[story]นายนพพร by นพพร
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [story]นายนพพร by นพพร  (อ่าน 37043 ครั้ง)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #30 เมื่อ27-01-2007 12:01:54 »

ผมแคร์คุณนะ  :like2:  :like2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #31 เมื่อ28-01-2007 19:43:03 »

eye_can_tell อกคนอื่นอ่ะอบอุ่นเสมออ่ะครับ แต่ของเรย์มันแช่เย็นไว้ ไม่ควรเข้าใกล้อย่างยิ่งครับ  :monkeysad2:
oaw_eang  ตอนล่าสุดนี่ผมประทับใจมากเลยครับ ลองติดตามนะครับ  :haun6:
shell อยากมีคนพูดแบบนั้นกับเราม่างเนอะ "ผมแคร์คุณนะครับทิพย์"  :myeye:

*******************************************************************************************

ตอนที่ 8 ของ นายนพพร

“คืนสุดท้าย”
                ผมนิ่งไปชั่วขณะ กับคำพูดของน้อยในตอนนั้น
                นพพร : “คุณน่าจะรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน คุณว่าผมรู้จักที่ไหนในหาดใหญ่บ้าง”
                น้อย : “นพรอผมอยู่ที่นั้นนะ...เดี๋ยวผมไป”

ผมจะไปไหนไกลได้ล่ะครับ นอกจากที่พักที่น้อยมาส่งผม ผมรอน้อยอยู่นานมากๆ (ในความรู้สึกของผม)กว่าน้อยจะมารับ
นพพร : “ทำไมนานจัง ไปไหนมา”
น้อย : “ก็รีบมารับนพนี่แหละ...รีบไปเถอะ คนเริ่มเยอะแล้ว”
น้อยพาผมเข้างานโคมไฟนานาชาติ ที่สวนสาธารณะหาดใหญ่ ผมเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมน้อยถึงมารับผมช้า เพราะ สวนสาธารณะอยู่ห่างจากตลาดกิมหยงพอสมควรทีเดียว เหมือนที่พี่ยามบอกผมไว้จริงๆ


ผมมารู้ที่หลังว่า ระหว่างที่น้อยไม่อยู่ น้อยไปเยี่ยมพี่ที่ทำงานคนหนึ่ง admit อยู่ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ และไปเอารถมอเตอร์ไซค์จากน้องสาวของน้อย ที่เรียนที่ มอ. เพราะที่งานโคมไฟ คนเยอะมากๆ เอารถยนต์ไปจะไม่สะดวก รวมทั้งน้อยเสียเวลาเข้าคิวเพื่อรับบัตรเข้างานมาให้ผมด้วย... ผมถึงได้รู้ว่า น้อยแคร์ผมจริงๆอย่างที่เขาพูด

นานมากแล้วเหมือนกันครับ ที่ผมไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนเลย อาจจะเพราะบ้านผมเข้าซอยไม่ลึกมาก ผมจึงไม่มีโอกาสใช้บริการมอเตอร์ไซค์วินเท่าไหร่ การซ้อนมอเตอร์ไซค์น้อยครั้งนี้ เลยทำให้ผมตื่นเต้นมากพอสมควร ไม่รู้ว่าน้อยจะทำผมหล่นกลางทางหรือเปล่าด้วยและอาจเพราะน้อยค่อยข้างรีบพาผมเข้างาน น้อยเลยขับเร็วนิดหน่อย (ในความรู้สึกผม)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่เคยได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ลมโกยหน้าแบบนี้มาก่อน ลมค่อยข้างแรงพอสมควร ผมไม่ได้ใส่ Jacket มาด้วยสิ (ด้วยความรีบเลยทิ้งไว้ที่ห้อง..ใส่มาแต่เสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียว) จากตอนแรกที่ผมนั่งชิดด้านท้ายรถ ผมจึงค่อยๆเลื่อนตัวเข้าใกล้น้อยมากขึ้นเรื่อยๆ และจากตอนแรกที่ผมวางแขนไว้ข้างลำตัว ผมก็เริ่มโอบเอวน้อย และค่อยๆรัดเอวน้อยแน่นขึ้น น้อยหันมายิ้มให้ผม

น้อย : “หนาวเหรอนพ”
นพพร : “ลมเย็น...น้อยขับเร็วด้วย”
น้อย : “กอดผมแน่นๆนะ จะได้หายหนาว” ... แล้วน้อยก็หัวมาจูบผมที่แก้มเบาๆ   


คงไม่ต้องบอกถึงความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหมครับ สิ่งที่ผมเคยกังวลถึงสายตาของสังคมคนรอบข้าง กังวลถึงครอบครัวว่าจะรับได้หรือไม่ หรือแม้แต่กังวลถึงคำติฉินนินทาของคนอื่นๆ มันไม่มีความกังวลทั้งหลายอีกแล้วสำหรับผมในตอนนี้ ความรักที่ทำให้เราชนะความกลัวทั้งหมดได้มันเป็นแบบนี้นี่เอง...ผมพึ่งจะเข้าใจ

ผมมองผู้ชายคนนี้จากทางด้านหลัง ผู้ชายคนที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์พาผมไปเที่ยว ผู้ชายคนนี้นี่เหรอที่ถูกลิขิตให้มาเป็นคู่แท้ของผม เป็น soul mate ที่ผมเฝ้ารอ ผู้ชายคนนี้เหรอที่รักผม ห่วงใยผม และจะคอยอยู่เคียงข้างผมตลอดไป ผู้ชายคนนี้เองเหรอ ที่เป็น Jigsaw ส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตผมและ เป็นผู้ชายคนนี้เองเหรอ ที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตผมให้สมบูรณ์

คงไม่มีใครในโลกที่จะมีความสุขมากไปกว่าผมได้แล้วล่ะ....ถึงผมจะย้อนเวลากลับไปมีชีวิตอย่างวันนั้นไม่ได้ แต่ความรู้สึกของผมในวันนั้น ยังฝังอยู่ในใจผมจนถึงวันนี้ตลอดไป 



จริงๆแล้ว งานโคมไฟที่ผมไปค่อนไปถึงวันท้ายๆของงาน แต่คนก็ยังแน่นอยู่จริงๆอย่างที่น้อยบอก แต่สำหรับผม ผมรู้สึกเหมือนว่าผมเดินอยู่สองคนกับน้อยเท่านั้น... นั่นสินะ จะเรียกว่า ความรักทำให้คนใจบอดได้หรือเปล่าครับ (มีเด็กผู้หญิงพิการทางสายตาคนนึงพูดไว้ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่า ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอด แต่ความรักทำให้คนใจบอด...เป็นคำพูดที่ประทับใจผมมากๆ จริงๆแล้วนอกจากจะใจบอดแล้ว ยังต้องรวมถึง สมองฝ่อด้วย เพราะ บางครั้งความรักก็สั่งให้เราทำอะไรบางอย่างโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองของสมอง)

น้อยจูงมือผมในงาน (แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ ตอนที่เบียดคนเข้างาน) ไม่ว่าน้อยจะจับมือผม เพราะว่ากลัวเราจะพลัดหลงกัน หรือว่าเพราะเหตุผลใดก็ตามเถอะ แต่สำหรับผม มันเป็นสัมผัสที่อบอุ่นมาก ความอบอุ่นจากมือที่น้อยกุมมือผมไว้ ทำให้ใจผมอุ่นได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ผมบอกได้เพียงว่า ผมอุ่นใจเหลือเกินที่มีน้อยอยู่เคียงข้างผมแบบนี้ ผมอยากจะเดินไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนสุดขอบฟ้า ไม่อยากจะหยุดเดินข้างน้อยเลย แม้แต่ก้าวเดียว



  กลับจากงานโคมไฟ เรามานั่งทานอะไรกันต่อนิดหน่อย ก่อนที่จะกลับที่พัก น้อยพาผมตะเวณทั่วหาดใหญ่ก่อนกลับเข้าที่พัก เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ อธิบายให้ผมฟังว่า ไอ้นั้นคืออะไร ไอ้นี่คืออะไร ระหว่างที่เราตะเวณกันอยู่นี่เอง ผมเจอเรื่องสลดใจอย่างหนึ่งที่ไม่คิดว่าผมจะเจอ (แต่คิดอีกทีก็ถือเป็นเรื่องขำๆเหมือนกัน...)

เรื่องของเรื่องคือ ระหว่างที่น้อยพาผมขี่รถเล่นนี้แหละ ในมือผมถือกระเป๋าสตางค์ และ กุญแจห้อง (ซึ่งพวงกุญแจเป็นเลขห้องซึ่งเอาไว้เสียบที่ช่องข้างประตูสำหรับเป็นตัว sensor ควบคุมไฟในห้อง) โดยผมประสานมือไขว้หลัง เกาะกับเหล็กท้ายเบาะไว้ด้วย ปรากฎว่า มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่น 2 คน (น่าจะอายุประมาณ 18-19 ปีได้มั้งครับ) ขี่มอเตอร์ไซค์ตามผมกับน้อย แล้วตะโกนว่า “อยากไปห้อง 308 จัง” ผมเลยหันไปมองที่เลขในพวงกุญแจผม ซึ่งเป็นเลขห้อง 308 จริงๆ พอผมหันไป เด็กสาวคนขับก็ถามผมว่า ผมพักที่โรงแรมไหน ผมตกใจเลยหันกลับไปบอกน้อยว่า มีคนกำลังขับตามเราอยู่ น้อยพยายามเร่งความเร็วมากขึ้น แต่สองสาวคุณเธอก็ไม่ลดละความพยายาม (ในการclaim ผมกับน้อย) ผมอยากรู้ว่าเธอจะตามผมไปถึงที่พักจริงๆเลยหรือเปล่า ผมเลยแกล้งทำเป็นโบกมือ กวักให้เธอสองคนขับตาม คราวนี่แหละครับ สองสาวกรี๊ดกร๊าดเสียงดัง เหมือนดีใจสุดขีดที่ผมเล่นด้วย ผมเลยบอกน้อยว่า สงสัยสองสาวนี้จะเอาจริง... สองสาวขับมาเทียบแล้วถามน้อยว่า พักอยู่ที่ไหน น้อยเลยบอกไปว่า นัดไว้แล้วครับ สองสาวทำท่าทีเสียดาย(มาก) แล้วก็ขับไปอีกทาง (ด้วยความผิดหวัง)


จริงๆฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องขำๆ แต่ถ้าคิดในเชิงของปัญหาสังคมแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นความเสื่อมทรามของสังคมที่ เยาวชนไทย กล้าทำเรื่องแบบนี้ กล้าแม้แต่จะชวนคนแปลกหน้าไปมีความสัมพันธ์ด้วย ผมไม่ทราบว่า ผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กพวกนี่จะทราบพฤติกรรมของ ผู้อยู่ในอำนาจปกครองของตนหรือเปล่า แต่สำหรับผม ผมเป็นห่วงอนาคตของเด็กๆพวกนี่จริงๆ อะไรทำให้ชีวิตของเด็กสาววัยกำลังสดใสต้องเดินทางผิดแบบนี้ ถ้าผมมีน้องสาว หลานสาว ลูกสาวกับเขาซักคน ผมคงไม่ปล่อยใจ เธอมาใช้ชีวิตกร้านโลกแบบนี้แน่ๆ ผมเป็นห่วงจริงๆนะครับ อยากให้เขาคิดได้ว่า การกระทำที่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกของเขา จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องฉาบฉวย เขาน่าจะเอาเวลาไปศึกษาหาความรู้มากกว่ามาใช้ชีวิตแบบนี้



 ผมกลับน้อยกลับมาถึงห้องพัก (กันสองคน...โดยสองสาวนั่นปล่อยผมกับน้องไปตามยถากรรม...ไม่รู้ว่าจะไปตามหาผู้ชายที่ไหนต่อหรือเปล่า) คืนนี้เป็นคืนที่ผมมีความสุขมากๆ ผมนอนกอดน้อยทั้งคืน ไม่อยากจะให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่อยากให้ถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกัน ผมพยายามจะเก็บรายละเอียดทุกวินาทีที่มีกับน้อยให้คุ้มค่ามากที่สุด (ความรู้สึกคล้ายๆเพลง อยากกยุดเวลาเลยครับ)

เมื่อคนเราได้อะไรมาอย่างนึงแล้ว เป็นเรื่องปรกติที่เราจะต้องมีความรู้สึกกลัว กลัวว่าสิ่งที่มีอยู่กับเราวันนี้มันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป กลัวว่าวันหนึ่งเราจะต้องสูญเสีย ผมเองก็เช่นกัน แม้ผมจะบอกว่า ผมมีความสุขมากแค่ไหน แต่ลึกๆแล้ว ผมก็ยังมีความกลัวเหมือนคนทั่วไป กลัวว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนแปลง กลัวว่าวันหนึ่งความรักของเราจะไม่เหมือนเดิม โดยที่ผมปิดใจไม่ยอมรับรู้เลยว่าจริงๆแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี่แหละ เป็นสัจธรรมของชีวิต สิ่งที่ผมกลัว ซักวันมันจะต้องมาถึง

นพพร : “น้อย...สัญญากับผมได้ไหม ถ้าวันไหนคุณไม่รักผมแล้ว คุณจะบอกผมตรงๆ”
น้อยพนักหน้ารับคำ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2007 20:00:18 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #32 เมื่อ28-01-2007 20:30:56 »

ในใจลึกๆ ของนพคงอยากหาใครซักคนที่เป็นคู่แท้  เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป  พอน้อยมาแสดงออกว่ารัก  ห่วงใย  ใครละจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้

น่าจะเศร้าตอนจบใช่มะ  เตรียมเศร้ารอเลยละกัน  เขียนได้ซึ้งดีนะเนี่ยตอนนี้  :impress3:   :impress3:



ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #33 เมื่อ28-01-2007 21:09:57 »

อาจจะใช่นะครับ  เราอาจจะแค่ต้องการตามหาจิ้กซอว์ที่หายไปมาเติมให้สมบูรณ์ก็เป็นได้
หาจิ้กซอว์เจออาจจะเป็นเรื่องง่าย  แต่ว่าการที่เราจะรักษาและดูแลจิ้กซอว์ชิ้นนั้นไว้นี่สิ  เป็นเรื่องที่ยากกว่า

 :impress: :monkeysad:


เทศกาลโคมไฟนานาชาติเหรอ  อยากไปมั่งจังเลยอะ  ใครรู้บ้างว่าจัดเมื่อไหร่อะ
(แต่ว่าจามีเวลาไปหรือเปล่านี่สิ  :confuse:)

ยังงายก้อยังรอติดตามต่อไปนะคร้าบบบบบบบบ   :yeb: :haun6:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #34 เมื่อ29-01-2007 14:41:06 »

รู้สึกตะหงิด ๆ ว่าเรื่องนี้ตอนจบจะเศร้าอ่ะ เพราะขนาดตอนรักกันหวานชื่น ยังรู้สึกว่าเหมือนมีหมอกบางๆ ปกคลุมยังไงไม่รู้ หรือเป็นเพราะสไตส์การเขียนของผู้เขียนก็ไม่รู้นะ (รึเราจะคิดมากไปเอง หว่า)  :confuse:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #35 เมื่อ29-01-2007 20:16:10 »

ตอนที่ 9 ของ นายนพพร
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5078418/L5078418.html

“ความรัก”
      ....เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง
      เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง
      เหมือนลมหนาวเดือนเมษา
      เหมือนใจอ่อนล้ากับแข็งแกร่ง
      เหมือนคนกำลังมีรัก
      เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก
      เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย
      เหมือนร้ายนั้นกลายเป็นดีได้เหมือน.......ที่ฉันนั้นได้มาพบกับเธอ
      ชีวิตฉันจึงได้เจอ
      แต่ไม่รู้จะขอบคุณ ไม่รู้ทำอย่างไร ไม่รู้ว่าสิ่งไหน จะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ
      ที่ได้จากเธอ ได้รับโดยไม่ต้องขอ โดยรู้โดยไม่ต้องรอ.....ว่ารักคืออะไร
                                                     (รัก:อัญชลี จงคดีกิจ)

      ใช่ครับ ความรักของผมเกิดขึ้นแล้วอีกครั้ง จากที่ผมเคยกล่าวไปตอนตั้งแต่แรก ความสัมพันธ์ของผมกับน้อย ค่อยๆเริ่มจากความเป็นเพื่อนร่วมงาน => เพื่อน => เพื่อนสนิท =>และสุดท้ายก็เป็นคนรักของผมในที่สุด

       
      ตอนนี้เป็นตอนที่ยากที่สุดสำหรับผม ที่จะบรรยายความรู้สึกของผมทั้งหมดที่มีอยู่ให้ทุกคนรับรู้ถึงความรู้สึกของผมอย่างแท้จริง ผู้อ่านซึ่งเคยมีความรัก หรือ กำลังมีความรักอยู่ คงจะทราบดีว่า ความรู้สึกพอกฟูมันเป็นอย่างไร ใช่แล้วครับ...ผมรักน้อยเข้าแล้วอย่างเต็มหัวใจ
      ไม่แน่ใจว่ามีใครเหมือนผมบ้างหรือเปล่า น้อยเป็นคนทำให้ผมฟังเพลงเศร้า เพลงรักอกหัก ไม่เพราะอีกต่อไป ทั้งๆที่เคยเป็นเพลงที่ผม in เอามากๆ เมื่อก่อน แต่ครั้งนี้ผมฟังกลับรู้สึกเฉยๆ...อนุภาพของความรักเป็นแบบนี้นี่เอง ผมยืนยันครับ ว่าความรักทำให้ผมใจบอดจริงๆ (และนี่ยังเป็นแค่อาการเบื้องต้น)
      ผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทั้งๆที่ใจผมทิ้งไว้ให้น้อยแล้ว โดยผมไม่สามารถนำกลับมาด้วยได้ ผมเหมือนจะลอยกลับกรุงเทพฯได้เอง โดยให้ความรักของน้อยพาผมไป ก่อนผมจะขึ้นเครื่อง ผม message หาน้อยว่า
      “Every time you go away, you take a piece of me with you. Noi, I’ll wait for your call anticipately. / Nop”


วันรุ่งขึ้น ผมกลับไปทำงานตามปรกติ แหวน(เพื่อนร่วมงานที่นั่งใน partition เดียวกับผม)ก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผมดังกล่าว... ผมอารมณ์ดี สดใส ทำงานด้วยความสุข ยิ้มคนเดียวทั้งวัน จริงๆไม่ใช่เพียงแค่แหวนหรอกครับ พี่น้ำหัวหน้าผมก็แซวๆผมเช่นกันว่า การพักร้อนของผมครั้งนี้ คงทำให้ผมสบายใจมากขึ้น โดยไม่มีใครรู้หรอกว่า เป็นเพราะน้อยนั่นเอง...
      ความเปลี่ยนแปลงของผม อาจจะรวดเร็วมาก จนทำให้แหวนกึ่งๆสงสัยว่า ทำไมผมถึงได้อารมณ์ดีมากๆเป็นพิเศษขนาดนี้
      แหวน : “เที่ยวสนุกไหม... สดใสเชียว”
      นพพร : “ใช่...ดีมากๆ ไม่อยากกลับมาเลยครับแหวน อยากอยู่ที่นั้นตลอดชีวิต”
      แหวน : “ขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นเพราะสถานที่ หรือ ว่าเพราะคน...”
      นพพร : “ไม่บอก...”
      แหวน : “บอกหน่อยสิ... ความลับเหรอ... อยากรู้ อยากรู้...เราไม่บอกใครหรอก สัญญานะสัญญา”
      ...นี่เป็นนิสัยปรกติของผู้หญิงใช่ไหมครับ (ผมคิดในใจ)

      นพพร : “แหวนเคยรักใครไหม รักแบบหมดหัวใจ รักแบบไม่มีเงื่อนไข รักแบบชีวิตนี้ไม่ขอรักใครอีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี่ ใช่ความรักใช่ไหมแหวน”
      แหวน : “อยากบอกนะว่า...นพกำลังมีความรัก”
      นพพร : “แหวนยังไม่ตอบคำถามนพเลย”
      แหวน : “จริงๆความรักมันเป็นเรื่องอธิบายยากนะนพ คงไม่มีใครบอกได้หรอกว่าความรักเป็นอย่างไร จนกว่าเราจะได้เจอกับมันด้วยตัวเอง”
      …I could not agree more. (ผมไม่สามารถเห็นด้วยไปมากกว่านี้ได้แล้ว...ผมคิดในใจเช่นกัน)
      แหวน : “ว่าแต่... นพมีความรักเหรอ รู้ไหม หน้านพนี่บอกเลยว่า นพกำลังมีความรัก”
      ...ผมก็ไม่รู้หรอกว่า หน้าผมแสดงออกขนาดนั้นเลย หรือว่าแหวนอำผมเพื่อให้ผมบอกความจริงกันแน่


 นพพร : “หน้านพบอกได้อย่างนั้นเลยเหรอ...”
      แหวน : “ใช่สิ!!! แหวนว่าจะทักตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เห็นยิ้มๆอยู่คนเดียว หน้างี้บานเชียว ดูมีพิรุธเอามากๆ”
      นพพร : “ความรักมีพิษสงขนาดนี้เลยเหรอ”
      แหวน : “นพเคยได้ยินไหม 
                  ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมล
              ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะ ใดใด
              ความรักเหมือนโคถึก สุดจะคึก ผิขังไว้
              ก็โลดจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
              ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
              ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิด ถึงเจ็บกาย...”
      นพพร “คุ้นๆอยู่”
      แหวน : “พระราชนิพนธ์ ร.6 เรื่อง มัทนะพาธา”
      นพพร : “นั่นสินะ... ความรักของมนุษย์ก็ยังคงไม่แตกต่างกันในแต่ละยุคแต่ละสมัย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม”
      แหวน : “นพไม่ต้องเปลี่ยนประเด็นเลย... ยังไม่บอกเรื่องของนพเลย”
      นพพร : “ถ้าหน้านพแสดงออกขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องให้นพยืนยันอะไรอีกเหรอ”
      แหวน : “อย่าบอกนะว่า นพกับน้อยรักกัน” ... แหวนถามด้วยเสียงเบาลง เหมือนกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
      นพพร : “นพจะบอกแหวนยังไงดีล่ะ”
      แหวน : “แหวนพอจะรู้เรื่องแล้วล่ะ..””

      ระหว่างอาหารกลางวัน ผมก็เล่าเรื่องของผมคร่าวๆให้แหวนฟัง...


*
       ความรักระหว่างผมกับน้อย แรกๆเองผมก็ยังไม่แน่ใจมากนักหรอกว่า ผมจะรักน้อยได้มากแค่ไหน แล้วน้อยเองจะรักผมจริงๆหรือแค่บรรยากาศมันพาไปกันแน่ แต่ผมถลำลึกมาจนยากจะถอดตัวแล้ว (หรือว่าผมไม่ยอมถอดตัวออกมาเอง ตามความรู้สึกของหัวใจผมมากกว่าเหตุผลก็อาจเป็นได้)
      อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกเมื่อครั้งก่อน ความรักของน้อยที่มอบให้ผม ทำให้ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วในโลกนี้ ผมไม่แคร์ว่าน้อยจะเป็นผู้ชายเหมือนผม ไม่แคร์ถ้าใครจะรู้ว่าผมกับน้อยรักกัน (เพียงแต่ผมไม่เคยยอมรับว่าผมคบกับน้อยในฐานะอะไร...ยกเว้นแหวน ที่ผมถือเป็นเพื่อนสนิทและเชื่อใจได้)

*
      จริงๆผมกับน้อยตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน เราก็โทรคุยกันบ่อย แต่ก็ไม่ถือว่าทุกวัน แต่พอสถานะเปลี่ยนไป เราก็คุยกันมากขึ้น และ หวานขึ้น น้อย เปลี่ยนชื่อผมในโทรศัพท์ของเขาจาก นพพร HQ (Head Quarter) เป็น “คิดถึงนะ”
      ผมก็ขำๆอยู่เหมือนกัน ว่าน้อยคิดได้ไง ถึง edit ชื่อผม ใน phonebook ของเขาเป็น “คิดถึงนะ” เขาบอกว่า ก็เขารู้สึกกับผมอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมเองไม่ได้เปลี่ยนชื่อ น้อยเป็นอย่างอื่นหรอก แต่ผมเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าของน้อยเป็นเพลง “หากันจนเจอ” เท่านั้นเอง
      ผมเองก็พึ่งเห็นอีกด้านของน้อยซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน น้อย romantic ในระดับหนึ่ง บ้างครั้งก็ทำให้ผมอุ่นใจที่มีน้อยอยู่ข้างๆ มีวันหนึ่ง ผม message ไปหาน้อยแต่เช้าว่า
      1.ทำงานหรือยัง
      2.งานยุ่งหรือเปล่า
      3.ขับรถดีดีนะ
      4.คิดถึงผมบ้างนะ

      น้อย reply message กลับมาหาผมว่า

      ตอบคุณนพพร
      1.ถึงที่ทำงานแล้วครับ
      2.ยังไม่เริ่มทำงานเลย ยังไม่รู้ว่าจะยุ่งหรือเปล่า
      3.ขอบคุณครับ
      4.คิดถึงนพเสมอนะ

  ไม่ทราบว่าใครจำโฆษณาของ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่บริษัทหนึ่งได้ไหมครับ เนื้อหาในโฆษณามีว่า ผู้ชายกำลังซ้อมดนตรี (เป็นมือกลอง) อยู่กับเพื่อนๆทั้งวง แล้วแฟนเขาโทรมา ถามผู้ชายว่า คิดถึงหรือเปล่า ผู้ชายก็อายเพื่อน พูดเบาๆว่า คิดถึง ผู้หญิงก็ให้พูดใหม่ แล้วผู้หญิงก็ถามว่ารักไหม รักแล้วทำยังไง ผู้ชายก็ตอบว่ารัก แล้วก็ จุ๊บ จุ๊บ...
      จริงๆ creative ที่ทำโฆษณานี้ ไม่รู้ว่าเอาเรื่องของผมไปใช้ในโฆษณาได้ยังไง...เปล่าหรอกครับ ผมล้อเล่น แต่ว่า ผมกับน้อย เหมือนโฆษณานี้จริงๆ ผมชอบถามน้อยว่า คิดถึงผมไหม รักผมหรือเปล่า
      น้อยเคยบอกผมว่าคำว่ารักของเขามีความหมายมากนะ ไม่อยากจะพูดบ่อยๆเหมือนเป็นหน้าที่ จะขอเอาไว้พูดในโอกาสพิเศษจริงๆ
       แต่ผมดื้อ ชอบถามให้เขาตอบ บางครั้งน้อยก็ตอบ บางครั้งน้อยก็บอกว่า ไม่คิดถึงแล้วจะโทรมาเหรอ ไม่ให้รักนพแล้วจะให้รักใคร จริงอยู่ ผมเห็นด้วยกับน้อยว่า คำว่ารักมีความหมายมาก เพียงแต่บางครั้งผมอยากจะได้ยินเขาบอกรักผมด้วยคำพูดอยู่เรื่อยๆ พูดให้ผมฟัง ฟังทีไรแล้วก็รู้สึกดี นอนหลับด้วยความสุขใจ

*
      มีอะไรอีกนะที่น้อยทำให้ผมมีความสุข จริงๆแล้วน้อยไม่เคยสัญญาเลยว่า ความรักของเราทั้งคู่จะยืนยาวไปแค่ไหน ผมเคยถามน้อยว่า น้อยจะสัญญาได้ไหม ว่าจะรักนพตลอดไป (เป็นคำถามโง่ๆ ที่ผมคิดว่า ผมจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับใครอีกแล้ว) น้อยบอกผมว่า น้อยสัญญาไม่ได้หรอก เพราะไม่รู้ว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น น้อยบอกได้เพียงว่า วันนี้ น้อยรักนพ และรักนพคนเดียว หลังจากเราคุยกันเสร็จผม message ไป Good Night น้อยว่า
     “ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมมีความสุขมากๆ ไม่เฉพาะวันนี้ ถึงคุณจะไม่สัญญาว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ ผมดีใจที่คุณมีความสุข Good Night ครับ” 

      น้อย reply กลับมาว่า

      “ผมก็เช่นกัน ฝันดีนะนพ ฝันถึงผมนะ”


*
      ...เธอทำให้ฉันรู้จัก ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขใด ได้มามีเธอเหมือนเป็นคนให้ หัวใจ อย่าให้เธอรู้
แต่ไม่รู้จะขอบคุณ ไม่รู้ทำอย่างไร ไม่รู้ว่าสิ่งไหน จะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ ที่ฉันได้จากเธอ ได้รับโดยไม่ต้องขอ โดยรู้โดยไม่ต้องรอ.....ว่ารักคืออะไร

      นี่แหละครับ ความรักของนพพร ความรักที่ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง โดยผมไม่เคยคิดเลยว่า ซักวันหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงจะมาถึง..


*************************************
ลงทันตอนล่าสุดในพันทิพกระทู้นอกเรื่องแล้วนะครับ
ตามไปให้กำลังใจคุณนพพรได้ในกระทู้ล่าสุดนะครับ
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5078418/L5078418.html   :yeb:

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #36 เมื่อ29-01-2007 21:45:16 »

นี่นะเหรอพลังแห่งความรัก  มันเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างจริงๆ

ทำให้คนๆ นึงมีความสุขได้มากมายถึงเพียงนี้

แต่  ตอนลงท้ายนี่สิ  ชักยังไงๆ แล้วอะ

จาเริ่มเศร้าแล้วใช่มั้ยอะ

ทำไมน้า  ที่รักแล้วจามีแต่สุขม่ายด้ายเหรอ  ทำมายต้องตามมาด้วยเรื่องเศร้าอย่างนี้ด้วยน้า

 :monkeysad: :monkeysad2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #37 เมื่อ29-01-2007 23:12:14 »

ถึงผมจะย้อนเวลากลับไปมีชีวิตอย่างวันนั้นไม่ได้ แต่ความรู้สึกของผมในวันนั้น ยังฝังอยู่ในใจผมจนถึงวันนี้ตลอดไป  :impress3:  :impress3:
ความรักบางครั้งแม้จากเราไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงมันมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ

ปล.เข้าโหมดเตรียมเศร้า  :monkeysad:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #38 เมื่อ30-01-2007 10:52:35 »

นั่นว่าแล้ว เตรียมเศร้าได้เลย  :monkeysad: :monkeysad:

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #39 เมื่อ30-01-2007 17:49:27 »

 :myeye:


เตรียมรับโหมดเศร้า เง้อๆ

ไอ้เทศกาลโคมไฟนี่ผมก็ไปนะ
อาจจะได้ไปวันเดียวกันก็ได้ครับ อิอิ
คนเยอะจริงๆ อ่ะ เหอๆ แล้วตลาดกิมหยงก็ห่างมากๆ ด้วย


รออ่านต่ออยู่ครับ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story]นายนพพร by นพพร
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-01-2007 17:49:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #40 เมื่อ04-02-2007 19:42:04 »

คิกคิก อย่าพึ่งคิดไปแบบน้าน  เอิ้กๆ แต่ชวนให้คิดเจงๆ

ตอนที่ 10
“ความเปลี่ยนแปลง”
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5105749/L5105749.html
      ...หมุนเวียนกันไป สัจธรรมก็คือเปลี่ยนไป
ไม่มีของใด ทนได้ตลอด ต้องสูญต้องเปลี่ยนรูปไป
เหมือนใจ เรานี่... ที่ต้องเจอความรักจากไป
สุขได้ไม่นาน ต้องมีทุกข์แทรกไว้ ซ้อนไปอย่างนั้น
เพราะโลกใบนี้... แท้จริงก็ยังหมุน
จากร้อนไปเป็นเหน็บหนาว
เหมือนกับความรัก... คงไม่มียืดยาว
นานไปเขาก็เปลี่ยน... เราทั้งเจ็บ เจ็บที่ยังรักไม่เปลี่ยน...
                   (เปลี่ยน : คณาคำ อภิรดี)

      ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น หากเรื่องของนายนพพร เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของนพพรเอง ผมคงจะให้ความสัมพันธ์ของน้อยและนพพร หยุดอยู่กับคืนวันอันแสนสุขของเราทั้งคู่ และเป็นอย่างนี้ตลอดไป

      แต่เรื่องของนายนพพร หาได้เป็นละครฉากใดๆไม่ ผมจึงทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมไม่สามารถลิขิตชีวิตของตัวเองให้เป็นไปตามที่ผมต้องการจะให้เป็นได้ และนี่คือความจริง ความจริงที่ผมต้องเผชิญ


     หากจะถามผมว่า ผมกับน้อยทะเลาะกันบ้างไหม... แน่นอนครับ ไม่มีคู่ไหนที่ไม่เคยทะเลาะกัน และหากจะถามต่อไปว่า เรื่องทะเลาะกันใหญ่โตมากแค่ไหน... ไม่เลยครับ มันเป็นเรื่องความไม่เข้าใจเล็กๆน้อยๆ ประเภทที่เรียกว่า ลิ้นกับฟัน
      ผมว่า คู่อื่นๆคงไม่แตกต่างกันมากนัก ครั้งเมื่อผมคบกับน้อยเพียงแฟนของผม ด้วยคำว่า “เพื่อน” ทำให้เราต้องเคารพสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ผมไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวอะไรของน้อยเลย แต่เมื่อสถานะเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์เราแนบแน่นมากขึ้น อะไรๆที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา กลายเป็นเรื่องของเราทั้งคู่
      สถานภาพที่เปลี่ยนแปลงนี่เอง ทำให้ผมเขาไปอยู่ในชีวิตน้อย และน้อยก็เช่นกัน ปัญหาของเราอย่างนี้คือ ผมทำงานอยู่ที่นี่ ที่กรุงเทพฯบ้านของผม ส่วนน้อยอยู่สาขาต่างจังหวัด น้อยเองเคยชวนให้ผมย้ายไปทำงานอยู่ใกล้ๆกับเขา... จะว่าไปแล้ว หากชีวิตของนพพร ไม่มีแม่ที่ต้องดูแลและเป็นห่วง ผมคงตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่ผมอยู่กับแม่ที่นี่ และเราก็มีกันแค่ 2 คน เท่านั้น ผมจะทิ้งแม่ไปได้ยังไง


  หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผมอยู่กับแม่แค่ 2 คน เตี่ยผมไปไหน... เดิมผมเคยมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ พ่อ แม่ ลูก ที่ต่างจังหวัดไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก แต่เนื่องจากเด็กๆ ผมไม่สบายบ่อย ทำให้แม่ผมตัดสินใจส่งผมมาอยู่กรุงเทพฯกับอากู๋ของผมที่มีบ้านอยู่ที่นี่ ตอนแรกผมคิดว่า แม่ผมคงเพียงอยากให้ผมมีโอกาสทางการศึกษาในกรุงเทพฯที่ดีเพียงเท่านั้น ผมพึ่งมาทราบหลังจากผมเข้ามหาวิทยาลัยไม่นานเท่าไหร่ว่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ แม่ไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้เตี่ยมากนัก
      ทำไมเหรอครับ...? จะว่าไป เตี่ยผมก็รักผมนะ ผมดูแววตาเตี่ย ผมก็รู้ว่าเตี่ยรักผม เพียงแต่เตี่ยรัก Alcohol มากกว่าผม แม่ไม่อยากให้ผมเห็นชีวิตของเตี่ยที่ติดเหล้าและบุหรี่ ไม่อยากให้เห็นเตี่ยโมโห ขว้างปาข้าวของ ไม่อยากให้ผมเห็นแม่โดนเตี่ยทำร้าย... คนพึ่งมาทราบไม่นานมานี่เองว่าแม่ผมถูกทำร้ายมากว่า 20 ปี โดยแม่ไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย
      จนสุดท้าย วันที่แม่ผมทนเตี่ยไม่ได้ ก็วันที่เตี่ยหยิบปืนจะยิงแม่ผม ด้วยว่าหึงหวงว่าแม่ผมคิดจะทิ้งเขาไปมีคนอื่น (ผมก็ไม่รู้ว่าเตี่ยผมคิดไปได้ยังไง...ถ้าแม่ผมจะมีใครอื่นจริงๆคงมีไปนานแล้ว หรือหากแม่จะเลิกกับเตี่ยผมไปมีคนใหม่ ผมก็เห็นด้วยว่าแม่ไม่มีความจำเป็นต้องทนอยู่กับเตี่ยผมต่อไป เตี่ยไม่คิดเลยว่าแม่ต้องทนกับเตี่ยมานานแค่ไหน)
      จริงๆผมก็พอระแคะระคายเรื่องเตี่ย-แม่ผมมาบ้าง จากญาติๆที่เล่าๆให้ผมฟัง แต่เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ คิดว่าไม่ใช่เรื่องของผม ผมยังนึกชมเตี่ย-แม่ผมเหมือนกันนะ ต่อหน้าผม ต่างคนต่างเก็บอาการ เนียนมากๆ ผมอาจจะเคยเห็นเตี่ยดื่มหรือสูบบ้าง แต่ไม่คิดว่าเตี่ยผมจะติดเหล้าจนเป็น alcoholism และโมโหร้าย ที่สำคัญที่ผมโกรธเตี่ยมากที่สุด จนทำให้ผมไม่คุยกับเตี่ยอีกเลย ก็คือเรื่องทำร้ายแม่...
      หลังจากวันนั้น แม่ผมย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯกับผม แม่ซื้อทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆแถวๆชานเมืองพออยู่กันสองคนแม่ลูก ผมนึกนับถือในจิตใจแม่ผมเหมือนกันนะ แม่ผมเข้มแข็งมากๆ หลังจากวันแรกที่แม่บอกผมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ให้ผมเห็นเลยซักครั้ง
     นั่นสินะ...ผมยังมีแม่ที่ผมต้องดูแลไปตลอดทั้งชีวิต ถึงผมไม่มีใคร ผมก็ยังมีแม่

      กลับมาที่เรื่องผมกับน้อย... (แม่ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะครับ...อย่าเอ็ดไป...เดี๋ยวแม่รู้) ความห่างไกลของผมกับน้อย อาจจะมีบ้างที่ทำให้ชิวิตผมกับน้อยมีปัญหา มีครั้งนึง เมื่อตอนปลายปี เกิดน้ำท่วมภาคใต้ หนักพอสมควร บ้านและที่ทำงานของน้อยก็ประสบปัญหา อุทกภัยไปด้วย แต่น้อยก็ยังคงต้องเดินทางไปนู้นมานี่ ทำงานของเขา ขึ้นๆลงๆ ระหว่าง หาดใหญ่ และ จัดหวัดอื่นๆ แถบๆนั้น ทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาพอสมควร
      เย็นวันหนึ่ง ผมโทรคุยกับน้อย น้อยบอกว่า กำลังจะหนีน้ำท่วมกลับบ้าน ผมบอกน้อยว่า กลับถึงบ้านแล้วโทรหาผมนะ ผมจะได้รู้ว่าน้อยปลอดภัยดี
      สามทุ่มก็แล้ว ผมยังรอ.... สี่ทุ่มก็แล้ว ผมยังรอ.... ห้าทุ่ม ผมเริ่มเครียดมากๆ ไม่ทราบว่ามีใครเป็นเหมือนผมบ้าง เวลาเราโทรหาใครไม่ติด ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าโทรไม่ติด เราก็ยังเพียรโทรอย่างไม่ลดละ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า โทรให้ตายยังไง เขาก็ไม่เปิดเครื่อง น้อยทำให้ผมกังวลมาก คืนนั้นเล่นเอาผมนอนไม่หลับเลยครับ เครียดว่าเขาจะเป็นยังไง เขาไปมีอุบัติเหตุที่ไหนหรือเปล่า เขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
      ผมโทรหาแหวน อย่างน้อยก็หาให้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์โศกของผมบ้าง แหวนบอกให้ผมใจเย็นๆ อย่างคิดอะไรในทางเลวร้ายไปล่วงหน้า แต่ผมก็บอกแหวนว่า น้อยสัญญากับผมแล้ว ว่าเขาจะโทรหาผมเมื่อถึงบ้านแล้ว เขาต้องโทรหาผม ผมจะรอโทรศัพท์เขา...
      ผมรอโทรศัพท์น้อย จนหลับไปเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ตัว ตอนเช้าพอผมรู้สึกตัวแล้ว ผมโทรหาน้อยอีกที เขาเปิดเครื่องแล้วครับ...
      นพพร : “น้อย...คุณอยู่ที่ไหน...?”
      น้อย : “กำลังจะออกจากบ้าน”
      นพพร : “เมื่อคืนคุณไปไหน ทำไมไม่เปิดเครื่อง คุณรู้ไหม ผมรอสายคุณทั้งคืน”
      น้อย : “เมื่อคืน...เหนื่อยมากเลยกว่าจะถึงบ้าน ถึงแล้วก็หลับเลย”
      นพพร : “ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณสัญญาแล้วว่าถึงบ้านจะโทรหาผม ผมรอคุณ โทรหาคุณทั้งๆที่รู้ว่าคุณไม่เปิดเครื่อง ผมโทรไปเป็นร้อยๆครั้ง ได้ยินแต่ เสียง operator ไร้สาระนั้น ทำไมคุณทำให้ผมเป็นห่วงคุณแบบนี้ เคยคิดถึงผมบ้างไหม นี่ผมเป็นแฟนคุณหรือเปล่า...น้อย คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวนะ จะคิดอะไร จะทำอะไร คิดถึงผมบ้างสิ” ผมรั่วเป็นชุด เท่าที่ผมจะคิดออกไปได้ว่าจะพูดอะไรบ้าง (จริงๆอาจจะเยอะกว่านี้ครับ ผมก็จำไม่ได้...เอาเป็นว่าพูดโดยอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ล่ะครับ...)
      น้อย : “ผมขอโทษ”
      นพพร : “คุณไม่ต้องมาขอโทษ... เก็บคำขอโทษของคุณไว้ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมเสียใจแค่ไหน”
      น้อย : “ถ้าคุณไม่อยากให้ผมขอโทษ ผมก็จะไม่ขอโทษ แค่นี้จะนพ ผมจะรีบไปทำงาน”

      นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า ผมทะเลาะกับน้อยอย่างรุนแรง จริงๆ ผมเข้าใจน้อย ว่าน้อยคงจะเครียดอยู่แล้วที่ต้องเผชิญกับ อุทกภัย แบบนี้ แล้วยังต้องมาเครียดกับแฟนงี่เง่าอย่างผมอีก (ตอนนั้นผมยังคิดไม่ได้ คิดเอาแต่ใจของตัวเองเป็นใหญ่...ทำไงได้ล่ะครับ ทุกคนคงต้องโง่มาก่อนฉลาด)

     การทะเลาะกันครั้งแรกๆ น้อยกลับมาง้อผมตามที่ผมคิดไว้ ผมขอสัญญากับเขาว่า อย่าทำให้ผมต้องเป็นห่วง โทรหาผมทุกคืนให้ผมรู้ว่าคุณยังปลอดภัยดี น้อยรับปากผมว่าจะพยายาม แล้วบอกให้ผมไม่ต้องกังวลกับเขามาก เขาจะพยายามดูแลตัวเองไม่ให้ผมต้องเป็นห่วง
      แต่เหมือนวลีที่เราๆเคยได้ยินว่า Action speaks louder than word น้อยเพียงแค่รับปากให้ผมสบายใจ น้อยก็ยังคงเป็นน้อย ผมเองก็ยังเป็นผม มีครั้งนึงผมน้อยใจกับการกระทำของน้อยมากๆ เพราะคืนนี้ น้อยรับปากว่าจะโทรมาแล้วก็หายไป ผมเลย message ไปหาเขาว่า

      “คู่อื่นเขาอยู่ไกลกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร เขายังโทรหากันได้ทุกวัน แต่แฟนผมห่างกับผมหลายร้อยกิโลเมตรทำไมไม่คิดถึงผมบ้างเลยว่าผมรอสายเขาอยู่”

      ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะทำอย่างนั้นไปทำไม คำพูดผมเพียงเท่านั้นคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เคยครั้งนึง ครั้งที่ผมกับน้อยยังคงเป็นแค่เพื่อนกัน น้อยเครียดเรื่องพี่คิด (หัวหน้าน้อย...ถ้ายังจำกันได้) เพราะว่าน้อยอยากจะขอย้ายไปหน่วยงานอื่น แต่พี่คิดไม่ให้ไป แล้วพูดกับน้อยไม่ดี ผมปลอบใจน้อยว่า เราไม่สามารถบังคับให้ใครทำอะไรตรงใจอย่างที่เราต้องการทุกอย่างได้ ไม่เคยคิดเลยว่า สุดท้ายแล้วผมก็ต้องใช้คำพูดนี้ปลอบใจตัวเอง ที่ผมไม่สามารถบังคับน้อยให้เอาใจใส่ผม ดูแลผม โทรหาผมให้ผมหายเหงา หรือทำอะไรอื่นๆ อีกร้อยแปดอย่างที่ผมต้องการได้เช่นกัน


   น้อยมีโอกาสขึ้นมากรุงเทพครั้งนึง...มางานรับปริญญาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเขาราวๆช่วงปีใหม่ นั่นคงเป็นอีกครั้งนึงที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวน้อยอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
      มีเรื่องน่าโมโหเกิดขึ้น สำหรับผม เขาโทรหาบ้าง ไม่โทรบ้าง ทิ้งๆขวางๆผม เหมือนผมไม่มีคุณค่าอะไรกับเขา แต่ว่าสำหรับเพื่อนเขา เขาโทรหาคนนั้นคนนี้ คุยกับคนนั้นคนนี้ได้อยู่นานสองนาน สิ่งที่ผมโมโหก็คือ เวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันนั้นแสนจะยากเย็น นานๆทีเราจะได้เจอกันสักครั้ง แทนที่น้อยจะใช้เวลาที่มีค่าทั้งผมอยู่กับผมคนเดียว แต่กลับมานั่งคุยโทรศัพท์กับคนนั้นคนนี่ ผมโกรธจน ไม่คุยกับเขา เขียนโน๊ต ระบายความรู้สึกของผมยัดใส่มือเขาแล้วก็เดินไป น้อยเดินกลับมาง้อผมให้ผมพาเขาไปทานข้าว แต่ผมเองก็กลับงี่เง่า ไม่รู้จะโกรธอะไรนักหนา ยังไม่ยอมคุยกับเขา (แต่คิดๆดูก็น่าโมโหจริงๆ เอาเป็นว่างานนี้ ผมยังคิดว่าผมยังทำอะไรสมเหตุสมผลอยู่บ้าง)
      ครั้งนี้ น้อยพยายามง้อผมได้น้อยเอามากครับ น้อยคงมีความอดทนกับผมจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ น้อยกลับไปโรงแรมโดยไม่มีผม ตอนแรกผมลังเลว่าจะกลับบ้านผมเลยหรือว่าจะกลับไปหาน้อยที่โรงแรมดี แต่สุดท้ายผมก็กลับไปหาน้อย... แม้จะยังคงทิฐิอยู่บ้าง แต่ก็ยังกลับไป อย่างน้อยก็อยากจะได้ clear กันให้รู้เรื่อง
      นพพร “ผมสำคัญกับคุณบ้างไหม” คำถามไร้สาระของผมเริ่มต้นขึ้น
      น้อย “ถ้าคุณไม่สำคัญผมจะมาหาคุณเหรอนพ”
      นพพร “แล้วทำไมน้อยทำเหมือนผม ไม่มีความสำคัญกับคุณเลย คุณรู้ไหมเวลาของเราที่จะได้เจอกันแต่ละครั้งมันน้อยมากๆ ผมแค่อยากให้คุณเอาใจใส่ผม ดูแลผมบ้าง แคร์ผมบ้าง เท่านั้นเอง ทำให้ผมได้ไหมน้อย”
      น้อย “นพ...ฟังผมนะ เราต้องปรับตัวเขาหากัน ต้องเรียนรู้อะไรซึ่งกันและกันอีกเยอะ”
      นพพร “ผมพร้อมจะเข้าใจคุณเสมอ ขอให้คุณเข้าใจผมบ้างว่าผมรู้สึกยังไง” ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผมขอน้อยมากเกินไปกว่าที่น้อยจะทำให้ผมได้

  ผมไม่อยากจะโทษว่าเป็นเพราะความห่างไกล ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับน้อย สั่นคลอนลงเรื่อยๆ และถึงจุดแตกหักในที่สุด เพราะหากเรายังคงรักกัน หากน้อยยังคงรักผมเหมือนวันแรกที่น้อยบอกผม ไม่ว่าเราจะห่างกันมากน้อยเพียงใด ใจเราก็ยังอยู่ใกล้กันเสมอ แต่เท่าที่ผมรู้สึก ใจของน้อยเริ่มห่างจากผมมากขึ้นทุกทีๆ แม้ว่าผมจะยอมรับอยู่ในใจลึกๆว่า ผมอาจจะต้องสูญเสียน้อยไปไม่ช้าก็เร็ว แต่ผมก็ยังไม่อยากจะทำใจยอมรับมันได้ทั้งหมด ผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้สิ่งที่ผมกลัวไม่มีวันมาถึง...

   “...คืนนั้น คืนที่นอนฝัน ว่ามันถึงวันสุดท้าย
      มองเห็นเราต้องลากันไป ใจทั้งใจมันสั่น
      ตื่นขึ้นมา น้ำตายังคลอตา ขออย่าให้เหมือนในฝัน
      มันไม่จริง มันไม่จริง เราไม่เป็นอย่างนั้น
      ...อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง อย่าให้ถึงวันนั้นเลย...”
                                       (อย่าให้ถึงวันนั้นเลย: Christina Aguila)

      คงไม่มีใครเข้าใจว่า ความทรมานที่ต้องเห็นคนที่เรารัก รักเราน้อยลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เป็นยังไง...ต่อเมื่อคุณได้เผชิญกับความรู้สึกนี้ด้วยตัวของคุณเอง คุณรู้ไหมครับ ผมดีใจแค่ไหนที่ผมเขียนตอนนี้เสร็จได้ ทุกคำพูดทุกความรู้สึกมันกลั่นออกมาจากใจที่แตกสลายของผมเอง ผมพยายามข่มใจที่จะเขียนตอนนี้ให้เสร็จ ไม่ว่าน้ำตาของผมจะไหลกลบตาจนผมแทบมองไม่เห็นตัวอักษรในจอ monitor แล้วก็ตาม ติดตามต่อตอนต่อไปครับ ผมเขียนต่อไม่ไหวแล้วครับ ขอโทษจริงๆ ขอบคุณที่รับฟังผม


แวะไปให้กำลังใจนายนพพรได้ที่นี่นะครับ
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5105749/L5105749.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2007 19:44:15 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #41 เมื่อ04-02-2007 20:21:14 »

รักเธอเริ่มจากร้อยนับวันนานไปยิ่งน้อยลง ฉันต้องทนเจ็บช้ำเฝ้าดูความรักที่สวนทาง
 :sad4:  :sad4:  :sad4:



ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #42 เมื่อ04-02-2007 21:48:42 »

ถ้าหากทั้งคู่มะลืมวันที่ยังรักกันแรกๆ  ปัญหาก็คงมะเกิดชะมะคับ  :impress: 

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #43 เมื่อ05-02-2007 16:41:13 »

นั่นสิเนอะ  ก็รู้ว่าเขาก็ยังคงเป็นเขา  และเราก็ยังคงเป็นเรา  การที่จะให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ถึงแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังอยากให้เขาทำให้ได้  ก็เพราะอยากจะให้รักมันคงอยู่ตลอดไปนี่นา 

ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีเวลา  แต่ก็ยังอยากให้คิดถึงหรือโทรหากันบ้าง  ก็คนมันห่วงอะจาให้ทำยังไงละ 

ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันเราอาจจะต้องห่างจากกัน  ทั้งที่ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะ  แต่ทำไงได้ละ  ก็ยังหวั่นใจอยู่ดีว่าต้องเสียเธอไป

อยากจะเข้าใจเขาให้มาก  อยากจะยอมรับสิ่งที่เขาบอก  ก็คิดไว้แล้วนะว่าจะทำอย่างนั้น  ดันมีเรื่องให้ไม่เข้าใจกัน  ให้ทะเลาะกัน  ให้งอนกัน  ให้หึงกันอยู่เรื่อยสิน่า  แต่ก็เพราะว่ารักนะสิ  มันเลยหวั่นใจลึกๆ  กลัวไปซะทุกอย่าง  เรื่องที่ควรจะเขาใจง่ายๆเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่  เรื่องที่ควรต้องยอมก็เล่นแง่ใส่กัน

แต่ทั้งหมดที่ทำอะ  ก็เพราะทั้งรักทั้งหวงทั้งคิดถึง  ก็เลยทำลงไป  ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังทำตัวงี่เง่าอยู่ก็ตาม

 :monkeysad: :monkeycry2: :impress3:

เป็นกำลังใจให้คุนนพพรนะคร้าบบบบ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #44 เมื่อ05-02-2007 16:47:44 »

ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีเวลา  แต่ก็ยังอยากให้คิดถึงหรือโทรหากันบ้าง  ก็คนมันห่วงอะจาให้ทำยังไงละ 

ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันเราอาจจะต้องห่างจากกัน  ทั้งที่ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะ  แต่ทำไงได้ละ  ก็ยังหวั่นใจอยู่ดีว่าต้องเสียเธอไป


คนเราพยายามจะเข้าใจ...แต่เอาเข้าจิงกลับไม่เข้าใจอะไรเลย.......... :impress3:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #45 เมื่อ05-02-2007 17:12:43 »

ว่าแล้วเริ่มเศร้าจิงๆ  :monkeysad2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #46 เมื่อ09-02-2007 15:22:33 »

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5119326/L5119326.html
ตอนที่ 11 ของ นายนพพร
“วิกฤตของชีวิต”

      “...ใคร คนที่เคยรู้ใจ รอยยิ้มที่เคยรู้จัก กำลังจะหายลับไปทุกที
      คำพูดที่ซึ้งใจ ที่เคยว่ารักมากมาย ไม่มีอีกแล้วนับจากนี้
      แต่คนจะไป ก็ต้องไป รักเท่าไหร่ แต่ฉันคงทำ ได้เท่านี้
      ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวด และฉันจะอดทนแม้แทบขาดใจ
     ไม่อาจจะวิ่งหนีความจริง ที่มันโหดร้าย จะพร้อมจะยอมเข้าใจความเปลี่ยนแปลง
      จะอยู่เพื่อเรียนรู้ความเจ็บปวด จะฝืนเดินต่อไป แม้ไร้เรี่ยวแรง
      และคงมีที่ซักวันหนึ่ง ฉันจะเข็มแข็ง แม้ไม่รู้ ต้องนานซักเท่าไหร่...”
(ความเจ็บปวด : Palmy Eve ปานเจริญ)

      แหวน เพื่อนร่วม partition ของผม นับว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจความเจ็บปวดของผมได้มากที่สุด แม้ว่า แหวนเองจะไม่สามารถบรรเทาความทุกข์ร้อนของผมลงได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกดี ที่อย่างน้อยก็ยังมีแหวน เคียงข้าง และเข้าใจผมอยู่เสมอ
     แหวนเคยถามผมครั้งหนึ่งว่า ผมจริงจังกับความสัมพันธ์ของผมกับน้อยแค่ไหน ผมตอบแหวนไปว่า คงเหมือน จอห์น กับ ที มั้ง (ละครเรื่อง รักแปดพันเก้าของ exact เมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนี้จบไปแล้วครับ) แหวนบอกผมว่า ขอให้ นพกับน้อย เหมือน จอห์น กับ ที นะ สุดท้ายแล้วก็จบลงได้ด้วยดี ครั้งนั้น ผมยิ้มรับกับคำพูดของ แหวน และ คิดอยู่ในใจว่า ผมก็หวังจะให้มันเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่...


อย่างที่บอก ผมเผชิญกับ พฤติกรรมของน้อยที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ น้อยเองก็คงมองว่าผมเปลี่ยนไปเช่นกัน ผมโทรเกาะติดน้อยมากขึ้น โมโหใส่น้อยมากขึ้น ผมร้องไห้กับเขาบ่อยมากขึ้น หากจะถามผมว่า ผมอยากทำอย่างนั้นหรือไม่ ผมคงไม่อยากเป็นอย่างนั้นหรอกครับ ระยะหลังๆน้อยมักจะว่าผมเสมอว่า เวลาผมมีปัญหาอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วมันจะช่วยอะไรได้ นั่นสินะ ผมเองอาจจะร้องไห้ เพื่อให้น้อยสงสาร เห็นใจผม และ ให้เรากลับมารักกันเหมือนเดิม โดยผมไม่ได้คิดเลยว่า น้ำตาของผม มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ต่อให้ผมพยายามร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็ตาม หากน้อยจะไปแล้ว คงไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความต้องการของเขา


*
      ในช่วงวิกฤตของชีวิตในครั้งนี้ของผม อะไรๆรอบตัวผมก็ช่างดู อ่อนไหว ไปหมด ผมกลายเป็นคนร้องไห้ง่ายๆ แค่ดูหนัง ฟังเพลง อะไร อะไร ก็ดูเศร้าไปหมด จะทำอะไรก็หดหู่ใจ เวลานอนก็นอนไม่หลับ เวลาตื่นก็ตื่นนอนไม่ไหว (แต่ยังพอกินข้าวกินปลาได้) ผมเคยร้องไห้จนกระทั้งหลับไปตอนนั้นก็ไม่รู้ตัว ช่วงนั้น หนวดเคราผมก็ไม่โกน ผมย้อนมาดูรูปถ่ายตัวเองในช่วงนั้นเลยรู้ว่า ผมโทรมเอามากๆ ดูคล้ำลง ลงพุง ไม่มีราศีเอาซะเลย
      มีครั้งหนึ่ง ผมดูรายการ talk show รายการหนึ่ง ซึ่งเขาพยายาม ศัลยกรรม ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาเรื่องหนังตา ดันให้ลูกตาปูดและถล่นขึ้นไป (ค่อนข้างน่ากลัวครับ) ทางรายการพยายามรักษาให้ ผู้หญิงคนนี้ กลายเป็นปรกติมากที่สุด จริงๆผู้หญิงคนนี้มีสามีแล้วนะครับ ดูผู้ชายก็เป็นคนดีเอามากๆ แม้ผู้หญิงจะเป็นแบบนี้ก็ยังรัก มีตอนนึง ที่พิธีกรถามผู้ชายว่า อยากให้ ภริยาหายเหมือนคนปรกติไหม ผู้ชายกลับบอกว่า ไม่อยาก เพราะกลัวว่า ถ้าภริยาเขาเหมือนคนปรกติ แล้วจะทิ้งเขาไป คำพูดของผู้ชายคนนั้นเพียงเท่านั้น เหมือนกับมีอะไรโดนใจผมเข้าอยากแรง พอผมฟังแค่นั้น ผมก็ร้องไห้ออกมา เท่าที่น้ำตาผมจะมี
     ตอนเช้า แหวนเห็นผมก็ทักผมว่า ทำไมตาผมบวมเป็นมะนาวเลย ผมเล่าให้แหวน ฟังเรื่อง สองสามีภริยาคู่นี้อีกครั้ง (แหวนเองไม่ได้ดู) ผมเล่าไปก็ร้องไห้ไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมกลายเป็นคนอ่อนไหวเอามากๆ เหตุผลที่ผม in กับเรื่องของสองสามีภริยานี้อาจจะเพราะว่า ผมสะเทือนใจกับคำพูดของผู้ชายคนนี้ ผมนับถือน้ำใจเขาจริงๆครับ ที่สามารถมองผ่านรูปกายภายนอก เข้าไปถึงจิตใจของผู้หญิงคนนั้นได้ ไม่ว่าผู้หญิงจะน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาใครๆ แต่ผู้ชายก็ยังรัก และ รักมั่นคง รักจนกลัวว่าผู้หญิงจะไม่รักเขา ทั้งๆที่ผู้หญิงเองต่างหาก ต้องเป็นฝ่ายกลัวว่าผู้ชายน่าจะทิ้งเขาไปหาผู้หญิงคนใหม่มากกว่า
      ผมรับรู้เรื่องราวของคู่นี้แล้วก็มาย้อนดูตัวเอง ผมมีอะไรบ้างที่สู้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ถึงผู้หญิงคนนี้ฐานะทางสังคม และการศึกษาอาจจะจำกัดไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงคนนี้มีมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือ เธอโชคดีที่มีผู้ชายคนนั้น คนที่รักเธอมากกว่าใครๆ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมแสวงหาว่าผมอยากจะมีอย่างเธอบ้าง ผมคงทำบุญมามากไม่เท่าเธอในเรื่องนี้จริงๆ


*
      มีช่วงหนึ่งที่ ฝ่ายของผม rotate งานใหม่ ผมเลยไม่ได้นั่งร่วม partition กับแหวนอีก แต่เปลี่ยนไปนั่งคู่กับ พี่ผู้หญิงคนนึง ชื่อ พี่อ้อ พี่อ้อ เธอเป็นคนน่ารัก คุยสนุก และชอบดูหนังเกาหลีเป็นที่สุด (ผมก็ได้ดู autumn in my heart เพราะพี่อ้อนี่แหละครับ เอามาให้ผมยืมดู คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นเผาเต่าแค่ไหน เอาเป็นว่า ผมลืมตาไม่ขึ้นเลยก็แล้วกัน วันรุ่งขึ้นก็ใส่ contact lens ไม่ได้เจ็บตามากๆ ผมนึกในใจว่าผมหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เรื่องตัวเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ยังคิดจะดูหนังเศร้าในช่วงที่สภาวะจิตใจไม่เป็นปรกติอีก)
      ผมทำตัวงี่เง่ามากๆอีกครั้งนึงในชีวิต หลังจากที่ช่วงหลังๆ ผมโทรหาเขา เขาก็ไม่รับ message ไปก็เหมือน ข้างหินลงน้ำ (โยนเงินให้ operator ครั้งละ 3 บาท ทิ้งไปเล่นๆ) ผมขอยืมโทรศัพท์พี่อ้อ โทรหาน้อย น้อยรับสายผม อาจจะเพราะไม่รู้ว่าเป็นผมโทรไป
      น้อย : “สวัสดีครับ”
      นพพร : “น้อย ผมเอง คุณกับผมหน่อยนะ ผมอยากคุยกับคุณ”
      น้อย : “ผมยุ่งอยู่นพ กำลังติดอีกสายนึงอยู่ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ”
      นพพร : “ผมสำคัญน้อยกว่า สายที่คุณคุยอยู่เหรอน้อย” ผมคิดไปได้ยังไงว่าตัวเองยังสำคัญสำหรับน้อยอยู่... ผมคิดผิดเอามากๆ   
      น้อย : “แค่นี่ก่อนแล้วกัน....” น้อยวางสายไป โดยไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ

      คงไม่ต้องบอกว่าผมจะรู้สึกยังไง ผมเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์อยู่ซักพัก ก่อนกลับมานั่งทำงานเหมือนเดิม ทั้งๆที่จิตใจก็ยังคงย่ำแย่กับสิ่งที่น้อยทำกับผมเมื่อซักครู่ ผมกะพี่อ้อ ชอบฟังเพลงพอๆกัน ผมเลยเอาวิทยุเล็กๆไว้เครื่องนึง ตั้งระหว่างผมกับพี่อ้อ ตอนนั้น เพลงที่ผมจะพูดถึงกำลัง promote อยู่เลยครับ
      “...หยุดไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก จะให้ทำอย่างเธอนั้นมันไม่ได้หรอก
      หยุดไม่ได้หรอก หากว่าทำอย่างนั้นมันฝืนใจ
      จบไม่ได้หรอก จากไม่ได้หรอก ฉันรักเดียวใจเดียว
เธอคนเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น
      สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันต้องเลิกคบเธอ
เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น
      สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ
ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย...”
                                                       (หยุดไม่ได้...ขาดใจ : อ๊อฟ ปองศักดิ์)

      พี่อ้อ : “นพ นพ พี่ชอบเพลงนี้จัง เพราะดีเนอะ” พี่อ้อพูด โดยไม่รู้ว่า ผมกำลัง in กับเนื้อหาของเพลงนี้อยู่เหมือนกัน...พลางคิดไปว่า พี่สีฟ้า แต่งเพลงนี้ให้ผมอีกแล้วเหรอนี่...
      นพพร : “ครับ เพราะดี พี่อ้อครับ พี่อ้อเคยรู้สึกเหมือนเพลงนี้บ้างหรือเปล่า พี่อ้อเคยรักใคร และหยุดรักไม่ได้เหมือนเพลงนี้ไหมครับ”
      พี่อ้อ : “อืม... พี่เคยคบกับผู้ชายคนนึง ตั้งแต่ เรียนมหาวิทยาลัย แล้วก็พึ่งเลิกกันไปก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่พี่ออกจากที่ทำงานเดิมทั้งๆที่มีแต่คนคัดค้าน แต่ว่าพี่ไม่สามารถอยู่กับ บรรยากาศเดิมๆ เจอผู้คนเดิมๆได้ (ก็คงรวมทั้งหมอนั้นด้วย...ผมคิดในใจ) แม้ว่าที่นี่จะให้เงินเดือนน้อยกว่าที่เดิม พี่ก็ถือว่าพี่สบายใจมากกว่า ถ้าจะถามว่า พี่รักใครมาก จนขาดไม่ได้ ถึงกับต้องหยุดหายใจไหม นพก็เห็นว่า พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ แม้ว่า ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มันจะผ่านไปยากซักหน่อย นพรู้ไหม ตอนเลิกกันแรกๆ พี่ก็ทำใจไม่ได้ พี่นั่งนับวันว่า ไม่ได้คุยกับเขามากี่วันแล้ว นับจนวันหนึ่งจำไม่ได้ว่านับเป็นวันที่เท่าไหร่ สุดท้ายพี่ก็เลิกนับไปเอง...ว่าแต่นพเถอะมีอะไรหรือเปล่าถึงถามพี่แบบนี้”
      นพพร : “ผมกำลังคิดว่า ผมกำลังจะหยุดหายใจ...”
      พี่อ้อ : “อะ อะ อะ ไปรักสาวไหน แล้วเขาไม่รับรักเธอหรือจ๊ะ” พี่อ้อไม่รู้เรื่องของผมมาแต่ต้น และผมไม่เคยคุยเรื่องนี้ให้เขาฟัง
      ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไร มีแต่น้ำตา ที่ไหลออกมา อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
      พี่อ้อ : “นพ นพ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบไปเลย... เฮ้ย ร้องไห้ทำไม... โอ้ โอ้ ไม่มีใครรัก แต่พี่ก็รักเธอนะ...”
     นพพร : “ขอบคุณครับพี่อ้อ...” ผมพูดอะไรต่อไม่ไหวแล้ว เลยตอบพี่อ้อไปแค่นี้


    เวลาคนมีปัญหาหรือความทุกข์ใจเรื่องอะไร เราก็จะจับจด คิดซ้ำๆ วนไปเวียนมาอยู่เรื่องเดิม เหมือนพายเรือในอ่าง ผมเองก็เช่นกัน ผมมานั่งนึกว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา เกิดอะไรขึ้นกับน้อย ผมเองอยู่ไกลมาก จนไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขาเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ และความห่างไกลนี่ ทำให้ใจเขาเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่ ผมไม่มีทางรู้ได้เลยซักนิด
      เวลาที่เราอยากรู้อะไร แล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ เราก็จะเป็นทุกข์ ผมพยายามคิดแล้วคิดอีก คิดทบทวนไปมาว่าน้อยมีคนอื่นหรือไม่ ผมทำอะไรผิดน้อยจึงเปลี่ยนไป แหวนเองก็วิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้ว่า น้อยอาจจะมีคนอื่น แม้ว่าผมค้านอยู่ในใจลึกๆว่า เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่ผมก็คงปฎิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่า น้อยจะไม่มีคนอื่นจริงๆ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นคือ ผมได้แต่เฝ้าโทษตัวเองว่าผมทำอะไรผิดไป ผมทำตัวน่ารำคาญสำหรับเขาหรือเปล่า หรือว่าผมจู้จี้กับเขามากไปหรือเปล่า หรือว่างานของน้อยที่ส่งให้ผมขออนุมัติมีปัญหา หรือว่าผมงี่เง่าอะไรกับเขาทำให้เขารำคาญหรือเปล่า ผมพยายามหาจุดบกพร่องของผม และพยายามเยียวยาแก้ไขมันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จริงๆแล้ว ผมคิดว่า สาเหตุสำคัญอาจจะเพราะ น้อยเองก็ไม่กล้าคบกับผมอย่างเปิดเผย ทำให้น้อยเองก็อึดอัด น้อยอาจจะแคร์สังคมหรือสายตาคน พี่บล(เพื่อนร่วมงานน้อยที่ผมเคยเล่าให้ฟัง)ก็อาจจะมีส่วนกดดันน้อย เอาเรื่องความสัมพันธ์ของน้อยกับผมไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง จนน้อยเองอาจจะเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมงาน มีแต่คนคอยจับจ้องเวลาน้อยคุยกับผม แต่นั้นก็เพียงการคาดเดาของผมเท่านั้น สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงได้ น้อยเองไม่เปิดโอกาสให้ผมรับรู้ถึงปัญหา และหาทางแก้ไข สิ่งที่ผมรู้เพียงสิ่งเดียวก็คือ “น้อยไม่รักผมแล้ว” จริงๆเพียงแค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับเหตุผลที่น้อยทิ้งผมไป

      ความรักบนความทุกข์ของผม ทำให้ผมไม่เป็นปรกติเหมือนเก่า แม้ผมพยายามจะไม่ให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับเรื่องงานมากนัก แต่ผมก็ไม่สามารถทำงานได้ประสิทธิภาพอย่างเดิมได้ จากที่ผมไม่เคยมาทำงานสาย ผมก็กลายเป็นคนที่ตกเส้นเป็นประจำ งานที่ผมทำก็ผิดพลาดเยอะมากขึ้น ทั้งๆที่ผมพยายามเอาใจใส่กับงาน ระหว่างเวลางานผมก็พยายามไม่คิดถึงน้อย แต่ทำอย่างไรได้ครับ ผมยังคงต้องอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ แม้ว่าผมจะไม่ได้ทำงานที่ทำงานเดียวกับน้อยก็ตาม แต่ผมก็ยังต้องเห็นงานน้อยเข้ามาอยู่ในมือผม แค่เห็นลายเซนต์น้อย ผมก็แทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว มีแต่น้ำตาที่ไหลเปื้อนเอกสารของน้อย ผมเหมือนคนไร้สติ เฝ้าแต่ลูบคล้ำลายเซนต์ของน้อยแล้วก็คิดถึงหน้าของเขา คิดถึงคำพูดของเขา ที่บอกว่า รักผม รักผม...
      วิกฤตชีวิตของผม ย่อมอยู่ในสายตาของ ทุกๆคนในที่ทำงานที่วิพากษ์วิจารณ์ผมไปต่างๆนานา จริงๆผมเองไม่ค่อนจะสนใจใครเท่าไหร่ และคิดว่าคงไม่มีใครสนใจเรื่องของเราไปได้ตลอดเวลา ผมคิดว่า พี่น้ำเองก็คงรู้ว่าผมมีปัญหา แต่พี่น้ำค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ แม้แกจะรู้ว่าผมมีอะไรที่ผิดปรกติไปบ้าง แต่แกก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไรผมรุนแรง พี่น้ำบอกผมแค่ว่า ให้ผมรับผิดชอบงานของผมให้ดีที่สุด ให้ดีสมกับที่แกเคยไว้วางใจผมมาโดยตลอด
      แต่คนอื่นๆสิครับ... ไม่เหมือนพี่น้ำ แหวนเล่าให้ผมฟังว่า มีหลายคนถามแหวน เพราะเห็นว่าผมสนิทกับแหวน และ ทานข้าวกับแหวนเป็นประจำ (แต่ระยะหลังๆ ตั้งแต่ rotate งาน และ restructuring องค์กร ผมไม่ได้นั่งข้างแหวนแล้ว ผมก็เลยไม่ค่อยได้ทานข้าวเที่ยงกับแหวน ส่วนหนึ่ง เพราะเรานั่งไกลกัน แล้วก็มีเหตุการณ์ประมาณว่า แฟนแหวน ซึ่งทำงานอีกฝ่ายในบริษัท เข้าใจผิดว่า ผมกับแหวน สนิทสนมกันเกินเพื่อน (ก็คงมีใครเอาไปพูดให้พี่วิน แฟนแหวนรู้เข้าล่ะครับ พี่วินเลยเข้าใจผมผิด) ผมเลยตัดปัญหา แยกกันทานข้าวกับแหวนแล้วกัน... แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมสนิทกับแหวนน้อยลง) คนเหล่านั้นถามแหวน เรื่องผม ประมาณว่า ผมมีปัญหาอะไร อกหักหรือเปล่า ดูเงียบๆ ซึมๆ เห็นผมร้องไห้ ตาบวม บางคนถามแหวนตรงๆเลยว่า ผมกับน้อยเป็นแฟนกันใช่ไหม เห็นเขาดูสนิทกันมาก ... สังคมที่ทำงานก็คงเป็นแบบนี้ ทุกๆที่ (ผมว่านะ) ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาถามผมตรงๆ ผมก็ได้แต่สงสารแหวน ที่ต้องคอยปฏิเสธแทนผมอยู่เรื่อยๆ ว่าไม่มีอะไร นพแค่มีปัญหาเรื่องงาน ทำงานไม่ทันนิดหน่อย เท่านั้น ที่ผมตกใจก็คือ แม้แต่หัวหน้าแหวน (แหวนย้ายไปขึ้นกับหัวหน้าอีกคนที่ไม่ใช่พี่น้ำ แต่อยู่ระดับเดียวกัน) ก็ยังถามแหวนว่า ผมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แถมยังบอกว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไร เขาแค่เห็นผมอาจจะมีปัญหา ก็เลยเป็นห่วงเท่านั้นเอง (ไม่รู้ว่าห่วงผมจริงๆหรืออยากรู้เรื่องผมกันแน่...แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรกับแกมากขนาดต้องมาคิดมากเรื่องนี้ แค่เรื่องน้อย ผมก็แย่พอแล้ว)
      ผมซึ้งใจมากที่แหวนตอบหัวหน้าเขาไปว่า ไม่ว่าพี่อยากจะรู้เรื่องผมด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แหวนก็ขอขอบคุณแทนผมที่เป็นห่วงผม ถ้าผมรู้ผมก็คงดีใจ ถ้าพี่เป็นห่วงนพจริงๆก็ขอพี่อย่างหนึ่งว่าอย่าไปซ้ำเติมนพด้วยการมองนพ แล้ววิพากษ์วิจารณ์นพ เสียๆหายๆอีกเลย... You are my best friend แหวน... ผมยังคิดเลยว่าแหวนช่างกล้าจริงๆ ที่พูดแบบนั้น เอาเถอะ อย่างที่บอก ผมไม่ค่อยสนใจใครแล้วในขณะนั้น ใครจะมองผมเป็นไร ใครจะนินทาผม หาว่าผมวิปริต ผิดเพศอะไรก็ช่างเถอะ ผมแค่อยากได้น้อยคืนมา แค่นั้นก็พอ


      วันสุดท้ายที่ผมรู้ว่า ผมไม่มีทางได้น้อยกลับคืนมาก็คือ ผมให้แหวนโทรหาน้อยให้หน่อย ครั้งแรกๆที่ผมทะเลาะกับน้อย ก็ให้แหวนนี่แหละ คอยช่วยคุยกับน้อยให้ผม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมคิดว่า นี่อาจจะเป็นวิธีการสุดท้ายที่ผมสามารถจะดึงน้อยกลับคืนมาได้ น้อยสัญญากับแหวน ว่า น้อยจะคุยกับผมเอง วันนั้นผมดีใจมาก ผมเฝ้ารอ โทรศัพท์น้อยตลอดทั้งวัน และ คิดว่า วันนี้ผมจะคุยกับน้อยดีๆ ไม่โมโหใส่เขา ไม่ร้องไห้กับเขาอีก กว่าน้อยจะโทรหาผมก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่า แต่ช่างเถอะให้ผมรอนานกว่านี้ ผมก็รอได้
      น้อย : “นพมีอะไรหรือเปล่า”
      นพพร : “น้อย... น้อยอย่าวางสายนะ คุยกับนพนะ นพอยากคุยกับน้อยนะ...”
      น้อย : “มีอะไรก็ว่ามา...พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า”
      นพพร : “น้อย...น้อยเป็นอะไรไปหรือเปล่า นพทำอะไรผิดไปหรือเปล่า น้อยถึงไม่โทรหานพเลย”
      น้อย : “ผมแค่อยากรู้ว่า ถ้าเราไม่ได้คุยกัน ผมจะคิดถึงคุณไหม ผมจะทนได้หรือเปล่าที่ไม่ติดต่อกับคุณอีก ก็เท่านั้น”
      นพพร : “แล้วคุณทนได้ไหม คุณคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าน้อย”
      น้อย : “มันยังไม่นานพอที่จะพิสูจน์ได้”
      นพพร : “แค่ผมทนไม่ได้นะน้อย ผมทนไม่ได้ที่จะสูญเสียคุณไป ผมทำอะไรไม่ดี คุณบอกผมนะ ผมจะปรับปรุงตัวทุกอย่าง แค่ขอให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมนะน้อย...” ไม่เหลือแล้วครับ ศักดิ์ศรีของผม
      น้อย : “แค่นี้ก่อนนะนพ ผมจะนอน ผมง่วงแล้ว”
      นพพร : “อย่าพึ่งวางสายนะ... น้ อ ย ย ย ย ย ย” น้อยวางสายไปโดยไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ

      ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำอะไรอีกแล้วครับ ผม message ฝากแหวนลาป่วยให้ผมพรุ่งนี้ ผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆได้ ว่าหัวใจที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกนั้นเป็นยังไง ภาพของผู้ชายคนนึง นอนกอดหมอนแล้วร้องไห้อย่างข่มขืน ใต้ผ้าหม่ คงจะบรรยายถึงความรู้สึกของผมได้ คงซักเพียงครึ่งเดียวกับความรู้สึกของผมที่มีอยู่ คืนนั้น ผมแน่ใจแล้วว่า ผมสูญเสียน้อยไปจริงๆ ผมไม่มีวันจะได้น้อยกลับคืนมาแล้วจริงๆ

    วันเวลาที่โหดร้ายของผมดำเนินมาเรื่อยๆ ผมเหมือนเข้ามาถึงจุดกึ่งกลางของความเหวลึกซึ่งผมมีทางเลือกสองทาง คือ ผมจะปล่อยให้ตัวเอง ถล้ำลึกลงสู่ก้นเหว หรือว่าผมจะพยายามปีนป่ายขึ้นมาจากเหวนั้นให้ได้ ผมควรจะเลือกทางไหนดีครับ ตอนต่อไปคือคำตอบครับ.... ผมจะพยายาม pose ให้ทัน เพื่อฉลองวันวาเลนไทน์ครับ







suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #47 เมื่อ09-02-2007 17:26:48 »

นพ น่าสงสาร อ่ะ  :impress:
แต่ก็ยังดี ที่มีเพื่อนดี ๆ แบบหวาน  :teach:

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #48 เมื่อ09-02-2007 17:34:08 »

นั่นสินะครับ  ก็แค่การที่เราอยากจะเจอใครสักคน  ที่จะคอยเคียงข้าง  เข้าอกเข้าใจ  เดินไปด้วยกัน  ร่วมทุกข์และร่วมสุข
และแค่ต้องการคนที่จามาร่วมจังหวะชีวิตที่สอดคล้องกัน

การที่เราคิดว่าเขาคนนั้นคงจะใช่  นั่นก็ทำให้มีความสุขมากๆ ทีเดียว  และการที่เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นยังคงอยู่ไปด้วยกันตลอด  ก็คงจาไม่ใช่เรื่องแปลก  และคนทั่วไปเขาก็ทำๆ กัน

แต่ว่านะ  เรากลับไม่รู้ตัวเลยว่า  สิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันต่างออกไป  เราห่วงมากขึ้น  เราหวงมากขึ้น  เราเฝ้าตามมากขึ้น  เราคิดถึงมากขึ้น  ทำเรื่องทุกอย่างมากขึ้นกว่าเดิม

โดยลืมไปเลยว่า  เขาคนนั้นชอบเราก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลง  ชอบเราด้วยความที่เปนตัวเรา  ไม่ใช่คนที่ให้มากมายขนาดนั้น

แต่เขาก็คงจาไม่รู้เช่นกันว่า  ที่เราทำไปทั้งหมดนั้น  
ก็เพราะรักยังไงละ

ก็รู้หรอกนะว่าเมื่อมีสุข  แล้วก็มีทุกข์  ย่อมเปนของที่คู่กัน  แต่ว่านะ   ใครจะรู้บ้างละว่า  ความทุข์หลังความสุขนั้น  มันหนักหนามากขนาดไหนอะ  ถ้าม่ายเจอก็คงม่ายรู้หรอกเนอะ

สุดท้ายนะ  ที่เราจะทำได้ก็คงจาเปนว่า  ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น  ถึงแม้ว่ามันจะยากขนาดไหน  ชีวิตของเราก็ยังต้องดำเนินไปอยู่ดี  ปัจจุบันยังมี  พรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึงซะด้วยสิ  กับแค่คนๆ เดียว  ทำไมต้องยอมแลกทั้งชีวิตที่เหลือ  กับคนที่รอเราในทางข้างหน้าด้วยอะ  จริงมั้ย?

สุดท้ายนี้  ก็ขอเปนแรงใจหั้ยกับคุนนพพรต่อไป
พรุ่งนี้ยังมี  หากเรายังเดินต่อในวันนี้  

ขอบคุนคุนบลูที่ช่วยเอาเรื่องนี้มาหั้ยอ่านด้วยนะคร้าบบบบบบ   :monkeysad: :impress3: :monkeycry2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #49 เมื่อ09-02-2007 18:26:11 »

อ่านไปแล้วรู้สึกถึงความรู้สึกคุณนพเลย... มันเหงา เศร้านะคะ

การที่เราจะรักใครซักคน  อย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้ความรักจากเค้ากลับมาเต็มร้อยเลย
รักให้เป็นสุข  อย่าไปครอบครอง  คนทุกคนต่างมีชีวิต มีทางเดินเป็นของตัวเอง
เมื่อรักมันไม่เป็นดั่งหวัง  รักไม่เกิดจากคนสองคน ความเจ็บปวด ผิดหวังคงตามมา
ถ้ามันเจ็บเพราะรักก็ตัดมันไปซะ  ชีวิตยังมีสิ่งดีดีรอเราอยู่อีกมาก 
เพียงแค่เราทำตัวเองให้มีค่า ทำให้ดีที่สุด ซักวันความรักที่ฝันถึงคงมาในวันที่ใจพร้อม

สู้สู้น้า  เป็นกำลังใจให้ (ว่าแต่เรื่องนี้มันผ่านไปแล้วใช่ปะ อิอิ) รออ่านต่อเสมอ  :yeb:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story]นายนพพร by นพพร
« ตอบ #49 เมื่อ: 09-02-2007 18:26:11 »





ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #50 เมื่อ09-02-2007 18:34:52 »

รออ่านคำตอบของคุณนพพร ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรมาก
เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง คงไม่สามารถใช้ความเห็นของอีกคนมาตัดสินใจอะไรได้
แต่อย่างน้อยก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ และคุณมีเพื่อนที่ดีมากเลยค่ะ

ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาให้อ่าน  :myeye:

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #51 เมื่อ13-02-2007 00:09:32 »

สงสารคุณนพพรอย่างแรง :monkeycry2: :monkeycry2: :monkeycry2:
ถ้าคุณน้อยมะเริ่มเรื่องนี้ขึ้นมา  :pigangry2:   คุณนพพรก็คงมะต้องเสียใจอย่างนี้นะคับ :monkeysad:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #52 เมื่อ15-02-2007 00:04:30 »

อิอิ  เอามาฉลองวาเลนไทน์หน่อย ช้าไปนิด อิอิ

**************************************************************

“ธรรมะของนพพร”

        ถ้าเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนนี้ เป็นเพียงแค่ละครเรื่องหนึ่ง ละครเรื่องนี้คงเป็นเพียง “โศกนาฎกรรมความรัก” ที่ตัวเอกของเรื่องไม่สมหวังและอาจจบลงด้วยความตาย
        เพียงแต่เรื่องที่ผมเล่า เป็นเรื่องซึ่งอ้างอิงกับเรื่องจริงของนายนพพร ซึ่งยังมีชีวิตและตัวตนอยู่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ และไม่อาจจบลงด้วยความตาย เพราะเรื่องเพียงแค่นี้ได้เท่านั้น
        ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ผมเองยังมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องความรักในด้านดีอยู่เสมอ เรื่องที่ผมเล่าในครั้งนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกให้น้อยกลับมา ความรักที่น้อยมีให้ มันเป็นอดีตไปแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็น The river of no return อาจมีบ้างบางครั้งที่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะคิดถึง รัก และเป็นห่วงน้อยอยู่บ้าง หรือหากวันนึง น้อยกับนพพรจะกลับมาเจอกันอีก ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
        หากแต่ความรักของผมจะเป็นสิ่งเตือนใจทุกคนให้เห็นว่า ชีวิตคนเราก็เท่านี้ มีเกิดมีดับ รวมทั้งเราจะต้องเตรียมตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะต้องการให้มันเกิดหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าผมบรรลุเป้าหมายทั้ง 12 กระทู้ของนายนพพร อย่างที่ตั้งใจไว้

*
        ตอนนี้เป็นตอนที่ผมรอคอยและอยากจะเขียนมากที่สุด ครั้งที่แล้ว ผมทิ้งปริศนาไว้ว่า ผมควรจะปล่อยตัวเองให้ลงไปถึงก้นเหว หรือว่า ผมจะพยายามปีนขึ้นมา ผมคงตอบได้ว่า ชีวิตผมเฉียดที่จะลงไปถึงก้นเหวแล้วครับ เพียงเพราะแต่ธรรมะเท่านั้น ที่พยุงผมให้ผมค่อยพยายามขึ้นมาจากเหวได้
        อย่านะครับ อย่าพึ่งคิดว่า นพพรเป็นคนธรรมะ ธรรมโม หรือเป็นคนเข้าวัดเข้าวา ทำบุญตักบาตร ฟังพระเทศน์เป็นประจำ เปล่าเลย ผมมักจะบอกใครๆว่า ผมนับถือศาสนาพุทธแต่ในบัตรประชาชน หรือ ในใบสมัครงานเท่านั้น ผมไม่เคยห้อยพระ (เด็กๆอาจจะเคยบ้าง แต่พอโตขึ้นผมรำคาญก็เลยไม่ใส่เลย) นานๆทีผมจะเข้าวัด ตักบาตรบ้างก็เพียงวันสำคัญ หรือไม่ก็โดนแม่บังคับ ผมไม่เคยบวชเรียน (ทั้งๆก็แม่ก็เคยเรียบๆเคียงๆถามผมมาบ้าง แต่ผมคิดว่าผมยังอดไม่ได้ที่จะฟังเพลง แล้วก็กินอาหารเย็น) แม้แต่นั่งสมาธิ ผมยังนั่งยังไม่เป็นเลยครับ (ตอนเข้าค่ายพุทธมามกะ ครั้งเรียนมัธยมต้น ผมก็หลับตาไปยังงั้น ไม่ได้ทำตามที่พระอาจารย์สอนเลย) ก่อนนอนผมก็สวดมนต์งึมงับ ไม่เคยคิดจะสวดมนต์จริงจัง ผมใช้ชีวิตแบบ คนเมืองที่มีแต่การแข่งขัน รีบเร่ง สะดวกสบายเข้าว่า เรื่องจะฟังเทศน์ฟังธรรม อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผมอยู่มาก



        ชีวิตคนเราเกิดขึ้น-ตายลง เป็นวัฎจักร และเป็นธรรมดาของโลกมนุษย์แห่งนี้ เราเองก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งของธรรมชาติ ผมพึ่งจะเรียนรู้ว่า ชีวิตเราโดนปรุงแต่งมากเกินไป เราใฝ่หาความสะดวกสบายของชีวิตอยู่ตลอดเวลา เราเหมือนจะถูกสอนให้สะสมซึ่งทรัพย์ภายนอก แต่ไม่เคยมีใครสอนให้เราสะสมทรัพย์ภายใน นั้นก็คือ จิตใจที่แข็งแกร่ง ผมผ่านการเรียนวิชาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ เด็ก จนจบ มัธยมปลาย แต่ถึงตอนนี้ ผมเพียงจำพุทธประวัติได้ คร่าวๆ หลักธรรม ที่เป็นภาษาบาลี สันสกฤต ผมก็เอาไว้ท่องตอนสอบเท่านั้น เลิกสอบก็ลืมกัน
        จริงๆแล้วผมไม่อยากจะให้มองว่า คนเราจะเข้าวัดต่อเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ ผมเองกลับคิดว่า ต่อให้เราเข้าวัดเข้าวาเป็น 100 วัดทั่วกรุงเทพฯ (หรือ จะไปไหว้ถึง อยุธยา) ก็ตามเถอะ มันไม่ช่วยอะไรเราได้เลย ถ้าใจเราไม่เปิดรับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และ พยายามเข้าใจหลักธรรมคำสอนเหล่านั้นอย่างแท้จริง
        สิ่งที่เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น สัจธรรมจริงๆครับ สิ่งที่ท่านทรงสอนไว้ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ หากจะถามผมว่า ผมเคยอ่านพระไตรปิฏกไหม ผมก็คงไม่มีโอกาสจะได้อ่านลึกซึ้งขนาดนั้น หรือหากจะถามผมว่า ผมพูดคำพระคำเจ้า แบบที่มันเข้าใจยากๆ พูดแบบให้ฟังแล้วดูดี (แต่แปลไม่ออก)ได้หรือไม่ ผมก็พูดไม่เป็นหรอกครับ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปล้วนเป็นคำธรรมดา เข้าใจง่ายๆได้ทั้งนั้นเลยครับ ท่านผู้อ่านจะได้ไม่ตกใจ ว่าผมจะมาเป็นรายการธรรมะวันอาทิตย์อะไรแถวนี้หรือเปล่า

        ผมเองเคยผิดพลาดมาในชีวิตก็หลายเรื่อง ใช่ว่าผมจะดีวิเศษมาจากไหน ใครๆก็คงทำผิดพลาดกันได้ แต่สิ่งที่พิสูจน์ความเป็นมนุษย์ก็คือ เราจะสามารถ อดทน และก้าวผ่านความผิดพลาดและหาทางแก้ไขความผิดพลาดนั้นได้หรือไม่
        เหมือนมีอะไรช่วยชีวิตผม ผมได้รับ forward mail จากเพื่อนผมคนนึง เล่าเรื่องในสมัยพุทธกาลให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จพบ ผู้หญิงคนนึงซึ่งนางกำลังจะฆ่าตัวตาย เพราะสามีของนางทิ้งนางไปมีผู้หญิงคนใหม่ พระพุทธเจ้าเห็นดังนั้นก็ ตรัสแก่นางว่า นางจะเสียใจไปใย เพราะนางไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลย นางเพียงเสียคนที่ไม่ได้รักนางไป ซึ่งนั้นก็ไม่มีค่าอะไร แต่สามีของนาง เสียคนที่รักเขาอย่างนางนั่นสิ ถือว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ สามีของนางต่างหาก ที่เป็นคนสูญเสีย และ ต้องเสียใจมากที่สุด
        ผมไม่รู้หรอกว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะเรื่องนี้ก็คงเกิดขึ้นมามากกว่า 2550 ปี แต่มันไม่ได้สำคัญว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริงหรือไม่ ความสำคัญอยู่ที่ มันคือวิธีการคิดที่ชาญฉลาดของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้มากกว่า
        E mail ฉบับนี้เอง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมคิดได้ แม้จะไม่ได้ทำให้ผม enlightenได้ในทันทีก็ตามเถอะ จนปัจจุบัน ซึ่งก็ผ่านเรื่องราว มาเกือบจะครบปีแล้วก็ตาม ก็ใช่ว่าผมจะคิดได้ หรือ ทำใจได้ 100% แต่ สุภาษิตฝรั่งบทหนึ่งบอกว่า “A good start is a half win.” แม้แต่สุภาษิตจีน เชื้อชาติต้นตระกูลผมเองยังบอกว่า “หมื่นลี้ย่อมเริ่มด้วยก้าวแรก” อย่างน้อย ผมก็ยังถือว่า ผมได้เริ่มต้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ดีเท่าที่ควรก็ตามเถอะ ก็ยังถือว่า ผมก็ยังพยายาม


        ผมเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องน้อยอยู่นาน จนผมคิดว่า ผมเองไม่สามารถทนอยู่กับสภาพตัวเองแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ผมจึงปรึกษาแม่ว่าผมจะลาออกมา อ่านหนังสือสอบ ผมขอแม่ผมเรียนโทต่ออีก 1 ใบ เผื่อจะเป็นหนทางให้ผมต่อปริญญาเอกได้ ซึ่งแม่ผมก็อนุญาต (ขอบคุณครับแม่)
        นับเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญในชีวิตผม ผมยื่นใบลาออกกับพี่น้ำ พี่น้ำเองคงไม่แปลกใจมากนักที่ผมลาออก เพราะคงเห็นผมไม่มีใจกับงานเท่าไหร่แล้ว ผมบอกพี่น้ำว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงาน ระยะเวลาที่เหลืออีก เดือนครึ่ง ผมจะ clear งานเก่าให้เสร็จทั้งหมด ส่วนงานใหม่ ให้พี่น้ำพิจารณาว่า จะให้ผมทำเรื่องอะไรบ้าง บางเรื่องอาจจะรบกวนให้พี่น้ำส่งต่อให้เจ้าหน้าที่คนอื่นทำแทน เพื่อผมจะได้มีเวลา clear งานที่มีอยู่ในมือผมทั้งหมดให้เสร็จ โดยคนที่มารับผิดชอบต่อจากผมจะได้ไม่ต้องด่าผมลับหลังว่าต้องมา clear งานค้างของผม (ซึ่งผมเองก็เคยไม่พอใจ เจ้าหน้าที่คนก่อนมาแล้วเหมือนกันที่ทิ้งงานให้ผมดื้อๆเลย ปรากฎว่ามีงานสำคัญใกล้ dateline ผมเลยต้องวุ่นตามเสนองานให้เจ้าหน้าที่คนก่อน อย่างไม่ค่อยเต็มใจ ผมเลยไม่อยากให้ใครที่มาทำงานต่อจากผมว่าผมได้)


        ผมยังคงทำงานให้น้อย จนวินาทีสุดท้ายที่ผมทำงานอยู่ที่นี่ ผมกล่าวลาเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งพี่ๆที่ผมประสานงานด้วยในสาขาต่างจังหวัด เกือบทุกคน ยกเว้น สาขาของน้อย (ซึ่งรวม พี่คิด หัวหน้าน้อย พี่บล แล้วก็น้อย) ผมไม่อยากให้ผมมีอะไรค้างคากับน้อยอีก ผมอยากไปแบบเงียบๆ ให้ต่างคนต่างเหลือความทรงจำที่ดีของกันและกันเอาไว้บ้าง และไม่อยากให้น้อยคิดว่าผมลาออกเพราะเขา และจากนี้ต่อไป ผมก็ไม่อยากให้น้อยเองต้องลำบากใจที่ต้องประสานงานกับ เจ้าหน้าที่ในสำนักงานใหญ่อย่างผมอีก (แต่ยังไม่ทันพ้นวันก็มีสายโทรไปรายงานน้อยให้รับรู้ถึงที่ว่าทราบเรื่องที่ผมลาออกหรือยัง...)
        ผมเชื่อว่า การที่ผมออกจากบรรยากาศเดิม ผู้คนเดิมๆ อาจจะทำให้ผมลืมความทุกข์ลงไปได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็อาจจะเป็นส่วนช่วยบ้างส่วนนึง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ผมเองก็ยังคงจมอยู่กับความทุกข์ที่น้อยทิ้งผมไปอีก ร่วม ครึ่งปีได้ 6 เดือนครับ 6 เดือนซึ่งมีแต่ความทรมานใจ ความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสแต่นั้นก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ครับ การที่ผมอยู่เฉยๆ ได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรด้วยใจที่ปรกติขึ้น ผมจึงสามารถเปิดใจรับธรรมะเข้ามาอยู่ในใจผมได้มากขึ้น ผมกำลังหมายความว่า ผมเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติมนุษย์ได้ดีมากขึ้น เมื่อธรรมะ เข้าแทรกซึมในใจผมที่ละนิด มันก็เข้ามาแทนที่ความเศร้าโศกเสียใจที่มีอยู่ได้บ้าง
        คงไม่มีใครให้กำลังใจเราได้ดีเท่ากับเราให้กำลังใจตัวเอง ผมได้เรียนรู้การมีชีวิตให้เป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในโลกปัจจุบัน ที่อะไรๆก็รีบเร่ง ทุกอย่างกลายเป็นว่า อะไรก็ได้ที่เร็วที่สุด สะดวกสบายที่สุด จึงไม่แปลกใจที่เห็นอะไร อะไรก็เป็นของสำเร็จรูปกันไปหมด ความทุกข์ที่ผมมีนี่ก็เช่นกัน เดิม ผมต้องการ shortcut อะไรก็ได้ที่ทำให้ผม ทำใจไม่ให้เสียใจเรื่องน้อยได้เร็วที่สุด ใช่สิ!! ผมต้องมีคนอื่นมาแทนที่น้อย แต่นั่นเป็นทางออกโง่ๆที่ผมเคยคิด ตราบใดที่ผมยังเฝ้าวนเวียนที่จะต้องเอาชนะน้อย พยายามทำให้น้อยเห็นว่า ผมเหนือกว่าเขา และผมก็หาคนอื่นที่ดีกว่าเขาได้ ...สิ่งที่ผมคิดกลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนแพ้มากกว่า (แถมยังเป็นขี้แพ้ชวนตีอีกต่างหาก)
        จริงๆแล้ว ไม่มี shortcut อะไรในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่สำเร็จรูป ท่านผู้อ่านเคยสังเกตเวลาตากผ้าไหมครับ กว่าแดดจะทำให้ผ้าแห้ง ต้องใช้เวลา ใช่ว่าตากแล้วจะแห้งทันที ความทุกข์ของผมก็คงเหมือนกัน... จะให้มันเหือดแห้งไปในทันทีก็คงไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็วขึ้นอยู่กับใจผม ถ้าผมจิตใจแข็งแกร่งมากพอ ก็คงเหมือนวันที่ พระอาทิตย์สาดแสงลงตอนเที่ยงวัน แต่หากผมจิตใจอ่อนแอเมื่อใดก็คงเหมือนวันที่มีเมฆดำมืด หรือ ฝนตกฟ้าคะนอง (และลมกรรโชกแรง) ตากผ้ายังไงก็ไม่มีทางแห้งได้...นั่นคงขึ้นอยู่กับผมเองว่าผมจะเลือกให้วันของผมเป็นแบบไหน


*
        แม้ว่าวันนี้วันของผมจะไม่ใช่วันที่แดดแรงนักก็ตาม บางวันก็ฝนตกหนักบ้าง บางวันก็แค่ครึ้มๆ บางวันก็เริ่มมีแดดอ่อนๆ แต่ผมจะไม่หยุดพยายามครับ แม้ผมไม่รู้ว่าความพยายามของผมจะสำเร็จหรือไม่ แต่ผมก็ต้องพยายาม (Have to wait and see) อย่างที่ผมบอกไปแล้วข้างต้น ชีวิตของนพพร ยังคงมีอยู่ต่อไป ผมคงไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้...ใช่ไหมครับ
        หากถามผมว่า แล้วผม มี resolution สำหรับเรื่องของน้อยอย่างไร... ผมคงตอบได้ว่า น้อยยังคงอยู่ในใจผมเสมอ อยู่ในที่ที่เดิม อยู่ในสถานะเดิมที่น้อยเคยอยู่ในใจของผมมาโดยตลอดตั้งแต่วันแรกที่ผมเริ่มต้นความรักกับน้อยจนถึงวันนี้ ผมยังจำคืนวันเก่าๆที่เราเคยมีความรักให้แก่กันและกัน โดยไม่ฝืนตัวเองให้พยายามลืมมันไป แต่สิ่งที่ผมจะลืมก็คือความเจ็บปวดในใจผมต่างหาก
        เรื่องของนายนพพร คงจบลงแค่นี้ครับ เหลือแต่ตัวนายนพพร ที่ยังต้องตามหาชีวิตที่เหลือ ผมไม่รู้หรอกว่า ต่อไปชีวิตผมจะดีขึ้นเลวลง หรือเป็นไปในทิศทางใด ผมเคยหวังว่าผมกับน้อยจะยังคงรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่ปัจจุบันผมก็รู้แล้วว่าผมจะคาดหวังอะไรไม่ได้ ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ผมเพียงขอให้ตัวเองมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ เท่านั้นก็น่าจะพอ แม้ว่าวันนี้ผมจะโดดเดี่ยวไม่มีใคร แต่ผมโชคดีที่เรื่องราวของนายนพพรทั้งหมด ทำให้ผมมีจิตใจที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เท่านี้ผมก็น่าจะพอใจ
        ขอบคุณครับ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของนพพร ผมจำทุกความเห็น จำทุกกำลังใจของพวกคุณทุกคนได้ และผมก็จะจดจำความรู้สึกดีๆที่ทุกๆคนมีให้ผม  เหมือนที่ผมมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับน้อย ตลอดไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2007 01:04:08 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #53 เมื่อ15-02-2007 01:04:24 »



*
        สุดท้าย ผมขออุทิศเรื่องราวของผมทั้งหมดให้กับน้อย แม้ผมจะรู้ว่าน้อยคงไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ก็ตาม ผมเพียงเสียดายมิตรภาพของเราทั้งสองคน หากเพียงวันนั้นผมห้ามใจตัวเองได้ หากวันนั้นเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลย วันนี้น้อยก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมสนิทคนหนึ่ง ซึ่งความเป็นจริง แม้แต่ความเป็นเพื่อน น้อยก็ไม่มีเหลือให้ผมเลย ผมไม่รู้หรอกว่า ตอนนี้น้อยรู้สึกยังไงกับผมบ้าง ผมเพียงแค่อยากจะขออโหสิกรรมกับน้อย อะไรที่ผมทำผิดพลาดกับน้อยไป ล่วงเกินน้อยไป ทำให้น้อยรำคาญใจเรื่องอะไร ผมขออโหสิกรรมกับน้อย ณ ตรงนี้นะครับ ผมเสียใจกับความผิดพลาดของผมที่เกิดขึ้น ขอเพียงน้อยเข้าใจว่า เพียงเพราะความรักของผม ผมเลยอาจจะทำอะไรโง่ๆลงไปบ้าง อยากให้น้อยรับรู้ความรู้สึกผมด้วยหัวใจ น้อยจะรู้ถึงเหตุผลว่าผมทำอย่างนั้นลงไป เพราะอะไร...
        สุดท้ายของท้ายที่สุด ผมขออุทิศเรื่องราวนี้ให้กับ ความรักของมวลมนุษยชาติ (ดูยิ่งใหญ่ดีไหมครับ) ผมยังเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์ เพียงแต่อย่าให้ความรัก มีอำนาจเหนือเรา หากเราจะรัก ก็ขอให้รักด้วยสติ และเราจะมีสติก็ต่อเมื่อเรามีธรรมะในใจ...ผมเชื่อเช่นนั้นครับ



        อวสานจริงๆครับ ...

by นพพร

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #54 เมื่อ15-02-2007 01:05:50 »

ขอบคุณคุณนพพร สำหรับเรื่องราวดีๆนะครับ ขอบคุณเพื่อนๆด้วยนะครับที่ติดตามให้กำลังใจคนเขียน

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #55 เมื่อ15-02-2007 01:23:50 »

ขอบคุณคุณนพพรด้วยคับ  สำหรับประสบการณ์ชีวิตที่อาจจะเปนบทเรียนให้หลายๆคนที่ได้อ่าน  :impress:  ผมเชื่อว่าเวลาจะเปนตัวรักษาทุกอย่างได้นะคับ ฝากเพลงไว้ให้ฟังเล่นๆแล้วกันนะคับ
http://www.siam2.com/jukebox/pop-player.php?id=816
เปนเพลงที่ผมฟังอยู่เสมอเวลาคิดถึงเรื่องเก่าๆแล้วมันไม่สบายใจ   :try2: 

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #56 เมื่อ15-02-2007 01:46:00 »

 :yeb:  ม่ายเคยมาลงจื้อเพราะพึ่งตามมาอ่าน แหะแหะ  มาลงอาวซะตอนจบแว้วว ม่ายว่ากันเน้อ  :impress: 


 :monkeysad: มีพบก้อต้องมีจาก เมื่อได้เลือกทางเดินของหัวใจแล้ว ก้อต้องเข้มแข็งแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เวลาจาช่วยเยียวยาบาดแผลของหัวใจเอง



ปล. เพลงก้อนหินก้อนนั้นของน้องA GE เข้ากับเรื่องดีจัง

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #57 เมื่อ15-02-2007 23:29:05 »

หากวันนั้นเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลย วันนี้น้อยก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมสนิทคนหนึ่ง
ไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้ ทุกอย่างมีเหตุก็ต้องมีผล อยู่และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความมีสติ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ประทับใจและแฝงข้อคิดดี ๆ ไว้ในเนื้อเรื่อง

ขอบคุณมากค่ะ  :yeb:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #58 เมื่อ16-02-2007 15:07:32 »

อ่านแล้วได้ข้อคิดเตือนใจ ดีค่ะ  :yeb: :yeb: :yeb:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
Re: [story]นายนพพร by นพพร
«ตอบ #59 เมื่อ18-02-2008 22:20:27 »

เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นความจริงในปัจจุบันได้ดีมากๆเลยครับ  อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา :m15:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด