[เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี  (อ่าน 106972 ครั้ง)

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

******************************

หมายเหตุนิดก่อนอ่าน...เรื่องนี้เขียนลงบอร์ดวันริ่งเมื่อหลายๆปีที่แล้ว...แบบว่ามีการประกวดกันโดยมีkeywordมาให้เลือก...keywordเรื่องนี้ก็...first dayค่ะ

อาหรับราตรี

เมื่อมนุษย์หลั่งน้ำตา จึงรู้ว่า ตัวเองยังมีหัวใจ

ผู้ชายคนหนึ่งพูดกับผมอย่างนั้น.......

ผู้ชายคนที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังมีหัวใจ....

...

ผมหยุดยืนมองทะเลทรายที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่จะเหลียวกลับไปมองหนทางที่ตัวเองเพิ่งผ่านมา สิ่งที่มองเห็นนั้นไม่แตกต่างกับหนทางเบื้องหน้าเลย...ทะเลที่เต็มไปด้วยเม็ดทราย

ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง กระชับปืนในมือ ก่อนแข็งใจเดินต่อไป

เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผมยังนั่งมองภาพดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของกรุงวอชิงตัน

ดูสื่อทั่วโลกที่ยังแย่งกันประโคมข่าวอย่างต่อเนื่องถึงความเป็นไปได้ของสงครามถล่มอิรักครั้งที่สอง  เมื่อประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็นมีท่าทีของการเตรียมนำประเทศเข้าสู่สงครามหลังจากปฏิเสธการปฎิบัติตามเงื่อนไขของสหประชาชาติตามมติฉบับที่1441 ว่าด้วยเรื่องการตรวจค้นอาวุธ

ในขณะที่ประชาคมโลกเพิ่งจะตื่นตระหนกถึงผลกระทบของสงคราม หน่วยรบพิเศษต่างๆของสหรัฐก็ย่ำเท้าสู่ว่าที่สมรภูมิรบอย่างเงียบเชียบ ตามเส้นทางที่ถูกเตรียมพร้อมไว้โดยเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่แทรกซึมอยู่ทั่วหัวระแหงในอิรักตั้งแต่ครั้งสงครามอิรักครั้งแรก

ท่าเรืออุมม์คาสร์ อันเป็นหัวใจสำคัญของการส่งน้ำมันออกสู่ตลาดโลกของอิรักถูกปิดล้อมโดยความช่วยเหลือของนานาประเทศทั้งโปแลนด์ ออสเตรเลีย และอังกฤษ ตั้งแต่ยังไม่มีการลงมติใดๆในกลุ่มสมาชิกทั้ง15ประเทศด้วยซ้ำ

และทันทีที่เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ดีเดย์ วันที่สหรัฐประกาศแก่ชาวโลกว่าพร้อมถล่มอิรักอีกครั้งหากประธานาธิบดีซัดดัมยังไม่ยอมสละตำแหน่งนั้น แนวป้องกันต่างๆรวมถึงน่านน้ำของอิรักก็ค่อยๆถูกทำลายลงทีละแห่ง เพื่อเตรียมเปิดทางแก่กองกำลังภาคพื้นที่จะเข้าโจมตีภายในไม่ถึง 48ชั่วโมงข้างหน้าตามที่ประธานาธิบดีบุชประกาศไว้

ก่อนจะถึงเส้นตายที่อิรักได้รับ ผมก็เดินทางจากซีกโลกที่หนาวแนบสู่ซีกโลกที่ร้อนระอุด้วยหัวใจพองโต อาจจะกล่าวได้ว่าในขณะนั้น ผมเดินทางมาด้วยความหึกเฮิมที่มีมากกว่าประสบการณ์หลายเท่าตัว  ผมรู้จักสงครามเท่าที่เคยได้ยินและได้ฟังจากข้อมูลลำดับสอง จึงนับเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสสงคราม ผ่านผิวเนื้อของผมเอง

 และทันทีที่เหยียบเท้าลงบนผืนแผ่นดินของอิรัก  ภารกิจแรกก็มาเตรียมจ่อรออยู่ที่ปลายจมูกโดยไม่มีเวลาให้ตั้งตัว

หน่วยข่าวกรองรายงานว่า สายลับกลุ่มหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นหน่วยอิสทิค บารัท แฝงตัวอยู่ไม่ไกลนัก จากจุดที่เราจะต้องผ่านทางในอีก 2 วันข้างหน้า และนั่นคืองานผมที่ต้องเคลียร์ทุกอย่างให้พร้อม อันหมายถึงต้องกำจัดอิสทิค บารัทกลุ่มดังกล่าว

อิสทิค บารัท...หน่วยข่าวกรองของอิรัก ที่ว่ากันว่า สายลับเพียงหนึ่งคน มีประสิทธิภาพกว่าทหารอิรักทั้งกอง 

อิสทิค บารัท...สายลับเพียงหนึ่งคน ที่ไปเหยียบจมูกอังกฤษ ลอบสังหารเอกอัครราชฑูตอิสราเอลประจำอังกฤษที่กลางกรุงลอนดอน

งานแรกของผม มันทำให้ใจผมระทึกด้วยความตื่นเต้น...แล้วมันก็ดูจะเหลวไม่เป็นท่า เมื่อผมไม่เจอใครสักคน สุดท้ายก็เหลือตัวคนเดียวกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุนี่

ไอร้อนจากทะเลทรายทำให้ผมเริ่มคุ้นเคยกับภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมโนสำนึกที่หิวกระหายของผมเอง ผมจึงมองภาพแอ่งน้ำที่เห็นอยู่ลิบๆตานั้นอย่างสิ้นหวัง

จนเมื่อภาพเนินหินกลุ่มใหญ่ปรากฏอยู่ที่สุดสายตานั้น ผมก็ยังคงตัดสินว่ามันคือภาพลวงตา และยังคงเดินตรงไปหามัน

กลุ่มเนินหินนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ผมจึงเริ่มสัมผัสได้ถึงภาพความจริงของพวกมัน

ผมเร่งฝีเท้า เมื่อนึกถึงร่มเงาของพวกมันที่ทอดลงบนแผ่นดินที่ร้อนระอุนี้

เสียงกระแทกอะไรบางอย่างทำให้ผมชะงักฝีเท้า หินก้อนที่ใกล้ที่สุดนั้นยังอยู่ห่างออกไปร่วมสิบกว่าเมตร

ความเหนื่อยล้าและโหยกระหายทำให้ผมลืมเสียสนิท  ว่าผมย่อมไม่ใช่คนผู้เดียวที่ต้องการที่กำบังกายจากความร้อนระอุนี้

คนเดียวหรือหลายคน?...คำถามที่ผมไม่มีสิทธิเลือกคำตอบ

ผมยกปืนในมือขึ้นเตรียมพร้อม ก่อนค่อยก้าวย่างไปอย่างช้าๆและเงียบกริบที่สุดเท่าที่จะทำได้

เป้าหมายแม้ยังมองไม่เห็น แต่เสียงเมื่อสักครู่บอกตำแหน่งแห่งที่ได้ชัดเจน

ผมขยับเข้าไปใกล้ ซ่อนตัวหลังก้อนหินที่ใกล้ที่สุด สูดหายใจลึก ก่อนค่อยๆเยี่ยมหน้าออกไปมอง

คนเดียว! และนั่งเกือบจะหันหลังให้ผม!

ผ้าโพกหัว กับชุดทหารบอกชัดว่าฝ่ายไหน

โชคดีของผมแต่โชคร้ายของมัน!...ผมคิดพลางยกปืนขึ้นประทับและเล็ง

แต่ก่อนที่ผมจะทันลั่นไกปืน ร่างที่นั่งอยู่นั้นก็ยกอะไรบางอย่างในมือขึ้น  กระดาษแผ่นบางๆที่ยับย่น ถูกยกขึ้นช้าๆ และประทับที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล

ผมละนิ้วจากการเหนี่ยวไกและลดลำกล้องส่องออกจากระดับสายตา ร่างที่นั่งอยู่เบื้องหน้านั้นดูโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด...คงเพราะเมื่อคืนผมก็เพิ่งกระทำในสิ่งเดียวกันนั้น จูบรูปของพ่อและแม่ และหลับตาลงท่ามกลางความโดดเดี่ยวแบบเดียวกัน

และก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว ร่างที่นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นก็พลิกตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมยกปืนขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับที่กลายเป็นเป้านิ่งของเขาเช่นกัน

“วางปืนลง!”ผมตะโกนบอกเขา และเขาก็ตะโกนกลับมาในอากัปกิริยาคล้ายๆกัน

“ชั้นสั่งให้นายวางปืนลง!”ผมตะโกนดังกว่าเดิม อย่างน้อยก็ให้ดังกว่าเสียงตวาดกลับมาของเขา

เราต่างคนต่างตะโกนกันอยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างเล็ง และต่างคนต่างตกเป็นเป้าของกันและกัน

ระยะห่างของความตาย อยู่ห่างจากตัวเราทั้งสองแค่ไม่กี่ก้าว

แต่ที่อยู่ใกล้กว่าคือความกลัวจนแทบบ้า

ความฮึกเหิมอันอยู่เหนือประสบการณ์ของผมมันลดลำดับลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังหลงอยู่ในทะเลยทราย จนตอนนี้มันโผล่ไม่พ้นข้อเท้าขึ้นมาแล้ว

 เราตะโกนใส่กันและกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจเหงื่อที่ไหลโทรมจนทั่วตัว หรือบางหยาดหยดที่ไหลผ่านคิ้วสู่ลูกนัยน์ตา มันแสบ แต่ก็ไม่มีใครกล้ากระพริบตา

เรายังแข่งกันตะเบ็งเสียงใส่กันไม่ลดละ คล้ายว่า เสียงใครดังกว่าคนนั้นจะรอดชีวิต จนเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นกลบเสียงของเรา

เราเงียบกริบกันทั้งคู่ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากไกลๆ แม้อยากหันไปดู แต่เราทั้งสองก็ไม่กล้าพอที่จะละสายตาไปจากกันและกัน

เสียงนั้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเม็ดทรายที่ลอยละสู่อากาศจนขุ่นมัว

พายุทะเลทราย!

ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่าง เมื่อผมละสายตาจากความตายเบื้องหน้า ไปสู่ความตายอีกหนึ่งหนทาง ที่ไกลลิบตา ทะเลทรายที่เหมือนยกสูงขึ้นจนจรดเส้นขอบฟ้ากำลังเดินทางมาราวกับคลุ้มคลั่ง เสียงแห่งความโกธาดังก้องไปทั่วสารทิศ

เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวเท้า เรียกให้ผมตะหนักว่าไม่ได้ยืนอยู่ตามลำพัง และเตือนให้ผมจดจำว่าว่า เมื่อสักครู่ ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ใด

ผู้ชายที่เมื่อครู่ยังยกลำกล้องส่องอยู่ที่ผม ตอนนี้ลดปืนลงข้างตัว กวักมือกวักไม้ ชี้มือไปทางกลุ่มหินกลุ่มใหญ่ และเสียงตะโกนของเขาดูจะมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น เมื่อผมยังปักหลักนิ่ง ไม่ขยับขาสักก้าวเดียว

เขาวิ่งตรงมาหาผม และฉุดผม...หรือถ้าจะเรียกแบบไม่เกรงใจตัวเอง ก็คือ...เขาหิ้วคอผมไปด้วยกันกับเขา

แรงลมที่ตามติดมาเบื้องหลัง แรงขึ้นจนผมรู้สึกคล้ายจะถูกฉุดกระชากกลับไปหากปราศจากมือแข็งแรงที่หนีบติดอยู่ที่ต้นคอด้านหลัง...

ผมรู้สึกตัวว่าโดนโยนลงไปกองกับพื้น

แม้อากาศจะยังเต็มไปด้วยละอองทราย แต่ก็แผ่วเบา ลมที่ปะทะใบหน้าทำได้แค่ให้รู้สึกรำคาญ

ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้น มองออกไปทางช่องหินแคบๆที่ตัวเองเพิ่งพ้นผ่านเข้ามา...มันไม่มีอะไรให้เห็นเลยนอกจากอากาศที่โดนเม็ดทรายโจมตีอย่างดุเดือด

ผมสำรวจความปลอดภัยของตัวเองไปรอบๆ

หินก้อนใหญ่น้อย ที่เรียงตัวกันจนคล้ายผนังทึบบ้าง เว้าแหว่งบ้างพอให้เม็ดทรายเม็ดเล็กๆโผล่หน้าเข้ามาเยี่ยมเยียนแบบไร้พิษภัย  เหนือหัวคือชะง้อนหินรูปร่างแปลกๆ แต่ก็คุ้มภัยได้จนมิดชิด...ประติมากรรมแห่งความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้ากระมัง...ผมคิดพลางขอบคุณพระเจ้าที่ให้ที่หลบภัยแก่ผมแบบทันท่วงที

เสียงลมที่กำลังก่อการวิวาทขั้นแตกหักที่ภายนอกนั้นฟังคล้ายกับว่ามันพร้อมจะฉีกร่างใครก็ตามที่อาจหาญขวางทางมัน...และผมก็คงรอดมาแบบฉิวเฉียดเต็มที่ หลักฐานคือใบหน้าที่ชาไปทั้งแถบทั้งที่มันปะทะก็เพียงสายลมในขั้นแนะนำตัวเท่านั้น

แล้วเขาล่ะ?...ผมเพิ่งนึกได้ถึงเจ้าของมือแกร่งที่หิ้วคอผมมาโยนไว้

ผมรีบกระโจนออกไปตรงช่องหินที่โดนโยนผ่านเข้ามา...และเขาก็อยู่ตรงนั้น!

ดูคล้ายกำลังต่อสู้อย่างหนักกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้

มือแข็งแรงที่เคยหนีบคอผมไว้มั่นตอนนี้เกาะเหนี่ยวก้อนหินไว้จนสุดกำลัง ผ้าที่โพกหัวเขาไว้ตามแบบฉบับของชาวอาหรับ ตอนนี้พัดกระหวัดพันรอบคอและใบหน้าของเขาไว้จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาหายใจออกได้อย่างไร เขาทำท่าคล้ายพยายามก้าวมาข้างหน้า แต่ก็ถูกฉุดกลับด้วยแรงลมเสียทุกครั้ง

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อมมือจับมือของเขาเอาไว้ และทันทีที่เขาตัดสินใจเลือกที่จะปล่อยมือจากก้อนหินเพื่อมายึดเหนี่ยวที่มือผมแทนนั้น ผมรู้สึกคล้ายร่างของตัวเองถูกฉุดกระชากอย่างแรงไปข้างหน้า

ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ใบหน้าของผมปะทะแรงลมอีกครั้งจนชา อีกครั้งที่รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้แค่รูขุมขน ผมรวบรวมกำลังกระชากเขาด้วยสุดกำลังแรงเกิดของตัวเอง เพราะรู้ว่า นั่นคือโอกาสสุดท้ายของผมแล้ว แล้วผมก็กลับมานอนแผ่หรา โดยมีร่างหนักๆของเขาคว่ำทับอยู่ทั้งตัว

เขาไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อย ผมจึงเป็นฝ่ายผลักเขาลงไปนอนอยู่ข้างๆ  มือสองข้างที่ยกขึ้นมาดูนั้นสั่นเทา แต่ไร้ความรู้สึก รอยแดงที่เกิดจากการยึดเหนี่ยวของมือเขานั้นชัดเจน ผมเดาว่าตอนนี้เขาคงชาไปทั้งตัว...เราเลยนอนฟังเสียงลม ปนเสียงเหนื่อยหอบของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่อย่างนั้น

นานเท่าไหร่ไม่รู้เมื่อเราประจันหน้ากันอีกครั้ง

เขานั่งอยู่บนหินก้อนเล็กที่สูงจากพื้นแค่คืบเดียว ส่วนผมยืนกอดอกพิงหินอีกก้อน ห่างจากเขามาสัก 3 ช่วงก้าว

เราจ้องมองกันและกันอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นศัตรูกันเท่าครั้งแรก

เสียงความบ้าคลั่งของพายุข้างนอกยังดังกึกก้อง ผมนึกไม่ออกว่า ถ้าตัวเองยังยืนอยู่ข้างนอก ท่ามกลางลมพายุนั่น จะเป็นอย่างไร

คิดแล้วก็พาลหงุดหงิด เมื่อคิดถึงว่า ตัวเองไม่ได้รับการเตือนภัยถึงการมาของพายุนี้แม้แต่น้อย หรือว่ามันเป็นสิ่งเกินการคาดคะเน...ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก

ผมนึกถึงเพื่อนๆที่พลัดหลงกันว่าพวกเขาจะได้ที่หลบภัยแบบผมหรือเปล่า หรือป่านนี้จะถูกพายุฉีกร่างเป็นชิ้น เช่นเดียวกันกับผม ถ้าหาที่หลบไม่ทัน ป่านนี้ร่างผมก็คงหลับสบายอยู่ใต้พื้นทราย รอวันโผล่ขึ้นมานอนตากแดดเป็นเนื้อแดดเดียว แล้วกลายเป็นอาหารอันโอชะของพวกแร้งที่หิวโหย เหลือก็แต่กระดูกที่คงโดนใครเอาเท้าเขี่ยๆให้พ้นทาง เหมือนอย่างที่เห็นในหนังจนชินตา




Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ PHUCK™

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-31
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #1 เมื่อ05-05-2009 22:44:40 »

.
.
.



ได้จิ้มคุณภัคD อีกแล้ว เย่ๆๆ

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #2 เมื่อ05-05-2009 22:46:51 »

คิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ต้องมาจนตรอกอยู่ตรงนี้...เพราะสงครามงี่เง่า...เพราะพวกบ้าสงคราม

“ชั้นเกลียดพวกนาย!”ผมพูดขึ้นในที่สุด รู้ว่าเขาไม่เข้าใจ เลยมองเขาด้วยท่าทางที่เหยียดหยามสุดๆ...

เขาจ้องผมกลับ ปากเขาเม้มสนิท

“เพราะพวกบ้าสงครามอย่างพวกนาย คนเขาเลยเดือดร้อนกันไปทั่ว”ผมพูดต่อ ไม่สนใจดวงตาสีเข้มที่จ้องกลับมาอย่างชิงชัง

“ชั้นคงไม่ต้องย้ายก้นมาอยู่ตรงนี้ ถ้าพวกนายมีจิตสำนึกของความเป็นคนกันบ้างส...”ผมพูดได้แค่นั้น เพราะเขาพูดขัดขึ้นด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจสักนิด และคงรู้ว่าผมไม่เข้าใจ เขาจึงออกท่าทางแบบยิ้มเยาะสุดๆมาให้ผม

“ชั้นล่ะรอโอกาส...ขอให้พวกนายตายๆหมดไปจากโลกนี้สักที”ผมตะโกนกลับไปให้ดังกว่าเขา แล้วเขาก็ตะโกนกลับมาด้วยเสียงที่ดังกว่าผมอีก

“โธ่โว๊ย!...พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นหรือไงวะ เจ้าโง่!”ผมตวาดกลับสุดเสียงด้วยความโมโหสุดขีด เพราะท่าทางยิ้มเยาะของเขา และเพราะผมฟังไม่รู้เรื่องสักคำว่าเขาด่าผมว่าอะไร

ได้ผล คราวนี้ เขาเงียบ...ก่อนยิ้มและพูดช้าและชัด

“ได้นิดหน่อย....นาย...พวกปัญญาอ่อน!”แล้วเขาก็พูดต่อด้วยภาษาของเขาอีกสองสามประโยค

ผมนึกไม่ออกว่าเกิดมาผมเคยโมโหเท่าครั้งนี้มาก่อนหรือเปล่า

“แก...ชั้นช่วยแกไว้นะ!”ผมโมโหจนพูดอะไรแทบไม่ออก เลยหลุดคำพูดโง่ๆออกไป...ก็เขาไม่ใช่หรือไง ที่ช่วยผมไว้ก่อน แต่ตอนนั้นใครจะสนล่ะ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้กวนประสาทเขาอย่างนี้

“รู้ไหม ทุกครั้งที่เสียงปืนดัง ชั้นหวังอะไร?...ชั้นภาวนาขอพระเจ้า ขอให้กระสุนนั้นอย่าสูญเปล่า ขอให้เศษเดนมนุษย์อย่างพวกแกตายไปอย่างทรมานที่สุด ขอให้...”ผมตะโลนลั่นๆได้เท่านั้น แล้วผมก็ต้องไอแบบเอาเป็นเอาตาย

ความกลัวทำให้ผมลืมไปเสียสนิทว่า คอตัวเองแห้งผากขนาดไหน หลังจากขาดน้ำมาตลอดทั้งวัน

และความโมโหก็ทำให้ผมไม่สนใจ  อาการระคายคออันเกิดจากเม็ดทรายที่พัดหลงเข้าไปในลำคอ

ดังนั้นเมื่อผมมายืนแหกปากตะโกนลั่นอยู่อย่างนี้ คอผมจึงเกิดอาการประท้วงอย่างรุนแรง

ผมคว้ากระติกที่เหน็บไว้ข้างเอว แล้วจึงนึกได้ว่ามันก็เหือดแห้งพอๆกับคอผม

แม้จะพยายามกลืนน้ำลาย แต่ตอนนี้น้ำลายมันเหนียวจนไม่ยอมขยับ ยิ่งพยายามฝืนกลืนเท่าไหร่ มันก็เกิดอาการคล้ายจะสำรอกออกมาเสียทุกที

ในช่วงเวลาแห่งการทรมานนั้น เขาก็คว้ากระติกน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่มอย่างสบายอารมณ์

ผมไอจนปวดคอ มองเขาผ่านน้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้า

“ชั้น...ช่วย...ชีวิต...น...”ผมพยายามพูด แต่ยิ่งพูดยิ่งทรมาน ยิ่งไอ ก็เหมือนยิ่งเปิดโอกาสให้เม็ดทรายที่ยังลอยคลุ้งอยู่รอบตัวแวะเวียนเข้าไปในลำคอเพิ่มมากขึ้นอีก แต่ผมก็ยังพยายามพูด ไม่ได้หวังให้เขาเข้าใจ แต่ก็ยากที่จะบอกว่าตอนนั้นหวังอะไร...ผมคงหวังให้น้ำกระติกนั้นเป็นของผม ไม่ใช่ของเขา

เขามองดูผม คล้ายชั่งใจอยู่สักครู่ แล้วจึงยื่นกระติกน้ำให้กับผม และผมก็ใช้เวลาชั่งใจอีกสักพัก ก่อนจะรับมันมาดื่มอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ

“ไม่ใช่ว่าชั้นอยากกินน้ำของนายหรอกนะ...”ผมพูดเมื่อลำคอเริ่มชุ่มฉ่ำ

“ต่อให้กระติกของชั้นมีน้ำ ชั้นก็จะกินของนายอยู่ดี...”ผมพูดขณะที่ยังไม่ยอมลดกระติกลงจากปาก

“ตัดกำลังไง เข้าใจไหม...ตัดกำลังศัตรู”ไอ้ที่ผมพูดมา ผมก็ภาวนาว่าอย่าให้เขาเข้าใจเลย มันคงฟังดูน่าขัน แต่เขาก็ส่ายหัว ไม่รู้ว่าไม่เข้าใจที่ผมพูดหรืออะไร แต่ผมคล้ายจะเห็นเขายิ้มอยู่แวบหนึ่งก่อนก้มหน้านิ่งไป ปล่อยให้ผมพล่ามต่อไปเรื่อยๆ

“แล้วนายก็จะได้ไปอดตายอยู่กลางทะเลทราย...”พอสิ้นคำ เขาก็ลุกมาคว้ากระติกไปจากปากผม ผมไม่ได้ยื้อไว้ เพราะกินเสียชุ่มปอดแล้ว

เขาหมุนฝากระติกปิดไปพลาง บ่นภาษาที่ผมไม่เข้าใจไปพลาง บางทีก็ส่ายหน้า บางทีก็เหลือบตามามองผม

แต่ผมไม่สนใจหรอกว่า เขาพูดอะไร ผมสนใจกระติกน้ำของเขามากกว่า...ถ้าได้หยิบมันติดมือไปด้วยคงดีไม่น้อย....แต่จะทำยังไงล่ะ?

เขาเผลอแล้วผมก็เป่า...ผมคิดเห็นภาพตัวเองยกปืนขึ้นประทับ เล็งและยิง แล้วก็หิ้วกระติกน้ำไปสบายใจเชิบ

เขาขมวดคิ้วเมื่อผมเผลอยิ้มออกมา และขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อผมยิ้มค้าง

เป่าด้วยอะไรล่ะ?....ปืนผมอยู่ไหน? ผมเริ่มเหลียวมองไปรอบตัว เขาเหลียวมองตามผมแบบงงๆ

นั่นไงปืน!...ปืนของเขา! แล้วก็อยู่ข้างลำตัวเขา!

นั่นเองคือสาเหตุที่เขาใช้มือแค่มือเดียวเกาะหินไว้แน่นทั้งที่ชีวิตกำลังจะหลุดลอยกับพายุทะเลทราย

เจ้าหมอนี่ จะตายแล้วยังห่วงปืน...ผมคิดอย่างโมโห

ส่วนปืนของผม?...ผมคิดแล้วมองออกไปข้างนอก มองดูเม็ดทรายที่เต้นรำอยู่กลางอากาศ อย่างสิ้นหวัง...เดาว่าคงทำหล่นไว้ ตอนที่โดนเขาหิ้วคอเข้ามานั่นแหละ

เสร็จแน่เลยผม!...ผมคิดมองดูเขาด้วยความรู้สึกโหวงๆ แล้วก็มองออกไปข้างนอกซึ่งก็ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย

ตายแบบไหนดีกว่ากันนะ? ผมเริ่มชั่งน้ำหนักความตายของตัวเอง

พอผมไม่พูดอะไร เขาก็ไม่พูดอะไร

แต่ตอนนี้ความเงียบทำให้เหงื่อกาฬผมแตกพลั่ก

ผมมองดูเขา คอยดูว่าเมื่อไหร่เขาจะหยิบปืนขึ้นมาจากข้างตัว ผมพยายามที่สุดที่จะไม่มองไปที่มัน เพราะกลัวว่าจะทำให้เขานึกถึงมัน...เขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าเขามีปืน  เหมือนที่ผมลืมว่าตัวเองไม่มี

“ออร์แลนโด้...”ผมพยายามพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“ออร์แลนโด้ บลูม”เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร ผมเลยเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัว

“ออร์แลนโด้ บลูม”ผมพูดอีกครั้ง คราวนี้ชี้มาที่ตัวเอง เมื่อเขานั่งมองนิ่งคล้ายไม่เข้าใจ

“ชื่อชั้น...ออร์แลนโด้ บลูม”ผมพูดเสียงดังขึ้น จิ้มที่หน้าอกตัวเองแรงๆ เมื่อเขายังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

คราวนี้เขาทำท่าโบกไม้ โบกมือคล้ายพยายามปฏิเสธเป็นพัลวัน

“อะไร?”ถึงตาผมงงบ้าง  เขาปฏิเสธหรือว่า มันไม่ใช่ชื่อผม!

“อะไร? หมายความว่าไง นายจะบอกว่าชั้นไม่ได้ชื่อออร์แลนโด้ บลูม หรือไง?”ผมชักหงุดหงิด คราวนี้ชี้มือไปที่เขาบ้าง ชี้มาที่ตัวผมเองบ้าง

เขาเลยยิ่งโบกมือปฏิเสธหนักเข้าไปอีก ปากก็พล่ามแต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจ

“ไม่...ไม่บูม ออแลนโด้”เขาพยายามพูดภาษาที่ผมค่อยชินหู

“อะไร?...ไม่บูมออร์แลนโด้?”ผมทวนคำงงๆ

หมายความว่าไง?

“ไม่บูม?...นายหมายถึง...อย่างนี้?”ผมทำท่าคล้ายอะไรระเบิด เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดๆ  เขาทำท่าจะพยักหน้าแต่แล้วก็เหมือนจะเปลี่ยนใจรีบโบกมือปฏิเสธอีก ดูแล้วน่าเวียนหัวเป็นบ้า!

“ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ชั้นหมายถึงชั้นชื่อ ออร์แลนโด้บลูม”ผมยังพยายาม เหมือนเขาที่ยังพยายามปฏิเสธ

“โอเคๆ ไม่ใช่นาย...นายไม่เกี่ยว”ผมชี้ที่ตัวเขา

“ชั้น...ชั้นออร์แลนโด้ บลูม”ผมชี้ที่ตัวเอง แล้วโบกมือปฏิเสธไปที่ตัวเขา ให้เขารู้ว่าเขาไม่เกี่ยว

ได้ผล เขาเลิกปฏิเสธ แต่ทำตาโตแทน

“บูม ออแลนโด้?!”เขาชี้มาที่ผม

“เฮ้ย! ไม่ใช่!”ผมเพิ่งเข้าใจว่าเขาตกใจอะไร

“นายไม่ต้องห่วงหรอกน่า เมืองนั้นยังอยู่ดี ผู้คนยังกินอิ่มนอนหลับ”ผมพูดอย่างรำคาญ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การแนะนำชื่อตัวเองนี่มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดนี้

“โอเค...ชั้นชื่อ ออร์ลี่”ผมยอมแพ้ในที่สุด

“ออร์ลี่?”เขาชี้มาที่ผม...เป็นอันว่าเข้าใจ

“แล้วนายล่ะ ชื่ออะไร?”ผมชี้ไปที่เขา และคำตอบคือความเงียบ

“ชื่อ!...ชื่อของนาย!”

“โธ่เอ๊ย!...การสนทนาขั้นเบสิค นายไม่เข้าใจหรือไง ถึงนายจะไม่เข้าใจที่ชั้นพูด นายก็น่าจะเข้าใจ...ชั้นบอกชื่อนาย นายก็ควรจะ...”ผมชักอารามณ์ขึ้น แต่พูดยังไม่ทันจบ เขาก็พึมพำอะไรออกมาซึ่งยาวมาก

“อะไรนะ?”ผมถามทวน และเขาก็พูดทวน...ผมเดาว่าน่าจะเป็นชื่อเขา แต่มันยาวจริงๆ

“สั้นกว่านี้ได้ไหม?”ผมถามและเขาก็ทวนอีกรอบ ไม่สั้นลงสักนิด

“สั้นๆ”ผมบอก ทำมือให้เขารู้ว่าสั้นๆ

เขาเข้าใจ พูดอะไรที่สั้นลงนิดนึง แต่ก็ยังจนปัญญาที่ผมจะจำอยู่ดี

“สั้นอีก”ผมทำมือให้สั้นลงไปอีก เขาก็พูดสั้นลงอีกนิด

“สั้นกว่านี้ไม่ได้หรือไง?”ผมชักรำคาญ แล้วเขาก็ตอบกลับมาแบบรำคาญไม่แพ้กัน คราวนี้สั้นจนผมฟังไม่ทัน

“อะไรนะ?”

“วิกโก้!”เขาตอบ หน้าตาบอกบุญไม่รับ

ผมไม่แน่ใจว่ามันชื่อเขาจริงๆหรือประชด

“...วิกโก้?...สั้นดีแต่ว่า...ฟังไม่ค่อยเป็นอาราบิกเท่าไหร่เลยนะ...ชั้นว่า”ผมพูด...และชั่วแวบหนึ่ง ผมเห็นริมฝีปากของเขาคล้ายจะขยับยิ้ม แต่พอจ้องดูให้ดีๆ หน้าตาเขาก็ยังบอกบุญไม่รับเหมือนเดิม

ผมพยายามไม่ใส่ใจ ตอนนี้ สิ่งที่ผมควรใส่ใจคือ ทำอย่างไรที่จะดึงความสนใจเขาไว้ให้ห่างไกลจากไอ้ปืนที่วางอยู่ข้างๆตัวเขา

...ต้องชวนคุย...ผมคิด

...แต่จะคุยอะไรล่ะ?...ผมนึกไม่ออก

...อะไรก็ได้ ยังไงก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี!...ผมตัดสินใจ เริ่มเรื่องแบบไม่มีหัวไม่มีหาง

“แล้วเราก็โรยตัวลงมา...เดาว่าห่างจากจุดหมายที่เราควรลง ไกลเท่าชั่วระยะเวลาของสงครามเลย กว่าเราจะเดินกลับไปถึง สงครามก็คงยุติพอดี...”ผมเล่า มือหนึ่งทำท่าเป็นเครื่องบินคือ วางมันไว้เฉยๆในอากาศ ส่วนอีกมือสมมติว่าเป็นตัวเอง ที่โดดลงมา

“ทะเลทรายมันคงมีมนต์จริงๆ...พอหันไปดูอีกที เพื่อนหายไปทีละคน พอหันไปดูอีกที ก็เหลือแต่ชั้นแล้ว”ผมเล่าต่อไปเรื่อยๆ พยายามออกท่าออกทางเพื่อให้เขาเข้าใจ ส่วนเขาก็นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด...ตาจับจ้องอยู่ที่มือของผม เดาว่าคงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก และนานครั้ง เขาก็พูดบางสิ่งแทรกขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าผม ไม่มีทางเข้าใจ แต่ผมก็ตอบกลับไป ตามแต่ว่า ผมเล่าถึงตรงไหน และเดาเอาเองว่า เขาจะถามอะไร

“ชั้นรู้จักทะเลทรายก็แค่จากนิทาน...อะลีบาบากับ40โจร...รู้จักไหม?”ผมถาม และเขาคงจับคำพูดได้ว่าเป็นคำถาม เขาเหลือบตามองขึ้นข้างบน คล้ายจะพยักหน้ารับ แล้วก็เหมือนจะเปลี่ยนใจ ทำท่าคล้ายคนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะพยัก หรือส่ายหน้าดี

“อะลีบาบาไง?...ที่เอาสีป้ายที่ประตู”ผมทำท่าเอามือป้ายที่อากาศ

“ซินแบดล่ะ?...จอมโจรซินแบด”

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #3 เมื่อ05-05-2009 22:48:21 »

...ใช่โจรหรือเปล่านะ...ผมชักลังเล เพราะฟังมานานจนลืม

“ซินแบดเฉยๆแล้วกัน ไม่ใช่โจร”ผมพูดพลางโบกมือปฏิเสธ แล้วทำท่าโหนเชือกแล้วชักดาบ

หน้าตาเขาไม่ได้บ่งบอกเลย ว่าเข้าใจอะไรสักนิดเดียว แต่ก็ยังพ่นภาษาที่ไม่กระดิกหูผมออกมายาวเหยียด

“ใช่ๆ นั่นแหละ”ผมตอบสั้น ไม่ลืมที่จะพยักหน้าให้เขารู้ เขายิ้ม ดูท่าทางดีใจ คงคิดว่าเราเริ่มสื่อสารกันรู้เรื่อง

แต่เขาดีใจกว่าที่ผมคิด เลยพูดอะไรต่อไปอีกยาว พร้อมทำมือทำไม้สารพัด...แต่ยิ่งมองยิ่งคุ้นๆ

เขาทำมือลอยค้างในอากาศ อีกมือทำท่าคล้ายอะไรลอยลงจากมือนั่น...คล้ายตอนผมโดดลงมาจากเครื่องบินแฮะ...ผมคิด

แล้วเขาก็ทำมือวิบๆ...นั่นมันตอนที่ผมบอกว่าเพื่อนผมหายไปทีละคน

ผมชักจะงง ตอนเขาป้ายมือไปในอากาศข้างหน้า

น้ำเสียงเขาฟังดูตื่นเต้น ตอนที่ทำท่าคล้ายโหนเชือกแล้วชักดาบออกมา...อ๋อ เขาไม่ลืมทำไม้ทำมือปฏิเสธอย่างตอนที่ผมบอกเขาด้วยว่า ซินแบดอาจไม่ใช่โจร...

“เอ่อ...เดี๋ยวนะ...”ผมพยายามขัดขึ้นแต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะมัวแต่หัวเราะ

เขาหัวเราะตาม คงคิดว่าผมขำที่เขาพูด

“มันคนละเรื่องกันเลย ไอ้ตอนนี้...”ผมทำมือวิบๆ

“...กับตอนนี้...”ผมทำท่าชักดาบ

“ชั้นเปลี่ยนเรื่องตั้งนานแล้ว!”ผมพูดไปในที่สุด  เขายิ้มเหมือนดีใจอีกแล้ว ผมเลยหัวเราะออกมาอีกครั้ง และเขาก็หัวเราะ

เราคุยกันต่อไป

ผมถาม...เขาตอบ

เขาพูด...ผมต่อให้

ถ้ามีเครื่องแปลภาษาอยู่ตรงนั้น ผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรอก...ไอ้ที่เขาตอบผม และที่ผมต่อให้เขา

ตอนนี้เราเปลี่ยนมานั่งยองๆกันอยู่ที่พื้น หัวเราอยู่ห่างกันแค่คืบ

อะไรซักอย่างที่คล้ายไม้แห้ง ถูกเอามาใช้ขีดๆเขียนๆบนพื้นทราย เมื่อเราออกท่าออกทางจนเริ่มเมื่อย

วิธีนี้ ทำให้เราสื่อสารกันรู้เรื่องขึ้น...

พอผมวาดรูปพายุทะเลทราย โดยวาดวงกลมแล้วหมุนๆ เขาก็ดึงไม้ไปจากมือผม วาดอะไรที่ดูกระจุยกระจายไปตามแรงลม

ผมดึงไม้กลับมา วาดตัวเองที่โดนเขาโยนเข้ามา แล้วเขาก็วาดอะไรสักอย่างที่มันคล้าย...ดาวเสาร์....เขากำลังวาดรูประบบสุริยะจักรวาล โดยมีพายุทะเลทรายของผมเป็นดวงอาทิตย์!...เป็นอันว่าเรา รู้เรื่อง คนละเรื่องกันอีกจนได้...ผมหัวเราะ เขาหัวเราะ...และแน่นอนว่า เราหัวเราะกันคนละเรื่อง...

แต่ไม่ว่าเราจะคุยกันคนละเรื่อง หรือหัวเราะกันคนละสาเหตุ แต่ผมก็พอใจที่เขาขยับมานั่งห่างจากปืนเขาอีกนิด

และเขาคงหัวเราะหนักไปหน่อย ไม้ในมือเลยหักดังเป๊าะ เมื่อเขาเริ่มต้นจะวาดอะไรสักอย่างหนึ่ง

ผมเหลียวซ้ายแลขวา หาอุปกรณ์เสริมอันใหม่ แต่เขาโบกมือคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนถลกขากางกางข้างขวาขึ้น ชักมีดปลายแหลมออก!...ตาผมค้าง...แค่ปืนผมก็ไม่รอดแล้ว...นี่เขามีมีดด้วย แล้วเราก็อยู่ห่างกันแค่เขาจ้วงท้องผมถึง...

เขาไม่สนใจอาการตาค้างของผม ก้มหน้าก้มตาวาดอะไรบางอย่างด้วยมีดปลายแหลมของเขาต่อไปอีก ผมไม่เห็นว่าเขาวาดอะไร  เห็นก็แต่ประกายคมวาววับที่สะท้อนเวลาที่เขาพลิกมีดไปมา

ผมมองดูมีดปลายแหลมที่อยู่ห่างแค่จ้วงท้องผมถึง แล้วมองดูปืนที่ห่างจากเขาแค่เอื้อมคว้าถึง...เขามีทั้งมีดและปืน...แล้วผมล่ะ มีอะไร?...ผมมีแต่ตัวกับหัวใจ...ตัวที่โทรมเหงื่อ กับ หัวใจที่เต้นอยู่ตุ๊มๆต่อมๆ

 ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ  ตาแสร้งมองดูรูปที่เขาวาดอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ในหัวกลับคิดจนวุ่น ว่าจะทำยังไงกับมีดเล่มนี้ดี ผมพยายามกลืนน้ำลายเบาๆ บอกหัวใจตัวเองให้เต้นช้าลงกว่านี้หน่อย แล้วก็ปาดเหงื่อที่กำลังแตกพลั่กบนหน้าผากตัวเอง...ผมหัวเราะแห้งๆตอบเขาที่เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้

เขาก้มหน้าก้มตาวาดต่อ แล้วผมก็รวบรวมความกล้า...รอจังหวะ พอเขาหยุดวาด ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามีดจากมือเขา...พยายามให้เป็นธรรมชาติ เหมือนตอนคว้ากิ่งไม้จากมือเขานั่นแหละ ชั่ววินาทีหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเขาขืนมือไว้...แต่แล้วก็ปล่อย...หัวใจผมพองโต ผมได้มีดแล้ว!...แต่ยังร้องไชโยไม่ทันจบ เขาก็ทำท่าคล้ายปฏิเสธแล้วคว้ามีดไปจากมือผมอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งกว่า

เขาทำท่าปฏิเสธอะไร?...ผมเพิ่งวาดไปขีดเดียวเอง!

ผมเอาบ้าง แต่ให้เวลาเขาวาดไปสองขีด

“ไม่ใช่ๆ...”ผมเลียนแบบ แล้วก็เอื้อมมือไปคว้ามีด แต่เขากระชับมีดไว้ในมือแน่น เราค้างกันอยู่ท่านั้น...

ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก เหลือบตาขึ้นมองดูเขา คาดว่าคงได้สบดวงตาอันดุดันของเขา...แต่ไม่ใช่...เขามองไปทางอื่น มองไปทางช่องหินที่เราแทรกตัวผ่านเข้ามา

“ชี่...”เขายกมือหนึ่งขึ้นที่ปาก ส่งสัญญาณไม่ให้ผมพูด...ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย!

แล้วเขาก็ดึงมืออีกข้างออกการการเกาะกุมของผมอย่างสุภาพ ค่อยๆลุกขึ้น ตายังจับจ้องไปทางเดิม...แล้วก็เหน็บมีดไว้ที่เอว!

“พายุผ่านไปแล้ว”ผมเดาว่าเขาพูดอย่างนั้น และโดยทันทีที่เก็บมีดไปเรียบร้อยแล้ว

ผมเพิ่งสังเกต  อากาศภายนอกสงบแล้วและน่าจะสงบมานานแล้วด้วย

ผมลุกและเดินไปยืนอยู่ข้างๆเขา

“ไม่มีพายุแล้ว...เราแยกกันเลยแล้วกันนะ!”ผมได้ที พูดออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และไม่รอช้าที่จะก้าวผ่านเขาออกไป

เขาจับที่บ่าผม ผมหลับตาแน่น รวบรวมความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่แผ่นหลัง ว่าตอนนี้มันเริ่มเจ็บขึ้นมาบ้างหรือยัง

เขาก้าวขึ้นมายืนข้างๆผม...นี่ผมยังไม่ตาย?...ไม่เจ็บด้วย! ผมคิดพลาง มองดูเขาที่ก้าวมายืนอยู่ข้างๆ  ผมต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาสูงกว่าผม ดวงตาดุๆของเขายังมองออกไปข้างหน้า

มือที่จับบ่าผมไว้ เปลี่ยนมาโอบบ่าผมไว้แทน...นี่เราเป็นเพื่อนกันไปแล้วหรือไง?...ผมคิดแต่ยังไม่ทันจะขยับตัว เขาก็ชี้มืออีกข้างไปของนอก...ไม่ใช่มือเปล่าๆ...แต่เป็นมือที่ถือปืนอยู่!

เขาพูดอะไรก็ไม่รู้ ชี้มือที่ถือปืนไปทางท้องฟ้า...ใช่แล้ว เขาจะบอกว่าฟ้ามันเริ่มมืดแล้ว...มือที่โอบบ่าผมไว้ ทำหน้าที่รั้งผมกลับเข้ามาข้างใน ผมทำตามแต่โดยดี

เขานั่งลงที่เดิม วางปืนลงใกล้ๆตัวแล้วก็ดึงมีดออกมาอีกครั้ง

ผมเห็นเขาชะงัก...ผมว่ามันเป็นวินาทีที่เขาลืมเสแสร้ง เขารู้ตัว ว่าไม่น่าดึงมันออกมาเลย

เขาถอนใจ มองดูผม ทำมือเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงที่ตรงหน้า

...ไม่อยากเลย!...ผมคิด แต่ไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งลงไป

เขายิ้ม พูดอะไรคล้ายคำถาม แต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะมั่วตอบไปว่าอะไร ปากผมมันก็ขยับยิ้มไม่ค่อยจะออกซะแล้ว

เขาเลยก้มหน้า วาดอะไรสักอย่างลงบนพื้นอีกครั้ง ปากก็พูดภาษาที่ผมไม่เข้าใจ  ผมนั่งมองรูปที่เขาวาดเงียบๆ

เขาวาดต่อไปเรื่อยๆ หัวใจผมก็ค่อยๆเต้นช้าลงเรื่อยๆ

“สเปริ์ม...”ผมหลุดปากออกมา เมื่อเขาวาดอะไรกลมๆแล้วมีหาง ปลายมีดในมือเขาสะดุดกึก เขาหัวเราะออกมาก่อนที่จะเงยหน้ามองดูผม และโบกมือบอกว่าไม่ใช่...เป็นอันว่าศัพท์คำนี้เป็นสากล...ผมคิดแบบขำๆ

เขาก้มหน้าวาดต่อ คราวนี้มีสี่เหลี่ยมล้อมรอบวงกลม ...เขาวางมีดลง ชี้มือไปที่สุดปลายทางซ้ายมือ วาดมือข้ามหัวมาทางขวา

...อะไรวะเนี่ย?...ผมคิด มองตามเขาวาดมือจากซ้ายมาขวา แล้ววาดกลับไปทางซ้ายอีกที แล้วก็ทำมือพุ่งขึ้นข้างบน

คราวนี้เขาทำมือเลื้อยไป...ผมเดาว่าเป็นงู แล้วเขาก็ทำมือประกบกันคล้ายปลา

งูกินปลา...เอ๊ะ!...ปลาอยู่ในน้ำต่างหาก...ผมคิดตาม

เขาทำมือหมุนๆ คล้ายพายุทะเลของผม...ผมเกาหัว เพราะปลาไม่น่าอยู่ในทะเลทราย

แล้วเรื่องชักจะไปกันใหญ่ เพราะเขาทำท่าน้าวธนู ก่อนที่จะทำท่าปั่นๆที่หัว...หัวของผมนะ ไม่ใช่ของเขา...

แล้วก็หยิบมีดขึ้นมาวาดรูปจานเป็นลาย...อ๋อ จานแตก...ผมคิดแต่ผิด เพราะเขายกมือขึ้น ทำท่าให้รู้ว่าเป็นเสือ!

“เดี๋ยวๆ ...”ผมยกมือห้ามเขาที่กำลังจะวาดรูป...เรือมั๊ง ถ้าผมเดาไม่ผิด

“นายบอกว่า สเปริ์ม มันกระโดดข้ามหัว....”ผมทบทวน มือก็ทำท่าตามเขา ทั้งน้ำ ทั้งปลา ทั้งเสือ ตอนปั่นหัว ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะปั่นที่หัวเขา หรือ หัวตัวเองดี

แล้วเขาก็หัวเราะ โบกมือโบกไม้ พูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจ...แต่มันคลับคล้ายคลับคลากับตอนที่ผมบอกเข้าว่า...มันคนละเรื่องกัน ชั้นเปลี่ยนเรื่องตั้งนานแล้ว!...

เราหัวเราะกันอีกครั้งและอีกครั้ง...

ผมฟังเขาเล่าเรื่องที่ผมไม่รู้เรื่อง  และก็เล่าเรื่องที่รู้ว่าเขาฟังไม่เข้าใจให้เขาฟัง

ผมเล่าให้เขาฟังว่า พ่อผมเป็นหมอ แม่ผมก็เป็นหมอ...ผมมีพี่ชายหนึ่งคนที่เป็นหมอและน้องสาวอีกหนึ่งคนที่วางโครงการเป็นนักศึกษาแพทย์ในสองปีข้างหน้า

ผมเล่าให้เขาฟังว่าตัวผมเองไม่ต่างจากคนในครอบครัว คือผมเป็นหมอทหารที่เพิ่งสำเร็จมาหมาดๆ

ผมเล่าให้เขาฟังในสิ่งที่ไม่เคยนึกบอกใคร เพราะผมรู้ว่าเขาไม่เข้าใจ

ผมบอกเขาว่าตอนเด็กๆผมชื่นชอบซุปเปอร์แมนขนาดไหน และใฝ่ฝันอยากเป็นเหมือนฮีโร่ในดวงใจของผมขนาดไหน ไม่มีฮัลโลวีนปีไหนเลย ที่ผมใส่หัวฟักทองโดยไม่มีผ้าคลุมสีแดง ผมไม่ยอมขึ้นเวทีแสดงเป็นหนึ่งในคนแคระทั้งเจ็ดเมื่อครูยืนยันไม่ยอมให้ผมสวมกางเกงในสีแดงทับกางเกงสีดำของคนแคระ และผมก็ดีใจเมื่อพี่ชายผมเรียกผมว่าซุปเปอร์บอย เพื่อสักวันหนึ่งผมจะเติบโตเป็นซุปเปอร์แมน

“เขาบอกว่าซุปเปอร์แมนมันไม่มีจริงหรอกไอ้หนู...”ผมเล่าให้เขาฟังถึงคนจรจัดคนหนึ่งที่ผมเพิ่งปกป้องเขาจากการถูกเหล่าร้ายรังแก ผู้ชายคนนั้นมองดูชุดซุปเปอร์แมนของผมที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญวันเกิด

“เขาบอกว่านี่ต่างหากของจริง แล้วก็ชี้ที่ขาข้างเดียวของตัวเอง...”ผมเล่า ดูเขาตั้งอกตั้งใจฟังราวกับเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

ผมเล่าต่อไปว่าคนจรจัดคนนั้นเสียขาข้างหนึ่งไปเพราะสงคราม เขาเคยเป็นทหาร ...แน่นอนว่าผมได้ฟังมาจากปากเขาอีกที... เขาเดินโขยกเขยกเข้าไปในห้องน้ำโดยบอกผมว่า ไม่ใช่แค่ซุปเปอร์แมนเท่านั้นที่ต้องการที่แปลงร่าง และตอนนี้เขาต้องไปทำภารกิจแล้ว ผมยืนรอว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างไรเมื่อกลับออกมาอีกครั้งและหวังจะได้เห็นเขาเหาะขึ้นไปบนฟ้า  แล้วเขาก็ออกมา ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นอกจากมีขาครบสองข้าง เขาตอบสีหน้าสงสัยของผมว่า...เรื่องที่ซุปเปอร์แมนทำไม่ได้...พลางตบขาที่เหมือนจะเพิ่งงอกออกมาใหม่ของตัวเอง

“ชั้นถามเขาว่าไม่เหาะเหรอ...เขาบอกภาระกิจเรียบร้อยแล้ว เขาหายตัวไปทำมา ไม่ต้องเหาะให้โดนสอยลงมาอย่างซุปเปอร์แมน...เขาพูดแล้วก็ลูบท้องตัวเอง ส่วนชั้นก็จ้องเขาตาค้าง ทึ่งเขาแบบสุดๆ”ผมเล่าไปหัวเราะไป เกือบแน่ใจว่าเห็นรอยยิ้มบนปากบางๆนั่น

“ชั้นยังมีซุปเปอร์แมนคอลเลคชั่น แต่ก็เข้าเรียนทหาร ไม่รู้หรอกว่าทำไม...แต่ชั้นรู้ก่อนเข้าเรียนแน่นอนว่า ขามันงอกออกมาไม่ได้หรอก แล้วทหารก็หายตัวไปทำภาระกิจไม่ได้ด้วย”ผมรีบแก้ตัวทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย...ก็เขาคงฟังผมไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว

“ชั้นเลือกหลักสูตรวิศวะ คิดเล่นๆนะว่าเผื่อจะสร้างตู้โทรศัพท์ แบบแปลกใหม่...แต่วินาทีสุดท้ายชั้นก็เลือกที่จะเรียนหมอ...ไม่รู้หรอกว่าทำไม...ไม่เคยถามตัวเองด้วย”ผมตอบ เพราะคิดว่าเขาขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

หลังจากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายเล่าบ้าง ผมตั้งใจฟังอย่างสงสัยว่า...อะไร คือเรื่องที่เขากำลังเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ

ผมหันไปมองเขาบ้างเป็นบางครั้ง และทุกครั้งมันก็มืดลงมืดลงทุกที จนมองไม่เห็นอะไร นอกจากสีขาวของลูกนัยน์ตา และฟันขาวๆ เวลาที่เขาหัวเราะ

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #4 เมื่อ05-05-2009 22:50:28 »

ผมกลับมาเป็นฝ่ายเล่าอีกครั้ง คราวนี้ผมเลือกที่จะเล่าเรื่องของด๊อกเตอร์มาร์เวลล์ เล่ายังไม่ทันถึงไหน เขาก็เอื้อมมือแตะที่ริมฝีปากผม เขาส่งสัญญาณให้ผมเงียบ

ผมเพิ่งจับสำเนียงเสียงบางอย่างได้...มีคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!

เขาดึงแขนผมให้ลุกขึ้น  ส่งสัญญาณให้ผมเดินตามเขาไป ผลักผมเข้าไปในซอกหินที่ผมไม่เคยสังเกตว่ามันมีซอกมีหลืบ

มันแคบจนเราต้องไถตัวไปข้างๆอย่างช้าๆ

ด้านนอกเงียบกริบ แต่ผมรู้ว่ามีการเคลื่อนไหว

...ฝ่ายไหน?...ฝ่ายเขา หรือ ฝ่ายผม?...นั้นคือคำถามแรกที่เริ่มคิด

ตอนแรกผมภาวนาให้เป็นพวกของผม...แต่ก็คิดได้ว่า ถึงเป็นพวกของผม เขาคงจ้วงแทงผมก่อนที่ผมจะทันร้องตะโกน

แต่ถ้าเป็นพวกของเขา...ผมก็ไม่รอดอยู่ดี...พรุนแน่เลย ศพผม...ผมคิดอย่างสยอง

เหงื่อเริ่มไหลอีกครั้ง พร้อมๆกับเสียงหัวใจเต้นระส่ำอีกหน

ผู้บุกรุกก็ไม่ส่งเสียงใดๆออกมาแม้สักคำ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะยินดี ดีหรือไม่

แสงไฟจากกระบอกไฟฉายฉวัดเฉวียงไปมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดตรงที่ๆเราแทรกตัวผ่านเข้ามา

หัวใจผมเต้นโครมๆ เมื่อแสงไฟส่องเข้ามาช้าๆเข้ามาทางที่เรากำลังยืนอยู่

ไหล่ข้างหนึ่งของผมเบียดอยู่กับผนังหิน ไม่มีทางให้เราขยับต่อไปอีกแล้ว ผมมองดูเขาที่ยืนถัดออกไปทางด้านนอก ตาเขาจับจ้องไปอีกทางด้วยความกังวล...แน่นอน ถ้ามีอะไร เขาโดนก่อนแน่นอน

แสงไฟขยับใกล้เข้ามาทุกที และทุกที

ผมขยับตัวให้หลังชิดผนังที่สุด สะกิดเขาให้ขยับเข้ามาอีก เขาทำตาม แทรกตัวเข้ามาระหว่างตัวผมและผนังหินตรงหน้า  มันยากเย็นเหลือเกินที่จะหายใจ เมื่อไม่มีช่องว่างระหว่างร่างกายของเราเลย ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ไม่บดเบียดกันและกัน

แล้วแสงไฟถูกดึงกลับไปในที่สุด และผู้บุกรุกดูจะตัดสินใจได้ว่าที่นี่รกร้าง จึงเริ่มส่งเสียงคุยกันในภาษาที่ผมไม่เข้าใจ!

ผมขยับตัวทันทีตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด และรู้สึกถึงมือที่กดลงบนริมฝีปากผม

“ชู่...ไม่ต้องกลัว”เขากระซิบเบาๆ

ไม่ต้องกลัวได้ไงเล่า!...ผมเถียงในใจ ก็เขามีทั้งมีด ทั้งปืน ตอนนี้ยังมีพวกอีกต่างหาก...พระเจ้าไม่เข้าข้า
งผมเลย!...

“ไม่เป็นไร...ไม่ต้องกลัว”อีกครั้งที่เขากระซิบ เพราะผมยังดิ้นรนอยู่ในที่แคบๆ

“ไม่เป็นไร...ชั้นอยู่ตรงนี้”เขากระซิบ กดหัวผมลงกับบ่าเขา ผมหยุดดิ้นรนทันที ไม่รู้เพราะเริ่มสิ้นหวังหรืออย่างไร

“ดีมาก นิ่งไว้”เขากระซิบที่ริมหูอีกครั้ง มือที่กดหัวผมลง เปลี่ยนมากอดผมไว้ และใจผมก็ค่อยๆสงบลงช้าๆ

ผู้บุกรุกภายนอก ยังส่งเสียงคุยกันด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ

พอใจเริ่มสงบ สมองผมก็เริ่มทำงานอีกครั้ง

...ทำไมเขาไม่ออกไป...ผมพยายามนึกหาเหตุผล

...หรือจะเป็นพวกเคิร์ด?...ศัตรูของอิรัก ไม่ใช่มีแค่อเมริกา แต่ยังมีพวกกบฏที่เรียกตัวเองว่าเคริ์ด คนกลุ่มเล็กๆที่ถอดใจจากอิหร่าน และมุ่งหวังแบ่งปันดินแดนจากอิรักแทน

...ใช่แน่ๆ...ผมสรุป เพราะหาเหตุผลที่เขาจะช่วยเหลือผมไว้ไม่ได้

นานกว่าพวกนั้นจะตัดสินใจจากไป แต่ไม่นานพอที่ผมจะเต็มอิ่มกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น

ทันทีที่รู้ตัวว่าปลอดภัยแล้ว พวกนั้นจากไปแล้ว ผมก็รู้ตัวว่า ยังอยากยืนอยู่ตรงนี้ ในที่แคบๆนี้

เขาขยับตัว และผมรั้งเขาไว้อย่างไม่รู้ตัว

ผมโทษหัวใจของตัวเอง ที่วันนี้มันทำงานหนักมาทั้งหมด ทั้งตื่นกลัว สิ้นหวัง แต่เดี๋ยวก็หัวเราะ แล้วกลับมาตกใจกลัวอีก...มันเต้นระส่ำ ไร้จังหวะ ไร้การตักเตือนให้เตรียมพร้อมมาทั้งวัน และเมื่อเขากดหัวผมให้ซบลงบนบ่าเขา มันเป็นวินาทีแรกในช่วงวันที่ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

ผมโทษผิวเนื้อที่มันร้างลาจากสัมผัสของมนุษย์มานานนับหลายสิบชั่วโมง มันสัมผัสแต่ความแห้งผากและร้อนระอุของลมทะเลทราย จนเมื่อเขากอดผมไว้ ผมก็รู้สึกถึงความร้อนจากมือเขา มันอบอุ่นเหลือเกิน

“เราจะขาดอากาศกันในไม่ช้าแน่”เขากระซิบบอกผม ปลดเปลื้องตัวเองจากสัมผัสที่บดเบียดกันอยู่  เขาพาตัวเองออกไปช้าๆ มือหนึ่งเกาะกุมข้อมือผมไว้ให้ขยับตัวตามเขาในความมืด คล้ายเขาจะรู้ว่าผมยังยืนนิ่งอยู่ในความหวาดกลัวอีกครั้ง...หวาดกลัวความโดดเดี่ยวทางใจและ หวาดกลัวการขาดสัมผัสทางกาย...

แต่ทันทีที่ผมหลุดพ้นจากความคับแคบ เขาก็ดึงผมเข้าไปกอด...หัวใจผมทำงานหนักอีกแล้ว มันเต็มตื้น แล้วสิ้นหวัง และกลับมาเต็มตื้นอีกครั้ง

ผมกอดเขากลับ หวังให้แรงสัมผัสทั้งหลายทั้งมวลนั้นตอกย้ำถึงความมีตัวตนของตัวเองท่ามกลางความเวิ้งว้างของแผ่นดินทะเลทรายแห่งนี้

ดูเขาจะเข้าใจในความรู้สึกนี้ เขาจึงกอดผมด้วยแรงสัมผัสแบบเดียวกัน ผมยิ่งกอดเขาแน่นเท่าไหร่ ผมก็ได้รับการสนองตอบที่เท่าเทียมกัน

ผมรำคาญผ้าหนาที่ขวางกั้นเราไว้จากผิวเนื้อของกันและกัน แต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะละทิ้งอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้

เราไม่ได้จูบกันอย่างที่ควรจะเป็น เพราะไม่พร้อมที่จะละทิ้งความอบอุ่นที่ซึมซับได้จากซอกคออุ่นๆของกันและกัน

พระเจ้า...แม้จะปราศจากซึ่งความรัก และเคยคุ้น...แต่ร่างกายมนุษย์อบอุ่นถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่?...ผมถามพระเจ้า ในขณะที่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเงียบๆโดยไม่มีทั้งน้ำตา และเสียงสะอื้นใดๆเลย...และผมก็รู้สึกว่าเขากำลังกระทำสิ่งที่คล้ายกัน

นาน...นานจนเราเต็มอิ่มกับความไม่โดดเดี่ยว เราจึงเริ่มร่วมรักกัน...ไม่นุ่มนวล ไม่แผ่วเบา เพราะเรายังกระหาย...กระหายผิวเนื้อที่แนบชิด กระหายเนื้อกายที่หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

มันแปลกจริงๆถึงความรู้สึกยามที่เราทอดร่างลงไปนอนเคียงข้างกันและกัน...เราเหนื่อยหอบ หายใจแรง ไม่ได้ซุกซบกันอย่างที่คนรักกระทำต่อกัน มันคล้ายกับตอนที่ผมเพิ่งดึงเขาพ้นออกมาจากความตายจากพายุทะเลทราย เป็นความรู้สึกที่หลุดพ้น ระคนแปลกใจ ความรู้สึกของมิตรและศัตรูวางผสมปนเปอยู่ในมือข้างเดียว เลือกโยนสิ่งใดสิ่งหนึ่งทิ้งไปไม่ได้

“หนาวไหม?”เขาถามขึ้น ทำลายความเงียบที่อบอวลอยู่ในความมืด ผมไม่ตอบแต่ได้ยินเสียงเขาขยับตัวในความมืด ผ้าเนื้อหนาหนักถูกโยนมาบนร่างผม...เสื้อของผมเอง...

ผมลุกขึ้นมาใส่ช้าๆ ปกป้องตัวเองจากอากาศเย็นที่ขับไล่ความร้อนให้จากไปทันทีที่พระอาทิตย์ลับตา

การเริ่มต้นบทสนทนาอย่าง...นี่มันอะไรกัน?...เราทำอะไรกัน? หรือว่า เราทำมันไปได้อย่างไร?...ดูจะงี่เง่าเกินกว่าที่จะพูดหรือแม้แต่คิด เพราะเราเลือกที่จะทำมันไปแล้ว และไม่มีอะไรเสียหาย เว้นแต่ว่า เขาอาจจะเป็นโรคอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็เท่านั้น

“เป็นอะไร?”เขาถามอีกครั้ง ดูตั้งอกตั้งใจเหลือเกินที่จะทำลายความเงียบลงให้ได้

“เป็น...เหนื่อย”ผมตอบไม่จริงจังอะไร หวังก็แต่ให้เขาคืนความเงียบมาให้ผม

“ยังหนาวหรือเปล่า?”เขาถามอีก

ผมไม่เข้าใจว่าเขาหวังอะไร เขาคงไม่หวังที่จะมานอนซุกตัวกันและกันคลายหนาวหรอกนะ...ผมอาจจะมีความสุขจากการร่วมรัก แต่เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาจนครบถ้วนแล้ว ผมไม่อยากกอดเขาหรอก...แต่ผมคิดผิด เมื่อเขาขยับตัวเข้ามาใกล้ สอดแขนข้างหนึ่งใต้ร่างผม และดึงผมเข้าไปกอด...ปรากฏว่า ผมชอบสัมผัสนั้น...

ตอนแรกผมคิดว่าผมพอใจในความอุ่นทางร่างกาย แต่ต่อมาผมก็รู้ว่า ที่อุ่นกว่าคือใจต่างหาก

“ออกไปนอนดูดาวกันไหม?”เขาถาม

“ดูทำไม?”ผมตอบและเขาหัวเราะในคำตอบผม

“ทำไมถึงชอบปฏิเสธทุกอย่าง ก่อนที่จะเริ่มต้นทำความรู้จัก?”เขาพูดกลั้วหัวเราะ และก่อนที่ผมจะทันเถียง เขาก็ร้องเพลงออกมาเบาๆ
       Oh thou , who man of baser earth didst make

       And who with eden didst devise the snake

       For all the sin wherewith the face of man

      Is blacken’d , man’s forgiveness give and take

“...พระเจ้ากับมนุษย์ควรผลัดกันขออภัย?...จบแล้ว?”ผมถาม นึกทวนถึงเนื้อเพลงและเสียดายที่มันสั้นเหลือเกิน

“ไม่จบ...แต่ท่อนต่อไปจะเพราะ ถ้าฟังอยู่ใต้แสงดาว”เขาพูดกลั้วหัวเราะ และไม่พูดอะไรอีกคล้ายรอฟังคำตอบจากผม

“ขนาดนั้นเชียว?”ผมถาม แล้วหลังจากนั้นเราก็ออกมานั่งอยู่บนพื้นทราย  บนฟ้ามีพระจันทร์ มีดาว เหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา ผิดกันที่วันนี้ดูสวยกว่า เราไม่ได้นั่งกอดกันและกันอย่างเมื่อตอนที่เรามีความมืดพลางตัว...ไม่ใช่แค่ผม แต่เป็นเราทั้งสอง ที่ยังมีความกระดาก ต่อกันและกัน

ผมทำท่าเชื้อเชิญให้เขาร้องเพลงต่อไป เขายิ้มและเริ่มต้นเสียงทุ้มๆของเขาอีกครั้ง

   Listen again.One evening at the close of Ramazan
   
   Ere the better moon arose

   In that old potter’s shop I stood alone

   With the clay population round in rows

   And strange to tell,among that earthen lot

   Some could articulate,while others not

   And suddenly one more impatient cried

   “who is the potter,pray,and who the pot?”

   then said another”surely not in vain

   my substance from the common earth was ta’en

   that he who subtly wrought me into shape

   should stamp me back to common earth again”

เขาจบบทเพลงลงเงียบๆ ...มันไพเราะแต่แฝงด้วยความนัย

...พระเจ้าสร้างมนุษย์ แล้วใครสร้างพระเจ้า...เป็นคำถามที่ผมเองก็เคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน

...พระเจ้าสร้างมนุษย์ แต่แล้วก็ทำลายมนุษย์...มนุษย์ดีหรือเลว เป็นผลงานของพระเจ้าแทบทั้งสิ้น หากให้มนุษย์ขอโทษในผิดบาปของตน พระเจ้าควรกระทำต่อมนุษย์เฉกเดียวกัน...

เขาต้องการจะบอกอะไรผมหรือเปล่านะ...ผมนึกสงสัย

“เพลงของใคร?”ผมถาม

“ไม่ใช่เพลง...เป็นบทกวีที่เราเอามาใส่ท่วงทำนองเอาเอง”เขาตอบ

แม้อยากรู้ว่า...เรา...ของเขาหมายถึงใคร แต่ตอนนี้ผมกลับไม่อยากรู้ว่า เขาคือใคร

“กลอนของใคร?”ผมเลือกที่จะถามถึงเจ้าของบทกวี

“โอมาร์ คัยยัม...รุไบยาต”เขาตอบ

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #5 เมื่อ05-05-2009 22:51:51 »

“ชื่อยาวจัง...”ผมออกความเห็นถึงชื่อไม่คุ้นหูที่เขาเพิ่งบอก  เขาหัวเราะแต่ก็ไม่ยอมบอกว่าหัวเราะอะไร จนคิ้วผมขมวดนั่นแหละ ถึงยอมบอก

“โอมาร์ คัยยัมน่ะชื่อคน...แต่รุไบยาตน่ะชื่อตัวบทกวี”เขายังหัวเราะ

“แล้วรู้ไหมว่าชื่อตัวเองมาจากไหน?”เขาถามทั้งยังหัวเราะ มันทำให้ผมนึกหงุดหงิดขึ้นมาทีละนิด

“นักเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพรุ่นใหม่ละมั้ง..”.ผมแกล้งตอบ ก็ใครจะไม่รู้จักชื่อตัวเองล่ะ ถึงจะไม่รู้อะไรลึกซึ้งนักก็เถอะ

“รุ่นใหม่?....น่าจะเก่าสัก...”เขามองผม ทำทีเป็นกำลังประเมิน

“รุ่นดียวกับ วาลาเชอรี ไง”ผมชิงพูดตัดหน้า

คราวนี้เขาขมวดคิ้ว

“วาลาเชอรี  .... ไม่รู้จัก?” ผมเอาคืนบ้าง

เขายังคิ้วขมวด

“นักสิทธิมนุษยชนไง!”

“ชื่อไม่เหมือนพวกมะกัน”เขาออกความเห็น

“จะเป็นอเมริกันได้ไงเล่า  เรียกร้องสิทธิให้พวกนายนั่นแหละ”

“วาลาเชอรี? นายจำผิดมั้ง?”เขาทำหน้าแคลงใจ

“ไม่มีทาง เป็นข้อสอบ ข้อเดียวที่ชั้นตอบผิดตอนเกรด 7 จำได้จนเดี๋ยวนี้เลย”

ผมพูดจริง  ข้อสอบข้อเดียวที่ผมตอบผิด จำคำถามได้จนบัดนี้ แต่คำตอบ...ไม่เคยรู้เลยตั้งแต่บัดนั้นยันบัดนี้

เขายังคิ้วขมวด...ดีปล่อยให้งงไป เหมือนที่เมื่อกี้ผมงงชื่อพ่อโอมาร์ของเขานั่นแหละ

“ดินแดนแห่งทะเลทราย...ดินแดนแห่งสงคราม”ผมพูดเพราะนึกเสียดาย...นึกถึงบทเพลงที่เขาร้อง...ข้างขึ้นจันทร์ตระการ สานแสงส่องข้าเดียวดาย

“เราไม่ได้นำสงครามมา มีคนนำมาให้เรา”เขาพูดเรียบๆ แต่บังเอิญ...คน...ที่เขาว่ามันหมายถึงพวกผม

“เราไม่ได้นำสงครามมา...สร้างอาวุธก็คือเตรียมก่อสงคราม...พวกนายเรียกหาสงครามด้วยตัวเอง”ผมพยายามพูดเรียบๆเหมือนตอนที่เราคุยกันถึง โอมาร์ ถึงวาลาเชอรี

“เราสร้างอาวุธ?...แล้วอเมริกาสร้างอะไร?...ดอกไม้ไฟสำหรับคริสต์มาสงั้นสิ?”เขาถามติดประชดประชัน น้ำเสียงไม่ราบเรียบอีกต่อไป

“งั้นนายน่าจะได้เห็นหลุมหลบภัยที่อามารียะฮฺ อเมริกาส่งดอกไม้ไฟดอกใหญ่มาให้ผู้หญิงกับเด็กๆของเรา...ดอกไม้ไฟกว่า 4ตัน ให้กับเด็กและผู้หญิงกว่า400คน!”ยิ่งเขาพูดเท่าไหร่ ดูความโกรธของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“นั่นเป็นความเข้าใจผิด!”ผมก็ชักอารมณ์ขึ้น  ภาพการลำเลียงศพผู้หญิงกับเด็กออกมาจากหลุมหลบภัยแห่งนั้นผมยังจำได้

ตอนที่อเมริกาออกมาขอโทษ เพราะข่าวสารผิดพลาดทำให้เข้าใจผิด คิดว่าหลุมหลบภัยแห่งนั้น แท้จริงคือที่ปฏิบัติการทางทหาร...คำขอโทษกับ400กว่าชีวิตที่สูญไป...แม้แต่ผมเองยังเสียใจให้กับคนเหล่านั้น แต่เมื่อสงครามครั้งนั้นยุติลง โลกยกย่องว่าเราเป็นฮีโร่ช่วยขับไล่อิรักออกจากคูเวต ความผิดนั้นจึงดูเบาบางกว่าที่ควร

“ถ้าอิรัก ไม่อยากได้น้ำมันของคูเวต ทุกอย่างมันก็ไม่เกิดขึ้น”ผมพูดในสิ่งที่คิด และเชื่อว่าเป็นความจริงที่ทุกคนรู้

“ใช่...แล้วตอนนี้ล่ะ?...อเมริกากลับเป็นฝ่ายอยากได้น้ำมันของเราขึ้นมา?”เขายิ้มเยาะ

“ไม่ใช่!...เพราะพวกนายไม่ให้ตรวจสอบอาวุธต่างหาก!”ผมสวนกลับด้วยเสียงดังกว่าที่ตั้งใจ

“อาวุธอะไร? อาวุธที่พวกนายจัดหามาให้ ตอนใช้เราสกัดอิหร่านหรือไง?”เขาตะโกนตอบกลับมาทันทีเช่นกัน

“นายจะตะโกนทำไม?...ชั้นไม่ใช่บุชนะ!”ผมตะโกนกลับไปบ้าง ด้วยถ้อยคำที่เหลือเชื่อ...ผมไม่ใช่บุช?...มันเหมือนผมหมดหนทางจะเถียง...แต่ผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เขาหันมามองหน้าผม เหมือนอยากรู้ว่าผมทำหน้ายังไง

“....มวลบาปผิดที่เปื้อนหน้าของข้านั้น ท่านกับข้าควรผลัดกันขออภัย!” เขาร้องเพลงนั้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ยังแผ่วเบา ไพเราะ...แต่ฟังดูประชดประชันยิ่งกว่าเดิม

ใครจะรู้ว่า มันเริ่มขึ้นที่เพลงเพราะๆแต่จบลงที่การถกเถียงกันและเบือนหน้าจากกันอย่างชิงชัง มนุษย์เป็นแบบนี้เองกระมัง นี่กระมังเหตุผลของสงคราม...จากบทเพลงที่อ่อนหวานไหลเรียบลื่นไปไร้รอยสะดุดสู่จุดจบของข้อถกเถียงที่ไม่มีใครยอมให้ใคร

“นอนเถอะ...เก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้”เขาพูดขึ้นทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัด ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไป โดยไม่สนใจผมสักนิด

ไม่มีเหตุผลที่จะนั่งอยู่ต่อไป ผมลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปอยู่ในความมืดอีกครั้ง

ผมทิ้งตัวลงนอนที่มุมหนึ่ง มองผ่านความมืดไปดูเขาที่ซุกตัวนอนอยู่อีกมุมหนึ่ง

อากาศตอนนี้ยิ่งเย็นขึ้นอีก แต่เราก็ต่างคนต่างหลับไปที่คนละฟากหนึ่ง เท่าที่จะไกลกันได้

ผมรู้สึกตัวตื่น เมื่อรู้สึกว่าร่างกายโดนเขย่าแรงๆ

“ได้เวลาต้องจากกันแล้ว...”เขาพูดตั้งแต่ที่ผมยังไม่ทันจะลืมตาตื่นมามองเขา

แล้วผมก็ลืมตาขึ้นอย่างงงๆ  ภาพโดยรอบที่ไม่คุ้นตาเรียกผมให้ลุกพรวดพราดขึ้น เขานั่งอยู่ที่ข้างตัวผม

ผมรีบนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“หลับสบายไหม?”เขาถาม

มันขัดแย้งกับภาพในหัวที่กำลังลำดับเหตุการณ์อยู่โดยสิ้นเชิง

ภาพเขาที่ยืนตะโกนภาษาที่ผมไม่เข้าใจ

ภาพเขาที่นั่งทำมือทำไม้ประกอบท่าทางเวลาเล่าเรื่องต่างๆ

“ว่าไง หลับสบายหรือเปล่า?”เขาถามอีกครั้งและยิ้มเมื่อผมขมวดคิ้ว

นี่ผมฟังเขารู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...หัวผมรีบลำดับเหตุการณ์ดูอีกครั้ง และน่าแปลกเหมือนเขาจะจับความคิดผมได้ เขาเอียงคอมองดูผมและยิ้ม ปล่อยให้ผมคิดต่อไปเงียบๆ

เสียงเขาร้องเพลงยังชัดเจนอยู่ในหู พอๆกับเสียงเราตะโกนใส่กันกันบ้าคลั่งในตอนแรก

“เฮ้!...นายพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?”เขาถามล้อเลียน มองดูผมใช้ความคิดอย่างหนัก

ในหัวผมมันมีแต่ภาพย้อนไปย้อนมา

“รีเวิร์ด...”เขาพูดจิ้มเบาๆที่คิ้วผม ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ และโบกมือบอกให้เขารู้ว่ามันมากไป เขาเลยจิ้มที่คิ้วของผมอีกข้าง

“ฟอร์เวิร์ด...”

...ดีไหม?...เสียงเขากระซิบแผ่วที่ริมหู  รสสัมผัสจากฝ่ามือแข็งแรงของเขามันย้อนกลับเข้ามาในความคิดผมอีกครั้ง...ผมเดาว่าหน้าผมคงแดง เพราะมันร้อนผ่าว และเขาคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เลยจิ้มให้ที่คิ้วอีกครั้งหนึ่ง

“รีเวิร์ด...ฉากเมื่อกี้เซนเซอร์”เขาพูด  ผมหัวเราะ รู้สึกว่าหน้าตัวเองยังร้อนผ่าว

...ไม่ต้องกลัว...เสียงอ่อนโยนดังขึ้นที่ริมหู

ใช่แล้ว...ตอนนั้นเอง ตอนที่สติผมกำลังแตกเพราะความกลัว...แต่ผมไม่คิดว่ามันจะแตกขนาดที่ ไม่สังเกตสักนิดว่าหัวตัวเองมีเครื่องแปลภาษาขึ้นมากระทันหัน

ผมมองหน้าเขาอีกครั้ง...ดูเหมือนเขาจะไม่โกรธแล้ว

“ชั้นไม่ใช่บุช...”ผมพูดขึ้นมาและนึกอยากกัดลิ้นตัวเองเสียให้ขาด...ผมแค่อยากบอกเขาว่า ผมเสียใจกับทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากให้มันเกิด และเราเลือกไม่ได้ เราต่างต้องทำตามหน้าที่...มันคือเรื่องที่ผมคิดจนหลับไป

“...ใช่เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากหน้าที่ของตัวเอง...อย่าบอกนะ ว่านายนอนคิดอยู่ทั้งคืน?”เขาถอนใจหนักๆก่อนถามผม  ผมพยักหน้ารับ นึกแปลกใจที่เขารู้ทุกสิ่งที่ผมคิด

“นั่นอะไร?”เขาถาม ชี้มือมาที่คอผม ผมลูบมันดูแต่ไม่เห็นมีอะไร

“รอยดำๆเหมือนปากกา...”เขาบอกเมื่อผมทำหน้างง

“อ๋อ!...จุดตายไง!”ผมตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด แต่เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ และผมก็ชะงัก นึกลังเลที่จะตอบ

มันเป็นจุดตาย ผมกับเพื่อนๆขีดไว้ตามจุดต่างๆของร่างกาย ตอนที่เราว่างๆ และบังเอิญโชคร้าย หมึกที่เราคว้ามาดันเป็นหมึกกันน้ำ

...เล็งพวกมันตรงนี้...ตายทุกราย!...ผมกับเพื่อนคุยกันอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมลังเลที่จะเล่าให้เขาฟัง

“จุดตาย...แบบว่าเวลากระสุนปืนบินมา เราก็เอาตรงนี้รับ จะได้ไม่ทรมาน”ผมพูดซะอย่างนั้น

“อ๋อ...นายเป็นแพทย์ทหารนี่!...การให้ชีวิตคน มันดีกว่าพรากชีวิตคนอยู่แล้ว แต่นายเป็นทั้งสองอย่าง”เขาพูด...เดาไม่ออกว่าด้วยอารมณ์แบบไหน

“แต่จุดพวกนี้มันเล็ก...ต้องจุดอยากตาย ถึงจะใหญ่”คราวนี้เขายิ้ม

“จุดอยากตาย?”จุดนี้ ผมไม่เคยได้ยิน

“ใช่!”

และโดยไม่ให้ตั้งตัว เขาจับหมับ เข้าที่หว่างขาผม

“จุดนี้ ถ้าไม่ตาย แต่รายไหนๆก็อยากตาย!”เขาว่า มือยังอยู่ที่ตำแหน่งเดิม

จริงของเขา...ถ้าเป็นผม ถ้าจุดอยากตายมันหลุดติดปลายปืนของใครไป ผมก็คงไม่อยากอยู่เหมือนกัน

“แต่ขอร้องนะ...ถ้าเป็นชั้น ขอจุดตายก็แล้วกัน...ยังอยากใช้งานมันอยู่”เขาพูด ก่อนจะคลายอุ้งมือจากจุดอยากตายของผม

เราต่างก็เงียบกันไป คล้ายจะชั่งใจในอะไรบางอย่าง

“หมดเวลาของความสำราญแล้ว”เขาพูดคล้ายตัดสินใจได้ คราวนี้ไม่มีการรั้งรอหรืออ้อยอิ่งใดๆอีก

เขาลุกขึ้นยืน ติดกระดุมเสื้อที่ไส่ไว้อย่างไม่เรียบร้อยนัก

และผมก็ทำแบบเดียวกัน

ไม่นานเราก็เตรียมพร้อมที่จะลาจากกันจริงๆ

“กระติกน้ำ”เขาพูด เมื่อทุกอย่างพร้อม

“กระติกน้ำ”เขาทวนอีกครั้งเมื่อผมยังยืนเฉย

“กระติกน้ำ!”เขาย้ำอีกครั้ง ชี้มือมาที่เอวผม ก่อนจะปลดมันไปด้วยตัวเอง เมื่อผมยังยืนเฉยไม่เข้าใจ

เขาค่อยๆรินน้ำจากกระติกของเขาลงในกระติกที่เพิ่งเอาไปจากเอวของผม หมุนฝาปิดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งคืนผม

“คนละครึ่ง เหลือไม่มากแล้ว”เขาพูด ตวัดตามองดูผม

“ก็ตัดกำลังข้าศึกไง”ผมพึมพำแก้ตัว นึกรู้ว่าเขาคงนึกถึงตอนที่ผมดื่มน้ำเขาเสียฉ่ำปอด

“ค่อยๆจิบ ให้พอแค่ให้หายคอแห้ง!”เขากำชับ ไม่สนใจคำแก้ตัวของผม

แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลียวมองไปรอบๆ ผมมองตามสายตาเขา ไม่เข้าใจว่าเขามองหาอะไร

“ปืนนายล่ะ?”เขาถามขึ้น ตาจับจ้องที่มืออันว่างเปล่าของผม แล้วก็เหลียวมองไปรอบๆอีกครั้ง

พระเจ้า!...นี่เขาเพิ่งรู้หรือว่าผมไม่มีปืน?

เขาขมวดคิ้วรอคำตอบ

“พวกอิสทิค บารัท เอาปืนนายไป?”เขาถาม และผมแทบไม่เชื่อหู

เขากำลังพูดถึงพวกเมื่อคืนหรือเปล่า?

ถ้าใช่...พวกเขาก็น่าจะเป็นพวกเดียวกัน...ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นพวกเคิร์ด

“นายเป็นพวกเคิร์ดเหรอ?”ผมตอบคำถามของเขาด้วยคำถามที่ทำให้เขา ทำหน้าแบบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

แน่นอน ผมรู้ว่าไม่ใช่ เครื่องหมายที่แขนเสื้อเขา บอกไว้ชัดเจนว่าเขาเป็นพวกไหน

แล้วทำไมเขาต้องซ่อนตัวต่อไป ทำไมต้องซ่อนตัวจากพวกของเขาเอง

หรือจะมาจากคนละหน่วย...ผมคิดหาเหตุผล นึกถึงพวกซีลกับเรนเจอร์ ที่ไม่ค่อยกินเส้นกันด้วยบางครั้งหน้าที่ ที่มันเลื่อมล้ำกันอยู่ แต่ผมแน่ใจว่าพวกนั้นคงไม่ฆ่ากันตาย ต่อให้มาเจอกันกลางทะเลทรายที่ไม่มีพยานรู้เห็นก็เถอะ

“ว่าไง พวกนั้นเอาปืนนายไปเหรอ?”เขาถามย้ำ คราวนี้ผมส่ายหัวปฏิเสธ

“แล้วมันอยู่ไหน?”

“คงทำหล่น ตอนนายจับชั้นโยนเข้ามานั่นแหละ!”ผมตอบพลางชี้มือออกไปข้างนอก เขามองตามมือผม และหันกลับมามองหน้าผมอย่างคนไม่เชื่อหูตัวเอง

เขาคงกำลังนึกเสียใจมั้ง ที่ปล่อยให้ผมยืนตะโกนขู่เขาบ้าง ตะโกนเถียงเขาบ้าง แล้วก็ยังกินน้ำของเขาเสียเกือบหมด

เขายังยืนจ้องหน้าผม...ยากจะบอกว่าเขารู้สึกยังไง รู้แต่ผมรู้สึกเสียใจต่อเพื่อนร่วมชาติที่ทำให้ภาพพจน์ของนาวิกโยธินสหรัฐหมดรูปขนาดนี้

เขาถอนใจหนักๆอีกครั้ง ก่อนพึมพำภาษาที่ผมไม่เข้าใจ

“ว่าไงนะ?”ผมถาม

“เปล่า!”เขาตอบ

“ชั้นอยากรู้ว่านายพูดว่าไง?”ยังไงผมก็อยากรู้ ถึงเขาจะว่าผมโง่ ผมก็อยากได้ยินเป็นภาษาที่ผมเข้าใจ

เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนตอบรัวเร็ว

“ชั้นบอกว่า ไม่อยากเชื่อเลย นี่ชั้นมองแต่หน้านาย ไม่ได้มองดูมือนายตั้งแต่แรกเลยหรือนี่!”

“ไม่น่ามีปัญหา เหมือนเอ็มโฟของนายนั่นแหละ ลำกล้องยาวกว่านิดหน่อย น้ำหนักมากกว่านิดหน่อย แล้วก็พานท้ายยืดหดไม่ได้เท่านั้น”เขาพูดต่อไปทันทีราวกับเป็นประโยคเดียวกัน พร้อมส่งปืนในมือให้ผม ผมถอยห่างอย่างตกใจไม่อยากเชื่อถึงสิ่งที่เขากำลังทำ

“ไม่ป็นไรน่า ชั้นมีอย่างอื่น!”เมื่อผมไม่รับ เขาจึงโยนมันให้ผม และผมก็ยื่นมือรับไว้ด้วยสัญชาตญาณ

“มีอย่างอื่น?”ผมทวนคำ และเขาพยักหน้ารับ ก่อนถลกขากางเกงขึ้น

...มีดจะทำอะไรได้...ผมคิดค้าน แต่สิ่งที่เขาหยิบขึ้นมาคือปืนพก!

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #6 เมื่อ05-05-2009 22:53:27 »

“ว้าว!”ผมอุทานได้แค่นั้น และเขายิ้มด้วยทีท่าภูมิใจพลางมองดูปืนในมืออย่างชื่นชม แต่เขาตีความคำอุทานของผมผิดอย่างมหันต์

ผมอุทานให้กับความโชคดีของตัวเองต่างหาก

เขามีปืนอาก้า มีมีดสั้น แล้วตอนนี้ก็มีปืนพก นี่ยังไม่รวมมัดกล้ามที่มีมากกว่าผมเกือบครึ่ง...ผมได้แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่ปล่อยให้ผมมีชีวิตรอดพ้นมาได้

แต่ยังไงผมก็ยังไม่สบายใจที่จะรับเอาสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามาไว้ในครอบครอง เขาไม่รู้หรือไงนะ ว่ามันหมายถึงชีวิต 

“แลกกัน...”ผมว่า ส่งอาก้าคืนให้เขา แต่เขากลับมองมันอย่างรังเกียจ

“อันนั้นจะหาสักกี่โหลก็ได้ แต่อันนี้...มีแค่ไม่กี่กระบอก...ในโลกนี้!”

ผมมองดูไอ้ปืนมีไม่กี่กระบอกในโลกนี้ ในมือเขา มันน่าจะผุจนเหลือไม่กี่กระบอกเสียมากกว่า

“colt single action army revolver  ผลิตปี 1873”เขาอวด

“ยังใช้ได้?”ผมถามไม่แน่ใจ ไม่สนใจไอ้ที่เขาพยายามพูดสักนิด

“....ได้รับตำแหน่ง the gun that won the west คู่กับปืน Winchester model 1873 lever action rifle....รุ่นpeacemaker!”เขาไม่สนใจจะตอบผมแต่มองผมอย่างตำหนิและพูดถึงสรรพคุณของมันอย่างรักใคร่ต่อไป แต่ผมไม่รู้เรื่อง กระดิกหูก็ตรงชื่อรุ่นนี่แหละ

“รุ่นอะไรนะ?”

“peace maker!”เขาตอบแบบรำคาญ

“ปืนเนี่ยนะ สร้างสันติ?”

“เมื่อก่อนมีแต่พวกผู้รักษากฏหมายเท่านั้นที่ใช้...อย่างfrontier six shooter,thumb buster หรือ hog leg...เลยตั้งชื่อให้สอดคล้อง”เขาอธิบาย  ขมวดคิ้วมองดูผมที่กลั้นยิ้ม

“ช่างเถิด...”ผมพูดกลั้นหัวเราะ มองดูเขาที่ทำตาขุ่นๆ

“แต่เตือนด้วยความหวังดีนะ...ถ้านายใจดีเกินไป  นายไม่รอดแน่...”ผมพูดมองดูปืนที่เขาส่งให้ พลางครุ่นคิด...ยังไงผมก็อยากคืนมันให้กับเขา

“ถ้านายลดปืนลง จากคนที่จูบรูปอูฐ นายก็ไม่รอดเหมือนกัน...”เขาพูดและยิ้ม และยิ้มมากขึ้น เมื่อผม...คงทำหน้าเหรอหรา

เขาล้วงมือหยิบอะไรสักอย่างในกระเป๋าเสื้อส่งให้ผม

กระดาษยับๆที่พอคลี่ออกมา...รูปอูฐ กับตัวอักษรที่อ่านไม่ออก แต่พอรู้ว่ามันคือ...ซองบุหรี่

ผมจำได้ทันที...น่าจะเป็นรูปที่เขายกขึ้นจูบ ตอนที่ผมพบเขา

“แฟนนายหน้าแปลกดีนะ...”ผมพูด ฟังน้ำเสียงตัวเองมันโหวงๆชอบกล

...นี่ผมไว้ชีวิต คนที่นั่งจูบรูปอูฐอยู่กลางทะเลทราย...

“นายรู้ว่าชั้นเล็งปืนไปที่นาย?”

“ลุ้นแทบแย่...ว่าจะรอดหรือเปล่า ภาวนากับพระเจ้า ว่าขออีกสักวันก็ยังดี...”เขาตอบ ยิ้มขื่นๆ

“เลยจูบอูฐ  ลาตาย?”ผมยังงงงวยกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ ไม่สนใจรอยยิ้มขื่นของเขา

“แล้วได้ผลไหมล่ะ?.... สงครามไม่ได้สอนแต่ความเกลียดชังหรอก มันสอนด้วยว่า  สิ่งที่เราจากมา น่าโหยหาเพียงใด และยังสอนให้เห็นใจ ผู้ที่โหยหาในสิ่งเดียวกันด้วย”

“คราวนี้ใครเขียนอีกล่ะ?” ผมถามยังงง ตอบไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง

 สรุป ทุกอย่างที่เขาทำ คือการตอบแทน? ไม่ว่าจะเรื่องที่เขาปกป้องผมไว้จากพวกอิสทิค บารัท หรือ เรื่องที่เขาให้ปืนผม เขาทำเพราะตอบแทนเท่านั้น?  ทั้งที่ผมควรจะดีใจ เพราะเท่ากับว่า ผมกับเขา เราไม่มีอะไรติดค้างกัน แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ความเต็มตื้นต่อสิ่งต่างๆที่ได้รับจากเขาโดยปราศจากการร้องขอสิ่งใดตอบแทนนั้น มันพังทะลายลงชั่วพริบตา

เขาจับมือผม  ทาบลงที่อกของเขา...หัวใจของเขาเขียน?...น้ำเน่าเกินไปแล้ว!

“ชั้นแค่คิด และนายก็พิสูจน์ให้เห็นจริง...หัวใจชั้นมันเรียนรู้...เรียนรู้จากหัวใจของนาย...”เขาพูด เท่านั้น แล้วน้ำตาผมมันก็ไหลออก

ผมรู้แล้วว่าไม่ใช่...ผมรู้ มันไม่ใช่การตอบแทน

ต่อให้เป็นผมที่นั่งอยู่กลางทะเลทราย ไม่ต้องนั่งจูบรูปอูฐ เขาก็จะไม่ยิงผม

ต่อให้ผมไม่ได้มีบุญคุณกับเขา เขาก็จะไม่ยิงผม

ตราบที่ปืนผมไม่จ่ออยู่ที่หัวเขา เขาจะไม่มีวันยิงผม

เขายิ้ม มองดูผมที่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ

เขาไม่ได้ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผม แต่เขาจูบผมที่ตาซ้ายและตาขวา จูบเบาๆที่แก้มซ้ายและแก้มขวา ก่อนจะดึงผมมากอดเอาไว้

“เมื่อมนุษย์หลั่งน้ำตา จึงรู้ว่า ตัวเองมีหัวใจ...”เขากระซิบที่ริมหูของผม

...พระเจ้า...ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สงครามซ่อนสิ่งที่อ่อนโยนไว้ถึงเพียงนี้...

“อย่างเดียวที่พระเจ้าไม่ให้กับเราคือเวลา...”เขาพูดขึ้นในที่สุด และคลายอ้อมแขนที่กอดผมไว้

เรากลับมายืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงอีกครั้ง

เขาลากเท้าไปบนพื้น ทำให้เกิดเส้นๆหนึ่ง กั้นกลางระหว่างผมกับเขา

เขาไม่พูดอะไร มองดูมันเงียบๆ ผมทำตาม

ไม่นานเลย รอยนั้นจางหายไปในแผ่นผืนทะเลทรายเหมือนเดิม

“เส้นที่ขีดไว้ ตอนนี้มันไม่เหลือแล้ว แต่เราก็ยังมองเห็นมันอยู่ดี ชั้นรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ฝั่งไหน นายรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ฝั่งไหน...เพราะใจมนุษย์ต่างหากที่แบ่งมันออกจากกัน”เขาพูด ตายังจับจ้องบนผืนทราย

“ไปเถอะ ถึงเวลาแล้ว”เขาพูด เงยหน้าขึ้นมามองผม แต่ผมยังยืนนิ่ง

“นายชื่ออะไร?”ผมถามขึ้นเพราะนึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อเขาเลย

เขาทำท่าจะตอบ แต่เปลี่ยนใจ ก่อนจะพูดทั้งๆยิ้ม

“เอาสั้นๆหรือยาวๆ”

“เอาที่พอจำได้...”ผมตอบ

“ฮาซาน อัล-ฮาเชม”

“ฮาซาน อัล-ฮาเชม...”ผมทวน พยายามจะจดจำ เขาพยักหน้ารับ ทำท่าคล้ายพร้อมจะออกเดินจากไป

“สงครามยุติเมื่อไหร่ ชั้นจะไปบอกรักนาย”เขาพูดและยิ้ม ก่อนหันหลังเดินจากไป ผมยังยืนมอง ตราบจนเขายกมือขึ้นอีกครั้งโดยไม่ได้หันหน้ามาเป็นการกล่าวลาครั้งสุดท้าย  ผมก็รู้ว่า เวลาของเรามันสิ้นสุดแล้วจริงๆ ผมจึงหันหลัง เดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

และเมื่อเหลียวหลังมองกลับไปอีกครั้ง ผมก็เห็นแต่ความเวิ้งว้างของทะเลทราย ผมอยู่ตามลำพังแล้วจริงๆ

ผมย่ำเท้าเดินต่อไป เรื่อยๆพยายามไม่คิดอะไร

แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น...

หนึ่งนัดสั้นๆ...

กับรัวเร็วเป็นชุด...

อีกหลายนัด สั้นๆ...

แล้วทุกอย่างก็เงียบเชียบ

ผมหันกลับไปในทิศทางที่เดินจากมา พยายามเงี่ยหูฟัง...แต่ตอนนี้มันเหลือแต่ความเงียบ กับเสียงหัวใจของตัวเองที่มันเต้นดังขึ้นทุกที

ผมพยายามเพ่งมองไปในความว่างเปล่าข้างหน้า ราวกับว่าจะทำให้เกิดภาพสักอย่างขึ้นเบื้องหน้า แต่ก็ไม่เห็นอะไร

...เกิดอะไรขึ้น?...ผมถามตัวเอง ตายังจับจ้องดูภาพทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ที่ค่อยๆถูกกลบด้วยหยาดน้ำตาของตัวเอง

หัวผมว่างเปล่าไปหมด เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงปืนแล้วผมไม่กล้าขอชีวิตใครจากพระเจ้า

ผมไม่กล้าคิดอะไร ไม่กล้าหวังอะไร ปล่อยให้หัวมันว่างเปล่าเหมือนทะเลทรายที่มองเห็นผ่านน้ำตา

นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่ผมลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง

นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมเริ่มลากเท้าเดินต่อไป

นานเท่าไหร่ไม่รู้ เมื่อได้ยินคล้ายเสียงใครร้องเรียกและรู้สึกถึงอ้อมกอดของใครหลายๆคน...แต่มันไม่อบอุ่นเลยสักนิดเดียว

...ทุกอย่างเป็นหน้าที่...ผมบอกตัวเอง  เพราะเมื่อยามเช้ามาถึง และชีวิตผมดำเนินต่อไป

 ครั้งแล้วและครั้งเล่า ผมต้องยกปืนขึ้นประทับ เล็งและยิง อีกครั้งและอีกครั้ง

ผมไม่เคยร้องขอชีวิตใครจากพระเจ้าอีกเลย ภาวนาเพียงว่าขอให้ทุกสิ่งยุติลงโดยเร็ว

ทุกครั้งที่ผมเหนี่ยวไกปืน ผมเคยสงสัย ที่หมายของกระสุน อาจจะเป็นเขาก็ได้...

ทุกครั้งที่วิ่งผ่านซากศพ ผมเคยสงสัย อาจเป็นเขา ที่ผมกำลังก้าวข้าม

แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไป อย่างไร้ทางเลือก

แล้วผมก็ได้กลับบ้าน...

กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่หัวใจผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมเฝ้าบอกตัวเองว่า ผมได้พบและมีเวลาอยู่กับเขาเพียง1 วัน ผมก็คงใช้เวลาเพียงไม่นานที่จะลืมเขา...แต่มันไม่จริงเลย...ผมไม่เคยลืม...ไม่มีสักวันที่ผมลืม

ผมเฝ้าถามตัวเองว่า ต่อไปวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมตอบไม่ได้ รู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ผมทรมานเหลือเกิน

ผมได้แต่เสียดาย เพราะเมื่อผมนึกถึง เวลาที่เขาบอกกับผมว่า...เมื่อสงครามยุติ จะมาบอกรัก...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะบอกเขาว่า...บอกเลยได้ไหม ไม่ว่าในเวลานั้น เขาจะรักผมแล้วหรือยัง...แต่บอกเลยได้ไหม...เพราะพระเจ้าอาจจะไม่ให้เวลาเรามากมายไปกว่าหนึ่งวันนั้น

เจ้าหญิงแสนสวยของนิทานอาหรับ ได้เวลานับพันวันที่จะอยู่กับคนรัก แต่พระเจ้าให้เวลาคนแปลกหน้าอย่างผมเพียงหนึ่งวัน...ผมไม่รู้จะโทษว่าเป็นความผิดใครดี...

อาจจะจริงอย่างเพลงที่เขาร้อง...พระเจ้าประทานชีวิตให้กับเรา แต่แล้วก็ทำลายมัน

พระเจ้าประทานทุกสิ่งเพื่อช่วงชิงในเวลาต่อมา...พระเจ้าเคยรู้บ้างไหม ว่ามันทรมานขนาดไหน?

      For all the sin wherewith the face of man

      Is blacken’d , man’s forgiveness give and take

มวลบาปผิดที่เปื้อนหน้ามนุษย์นั้น ท่านกับข้าควรผลัดกันขออภัย.....

ทุกครั้งที่เฝ้าคิด ผมจะร้องไห้ออกมาเงียบๆ และก็จะได้ยินเสียงเขากระซิบแผ่ว

...เมื่อมนุษย์หลั่งน้ำตา จึงรู้ว่า ตัวเองยังมีหัวใจ...

ผมเสียดายที่ไม่ได้บอกเขาว่า ไม่ใช่น้ำตาหรอก ที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังมีหัวใจ

ผมอยากบอกเขาว่า ผมเสียน้ำตาบ่อยๆ...แต่ตอนนั้นอาจเป็นครั้งแรก...ที่เสียน้ำตาให้กับความอ่อนโยนของมนุษย์

ผมอยากบอกเขาว่า ไม่ใช่น้ำตาหรอก แต่เป็นเขา ที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองมีหัวใจ

นับจากวันนั้น ผมเคยสงสัยว่า...มีหัวใจ หมายถึง มีความรักหรือเปล่า...ผมไม่มั่นใจนัก

เวลาหนึ่งวัน จะทำให้คนเรารักใครสักคนได้หรือเปล่า...แต่วันนี้ผมรู้คำตอบและมั่นใจแล้ว

...


1001 วันแล้วที่รอใครบางคนมาบอกรัก

แต่เป็นวันแรก ที่จะเริ่มต้นบอกรักใครคนหนึ่งผ่านหน้ากระดาษ

ผมรักคุณ...ฮาซาน อัล-ฮาเชม...ผมรักคุณ

  11 / 12 /2005
ออร์แลนโด้  บลูม


-The end-

ออฟไลน์ PHUCK™

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-31
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #7 เมื่อ05-05-2009 23:00:38 »

.
.
.



ลงวันเดียวจบเลยเหรอครับคุณภัคD ..
เอิ๊กกกกๆๆๆๆๆ ดีเรื่องให้อ่านอีกแล้วเว้ยเฮ้ย ไม่ค้างด้วย
ขอบคุณนะค้าบบบบ บ (-/l\-)

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #8 เมื่อ05-05-2009 23:15:23 »

เคยอ่านครั้งนึงนานมาแล้ว กลับมาอ่านอีกทีก็ยังชอบเหมือนเดิม  :pig4:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #9 เมื่อ05-05-2009 23:34:39 »

“เมื่อมนุษย์หลั่งน้ำตา จึงรู้ว่า ตัวเองมีหัวใจ...”เขากระซิบที่ริมหูของผม :sad4:


อ่านแล้ว เศร้าจัง ลึกซึ้งตามเคย ไม่ติดว่าบวกไปแล้วจะบวกอีก ที่จริงเรื่องนี้นานแล้วยังไม่ได้อ่านซักที เพิ่งได้มีโอกาสอ่าน ขอบคุณค่ะที่เอามาลง :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
« ตอบ #9 เมื่อ: 05-05-2009 23:34:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #10 เมื่อ06-05-2009 03:34:38 »

คุณ ภัคD เป็นคนที่คิดอะไรได้ลึกซึ้งมากเลยครับ 


แต่ทำม้ายต้องชื่อออแลนโด้  บลูมด้วย   :z3:

jokirito

  • บุคคลทั่วไป
Re:
«ตอบ #11 เมื่อ06-05-2009 05:15:11 »

ชอบมากเลยเรื่องนี้ เคยอ่านที่บอร์ดวันริ่งมาแล้ว
อ่านอีกก็กรี๊ดป๋าทุกที
ป๋าขาป๋า โอ๊ย คนมันแก่คนมันเท่ห์

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #12 เมื่อ06-05-2009 08:09:39 »

ชอบอ่านเรื่องของคุณภัค D ทุกเรื่องเลย ลึกซึ้งกินใจจัง

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #13 เมื่อ06-05-2009 08:25:40 »

 :monkeysad: จบได้แบบกินใจมาก  :monkeysad:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #14 เมื่อ06-05-2009 08:29:25 »

 :monkeysad:

ออฟไลน์ archi_10_001

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #15 เมื่อ06-05-2009 10:28:25 »

อุตส่าห์ทำใจกับนิยาย คุณ ภัค D

สุดท้ายก็ร้องไห้อยู่ดี แง่มๆ

katoonzar

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #16 เมื่อ06-05-2009 12:26:24 »

สวัสดีครับคุณภักD ผมได้เม้นท์ให้คุณในเรื่องหรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำไปแล้วอยากให้คุณช่วยพิจารณาด้วยเรื่องที่ส่งเรื่องไปสำนักพิมพ์ ให้นิยายออกสู่ผู้อ่านวงกว้าง

ผมอ่านเรื่องที่คุณนำมาลงแล้วทุกเรื่องและประทับใจทุกเรื่อง อ่านจนงงในอารมณ์ตัวเองไปเลยครับว่าจะเศร้า สุข อบอุ่นหรือขำกลิ้งดี

ขอบคุณครับ......ขอบคุณคนที่แนะนำเรื่องของคุณในเว็บเด็กดี
ขอบคุณคุณthipที่นำเรื่องของคุณมาลงทำให้ผมมีโอกาสได้รู้จักคุณ
สำคัญที่สุดคือขอขอบคุณคุณที่ทำให้นิยายชายรักชายเป็นมากกว่านิยายboy's love หรือนิยายเกย์ทั่วไป

ผมเพิ่งเห็นข่าวรวมเล่มวันนี้เอง เพิ่งส่งอีเมล์ไปหวังว่าจะทันนะครับ แต่อย่างไรผมก็ยังอยากให้คุณส่งผลงานไปทางสำนักพิมพ์นะครับ

เกือบaddไปอีกรีพาย นึกได้ว่ามันeditได้ - -"

ลืมบอกครับ ผมsearchหาเรื่องของคุณ"หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ"ในกูเกิ้ล พบว่ามีคนsearchหาเรื่องของคุณเยอะมากๆ บอกไว้ครับเผื่อช่วยคุณในการตัดสินใจส่งเรื่องไปยังสำนักพิมพ์ เรื่องของคุณออกดราม่าไม่เหมาะกับนักอ่านวันรุ่นเท่าไหร่นัก

สุดท้าย ผมอยากให้คะแนนชื่นชมคุณนะครับ แต่ผมไม่รู้กดตรงไหน เพิ่งเคยเข้ามา หาปุ่มไม่เจอ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2009 12:34:31 โดย katoonzar »

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #17 เมื่อ06-05-2009 12:45:57 »

 :monkeysad:
สงครามโหดร้ายเสมอ....แต่ในสงคราม ก็ยังสิ่งดีๆซ่อนไว้เสมอด้วย

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #18 เมื่อ06-05-2009 16:31:35 »

อ่านจบ ก็ยังคงชอบ

ออฟไลน์ piengtavan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • UEDA_ARAMORD
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #19 เมื่อ06-05-2009 21:43:13 »

ชอบเลย ปิ๊งเลยยย

 ... ห่างหายไปนานกับนิยายแนวนี้ สำนวนนี้ พอมาอ่านอีกเลยรู้สึกตัว ... ขาดไม่ได้หรอก..

ชอบวิกโก้ ไม่ว่าจะอยู่บทไหน ไม่ว่าจะเป็นฟิกแบบไหน ที่ไม่เปลี่ยนคือคาแลคเตอร์ของตาคนนี้

ตานี่เป็นพวกแนวติสต์อย่างอ่อนโยนศินะ ชอบมากๆ

ส่วนออลลี่ ... ชอบนะ เพราะเป็นเด็กใช่มั้ย เลยได้รับแต่บทแนวนี้

แต่ที่ชอบที่สุดคือเพลงที่วิกร้อง กับข้อสงสัยของคนทั้งสอง
นั่นสิ พระเจ้าสร้างมนุษย์แล้วใครกันสร้างพระเจ้า

จะไปตามอ่านอีกหลายๆเรื่องนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
« ตอบ #19 เมื่อ: 06-05-2009 21:43:13 »





sNow

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #20 เมื่อ06-05-2009 22:24:55 »

เศร้าค่ะ :sad11:

รักที่ไม่ทันเริ่มต้น...ก็จบลง

เจ็บปวดใจจัง

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #21 เมื่อ06-05-2009 22:31:46 »

สงครามนำมาและพัดพาความรักไป  :m15:

ออฟไลน์ chocolate_ness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #22 เมื่อ06-05-2009 23:41:09 »

กินใจทึ่สุด :monkeysad:

blueclystals_

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #23 เมื่อ07-05-2009 02:19:54 »

คาดไว้แล้วว่าต้องจบเศร้า

แต่เราก็ยังแอบร้องไห้ :z3:

“เส้นที่ขีดไว้ ตอนนี้มันไม่เหลือแล้ว แต่เราก็ยังมองเห็นมันอยู่ดี ชั้นรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ฝั่งไหน นายรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ฝั่งไหน...เพราะใจมนุษย์ต่างหากที่แบ่งมันออกจากกัน”

ออฟไลน์ i_lost in..

  • ' ในเมื่อเรามีความรักอันเต็มเปี่ยมจากครอบครัว แล้วทำไมต้องไปขอเศษเสี้ยวจากใคร '
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #24 เมื่อ07-05-2009 09:06:50 »

ถึงกายไม่ได้ไกล้กัน  แต่ใจกันคิดถึงเสมอ ความรู้สึก คำพูด ที่ได้แบ่งบัน  1 นาที 1 ชั่วโมง หรือ 1 วัน

แค่เราเข้าใจและรับรู้ถึงกันได้ ก็มีค่า และรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนก็เติมเต็มหัวใจได้เสมอ

บอกถึงตัวตนและให้รู้ว่าเราเป็นมนุษย์

คุณภัคD เขียนให้เข้าใจและรู้สึกได้ค่ะ  o13

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีดีค่ะ
 

ออฟไลน์ SweetSacrifice

  • I always get,what I aim for
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +479/-1
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #25 เมื่อ07-05-2009 13:18:23 »

 :m15:
ชอบแนวการเขียนคุณภัคดีจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #26 เมื่อ07-05-2009 13:59:33 »

ผม
เป็นควาย
ที่โดนหลอก
ให้เล่นในหนองน้ำ
ที่กำลังจะแห้งไปเรื่อยๆ
จนมันไม่เหลือน้ำสักหยดเดียว









แต่.....
ชีวิตต้องมีหวังดิวะ
ใช่ไหม
ต้องมีหวัง
ต้องมี......








 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :sad11: :sad11: :sad11: :sad11: :sad11:

pseudoboy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #27 เมื่อ07-05-2009 17:38:21 »

ชอบมาก ๆ ค่ะ

อบอุ่นซาบซ่านหัวใจดีแท้


อ่านของคุณภัคD ไม่เคยผิดหวังเลยค่า


แต่อยากขอตอนพิเศษที่ 2 คนได้มาเจอกันอ่ะ :call:

คงจะ Happy สุด ๆ

ออฟไลน์ Pa Pao

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +824/-1
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #28 เมื่อ07-05-2009 17:42:42 »

ปกติไม่อ่านนิยาย แต่มีคนนำเสนอแบบสุดๆ เลยเข้ามาอ่าน

ขอบคุณสำหรับเรื่องที่ให้แง่คิดในหลายๆ ด้าน



นับจากวันนั้น ผมเคยสงสัยว่า...มีหัวใจ หมายถึง มีความรักหรือเปล่า...ผมไม่มั่นใจนัก

แต่เป็นเขา ที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองมีหัวใจ - - ประโยคนี้ ผมเข้าใจคับ


ขอบคุณอีกครั้ง  o1

ltahset

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น]อาหรับราตรี
«ตอบ #29 เมื่อ08-05-2009 14:09:23 »

ขอบคุณค่ะ

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด