นี่ไม่รักสองคนนี้บ้าง  พวกชาวบ้านรู้แหละ  ว่าพ่อนัทพ่อบอยทุ่มเทขนาดไหน  แต่ตอนนี้เรากำลังเดือดร้อนเพราะขาดน้ำ”  ลุงมีเอ่ยออกมาบ้าง

   “อ้าว  เอ็งพูดแบบนี้จะให้ไอ้สองหนุ่มนี่มันเป็นเทวดารึ  จะได้เสกน้ำได้  ค่อยค่อยคิด  คนเราลองมีสติ  ปัญญามันก็จะบังเกิด  พระพุทธองค์สอนเอาไว้  ให้เราใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา”     หลวงตาก้องหันไปถามลุงมี

   “ไม่ใช่ขอรับหลวงตา  พวกผมมันแค่คนบ้านนอก  แค่อยากรู้  เราพอจะมีวิธีไหนได้บ้างก็แค่นั้น”   ลุงมีบอกกลับไป

   บอยสบตานัท  แล้วมันดีดนิ้วดังเปาะ

   เทวดา . . .

. . . ของหลวงตา  ทำไมบอยมันลืมเสียสนิท

   “หลวงตาครับ  เรายังพอมีหวังครับ  พวกผมไม่ใช่เทวดาที่จะสั่งฟ้าสั่งฝนได้  แต่ยังมีคนที่สั่งฟ้าสั่งฝนได้ครับหลวงตา”    บอยมันยิ้มกว้างมันหาทางออกได้แล้ว

   “ใครหรือพ่อบอย  จะมีใครมาสั่งฟ้าสั่งฝนได้”    เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยนำมาจากในกลุ่ม

   แล้วเสียงถามหาคนสั่งฟ้าสั่งฝนได้ก็ดังกันเซ็งแซ่  บอยหันมามองหน้านัท  นัทพยักหน้ารับ  มันรู้แล้วเช่นเดียวกัน 
นัทรู้เหมือนกับที่บอยมันรู้เหมือนกัน

   “หลวงตาครับ  กำนันครับ พี่ป้าน้าอาทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ครับ พวกเราต้องทำหนังสือด่วนขอพระราชทานฝนหลวงจากตัวจังหวัดครับ  ในหลวงท่านทรงมีหน่วยงานฝนหลวงไว้ช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้ง”      บอยมันยกมือขึ้นท่วมหัว

   . . . ขอพระราชทานฝนหลวง 

ชาวบ้านยกมือกันท่วมหัว  ใบหน้าที่เหือดแห้งไร้ความหวัง  เริ่มมีหนทางขึ้นมาอีกครั้ง  เพราะชาวบ้านรู้ความหวังไม่เหือดแห้งไปจากหัวใจ  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่มเงาของพระองค์

“พ่อของแผ่นดิน”   


ผู้ที่ไม่เคยทิ้งประชาชนให้เดียวดายต่อสู่เพียงลำพัง

   นัทมันยิ้มกว้าง . . . 

. . . หัวใจมันชุ่มชื่นเมื่อนึกถึงพระบารมีที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทิศที่ชาวประชาของพระองค์เดือดร้อน  พระองค์ทรงงานหนักเพื่อความอยู่ดีกินดีของเหล่าประชาราษฏรของพระองค์  ที่พึ่งที่สุดท้ายของประชาชนชาวไทย 




moonoi_sert

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #42 เมื่อ08-07-2009 00:43:18 »

 :L2:ขอมอบดอกไม้ให้คุณราชบุตร  ภาษาที่คุณราชบุตรใช้ในนิยายทุกเรื่องบอกตรงๆ  ว่าเป็นภาษาที่สวยงามมาก อยากให้เด็กรุนใหม่เอาเป็นแบบอย่างในการที่จะเขียนภาษาไทยให้สวยงามแบบนี้ :L2:

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #43 เมื่อ08-07-2009 08:32:40 »


^

^

^

เหมือนคนอ่านจะห่วงเรื่อง "เรตติ้ง"


แต่ . . .

. . . คนเล่าเรื่องแบบผม  ไม่พะวง  ทั้งเรตติ้ง  ทั้งความนิยม  บวก  หรือ ลบ  เพราะมันไม่ได้ทำให้ท้องผมอิ่ม  ไม่ได้มีแรงกระทบใด ๆ  ต่อผมเลยสักนิดเดียว  ตามนี้นะครับ  คนอ่านอย่าห่วงว่าผมจะไม่มีกำลังใจเขียน  เพราะยังไง ก็เขียน 

จบไม่จบ  ค่อยว่ากัน  แต่โดยเนื้อแท้พยายามให้จบทุกเรื่อง  นอกจากว่า  มุขจะตันจริง ๆ  ครับผม

ผมเขียนเพราะอยากเขียน  ไม่ได้เขียนเพราะเรตติ้ง  ใครก็มาชี้นำผมไม่ได้

ในเวลาที่ผมเขียน  ผมมักถามตัวเองเสมอ  เขียนเพื่ออะไรหว่า ?

สำหรับผม . . .

. . .คำตอบอยู่ในใจ  ผมอยากใช้ภาษาเขียนให้สวยงามที่สุด  ผมมักจะเลี่ยงภาษาพูด  มาเป็นภาษาเขียน  เพราะนอกจากมันไม่ทำให้ภาษาสวยงามแล้ว  มันจะค่อย ๆ  ฆ่าภาษาของเราให้ตายลงในที่สุด

ผมห่วงตรงนี้มากกว่า  ห่วงเด็กรุ่นใหม่หลงไปกับกระแส  จนทำลายภาษาโดยไม่รู้ตัว

"คำเมือง" ไพเะราะเสนาะหู

แต่

จะมีสักกี่คนที่เขียนภาษาล้านนาได้ 

ภาษาเขียนล้านนา  ค่อย ๆ ตายไป  ทั้ง ๆ  ที่เป็นภาษาที่สวยงาม  ผมได้แต่วาดหวังเอาไว้  อย่าให้มีประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยวัฒนธรรมทางด้านภาษาอีกเลย  เพราะอย่างน้อยที่สุดผมหวงแหน

ภาษาไทย . . .

. . . จะเหลือแค่ภาษาพูดหรือไม่  อยู่ที่คนไทยทุกคนจะช่วยกันรักษา  หรือ ทำลาย


ผมยืนยัน  และ  ยืนหยัด  ในความตั้งใจเดิมของผม

. . . ทุก ๆ  งานเขียน  จะอนุรักษ์ภาษาเขียนให้ดีที่สุดครับผม . . .

ในหนังตลกดาษดื่น  ยังมีหนังนอกกระแสแบบ . . . นางไม้  ในนิยายที่มีแต่รักใส ๆ  แบบเฟิร์สเลิฟ  ผมขอแหวกระแสด้วยคน  เพราะผมเชื่อว่า

. . . พลุ  ยิ่งขึ้นฟ้าสว่างสวยงาม  แต่ผมขอเป็นดาวดวงเล็ก ๆ  ที่  สว่างทุกค่ำคืน


ผมขอเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากซึมซับอรรถรสในภาษาจริง ๆ เท่านั้นก็เพียงพอ




ไม่มีอะไรจะพูด

นอกจาก  o13

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #44 เมื่อ08-07-2009 14:16:37 »



แต่

จะมีสักกี่คนที่เขียนภาษาล้านนาได้ 

ภาษาเขียนล้านนา  ค่อย ๆ ตายไป  ทั้ง ๆ  ที่เป็นภาษาที่สวยงาม  ผมได้แต่วาดหวังเอาไว้  อย่าให้มีประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยวัฒนธรรมทางด้านภาษาอีกเลย  เพราะอย่างน้อยที่สุดผมหวงแหน

ภาษาไทย . . .


ภาษาเขียนล้านนา หรือที่เรียกกันว่า "ตั๋วเมือง" นี่ ผมก็เคยอ่านออกเขียนได้เหมือนกันนะครับ แต่ว่าเมื่อนานมาแล้วอะ พอไม่ได้ใช้ ก็ลืมๆไปบ้าง ยังจะพอจำได้แค่บางตัว

ที่พอรู้บ้างก็เพราะเคยเรียนอะครับ ตอน ป.6 ถึง ม.3 ที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แล้วตั้งแต่ ม.4 เป็นต้นมา ก็ไม่ได้แตะอีกเลย  :m17:

แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดอ่าน "ปั๊บยา" ได้นี่ ไม่ไหวแหละครับ แอ๊ดว้านซ์เกิน ขนาดอาจารย์ที่สอนผม ยังอ่านได้ไม่ถึง 70% เลยอะ

ส่วนหนึ่งที่ "ตั๋วเมือง" ค่อยๆหายไป เพราะการกั๊กความรู้ของคนรุ่นเก่าๆด้วยอะครับ อะไรที่เป็นความลับมากๆ ก็จะเขียนแบบใส่รหัสจนชนิดที่ว่า คนที่อ่านออกเขียนได้ทั่วๆไป อ่านไม่รู้เรื่องกันเลย ประหนึ่งคำภีร์วิทยายุทธในหนังจีนกำลังภายในยังไงยังงั้นเลยอะครับ ถ้าไม่ได้เคล็ดวิชามา มีคำภีร์ไปก็เท่านั้นจริงๆ





นอกเรื่องไปเยอะเลย แหะๆ

นัทนี่ก็คิดเองเออเองเนาะ เฮ้ออออ

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #45 เมื่อ08-07-2009 20:53:12 »

ต อ น ที่  ๑ ๐


   เพียงแค่รถแล่นเข้ามาในเขตเมือง  นัทมันก็สัมผัสได้ถึงรถราที่มากมาย  ผิดกับตอนที่อยู่แม่นะ  ที่นั่นแม้จะมีรถ  แต่มันก็ไม่ได้พลุกพล่านวุ่นวายเหมือนในเมือง  ที่ชีวิตผู้คนล้วนแก่งแย่งแข่งขันกันทั้งนั้น  มองไปทางไหนผู้คนมีสีหน้าแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา  นี่ขนาดเป็นแค่เมืองเชียงใหม่  แล้วถ้าเป็นเมืองหลวงแบบกรุงเทพฯ  จะมีอะไรมากกว่านี้หนอนัทมันคิด

   ทันทีที่รถจอด  นัทมันก็ตรงไปที่ห้องแลปของมหาวิทยาลัย  มันแบกเอาความเดือดร้อนของชาวบ้านแม่นะมาเต็มหัวอก  นัทตรงเข้าไปที่คอมพิวเตอร์ตัวที่ว่าง  แล้วเข้าไปตามเวปไซด์ที่นัทมันได้มาจากรุ่นพี่  ความคิดที่จะส่งหนังสือขอพระราชทานฝนหลวงด้วยมือตัวเองหมดไป  เพราะนัทมันรู้แล้ว  มีทางที่เร็วกว่านั้น

   http://www.royalrainmaking.thaigov.net/index1.php 

   เวบไซด์สำหรับการขอสนับสนุนการทำฝนหลวง ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบอยู่  นัทเข้าไปในเวบ  แล้วค่อย ๆ  หาแหล่งที่จะเข้าไปร้องเรียน หรือขอการสนับสนุน

     มันยิ้มกับตัวเอง . . .

   เมื่อคลิ้กไปที่ลิ้งค์ขอสนับสนุนการทำฝนหลวง  นัทกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม  พร้อมทั้งเหตุผลที่ขอสนับสนุน  แล้วนัทมันคลิ้กส่ง  หัวใจมันพองวาบ  เมื่อเรื่องที่นัทร้องเรียนได้ส่งไปยังสำนักประมวลผลกลางเรียบร้อยแล้ว

   ขั้นตอนต่อไป . . .

   . . .  มันต้องรอ 

   ทางสำนักฝนหลวงจะตรวจสอบปริมาณเมฆในพื้นที่แม่นะ  และปริมาณความชื้นในอากาศ เพื่อที่จะทำการเลี้ยงเมฆให้อ้วน  ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการของสำนักงานการทำฝนหลวงต่อไป  มันคิดไม่น่าจะเกินหนึ่งอาทิตย์  เพราะสำนักงานการปฏิบัติการฝนหลวงมีภารกิจทุกวัน 

   ไม่เคยรีรอ . . .

   . . . ว่าจะต้องเป็นพรุ่งนี้ 

   หรือมะรืนนี้ . . . 

   เพราะทุกข์ของราษฏร คือ ทุกข์ของพ่อ 

   ราษฏรทุกข์หนัก  พ่อย่อมแบกหนักกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี

   นัทมันเดินกลับมาจากห้องแลปอย่างเหนื่อยล้า  แดดยามบ่ายร้อนแรง  ราวกับจะแผดเผาคนที่เดินอยู่กลางแดดให้ล้มลงในเวลานั้น  แต่นัทมันรู้  ร้อนแค่ไหนมันทนได้  มันยังไม่ถึงเวลาที่จะล้มหรอก  มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเองเท่านั้น  ชีวิตของคนต้องเดินไปอีกยาวไกล  และหนทางข้างหน้ามันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลำบากตรากตรำหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบ

   ที่ใต้ถุนตึก . . . 

   . . . มีอะไรกันหว่า 

   ผู้คนต่างมึงดูบอร์ดที่ติดประกาศเต็มไปหมดเลย  มันค่อย ๆ  เดินเข้าไปที่กลุ่มคนที่กำลังมุงดูกันอยู่  นัทขยับแว่นอ่านข้อความที่ประกาศ  พร้อมรายชื่อที่แนบติดอยู่กับประกาศ  มันขยับแว่นไปมาอีกครั้งก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยอาการเว็งสุดขีด

   “อ้าวนัท  เพิ่งกลับมาเหรอ  เอ็งเห็นประกาศแล้วหรือยัง”  น้ำเพื่อนร่วมหอที่อยู่ห้องติดกันกับนัทเอ่ยทัก

   “เออว่ะ เห็นแล้ว  ทำไมต้องย้ายด้วยว่ะ”  นัทมันบ่น

   ทางมหาวิทยาลัยประกาศปิดหอ ๕ ชาย  ให้นักศึกษาที่จะเรียนซัมเมอร์ที่ลงชื่อเอาไว้แล้วย้ายไปหออื่น  เพราะการเปิดหอ  ที่นักศึกษาส่วนน้อยอยู่  มันทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย  ทางมหาวิทยาลัยเลยจำต้องปิดหอบางหอเพื่อให้นักศึกษาไปรวมกันที่หออื่นแทน

   “แล้วมึงไปหอไหนว่ะ”  น้ำถามอีก

   “หอสี่ว่ะ  แม่งต้องย้ายให้หมดภายในพรุ่งนี้ด้วยนี่หว่า  คืนนี้คงได้นอนล่ะ  ขนแม่งกันทั้งคืนแน่”  นัทมันบ่นไปตามเรื่องตามราว 

   การย้ายหอมิใช่เรื่องสนุก . . . 

   . . . ไหนจะต้องขนข้าวของที่หอเดิมเพื่อไปหอใหม่อีก  ทุกอย่างมันล้วนฉุกละหุกทั้งนั้น  นัทมันเพิ่งกลับมาจากออกค่ายมันก็มาเจอเรื่องที่ต้องใช้แรงงานอีกแล้ว  นัทมันวางแผนไว้  กลับมาจากออกค่าย  มันจะทำเรื่องขอพระราชทานฝนหลวงจากสำนักงานฝนหลวง  เสร็จแล้วมันจะนอนนิ่ง ๆ  สัก ๑๘  ชั่วโมง  มันจะนอนให้สมกับที่ไม่ได้หลับได้นอนเต็มตามาร่วมเดือน

   แต่ . . . 

   . . . มันได้แค่หวัง

   เพราะความเป็นจริงแล้วมันแทบไม่ได้หลับได้นอนเลย  มันเร่งขนของที่เป็นของตัวเองย้ายไปหอสี่  มีผู้คนมากมายที่ตกในสภาพเดียวกับนัท  ต่างก็ขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของตัวเองเพื่อไปยังที่อยู่ใหม่แทบทั้งสิ้น 

   นัทมันเดินสวนกับบอย 

   มันแค่ยิ้มให้บอยเล็กน้อยเท่านั้น  เพราะรู้ดีว่าต่างคนต่างเร่งให้งานของตัวเองเสร็จสิ้นลง

   บอยมันได้หอสาม . . . 

   . . . มันโชคดีหรือโชคร้ายหว่าที่ไม่ได้อยู่หอเดียวกับนัท  มันไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันอาจไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นก็เป็นได้  งานของมันท่วมหัว  การย้ายหอเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับมัน  แต่มันจำต้องย้าย

   “แม่งเอ้ย  กว่าจะขนมาหมด”  บอยมันบ่น  พลางแผ่หราลงกับพื้นห้องที่ยังเกลื่อนกราดไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่มันยังเก็บเข้าที่เข้าทางไม่หมด

   “หิวยังวะบอย  ไปหาอะไรที่กาดหลังมอกินกันดีกว่ามั้ง  จะสามทุ่มแล้วนี่”  ดินเพื่อนใหม่ของมันเอ่ยชวน

   บอยหันหน้ากลับมา . . . 

   . . . เออ 

   มันทำงานเสียเพลินจนลืมหิวไปเลยหรือนี่  แค่เพื่อนร่วมห้องชวน  ท้องมันก็ร้องจ๊อกขึ้นมาทันที  มันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง  แล้วยิ้ม

   “รอแปบนะโว้ยล้างหน้าแปบ  หิวจนจะแดกช้างได้ทั้งตัวแล้วนี่” บอยมันบอกพลางวิ่งปรี่ออกไปที่ห้องน้ำ



   กาดหลังมอ  มีร้านอาหารรถเข็นนานาชนิด  บอยมันเดินคุยมากับดินเรื่อย ๆ  อาหารมากมายหลายชนิดจนมันเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว  เพราะตลอกระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันเคยชินกับอาหารที่พวกนักศึกษาช่วยกันทำ  มันคุ้นลิ้นกับอาหารบ้าน ๆ  ที่นั่งล้อมวงกันกินอย่างเอร็ดอร่อย  แต่ตอนนี้มันมาเดินอยู่ท่ามกลางร้านค้าเยอะแยะที่มีให้มันเลือกตามความชอบ


   “เป็นไงว่ะ  ไปออกค่ายมาสนุกมั้ย”   ดินถามพลางเดินตามบอยมานั่งที่ร้านข้าวต้มเจ้าประจำ

   “ก็ดี  สนุกดี  งานเยอะจนวันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน  แล้วดินไปไหนมา”  บอยบอก  พลางหยิบเมนูพลิกดูไปมา  มันเล็งอาหารไว้สองสามอย่าง

   “กลับบ้าน  ไปช่วยงานที่บ้าน  ร้อนมากที่กรุงเทพฯ  เลยกลับมาเรียนซัมเมอร์ดีกว่า”   ดินเล่าพลางเรียกเด็กเสริฟมาสั่งอาหาร

   มันสั่งไปสองอย่าง  แล้วปล่อยให้บอยสั่งอีกสองอย่าง

   “มึงจะลงกี่ตัวว่ะบอย”  เสียงดินถาม 

   แต่หูบอยมันอื้อไม่ได้ยินอะไรแล้วมั้ง  มันมองเห็นคนที่เดินคู่กันมามากกว่า . . . 

   . . . นัทกับเมย์

   เขาคงออกไปหาอะไรกินมั้ง  บอยมันเห็นชัดแหละ  สองคนนั้นเดินผ่านมันไปอย่างช้า ๆ  โลกของคนสองคนที่ไม่มองเห็นมันที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ มันเหมือนอากาศธาตุที่ลอยไปมาบนโลกใบนี้กระนั้นหรือ

   “อ้าวเพื่อนเรา  เอ้ย  ลอยไปถึงไหนนี่”  ดินมันเอามือจุ่มน้ำในแก้วแล้วสะบัดไปโดนบอย

   นั่นแหละ . . .

   . . . บอยมันถึงรู้สึกตัว 

   บอยมันรู้แล้ว  มันคงโชคดีที่อยู่คนละหอกับนัท  เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะเห็นภาพแบบเมื่อกี้อีก แล้วบอยมันจะทนได้หรือ  ถ้ามันต้องเห็นภาพแบบเมื่อกี้นานกว่านี้  มันรู้ดี  หัวใจของมันใช่แข็งแรงมากมาย  มันก็อ่อนแอไปตามสายตาที่มันเห็น

   “ถามว่าไงนะ”  บอยสลัดทุกอย่างทิ้งกลับมาที่ดินตามเดิม

   “อ้าว  ก็ถามว่าจะลงกี่ตัวไง . . .”  อีกฝ่ายยิ้ม

   “. . . แน่ะ  ลอยไปถึงไหนแล้วล่ะหัวใจนะ”  ดินแซว 

   บอยมันยิ้มตอบ . . . 

   เพราะว่ามันต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้  เก็บสิ่งที่บอยไม่อยากเห็น  ยามที่คนอื่นสังเกตเห็นความเปลี่ยนไปในตัวมัน

   บอยจะต้องซ่อนความรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานเท่าใดนะ

   “สองตัวพอล่ะมั้ง  เพราะเสาร์อาทิตย์ยังต้องไปที่แม่นะอีก”  บอยมันบอก

   มันจำได้ . . . 

   . . . สัญญา

   ระหว่างมันได้ให้สัญญาไว้กับชาวบ้านที่นั่นก่อนที่มันจะจากมาเมื่อเช้า  หลายคนเข้ามากอดมันแล้วร้องไห้  เวลาแค่เดือนเดียว แต่มันกลับรู้สึกว่าที่นั่นเหมือนบ้านของมัน  ความผูกพันมันก่อตัวขึ้นช้า ๆ  เพราะทั้งมันและนัทเองก็รู้สึกวังเวงหัวใจตั้งแต่ที่เห็นน้ำตาชาวบ้านแล้วล่ะ

   เป็นน้ำตาแห่งความอาลัยรักที่ต้องจาก . . .

   มันสัญญามันจะหาเวลากลับไปที่นั่นอีก  มันจะต้องกลับไปสานต่อเจตนารมณ์ที่นัทกับมันได้ช่วยกันสร้างเอาไว้ 

   ต้นไม้ทุกต้นที่งอกงามขึ้นมาด้วยน้ำมือของมัน  ความเป็นอยู่ขของชาวแม่นะจะต้องดีขึ้น  ที่นั่นเปรียบเสมือนอนุสรณ์ของบอยมัน  มันมีภาพวันคืนดี ๆ  ที่มันได้ทำร่มกับคนที่มันรัก  มันจะไม่ลืม . . .

   . . .  และไม่มีวันลืมไปแม่นะเลยชั่วชีวิต

   “กลับไปทำไมอีก  ห้องสมุดยังไม่เสร็จเหรอ”

   “เสร็จแล้ว  แต่มีอีกหลายอย่างที่เราต้องไปว่ะดิน  งานของเรามันยังไม่เสร็จ  แล้วเราก็ไม่รู้ว่าชาตินี้มันจะเสร็จหรือปล่าว”  แววตาบอยมันหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงความยากจนของคนที่นั่น 

   แต่ . . . มันยังมีหวัง  ว่าสักวันที่นั่นต้องดีกว่าวันนี้

   . . . ความหวังงดงามเสมอสำหรับบอย

   บอยไม่เคยไร้ความหวัง 

   . . . มันเก็บเอาคำของนัทที่บอกกับมันที่ชิงช้าที่บ้านแม่นะ มาจดจำไว้ในหัวใจเสมอ  กำลังใจเป็นของมัน  มันสร้างขึ้นมาเอง  แล้วคนที่จะทำลายกำลังใจของมันก็ตัวมันเองอีกนั่นแหละ 

   เพราะฉะนั้น . . .

   มันไม่กลัวความสิ้นหวัง  ตราบใดที่มันยังมีลมหายใจอยู่  มันจะต้องทำให้ดีกว่าวันนี้
      


   กี่วันแล้วนะที่บอยไม่ได้เจอหน้านัทเลย  มันรู้สึกทรมาน  ยามหลับตามันก็ได้แค่นอนกระสับกระส่ายไปมา  มันอยากเจอนัท  แต่มันไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับนัท  มันเขินทุกครั้งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ  นัท  ระยะเวลาเดือนกว่า ๆ  ที่แม่นะ  ไม่ได้ช่วยให้บอยมันคลายอาการประหม่าเวลาเจอนัทได้เลย  บอยยังรู้สึกอายทุกครั้งที่นึกถึงนัทไม่ได้

   “โทรหานัทมันดิ๊  ถ้าอยากเจอ”  เสียงในหัวใจมันสั่ง 


   บอยมันกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอีกแล้ว

   “แล้วจะคุยอะไรกับมันล่ะ  อยู่คนละหอกันด้วย”  มันแย้งตัวเองเสียงอ่อย ๆ 

   “อ้าว  ก็คุยเรื่องที่จะไปแม่นะวันมะรืนไง  ถามนัท  ว่านัทจะไปด้วยหรือปล่าวไง”  ตัวมันเองนั่นแหละที่ถามตัวมันเอง

   “ก็นัดกันไว้แล้วนี่  ตอนกลับมาจากแม่นะ  จะไปถามอีกทำไม” 

   บอยมันเฝ้าตั้งคำถาม . . . 

   . . . แล้วเฝ้าเถียงตัวเองอยู่  นาน 

   จนในที่สุดบอยมันรู้  มันไม่ไหวแล้วล่ะ  มันอยากจะเจอ  แค่หน้านัทมันไม่เห็นมาหลายวันแล้ว  มันคิดถึงจนแทบบ้าไปแล้วล่ะ  ก็หลายวันที่ผ่านมามันยุ่งกับการเรียนภาคฤดูร้อนจนมันไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่น ๆ  เสียด้วยซ้ำ

   บอยตัดสินใจแล้ว . . . 

   . . .  มันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

   บอยค่อย ๆ  เดินลงมาจากหอสาม  บอยหยิบเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมา  มันยกหูโทรศัพท์  แล้วค่อย ๆ  รวบรวบความกล้าครั้งสุดท้าย  บอยหยอดเหรียญในช่องใส่เหรียญ  เสียงสัญญาณบอกให้กดหมายเลขบอยกดหมายเลขช้า ๆ  เสียงเรียกจากปลายสายดังอยู่สักครู่

   “สวัสดีครับหอชายสี่ครับ”  เสียงจากปลายสายดังมาตามสาย

   “ขอสายณัฐพงศ์  ห้อง ๔๑๐   ครับ”  บอยกรอกเสียงไปตามสาย

   “สักครู่นะครับ”

   บอยมันวางหูลงช้า ๆ  เมื่อมันได้ยินเสียงประกาศเรียก 

   “ณัฐพงศ์ ห้อง ๔๑๐ รับโทรศัพท์ด้วยครับ”

   มันรู้อีกประเดี๋ยวนัทคงต้องลงมาจากห้องเพื่อรับสาย  แล้วบอยมันเดินลัดสนามบาสไปยืนแอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่  หัวใจมันเต้นราวกลองเพล  สายตามันจดจ้องไปที่เครื่องรับโทรศัพท์ของหอชาย ๔ 

   แต่ . . .

   ดูเหมือนเวลามันจะเดินผ่านไปอย่างเชื่อช้าเสียเหลือเกิน  ยุงเจ้ากรรมก็คอยมาขออาหารจากต้นขามันเรื่อย  บอยมันตัดใจแล้วมันขอบริจาคเลือดให้ยุงหนึ่งคืน  เพราะวันนี้เวลานี้มันเฝ้ารอการลงมาของใครบางคน

   บอยกระสับกระส่าย . . . . 

   หัวใจมันเฝ้าร้องบอก  ขอให้อยู่ทีเหอะมันจะบ้าตายอยู่แล้ว  หลายวันที่มันไม่ได้เห็นนัทมันแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย  มันเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง  มันแค่อยากเห็นนัทสักแวบนิดนึงก็ยังดี 

   แล้วบอยมันก็ยิ้ม . . . 

   . . . เมื่อมันเห้นคนทั่นรอวิ่งลงมาจากห้อง  นัทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

   “สวัสดีครับ  สวัสดีครับ”  มันกรอกเสียงลงไป   แต่ทุกอย่างเงียบเป็นสัญญาณว่าวางหูไปแล้ว

   นัทวางหูโทรศัพท์กับแป้นช้า ๆ  มันเดินไปมา  อาจเป็นแม่โทรมาหา  รออีกสักประเดี๋ยวก็ได้  บางทีแม่อาจโทรกลับมาใหม่  เพราะยังไม่ดึกมาก  แต่นัทมันไม่เฉลียวใจเลย  ยังมีอีกร่างที่แอบอยู่ใกล้ ๆ  นัท

   บอยมันยิ้มกว้าง . . .

   . . . แค่นี้นะหรือที่มันต้องการ

   นี่มันเป็นเอามากขนาดหลอกให้นัทลงมารับสาย  แล้วมันทำได้แค่แอบมองนัทห่าง ๆ  แบบนี้กระนั้นหรือ 

   ทำไมมันไม่เดินไปหานัท . . . 

   . . . แล้วพูดกับนัทเหมือนที่อยู่แม่นะ  บอยมันบอกตัวเอง  แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วสำหรับคนอย่างบอย

   แววตาที่ฉาบด้วยรอยยิ้มของบอยค่อย ๆ  กลายเป็นความเศร้าอย่างช้า ๆ 

   เมื่อบอยเห็นอีกคนที่แยกจากเพื่อนเดินยิ้มเข้ามาหานัท  นัทยิ้มรับ  บอยมันไม่รู้เขาพูดอะไรกัน  บอยเห็นเพียงเขาคนนั้นส่งถุงขนมให้นัท  บอยมองภาพนั้นด้วยแววตาพร่ามัว  บอยค่อย ๆ  หันหลังเดินกลับไปอย่างเงียบ ๆ 

   ตอนนี้มันไม่อยากกลับห้อง . . . 

   . . . มันอยากไปที่ไหนก็ได้ 

   หัวใจมันหรือ  เจ็บปวดอีกแล้วกระมัง  มันแค่อยากเห็นนัท 

   แต่ทำไม   คนนั้นจะต้องกลายมาเป็นเงาของนัทด้วย  บอยมันเดินมาเรื่อย ๆ  ตามถนนสายเล็ก ๆ   มันนั่งนิ่ง ๆ  ที่ริมถนน  สายตามองยาวออกไปในความมืด

   เหมือนหัวใจของมันที่มืดมิด

   “เจอนัทพอดีไปกาดหลวงกับเพื่อนมา  เลยซื้อขนมมาฝาก  นัทลงมาทำอะไรเหรอ”  เมย์ถามพลางส่งถุงขนมให้นัท

   “รอโทรศัพท์  ไม่รู้ที่บ้านโทรมาหรือปล่าว  พอนัทรับก็สายหลุดไปแล้ว  เลยรอ”  นัทบอกพลางรับถุงขนม

   “นัทเจอบอยบ้างมั้ย  นี่  เมย์เอาอีกถุงมาฝากบอยด้วย”  เมย์ชูขนมอีกถุง

   “บอยไม่ได้อยู่หอเดียวกับนัท  ไม่ได้เจอบอยเลยตั้งแต่กลับมา  เลยไม่รู้ว่าอย่าหอไหน”  นัทบอกไปตามตรง

   “ว้า . . . เมย์ก็ไม่ถามเหมือนกัน”

   “แล้วจะไปไหนต่อ”

   “กลับหอสิ  ดึกแล้ว”

   “เดี๋ยวนัทเดินไปส่ง”  นัทยิ้ม

   “ไปรอโทรศัพท์แล้วเหรอ  เดี๋ยวที่บ้านโทรมาไม่เจอ”

   “ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวหลังสี่ทุ่มนัทโทรไปเองดีกว่า  ราคาถูกกว่าตอนนี้   ไปกันเถอะนัทเดินไปส่งเมย์เอง”  นัทบอกพลางเดินตามเมย์กับเพื่อนมาอย่างช้า ๆ



   ถนนในมหาวิทยาลัยเงียบสงบเพราะเริ่มดึกแล้ว   โคมไฟที่ส่อสว่างมีแมลงตัวน้อยบินว่อนเล่นไป  เสียงรถยนต์จากถนนหลังมอดังลอยละลิ่วมาตามลม  นัทเดินมากับเมย์และ สาวอย่างเงียบ ๆ

   “เดินลัดมาทางนี้ดีกว่านะนัท  เร็วกว่า”  เมย์บอก  พลางเดินเข้าไปตามถนนสายเล็ก ๆ

   นัทเดินตามอย่างว่าง่าย

   “เออ  นัทจะไปแม่นะวันไหนอีกล่ะ”

   “วันมะรืนนะเมย์  นัดกับบอยมันไว้ไม่รู้มันจะว่างมั้ย”    นัทบอก  เพราะเขาไม่ได้เจอบอยมาหลายวันแล้ว 

   ตั้งแต่นัทกลับมาจากแม่นะ 

   . . . นัทก็เจอบอยแค่ครั้งเดียวตอนย้ายหอ 

   แล้วตอนนั้นมันก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยเสียด้วยซ้ำ  ต่างคนต่างรีบเร่งกับงานของตัวเอง  แล้วยังต้องลงทะเบียน  แล้วเข้าเรียนอีก  นัทมันนึกขึ้นมาแล้วโมโหตัวเอง  ไม่ถามบอยมันนะว่าอยู่หอไหน

   เสียงฝีเท้าคนที่เดินมา . . .   

   . . . ทำให้บอยต้องแหงนหน้าไปมอง  มันเห็นหน้าชัด  มันรีบก้มหน้า  หันหลัง  แล้วแอบปาดน้ำตาที่เอ่ออยู่ล้นดวงตา 

   ไม่ได้ . . .

   . . . นัทจะเห็นมันเศร้าไม่ได้  จะเห็นได้อย่างไรกัน

   “อ้าวบอย  มาทำไร  หาอะไรอยู่แน่ะ”  เมย์ร้องทักขึ้นมาก่อน

   บอยหันกลับมายิ้ม . . . 

   . . . มันต้องแสดงละครอีกแล้ว  มันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ  มันต้องสวมหน้ากากอีกรอบแล้วล่ะ

   เดอะ โชว์ มัส โก ออน . . .

   . . . ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  มันต้องแสดงต่อให้จบ  ให้ดูงดงามอย่างที่สุด

   “แหวนเงินน่ะ  พอดีออกมาเดินเล่น  แล้วทำแหวนหล่น  ไม่รู้กลิ้งไปไหน แล้วนัทกับเมย์ไปไหนกันมา” 

   นั่น . . . 

   . . . มันปรับวิกฤติของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว  บอยมันรู้  เมย์ไม่ได้ไปกับนัท  เพราะมันก็รู้  นัทอยู่ห้องตลอด

   แต่บทที่บอยเล่น  มันต้องเล่นให้เนียน

   “เมย์ออกไปกับสาว ซื้อขนมมาฝากนัท  แล้วนี่อีกถุงของบอย  แต่นัทมันดันบอก  ไม่ได้อยู่หอเดียวกันแล้ว  โชคดีจังเจอบอย”  เมย์ยิ้มหวาน

   เมย์มีน้ำใจบอยเองก็รู้อยู่เต็มอก

   มันเลยต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ไง . . .

   . . . มันบอกใครไม่ได้  เพราะทั้งนัททั้งเมย์ล้นแต่ดีกับบอยทั้งนั้น  บอยไม่มีวันทำร้ายคนที่ดีกับบอยหรอก 

   บอยไม่เคยคิดจะดึงนัทใกล้บอยเลยแม้แต่น้อย 

   แค่บอยได้เห็นนัทบ้างบอยก็สุขหัวใจแล้ว  และในบางครั้งบอยยังเจ็บปวดกับการที่เห็นเมย์เดินเข้ามาในชีวิตนัท  แต่บอยก็ยังอยากจะให้มันชินชา  ไม่รู้สึกแบบนั้นกับภาพที่เห็น  มันอาจจะยาก  แต่บอยจะพยายามทำ  บอยจะพยามทำให้ได้

   “งั้นเดี๋ยวนัทช่วยหานะ”

   “ช่างเหอะ  มันไม่มีราคาค่างวดอะไรหรอก  จะไปส่งเมย์เหรอ”  บอยหันมาถามนัท

   น่าแปลก . . .

   . . . ทุกครั้งที่มีเมย์อยู่ด้วย  บอยกลับมองนัทได้เต็มตา  มันแทบไม่กลัวอะไรอีกต่อไป  หรือบอยมันอาจคิดว่า  มันมีสิทธิ์แค่เพื่อนเท่านั้น

   “ไปส่งเมย์กันก่อนนะบอย  นัทมีเรื่องจะคุยกับบอยด้วยดิ  หลายเรื่องทีเดียวแหละ”  นัทบอกด้วยน้ำเสียงนุ่ม

   บอยมันยิ้ม  มันยินดีที่ได้ยินนัทบอกแบบนั้น

   “งั้นบอยเอาขนมไปกิน  แล้วไม่ต้องไปส่งหรอก  หอแค่นี้เอง  คุยกับนัทไปเหอะ . . .”  เมย์ยัดถึงขนมมาใส่มือบอย 

   “. . . ไปแล้วนะนัท  บอย  ไว้เจอกัน”  เมย์บอกลาอีกครั้งก่อนเดินจากไป

   “บอยอยู่หอไหน”

   “หอสาม . . .”  บอยมันบอก  มันนั่งลงที่ริมฟุตบาทอีกครั้ง 

   “. . . นัทมีไรหรือปล่าว”

   “มะรืนนี้ว่างมั้ย”  นัทนั่งลงที่ใกล้ ๆ  บอย

   บอยมันยิ้มบาง ๆ . . .

   . . . มันรู้สึกอิ่มหัวใจ  มันได้กลิ่นหอมจาง ๆ  ของสบู่มาจากร่างกายคคนที่นั่งอยู่ใกล้มัน  ความรู้สึกแย่ ๆ  ที่มีมาก่อนหน้านี้มลายหายไปหมดสิ้น  มันกลับรู้สึกอิ่มเอิบหัวใจที่ได้นั่งลงใกล้ ๆ  คนที่บอยรัก

   “ไม่ว่าง”

   “อ้าว  แล้วที่นัดไว้ล่ะ  ไปแม่นะล่ะ  ไม่ไปแล้วเหรอ”  น้ำเสียงนัทคล้ายผิดหวังเล็กน้อย

   “ก็ไปแม่นะไง  เลยไม่ว่าง”  บอยมันหันมายิ้ม 

   “โอ้ยนึกว่าต้องไปคนเดียวเสียแล้ว”  นัทบ่นเบา ๆ

   บอยยิ้มตามเคย  ไม่หรอก  บอยไม่มีวันให้นัทเดินอย่างโดดเดี่ยวโดยเด็ดขาด  มันจะยอมเดินตามนัท  ตามไปทุกแห่ง 

   “อีกเรื่องนึงนะบอย  บอยตอบมาอย่างแมน ๆ  เลยนะบอย”  นัทหันมาจ้องหน้า

   บอยมันอยากหลบสายตานัทนัก . . . 

   . . . สายตาแบบนี้บอยมันกลัว 

   มันกลัวคำถาม  ถ้าเกิดนัทจะถามถึงความรู้สึกของมัน  มันจะทำอย่างไร  มันจะกล้าตอบนัทล่ะหรือ 

   “ถามว่า”  บอยก้มหน้าต่ำ  มันไม่กล้าสู้ตานัทจริง ๆ  แหละ

   “มองตาเราดิบอย . . .”  นัทหันมาทางบอย

   นั่นไง . . .

   . . . สิ่งที่บอยกลัว  หัวใจบอยเต้นระส่ำ  มันจะทำอย่างไร  หากสิ่งที่นัทจะถาม  คือสิ่งที่บอยกลัว  มันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  และ  จะมองหน้านัทได้เต็มตาอีกหรือปล่าว  มันกลัว  แต่มันหันหน้ามามองนัทช้า ๆ 

   “. . . บอยบอกเรามา  ว่าบอยชอบเมย์หรือปล่าว”

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . มันโล่ง 

   มันหัวเราะเบา ๆ  ก่อนที่จะมองตานัท  คราวนี้มันไม่กลัวแล้วล่ะ  คำถามนี้ไม่น่ากลัวเลยสักนิด  ที่ผ่านมามันคิดไปเอง  มันคิดไปเองทั้งนั้นมันกลัวไปเอง  กลัวไปสารพัด

   “ชอบดินัท  เมย์เพื่อนบอยนะ  แต่ถ้าชอบแบบชู้สาวล่ะก็นัทลืมไปได้เลย  บอยไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นกับแมย์เด็ดขาด  ขอให้นัทเชื่อบอย  เชื่อบอยได้อย่างสนิทใจเลยนะนัท  บอยไม่เคยคิดแบบชู้สาวกับเมย์เลย”

   บอยยืนยันหนักแน่น . . . 

   . . .  มันมองลึกไปที่ตานัท 

   นัทไม่รู้จริง ๆ  . . .

   นัทไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบอยคิดยังไง 

   นัทยิ้ม . . . 

   . . . มันคิดไปเองแหละ  มันคิดไปเองว่าบอยชอบเมย์  มันไม่น่าไปดูถูกน้ำใจเพื่อนเลย  ตอนนี้นัทรู้แล้ว  ว่าระหว่างบอยกับเมย์  บอยเห็นเมย์แค่เพื่อนเท่านั้น   

   “ขอโทษนะบอยที่ต้องถาม”  นัทมันตบไหล่บอยเบา ๆ

   “โอ้ยเรื่องเล็ก  อย่าคิดมาก  กลับหอเหอะดึกแล้ว”  บอยลุกขึ้นเอามือสะบัดฝุ่นที่ติดกับกางเกงไปมา

   บอยมันยิ้มให้นัทอีกครั้ง . . .

   . . . บอยมันอยากให้นัทรู้จักหัวใจมันมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แล้วถ้านัทรู้จักถึงหัวใจของมันจริง ๆ  แล้ว  นัทจะยังอยากถามคำถามแบบนี้อีกมั้ย




RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #46 เมื่อ08-07-2009 21:32:27 »

ต อ น ที่  ๑ ๑

พ ร ะ บ า ร มี แ ผ่ ทั่ ว ห ล้ า
  


   อาหารกลางวันในวันนั้น คืออาหารที่แต่ละคนนำมาทำบุญและเหลือจากถวายพระแล้วนั่นเอง  ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างนั่งล้อมวงร่วมกินข้าวด้วยกันที่ศาลาโรงครัว  ลมโชยมาเป็นระยะ ๆ  แม้จะผ่านสงกรานต์มาได้ร่วมเดือน  แต่อากาศที่แม่นะไม่ร้อนมาก  อาจเพราะแม่นะล้อมรอบด้วยป่า  เพียงแต่วันนี้แม่นะยังขาดน้ำ ชาวบ้านจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส  หลายคนเพลิดเพลินกับงานที่ตัวเองได้เริ่ม  แต่แววตายังแฝงไว้ด้วยความกังวลถึงน้ำที่กำลังจะหมดจากลำห้วย

   เสียงถามไถ่สนทนาปราศรัย . . .  

   . . . ทักทายกันอย่างยินดี  

   ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากจิตใจที่ปราศจากความอิจฉาริษยา  ชาวบ้านที่นี่รวมกลุ่มกันดี  เพราะมีวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ  ราวกับว่านั่นคือมือที่มองไม่เห็นที่โอบรวบรวมหัวจิตหัวใจของชาวแม่นะมารมอยู่ด้วยกัน  หัวใจที่เคยแห้งแล้งเพราะปัญหาทำกินเริ่มคลี่คลายเพราะมีหลวงตาคอยช่วยเหลือ  แต่พวกเขาขาดแค่น้ำเท่านั้น

   “นี่เป็นข้าวมื้อแรกในรอบหลายเดือนของฉันเลยนะยายแช่ม  ที่ได้อิ่มหนำอร่อยขนาดนี้”   สารภี  สาวน้อยที่ระหกระเหเร่รอนมาจากพิษเศรษฐกิจอีกคนเอ่ยน้ำตานองหน้า

   “กรุงเทพฯ  มันอดอยากขนาดนั้นเลยเหรอ  งั้นเอ็งก็มาอยู่กันที่บ้านเรานี่แหละ  มีอะไรก็แบ่ง ๆ  กันไป”  ยายแช่มตักแกงฮังเล  ใส่ในจานสารภี  ลูกบ้านแม่นะอีกคนที่เพิ่งกลับมาได้สามสี่วันเพราะทนพิษเศรษฐกิจจากเมืองหลวงไม่ไหว

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกป้าแช่ม  ข้าวมีขาย  อาหารเยอะแยะไปหมดแหละจ้ะ  แต่ไม่มีเงินจะซื้อกินนะสิ  ไอ้โรงงานชั้นนะสิจ้ะมันผัดจ่ายเงินเดือนมาสามงวดแล้ว  เงินเก็บก็หร่อยหรอลงไปทุกที  จนสุดท้ายโรงงานมันก็ชิงปิดตัวหนีไปลอยแพพนักงานแบบพวกฉันนะจ้ะ”

   “เงินชดเชยละสารภี”  สมชายที่กลับมาก่อนหน้าเอ่ยถาม

   “ไม่ได้หรอกพี่  เจ้าของโรงงานมันบอกอยากได้ให้ไปฟ้องเอา  แล้วอย่างพวกฉันนี่นะจะมีปัญญาไปฟ้องลำพังเงินจะกินยังแทบไม่มีเลย  จะเอาเงินไหนไปฟ้องกันเล่า”  แววตาสารภีหมองหม่น

   “เออ  เออ  เอ็งคิดถูกแล้วที่กลับมาบ้านเรา  ยังไงก็ยังมีที่ซุกหัวนอน  มีข้าวกินไม่อดอยากล่ะว้า  ค่อย ๆ  คิด  หลวงตาแกเตรียมที่เตรียมทางไว้ให้พวกกลับมาช่วยกันทำมาหากินแล้วล่ะอีหนูเอ้ย  แม้มันจะไม่ร่ำรวยเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ  แต่มันก็พอมีพอกินล่ะว้า”  ยายแช่มปลอบ

   “แล้วเอ็งมาอยู่กับใครล่ะสารภีเอ้ย”   ยายทองคำที่นั่งวงใกล้ ๆ  เอ่ยถาม

   “ก็มาอยู่ที่บ้านเก่าของพ่อนะจ้ะ  อาศัยเก็บผัก  หากบหาเขียดในท้องไร่  ท้องห้วยไปก่อนล่ะยาย  เงินเก็บก็มีไม่มากหรอกจ้ะ”  คนพูดตอบน้ำตาคลอหน่วย

   “ขาดเหลืออะไรเอ็งก็มาเอาจากครัวบ้านข้าไปก่อนนังหนูเอ้ย  อย่าเกรงอกเกรงใจกันเลย  ลูกหลานกันทั้งนั้น”  ยายทองคำยิ้มฟันดำเพราะฤทธิ์หมากที่กินมาตั้งแต่สาว ๆ

   “ขอบใจจ้ะยาย”  สารภียกมือไหว้ท่วมหัว  น้ำตาร่วงเผลาะ

   คนไม่เคยได้รับย่อมไม่มีวันรู้หรอก . . .  

   . . . ค่าแห่งน้ำใจมันประเมินราคาเป็นเงินทองไม่ได้  

   สารภีรู้ซึ้งดี . . .  

   ชีวิตในเมืองหลวงหล่อนต้องซื้อต้องหาด้วยเงิน  แทบทั้งสิ้น  ห้องที่เคยอยู่สบายกว่าแม่นะ  มีทีวี  มีเครื่องเล่นสเตอริโอ  มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม  

   แต่ที่ไม่มี . . .

   . . . คือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากผู้คน

   “อ้าว  พ่อบอย  พ่อนัท   มา  มากินข้าวกันเร็ว”  ป้าแช่มร้องตะโกนเรียกเมื่อเห็นสองหนุ่มวางเป้ที่นอกศาลา  แล้วคลานเข่าเข้ามา  

   สองคนยิ้มหน้าใส  . . .

   . . . ยกมือไหว้คนโน้นทีคนนี้ที  

   แววตาชาวแม่นะยิ้มกว้างเมื่อเห็นสองคน  อย่างน้อยทั้งคู่ก็รักษาคำพูด  รักษาสิ่งที่ตัวเองได้พูดเอาไว้  ความเดือดร้อนของชาวบ้านนับวันจะเพิ่มมากขึ้น  เพราะบอยและนัทต่างเห็นผู้คนแปลกหน้าอีกหลายคนที่ร่วมวงกินข้าวกันอยู่

   “กำลังหิวเลยครับ  ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยป้า”  นัทมันกระแซะเข้ามาที่ในวง

   คนนั่งอยู่ก่อนขยับ  ให้เกิดช่องว่าง  นัทมันยิ้มแต้  พลางรับจานข้าวที่ป้าแช่มส่งมาให้

   “กินเลยลูกกิน  หิวก็กิน”  ป้าแช่มยิ้ม

   “อ้าวพ่อบอย  ไปนั่งกับตาสุขเหรอ  ประเดี๋ยวเหอะ  ตาสุขก็ชวนไปเก็บกระดูกที่ป่าช้าอีกหรอก”   ป้าแช่มแหย่  บอยมันหันมายิ้ม

   ก็ตาสุขแกเป็นสัปเหร่อของวัด  แกมักจะมีอะไรที่ชาวบ้านไม่เข้าใจอยู่เสมอ

   “แล้วกำนันดวงกับหลวงตาล่ะป้า”  บอยถามมา

   “โอ้ย  หลวงตาลงไปเมื่อกี้แหละ  กำนันก็ตามลงไปด้วย  เอ้อ  พ่อนัท  เรื่องฝนหลวงล่ะว่างัยได้เรื่องมั้ย”  ลุงมีชิงตอบแทนยายแช่ม

   “ได้ครับ  พรุ่งนี้น่าจะได้ครับ  เพราะผมเช็คไปครั้งเมื่อวานทางสำนักงานบอก  ตอนนี้เขากำลังดำเนินการ  น่าจะไม่เกิน ๓ วันครับ”  

   “โอย  บุญของพวกเราที่มีในหลวง”  ตาชมยกมือท่วมหัว

   “อ้อ  ผมมีเมล็ดพันธุ์ผักมาเพิ่มด้วยนะครับ  ส่วนบอยมันยังมีสูตรยาฆ่าแมลงชีวภาพอีกหลายสูตรเลยแหละครับ”  นัทยิ้มกว้าง

   “น้ำจ้ะพ่อนัท”   น้าสายนั่นเองที่ส่งขันน้ำใบโตมาให้นัท

   “ขอบคุณครับ”  นัทรับมาดื่ม  

   เขารู้สึกดีขึ้นมามาก  เพราะตั้งแต่เช้าที่เขามาจากเชียงใหม่  นัทเฝ้าคิดมาตลอดเลย  ชาวบ้านจะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ  สำนักงานฝนหลวงบอกว่า  กำลังดำเนินการอยู่  อยู่ในขั้นเลี้ยงเมฆให้อ้วน

   อีกไม่นานหรอก . . .

   . . . น้ำที่ชาวบ้านรอก็จะเต็มฝายเต็มอ่าง

   “เมื่อวานนะพ่อนัท  มีเครื่องบินอะไรไม่รู้บินไปมาเกือบทั้งวันเลย”  ตาชมบอก

   ชาวบ้านขานรับกันเซ็งแซ่

   บอยยิ้ม . . .

   . . . ข่าวดีที่สุด

   บอยหันมามองนัท  นัทเองก็ยิ้มแต้ไม่แพ้กัน  บางทีฝนอาจมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ก็ได้ นัทมันรู้สึกอิ่มขึ้นมาเฉยเลย  ทั้ง ๆ  ที่ตอนลงจากรถนัทมันรู้สึกหิวเสียเต็มประดา  แต่ข่าวเรื่องเครื่องบินบินวนทำให้นัทมันอิ่มแบบไม่รู้ตัว

   “ฝนหลวงจะตา  เครื่องบินทำฝนหลวง”  นัทมันบอกแววตามันตื้อตัน



   นัทมันรู้สึกอิ่ม  หูมันไม่แว่วมั้ง . . .  

   . . . มันได้ยิน  

   สองหูมันได้ยินเสียงเครื่องบินอีกแล้ว  เสียงเครื่องบินต่ำใกล้เหลือเกิน   และมันชัดเต็มรูหู


   นัทวางจานข้าว  แล้วรีบวิ่งลงมาจากศาลาโรงครัว ชาวบ้านหลายคนวิ่งตามนัทลงมา มันเห็นแล้ว  เครื่องบินของสำนักงานฝนหลวงแน่เลยเพราะเป็นสีเดียวกับที่นัทมันเห็นในเวบ  เครื่องกำลังโปรยอะไรมันไม่รู้เป็นทางสีขาวยาว  ตัดกับเมฆดำที่เริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล

   “ฝน  ฝนมาแล้ว”  มันเอ่ยน้ำตามันเอ่อ

   “แอะอะอะไรกันว่ะ”  เสียงหลวงตาก้องดังแว่วมาจากด้านหลัง

   ชาวบ้านหลีกทางให้หลวงตาที่เดินจีวรปลิวมาแต่ไกล  นัทมันนั่งย่อตัวพนมมือแต้

   “อ้าว  ไอ้นัทดอกหรือ  มาเมื่อไหร่กันล่ะนี่  แล้วไอ้บอยล่ะ”  หลวงตาก้องทักทายพลางกวาดสายตาไปที่หมู่ชาวบ้าน

   “อยู่นี่จ้ะหลวงตา”  บอยมันนั่งลงกราบหลวงตา

   “เออ  มากันทั้งคู่เลยนะ  ได้เรื่องได้ราวแล้วสินะ”  หลวงตาแหงนมองท้องฟ้าที่ฝนเริ่มตั้งเค้าทะมึน

   “ครับหลวงตา  แม่นะกำลังจะมีน้ำแล้วครับ  เรากำลังจะมีน้ำครับ”

   “บารมีปกเกล้าแท้ ๆ  เลย”  หลวงตาแก่ ๆ  ยกมือท่วมหัว

   เสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกล . . .

   . . .  สายฟ้าฟาดเปรี้ยงเป็นระยะ ๆ  

   แต่ . . .

   ตรงลานกว้างของวัดไม่มีใครถอยหนี  ทุกคนยืนมองเมฆดำที่เคลื่อนมาปกคลุมแม่นะอย่างช้า ๆ  มันคือความหวังของชาวแม่นะทุกคน  สายลมเริ่มพัดแรงหอบเอาฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ  และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจอะไรเลยนอกจากหมู่เมฆที่ลอยต่ำ

   ละอองฝนเริ่มกระเด็นเป็นสายโดนหน้า . . .  

   นัทมันยิ้มแววตารื้น  

   มันสุขหัวใจเป็นที่สุดเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  มันค่อย ๆ  ทรุดเข่าลงกับพื้น  เหมือน ๆ  ที่ชาวบ้านในที่นั้นก็ทรุดเข่าลงเช่นเดียวกัน  ในม่านฝนที่หนาตานัทมองเห็น  ชาวบ้านทุกคนยกมือท่วมหัว  ไม่มีใครคิดจะลุกหนีจากสายฝนนั้น  

   สายฝนแรกแห่งปี . . .

   . . . สายฝนที่เกิดจากน้ำพระทัยอันแน่วแน่ของพ่อแห่งแผ่นดิน

   ในม่านฝนนัทมันแยกไม่ออกหรอก ว่าส่วนไหนคือน้ำฝนหรือส่วนไหนคือน้ำตาของมัน  มันรู้เพียงแต่ว่า  ถ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวแล้วไซร้   คนส่วนใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันอย่างไร  

   ในขณะที่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุ่มเทพระวรกาย  และกำลัง  รวมทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์เพื่อช่วยเหลือราษฏรของพระองค์ให้อยู่ดีกินดี  

   แต่ . . .

   . . .  นักการเมืองบางคนกลับกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คดโกงแผ่นดิน โกงประเทศชาติ  โดยไม่รู้สึกรู้สาถึงความเดือดร้อนของราษฏรเลยแม้แต่น้อย

   คนเหล่านั้นเลวยิ่งกว่าจะเรียกว่าคน

   “หลวงตานิมนต์เข้าด้านในเถอะครับ  ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”  กำนันดวงนิมนต์หลวงตาก้องเข้าด้านใน  เพราะเห็นว่าหลวงตายื่นนิ่ง ๆ  กลางสายฝนมาร่วมชั่วโมง

   พื้นดินในลานวัดเริ่มแฉะไปด้วยน้ำฝน . . .  

   . . . ฝนที่เกิดจากกำลังสติของในหลวงของชาวไทย

   ชาวบ้านบางคนเริ่มมีความหวังอีกครั้ง  

   ลำใยจะไม่ต้องยืนต้นตาย . . .

   . . . ผักหญ้าที่ปลูกไปกำลังเจริญเติบโต  ก็ได้น้ำ  

   และอะไรอีกมากมายหลายอย่างที่จะตามมา  การได้ผลผลิตดีนั่นหมายถึงเงินก้อนโต  และมันอาจจะมากพอที่จะปลดหนี้เถ้าแก่เส็งได้เสียด้วย

   ฝนที่ตกมาร่วมสี่ชั่วโมงยังไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด . . .  

   ชาวบ้านหลายคนเข้ามานั่งล้อมวงกันในศาลาแล้ว  บางคนตัวเริ่มแห้งแล้วด้วยซ้ำ  น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้  ทุกคนล้วนมีแววตาแห้งแล้งไร้ความหวัง  แต่พอฝนมาเท่านั้น  แววตาพวกเขากลับมีความหวังขึ้นอีกครั้งเพราะบารมีปกเกล้าแท้ ๆ  

   “วันก่อนพี่ดูข่าว  รัฐบาลจะอนุมัติงบมาช่วยเหลือพวกตกงานเหรอน้องบอย”  สมชายที่โดนพิษเศรษกิจเหมือนกันเอ่ยถาม

   บอยมันหันไปทางนัท . . .  

   . . . เรื่องนี้มันไม่รู้  มันไม่รู้อะไรเลยเรื่องการเมืองมากกว่า  เพราะมันยินดีทำทุกอย่างตามที่นัทบอก  แต่มันไม่เคยเรียนรู้อะไรเองก่อนนัทกระมัง

   “ครับพี่สมชาย แต่ผมว่าเราอย่ารอเลย  ขืนรอไม่ต้องทำอะไรกันพอดี  เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน  ผักที่ปลูก เห็ดที่เพาะไว้เราคงต้องเก็บไปขายกันที่ตลาดในตัวอำเภอก่อนล่ะครับ  ขืนรอรัฐบาลมีหวังได้อดตายกันพอดี”   นัทมันรู้  ระบบราชการกว่าจะผ่านการอนุมัติ  ไม่รู้จะเหลือมาถึงมือชาวบ้านจริง ๆ  สักเท่าไหร่

   “โอย  มันเป็นแผนหาเสียงของพวก สส. หรือปล่าวไม่รู้”  ตามิ่งเองก็สนใจการเมือง  พอจะมองออกแหละว่านโยบายไหนออกมาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน  หรือนโยบายไหนที่ออกมาเพื่อตัวเอง

   “แต่ผมคงทำไร่ทำสวนไม่ไหวหรอกน้องนัทเอ้ย”  พร  หนุ่มประเทืองตกงานจากกทม อีกคนบอกมาจากฝั่งตรงข้าม

   “เหมือนกัน”  สมชายหันไปพยักเพยิด

   “ที่ผมคิดไว้คงไม่ใช่งานสวนหรอกครับ  เห็นบอยบอกเห็ดออกดี  แล้วบ้านเราอากาศก็เย็นด้วย  น่าจะปลูกเห็ดให้เป็นล่ำเป็นสัน  แล้วเอาส่งโครงการหลวงที่เชียงดาวก็ได้ครับ  ถ้าคุณภาพดอกได้ตามที่โรงการกำหนด  โครงการหลวงรับซื้อในราคาที่ยุติธรรมที่สุดครับ”  นัทหันมายิ้ม

   กลุ่มคนที่ตกงานมาจากกรุงเทพฯ  พยักหน้าหงิกงัก  พวกเขาเหล่านั้นจากบ้านไป ตั้งแต่จบ ป.๖ บ้าง ม.๓ บ้าง  คนเหล่านี้ไม่เคยสัมผัสกับประสบการณ์ในการทำไร่ทำสวน  ที่ห้องพักในกทม. หรือตามเมืองใหญ่ ๆ  ที่พวกเขาไปทำงานก็ไม่มีที่ดินพอให้เขาได้ปลูกพืชปลูกผัก  จะให้กลับมาตั้งต้นทำสวนใหม่มันก็ยากอยู่

   มันไม่ใช่วิถีชีวิตของพวกเขา

   “แล้วระยะยาว  ผมว่า  เราน่าจะลองปลูกพวกสมุนไพร  เพราะกระแสเรื่องสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนมีเงิน  วันก่อนผมไปที่โครงการหลวง เจ้าหน้าที่เขาบอกมาว่าน่าจะปลูกสมุนไพร  แล้วแปรรูปเป็นพวก สบู่ แชมพู  เครื่องดื่มอะไรพวกนี้นะครับ”  นัทเล่าถึงเวลาที่เขาไปอยู่ในเมืองไม่กี่วัน

   บอยมองนัท . . .  

   . . . มันยิ้ม  

   ในขณะที่ตัวมันเองวุ่นกับการเรียนภาคฤดูร้อน  แต่นัทมันกลับวุ่นอยู่กับปัญหาของชาวบ้าน  หัวใจของนัทมันเหลือที่ไว้สำหรับคิดเรื่องอื่นอีกมั้ยนะ  บอยเห็นแล้วคนแบบนัท มุ่งมั่นตั้งใจ  ทำอะไรก็ต้องทำให้จบ  ให้สำเร็จ  นัทไม่กลัวความผิดพลาดจากการลงมือกระทำเลยแม้แต่น้อย

   “ช่าย ๆ  พ่อนัท  สมัยพี่อยู่กรุงเทพฯ  ยังเคยใช้แชมพูประคำดีควายเอย  แชมพูมะกรูดเอยเลย”  สมชายยิ้ม

   “ครับพี่  เอาไว้ผมจะลองติดต่อที่คณะที่เขาทำเรื่องพวกนี้  จะหาคนมาสอนนะครับ  เผื่อเราจะได้ไม่ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดไปทำงานที่อื่นอีก”  นัทบอก  

   หลายคนพยักหน้ารับ

   “ไอ้นี่ไม่เลวเลยนะพ่อดวง  คนแบบนี้สิที่บ้านเมืองเราต้องการ”  หลวงตาก้องเอ่ยเบา ๆ  

   กำนันดวงพยักหน้ารับ  พลางมองสองหนุ่มด้วยแววตาเอ็นดู  



   ไก่ตัวที่ขี้เกียจที่สุดในแม่นะขันเสียงดังกังวาน  ปลุกนัทตอนตีห้าเศษ ๆ  ชายหนุ่มพลิกกายจะนอนต่อ  แต่แล้วลมเย็น ๆ  ฉ่ำชื้นที่พัดโชยเข้ามาทางหน้าต่างหัวนอนก็มาปะทะกับร่างกาย  ปลุกให้ต้องลืมตาขึ้นรับวันใหม่  ทั้งกลิ่นหอมจาง ๆ ของดินที่โดนน้ำฝนทั้งคืน ดูเหมือนว่าจะลอยตามสายลมเข้ามาปะทะจมูก  เร่งเร้านัทอีกแรง  นัทขยับกาย  มองดูอีกร่างที่นอนอุตุใต้ผ้าห่มผืนหนา

   ฝนยังคงโปรยปราย . . .  

   . . . แม้จะไม่หนักเท่าสามวันก่อน  

   แต่เสียงฝนที่กระทบหลังคายังทำให้คนที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่อยากตื่นเสียด้วยซ้ำ  ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน  ลมหอบเอากลิ่นดินชื่นฉ่ำและกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า ให้ตลบอบอวลไปทั่วทุกอณูอากาศของแม่นะเลยทีเดียว  นัทมันแทบจะได้ยินเสียงเมล็ดพันธุ์ที่นำมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน เหยียดรากทิ่มแทงลงไปนพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ของแม่นะ  และผลิแตกกิ่งก้านใบ  แทงทะลุดินขึ้นมารับสายฝนเลยทีเดียว

   ทุกวันที่นัทกับบอยเดินเหยียบย่ำโคลนแลนเฉอะแฉะ  ไปตามร่องผักที่วัด  และในโรงเพาะเห็ด  ดอกเห็ดต่างเบ่งบานแข่งกันราวกับจะบอกถึงความสำเร็จขั้นแรกที่ทั้งสองทุ่มทั้งกายทั้งหัวใจเลยทีเดียว

   หากเปรียบไปแล้ว  ระยะเวลาที่ทั้งสองมาลงกายลงแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ  ไม่แตกต่างอะไรไปจากเมล็ดพันธุ์ที่เริ่มแทงราก  ชูช่อใบโผล่พ้นผิวดินออกมา  เหลือเพียงแต่จะต้องประคองให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเจริญงอกงามต่อไป

   แล้วเมล็ดพันธุ์รักของบอยล่ะ

   มันงอกงามบ้างหรือปล่าว . . .

   . . . หรือมันแคะเกร็นอยู่แบบเดิม

   ยิ่งนานวัน โครงการที่ทั้งสองช่วยกันสร้างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง    อย่างน้อยที่สุดพวกแรงงานคืนถิ่นยังมีงานทำ  หัวใจที่แห้งโหย  เหนื่อยล้ามาจากกรุงเทพฯ  ก็มีความหวังขึ้นอีกครา  วันนี้พวกเขาเหล่านั้นไม่อดตาย  เพราะมีผักหญ้าให้ได้เก็บกินและเหลือพอที่จะขายได้บ้าง  พอเป็นรายได้เล็ก ๆ  น้อย ๆ  

   แต่ที่เป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำคือปุ๋ยหมักชีวภาพที่มียอดสั่งเข้ามามากมายจนต้องทำกันทั้งเดือนเลยทีเดียว

   จริงแท้อย่างที่หลวงตาก้องบอก

   . . . แค่มีแผ่นดินก็ไม่อดตาย

   แม้ไม่มีเงินทองล้นฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องสาหัสของชีวิตอีกต่อไป

   “ตื่นนานแล้วเหรอนัท”  บอยมันขยี้ตา  พลางบิดขี้เกียจไปมา

   “เออดิ  ใครจะนอนแบแกละว่ะ”  นัทมันหันมาจากที่มันมองไกลออกไปลอดหน้าต่างทางด้านหัวนอน

   “แหม  ฝนตก  เลยหลับเพลินไปหน่อย  วันนี้ต้องเข้าเมืองอีกแล้วล่ะ  พรุ่งนี้มีเรียน”  บอยมันพับผ้าห่มเข้าที่

   “อืม  รู้งี้ไม่ลงซัมเมอร์ดีกว่า  อยู่ที่นี่สบายดีเยอะเลย”  

   แววตานัทมันลอย  มันช่างฝันเหลือเกิน

   “โอย  ถึงเวลาก็ต้องกลับไปเรียนแหละ    ไปล้างหน้าดีกว่า  ดูสิป้าแววทำไรกินหิวแล้วว่ะ”  บอยมันเอามือลูบท้องไปมา

   “โอ้ย  ตื่นมาหิวเลยนะเอ็ง  เห็นลุงกำนันแวบ ๆ  เดินไปในทางสวนครัว  สงสัยไปหาอะไรมาให้ป้าแววแหงเลย”  นัทมองเห็น  จากมุมห้องที่ตรงนี้มันเห็นบริเวณสวนผักกำนันดวงชัด

   ทั้งสองมาอาศัยบ้านกำนันดวง  เพราะว่าค่ายอาสากลับไปแล้ว  และทั้งสองก็มานอกเหนือจากเวลาที่จะช่วย  ทั้งนัทและบอย  ปลีกเวลามาเพื่อสานต่องานให้สำเร็จ

   “พ่อนัท  พ่อบอย  ตื่นกันหรือยัง  มากินข้าวต้มกันเร็วกำลังร้อน ๆ  เลย”  เสียงป้าแววตะโกนมาจากในครัว

   ทั้งสองคนหันมายิ้ม  บอยเห็นนัทยิ้มกว้าง  คล้ายล้อเลียนมันเรื่องกิน  แต่มันก็เฉย ๆ  เพราะตอนนี้มันไม่กินอะไรก็ได้  มันได้อยู่ใกล้ ๆ  นัทมันก็อิ่มไปได้ทั้งวันแล้วล่ะ




[เพชร]uาคSาช

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #47 เมื่อ08-07-2009 21:42:06 »

 :z13:
ครับ 
แล้วจะตามอ่านให้ครบ
 :-[ :-[ :L2: :-[ :-[

dokjarn

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #48 เมื่อ09-07-2009 10:27:45 »


 :pig4:

รับทราบครับผม

ไม่ได้ห่วงอะไรหร็อกครับ

เพียงแต่อยากให้ได้อ่านเรื่องดีๆ ภาษาสวยๆ

เหมือนที่ผมได้อ่านอยู่เนี่ย

แค่นั้นครับ


 :pig4:

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #49 เมื่อ09-07-2009 11:34:49 »

:L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
« ตอบ #49 เมื่อ: 09-07-2009 11:34:49 »





RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #50 เมื่อ09-07-2009 22:02:46 »


ตอนที่  ๑๒
หยุด . . . และพอ


   ลานกว้างใกล้ ๆ  หอพัก  มีจักรยานและมอเตอร์ไซด์จอดเรียงชิดติดกันนับร้อยคัน  ตั้งแต่ใหม่สุดไปจนถึงเก่าสุด  จักรยานบางคันเป็นมรดกตกทอดที่รุ่นพี่ได้ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า  แต่มันยังใช้การได้ดีสำหรับคนที่คิดว่าดีกว่าเดินไปเรียน  ใกล้ค่ำแล้วแต่บอยมันยังคงนั่งอยู่ที่ม้าหินใต้หอ  มหาวิทยาลับกำลังจะเปิด  มันกลับมาเร็วตามเคย  เหมือนรออะไรสักอย่างกระนั้นแหละ

   ใช่ . . . 

   . . . บอยรอ

   บอยรอชายแปลกหน้าในปีก่อน  ที่เดินส่งยิ้มให้มัน  มันหวังไว้  ปีนี้  ถ้าชายคนนั้นส่งยิ้มให้มันอีก  มันจะยิ้มตอบ  คราวนี้มันจะไม่หนีรอยยิ้มนั้นอีกแล้ว

   “เอ้ยบอย  จะมืดแล้วยังไม่ขึ้นตึกเหรอ”  ดิน  เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของมันเอ่ยถาม 

   มันหันกลับไปยิ้มนิดนึง  ดินมันชุ่มด้วยเหงื่อมาทั้งตัว  มันอยู่ในชุดที่บ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาจากออกกำลังกาย

   “ยังโว้ย  ข้างบนมันร้อน”

   “แน่ะมาอ้างนะมึง  ดักรอสาวดิไม่ว่า  สาวคณะไรว่ะ”  ดินยิ้มยั่วแบบรู้ทัน

   “ไม่มี  ไม่มีใครเลยจริง ๆ  มึงนี่”

   “ไม่มีแต่หน้าแดง  คนเรานะคนเรา  ไปแล้วเหนียวตัวว่ะ”  ดินมันโบกมือ  ก่อนจะวิ่งปร๋อขึ้นไปบนหอ 

   บอยมันส่ายหัวไปมาเล็กน้อย  อย่างมันนี่หรือจะมีใครในหัวใจไปได้

   . . . เพื่อนต่างหาก

   เพื่อนไม่ใช่คนรักโว้ย  มันบอกตัวเอง

   . . . เพราะเพื่อนให้ความสุขแก่กัน 

   แต่ . . .

   . . . คนรักมักให้ความทุกข์มากกว่าเสมอ 

   บอยมันรู้ดี  มันจึงขีดเส้นตัวเองเอาไว้แค่เพื่อน แต่บางครั้งที่บอยมันล้ำเส้นไป  มันรู้  มันล้ำเส้นที่มันขีดไป  แต่มันไม่เคยคิดจะให้นัทรับรู้ถึงเส้นที่มันล้ำไปแล้ว  มันแค่เก็บความรู้สึกของหัวใจเอาไว้เงียบ ๆ  เท่านั้น  บอยมันคิด  มันกับนัทน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีกันได้  ถ้ามันไม่มีความรู้สึกให้นัทไปมากกว่านี้  กว่าที่หัวใจมันคิด

   มันรักนัท . . .   

   . . . แน่ 

   แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งเสียอีก

   ทว่า . . . นัทล่ะ 

   . . . นัทมันเคยมองเขาแบบนี้ละหรือ

   บอยมันรู้ . . . 

   . . . สุดปลายสายถนนหัวใจของมันมีนัทอย่าเสมอ 

   แต่ปลายถนนของนัท . . . 

   . . .  บอยมันไม่รู้หรอกว่าเป็นที่ใด  แล้วมันจะไปบรรจบกันที่ไหนด้วย

   บอยรู้แต่เพียงว่าเขาเป็นสุข  เมื่อเห็นนัทยิ้ม  นัทหัวเราะ  บอยจะนั่งทุกข์  ถ้ารู้ว่านัททุกข์

   หัวใจของบอยอ่อนโยน .. . 

   . . . และ บางครั้งก็อ่อนแอ

   ความอ่อนนี่  ตัวอันตราย

   เหมือนเหรียญที่มีสองด้านไง

   หัว . . . ก้อย

   เหมือนโลกที่มีทั้ง . . .

   สว่าง . . . และมืดมิด

   แต่ชีวิตคนเราแปลก  บางคนสว่างไสวตลอดกาล  แต่บอยมันกลับรู้สึกว่าชีวิตของมัน  มืดมิดนิรันดร . . .



   แสงไฟจากโคมริมถนนเริ่มจุดติดใส้หลอด  ที่ที่บอยนั่งอยู่ค่อนข้างมืดมิด  มันปล่อยความคิดไหลลื่นไปอย่างไร้จุดหมาย  สายตาบอยมันเห็น  มันเห็นตั้งแต่ร่างนั้นเดินมาไกล ๆ  เสียด้วยซ้ำ  ชายร่างโปร่งที่เดินเคียงมากับคนนั้น  คนนั้นของนัท    คนที่นัทเลือกแล้ว 

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . ใบหน้ามันฉาบด้วยรอยยิ้มแต่แววตามันร้าวลึก

   ไม่มีใครรู้หรอก  ภายในหัวใจของคนที่แอบรักมันเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน  บอยมันยังไม่อยากรู้เลย  ไม่อยากนับความเจ็บปวดของหัวใจตัวเอง

   “ทีแรกเมย์ว่าจะกลับตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ  แต่พอดี  ยายไม่สบาย  แม่เลยบอกว่าอยู่เป็นเพื่อนยายอีกวัน  เมย์เลยต้องอยู่”  เมย์ยิ้ม 

   รอยยิ้มของเมย์  สว่างเสมอแหละ

   “แบบนี้เขาเรียกบุพเพสันนิวาสมั้งเมย์  เพราะเมื่อวานนัทจะกลับเหมือนกันแต่ดันท้องเสีย  เลยกลับเสียวันนี้  แถมพอมาถึงได้เจอเมย์อีกต่างหาก  คิดถึงเมย์จังเลย  คิดถึงทุกวัน”  นัทหันไปยิ้ม

   “แหวะ  ดูพูดเข้า  สำนวนบ้านนอกมากเลยนัท”  เมย์ตีไปที่ต้นแขนนัทเบา ๆ

   “อ้าว  ก็คนบ้านนอกนี่ครับ  แต่จริงใจนะครับ”  นัทหันไปจ้องหน้า

   “ไม่เอาแล้วนัทนี่  พูดอะไรไม่รู้ . . .”    เมย์หลบสายตาด้วยความเขินอาย

   “. . . เออ  แล้วที่แม่นะเรียบร้อยดีมั้ยนัท”

   “จ้ะ  เรียบร้อยดี  ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่จากโครงการหลวงลงมาประจำอยู่หลายคนแล้วล่ะ  ชาวบ้านที่นั่นน่าจะดีขึ้นแหละ  เพราะอย่างน้อยเจ้าหน้าที่ของโครงการหลวงก็คงจะช่วยชาวบ้านได้มากกว่านักศึกษาแบบเรา ๆ  ล่ะ เมย์”  นัทแววตามีสุขเมื่อพูดถึงงานที่ตัวเองมีส่วนร่วมไปกระทำเอาไว้

   “ดีจัง  นัทนี่เก่งเหมือนกันนะ”

   “ไม่ใช่นัทคนเดียวหรอกเมย์  พวกเราหลาย ๆ  คนต่างหากที่ช่วยกัน  โดยเฉพาะบอย  ถ้าไม่มีบอย นัทยังไม่รู้เหมือนกันเลยว่ามันจะสำเร็จแบบนี้มั้ย  บอยช่วยได้มากเลยนะเมย์  ทั้งปุ๋ย ทั้งยาฆ่าแมลงชีวภาพ  สารพัดเลยล่ะ”  นัทยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงอีกคนที่เป้นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงาน

   “นั่นสิ  บอยนี่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

   “ช่ายเมย์  คนแบบนี้หายากนะ”  นัทเองก็รู้สึกแบบที่เมย์รู้สึก 

   บอยมันเต็มใจช่วย  และรู้สึกว่ามันจะเต็มใจที่จะช่วยเหลือทุกคนเสียด้วยซ้ำ  ไม่ใช่เอฉพาะเจาะจงมาที่ใครคนใดคนหนึ่ง

   แต่ทั้งนัทและเมย์ไม่มีวันรู้เลย . . .

   . . . คนที่ทั้งสองกำลังเอ่ยถึงด้วยความชื่นชม 

   นั่งมองทั้งสองที่เดินคุยกันมาอย่างเงียบ ๆ  ที่ที่บอยนั่งอยู่  มันอาจจะมืดลับสายตาคนที่ไม่ทันสังเกต  เมย์กับนัทเลยมองไม่เห็น  แต่บอยมันเห็น  มันเห็นทุกอย่าง  แววตามันพร่ามัวเพราะมีบางอย่างมาบดบัง

   บอยยิ้ม . . .

   . . . ยิ้มทั้งน้ำตา

   บอยไม่รู้หรอกว่าจะดีใจหรือเสียใจ  เพราะความรู้สึกทั้งสองอย่างมันระคนผสมปนเปกันอยู่ในความรู้สึกนั่น   มันอาจรักนัท  แต่เมย์ก็เพื่อนมัน  การที่คนสองคนรักกันมันควรยินดีมิใช่หรือ  มันไม่โทษใครหรอก  ไม่ว่านัท  หรือเมย์

   บอยมันโทษได้ก็แค่ตัวเองเท่านั้น

   มันควรโทษหัวใจตัวเองที่ห้ามไม่ให้คิดกับนัทเกินกว่าเพื่อนไปได้



   ภายในมหาวิทยาลัยร่มครื้นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่  โคนต้นไม้จะมีโต๊ะยาวสำหรับนั่งพักผ่อน  ตอนนี้คนอื่น ๆ  ก็นั่งดีอยู่หรอก  ยกเว้นไอ้คนตัวผอมที่ยืนออกท่าออกทางล้อเลียนเพื่อนที่นั้งก้มหน้าหงุด


   “โด่เอ้ย  ไอ้ห่าอ๋า  อุตส่าห์มาเรียนวิดยา  ดันเสือกอยากไปเป็นขี้ข้าบนเรือบิน” 

   “ไอ้บ้า  ไอ้ควายบอย  กูอยากเป็นสจ๊วตโว้ย”  อ๋ามันเถียงออกนอกหน้า  เพื่อน ๆ 

   “ต๊าย  อีนี่ก๋า  นับวันจะแฮ่นเหลือขน๊าด”  บอยมันอู้คำเมืองแบบงู ๆ  ปลา ๆ  เพราะบ้านมันไม่ได้พูดคำเมืองกันนี่หว่า  แล้วท่าที่มันเท้าสะเอวล้อเลียนอ๋า  ก็ถูกใจเพื่อนกลุ่ม  เรียกเสียงฮากันกระจาย

   “ไอ้บ้า ไอ้ห่าบอย  มาว่าเอาแฮ่น  จะไดมาอู้จะอี้”  คราวนี้คนเมืองแท้งอนค้อนสองสามตลบ

   “เออ  กูไม่ล้อมึงแล้ว  ไอ้ห่านี่  มึงจะไปเป็นจ๊วตทำห่าไรหว๊า  หนอยเป็นมิสเตอร์จั๊กกะแหล่นวิชาภาษาอังกฤษ  เสือกอยากเป็นแอร์ ไปเป็นแอร์บัสเหอะมึง  ท่าจะรุ่งว่าแอร์โฮสเตส”

   “กูจะเป็นจ๊วตโว้ย”  อ๋ามันตะโกนตอบ

   “อ้าวกูนึกว่ามึงผู้หญิงนะเนี่ย  ใช่มะวะ”  ประโยคหลังบอยหันไปขอเสียงสนับสนุนเพื่อน ๆ  ในกลุ่ม  จนบิ้กมันงอนเนตูดบิดหนีไป

   “ไอ้ห่าบอย  มึงไปยั่วมันจนมันเดินงอนไปแล้ว”  ดินเพื่อนในกลุ่มบอก

   “ช่างแม่งมัน  เดี๋ยวมันก็ดีเองแหละ  พวกมึงลองแกล้งไม่สนใจมันสักสองสามชั่วโมงนะมึงเดี๋ยวมันมาง้อเองแหละ”  บอยบอก

   “รู้ใจจริง ๆ  นะมึง  อยู่ห้องติดกันกับมันมาตั้งปีนึง  เสร็จมันหรือยังว่ะ”  ดินเหย้าถาม

   “แหม  พี่ดินข๋า  พี่ดินอย่าพูดแบบนี้สิค่ะ พี่ดินอยู่กับหนูมาตั้งเดือนกว่าแล้วนะค่ะ  แล้วปีนี้พี่ดินต้องอยู่กับหนู๋อีกปีนะค่ะพี่ดิน”  บอยมันกระแดะ  มันกระแซะเข้าไปหาดิน  เรียกเสียงหัวเราะให้เพื่อนในกลุ่มได้ฮาใหญ่

   “โอ้ยห่านี่  เดี๋ยวเหอะมึง  กูคิดมาจริง ๆ  หรอกค่ะน้องบอยข๋า”  ดินมันเล่นด้วย  ทำเอาทั้งกลุ่มหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง

   บอยมันเริ่มสนุก . . . 

   . . . มันเริ่มติดเพื่อนในคณะมากขึ้น 

   มันกลับห้องมืดลง  ทั้ง ๆ  ที่ปีนี้นัทมันย้ายมาอยู่ที่ห้องชั้นเดียวกับบอย  บอยมันรู้ตัวเองดี  มันกำลังวิ่งหนีหัวใจตัวเอง  มันกำลังจะเดินเข้าไปยืนหลังกำแพงที่มันก่อขึ้นมา 

   กำแพงที่กั้นมันกับนัทให้อยู่คนละฝั่งกันอย่างสิ้นเชิง




   เชื้อเห็ดหมดแล้ว  ดอกเห็ดที่เคยตูมขาวผุดไสวลดน้อยลง  แปลว่าเตรียมเพาะรุ่นใหม่ได้  ผักที่ลงในแปลงก็เหมือนกัน  มีลูกค้าจากในเมืองมารับถึงที่  เพราะผักที่แม่นะเริ่มติดตลาด  รายได้ที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นสหกรณ์สามารถทำรายได้ให้กับชาวบ้านได้ดีในระดับนึง  จนทุกคนเริ่มมีความหวังใหม่ ๆ  อีกครั้ง


   “พ่อนัท  เดี๋ยวปันผลเดือนหน้าลุงว่าจะไปดาวน์มอเตอร์ไซด์ใหม่สักคัน  เห็นบ้านแม่แจ่มเขาเพิ่งไปถอยทีวี ๒๑ นิ้วมาจากในเมืองผ่อนเดือนละไม่ถึงพันเอง”  ลุงชม  บอกเมื่อนัทมันกลับมาที่แม่นะอีกครั้ง

   “นั่นนะสิพ่อนัท  ป้าเองก็เก็บเงินสักก้อนจะบวชไอ้ลูกชายมัน  นี่ก็เก็บไว้ได้หมื่นกว่า ๆ  แล้ว”  ป้าแช่มบอกมาเหมือนกัน

   นัทมันได้แต่ยิ้มรับ . . . 

   . . . ทำไมชาวบ้านถึงได้มีแต่เรื่องที่จะจับจ่ายใช้สอยกันนักก็ไม่รู้  ทุกคนล้วนคิดถึงเรื่องเงินที่ต้องจ่ายออกไป

   “พี่ก็ว่าจะไปดาวน์เครื่องสักผ้าสักเครื่องเหมือนกันนะนัท  งานมันเยอะแทบไม่มีเวลาทำงานบ้านเลย”  สารภี  สาวน้อยที่ระเห็จมาจากพิษเศรษฐกิจบอกเหมือนกัน

   นัทมันรับรู้แต่เรื่องที่ชาวบ้านอยากใช้เงิน  จนมันแทบไม่ได้ทำอะไรในวันนั้น  ทุกคนล้วนอ้างภาระความจำเป็นในการใช้เงินแทบทั้งสิ้น  มันคิดจนหัวแทบระเบิด  ทำไมชาวบ้านอยากได้โน่นได้นี่ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักทีนะ

   ปัญหาที่บอยมันเคยคิด  ค่อย ๆ  คลืบคลานเข้ามาหาชาวบ้านแม่นะทีละน้อย

   “เออ  ไหว้พระซะ  อาทิตย์ก่อนไอ้บอยก็เพิ่งจะมา  อาทิตย์นี่แกมา  ดี ๆ  มาอยู่เป็นลุกเป็นหลานบ้านนี้เลยมั้ยละไอ้นัท”  หลวงตาก้องเพิ่งกลับจากรับกิจนิมนต์ที่หมู่บ้านถัดไป  ค่อย ๆ  นั่งลงบนพื้นไม้กระดานขัดมันเรียบ

   นัทค่อย ๆ  รินน้ำชาจากกา  หลวงตาก้องรับไปฉันท์  ก่อนสะบัดสบงไปมาไล่แมลงที่บินว่อน

   “มีเรื่องทุกข์ใจเหรอ  สีหน้าไม่สู้ดีเลย”  หลวงตาถาม 

    นัทมันเก็บอาการไม่อยู่หรอก  เพราะเรื่องที่ชาวบ้านพูดจากัน  มันเข้ามากระทบจิตใจอยู่ตลอดเวลา  แล้วมันก็รู้ว่าความอยากล้วนแต่ไม่สิ้นสุดในชีวิตของคน  เมื่อตอนบ่ายมันปรึกษาลุงกำนัน  ลุงกำนันเองก็ได้รับรู้มาบ้างและยังไม่รู้จะหาทางออกเช่นไรดีกับปัญหาที่เริ่มคลืบคลานเข้ามาเช่นกัน

   “เรื่องชาวบ้านนะครับหลวงตา  ตอนนี้สหกรณ์ปันผลกันทุกเดือน  ชาวบ้านเริ่มมีรายได้  แล้วเขาก็เริ่มอยากมีโน่นมีนี่  ผมไม่ได้ดูถูกชาวบ้านนะครับที่อยากได้โน่นได้นี่  แต่ว่าการไปซื้อสินค้าเงินผ่อน  ดอกเบี้ยมันแพงนะครับ”  นัทเล่าความ

   “เออ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน  อ้าว  พ่อดวง มา ๆ  เข้ามา”  หลวงตาก้องหันไปเห็นกำนันที่ก้าวเท้ายาว ๆ  มาทางหลวงตา

   “เป็นไงบ้างพ่อนัท  เรียนปรึกษาไปยัง”  กำนันดวงหันมาถาม

   “กำลังเริ่มครับลุง” 

   “ไอ้ดวงละคิดว่าไง”  พระนักพัฒนาหันไปขอความเห็นจากกำนัน

   นัทนั่งนิ่ง  ดูผู้นำสองคนใช้ความคิดกัน 

   กำนัน . . .

   . . . ผู้นำของคนทั้งตำบล 

   กับ

   หลวงตา . . . ผู้นำทางด้านจิตใจ

   “ไอ้กระผมจะพูดมันก็เกรงจะกระทบใจกันปล่าว ๆ  หลวงตา  แต่ละคนก็พี่น้องกันทั้งนั้น  หวังพึ่งบารมีหลวงตานี่แหละขอรับ”

   สีหน้ากำนันดวงกังวล 

   “เอ้า  เอาไงเอากันเดี๊ยวพรุ่งนี้เพลเสร็จข้าจะลองคุยดูอีกที  ไม่ใช่กิจของสงฆ์ก็เหมือนกิจของสงฆ์แหละว้า” 
   


   ข่าวหลวงตาก้องจะบอกทางสว่าง แพร่กระจายไปที่แม่นะอย่างรวดเร็ว  ราวไฟลามทุ่ง กำนันดวงหันมายิ้มกับนัท  เมื่อเห็นว่าผู้คนต่างมาทำบุญกันแน่นศาลา  บางคนจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่หลวงตาก้องจะคุยให้ฟัง

   “แม่ทองคำ  หรือหลวงตาจะให้เลขเด็ดหว่า”  ยายแช่มเขี่ยปูนในใบพลูเขียว  ก่อนจะเข้าปากเคี้ยกร้วม ๆ

   “ก็รอฟังอยู่นี่แหละแม่แช่มเอ้ย”

   “ถ้าบอกตรง ๆ  นะยายฉันจะทุ่มสุดตัวเลย  จะเอาไปซื้อเครื่องซักผ้า  สารภี  สาวน้อยที่เริ่มยิ้มหน้าใส  ผิดกับตอนกลับมาใหม่ ๆ

   “นั่นนะสิ  อีหนูเอ้ย  ลุงก็จะเอาไปดาวน์รถคันใหม่สักคัน”  ลุงชมนั่งอยู่ใกล้ ๆ  กันหันหน้ามาบอก

   เสียงคนโน้นคนนี้จับกลุ่มกันเซ็งแซ่

   ฝูงชนค่อย ๆ  แยกกันเป็นทางเพื่อให้หลวงตาก้องเดินผ่านไปนั่งบนอาสนะ  หลวงตาหันมายิ้มกับชาวบ้าน  ที่กำลังจ้องหลวงตากันแทบตาไม่กระพริบเพื่อรอดูว่าหลวงตาก้องจะทำเช่นไรต่อไป

   “ได้ข่าวว่าหลวงตาจะบอกสูตรแก้จนหรือเจ้าค่ะ”   ยายทองทำโผล่งมาก่อนใครเพื่อน

   หลวงตาก้องหันไปยิ้มเช่นเคย 

   “ได้ยินมาอย่างนั้นรึแม่ทองคำ”

   “ก็ชาวบ้านเขาลือกันนี่เจ้าค่ะ”  หญิงฟันดำเพราะน้ำมาก  ยกผ้ามาซับที่มุมปาก

   “เลยเชื่อตามงั้นสิ”

   “แหมหลวงตาเจ้าข๋า  หลวงตานิมิตดีหรือเจ้าค่ะ  เล่ามาก็ได้เจ้าค่ะ  พวกชาวบ้านจะได้สบายสักที”  สารภีในชุดสวย  ยิ้มสดใสกว่าวันวานก้มลงต่ำ

   “เออ  พวกเอ็งอยากสบายใช่ไหม”  เสียงหลวงตาก้องเปี่ยมด้วยเมตตา

   “เจ้าค่ะ  ขอรับ”  เสียงตอบรับจากชาวบ้าน  ที่กระเถิบกันเข้ามาใกล้หลวงตาก้อง

   ความหวังของชาวบ้าน  ที่หวังว่าจะได้เลขเด็ดจากหลวงตาก้อง  พระที่ไม่เคยใบ้หวย  และยิดติดกับวัตถุมงคลทั้งหลายกระแอมในลำคอเล็กน้อย  ก่อนที่จะเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด

   “จงหยุด  และก็พอ”  หลวงตายิ้ม

   ชาวบ้านหันหน้าเข้าหากัน . . . 

. . . ตีความหมายของปริศนาธรรมที่หลวงตาก้องเอ่ยออกไป  บางคนตีเป็นตัวเลขโน้นตัวเลขนี้  มีเพียงกำนันดวงกับนัทเท่านั้นที่มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันเพราะเข้าใจในความหมายของคำพูดหลวงตาก้อง

   “ขอแม่น ๆ  แผง ๆ  เลยได้มั้ยเจ้าค่ะหลวงตา”  ยายแช่มต่อรอง

   “อ้าวที่ข้าพูดนี่ยังไม่แม่นอีกหรือ . . .”   หลวงตามองก่อนยิ้ม

“. . . เอาละข้าจะอธิบายให้ฟัง”

   เสียงที่ดังระงม  เงียบลงทั้งศาลา  ต่างคอยเงี่ยหูฟัง  ด้วยความหวังว่าหลวงตาจะให้ทางสว่าง  บางคนมาดหมาย  ทุ่มหมดหน้าตัก

   “. . . จงหยุด  คือจงหยุดความอยากทั้งหลาย  อยากได้  อยากมี  ความอยากมันไม่สิ้นสุดหรอก  มันเป็นกิเลส  เมื่อพวกเจ้าอยากได้โน่นอยากได้นี่  พวกเจ้าก็ต้องขวยขวาย  แล้วเป็นไงล่ะ  มันก็เหนื่อยอีก  ซื้อสินค้าเงินผ่อนมันก็ดอกเบี้ยทั้งนั้น  ตอนนี้เพิ่งลืมตาอ้าปากกันได้  อยากจะกลับไปตกในวังวนเก่า ๆ  ที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่ายดอกเบี้ยอีกหรือ  ถ้าพวกเจ้าหยุดสิ่งเหล่านี้ได้  ค่อย ๆ  เก็บหอมรอบริบไป  แล้วเมื่อมีกำลังพอก็ค่อยขยับขยาย  ไม่ใช่ไปเป็นหนี้เพื่อมาขยายฐานะ  มันไม่ถูกต้อง”   หลวงตามองไปทางกำนันดวง

   กำนันยิ้ม . .

   “. . . ส่วนก็พอ  ให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  รถเก่า ๆ  ซ่อมนิดหน่อยมันก็ยังขับได้  ผ้าผ่อนก็ซักได้ด้วยมือนี่แหละ  ทีวี ๑๔  นิ้วมันก็รายการเดียวกับ ๒๑  นิ้ว  มันไม่แตกต่างกันหรอก  ให้เรารู้จักพอ  พอใจใจสิ่งที่ตัวเอาเองมี  แล้วเมื่อนั้นเราจะมีเงินทองเหลือเก็บ  เรามีเงินเหลือเก็บเราก็ได้ชื่อว่ารวย  รวยด้วยน้ำพักน้ำแรง  โดยไม่ต้องเป็นหนี้ใครเขาอีก”

   หลวงตาก้องหยุดนิ่ง  . . .

   . . .  มองดูชาวบ้าน  ทั้งหมดเหมือนจะเข้าใจ  เพราะต่างนิ่งเงียบ

   “ข้าเป็นพระพูดมากจะไม่งาม  แต่พวกเอ็งพึงระลึกเอาไว้  เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนเป็นยังไง  หนี้สินพะรุงพะรัง  ไม่ใช่เพราะไปเชื่อเขามาไปผ่อนเขามาดอกหรือ  แล้วเป็นไงล่ะ  ทีนี้พอสบายขึ้นมาหน่อย  พวกเอ็งกลับอยากจะลงไปลำบากแบบเก่าอีกเหรอ  เอาแบบนั้นก็ได้  ข้าจะไม่ห้ามละ  ใครอยากไปดาวน์  ไปผ่อนอะไรเชิญเลย  ใครจะจัดงานบวชลูกชายล้มหมูล้มวัวให้มันดังไปทั้งอำเภอก็ตามสบาย  แต่ถ้าใครไม่มี  เอามานี่  ข้าจะบวชให้  คนจะบวชมันอยู่ที่พระ  ไม่ใช่อยู่ที่ต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่ขนาดคนลือไปทั้งตำบล  ข้าพูดแค่นี้หวังว่าคงเข้าใจนะ”  หลวงตาก้องขยับกายจะลุกขึ้น

   ชาวบ้านก้มลงกราบ  ก่อนจะค่อย ๆ  หลีกทางให้พระนักพัฒนาเดินลงไปจากศาลาอย่างเงียบ ๆ 

นัทยิ้ม . . .

. . .   มันเข้าใจ 

นัทมันเข้าใจในทุกคำสอนของหลวงตาก้อง  มันหวังเอาไว้ลึก ๆ  อยากให้ชาวบ้านเข้าใจแบบที่มันเข้าใจ 

   แค่ทุกคนเข้าใจคำว่า . . .

. . . หยุด

   และ . . . พอ



   นัทลงจากรถที่ตลาดหลังมอ บนหลังมันมีเป้ใบเก่ง  ส่วนอีกสองมือก็ถือชะลอมที่ชาวบ้านแม่นะฝากมา  เขาเดินผ่านหน้าประตูมาอย่างเงียบ ๆ  คำสอนของหลวงตาเมื่อตอนเพลยังก้องอยู่ในหัว


   มันยิ้ม . . . 

   . .  มันเดินเข้ามายังหอภายในมหาวิทยาลับอย่างมีความสุข

   “อ้าวบอย จะไปไหน”  มันหันมายิ้มกับบอย 

   มันไม่ได้เจอบอยนานเท่าไหร่แล้วหว่า  มันไม่แน่ใจ  เพราะมันเองก็ไม่ได้นับ  มันอยู่หอเดียวชั้นเดียวกัน  แต่มันกลับไม่ได้พบเจอกัน  เหมือนอยุ่กันคนละฟ้ากั้นมิปาน

   “นี่  ยายแช่มฝากลำไยมาให้บอยแน่ะ”  นัทส่งชะลอมให้

   “ขอบใจนะ”  บอยบอกสั้น ๆ

   “เห็นหลวงตาบอกอาทิตย์ก่อนบอยแวะไปเหรอ  ทำไมไม่รอไปพร้อมกันอาทิตย์นี้ละบอย”  นัทมันหันมาถาม  ขณะที่บอยตัดสินใจเดินกลับห้องพร้อมนัท

   บอยมันล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปหาอะไรกินข้างนอกเสียสนิท

   “พอดีมีงานที่คณะเมื่อวาน  เลยต้องไปก่อน” 

   “วันนี้หลวงตาเทศน์ยาวเลยล่ะ  เทศน์เสียจนชาวบ้านเคลิ้มไปเลย”  นัทมันยิ้ม  เมื่อมันนึกถึงภาพเมื่อตอนสาย

   บอยรับฟังอย่างเงียบ ๆ  มันยินดีที่จะรับฟังเรื่องราวจากปากของนัท  มันอยากร่วมรับรู้ทุก ๆ  เรื่องของนัทเสียด้วยซ้ำไป  มันอยากทอดระยะจากตรงนี้กับหอให้ยากออกไปไกลสุดสายตา  เพื่อว่ามันจะได้เดินบนถนนเส้นนี้กับนัทนาน ๆ  แต่มันได้แค่คิด เพราะความจริงก็คือความจริง

   ความจริงที่นัทเห็นมันเป็นแค่เพื่อนคนนึงเท่านั้น

   “ว้าถึงหอแล้ว  ยังไม่ได้คุยไรกันเลย  เอางี้  นัทฝากเป้ให้บอยเอาไปเก็บที่ห้องนัทด้วยนะ  เดี๋ยวนัทจะเอาลำไยชะลอมนี้ไปฝากเมย์  แล้วเราค่อยคุยกันคืนนี้  บนดาดฟ้าดีมั้ย  ไม่ได้ขึ้นไปนานแล้ว”  นัทส่งเป้ให้บอย

   บอยยิ้ม . . . 

   . . . แม้ในแววตามันออกจะรวดร้าวสักหน่อย  นัทมีเมย์ในห้วงความคำนึงอยู่ตลอดเวลา  ส่วนมันนะเหรอ  มันเคยอยู่ในสายตาของนัทบ้างใหมนี่  มันรับเป้มาจากนัท  ก่อนที่จะมองนัทเดินลับสายตาไปอย่างเงียบ ๆ

   บอยมันไม่รู้ตัวเลย . . . 

   น้ำตามันเอ่อออกมาโดยไร้เหตุผล  เมื่อเห็นนัทหิ้วชะลอมลำไยเดินไปทางหอเมย์  มันพยายามที่จะห้ามตัวเอง  ห้ามหัวใจตัวมันเองแหละ

   เมื่อใดรัก . . .

   . . . มีแต่การให้โดยไม่ต้องการการครอบครอง

   รักนั้นสว่างไสวใยยองประดุจทิพยธารสายน้ำอันเย็นฉ่ำแตะต้องตรงที่ไหนเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ

   เมื่อใดรัก . . .

   . . . หวงแหนเป็นของตน

   รักนั้น . . .

   . . . มิแตกต่างไปจากลาวาร้อนรน เผาหัวใจของตนให้หมองไหม้ พินาศลงในพริบตา



yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #51 เมื่อ10-07-2009 08:27:43 »

เรื่องนี้อ่านกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อเลย

เอามาเขียนใหม่ก็ยังติดตามอ่าน

เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ชอบบอยมากถึงมากที่สุด o13

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #52 เมื่อ10-07-2009 20:52:54 »

นับถือบอยจริงๆนะเนี่ย ที่ยอมอยู่อย่างทุกข์ใจเพื่อความรักอะ

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #53 เมื่อ10-07-2009 23:40:30 »

อายแล้วเหนื่อยใจแทนบอย หวังว่าจะไม่เจอจุดพลิกพลันจนรับมือไม่ทันกันทั้งคู่่น่ะครับ

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #54 เมื่อ11-07-2009 12:11:39 »

ต อ น ที่  ๑๓
ร อ คอย  .  .  .


   บอยกั้นหัวใจตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา มันไม่ยอมวอกแวกหันเหความคิดไปทางอื่น  บอยพยายามรักษาความพิสุทธิ์ของหัวใจไว้  มันแน่วแน่ต่อมิตรภาพ  ที่มันมีต่อนัท  บอยมันเริ่มเข้าใจ  สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความเปลี่ยนแปลง   


   เหมือนโลก . . . 

   . . . โลกหมุนเวียนเปลี่ยนเป็นฤดูกาล  ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของผู้คนที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปมีทั้งดีและไม่ดี

   ลมพัดหวีดหวิว  คล้ายจะมีฝนตก  ช่วงนี้กำลังเปลี่ยนฤดูจากฤดูร้อนเป็นฤดูฝน  บางวันฝนตกลมกรรโชกแรง  แต่คืนนี้มีเพียงแค่ลมพัดแรงเท่านั้น  บอยค่อย ๆ  แหงนมองฟ้า  คืนนี้ดาวสวย  ระยิบระยับวับวาวไปทั่วท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม  แสงดาวแวววับกระพริบถี่ ๆ  บอยมันยิ้มกับฟ้า  มันไม่รู้หรอกเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน  บอยรู้เพียงแต่ว่า  นัทบอกว่าจะมา  มันจำต้องรอ

   บอยมันรออย่างมีความหวัง

   เวลาในการรอที่มีหวัง  มันไม่นานหรอก  คนรอไม่เคยรู้สึกว่านาน  เพราะอย่างน้อยมันก็คิดเพียงว่าเดี๋ยวคงมา . . .

   . . . อีกเดี๋ยว

   ผิดกับ

   การรอแบบไร้หวัง . . .

   . . . มันช่างเนิ่นนาน  นิรันดร์กาล

   เสียงเวลาเที่ยงคืนจากหอนาฬิกาดังกระหึ่มมานั่นแหละ  บอยมันถึงรู้เวลา  มันดึกแล้ว  มันรอมากี่ชั่วโมงแล้วหว่า  เมื่อมันคิดแววตามันเศร้า 

   ใช่ . . . 

   . . . มันคิดไปเอง 

   มันคิดไปเองว่านัทจริงจังกับคำพูด  มันน่าเฉลียวใจก่อนหน้านี้  บางทีนัทอาจแค่บอกไปเรื่อยเปื่อย  มันคิดเอาเองทั้งนั้น  นัทอาจสนใจมันบ้าง  แต่เมื่อเวลานี้แล้วมันรู้แล้วมันคิดผิด  คิดผิดจริง ๆ

   บอยค่อย ๆ  แหงนหน้ามองฟ้า  ดวงตาบอยพร่าพราว  บอยมันยายามที่จะสั่งบางสิ่งบางอย่างให้กลับลงไปข้างใน  ให้มันกลับไปรดรินหัวใจที่มันกำลังแหลกราญเพราะไร้ความหวัง  แต่มันยิ่งสั่งมันยิ่งแพ้  บอยมันแพ้ตัวเองต้องยอมก้มหน้าน้ำตาร่วงพรู

   ตอนกระพริบตา  บอยรู้สึกว่าขอบตามันแห้งเจ็บ  เมื่อน้ำตามันไม่ยอมไหลย้อนลงในหัวใจ  ร่างมันทั้งร่างคล้ายต้นไม้ที่ขาดน้ำ

   น้ำฝน . . .

   . . . มาจากเมฆ

   แม่น้ำสายใหญ่ . . .

   . . . มาจาก ห้วย ธาร สายเล็ก ๆ

   น้ำค้าง . . .

   . . . มาจากสายหมอก

   ใครก็ได้บอกได้ไหม . . .

   . . . บอกฉันที

   น้ำตามาจากไหน ?

   เมื่อตอนค่ำ ๆ มันยังมีความหวังไว้เต็มเปี่ยม  มันหวังที่จะได้พบเจอนัทอีกสักครั้ง  บนดาดฟ้านี่  บนที่ของมัน  ที่นี่มีความทรงจำที่ดีสำหรับมันกับนัท  มันอยากเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้กับตัว กับหัวใจ

   มโนภาพ . . .

   . . .  งดงามกว่าความจริงเสมอ  โลกในมโนภาพสวยสดงดงาม  น่าอยู่กว่าโลกแห่งความเป็นจริง  เพราะโลกในมโนภาพจะแต่งแต้มวาดไว้อย่างไรก็ย่อมได้  ขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงนั้น  แปรเปลี่ยน  ไม่เคยจีรังยั่งยืน

   ความแปรเปลี่ยน ก่อให้เกิดทุกข์

   บอยมันฟุบหน้าลงกับต้นแขน  มันใช้สายลมปลอบประโลมให้หัวใจคลายเศร้าหมอง  ใช้ท้องฟ้าห่มกอดตัวเองเอาไว้กันหนาวเหน็บ  ใช้แสงดาวนับล้านเป็นแสงสว่างนำทางหัวใจของมัน  แล้วบอยมันก็เผลอหลับไป . . . 

   . . . หลับไปทั้งน้ำตา




   ปลายนิ้วเบา ๆ  แตะที่ไหล่  บอยมันยิ้ม  มันฝัน  นัทเดินเข้ามาหามัน  นัทจริง ๆ  ที่เดินมา  นัทมันอาจมาสายแต่นัทก็มา  ปลายนิ้วที่ไหล่มันไง  ยังอยู่มั้งบอยมันรู้สึกตัว  มีอีกมือแตะอยู่ที่ไหล่มันจริง ๆ    มันไม่ฝันไป  มันไม่ได้ฝันไปเลย


   “นัท” 

   บอยมันเอ่ยเบา ๆ  ก่อนจะหันหน้ามามองเจ้าของมือ แววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังของบอยเศร้าสร้อย  บอยรู้แล้วว่าความฝันมันมีความสุข  ความฝันไม่เคยทำร้ายใครหรอก  มันคิดไปเองฝันไปเองคนเดียว

   “เป็นอะไรไปมึง  มาหลับทำไมบนนี้”  เจ้าของมือนั่งลงที่ม้าหินอ่อนตรงกันข้ามกับบอย

   “ไม่มีอะไรหรอก  แล้วทำไมมึงยังไม่นอนว่ะ”  บอยมันหยิบกีตาร์มาเกาเล่น  มันอยากหลบสายตาเพื่อนที่จ้องมองมันมากกว่า

   “เป็นห่วง  เห็นหายมานาน  นอนหลับไปตื่นนึงเห็นบอยยังไม่เข้ามาเลยขึ้นมาดู”  แววตาดินมันห่วงจริง ๆ 

   บอยมันเกลียดแววตาแบบนี้นัก  แววตาที่บอยเองก็ไม่อยากจะหาคำตอบ

   “เขาไม่มาหรอกบอย  อย่ารอเลย”

   บอยหันกลับมามองหน้าดิน  ดินรู้อะไร  ดินมันพูดอะไรแปลก ๆ  มันไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้  แล้วทำไมดินมันถึงพูดแบบนี้  ดินมันรู้อะไรเกี่ยวกับมันหรือ  บอยมันหวาดหวั่น  มันไม่กลัวหรอกถ้าดินจะรู้ว่ามันเป็นแบบนี้  แต่มันกลัว  ดินจะมองอีกคนมากกว่า  มันคงทนไม่ได้  ถ้าดินคิดว่านัทเป็นเหมือนมัน

   “พูดอะไร  ไม่เห็นเข้าใจ  บ้ามั้ยมึง”  บอยมันไล่เสียงกีตาร์ไปเรื่อย

   “บอย  ถ้าแกคิดว่าแกหลอกตัวเองแล้วมีความสุข แกหลอกไปเลยนะโว้ย  แต่แกจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต  เพราะใจแกคิดอยู่เสมอว่าแกหลอกตัวเอง  กูเพื่อนมึงนะโว้ยไอ้บอย  ถ้ามึงหันมามองกูสักครึ่งนึงของสายตาที่มึงมองเด็กวิศวะ  มึงจะรู้เองแหละว่าสิ่งที่กูพูดคืออะไร”

   บอยมันเอ๋อไปชั่วขณะ . . . 

   . . . คำพูดของดิน  มันเสียดแทงหัวใจบอยอยู่ลึก ๆ  ใช่  มันหลอกตัวเองแหละ  แล้วใครจะทำไมล่ะ  ในเมื่อมันก็ตัวของมันเองนี่หว่า  มันมองหน้าดินก่อนถอนหายใจเบา ๆ 

   “ช่างแม่งเหอะ  เอากีตาร์มาดิ  เดี๋ยวจะเล่นให้แกฟังสักเพลง ฟังดี ๆ นะไอ้บอย”  ดินยิ้ม

   “เออ  เพลงไรล่ะ  บอกมา  จะได้เป่าเม้าท์ออแกนคลอด้วย”

   ดินยิ้ม . . . 

   . . . มันมองบอย 

   แบบเดียวกับที่บอยมองนัทแหละ  แต่บอยไม่เคยมองมันหรอก  เพราะในสายตาของบอย  บอยมันไม่มองใครอยู่แล้วล่ะ  สายตามันมีไว้มองแค่คน ๆ  เดียวเท่านั้น

   “ถ้าคิดว่า  เล่นได้  ก็เล่นตามดิ”  ดินมันยิ้ม  พลางเอากีตาร์  มาวาง  ก่อนจะ ค่อย ๆ  ขึ้นทำนองเพลง ดินหันมายักคิ้วให้บอย  สายตาจับจ้องใบหน้าเพื่อนร่วมห้องเอาไว้


  ยังเป็นเธอที่ทนเจ็บซ้ำหัวใจ  รู้ว่าเขาจากไปไม่ร่ำลา

เขาที่ทิ้งให้เธอต้องเสียน้ำตา  เธอก็ยังไม่เคยลืมไป

ฉันก็รู้ว่าเธอรักเขา  ถ้าหากต้องทำให้เธอเจ็บ

ก็ขอให้รักตัวเอง  อย่ารออีกเลยเธอ  เขาคงไม่มา

อย่ารอให้เวลาซ้ำเติมเธอให้มากมาย

หากไม่ลืมเขาให้เธอได้เข้าใจ

มีคนที่เป็นห่วงอยากเห็นเธอดีขึ้นมาเหมือนดังเดิม

เพราะฉันก็รู้ว่าเธอปวดร้าวเพียงใด  ในเมื่อเธอยังคิดถึงเขาอยู่

เขานะหรือก็คงไม่แคร์และไม่รับรู้เธอจะเป็นจะอยู่ยังไง

ทรมานในใจของฉัน  ไม่อยากให้เธอต้องทนอยู่กับรักที่เลื่อนลอย

อย่ารออีกเลยเธอ  เขาคงไม่มา

อย่ารอให้เวลาซ้ำเติมเธอให้มากมาย

หากไม่ลืมเขาให้เธอได้เข้าใจ

มีคนที่เป็นห่วงอยากเห็นเธอดีขึ้นมาเหมือนดังเดิม

ทรมานในใจของฉัน  ไม่อยากให้เธอต้องทนอยู่กับรักที่เลื่อนลอย

อย่ารออีกเลยเธอ  เขาคงไม่มา

อย่ารอให้เวลาซ้ำเติมเธอให้มากมาย

หากไม่ลืมเขาให้เธอได้เข้าใจ

มีคนที่เป็นห่วงอยากเห็นเธอดีขึ้นมาเหมือนดังเดิม


   ดินเล่นไปร้องไป . . .   

   . . . แต่

   สายตาจับจ้องที่บอยตลอดเวลา  บอยไม่อยากอ่านสายตา  ไม่อยากอ่านความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม  ถ้าบอยมันคิดไปเองอีกมันจะเจ็บเสียเปล่า ๆ  เสียงทำนองกีตาร์ของดินกับเสียงเป่าเม้าท์ออแกนของบอยบาดลึก  ไปในหัวใจของทั้งสองฝ่าย  ที่ไม่ยอมเปิดรับมัน

   “จะไปนอนแล้วนะ  ง่วงว่ะ”  บอยมันลุกเดิน  เมื่อดินเล่นเพลงจบ 

   บอยมันรู้ . . .

   . . .  สายตามันสื่ออะไรได้มากกว่าคำพูดเสมอ  แต่ในห้วงเวลานี้  บอยมันไม่อยากรู้อะไรมากกว่านี้อีกแล้ว

   ดินได้แต่เดินตามบอยลงมาเงียบ ๆ 



   นัทแจ้งเจ้าหน้าที่หอพักว่าต้องการมาเจอใคร  แล้วนัทก็มานั่งรอเมย์ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้  นัทแหงนหน้าไปทางประตูหอหลายครั้ง  นัทกระวนกระวายใจ  หลายวันมานี่เขาไม่ได้เจอเมย์  มันช่างนานเนิ่นเสียเหลือเกิน  นัทยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นเมย์ก้าวเดินมาใกล้ ๆ

   “มาซะมืดเลยนัท  มีอะไรด่วนมั้ย”  เมย์นั่งลงใกล้ ๆ 

   “เพิ่งกลับมา  เอาลำไยมาฝากเมย์  แต่คงน้อยกว่าความคิดถึงของนัทมั้ง”  นัทยิ้ม

   เมย์ย่นจมูกใส่นัท  ระยะหลังนัทพูดจาหวาน ๆ  ใส่  เมย์เองก็ชอบตามประสาคนที่รักกัน   ถ้าอยู่กันแค่สองคน  แต่ถ้าอยู่หลาย ๆ  คน  เมย์ก็อายเหมือนกัน

   “นัทน่ะพูดอะไรไป  อายคนอื่นเค้า”  เมย์ก้มหน้า

   “อายทำไม  ไม่มีใครสักหน่อย  หิวข้าว  เมย์ออกไปกินข้าวกับนัทหน่อยได้มั้ย”  นัทมองหน้าเมย์  พยักเป็นเชิงขอร้อง

   เมย์ทำท่าคิด  แต่ก็ตอบตัวเองได้แล้ว  เพียงแต่นิสัยผู้หญิงยังมีอยู่มากมั้ง  เลยดูเหมือนว่าเมย์กำลังเล่นองค์ทรงเครื่องอยู่สักเล็กน้อย  เมย์ชายตามาที่นัท เห็นแววตานัทที่อ้อนวอน  เมย์ได้แต่พยักหน้ารับ

   “กลับมาก่อนสี่ทุ่มนะ  เดี๋ยวหอปิด”

   “ครับผม”  นัทเอาสามมือแตะที่ปลายคิ้ว 

   “รอเมย์สักแปบนะ  เอาลำไยไปให้สาวก่อนเดี๋ยวลงมานะ”

   แค่รอยยิ้มของเมย์ . . . 

   . . . นัทมันก็ลืมเหนื่อย 

   มันลืมไปเสียแล้วว่า  สองวันก่อนยังง่วนกับการช่วยงานที่แม่นะ  แต่วันนี้แค่นัทมาเจอเมย์  นัทมันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง  นัทมันอยากให้เวลาระหว่างนัทกับเมย์มีมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ

   นัทคงรู้แล้ว . . .

   . . .  ความรักมีพลานุภาพ  ทำให้โลกนี้น่าอยู่

   แต่ที่นัทไม่รู้  ยังมีอีกคนที่อยู่ได้ด้วยการ . . .

   . . . รอคอย

   เมย์กลับลงมาอีกครั้ง  พร้อมทั้งชูพวงกุญแจรถไปมา  นัทมันทำหน้าแปลกใจ  เมื่อเมย์ส่งกุญแจรถให้นัท

   “เมื่อวันเสาร์  พ่อมา  สงสารเมย์มั้งเลยไปซื้อรถป็อบมาให้นะ  สองคนน่าจะไปไหวนะ  ดีกว่าเดิน”  เมย์เดินนำมาที่รถคันใหม่ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของหอ

   นัทมองที่รถ  แล้วก้มมองตัวเอง  ก่อนจะมองที่เมย์  รถคันนิดเดียวเอง  จะไหวเหรอ  มันน่าจะเขกกะโหลกตัวเองนัก  ทำไมเมื่อกี้ไม่แวะเอารถที่หอนะ  ไม่น่ารีบเดินมาหาเมย์เลย  หรือเพราะนัทรีบ ใจจดจ่ออยู่ที่เมย์เลยลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

   “จะไหวเหรอเมย์”  นัทขึ้นคร่อมที่เจ้ารถคันเล็ก  แล้วหันมามองด้านหลัง  ที่มีที่ว่างไม่มากนัก

   “น่า  แค่หลังมอเองนัท  ดีกว่าเดินนะ”  เมย์พยักหน้า

   “เอ้า  ไหวก็ไหว  ขึ้นมา”  นัทเอามือตบที่เบาะหลังก่อนที่จะ ค่อย ๆ  ออกตัวไปช้า ๆ



   นัทเดินผิวปากเข้ามาในหออย่างอารมณ์ดี  เขานึกถึงภาพที่เมย์ซ้อนท้ายรถคันเล็กของเมย์  แล้วนัทมันยิ้มกว้าง  ไม่เหมือนตอนที่เมย์ซ้อนเจ้าดรีมคันเก่งของนัทเลยสักนิด  รถเมย์คันเล็กกระจ้อยร่อยไปเลยเมื่อต้องซ้อนทั้งนัทและเมย์  แต่นัทมันกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นยามเมย์เอามือเกาะไว้ที่เอว

   “เฮ้ย  ยิ้มมาแต่ไกลเลยเพื่อน  สงสัยได้ยาดี”  น้ำเพื่อนร่วมห้องเอ่ยทักเมื่อนัทเปิดประตูห้องเข้ามา
   
“อะไร  กูยิ้มก็ผิดด้วยเหรอ”  นัทมันเดินไปที่เป้ที่ยังกองอยู่  นัทเปิดเป้  หยิบเอาลำไยในถุงที่ใส่ไว้ในเป้มาโยนไปให้น้ำ

   “เอ๊า  แดกซะ  จะได้ไม่ต้องพูดมาก”

   น้ำใช้สองมือรับคล้ายนายประตูรับลูกฟุตบอล  พลางแกะปากถุง  ลำใยสดใหม่ลูกโต  ส่งกลิ่นหอมชวนกิน  น้ำหยิบลำใยออกมาช่อใหญ่  พลางใช้สายตาพิจารณา

   “โอ้โฮ  มิน่าเพื่อนเราตาหวานเยิ้มมา  สงสัยไปแม่นะกินลำไยมาทั้งสวนแน่”  น้ำพูดพลางใช้มือแกะลำใยเข้าปาก

   “ยัง  ยังไม่เลิก เดี๋ยวอดเลยมึง”  นัทมันยื่นมือจะคว้าถุงลำใย  แต่น้ำดึงถุงหนี

   “ยากว่ะเพื่อน  อ้อยเข้าปากช้างแล้วว่ะ  เออ  เกือบลืมไป  เมื่อวานแม่เอ็งโทรมาแน่ะ  ข้าบอกไปแม่นะ  แม่สั่งไว้ให้แกรีบโทรกลับ  สงสัยมีเรื่องด่วนว่ะ” 

   “เหรอ  ขอบใจโว้ย  งั้นกูออกไปโทรหาแม่ก่อนนะโว้ย”

   นัทมันหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า  แต่หูของนัทคลับคล้ายคลับคลามีใครร้องเพลงอยู่แว่ว ๆ  เสียงเพลงคล้ายเสียงกีตาร์กับเม้าท์ออแกนผสมกัน  นัทพลิกตัวไปมาคล้ายว่ายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง  แต่ความเหนื่อย  มันมีมากกว่าความอยากรู้  นัทมันพยายามข่มตาหลับอีกรอบ  พอ ๆ  กับเสียงเพลงนั้นขาดหายไปในที่สุด

   แล้วนัทมันดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน . . . 

   . . . จริงสิ 

   มันเป็นคนบอกบอยเองให้รอที่ดาดฟ้า 

   ตายแล้ว . . . 

   ป่านนี้บอยมันไม่รอแย่แล้วเหรอ  มันออกไปกินข้ากับเมย์กลับเข้ามาก็ออกไปโทรศัพท์กลับบ้านอีก  นัทมันวุ่นจนลืมเสียสนิท  เสียงเพลงเมื่อกี้  แสดงว่าบอยมันยังไม่หลับ  บอยมันอาจจะรอที่ดาดฟ้า  เร็วเท่าความคิดนัทมันเดินออกจากห้องไปยังจุดหมายในทันที

   ลมพัดโบกมาปะทะใบหน้า . . .

   . . . นัทมันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ  ดาดฟ้า

   ทุกอย่างล้วนเงียบสนิท  ไม่มีใครอยู่บนนั้นเลย  และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเสียด้วยซ้ำ  นัทมันเดินมาช้า ๆ  มานั่งที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม  ที่มันเคยนั่งกับบอย  นัทมันส่ายหน้าช้า ๆ  นึกขันตัวเอง  มันคงหูแว่วไปเองแหละ  ใครจะบ้ามานั่งรอมันจนป่านนี้  นัทแหงนหน้ามองฟ้า  ฟ้าคืนนี้สวยแหละ  ดาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้า



   ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา  ใต้ร่มไม้มีโต๊ะไม้รูปแบบเดียวกันตั้งวางเอาไว้สำหรับให้นักศึกษาได้ใช้นั่งอ่านหนังสือหรือพักผ่อน    บอยมันนั่งอยู่ตรงนั้น  บอยนั่งอยู่นานแล้ว  นานพอ ๆ  กับที่คนที่วิ่งไล่แตะบอลอยู่ในสนามลงเล่นนสนามนั่นแหละ  นับตั้งแต่คืนนั้นบอยมันบอกตัวเอง

   พอเถอะ . . . 

   . . . เหนื่อย

   มันเหนื่อยที่จะวิ่งไล่หัวใจตัวเอง

   บอยยินดีที่จะนั่งเงียบ ๆ  ในมุมที่นัทจะไม่มีวันที่เห็นมันเด็ดขาด  มันพอใจที่จะอยู่ในมุมตรงนี้  มุมที่บอยขีดเส้นให้ตัวเองเอาไว้แค่นี้ จริง ๆ  บอยมันเห็น  คนที่วิ่งไล่บอลอยู่ไกล ๆ  มันจำได้แทบทุกอณูของคนไกลด้วยซ้ำ 

   นั่นไง . . .   

   . . . เขาโฉบได้ลูกจากริมเส้นด้านซ้าย  ค่อย ๆ  เลี้ยงหลบ  แล้วลากบอลเข้าไปในฝั่งของคู่ต่อสู้  มือก็คอยส่งสัญญาณให้เพื่อน  แต่แล้วบอยมันแทบหัวใจหลุดลงกองตรงพื้น

   เมื่อร่างที่มันจับจ้องอยู่  ปะทะเข้ากับอีกร่างอย่างจัง ! 

   บอยมันชาวาบ . . . 

   . . . เพราะมันเห็นนัทลงไปนอนกองกับพื้น  เอามือจับหัวเข่าด้านซ้ายเอาไว้  นอนบิดไปบิดมาคล้ายคนเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  บอยมองเห็นเพื่อนในทีม ประคองปีกนัทออกมาที่ข้างสนาม  บอยเห็นชัดเจน  เมย์นั่นอีกที่ปรี่เข้าไปหานัท  เมย์เอาน้ำแข็งห่อผ้ามั้งประคบที่หัวเข่านัทที่นัทนอนร้องโอดโอยอยู่ไกล ๆ

   บอยมันอยากเจ็บแทนนัทเหลือเกิน  แม้มันอยู่ไกลกัน  แต่มันเห็นชัด  ใบหน้านัทบูดบิดเบี้ยวไปมา  นัทคงเจ็บมาก  เหมือนที่บอยมันรู้สึกเจ็บที่หัวใจตอนนี้กระมัง  บอยมันเจ็บเพราะเมย์ได้อยู่ช่วยเหลือนัท  ในขณะที่ตัวมันเองได้แค่ยืนมองนัทเงียบ ๆ  เท่านั้น

   “เป็นห่วงก็เข้าไปดูสิวะ  ยืนมองแบบนี้เขาจะรู้เหรอ”  เสียงทักจากด้านหลัง 

   บอยมันเกลียดนัก . . . 

   . . .  มันเกลียดน้ำเสียงที่เหมือนตัดพ้อมันในที

   “มึงเลิกบ้าสักทีได้มั้ยไอ้ดิน  น่ารำคาญว่ะ”  บอยหันกลับมา  บอยมองหน้าดินนิ่ง

   “เออ  กูมันน่ารำคาญ  ไม่ใช่เด็กวิศวะนี่หว่า”  ดินตัดพ้อ

   “มึงพูดอะไร  ให้กูเข้าใจมั่งได้มั้ย  ไม่ใช่มึงพูดเองเออเองแบบนี้” 

   “บอย  มึงจะวิ่งหนีหัวใจตัวเองไปถึงไหน  มึงไม่รู้เหรอสายตาที่มึงมองนัทนะ  กูรู้  กูดูออกแหละบอย  มึงรักนัทมันเหรอ”  ดินถามตรง ๆ

   บอยมองหน้าดินนิ่ง . . . 

   . . . ไม่รู้สิ 

   มันไม่รู้ว่าจะตอบคำถามดินแบบไหนดี  เรื่องแบบนี้  ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยกันง่าย ๆ    แววตาดินเหรอ  มันเห็นและมันแปลออก  ดินเหมือนจะตัดพ้อมันอยู่ในทีด้วยซ้ำ

   “มึงรักกูเหรอดิน  มึงชอบผู้ชายด้วยกันเหรอดิน” 

   บอยไม่ตอบคำถามเพื่อนร่วมคณะและเพื่อนร่วมห้อง  แต่มันกลับตั้งคำถามกลับไปหาดิน  บอยยิ้มเยาะที่มุมปากเมื่อเห็นว่าดินเองก็จนมุม  ไม่กล้าที่จะตอบคำถามของมันเช่นกัน

   “เออ  กูรักมึง  กูชอบมึงว่ะไอ้บอย”  ดินมันเอ่ยเบา ๆ  หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน

   บอยมันอึ้ง . . . 

   . . . มันตะลึงกับคำพูดของดิน  มันแบนหน้าหนีดิน  มันหันกลับไปทางนัท  มันเห็นแหละ  เมย์คอยประคบน้ำแข็งที่เข่าของนัท  มันยิ้มกับภาพนั้น  แต่ยิ้มมันเศร้า  มันก็เป็นได้แค่คนที่ยืนในมุมมืดเท่านั้นแหละ

   “บอย . . . มึงรักกูไม่ได้เหรอ”  ดินมันอ้อนวอน

   “เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้วว่ะดิน  อย่าคิดแบบที่มึงคิดเลย  มันเจ็บปล่าว ๆ  แหละดิน”  บอยมันรู้  เพราะมันเองก็เจ็บอยู่ตอนนี้ไง

   “แต่กูห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ว่ะบอยมึงได้ยินมั้ยกูห้ามหัวใจตัวเองได้  กูเห็นสายตาที่มึงมองนัททีไรก็เจ็บลึกเข้าไปในหัวใจกูนี่”  ดินมันเอามือตบที่อกด้านซ้าย

   “ไม่มีใครห้ามหัวใจตัวเองได้หรอกดิน   แม้กระทั่งตัวเราเองก็เหมือนกัน  เราห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้  แต่เราห้ามไม่ให้พูดออกไปได้ดิน  ขอบใจนะที่รักเรา  แต่เรารักใครไม่ได้หรอกว่ะ  ขอโทษนะ” บอยเดินมาตบไหล่ดินเบา ๆ  ก่อนที่จะเดินไปหยิบหนังสือที่โต๊ะแล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

   ความรัก . . .

   . . . ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก 

   เหมือนที่มีใครเคยบอก 

   ที่ใดมีรัก . . .

   . . . ที่นั่นมีทุกข์


ออฟไลน์ myxt

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #55 เมื่อ11-07-2009 16:47:42 »

ไม่ได้ตามอ่านเรื่องนี้หลายตอนเลย
ขอบคุณคุณราชบุตรมากนะคะสำหรับความรู้และแนวคิดที่แทรกเข้ามาในเรื่องนี้
ความจริงของคนเมืองกับคนในชนบท
ที่บางครั้งเราๆก็ทำเป็นลืมๆมันไปเพียงเพราะปัญหาที่ตัวเองยังต้องแบกอยู่  :เฮ้อ:

ส่วนเนื้อเรื่องของนัทกะบอย ยังไงก็ยังเจ็บปวดได้คงเส้นคงวา
แถมตอนนี้มีคนมาเจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ทรมานชะมัดเลยค่ะ  :monkeysad:

moonoi_sert

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #56 เมื่อ11-07-2009 16:51:34 »

 :m15:ความรักบังคับกันไม่ได้และห้ามใจให้ไม่รักก็ไม่ได้ เรารักเขา เขาออาจะไม่รักเราก็ได้ มันทรมานนะกับการที่รักใครสักคนข้างเ :m15:ดียว

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #57 เมื่อ11-07-2009 17:32:38 »

เหนื่อยใจแทนบอยด้วยเหมือนกันครับ เฮ้ออออ

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #58 เมื่อ13-07-2009 07:49:24 »

 :pig4: สำหรับเรื่องราวที่ดี

ยังใช้ภาษาคม บากลึกเข้าไปในความรู้สึกเหมือนเดิม

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

dokjarn

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
«ตอบ #59 เมื่อ13-07-2009 14:56:01 »

 :pig4:

ยังอิ่มเอมกับภาษาสวยงาม
กับเรื่องราวที่ชวนปวดหัวใจ
มันใกล้เกินไปรึเปล่า
ใกล้มากก็รับรู้มาก
ก็ยิ่งเจ็บมาก
เห็นใจบอย
ครับ


 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด