[story]นายนพพร by นพพร
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [story]นายนพพร by นพพร  (อ่าน 37063 ครั้ง)

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
[story]นายนพพร by นพพร
« เมื่อ18-01-2007 00:43:07 »

ตอนที่ 1 ผมไม่เคยคิดเลยว่า เวลาที่มีความสุขจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั้งผมได้เจอกับตัวผมเอง…..
                สวัสดีครับ เพื่อนๆสวมลุมฯ(นอกเรื่อง)ทุกท่าน อย่าคิดว่ามันเป็น กระแสของ reality show ทั้งในจอ TV และ จอ computer เลยนะครับ ที่ต่างก็มีรายการ แบบ reality show เต็ม TV เมืองไทยไปหมด จนกระทั้งลามมาจนถึง internet ที่มีหลายท่าน มาเปิดเผยชีวิตของตนเองในแง่มุมต่างๆ ผมขอเป็นอีกคนที่ขอเล่าชีวิตจริง ของผม (ส่วนหนึ่ง) ในเพื่อนๆ อ่าน ผมเองไม่ได้ คาดหวังว่าจะมีคนมาอ่านมากมายแค่ไหน สิ่งที่ผมตั้งใจคือ ผมอยากบรรยายความทรงจำของผมออกมาเป็น ลายลักษณ์อักษร รวมทั้ง ให้ สวมลุมฯ(นอกเรื่อง) เป็น diary เล่มใหญ่ของผม ที่มีเพื่อนๆ คนอื่น share ประสบการณ์กับผมบ้าง ก็เท่านั้นเอง (ผลพลอยได้ที่ผมแอบหวังคือ ผมหวังว่าคู่กรณีของผมจะได้อ่าน ซึ่งมันก็เป็นความหวังเล็กๆน้อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ได้ เอาเถอะ...อย่างที่ผมบอก ผมถือว่ามันเป็นผลพลอยได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ผมก็ไม่ติดใจอะไร)
 
 จริงๆแล้วผมเอง อ่านกระทู้ / ตอบกระทู้ (ที่ผมพอจะมีความรู้อยู่บ้าง) และ ตั้งกระทู้ที่ผมสงสัยเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่เคยคิดจะ ตั้งกระทู้ยาวๆ แบบที่ผมคิดจะทำต่อไปนี้มาก่อน จนกระทั้ง เพื่อนผม แนะนำให้ผมอ่าน กระทู้ของคุณแอร์กี่ ซึ่งผมก็เป็นอีกคนที่ติดตามพี่แอร์กี่ เหมือนเพื่อนๆ ในสวนลุมฯ(นอกเรื่อง) ทุกท่าน (แต่กว่าผมจะรู้จักพี่แอร์กี่ และได้อ่านเรื่องสนุกๆของพี่เขา พี่แอร์กี่ก็เขียนเกือบจนเกือบจะจบแล้วล่ะครับ) พี่แอร์กี่ครับ... พี่เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม เขียนกระทู้เล่าเรื่องของผม ผมขอบคุณพี่จริงๆครับ
ในฐานะที่ผมเองก็เป็นลูกค้าประจำของพันธุ์ทิพย์คนหนึ่ง แต่ผมเอง ไม่เคยแวะมาเที่ยวที่ สวนลุมฯ เลย (ทั้งๆที่ทำงานของผมก็ออกจะใกล้สวนลุมฯ ผมยังเคยไปวิ่งออกกำลังกาย และ aerobic ตอน 6 โมงเย็นบ้างเป็นบางวัน) ส่วนใหญ่ ผมก็ติดอยู่แถวๆ รัชดา หรือไม่ก็ มาบุญครอง อยู่ 2 ที่นี่แหละ... ตอนนี้มีเวลาเยอะขึ้น(เพราะผมตกงานแล้ว) ผมเลยได้มีโอกาส เปิดกะลาตัวเอง เที่ยว สวมลุมฯ เฉลิมไทย ฯลฯ บ้าง (ให้แวะทุกห้องก็ท่าจะไม่ไหว...)
 
 ผมอ้อมเกือบจะรอบกรุงเทพฯแล้ว มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ก่อนอื่นใด ผมต้องขอแนะนำ ตัวละครเอก (ผมยังไม่รู้เลยว่า จะต้องใช้ตัวละครกี่ตัว ผมแนะนำตัวละครสำคัญๆของเรื่องก่อนแล้วกัน)
1. ผมเอง ชื่อ นพพร เป็นชื่อที่เพื่อนๆสมัย มัธยมปลายเรียกกัน จนมันกลายเป็นชื่อผมไปจริงๆซะแล้ว สาเหตุเนื่องจาก หนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง “ข้างหลังภาพ” แต่อย่าเอาไปเทียบกับ คุณ เคน ธีระเดช ที่เคยรับแสดงในบทนี้นะครับ ผมไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น (แค่ใกล้เคียง...ฮิฮิ) เรื่องนี้นี่แหละ ที่เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากเรียน เศรษฐศาสตร์ อย่างคุณนพพรในเรื่อง (ซึ่งตอนนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรียน เศณษฐศาสตร์แล้ว จบไปผมจะทำอะไร รู้แต่ว่า โก้ดี สาวกรี๊ดแน่ๆ เด็กศิลป์ คำนวณอย่างผม จะไป ent อะไรได้เยอะแยะ ไม่รู้เพื่อนผมคนนั้นจะจำได้หรือเปล่า ว่ามันตั้งชื่อผมแบบนี้ (หลังจากผมเล่าให้มันฟังว่าผมอยากเรียน เศรษฐศาสตร์ เพราะ ตัวละครตัวนี้ หลังจากนั้น มันก็เริ่มเรียกผมว่า นพพร นพพร มาโดยตลอด ) เอาเป็นว่า หลังจากนั้นใครๆก็เรียกผม นพพร ไปกันหมดแล้ว แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้เข้าคณะเศรษฐศาสตร์อย่างที่หวัง แต่ไป ent ติดอีกคณะแทน ต่อไปทุกท่านคงรู้เอง ว่าผม เรียนอะไร  (ผมเป็น เด็กเอ็นท์ ในระบบเดิม ที่เลือกคณะ ได้ 4 คณะ ตั้งแต่ตอนสมัคร ไม่ใช่ระบบ A net O net อย่างในปัจจุบันหรอกนะครับ)
2. คู่กรณีของผม “น้อย” (อดีต) ของผม และเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมดที่ผม กำลังจะเล่าให้เพื่อนๆฟัง น้อยเป็นคนใต้ เขามาเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ ในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งใหญ่เนื่องจาก ent ไม่ติด จริงๆน้อยเคยเข้ามาสอบ quota ในมหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่ง แต่ว่าสอบไม่ได้ จริงๆ เขาไม่ใช่คนเรียนไม่เก่งหรอกนะครับ ผมว่า เด็กต่างจังหวัด โอกาสแข่งขันค่อยข้างน้อย ทำให้ น้อย ขาดโอกาสในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมมากกว่า
3. พี่น้ำ พี่น้ำเป็นหัวหน้าผมเอง ในที่ทำงาน พี่น้ำ ใจดีกับผมมาก ทั้งๆที่ผมเองก็ดื้อกับแกไว้เยอะ...(จริงๆ ผมควรจะเรียกพี่น้ำ ว่าป้ามากกว่า เพราะอายุพี่น้ำก็พอๆกับแม่ผม แต่ในที่ทำงาน ทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด บางครั้งผมเผลอเรียกแกว่าป้าแกก็แอบโกรธๆอยู่บ้าง)
4. พี่นารี พี่นารีเป็นพี่ที่ทำงานของผมอีกคนนึง แต่ว่าพี่นารีอยู่ที่สาขาของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ พี่นารีแก่กว่าพี่น้ำอีกครับ (ตอนนี้ พี่นารีเกษียณไปเรียบร้อยแล้ว) โดยหน้าที่การงานของผม ทำให้ผมต้องติดต่อพี่นารีอยู่บ่อยๆ จนสนิทกัน พี่นารีเป็นคนน่ารักมากๆอีกคนนึงของผม (สุดท้ายผมก็ปวารณาตัวเป็นลูกชายของพี่เขาจนได้) พี่นารีสอนงานผมเยอะ ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงพี่นารีอยู่ตลอด แม้จะไม่ได้คุยกันเยอะเหมือนก่อน
5. เพื่อนแหวน เพื่อนแหวนเข้าทำงานก่อนผม 1 ปี จริงๆ แหวนอายุมากกว่าผมประมาณ 3 ปี รหัสมากกว่าผม 2 รุ่น แรกๆผมก็เรียก พี่แหวนๆ อยู่เหมือนกัน แต่นานวันเข้า ด้วย เธอทำตัว ab เด็ก อยู่ตลอด คำว่าพี่ก็กลืนลงคอไปตามกาลเวลา สุดท้ายก็กลายเป็นเรียก แหวน เฉยๆ เพื่อนแหวนก็คงเต็มใจ (แกมถูกบังคับ)ให้เป็นเพื่อนผม เพื่อนแหวนเป็นกำลังใจให้ผมตลอดเวลา จนถึงปัจจุบัน และเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวของผม ผมสนิทกับแหวน เพราะว่าทำงานอยู่ group เดียวกัน และนั่งติดกัน
 
เอาล่ะครับ อรัมภบทมาเยอะ... ผมก็ขอเริ่มเรื่อง ความรักอันน้อยนิดที่ยิ่งใหญ่ของผมซักที
ผมเอง เรียน จบ ปริญญาตรีมา ประมาณ 3 ปีกว่าจะเริ่มทำงาน ทำไมเหรอครับ ก็ผมมัวแต่ไปเรียนต่อปริญญาโท และ เรียน เนติฯ (คราวนี้เพื่อนๆก็คงรู้แล้วว่า ผมจบอะไร) ตอนแรกผมไม่คิดว่าผมจะเรียนโทหรอก แต่ว่า ที่บ้านบังคับให้ผมเรียน ซึ่งผมก็เต็มใจ เพราะยังไม่อยากทำงาน เพราะคิดว่าถ้าทำงานแล้ว ผมคงไม่มีโอกาสสอบเนติฯผ่าน ปีแรก ผมก็ยังเรียนเนติฯไม่ผ่าน (ก็เกือบๆล่ะครับ ผมติดขี้เกียจมากไปหน่อย เลยไม่ได้ตั้งใจ) ระหว่างนั้น ผมก็เลยต้องเรียนโท ควบคู่ไปด้วย กลางวัน ผมก็อ่านหนังสือสอบเนติ ตอนเย็นผมก็ sitting ปริญญาโทของผม ที่คณะเดิมที่ผมเรียนปริญญาตรีนั้นแหละ... (ไปสอบที่อื่นก็กลัวจะสอบไม่ได้ แล้วมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ผมก็คุ้นเคยกับ สถานที่ตรงนี้มาตั้งแต่ มัธยมแล้วฯ (รั้วโรงเรียนผมติดกับมหาวิทยาลัยนี้เลยครับ) ผมก็เลยไม่คิดจะไปเรียนที่อื่น) แต่พอผมเรียน course work จบ (ซึ่งผมก็เรียนเนติจบพอดี) ผมก็เหลือแต่ วิทยานิพนธ์ ซึ่งหัวข้อวิทยานิพนธ์ของผม ก็ผ่านแล้ว เหลือแต่เนื้อหาที่ต้องทำนี่แหละ ผมก็เลยต้องคิดหางานทำแล้ว สุดท้ายผมได้งานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ในย่านธุรกิจ ซึ่งมี สาขาทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 400 สาขา (ผมจำตัวเลขไม่ได้แน่นอน...แล้วมันก็เพิ่มมากขึ้นทุกวันด้วยสิ โดยเฉพาะ micro branch)
ในที่ทำงานของผม ซึ่งมีพี่น้ำเป็นหัวหน้าผมโดยตรง ผมทำงานอยู่ใน สำนักงานใหญ่ ซึ่งมีสาขาเยอะแยะอย่างที่ผมบอก พี่นารี เป็นคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในสาขาแห่งหนึ่งของบริษัทนี้ที่จังหวัดแถบฝั่งทะเลอันดามัน (ที่ประสบภัย ซึนามิ แต่ครอบครัวพี่นารีอยู่ไกลจากทะเล เลยไม่มีปัญหาเหมือนคนอื่นๆ) ซึ่งเป็นสาขาในความรับผิดชอบของผม สาขาหนึ่งในตอนนั้น หน้าที่หลักของผม ผมก็ต้องนำเสนอขออนุมัติงานตามที่สาขาส่งมา (ซึ่งพี่น้ำ ก็แบ่งให้ลูกน้องแต่ละคนรับผิดชอบ คนละ ประมาณ 10-15 สาขา พอผมสรุปเนื้องาน ให้ความเห็นเรียบร้อยแล้ว เสร็จก็ต้องส่งให้พี่น้ำตรวจต่อว่าผมทำถูกหรือเปล่า) และประสานงานให้สาขาทำตามนโยบายบริษัท อะไรทำนองนี้แหละครับ ในระหว่างที่ผมทำงาน ผมก็ทำ thesis ของผมไปด้วย จนกระทั้ง ระยะเวลาใกล้จะส่งแล้ว ผมลาพี่น้ำ ในเดือนสุดท้ายที่ผมจะสอบ oral จนผมทำ วิทยานิพนธ์ผมเสร็จเรียบร้อย ถึงมันจะไม่ได้ ดี หรือ ดีมาก ก็ตาม ผมก็พอใจ เพราะกว่าผมจะทำมันเสร็จ ก็เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน ผมต้องนั่งให้กำลังใจตัวเองทุกวัน ว่าผมต้องทำให้เสร็จนะ ไม่จบไม่ได้ ถึงค่าเทอมปริญญาโทผมจะถูกกว่าที่เรียนมหาวิทยาลัยอื่นก็เถอะ (ตอนผมเรียน ปริญญาตรี ผมเสียค่าเทอม 6,000 กว่าบาท ขึ้นอยู่กับ จำนวนหน่วยกิตที่ลง (หลังจากนั้นอีกไม่กี่รุ่น ทางมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนระบบเป็นเหมาจ่าย 7,000 บาท ส่วนปริญญาโท ผมเสียค่าเทอมแค่ 13,000 บาท ซึ่งผมคิดว่า คงหาค่าเทอมที่ถูกขนาดนี้ไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว) พอผมเรียนจบ ผมก็กลับมาทำงานในหน้าที่เดิม ตำแหน่งเดิมของผม
 
แต่หลังจากที่ผมกลับมาทำงานอีกครั้งหลังจากไปสอบวิทยานิพนธ์ให้เสร็จเรียบร้อย พี่น้ำให้ผม due กับสาขาเพิ่มขึ้นจากเดิม (เนื่องจาก มีเด็กใน กลุ่มของพี่น้ำลาออก แล้วก็ยังหาพนักงานใหม่ไม่ได้) ซึ่ง สาขาที่ผมได้รับผิดชอบเพิ่มขึ้น หนึ่งในนั้นก็มี สาขาของน้อย คู่กรณีของผม ผมจำได้ วันแรกที่ผมทำงานร่วมกับน้อย พี่น้ำให้ผมติดต่อ หัวหน้าของน้อย ให้ส่งเอกสารตามที่พี่น้ำ list ให้ ผมติดต่อ หัวหน้าน้อย หลายครั้งแล้ว แต่ว่าโทรไปทีไรก็ไม่อยู่ซักที น้อยเป็นคนรับสายผมทุกครั้ง
นพพร : “สวัสดีครับ ขอสายพี่คิดครับ (หัวหน้าน้อย)”
น้อย : “พี่คิดไม่อยู่ครับ มีเรื่องอะไรฝากไว้ไหมครับ”
 นพพร : “พี่น้ำให้ผมติดต่อ พี่คิดให้ส่งเอกสารตัวนี้ให้หน่อยครับ ผม fax ไปให้แล้ว ได้รับไหมครับ”
น้อย : “รอแป๊ปนะครับ ผมไปดูที่ fax ให้”..... “OK ได้รับแล้วครับ แต่คงต้องรอพี่คิดก่อนนะครับ พี่คิดไปพบลูกค้าครับ เย็นๆคงกลับ”
นพพร : “ขอบคุณครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับน้อย ผมเองไม่ได้คิดอะไรกับน้อยในตอนนั้น และไม่คิดเลยว่า น้อยจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมจนถึงตอนนี้
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2007 17:05:29 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #1 เมื่อ18-01-2007 08:54:00 »

อืม เห็นเรื่องนี้ในพันทิพแล้วละ แต่ยังไม่ได้อ่าน
ยังไงจะรออ่านในนี้ละกัน  :yeb:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #2 เมื่อ18-01-2007 09:22:45 »

เรื่องนี้นะเอง

คุ้นๆ อะ

 :confuse:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #3 เมื่อ18-01-2007 16:55:35 »

ติดตามกันได้นะครับ จะเร่งให้ทันในพันทิพ

********************************

ตอนที่ 2 ของ นายนพพร 
“จุดเริ่มต้น”
 
                ขอบคุณ ทุกๆท่านนะครับ ที่ติดตามรับชม เรื่องของนพพร ตอนแรกๆก็ยังกลัวๆว่า เขียนๆไปจะมีใครมาอ่านหรือเปล่า เรื่องมันก็ไม่ได้โลดโผนอะไรมากมายนัก ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนซักกี่ตอนดี ในแต่ละตอนจะสั้นยาวแค่ไหน แค่ plan ไว้คราวๆว่าจะเขียนอย่างไรบ้าง (แต่ถ้า rating ดีก็อาจจะยืดได้อย่างละคร ช่องคุณนาย red label ฮิฮิฮิ)
เข้าเรื่องดีกว่านะครับ ผมเองหลังจากติดต่อกับน้อยเมื่อวันนั้นแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับน้อยเลย จริงๆก็ยังไม่รู้จักน้อยซะด้วยซ้ำ เพียงแต่พี่น้ำ เล่าให้ฟังว่า น้อยเป็นลูกน้องพี่คิด พึ่งมาใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ (ผมคิดว่า เขาอาจจะเข้ามาทำงาน ตอนผมยุ่งๆเรื่อง thesis ผมเลยไม่ทราบว่าที่สาขานี้มีพนักงานเข้ามาใหม่ และ อาจจะเพราะเป็นสาขาที่พี่น้ำพึ่งจะให้ผมรับผิดชอบ ผมก็เลยไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสาขานี้มากนัก)
 
หลายวันผ่านไป ผมกำลังจะนำเสนองานให้พี่ที่สาขาคนนึง ที่อยู่สาขาเดียวกับน้อยนี่แหละครับ ชื่อ พี่นิลุบล พี่นิลุบลเอง ก็อายุไม่ต่างจากพี่น้ำของผมมากนัก อาจจะอ่อนกว่านิดหน่อย ลูกสาวพี่นิลุบล เรียน วิศวะ มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ผมเรียน แต่ เป็นรุ่นน้องผม ซักสอง-สามรุ่นได้ (แต่ผมก็ไม่ค่อยจะได้แวะไป แถวๆคณะนี้หรอกครับ เพราะว่าไกลจากคณะของผมมาก เขาเรียกกันว่า คณะผมอยู่ฝั่งบ้านนอก แต่ว่า วิศวะ อยู่ฝั่งในเมือง)พี่นิลุบลเองก็พยายามจะตีสนิทกับผม ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่ มหาวิทยาลัยเดียวกับลูกสาวแก (ทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้จักลูกสาวแกเลยซักนิด) แต่ผมว่า สาเหตุหลักคือ พี่นิลุบล (ต่อไปผมขอเรียกชื่อพี่แกสั้นๆว่า พี่บล แล้วกันนะครับ) พึ่งจะย้ายมาทำส่วนงานนี้ได้ไม่กี่ปี (ผมว่า น่าจะพอๆกับผม ผมพึ่งเข้ามาทำงาน แล้วพี่บลก็ย้ายมาทำงานส่วนงานนี้พอดี) แกเลยทำงานไม่ค่อยจะคล่องนัก (ผมว่าเป็นข้ออ้างแกมากกว่า เพราะแกถูกส่งมาอยู่ตรงนี้ เพราะไม่มีหน่วยงานไหนอยากจะรับแกเข้าทำงานด้วย แกเลยถูกส่งมาอยู่ที่นี่ อย่างที่แกเองก็ไม่เต็มใจ พี่คิด ที่เป็นหัวหน้าแกเอง ก็ไม่ค่อยอยากจะรับแกมาเป็นลูกน้องซักเท่าไหร่ (พี่คิดเด็กกว่า พี่บลครับ พี่คิดพึ่งย้ายเขามาเป็นผู้จัดการของสาขานี้ ได้ข่าวว่าแกเคยมีผลงาน ระดับเพชร หารายได้เข้า บริษัท เป็นหลักสิบล้าน แกเลยได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว และด้วยความที่แกเป็นผู้จัดการมือใหม่ แกเลยเลือก ลูกน้องเองไม่ได้ แต่น้อย พี่คิดเป็นคนสัมภาษณ์เข้ามาเองกับมือ ผมก็พึ่งว่ารู้ที่หลังว่า พี่คิดก็หวังเอากับน้อยไว้สูง ว่าน้อยจะทำให้ผลงานแกเข้าเป้าทุกปี)) นี่เป็นสาเหตุหลักที่พี่บลจะต้องตีซี้กับผมไว้ เพราะถ้ามีเรื่องอะไร แกทำไม่เป็น แกก็จะโทรมาถามผมได้ ผมก็ต้องคอยตอบคำถามแกตลอด (ประหนึ่งผมทำเอง... แกเคยส่งงานที่จะต้องเสนอเข้ามา outlook มาให้ผมตรวจก่อนด้วยนะครับ เพราะถ้าแกส่งมาผิด พี่น้ำจะตีกลับแล้วแกจะเสียหน้า) ผมก็พึ่งจะมาทราบถึงความสัมพันธ์ของ หัวหน้า-ลูกน้อง คู่นี้ ว่า ต่างคนก็ต่างก็เขม่นๆกันอยู่ พี่คิดก็ไม่อยากจะรับพี่บลเป็นลูกน้อง (ด้วยความที่พี่บลแก่กว่า แกก็เลยไม่อยากจะฟังคำสั่งจากพี่คิดที่เด็กกว่าซักเท่าไหร่) พี่บลเองก็ไม่ได้ปรารถนาจะเป็นลูกน้องพี่คิด (พี่บลแกบอกผมว่า แกอยากย้ายไปสาขาอื่น แล้วแกก็ชื่นชมผู้จัดการคนนั้นคนนี้ให้ผมฟังว่า ทำงานดีกว่าพี่คิด แต่เชื่อเถอะ ถ้าพี่บลย้ายไปจริงๆ แกก็จะกลับมาด่าผู้จัดการคนที่แกเคยชื่มชมไว้ให้ผมฟัง...เศร้า)
 
 
กลับมาเรื่องงานที่พี่บลเสนอขึ้นมาอยู่ในมือผม ด้วยความไม่รอบคอบ หรือ ความขี้เกียจของแก ผมก็ไม่แน่ใจนัก แกเลยส่ง ข้อมูลมาไม่ครบ เพียงพอที่ผมจะเสนอพี่น้ำและผู้จัดการฝ่ายฯต่อไปได้ ผมเลยโทรไปหาพี่บลให้พี่บลส่งเอกสารให้ผมอีกครั้ง
นพพร : “สวัสดีครับพี่บล พี่บลครับ เรื่องลูกค้ารายนี้ ที่พี่บลส่งมาให้ผมเสนออนุมัติ มันยังขาดเอกสารอยู่ 2 – 3 อย่างอ่ะครับ พี่บล fax ให้ผมด่วนได้ไหมครับ ผมจะได้นำเสนอให้จะได้ อนุมัติเร็วๆไงครับ”.... (ลูกอ้อนของผมครับ แกจะได้ดีใจที่ผมตั้งใจทำงานให้แก จริงๆแล้ว ผมอยากให้งานของแกเสร็จเร็วๆ ผมจะได้ทำงานอื่นต่อ)
พี่บล : “อ้าว ! ต้องใช้ด้วยเหรอค่ะ พี่คิดว่า แค่นี้ก็ครบแล้ว”
(นพพร คิดในใจ : โถ่ พี่บล ถามมาได้ต้องใช้ด้วยเหรอ ผมล่ะงง พี่คิดจริงๆ ว่าก่อนที่พี่บลจะส่งงานมาให้ผมนี่ พี่คิดเคย ตรวจงานพี่บลก่อนส่งไหมนี่ หรือเซนต์มางั้นแหละ...ให้ตายสิ โรบิน จริงๆงานนี้ผมโทษทั้งพี่คิด พี่บล ทั้งคู่เลย พี่บลทำไม่เป็นก็ไม่รู้จักถาม ให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยส่งมา พี่คิดเอง เซนต์เสนองานให้พี่บล ก็ไม่อ่านก่อนหรอก ก็น่าจะรู้อยู่ว่าพี่บลทำงานไม่รอบคอบ)
นพพร : “ใช่ครับพี่บล ต้องแนบเอกสารตัวนี้ด้วย ถ้าไม่มี เดี๋ยว ฝ่ายฯ (ผมหมายถึงผู้จัดการฝ่ายฯของผม) จะไม่อนุมัติให้อ่ะครับ สงสัยต้องรบกวนพี่บลแล้วล่ะ”
(นพพร คิดในใจ : วันนี้มันเป็นเย็นวันศุกร์ ท่าทางพี่บลแกคงอยากจะรีบกลับบ้าน เลยขี้เกียจ รื้อเอกสารส่งมาให้ผมอีก นี่ถ้าผมอยู่ในที่ทำงานเดียวกับพี่บล ภาพที่ผมเห็นคงเป็นพี่บลกำลังจะแต่งหน้าทาปาก เตรียมตัวกลับบ้านแล้วล่ะ)
พี่บล : “อ่ะๆ ได้จ๊ะ นี่เห็นเป็นน้องนพนะนี่ พี่เลยรีบหาให้ จริงๆพี่กำลังยุ่งมากเลยจ๊ะ”
(นพพร คิดในใจ : คาดว่ายุ่งกับการปัด มาสคาร่าอยู่)
นพพร : “ขอบคุณพี่บลมากครับ ผมกะว่าจะทำให้เสร็จวันนี้เลยครับ วันจันทร์ ผมจะได้ fax ผลอนุมัติไปให้พี่บลด่วนเลย ดีไหมครับ” (จริงๆ ส่วนใหญ่งานที่ได้อนุมัติแล้ว ฝ่ายฯผมก็จะ ส่งไปทาง เมล์ธรรมดาครับ แต่สำหรับ สาขาที่ผมรับผิดชอบ ผมจะ fax ไปให้ พี่ๆที่สาขาก่อน พี่เขาจะได้สบายใจว่าได้รับอนุมัติแล้ว ผมเองก็ไม่ต้องกังวลว่าพี่เขาจะโทรมาตามหรือเปล่า แล้วงานผมก็จะไม่หลุดด้วย)
15 นาทีผ่านไป ผมได้รับ fax พี่บลแล้วแต่......
 
เอกสารที่พี่บล fax มามันไม่ใช่ที่ผมบอกแกไป สงสัยพี่บลคงรีบจัด ผมเองพอได้ fax แกเลยก็โทรกลับไปหาแกอีกครั้ง แต่แกไวกว่าผม พี่บลหายเข้ากลีบเมฆไปเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผม มองเอกสารที่แก fax ผิดมาให้ผมอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผมเองยอมรับว่า ผมก็เป็นคนใจร้อนคนนึงเหมือนกัน ถ้าตั้งใจจะให้เสร็จก็ต้องเสร็จ พอไม่ได้ดังใจก็มีหงุดหงิดไปบ้าง
ผมนั่งลงที่โต๊ะทำงานซักพัก นั่งมองปฏิทิน และ รูปถ่ายที่ผมแปะไว้ที่ partition กำลังทำใจว่า ไม่เสร็จก็ไม่เสร็จ แต่แล้วผมก็นึกได้ว่า สาขานี้นอกจาก พี่บลแล้ว ยังมี น้อยอีกคน ผมน่าจะโทรไปรบกวนให้เขา fax มาให้ใหม่ ไวเท่าความคิดผมก็โทรไปหาน้อย แต่ว่า น้อยก็ไม่อยู่เช่นกันออกไปหาลูกค้าพร้อมพี่คิด แต่ไม่เสียหลาย พี่ที่นั้นให้เบอร์มือถือน้อยกับผม ผมลองโทรไปหาน้อยอีกครั้ง คราวนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมได้คุยกับน้อย
น้อย : “สวัสดีครับ” (ดูเสียง งง งง เพราะไม่คุ้นเบอร์)
นพพร : “เออ!! สวัสดีครับ ผม นพพรเองนะครับ จำผมได้ไหมครับ นพพรที่เป็นลูกน้องพี่น้ำ อยู่ประจำฝ่ายฯอ่ะครับ”
น้อย : “อ๋อ!! จำได้แล้วครับ มีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ” (ส่วนใหญ่พวกที่อยู่สาขา จะกลัวและเกรงใจ พนักงานประจำฝ่ายฯ เพราะว่าอยู่ใกล้นายมากกว่า ถ้างานบกพร่อง ฝ่ายฯสามารถรายงาน กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้)
นพพร : “คุณน้อยยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมมีเรื่องจะรบกวนนิดหน่อย แต่ว่าไม่ใช่งานคุณน้อยนะครับ เป็นงานของพี่บล พี่บลส่งเอกสารมาไม่ครบ ผมติดต่อพี่บลไม่ได้แล้ว เลยอยากจะรบกวน คุณน้อยส่งมาให้หน่อย”
น้อย : “พอดีผมออกมาหาลูกค้ากับพี่คิดครับ วันนี้ไม่ได้เข้าที่ทำงาน กำลังจะกลับบ้านแล้วครับ คุณนพพร รีบหรือเปล่าครับ รอผมซักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวผมกลับรถไปเอาให้”
นพพร : “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมตั้งใจจะทำให้เสร็จวันนี้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันจันทร์ ผมติดต่อพี่บลอีกทีแล้วกันครับ ไงก็ขอบคุณมากครับ ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
น้อย : “อืม คุณนพพรมาทำงานพรุ่งนี้หรือเปล่าครับ ผมคิดว่าจะเข้ามา clear งานนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวผมจะ fax เอกสารไปให้”  ....น้อยเสนอ
นพพร : “ผมก็ตั้งใจจะเข้ามา clear งานเหมือนกันครับ ถ้าคุณน้อยตั้งใจจะมาทำงานอยู่แล้ว งั้นผมคงต้องรบกวนด้วยแล้วกันครับ ไงก็ขอบคุณล่วงหน้าครับ”
หลังจากผมวางสายของน้อย ผมมีความรู้สึกดีๆ กับน้อยขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ไม่ใช่งานตัวเอง แต่ก็ยังกระตือรือร้น พยายามช่วยผม ทั้งๆที่คุยกันน้อยมากๆ แต่เขากลับมีน้ำใจช่วยงานผม แต่ผมเองก็ยังไม่ได้คิดอะไรกับน้อยไปมากกว่านี้ เบอร์โทรศัพท์น้อยที่ผมได้มา ผมก็ไม่ได้ memory ลงใน phonebook ของผม และก็ได้แต่รอเอกสารที่เขาจะ fax มาให้ผมพรุ่งนี้เท่านั้น
 
พอถึงวันเสาร์ ผมตื่นประมาณ 9โมงเช้าได้ ขึ้นรถไฟฟ้ามาถึงที่ทำงานแล้ว แต่ก็กะว่าจะหาอะไรซื้อขึ้นไปทานซักหน่อย จะได้ไม่ต้องลงมาอีก ระหว่างที่ผมกำลังซื้อขนมอยู่ น้อยก็โทรหาผม
น้อย : “สวัสดีครับ คุณนพพร อยู่ที่ไหนครับ เสียงดังจัง กำลังเดินห้างอยู่หรือครับ”
นพพร : “เปล่าครับ อยู่ในซอยข้างที่ทำงานครับ กำลังจะหาซื้ออะไรทาน ซักพักว่าจะขึ้นไปทำงานแล้วครับ นี่คุณน้อยถึงที่ทำงานแล้วเหรอครับ”
น้อย : “ยังหรอกครับ ผมกำลังอยู่ระหว่างทางไปที่ทำงานเหมือนกัน ผมจะโทรถามคุณว่า ลูกค้าพี่บลที่คุณนพพร ต้องการเอกสาร ชื่ออะไรนะครับ เมื่อวานผมขับรถอยู่ไม่ได้จดเอาไว้ เลยจำไม่ได้”
นพพร : “ครับ ชื่อราย นางสุดารัตน์.....ครับ” (ผมจำชื่อลูกค้าคนนี้ได้แม่น เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผม รู้จักกันน้อยอย่างจริงจัง)
น้อย : “ถ้างั้น คุณนพพร รอผมซัก 15 นาทีนะครับ ถ้าหาเจอแล้วจะ fax ไปให้ครับ”
นพพร : “ขอบคุณ คุณน้อยครับ”
 
 พอผมขึ้นไปถึงที่ทำงาน fax ของลูกค้ารายนี้ก็มาถึงแล้ว ผมสามารถนำเสนอเสร็จเรียบร้อยตามที่ plan ไว้ เตรียมส่งผลอนุมัติให้พี่บลได้ทันสายๆวันจันทร์ โดยที่พี่บลไม่รู้เลยว่า ที่งานเสร็จ เพราะน้อยช่วย fax เอกสารมาให้ผมอีกครั้ง หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับน้อยเลย (งานของน้อยยังไม่มีส่งขึ้นมาให้ผม เพราะว่าน้อยยังอยู่ในช่วง probation อยู่ครับ ผมเลยไม่ค่อยได้คุยกับน้อยเท่าไหร่ เพราะไม่มีงานของน้อยส่งมาให้เลย มารู้ทีหลังว่า น้อยพ้น pro หลังจากวันที่ผมคุยกับเขาไม่กี่วันเอง) และมันก็เป็นสาเหตุให้ผมไม่คิดจะ keep contact น้อย รวมถึงก็ยังไม่ได้ memory เบอร์น้อยลงเครื่องผมอีกด้วย
จนวันเสาร์ต่อมา ผมนัดกับเพื่อนที่เรียน ปริญญาโทด้วยกัน ไปรับชุดครุยที่สั่งตัดไว้ แถวๆตรอกมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ระหว่างที่อยู่ในรถ มีเบอร์แปลกๆ โทรหาผม นั่นคือ น้อยนี่เอง
น้อย : “สวัสดีครับ คุณนพพร ผมน้อยนะครับ วันนี้มาทำงานหรือเปล่าครับ”
นพพร : “สวัสดีครับ วันนี้ไม่ได้ไปครับ มารับชุดครุยที่ท่าพระจันทร์ครับ”
น้อย : “คุณนพพร พึ่งเรียนจบปริญญาตรีหรือครับ ได้งานเร็วจัง ทำงานก่อนรับปริญญาอีก”
นพพร : “เปล่าครับ ผมพึ่งจบปริญญาโทครับ ผมจบปริญญาตรีมา 4 ปีแล้วมั้งครับ”
น้อย : (คาดว่าคงตะลึง) “เหรอครับ เออ! ยินดีด้วยนะครับ คุณนพพรรับปริญญาเมื่อไหร่หรือครับ”
นพพร : “วันที่ 14 เดือนหน้าครับ ... ว่าแต่ที่โทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
น้อย : “ผมว่าจะโทรมาปรึกษาเรื่องงานกับคุณนพพรซักหน่อย ผมอ่านเอกสารของลูกค้ารายนึง แล้วคิดว่ามีปัญหาครับ เลยจะโทรมาถามคุณนพพรว่าควรจะทำยังไงดี”
นพพร : “ได้สิครับ ถามได้เลยครับ”
น้อย : “คุณนพพร ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมไม่อยากรบกวน”
นพพร : “ถามได้เลยครับ แต่ถ้าผมตอบไม่ได้ คงอาจจะต้องรอปรึกษาพี่น้ำวันจันทร์นะครับ”
ผมพูดคุยกับน้อย เรื่องปัญหาของลูกหนี้ของน้อยอีกนิดหน่อย เรื่องที่น้อยปรึกษาค่อยข้างยากเหมือนกัน เพราะว่าปัญหาเรื่องทางปฎิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งผมเองก็ไม่มั่นใจที่จะตอบ เลยต้องบอกน้อยไปว่า แล้วผมจะพยายามหาคำตอบให้แล้วจะโทรบอกน้อยอีกที
การพูดคุยกับน้อยครั้งนี้นี่เอง ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับน้อย ค่อยๆก่อตัวขึ้น อย่างจริงจัง...ติดตามต่อ ตอนที่ 3 ครับ

taebin7

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #4 เมื่อ18-01-2007 17:45:39 »

จะรออ่านนะคับ :yeb:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #5 เมื่อ18-01-2007 20:34:18 »

อืม คนสองคนในเมืองอันยุ่งเหยิงนี้
เมื่อถึงเวลาก็ได้มาพบกัน .....  :myeye:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #6 เมื่อ19-01-2007 13:58:26 »

รอ รอด้วยคนค่า  :haun2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #7 เมื่อ19-01-2007 18:07:08 »

taebin7 suregirl  ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ  :myeye:

shell  กว่าจะเดินทางมาเจอกันก็ยากแล้วนะครับ แต่เขาจะยอมเดินไปด้วยกันกับเราต่อไหม  :monkeysad:

*********************************************************************************************************





ตอนที่ 3 ของนายนพพร
“ความสัมพันธ์”
 
ก่อนเริ่มเรื่องต่อไป ผมขอขอบคุณ เพื่อนๆในสวนลุมฯ (นอกเรื่อง) ทุกคนที่ ติดตามผลงานของผมอย่างใกล้ชิด ผมเห็นกระทู้ของนักเขียนหลายๆคน น่าสนใจเหมือนกัน ยังไงก็ขอบคุณมากๆครับที่สละเวลาอ่านเรื่องราวของนพพร และเป็นกำลังใจให้ผม ทั้งติดตามผลงานของผมมาโดยตลอด
มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ หลังจากวันเสาร์ ที่ผมไปรับชุดครุยที่ธรรมศาสตร์ฯ ผมรอให้ถึงวันจันทร์ เพื่อผมจะได้คุยกับพี่น้ำเรื่องที่น้อยสงสัย พอผมเจอพี่น้ำในเช้าวันจันทร์ ผมก็กุลีกุลอถามข้อมูลจากพี่น้ำตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน พอผมได้เรื่องจากพี่น้ำแล้ว ผมก็โทรบอกน้อย ทันที ในตอนนั้นผมคิดแค่เพียงว่า ผมตอบแทนน้ำใจน้อยในครั้งนั้นอย่างเต็มที่ที่สุด โดยไม่คิดอะไรไปมากกว่านั้นจริงๆ
 
วันที่ 13 ก่อนวันรับปริญญาของผม 1 วัน ผมก็เตรียมตัว clear งานและรีบกลับบ้าน เพื่อผมจะได้นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เช้าวันรับปริญญา จะได้ตื่นมาหน้าตาสดใส ซักประมาณ 3 ทุ่ม ผมก็เริ่มนอน ปรากฎว่า น้อยส่ง message ถึงผมว่า “Congratulations for your success” จริงๆแล้ว ผมออกจะหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย เพราะว่า เสียง message ทำให้ผมตื่น แต่ก็ยังดีที่ผมยังหลับต่อไปได้
วันรับปริญญาของผม ปรากฎว่าฝนตกหนักแต่เช้า (ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมมหาวิทยาลัยผมถึงเลือกรับปริญญาตอนหน้าฝน) ผมตื่นมาประมาณ ตี4ได้ ขับรถไปรับเพื่อนสมัยม.ปลาย ที่เรียนห้องเดียวกับผม โดยผมรบกวนให้มันถ่ายรูปรับปริญญาให้ผมหน่อย พอผมถึงหอประชุม ก็ประมาณ 6 โมงเช้าได้ ฝนกำลังตกปรอยๆ ผมหาที่จอดรถแล้วก็กางร่มวิ่งเข้าเต้นท์หน้าหอประชุม โดยฝากทุกอย่าง ไม่ว่าจะกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และถุงขนมที่ผมทานประทังชีวิตตอนเช้า ไว้ที่ช่างภาพกิตติมศักดิ์ที่ผมเชิญมา
 
ผมขอนอกเรื่อง เล่าเรื่องรับปริญญาของผมครั้งนี้หน่อยนะครับ ผมจำได้ว่าตอนปริญญาตรี เพื่อนสนิทผมคนนึงได้ที่นั่งสำรองในหอประชุม คือหอประชุมในมหาวิทยาลัยของผมเป็นที่นั่งเหมือนที่นั่งในโรงภาพยนตร์ แบบที่เป็นเบาะพับได้ แต่ด้วยความที่บัณฑิตที่เข้ารับปริญญาในแต่ละรอบมีจำนวนมาก ในระหว่างทางเดินตรงกลาง เลยมีที่นั่งสำรองเป็นเก้าอี้ธรรมดาวางอยู่ 3 ตัว เพื่อสำหรับบัณฑิตที่ Jackpot ได้นั่งที่นั่งกิตติมศักดิ์นี้ ตอนปริญญาตรีผมรอดตัวที่ไม่โดน เก้าอี้กิตติมศักดิ์ อาจจะเพราะว่าผมโชคดีที่ได้รับเป็นคนต้นๆ เลยได้นั่งริม ไม่โดนตรงกลาง แต่พอรับปริญญาโทคราวนี้ ผม Jackpot ได้นั่งเก้าอี้ที่ผม คาดหวังว่าจะไม่โดนจนได้ นั่งหน้าพิธีเลยครับ ง่วงก็ง่วง นอนก็นอนไม่ได้ ผมกะพี่อีกคนที่ชื่อติดกันต่างก็มองหน้ากันแบบเซ็งๆ แต่ไม่เป็นไร ด้วยความที่เราหลับไม่ได้ (เพราะเก้าอี้มันไม่อำนวยให้เราหลับ) เราก็เลยหันมาคุยกันแทน
ด้วยความที่ผมรับปริญญาภาคเช้า เลยได้ออกมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ นอกหอประชุมในตอนบ่าย ซึ่งถือว่าโชคดีมากๆที่ฝนก็หยุดตกเรียบร้อยแล้ว (ผมยังแอบสงสารบัณฑิตที่รับปริญญาภาคบ่าย ยิ่งเป็นบัณฑิตปริญญาตรีซึ่งเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นครั้งแรก คงได้รูปถ่ายรับปริญญาที่ไม่สวยนัก ถ่ายรูปตอนฝนตกพร่ำๆ และ ไม่มีแดดเลย คงออกมาไม่สวยเท่าไหร่)
 
หลังออกจากออกจากหอประชุม ผมนัดเจอ ช่างภาพและรับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ผมคืนมาแล้ว ผมเห็น missed call ของน้อย แต่ผมก็ไม่สนใจอะไร ก็ถ่ายรูปกับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน และเพื่อนๆที่ทำงานที่ขนกันมาหลาย 10 คนอยู่ (รวมทั้งพี่น้ำที่มาร่วมแสดงความยินดีกับผมด้วย)
ผมยังคงเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ น้อยโทรมาหาผมอีกครั้ง
น้อย : “สวัสดีครับนพ ผมแสดงความยินดีกับนพด้วยนะ”
นพพร : “ผมได้รับ message ของคุณแล้ว ขอบคุณคุณน้อยครับ”
น้อย : “เก่งจังเลยนะครับ จบแล้ว ผมพึ่งจบ course work เองครับ ยังหาหัวข้อทำ thesis ไม่ได้เลย”
นพพร : “คุณน้อยเรียนโทอยู่เหมือนกันหรือครับ ยังไงก็ขยันๆนะครับ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกแล้วกัน” ผมแสดงน้ำใจตามมารยาท
ผมพูดคุยกับน้อยอีกนิดหน่อยก็ขอตัวไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆต่อ โดยไม่ได้สนใจน้อยอีก
 
หลังจากที่น้อยพ้น probation แล้ว งานที่น้อยส่งมาให้ผมเสนออนุมัติเริ่มเยอะขึ้น ผมประทับใจน้อยที่น้อยค่อยข้างกระตือรือร้น ใส่ใจกับงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาดีกว่า พี่บลเอามากๆ เวลาน้อยมีปัญหาเรื่องงานก็มันจะโทรหาผม หาเรื่องชวนผมคุย ทั้งคุยในที่ทำงาน และโทรคุยกันนอกเวลาบ้าง ผมกับน้อยค่อยข้างที่จะสนิทกับเร็ว นั่นอาจจะเพราะอายุเราใกล้เคียงกัน ซึ่งน้อยอ่อนกว่าผมประมาณ ปีครึ่ง(สาขาในความรับผิดชอบของผมจะมีแต่รุ่นพี่อายุเลย 30 กันซะส่วนใหญ่) และน้อยกับผมก็ชอบอะไรคล้ายๆกัน อีกอย่าง น้อยว่า ผมเป็นคนคุยสนุก ชอบหาอะไรมาคุยอยู่ได้เรื่อยๆ แต่ผมคิดว่า อาจจะเป็นเพราะคุยกับน้อยแล้วถูกคอมากกว่า ปรกติแล้วผมเป็นคนเงียบๆ มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง
หลังจากที่ผมได้คุยกับน้อยเพิ่มขึ้นนี่เอง ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเรียนโท เศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเปิด ที่เดิมกับที่น้อยจบ ปริญญาตรี มีอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจในตัวน้อย คือ วันธรรมดา น้อยทำงานบริษัทเดียวกับผมนี่แหละ แต่อยู่ที่สาขาต่างจังหวัด แล้ววันเสาร์-อาทิตย์ น้อยไปเป็นอาจารย์พิเศษสอน วิชาการตลาด ให้กับ มหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชายแดนใต้
 
ผมบอกน้อยว่า ถึงผมไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ ผมก็รู้ หลัก 4P นะ( Basic ของ Marketing ครับ ซึ่งได้แก่ Product, Price, Place and Promotion) น้อยก็สงสัยว่าผมรู้ได้ไง อันนี้ผมคงต้องถือเป็นความดีของ อาจารย์ที่สอนวิชา Marketing law ให้ผมตอนเรียนปริญญาโท ทำให้ผมมีความรู้กว้างมากขึ้น และนี่เองอาจจะเป็นเสน่ห์ของผม ที่ทำให้น้อยอยากทำความรู้จักผมมากขึ้น
 
วันหนึ่งขณะผม on the way to home น้อยโทรมาหาผม เราคุยกับหลายเรื่องจนมาถึงเรื่องกิจกรรมยามว่าง
นพพร : “น้อยเล่น msn บ้างหรือเปล่าครับ”
น้อย : “ครับ นี่ก็กำลัง online อยู่... นพเล่นเหมือนกันเหรอ ขอ e mail นพหน่อยสิ น้อยจะได้ add นพไว้ด้วย”
นพพร : “ได้สิ...ผมกำลังจะถึงบ้านแล้วล่ะ ถ้าน้อยยัง online อยู่แล้วค่อยคุยกันใน msn ก็ได้” แล้วผมก็ให้ e mail ของผมไป
น้อย : “โอ.เค.ครับ แล้วเจอกันใน msn นะ ผมจะรอ....”
หลังจากนั้น เหมือนเป็นกิจวัตรของผมก่อนนอน(เกือบ)ทุกคืน ผมจะต้องคุย msn กับน้อย ส่วนใหญ่เราก็คุยเรื่องงานบ้าง คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้าง ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าน้อยคิดยังไงกับผม แต่สำหรับผมเอง ผมเห็นน้อยเป็นเพื่อนใหม่ ที่ผมค่อนข้างสนิทสนม มากๆคนนึง คุยกันได้ทุกเรื่อง เวลาผมมีเรื่องไม่สบายใจที่ทำงาน ผมก็บ่นๆให้น้อยฟัง น้อยก็บ่นเรื่องงานให้ผมฟังบ้างเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว
 
อย่างที่บอก แรกๆผมไม่ค่อยจะรู้หรอกว่า น้อยคิดยังไงกับผมบ้าง จนวันหนึ่งที่เราคุยกันใน  msn ผมกำลังจะขอตัวไปนอน น้อย บอกราตรีสวัสดิ์ผม แล้วก็ส่ง wink เป็นรูปปากสีแดงเป็นการส่งจูบลา... จริงๆผมออกจะตกใจนิดหน่อย แต่ก็คิดในใจว่า น้อยอาจกำลัง msn กับหลายคนอยู่แล้วส่งผิดมาให้ผมก็ได้... ผมไม่รู้เลยว่า มันจะเป็นความสัมพันธ์ของผมกับน้อยที่เริ่มจะแนบแน่นขึ้น

need_not2know

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #8 เมื่อ19-01-2007 18:37:38 »

อ้างถึง
ขอบคุณ ทุกๆท่านนะครับ ที่ติดตามรับชม เรื่องของนพพร ตอนแรกๆก็ยังกลัวๆว่า เขียนๆไปจะมีใครมาอ่านหรือเปล่า เรื่องมันก็ไม่ได้โลดโผนอะไรมากมายนัก ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนซักกี่ตอนดี ในแต่ละตอนจะสั้นยาวแค่ไหน แค่ plan ไว้คราวๆว่าจะเขียนอย่างไรบ้าง (แต่ถ้า rating ดีก็อาจจะยืดได้อย่างละคร ช่องคุณนาย red label ฮิฮิฮิ)
ผลงานดีๆควรค่าแกการติดตามอยู่แล้ว :teach:
ปาล์มรู้สึกเหมือนอ่านบทภาพยนตร์เลย
เพราะความไม่โลดโผนของเรื่องนี่แหละ เลยเล่าออกมาได้ดูเป็นธรรมชาติมาก
เป็นกำลังใจให้น้า :yeb:

ปล. wink รูปจูบหรอ :like6:น้อยน่ารักสุดๆ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #9 เมื่อ19-01-2007 19:16:51 »

อืม  เรื่องดูไม่โลดโผนจริง  ๆแฮะ  น้อยสนใจนพพรซะแล้วสิ  รออ่านต่อแล้วกัน   :yeb:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story]นายนพพร by นพพร
« ตอบ #9 เมื่อ: 19-01-2007 19:16:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #10 เมื่อ20-01-2007 19:26:08 »

need_not2know  เรื่องนี้น่าติดตามจริงๆนะครับ ดีใจครับที่ชอบ
มูมู่น้อย  เรื่องนี้เปิดตัวไปเรื่อยๆทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละครดีครับ
ผมก็กำลังลุ้นๆอยู่ว่าจะเป็นไงต่อ แต่ตอนล่าสุดที่พันทิพเขียนได้ยอดเยี่ยมเลยหล่ะ

**************************************************************************


ตอนที่ 4 ของ นายนพพร
“วันเกิดของน้อย”
  ผมเอาเรื่องที่น้อยส่งจูบให้ผมใน msn ให้แหวน เพื่อนที่ทำงานของผมฟัง เขาก็หัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ให้ความเห็นอะไรเป็นพิเศษ ความสัมพันธ์ของผมกับน้อยก็เริ่มแนบแน่นมากขึ้น แต่ด้วยความสนิท น้อยชอบแกล้งผม ผมก็มีโกรธๆโมโหๆเขาอยู่บ้าน เรื่องมีอยู่ว่า
                นพพร : “น้อย !!! ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
                น้อย : “ยุ่ง ไม่ว่าง !!!!”
                นพพร : “พี่น้ำให้ผมทำรายงานผลงานแต่ละสาขาเสนอพรุ่งนี้ ผมจะโทรมาขอข้อมูลน้อยเฉยๆ ถ้ายุ่งก็ไม่รบกวน”
แล้วผมก็วางสาย ในใจคิดว่า กำลังรีบๆอยู่ กะว่าสาขาของน้อย คงไม่มีปัญหา ผมจะได้รีบทำรายงานส่งพี่น้ำ น้อยทำตัวน่ารำคาญให้ผมโมโหอีกแล้ว หลังจากผมวางสาย น้อยก็โทรเข้ามือถือผม ผมไม่รับแล้วก็ปิดเครื่อง น้อยโทรเข้าเครื่องที่ทำงาน ผมก็ไม่สนใจ ไม่รับสาย คืนนั้นผมก็ไม่ได้ on msn ด้วยความโมโหน้อยสุดขีด
 
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ น้อยส่ง message มาหาผมว่า บอกว่า เขาส่งของมาให้ผมที่ทำงาน ถ้าได้รับแล้วช่วยบอกเขาด้วย ผมกำลังเดินทางไปทำงาน ผมเลยโทรไปหาน้อย อาจจะเพราะความโมโหน้อย เริ่มลดลงแล้ว
น้อย : “หวัดดีครับนพ เมื่อวานงอนอะไรน้อยเหรอ โทรไปหาตั้งหลายรอบ ไม่ก็ไม่รับ”
นพพร : “เมื่อวานยุ่งๆ กำลังทำรายงานส่งพี่น้ำ ไม่อยากคุย”
น้อย : “แล้วของสาขาน้อยเสร็จยัง มีอะไรให้ช่วยไหม”
นพพร : “ยังไม่เสร็จ...เมื่อวานจะโทรไปขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ประจำสาขา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูล” (ผมแหนบน้อย)
น้อย : “ล้อเล่นแค่นี้ไม่ได้เหรอ”
นพพร : “จะเล่นอะไรก็ให้ถูกที่ถูกเวลาหน่อย คนกำลังยุ่งๆ”
น้อย : “เอาหน่า ถือว่าขอโทษก็แล้วกันนะ”
นพพร : “น้อย คุณรู้ไหม ในขณะพี่ๆที่สาขาอื่น ผมเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ผมเห็นคุณเป็นเพื่อนผม เพื่อนเหมือนเพื่อนสมัยเรียน แทนที่ผมทำงานกับคุณ คุณจะช่วยผมทำงาน คุณกลับมาทำให้งานผมช้าลง”
น้อย : “คิดมาก นพ น้อยแค่เล่นๆ เอาเป็นว่าจะให้น้อยช่วยอะไรก็บอกนะ”
 
ผมไม่ค่อยจะทะเลาะกับน้อยหรอกครับ ก็มีงอนๆ โมโหๆกับความกวนๆของน้อยอยู่บ้าง อย่างที่ผมบอก ความสนิทสนมทำให้บางครั้งคนเราไม่มีความเกรงใจซึ่งกันและกันเท่าไหร่
ผมลืมบอกไปว่า น้อยส่งของมาให้ผม เป็น นาฬิกา ซึ่งเป็นของ premium ที่ทางบริษัทแจกให้กับลูกค้า จริงๆผมเป็นคนไม่ค่อยชอบใส่นาฬิกาเท่าไหร่ เพราะรำคาญ จะดูเวลาก็ดูเอาจากโทรศัพท์ ผท message ไปขอบคุณว่าผมได้รับของแล้ว (ทั้งๆที่ในใจก็คิดว่า จะง้อผมทั้งทีก็ไม่ค่อยจะลงทุนเลย...)
น้อยบอกผมว่า ผมชอบทำ inbox ใน menu messages ของโทรศัพท์เขาระเบิด ว่างๆผมไม่รู้จะทำอะไร ผมก็ message หาน้อย กำลังกลับบ้าน รถติดมาก็ message บอกน้อย กำลังจะไปว่ายน้ำ ผมก็ message ไปบอกน้อย จะถามผมว่า ผมรู้สึกอะไรกับน้อยเป็นพิเศษ ผมคงยืนยันเหมือนเดิมว่า เราคุยกับถูกคอ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากนัก น้อยก็เคยถือเป็นเพื่อนสนิทของผมไปในทันที
 
วันที่ 9 กันยายน ผมจำได้ว่า กำลังเก็บกวาดห้องอยู่ น้อย ส่ง message หาผม ประมาณ ทุ่มกว่าๆได้ ข้อความที่ผมได้รับคือ
“...วันนี้วันเกิดผมครับ...”
ผมเสียดาย 3 บาทแทนน้อยจริงๆ จะส่งมาทั้งที ส่งมาแค่นี้ แต่เอาเถอะ ผมก็ตอบ message น้อยไป
“...สุขสันต์วันเกิดครับ มีความสุขมากๆนะ อยากได้อะไรเป็นของขวัญล่ะ ผมจะซื้อให้...”
น้อยส่ง message กลับมาว่า
“...ถ้าอยากได้จริงๆ จะให้ได้เหรอ?...”
ผมตอบกลับไปอีกครั้ง
“...อยากได้ดาวหรือเดือนดวงไหนล่ะ ถ้าอะไรที่เป็นไปได้ก็ซื้อให้ได้...”
 
สุดท้าย ผมก็ซื้อเสื้อยืดตัวนึงให้น้อย ผมรู้คร่าวๆ ว่าน้อยค่อยข้างคล้ำแบบคนใต้ทั่วไป ผมก็เลยซื้อเสื้อสีขาวให้น้อย แล้วก็ซื้อสีแดงเลือดหมูแบบเดียวกัน size เดียวกันไว้ใส่เอง (ตอนนี้เสื้อตัวสีแดงที่ผมซื้อ ผมเผาทิ้งไปแล้วครับ...ไม่หรอก ผมบริจาคให้วันสวนแก้วตอนที่บ้านผม ขนของเก่าไปทำบุญ)
 
หลังจากวันเกิดน้อยไม่กี่วัน ผม msn คุยกับน้อยเรื่องพี่นารี พี่ที่สาขาอีกสาขานึงในความรับผิดชอบของผมว่า พี่นารีกำลังจะเกษียณปีนี้ ผมอยากไปเยี่ยมแก แล้วก็ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย เพราะครั้งก่อนที่ผมไปหาพี่นารี ผมไปทำงานอย่างเดียวเลย ไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ ทั้งๆจังหวัดของพี่นารีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวขึ้นชื่อของไทยในภาคใต้ฝั่งอันดามัน
ผมบอกน้อยว่า ผมอาจจะขึ้น budget airline ไปลงที่หาดใหญ่ เพราะจังหวัดที่พี่นารีอยู่ มีแต่เครื่องของสายการบินไทยไปลงเท่านั้น ผมเลย plan ว่าจะไปลงหาดใหญ่ แล้วขึ้นรถทัวร์จากหาดใหญ่ไปหาพี่นารีอีกที
น้อยบอกผมว่า ถ้าผมมาลงหาดใหญ่ น้อยจะไปรับผมที่สนามบิน ไปหาพี่นารี ผมจะได้ไม่ต้องลำบาก ผมเลยชวยน้อยว่าถ้าน้อยว่าง ไปเยี่ยมพี่นารีกับผม แล้วไปเที่ยวกันต่อ น้อยก็ตกลงกับผมตามนี้
กว่าช่วงทะเลฝั่งอันดามันจะเปิดฤดูท่องเที่ยวก็ประมาณ ปลาย พฤศจิกายน ต้น ธันวาคม ผมเลือกที่จะไปหาดใหญ่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน เพราะคิดว่า น่าจะเที่ยวได้แล้วล่ะ ไปทะเลก็คงไม่น่าจะอันตราย
แต่ช่วงเดือน พฤศจิกายน ในปีนี้ ปรากฎว่า ฝนยังตกหนักอยู่เลย ผมยังหวั่นๆว่า จะไม่ได้ไป แต่ทำไงได้ ผมจองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว แล้วก็เลื่อนไม่ได้ซะด้วยสิ ผมเลยต้องตัดสินใจยืนยันที่จะไป โดยผมไม่รู้เลยว่า การไปเจอน้อยในครั้งนี้ จะทำให้ผม ไม่มีวันที่จะลืมน้อยไปตลอดชีวิต

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #11 เมื่อ20-01-2007 21:48:58 »

นพกะน้อย  กำลังจาได้เจอกันแล้วซี :yeb:
เรื่องจะเปนยังไงต่อไปน้า  กำลังน่าติดตามเยยครับ

แล้วก้อต้องขอบคุณคุณบลูนะครับ  ที่หาเรื่องดีๆ มาให้อ่านเสมออออ
 :monkeylove2: :angellaugh2: :love2: :impress:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #12 เมื่อ21-01-2007 15:17:39 »

อิ อิ ได้พบสบตา  :like6:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #13 เมื่อ21-01-2007 19:12:22 »

eye_can_tell  ฮันแน่เชียร์แบบนี้แสดงว่าเคยแอบจีบใครป่าวเนี่ยะ  :kikkik:

suregirl  แค่เป็นคนที่เราชอบ แค่ได้สบตาวันนั้นก็อิ่มไปทั้งวัน  :haun6:

************************************************************


ตอนที่ 5 ของ นายนพพร
“นพพรเดินทาง”
เมื่อวันก่อน ผมพึ่งหยิบเอา VCD เรื่อง ข้างหลังภาพ อันเป็นที่มาของชื่อผม กลับมาดูอีกครั้ง นานมากแล้วครับที่ผมไม่ได้ ร้องไห้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ผมเคยอยากเป็น นพพร ในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบัน ผมกลายมีชีวิต เยี่ยง คุณหญิงกีรติ ครั้งแรกที่น้ำตาผมร่วง ก็เพราะคำพูดของคุณหญิงที่ว่า
“...คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน แต่ฉันก็เห็นด้วยกับนพพรในข้อที่ว่า ความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน นพพรทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ถอนตัวออกมาพ้นจากความทรมานได้ และสามารถลืมความหลังได้ด้วย แต่คนโง่ๆบางคน ทำไม่ได้อย่างเธอ...”
ผมอยากบอกคุณหญิงว่า คนโง่ๆที่คุณหญิงพูด ไม่ใช่หมายถึงคุณหญิงเพียงคนเดียวหรอกครับ ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณหญิงซักเท่าไหร่
 
กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อกันดีกว่าครับ... ผมตกลงลาพักร้อนทั้งหมด 6 วัน โดน clear เรียบร้อยเพื่อไม่ให้พี่น้ำต้องเป็นห่วง มีเรื่องเกิดขึ้นก่อนผมจะเดินทางก็คือ ผม fax รายละเอียด program tour ไปให้น้อยที่ทำงาน ทั้งๆที่ผมก็จ่าหัวถึงน้อยแล้วนะ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของพี่นิลุบล เขาดันเอา รายละเอียด program tour ของผมไปอ่าน แล้วก็ message มาหาผมว่า
“แอบหนีกันไปเที่ยวกับน้อย ไม่เห็นชวนพี่บลเลย พี่ขอไปด้วยได้ไหม แต่ถ้าส่วนตัวก็ไม่รบกวน”
ผมไม่ได้ตอบ message แก แต่ กลับ forward ไปให้น้อยดู แล้วก็ปรึกษาน้อยว่าจะจัดการอย่างไร น้อยบอกผมว่า ถ้าเอาพี่บลไป เขาก็ไม่ไป เพราะเบื่อความเรื่องมาก จุ้นจ้านของพี่บล ผมเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพี่บลขนาดไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันได้ และผมก็ต้องการจะไปกับน้อยมากกว่า ผมกับน้อยก็เลือกที่จะเงียบไป โดยไม่ได้พูดกับพี่บลเรื่องนี้อีกเลย
แต่ผมหารู้ไม่ว่า พี่บลเอาเรื่องที่ผมกับน้อยไปเที่ยวด้วยกัน ไปเล่าให้ เจ้าหน้าที่ในสาขาอื่นๆ (ที่ผมรับผิดชอบ) หลายต่อหลายคนว่า ผมกับน้อยไป honeymoon กันสองต่อสอง... ผมพึ่งว่ารู้เรื่องที่หลัง หลังจาก เดินทางกลับมาแล้ว เพราะพี่ที่สาขานึง โทรมาหาผม แล้วก็แซวผมเรื่องผมไปเที่ยวมา ว่าได้ข่าวว่าผมไป สวีทกับแฟน... ผมงงมากๆ ผมไม่เคยบอกใครเรื่องที่ผมจะไปเที่ยวกับน้อย ขนาดพี่น้ำเองผมก็ไม่บอก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว 
บทเรียนครั้งนี้ทำให้ผมรู้จักพี่บลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมพยายามช่วยเหลืองานพี่บลเต็มที่ แต่สิ่งที่พี่บลตอบแทนผม กลับกลายเป็นการนินทาว่าร้ายผมให้คนอื่นฟัง ผมเข้าใจว่า ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้าน เป็นเรื่องทั่วไปของมนุษย์ แต่ความอยากรู้อยากเห็นของพี่บล ทำความเดือดร้อนให้ผม (ซึ่งไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง) มีเจ้าหน้าที่คนนึงโทรมาสวัสดีปีใหม่ผม แล้วก็ พูดว่า “ขอให้นพ สมหวังในความรักนะค่ะ...” แล้วก็หัวเราะชอบใจ ผมรู้เลยว่า พี่บลต้องเอาเรื่องผมไป เม้าส์ให้เจ้าหน้าที่คนนี้ฟังอีกแน่
 
 ผมไม่เข้าใจเจตนาของพี่บลในการกระทำแบบนั้นหรอก แกอาจจะเล่าให้คนนั้นคนนี้ฟังด้วยความสนุก และคะนองปาก แต่แกคงไม่รู้ว่า ความสนุก และ ความคึกคะนองของแก กำลังทำร้ายใครอยู่ สิ่งที่ผมอยากบอกพี่บลก็คือ ผมเสียใจที่ผมเคย เคารพพี่บล ผมไม่คิดว่าพี่บลจะให้ร้ายผมแบบนี้ ผมมีอะไรกับน้อยหรือเปล่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมและน้อย ผมเองไม่เคยทำความเดือนร้อนรำคาญอะไรให้พี่บลเลย ทำไมถึงต้องมา นินทาผมให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆในแบบนั้นด้วย (จริงๆก็ถือว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาท) พี่บลอยากให้คนอื่นรังเกียจผมอย่างนั้นเหรอ หรือการที่ผมไม่ชวนพี่บลไปด้วย ทำให้พี่บลเจ็บช้ำน้ำใจมากนัก เอาเถอะครับ ไม่มีประโยชน์ที่จะทำความเข้าใจกับคนอย่างพี่บล ตอนนี้ผมอโหสิกรรมให้พี่บล และไม่ติดใจถือสาหาความอะไรกับพี่บลอีก (ถ้าไม่ได้เขียนกระทู้ลงพันธุ์ทิพย์ ผมก็แทบจะลืมความเลวร้ายที่พี่บลทำกับผมไปหมดสิ้นแล้ว)
ถ้าพี่บลมีโอกาสได้อ่านกระทู้ของผม ผมก็อยากบอกพี่บลว่า ผมไม่อยากให้ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นของพี่บล ไปทำร้ายใครต่อใครอีก ขอให้ผมเป็นคนสุดท้ายที่ต้องเผชิญกับการกระทำของพี่บลในครั้งนี้ พี่บลคงไม่ต้องการรับการให้อภัยจากผม เพราะพี่บลคงคิดว่าพี่บลไม่ได้ทำอะไรผิด ผมถือว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นกับผม เป็นเพราะเคราะห์กรรมของผมเอง และผมไม่ติดใจจองเวรอะไรกับพี่บลต่อไป
 
กลับมาเข้าเรื่องของการเดินทางของผมต่อ trip ของผมในครั้งนี้ ผมได้รับความอนุเคราะห์จากพี่นารีในการหาที่พัก โรงแรมทั้งในตัวเมือง และ รีสอร์ทที่ผมไปพักบนเกาะ เป็นอย่างดี โชคดีที่ รีสอร์ทที่ไปพัก เป็นลูกค้าของบริษัทที่ผมทำงานพอดี เขาเลยลดราคาให้ แต่ก็ไม่เยอะมากหรอกครับ จริงๆแล้ว คนไทยเที่ยวไทย บางครั้ง เผลอๆจะแพงกว่า คนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะ คนต่างชาติซื้อ package tour จาก agency ซึ่งมีส่วนลด ค่าที่พักโรงแรมและรีสอร์ท ซึ่งถูกกว่า คนไทย ที่ซื้อ ห้องพักตาม resort เอาเอง ผมเห็นว่ามันช่างสวนทางกับนโยบาย ไทยเที่ยวไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่แน่ใจว่า พวก package tour ที่มาจัดในงาน ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์จะถูกกว่าหรือเปล่า ผมเพียงแค่เสียดายที่ว่า เราเป็นคนไทยแท้ๆ น่าจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรมากกว่าคนต่างชาติ เราเองก็สนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ แต่กลับไม่ได้รับความสะดวกสบายอะไรเลย รวมทั้งตลอดเวลาที่ผมพัก ผมกลับรู้สึกว่า เราเป็นประชากรชั้นสองในประเทศของเราเอง เพราะพนักงาน จะใส่ใจกับ แขกต่างชาติมากกว่า แขกคนไทย (ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า)
 
เช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 6โมงเช้า สมัยยังต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง flight ที่ผมเดินทาง เครื่องออก 8.15 บ้านผมก็ไม่ไกลจากดอนเมืองมาก ขึ้น taxi ก็ 100 นิดๆ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ผมก็มาถึง check in เรียบร้อย ก็หาอะไรทานรองท้องนิดหน่อย ( อย่าลืมว่า budget airline ไม่มีบริการอาหารอะไรเลย อยากทานอะไรต้องซื้อเอาเอง เวลาขึ้นเครื่องก็ต้องแย่งกันขึ้น ไม่ต่างกันเวลาห้างสรรพสินค้าเปิดตอน mid night sale)
ผมใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึง หาดใหญ่ เมื่อคืนก่อนนอน น้อย message มาหาผมว่า ถ้ามาถึงให้โทรหาเขาด้วย จริงๆ ผมกะอยู่แล้วว่า ถ้าผมมาถึงแล้วน้อยยังไม่มาผมก็จะหาทางเข้าไปตัวเมืองเอง แต่ปรากฎว่า น้อยมารอผมอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้อยตัวเป็นๆ หลังจากที่คุยกันมาตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา น้อยเป็นคนใต้ขนานแท้ตั้งแต่หัวจดเท้า (แต่ก็แอบดีใจที่น้อยบอกผมทีหลังว่า ผมหน้าดีกว่าที่คิด) น้อยเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย น้อยพูดกับผมคำแรกว่า
“ยินดีต้อนรับ สู่หาดใหญ่ครับนพ”
 
น้อยเอื้อมมือมาช่วยผมถือกระเป๋า แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไรผมถือเองได้ น้อยพาผมเข้าไปแวะหาอะไรทานแถวๆ ตลาดกิมหยง ผมไม่คิดมาก่อนว่าหาดใหญ่จะใหญ่โตขนาดนี้ หาดใหญ่เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ งานที่ผมรับผิดชอบก็มาจาก สาขาทางนี้เป็นส่วนใหญ่ น้อยพาผมตระเวณตัวเมืองเล็กน้อย ก่อนเราจะมุ่งหาไปหาพี่นารี
ระหว่างทาง มีฝนตกมาเล็กน้อย ผมเองก็หวั่นๆว่าผมจะไปไม่ถึง พี่นารีโทรบอกผมว่า พี่เขารอทานข้าวกลางวันกับผมอยู่ กว่าผมจะไปถึงก็เกือบจะบ่ายโมง พี่นารียังน่ารักเหมือนเดิมเสมอ ผมรักพี่นารีพอๆกับพี่น้ำ พี่นารีพาผมไปทานข้าว แล้วก็พามาแวะที่โรงแรม ก่อนจะเดินทางไปพักที่รีสอร์ทในวันพรุ่งนี้
 
คืนนี้ผมเขียนตอนที่ 5 เสร็จพร้อมคราบน้ำตาที่ยังอาบแก้มอยู่กับเรื่อง ข้างหลังภาพ อย่างน้อยคืนนี้ผมก็หลับลงอย่างมีความสุขกับคำพูดอีกตอนหนึ่งของคุณหญิงกีรติที่ว่า “ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”.... คุณหญิงครับ ผมเองก็เช่นกัน  ติดตามต่อตอนที่ 6 ครับ เร็วๆนี้

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #14 เมื่อ21-01-2007 22:27:43 »

ฮึก  เริ่มเรื่องมาก็มีเมฆฝนมาตั้งเค้าเลยเหรอเนี่ย  ถ้าอ่านต่อไปต้องเศร้าอีกช่ายมั้ยอะ
ฮือๆๆๆ (ร้องไห้รอเลยละกันนะ)  :sad4: :monkeycry2: :impress3:

เปนกำลังใจให้คุณนพอีกคนด้วยละกัน  มีสุขก็ต้องมีทุกข์ด้วยเป็นธรรมดา
อยู่ที่เราต้องปรับตัวและทำความเข้าใจกะมันให้มากๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วทุกอย่างก็จะเป็นความทรงจำที่สวยงาม

แต่ว่านะเรื่องข้างหลังภาพเนี่ย  เราก็ชอบด้วยจริงๆ นะ

"ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก"

ช่างเป็นคำพูดที่ดีจริงๆ

ว่าแล้วก็  ฮือๆๆๆๆๆๆ   :monkeysad: :monkeysad: :monkeycry2: :monkeycry2: :impress3: :impress3:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #15 เมื่อ22-01-2007 09:56:04 »

สงสัยเรื่องนี้คงเศร้าแน่ ๆ  :monkeysad:  :monkeysad:
อย่างไรก็ตามคงมีความทรงจำที่แสนสุขอยู่ แม้ว่าในตอนท้ายจะต้องอยู่กับความทุกข์ แต่อย่าลืมความสุขที่เคยได้รับล่ะ  :monkeysad:  :monkeysad:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #16 เมื่อ22-01-2007 10:54:00 »



เคยอ่านสองตอนแรกแล้วก็ไม่ได้ตามอ่านต่อ  ขอบใจนะตาบลูที่เอามาลงให้อ่านง่ายๆ ที่นี้

ปล.ทำไมมันถึงมีแต่เรื่องเศร้าอะเคอะ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #17 เมื่อ22-01-2007 14:03:35 »

ตามอ่านทันแล้วคับพี่เรย์.... :angellaugh2:


"ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก"


นี่แหละมั้ง....ที่เป็นความสุขจากการได้รัก......... :impress3:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #18 เมื่อ22-01-2007 17:04:50 »

เป็นกำลังใจให้คุณนพพรต่อ  รอเศร้าล่วงหน้า   :impress3:

แต่ก่อนเศร้าขอร่วมอยู่ในความทรงจำช่วงที่มีความสุขกับคุณนพพรก่อนนะ  รออ่านเสมอ  :impress:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #19 เมื่อ23-01-2007 11:32:32 »

เรื่องจะเศร้าแล้วเหรอ   :monkeysad:
ว่าแต่ไม่เคยดูเรื่องข้างหลังภาพอะ (เชยเนอะไม่เคยดู)  :untrust: เลยไม่ค่อยเข้าใจ
เนื้อเรื่องมันเป็นไงเหรอ รู้แต่ว่าเคนเล่น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story]นายนพพร by นพพร
« ตอบ #19 เมื่อ: 23-01-2007 11:32:32 »





need_not2know

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #20 เมื่อ23-01-2007 19:39:46 »

อยากมีคนส่ง message มาหาบ่อยๆแบบนี้จัง :-[
มีแต่ส่งมาช่วงเวลาส่งฟรีทู้กกกที เหอๆ :sad5:
 เตรียมตัวรับความเศร้าตอนต่อไป... :sad4:

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #21 เมื่อ24-01-2007 16:45:49 »

ติดตามด้วยคนครับ

อิอิ


:laugh:

ไปหาดใหญ่เหรอครับ?
คุ้นๆ จัง ตลาดกิมหยงเนี่ย
เหมือนเคยไปบ่อยๆ ฮ่าๆๆ

เอิ๊กกก

 :seng2ped:

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #22 เมื่อ24-01-2007 18:52:32 »

ที่เข้ามาตอนแรกนึกว่า นายแพทย์นพพรจะมาตอบปัญญา เสพสมบ่มิสมนะเนี่ย
ว้า .... อิอิ :like2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #23 เมื่อ25-01-2007 19:56:55 »

หุหุ ผมก็จะได้จำได้ด้วยแหละๆ ความจำสั้นต้องอ่านหลายๆรอบ คิกคิกเลยเอามาเก็บไว้จะได้หากันง่ายๆ :yeb:
ว่าแต่ปริ้นเป็นคนแบบนี้เองเหยอ คิกคิกว่าแล้วไม่ค่อยอ่านนิยายทั่วไป ต้องอ่านเซ็กสตอรี่แน่เยย  อยู่บอร์ดไหนน้า คิกคิก :angellaugh2:

***************************************************************************************************************
ตอนที่ 6 ของ นายนพพร
“Love Island”
                ทุกครั้งที่กลับมาดูกระทู้ตัวเองแล้วเห็นคนลงความเห็นและเฝ้ารอดูตอนต่อไป มันเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มใจแบบบอกไม่ถูกจริงๆครับ ผมไม่สามารถรู้ได้ว่า มีคนติดตามผลงานของผมมากน้อยแค่ไหน ถ้าปราศจากความเห็นทุกๆความเห็นที่เขียนให้ผม ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะครับ
ตอนที่ 6 นี้ผมให้ชื่อตอนว่า Love Island ก่อนที่ผมจะพาทุกคนข้ามไปขึ้นเกาะแห่งความรักของผมด้วยกัน ผมยังคงพักอยู่ในตัวเมืองก่อนอยู่ในคืนนี้ ช่วงบ่ายในวันแรกของ trip นี้ หลังจากทานข้าวกับพี่นารีเสร็จ น้อยตั้งใจมาหาเพื่อนซึ่งเคยเข้าข่ายมัธยมอะไรด้วยกันนี่แหละ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะไม่รบกวนน้อย โดยผมคิดว่าจะเดินเล่นในตัวเมืองไปเรื่อยๆ แต่ด้วยฝนที่ยังคงตกพร่ำๆ น้อยบอกผมว่า ให้ผมขึ้นรถไปด้วยกันกับเขา
น้อย : “นพจะไปไหน ช่วงบ่าย”
นพพร : “ผมยังไม่แน่ใจเลยน้อย อาจจะเดินเล่นรอบๆตัวเมือง น้อยไม่ต้องห่วงผมนะ ผมเดินเองได้ นี่ไง ผมมี หนังสือนำเที่ยวติดมือมาด้วย รับรองว่าไม่หลง แล้วเย็นๆค่อยมาเจอกันที่ที่ทำงานพี่นารีแล้วกัน”
น้อย : “ฝนตกพร่ำอย่างนี้ออกไปเดินตกฝน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก... ไปหาเพื่อนผมด้วยกันแล้วกันนะ”
นพพร : “ผมไปด้วยก็เกะกะเปล่าๆ นานๆจะได้มาที่นี่ซักที ผมไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณกับเพื่อน ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงจริงๆ”
น้อย : “เชื่อผม ไปด้วยกัน ผมไม่มีทางปล่อยคุณเดินตากฝนไปไหนในที่ที่คุณไม่รู้จักคนเดียวหรอก”
แล้วน้อยก็ดึงตัวผมขึ้นรถไป โดยไม่ให้โอกาสผมออกความเห็นใดๆเพิ่มเติม
เพื่อนน้อย เปิดร้านขายอุปกรณ์ computer อยู่ในตัวจังหวัด ร้านไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็มีคนเข้า-ออกพอสมควร น้อยเล่าให้ผมฟังว่า “ก๊อก” เพื่อนเขาคนนี้ เป็นเพื่อนที่รู้จักกันสมัยที่เข้าค่ายมัธยมฯ ด้วยกัน และน้อยกับก๊อก ได้อยู่ค่ายกลุ่มเดียวกัน ซึ่งผมก็พึ่งจะทราบว่า โรงเรียนในแถบจังหวัดภาคใต้ จะมีการให้เด็กๆ เข้าค่ายชุมนุมพบปะกัน เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ทำไมโรงเรียนในกรุงเทพฯอย่างที่ผมเรียนไม่เห็นจะมีเลย (หรือว่ามี แต่ผมไม่เคยร่วมกิจกรรมแบบนี้ก็ไม่รู้) 
พอมาถึง ร้านของก๊อก ตอนแรกผมก็เขินๆ ยังไม่กล้าเข้าไป เลยเดินวนเวียนแถวๆอยู่หน้าร้าน น้อย เดินออกมาตามผมให้เข้าไปข้างใน การเจอคนแปลกหน้าที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะเจอ ผมเลยไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงดี ได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา
น้อย :  “เฮ้ย ก๊อกนี่เพื่อนเรา ชื่อนพพร”
นพพร : “สวัสดีครับ”
ก๊อก : “สวัสดีครับ ตามสบายเลยนะ ทานอะไรกันมาหรือยัง”
น้อย : “เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง แม่นายอยู่ไหน เราจะเข้าไปไหว้หน่อย”
ก๊อก : “ขึ้นไปสิ นอนเล่นอยู่ชั้นสอง”
น้อย : “นพ เข้าไปด้วยกันนะ”
จริงๆแค่เจอตาก๊อกอะไรนี่ ผมก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว ยังให้ผมไปไหว้แม่เขาอีก หรือว่าผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ไม่ดีก็ไม่รู้ ผมค่อนข้างมีปัญหากับการ breaking ice เอามากๆ ผิดกับน้อยน้อยเท่าที่ผมรู้จัก น้อยเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย เอาซะมากๆ ทักทายคนแปลกหน้าได้อย่างไม่เขอะเขิน หรืออาจจะเพราะหน้าที่การงานของน้อยที่ต้องติดต่อลูกค้าเองก็เป็นได้ แตกต่างจากผมที่ทำแต่งานเอกสารเป็นส่วนใหญ่ การพูดคุยติดต่อกับคนที่รู้จักกันครั้งแรก เลยเป็นการยากสำหรับผมเอามากๆ

ผมคิดว่า น้อยเองก็คงจะรู้ว่าผมทำตัวไม่ถูก น้อยเลยพยายามหาเรื่องอะไรที่ผมพอจะคุยกับก๊อกได้บ้าง แต่ยังไงผมก็ยังอึดอัดอยู่ดี พอคุยได้แบบฝืดๆ
น้อย : “ ก๊อกจำพี่หมอดูไพ่ยิปซีที่เราเคยมาดูครั้งที่แล้ว ครั้งที่เรามานอนบ้านก๊อกได้ไหม คราวที่แล้วนี่โคตรแม่นเลย นพสนใจไหม เดี๋ยวให้ก๊อกพาไป นายจำทางได้ไหมก๊อก”   
ก๊อก : “คิดว่าได้นะ นพชอบดูหมอไหมครับ เดี๋ยวพาไป”
นพพร : “แล้วแต่น้อยแล้วกันครับ”
น้อย : “แม่นจริงๆนะนพ นพลองไปดูสิ ครั้งที่แล้วที่น้อยมาดูนะ เขาบอกว่า น้อยจะได้เรียนต่อ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า เราจะสอบโทติด... นพลองดู อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่า งานที่ทำอยู่จะรุ่งหรือเปล่า”
ก๊อก : “นั่นสิ ครั้งที่แล้ว เขายังบอกว่า นายจะเจอความรักช่วงปีนี้ แล้วไงเพื่อน มีแฟนหรือยัง ไม่เห็นพาสาวๆมาเที่ยวให้เราเห็นบ้างเลย” ก๊อกเสริม
น้อย : “ เออ! จริงด้วย...ถ้านายไม่บอกก็ลืมไปเลย... สงสัยจะไม่แม่นก็แค่เรื่องนี้แหละ แต่เรื่องอื่น แม่นจริงๆนะนพ ไปดูด้วยกันนะนพนะ”
นพพร “อืม”
ผมขอสารภาพเลยว่า ผมเป็นคนไม่เคยดูหมอเป็นเรื่องเป็นราวเลยซักครั้ง อาจมีบ้างที่เพื่อนดูให้เล่นๆ แต่ไม่เคยต้องเสียเงินดูหมอเป็นจริงเป็นจัง จะบอกว่าผมเป็นคนไม่เชื่อหมอดูก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เหตุผลแรก อาจจะเพราะผมเชื่อตัวเองมากกว่า เพราะคงไม่มีใครรู้ดีว่าเราเป็นคนอย่างไรเท่ากับตัวเราเอง เหตุผลสุดท้าย ผมกลัวว่าถ้าดูแล้วไม่ดี มันจะเป็นการบั่นทอนจิตใจกันซะเปล่าๆ ผมไปดูหมอครั้งนี้เพราะตามใจน้อย น้อยเองก็กลัวผมเบื่อเลยพยายามหากิจกรรมให้ผมทำ
สุดท้ายแล้ว การไปดูหมอครั้งนี้ก็ไม่เป็นที่ประทับใจของผม (ตามคาด) หมอดูบอกเล่าในเรื่องของผมซึ่งผมรู้ดีอยู่แล้ว (เพราะมันคือตัวผม) สิ่งที่ผมอยากรู้ ผมก็ไม่ได้รู้ ว่าแล้วก็นึกเสียดายตังค์อยู่เหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะ น้อยเขาว่าแม่นของเขา เรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่อง ลางเนื้อชอบลางยา
คืนนี้ ต่างคนต่างก็เหนื่อย หลังจาก ทานข้าวเย็นกับพี่นารีเสร็จ ต่างคนก็ต่างหลับ (กันคนละเตียง) ผมอาจจะเหนื่อยเดินทาง เมื่อ 12 ชั่วโมงที่แล้ว ผมยังอยู่กรุงเทพฯอยู่เลย แต่ตอนนี้ผมมาอยู่ไกลจากกรุงเทพกว่า 800 กิโลเมตร น้อยเองก็คงเหนื่อยที่ขับรถจากหาดใหญ่มาถึงที่นี่

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นก่อนน้อย ตั้งใจว่าจะเดินชมเมืองยามเช้าไปเรื่อยๆ ผมเดินออกจากโรงแรม ถนนยังออกชื้นๆ เมื่อคืนฝนอาจจะตก (ผมหลับเป็นตายเลยครับ เลยไม่รู้ว่าฝนตกจริงหรือเปล่า) ผมเห็นพระรูปนึง กำลังเดินบิณฑบาต ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ก็ใส่เงินลงไปในบาตรแทน และ อธิษฐานว่า ขอให้การเดินทางไปเกาะของผมราบรื่น ขออย่าให้ฝนเป็นอุปสรรคในการเดินทาง
ผมกลับมาที่ห้อง น้อยยังคงหลับอยู่ ผมก็เลยนอนต่อ เพราะไม่มีอะไรต้องรีบร้อน พี่นารีนัดให้เราไปเจอกันที่หน้าที่ทำงานพี่นารีประมาณ 10 โมง
ประมาณ 9โมง น้อยปลุกผมให้อาบน้ำและไปหาอะไรทานกัน มาถึงที่นี่ทั้งที่ เราก็น่าจะทานอาหารพื้นเมืองกัน ผมกับน้อยเลยตรงไปที่ร้านติ่มซำขึ้นชื่อในตัวเมือง ทานรองท้องก่อนลงเรือในช่วงเที่ยง

รถตู้ที่มารับเราไปลงท่าเรือมาค่อยข้าง late เอามากๆ ทำผมหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะนึกว่าน่าจะได้ไปถึงเกาะก่อนเที่ยง ช่วงบ่ายจะได้หากิจกรรมอะไรทำต่อ แต่ไม่เป็นไร ผมมีหนังสือติดมือมา สองสามเล่ม เลยได้นั่งอ่าน รอเวลาก่อนที่จะลงเรือ
มาถึงท่าเรือที่จะนำเราไปสู่เกาะ ฝนตกลงมาอีกแล้วครับ ท่าทางคำอธิษฐานของผมเมื่อเช้าจะไม่เป็นผล แต่หลังจากนั่ง speed boat ของทาง resort ไปถึงเกาะ ฝนก็ซ่าลงแล้ว มาถึงแล้วครับ เกาะในฝันของผม

หลังจากรับกุญแจห้อง (กระต๊อบไม้ไผ่) เรียบร้อย ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากกลับกรุงเทพฯ และ อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ช่างเป็นชีวิตในฝันของผมจริงๆ กระต๊อบไม้ไผ่เล็กๆ ในห้องมีเตียงกว้างๆอยู่หลังนึง และห้องน้ำในตัว (ที่เปิดโล่ง) พออาบน้ำกับเสร็จ ผมก็ชวนน้อย ไปเดินเล่นรอบๆเกาะ เกาะที่นี่ก็ถือว่าไม่ใหญ่มากนะ (หรือว่าผมเดินริมหาดได้แค่ฝั่งเดียวก็ไม่รู้) ตลอดทางที่เดินมี resort ขึ้นเต็มไปหมด เสร็จแล้วก็เล่นน้ำ หน้าหาด ผมก็พึ่งรู้ว่าน้ำว่ายน้ำไม่เป็น น่าแปลกเหมือนกันนะ คนใต้ บ้านติดทะเลซะขนาดนั้นแต่ว่า ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ว่าน้อยก็ยังมี ทักษะในการลอยตัว (ดีกว่าผมซะอีก)
โชคดีที่ package ที่ผมซื้อ (จริงๆต้องเรียกว่า พี่นารีหาให้) รวมค่าอาหารเอาไว้ด้วย ทั้ง 3 มื้อ อาหารก็ถือว่าอร่อยทีเดียว แถวเราก็ยังเป็น คนไทย 2 คนที่อยู่ใน resort แห่งนี้ ผมเลยตีสนิทกับเด็กเสริ์ฟ และ แม่ครัว ให้ทำอาหารตามเมนูที่ผมอยากทาน

หลังอาหารค่ำ น้อย สั่งเครื่องดื่ม มานั่งดื่มด้วย ตรง Bar ริมหาด แรกๆ เราก็ยังนั่งกันอยู่บนโต๊ะหน้าหาดอยู่ดีๆ ซักพักเราก็มานั่งหันหลังชนกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
นพพร : “น้อยจำวันแรกที่เราคุยกันได้ไหม”
น้อย : “อืม วันนั้นผมกำลังขับรถกลับบ้าน แล้วคุณก็โทรมา คุณรู้ไหม วันนี้ฝนตกด้วยนะ”
นพพร : “แล้วคุยยังจะกลับไป fax เอกสารของพี่บลให้ผมอีกเหรอ ฝนตก ขนาดนั้น”
น้อย : “ไม่รู้สิ คุณขอให้ผมช่วย ก็คงแปลว่าคุณมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ ผมช่วยได้ผมก็ช่วย”
นพพร : “จริงๆ วันนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก แค่ผมติดต่อ พี่บลไม่ได้เท่านั้นเอง ยังไงก็ขอบคุณน้อยมากๆนะ รวมทั้งที่มาเที่ยวกับผมวันนี้ด้วย”
น้อย : “นพคิดมากอีกแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ผมเองก็อยากมาอยู่แล้ว”
นพพร : “ก็กลัวว่า ที่คุณมาเป็นเพื่อนผมเพราะว่าคุณเกรงใจ”
น้อย : “จะเพราะอะไรก็ตามเถอะ ผมก็มากับคุณแล้ว”
นั้นสินะ ทำไมผมเป็นพวกชอบคิดมาก คิดไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่รู้ อย่างว่า ผมมันเป็นลูกคนเดียว ชอบอยู่คนเดียว เลยทำให้จิตไม่ว่าง ชอบจินตนาการ คืนนั้นคุยกันไปอีกซักพัก น้อยก็ขอตัวไปนอน ส่วนผม ผมถือหนังสือติดตัวมาเล่มนึง กะว่าจะอ่านให้จบคืนนี้เลย (สุดท้ายก็ไม่จบหรอกครับ) เลยนั่งอ่านต่อ ผมไม่อยากเปิดไฟรบกวนน้อย เลยไม่ได้กลับเขาไปอ่านในกระต๊อบ


กระต๊อบไม้ไผ่ที่ผมพัก เป็น open air แต่ก็มีพัดลมอยู่ตัวนึง แล้วก็มีมุ่งใหญ่ๆ พี่นารีบอกว่า มาเที่ยวทั้งที จะติดนอนแอร์ก็ใช่ที่ เราต้องรับอากาศบริสุทธิ์บ้าง ซึ่งผมก็เห็นด้วย จริงๆผมก็เป็นคนติดนอนแอร์เหมือนกัน มานอนที่นี่ ผมเลยกลัวว่าจะร้อนเกินไปสำหรับผม ผมเลย นอนใส่กางเกงเลแค่ตัวเดียว โดยไม่ใส่เสื้อ (โชว์พุง)
กว่าผมจะเขามานอนก็เกือบเที่ยงคืนได้แล้ว (มั้ง) ผมเองก็นอนหลับบ้าง ไม่หลับบ้าง โดยส่วนตัว ปรกติแล้ว ผมเป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าพลิกตัวมากนัก เกรงใจน้อย ซึ่งปรกติ ผมเองก็นอนของผมคนเดียว ไม่เคยนอนร่วมเตียงกับใคร คืนนี้เลยแปลกหน่อย มีคนนอนด้วย แต่ก็เอาเถอะ ก็แค่ 2 คืน ผมไม่ได้ serious อะไรมาก
ซักราวๆ ตี 2 ผมกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมนอนหันหน้าไปทางน้อย น้อยพลิกตัวหันหน้ามาหาผม น้อยเอาแขนพาดมาวางบนไหล่ผม(เท่าที่ผมจำได้นะ..ตอนนั้นก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น) ผมเองเอาแขนไปพาดโอบไหล่น้อยบ้าง
ซักพัก น้อยเอาหัวมาใกล้ผมมากขึ้น แล้วก็หายใจแรง ตอนแรกผมก็นึกหงุดหงิดนิดหน่อยว่า คนกำลังจะหลับแล้วเชียว แต่ผมก็ไม่สนใจ นอนต่อ (เพราะแขนก็ยังพาดกันอยู่อย่างนั้น) ผมกำลังตั้งใจจะพลิกหันหลังให้น้อย ก็มีเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับผมเลย


น้อย หอมผม และพยายามจะจูบผม
นพพร : “เฮ้ย!!!! น้อย ละเมอหรือเปล่า ตื่นๆๆๆๆๆ”
น้อยไม่ตอบอะไรผมเลย นอกจาก พยายามจะจูบผมต่อไป ผมพูดตามตรงเลยว่าผมไม่เคยคิดอะไรกับน้อยทำนองนี้มาก่อน และก็ไม่เคยคิดว่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกับน้อย จนเลยเถิดถึงขนาดนิ้ มากที่สุดสำหรับน้อยคือ น้อยเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากที่สุดในตอนนี้เท่านั้น และผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าน้อยจะคิดอะไรกับผม ไปมากกว่าเพื่อนสนิทเช่นกัน
ผมสับสนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำลายน้อย ผมพยายามจะปลุกน้อยขึ้นมาอีกครั้ง และถามเขาว่า เมื่อคืนทำอะไรไปได้สติหรือเปล่า น้อยเหมือนพยายามจะไม่ตื่น ผมก็เลิกพยายาม และนอนหันหลังให้น้อย น้อยเขามากอดผมอีกครั้ง แล้วก็บอกผมว่า
“หายตื่นเต้นหรือยังครับ นอนซะนะเด็กโง่”   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2007 19:59:37 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #24 เมื่อ25-01-2007 21:49:07 »

อืม แสดงว่าน้อยคิดกับนพพรมากกว่าเพื่อนสนิทละซี  :kikkik:  :kikkik:

ตอนนี้ยังไม่เศร้า รออ่านต่อไป  :yeb:

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #25 เมื่อ25-01-2007 22:36:22 »

จ้ากกกกกก  น้อยนี่ใจกล้าจังเลยอะ
ทั้งๆ ที่เพิ่งมาพบคุนนพพรเองนะเนี่ย

แต่  ....
แต่.....
แต่ว่า  รีบมาต่อด้วยนะคร้าบบบบบบบ
ม่ายง้านเดวขาดใจตายก่อน  (จิ้นไปไกล)  :haun6: :haun1: :monkeylove2:
เอิ้กๆๆๆๆๆ

แต่ว่าคุนนพพรเกริ่นมาตอนแรกแล้ว  ก็ม่ายอยากคิดต่อเลยว่าเรื่องมานจาเศร้าขนาดไหนอะ
 :monkeysad: :impress3: :monkeycry2:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #26 เมื่อ26-01-2007 15:27:49 »

“หายตื่นเต้นหรือยังครับ นอนซะนะเด็กโง่” 
วิ้ววววว   :laugh: น้อย สำนวนสุดยอดดดดดดดดดดดดด มั่ก ๆ  :untrust:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #27 เมื่อ26-01-2007 22:01:25 »

shell  อย่าพึ่งคิดไปไกลครับ อาจไม่มีอะไรก็ได้  :impress3:
eye_can_tell  โอ้ๆๆ อย่าร้องไห้นะ มาม๊ะ มาซบอกเรย์  :monkeylove2:
suregirl  ชอบใช้อ่ะดิ เด็กโง่ของป๋ม  :kikkik:

*******************************************************************************
ตอนที่ 7 ของ นายนพพร

“ผมแคร์คุณนะ”
                วันรุ่งขึ้น บนโต๊ะอาหารเช้า สิ่งแรกที่ผมพูดกับน้อยคือ
                นพพร : “เมื่อคืนคุณทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า”
                น้อย “อืม”
                นพพร “คุณคิดจริงจังกับผมเหรอ”
                น้อย “ก็คอยดูกันต่อไป”
                นพพร “คุณกำลังทำให้ผม สับสนนะ น้อย”
                ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากน้อยอีก...
 
หากมีคนถามผมว่า ผมไม่รู้เลยเหรอว่า น้อยนิดอะไรกับผมแบบนี้ ผมคงไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปากนัก เพียงแต่ผมคิดอยู่เสมอว่า “มันเป็นไปไม่ได้” ผมเองไม่เคยคิดที่จะชอบผู้ชาย น้อยเองก็ตามเถอะ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะชอบผมเหมือนกัน
ผมยอมรับว่า ผมมีความรู้สึกพิเศษกับน้อย แต่ความพิเศษนั้นก็ไม่มากไปกว่าเพื่อนสนิทที่สุดของผม เพื่อนสนิท ที่ไม่ใช่แบบในหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” แน่ๆ ผมเข้ามาทำงานที่นี่ อย่างที่บอกแต่แรก เพื่อนที่ทำงานในสำนักงานใหญ่ด้วยกัน มีแต่เพื่อนผู้หญิง มีผู้ชายน้อยมากๆ (โดยเฉพาะลูกน้องพี่น้ำ ที่มีอยู่ 12 คน มีผู้ชายอยู่ 3 คน) ส่วนที่สาขาที่ผมทำงานด้วย ก็มีแต่ผู้ใหญ่ ซึ่งผมไม่สามารถเล่นด้วยได้ ก็มีแต่น้อยนี่แหละ ที่อายุไล่เลี่ยกับผม ผมจึงสนิทกับน้อยมากกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเองและเท่านั้นเองจริงๆ


จริงๆแล้ว สมัยผมเรียน มัธยมปลาย ผมมีแฟนแบบ Poppy love กับเขาคนนึงครับ เธอชื่อ “เจน” ครับ นั้นทำให้ผมคิดว่า ผมเป็นผู้ชายปรกติที่ชอบผู้หญิง เหมือนผู้ชายทั่วๆไป ไม่เคยคิดมองผู้ชายแล้วอยากจะเอามันเป็นแฟน

เรื่องระหว่างผมกับเจน เจนเรียนอยู่ชั้นเดียวกับผม เรื่องของเรื่อง ผมกับเจนเรียน มัธยมต้นที่โรงเรียนเดียวกัน แล้วก็พากันมาสอบ เข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนนี้ ผมเลือกสอบเข้าสาย ศิลป์-คำนวณ ในขณะที่เธอ สอบสายศิลป์-ฝรั่งเศส ด้วยความที่เพื่อนจาก โรงเรียนเก่ามาสอบเข้าที่นี่ติดเพียงไม่กี่คน

ผมเลยสนิทกับเจนเป็นพิเศษ อย่างน้อยถึงจะย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ แม้จะเรียนกันคนละสาย คนละห้อง แต่ว่าเราก็เรียน ตึกศิลป์ตึกเดียวกัน เพื่อนคนอื่นๆ ที่สอบสายวิทย์ ตึกเรียนอยู่ห่างออกไปมากๆ (ประมาณว่าคนละฝั่งของสนามฟุตบอล) เพื่อนบางคนที่ผมสนิทสอบเข้าสายวิทย์ ผมก็ขี้เกียจเดินข้ามสนามฟุตบอลไปหา ส่วนหนึ่งเพราะตึกที่ผมเรียน เข้าทางถนนด้านหน้า

ส่วนเพื่อนที่เรียนวิทย์ เข้าทางถนนด้านหลัง นับวันๆ ก็ยิ่งห่างกันไป ร่วมทั้งการเรียนมัธยมปลายที่นี่ มีสอบกันทุกๆเดือน ผมก็เลยไม่มีเวลาจะเดินข้ามไปหาเพื่อนสายวิทย์เท่าไหร่นัก

ความสนิทสนมของผมกับเจน นานวันเข้า ก็ทำให้ผมกับเธอกลายเป็นแฟนกัน ผมยังจำได้วันที่ผมขอเธอเป็นแฟน คือวันที่ 3 มกราคม เมื่อประมาณ 12-13ปีที่แล้ว เธอตอบตกลงผม เจนสำหรับผม เป็นผู้หญิงที่วิเศษที่สุด เธอมีหลายอย่างที่เหมือนผม เรามีอารมณ์ศิลปินเหมือนๆกัน ชอบคิด ชอบเพ้อฝันพอๆกัน เจนชอบอะไรขีดๆเขียนๆเหมือนกับผม ผมก็พึ่งรู้หลังจากผมพบเธอว่า เธอเองก็ชอบเขียน Diary เหมือนผม ทั้งยังชอบแต่งกลอนเอาซะมากๆเลยด้วย

ผมเลิกกับเจน ด้วยความโง่ของผมเอง ผมสูญเสียคนที่ดีที่สุดในชีวิตผมไป เพราะความโง่ของผม อย่างว่าล่ะครับ พอคนเราคบกันมาเรื่อยๆ เหมือนชีวิตเริ่มจืดลงๆ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรตื่นเต้นในชีวิต ผมทำเธอเสียใจหลายครั้ง บางครั้งผมก็ทำเป็นไม่สนใจเธอเท่าไหร่ ผม entrance ติดก่อนเธอ 1 ปี เวลาเธอมาหาผมที่คณะ ผมก็ไม่ค่อยชอบ

ตอนนั้นการสื่อสารไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนตอนนี้ เวลาเธอมาเฝ้าผมเรียนหนังสือ เพื่อรอไปทานข้าวด้วยกัน ผมก็เบื่อๆ ไล่เธอไป หาว่าเธอไม่มีอะไรทำหรือไงมานั่งเฝ้าผม เวลาเธอทำอะไรให้ผมไม่พอใจ ผมก็ว่าเธอไปแรงๆ หลังจากเธอ entrance ติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผม (แต่คนละคณะ) เธอเลยได้เจอ คนอื่นที่ดีกว่าผม

ตอนแรกๆ ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะผมคิดว่าผมเป็น “ของตาย” ของเธอ ยังไงเธอก็ต้องเลือกผม ครั้งสุดท้ายที่ผมเลิกกับเธอ ตอนผมกำลังเรียน ปี2เทอมปลาย ผมจำไม่ได้แล้วล่ะ ว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ เวลาทะเลาะกับ เจนจะเป็นคนคุยกับผมก่อน แต่คราวนี้ เธอหายไปเลย ผมจึงมารู้ที่หลังว่า มีผู้ชายคนใหม่เป็นรุ่นพี่มาจีบเธอ และเธอก็มีใจให้กับ รุ่นพี่คนนี้ไปแล้ว

หากจะถามว่า เจนผิดไหมที่ไปเลือกพี่คนนั้น ผมตอบแทนเธอได้เลย ว่าเธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว พี่กร แฟนใหม่ของเจน มีฐานะทางบ้านดีกว่าผม แต่นั้นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เธอจะเลือกเขาหรอก เพราะนอกจากนั้น พี่กรเป็นคนเรียนเก่ง พอเรียนจบก็สอบทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษได้ กลับมาก็มีหน้าที่การงานที่ดีกว่าผม แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลอีกแหละ เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือ พี่กรไม่เคยทำให้เจนเสียใจเหมือนที่ผมเคยทำต่างหาก 

อย่างที่บอก ผมเสียเจนไปด้วยความโง่ของผมเอง ผมคิดตลอดเวลาว่า ผมต้องเป็นที่หนึ่งในใจเจน ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจนต้องเลือกผมแน่นอน แต่ผมคิดผิดอย่างมหันต์ ผมประเมินค่าของตัวเองสูงเกินไป ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องผมกับเจน ทำให้ผมสำนึกถึงความผิดที่มีต่อเธอตลอดเวลา และ นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ “กรรม” ที่ผมเคยก่อไว้กับเจน ได้ส่งผมย้อนมาหาผมแล้ว ในคราวที่ผมคบกับน้อย

ผมขอสละ พื้นที่ในการเขียนส่วนนี้ พูดถึงเจน บ้างนะครับ ปัจจุบันผมได้ข่าวเจนจากเพื่อนเก่าของผมบางคนว่า เธอสบายดี กำลัง candidate Doctor’s degree มีอนาคตและหน้าที่การงานที่สดใส ที่สำคัญเธอกำลังจะแต่งงานกับพี่กรในเร็วๆนี้ เธอคงไม่มีวันเชิญผมไปร่วมยินดีกับเธอแน่นอน แต่ผมอยากให้เธอรู้ไว้ว่า ความรักที่ผมเคยมีให้เธอไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว หรือว่า วันนี้ มันยังคงเหมือนเดิม เพื่อนบางคนถามผมว่า เจนไปได้ดีกว่าผมมากนัก

ผมไม่รู้สึกอะไรเหรอ ผมไม่มีคำตอบให้เพื่อนผมคนนั้นหรอกครับ เพราะผมคิดว่า เขาคงไม่เข้าใจความรักที่แท้จริง หากใครจะคิดว่าผมสร้างภาพ กับการที่ผมจะบอกว่า ผมยินดีกับเธอจากใจจริงก็ตาม ผมก็ไม่สนใจ เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อย่างน้อย คนที่ผมรัก และ เป็พนคนที่เคยมอบความรักให้ผม มีชีวิตที่ดี ผมไม่มีเหตุผลอะไรจะไปอิจฉาเธอ หรือกลับมารู้สึกว่าตัวเองตกต่ำ ด้อยค่า... ถึงเจนจะไม่เลือกผมก็ตาม แต่สถานะของเธอในใจผม เจนยังเป็นคนที่ผมรักอยู่เสมอ

ผมปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ ผมบังคับใจตัวเองไม่ให้รักเธอไม่ได้ ก็เหมือนกับเธอ ที่บังคับตัวเองให้กลับมารักผมไม่ได้เหมือนกัน แม้วันนี้ ความรู้สึกของเจนจะเปลี่ยนไป และผมจำเป็นต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะต้องหยุดความรักที่มีต่อเธอ เพียงแต่ผมต้องควบคุมความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจลึกๆของผมแค่คนเดียว


กลับมาที่เรื่อง ผมกับน้อย เหมือนเราต่างคนต่างมา ผมอ่านหนังสืออยู่ริมหาด น้อยไปเดินเที่ยวเล่นที่ไหนไม่รู้ ผมคิดว่าน้อยเหมือนพยายามจะหลบผม ในขณะที่ผมต้องการจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องกันไปว่าเขาจะเอายังไงกับผมกันแน่ แต่น้อยพยายามไม่พูดกับผมในตอนนี้

วันนั้น ตาม Program ของทาง resort เรามี trip ดำน้ำ และ ลอดถ้ำกลางน้ำกัน น้อยก็คุยกับแต่คนเรือไม่สนใจผม ผมเลยได้แต่นั่งมองฟ้า มองน้ำอยู่เงียบๆคนเดียว ตอนที่ snorkeling เราก็ต่างคนต่างว่ายไป ขณะที่คนอื่นเขาว่ายกันเป็นคู่ๆ วันนี้ทั้งวันของผม เต็มไปด้วยความสับสน กังวล หัวสมองคิดมากจนเบลอและคิดอะไรไม่ออกในที่สุด ใจผมเหมือนหล่นหายไปกับน้ำ ผมทำตัวไม่ถูกตลอดทั้งวัน

ตอนเย็น โต๊ะอาหารเหลือแต่ความเงียบ น้อยทานข้าวเสร็จก็ไปนั่งดื่มต่อที่ bar โดยไม่ชวนผม ผมกลับมานอนรอน้อยที่ กระต๊อบจนหลับ ตอนเช้าผมตื่นมา เจอน้อยนอนอยู่ข้างๆ ผมเลื่อนหน้าเข้าไปหาเขา และเรียกชื่อเขาเบาๆ น้อยยิ้มเล็กๆให้ผม ผมถามน้อยออกไปว่า

“คุณรักผมหรือเปล่า”



น้อยจูบผมแล้วบอกว่า
“ถ้าไม่รักคงไม่ทำแบบนี้หรอก”
คำพูดของน้อยครั้งนี้ทำให้ผมสับสน ผมควรจะรักน้อยไหม น้อยรักผมจริงหรือเปล่า ผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันจริงๆเหรอ ผมจะเล่าให้พ่อแม่พี่น้องของผมและคนอื่นๆว่ายังไง และอีกหลายๆคำถามที่ผมพยายามจะหาคำตอบ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าใด ผมยิ่งคิดไม่ออกมากเท่านั้น
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ ผมกับน้อยจะอยู่บน love island แห่งนี้ วันนี้ทั้งวัน น้อยก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม พูดคุยกับผมเท่าที่จำเป็น ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่บนโลก ผมไม่เข้าใจอารมณ์น้อยว่าน้อยเขารู้สึกยังไง เขาจริงจังกับความว่ารักที่เขาพึ่งบอกผมมากแค่ไหน หรือว่าเขาเองก็กำลังสับสนเหมือนกันผมก็สุดที่ผมจะหยั่งรู้
Speed boat มาส่งผมที่ท่าเรือที่เดิม พี่นารีและสามี มารับผมกับน้อยที่ท่าเรือ และเลี้ยงอาหารเที่ยงส่งผมกับน้อย ผมแวะซื้อขนมไปฝากที่บ้านและเพื่อนๆนิดหน่อย แล้วก็กลับหาดใหญ่ ผมต้องขึ้นเครื่องกับที่หาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น ฉนั้นคืนนี้ผมยังเหลือเวลาอีก 1 คืนกับน้อยที่หาดใหญ่

ตอนนี้ผมอยาก เร่งเวลาให้หมุนเร็วขึ้น ไปให้พ้นๆจากน้อย ผมไม่อยากที่จะทนกับความรู้สึกอึดอัดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว คราวนี้กลายเป็นผมบ้างที่ไม่พูดไม่จา ระหว่างที่กลับหาดใหญ่ น้อยพยายามชวนผมคุยบ้าง แต่ผมก็เงียบ มองออกนอกหน้าต่างทำเป็นไม่สนใจน้อย แรกๆน้อยก็ยังชวนผมคุยอยู่บ้าง แต่พอเห็นผมไม่คุย น้อยก็เลิกพยายาม

ความเงียบถูกปกคลุมอยู่ตลอดทาง จนกระทั้งผมและน้อยมาถึงหาดใหญ่  ผมพยายามบอกน้อยให้กลับบ้านไปซะไม่ต้องห่วงผม ผมหาที่พัก หาทางขึ้นเครื่องเองได้ ให้ปล่อยผมไว้หน้าตลาดกิมหยง (ผมไปเอานิสัยใจน้อยแบบผู้หญิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่... หรือว่าเป็นสันดอนของผมมาตั้งนานแล้วชักไม่แน่ใจ) น้อยบอกว่า เขารู้จักที่พักราคาไม่แพง เดี๋ยวเขาจะพาผมไป เสร็จแล้ว น้อยให้ผมไปห้าง Discount store แห่งหนึ่งกับเขา ผมปฏิเสธ บอกน้อยว่าอยากจะพักผ่อน ให้น้อยไปเถอะ (ถ้าไปแล้วไปลับได้ก็จะเป็นเรื่องดี...ผมคิดในตอนนั้น)

ช่วงที่ผมมาหาดใหญ่ เป็นช่วงสัปดาห์งานเทศกาลโคมไฟนานาชาติพอดี วันแรกที่ผมมาถึงหาดใหญ่ ผมบอกน้อยแล้วว่า คืนที่เรากลับมาหาดใหญ่อีกครั้ง (ก็คือคืนนี้) เราไปเที่ยวงานที่นี่นะ จริงๆแล้วผมอยากไปเที่ยวงานนี้มากๆ แต่คราวนี้ไม่มีน้อยแล้ว ผมไม่รู้ว่าน้อยไปไหน (ห้างที่น้อยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้...ผมไม่รู้จักเส้นทางในหาดใหญ่เลย) ผมอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากที่พัก ผมเดินข้ามถนนมาถามยามของธนาคารแห่งหนึ่งว่า สวนสาธารณะหาดใหญ่ที่จัดงานโคมไฟอยู่ห่างจากที่ผมอยู่มากไหม คำตอบที่ผมได้คือ

“ไกลมากน้อง...เดินไปไม่ไหวหรอก”

ผมถอดใจแล้วว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เที่ยวงานโคมไฟนี้แล้วล่ะ จริงๆน้อยโทรมาหาผมระหว่างนี้ 2-3 ครั้ง แต่ผมไม่รับ หลังจากผมคุยกับพี่ยามฯ น้อยโทรมาอีกครั้ง ผมตัดสินใจรับๆไปซะจะได้ไม่ต้องโทรมาอีก ป่านนี้กลับบ้านไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้

น้อย : “นพทำไรอยู่ ผมโทรไปตั้งนานทำไมไม่รับสาย”
นพพร : “หลับ มีอะไรหรือเปล่า”
น้อย : “คุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะรับมางานโคมไฟ”
นพพร : “เรื่องของผม ผมบอกคุณแล้ว ผมดูแลตัวเองได้คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
น้อย : “แล้วคุณจะไม่เข้างานแล้วเหรอ ผมมารับบัตรเข้างานให้คุณแล้วนะ ต่อคิวยากมากเลยกว่านะได้ คุณอยู่ไหนเดี๋ยวผมไปรับ”
นพพร : “คุณสนใจผมด้วยเหรอ ว่าผมอยากทำอะไร อยากไปไหน ในเมื่อทั้งวันคุณทำเหมือนผมไม่มีตัวตน คุณไม่พูดไม่คุยกับผม ผมถามอะไร พูดอะไรคุณก็ไม่ตอบ น้อยคุณเป็นอะไรของคุณ แล้วตอนนี้มาทำดีกับผมทำไม ในเมื่อ วันสองวันที่ผ่านมา คุณยังไม่เห็นผมในสายตาคุณเลย”
น้อย : “ผมไปทำอย่างที่คุณพูดตั้งแต่เมื่อไหร่”
นพพร : “ช่างเถอะ ว่าจะตั้งแต่เมื่อไหร่...มันไม่สำคัญอะไรแล้ว ไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น ผมไม่เคยสำคัญในตัวคุณเลย”
น้อย : “อย่าพูดแบบนี้นะนพ ผมแคร์คุณนะ”.... น้อยพูดเสียงเข้มและจริงจังมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
 
ติดตามต่อตอนต่อไปครับ คราวนี้ ผมไม่มีเวลา prove เลยครับ อาจสะกดผิดบ้าง ต้องขอโทษนะครับ ผมไม่มีเวลาจริงๆ
และเช่นเคยครับ ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น ผมดีใจและมีความสุขมากๆ เมื่อกลับมาเข้ากระทู้ของตัวเองแล้วมีเพื่อนๆคอยติดตามอ่าน มีอะไรชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอทุกความเห็นนะครับ   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2007 19:58:25 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #28 เมื่อ27-01-2007 00:11:35 »

อกคุนบลูอุ่นมั้ยอะ  เดวจาวิ่งไปซบเลย  :haun5: :impress2: :-[

อ้อ...  ซบอกคนที่อยู่ข้างๆ คุนบลูนะ  อิอิอิอิ

(แซวเล่นนะคร้าบบบ  อย่าว่ากัน)

แล้วมานจาเปนยางงายต่อไปเนี่ย
น้อยจาปรับความเข้าใจกับนพได้มั้ยน้า

รอติดตามตอนต่อไปอีกละคร้าบบบบบ

ว่าแล้วต้องรีบวิ่งก่อน  เดวคุนบลูจับได้  ฟิ้วววววววววววววว

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #29 เมื่อ27-01-2007 07:01:24 »


มาอ่านเฉยๆ  :3063:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด