ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0--------------------------
ขออนุญาตินำเรื่องมาให้อ่านกันนะคะ ชอบไม่ชอบติชม ได้เต็มที่
*************************************
(ตอนที่๑)
เคยมีคนบอกผมว่าการจากตายเศร้าก็จริงแต่ทรมานน้อยกว่าการจากเป็น ผมก็ไม่เคยเข้าใจความหมายของมันสักที จนวันเวลาผ่านไปผมถึงรู้ว่ามันก็ไม่ผิดไปจากที่เค้าว่ากันจริงๆ เพียงแต่ผมไม่เคยคิดเท่านั้นเองว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับผม
*****************************************************************
“มาทางนี้ก็เงียบดีนะไม่มีใครเลย เพื่อนเราคนอื่นไปไหนกันหมดแล้ว นี่มึงจะพากูมาหมกป่ารึเปล่าเนี่ย” ปากผมพูดไปอย่างนั้นแต่ใจผมไม่ได้คิดหรอกครับ ก็ไอ้ใหญ่มันหันมามอบโชค เอ๊ยๆไม่ใช่....มอบรอยยิ้มมาให้ผมแบบนั้น
แต่คำพูดที่มันพูดต่อไปนี่ซิ ผมชักอยากเปลี่ยนใจไปหมกมันซะเอง
“พามาหมกทำไม เดี๋ยวมึงก็ต้องตายอยู่ดี” ฟังจากที่มันพูดเหมือนๆจะเป็นสัจธรรม แต่ก็เหมือนๆจะเป็นการแช่งยังไงไม่รู้ครับ
ผมเอื้อมมือจะไปตบหัวมันซักหน่อยก็กลัวรถจะล้ม ยังขี่ไม่แข็งพอครับ แล้วมันก็นกรู้หลบมือผมไปได้
“ปากดี นะมึง แต่กูว่ามึงตายก่อนกู ด้วยน้ำมือกูเองมากกว่า ...แม่ม..เสือกมาแช่ง” ไอ้ใหญ่มันหัวเราะเสียงดังทำหน้ามีความสุขที่ยั่วให้ผมด่ามันได้ ผมว่ามันคงเป็นโรคจิตชอบถูกผมด่า แต่เวลามันหัวเราะทีไรโกรธมันไม่ลงครับ หน้าตามันน่าเอ็นดู โกรธไม่ลง...มิน่าเค้าถึงว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เกี่ยวมั้ยครับเนี่ย
“อ้าว.....ใครๆเกิดมาก็ต้องตาย รึมึงเป็นผีดิบไม่มีวันตาย กูเองก็ต้องตาย หรือมึงจะเถียง ไอ้ผีดิบยักษ์ ฮ่าๆๆ” ไอ้ใหญ่เอียงหน้ามาแลบลิ้นใส่ผมแล้วสปีดเร่งขี่จักรยานแซงผมไปไกล ไปลิบๆเลยครับ
“ทำให้กูต้องเหนื่อยอีกแล้วนะมึง “
ผมได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง แล้วตะโกนเรียกรั้งมันไว้ก่อน
“เฮ้ย...รอกูด้วย กูตามไม่ทัน”
ผมใส่แรงรีบปั่นให้เต็มที่ ขี่จักรยานที่เช่ามา เร่งตามมันไป อากาศที่นี่ดีจริงๆครับ จะว่าไม่มีคนเลยก็ไม่ใช่ แต่มีคนอยู่น้อยมากกว่า มหาวิทยาลัยของผมอยู่ออกมาทางชานเมืองครับ อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยนานาชาติอีกแห่งหนึ่ง แล้วที่ไอ้ใหญ่มันพาผมมาเนี่ยก็มหาวิทยาลัยข้างๆครับ มหาวิทยาลัยของตัวเองมันไม่ตื่นตาตื่นใจครับ อาหารที่อื่นก็ดีกว่าอาหารที่มหาวิทยาลัยตัวเองด้วยครับ ที่ไอ้ใหญ่เป็นคนพามาเพราะมันอยู่หอใน แต่ผมเดินทางไปกลับเลยไม่ค่อยได้มีเวลามาเที่ยวเล่นซักเท่าไหร่
แล้วในที่สุดมันก็จอดครับ แล้วนั่งรอผมที่ม้าหินขัดใต้ต้นไม้ใหญ่ ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าที่นี่อยู่ส่วนไหนของมหาวิทยาลัย แต่บรรยากาศมันดีจริงๆครับ อากาศที่สดชื่นในยามเย็น สายลมพัดเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เหนื่อยว่ะใหญ่....ไม่ได้ขี่จักรยานไกลๆแบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย”
ใหญ่ไม่ตอบคำรำพึงของผมแต่ส่งสายตาเรียกให้ผมมานั่งใกล้ๆ ผมเข้าไปนั่งใกล้ๆมัน หลับตาลงแล้วพักสูดลมหายใจช้า คลายเหนื่อย สูดอากาศบริสุทธ์เข้าไปเต็มปอด ลมเย็นๆพัดมาเป่าเหงื่อบนหน้าผมให้แห้ง เย็นสบายจริงๆ นิ้วเล็กๆของใหญ่ปาดเหงื่อที่หน้าผากของผม ผมสะดุ้งแล้วลืมตาขึ้นมา สบสายตาของใหญ่ที่มองมาพอดี ตาของใหญ่ดูนิ่งมากไม่ได้ตกใจอะไรที่ผมมองจ้องกับอาการแปลกๆนี้ แล้วใหญ่ก็ยิ้ม
“ทำไมเหงื่อมึงเยอะจัง ของกูไม่เห็นมี สงสัยรูตัน ฮ่าๆๆๆ” ใหญ่หัวเราะเสียงดัง แต่ผมไม่เห็นขำเลย แต่ก็ต้องฝืนหัวเราะไปให้มัน ได้แต่คิดในใจว่ามันเป็นอะไรของมัน ทำท่าแปลกๆ พูดแปลกๆ
“แล้ว...ตกลงนี่มึงพากูมาที่นี่ทำไม” เข้าประเด็นไปเลยดีกว่า ผมไม่ชอบอะไรที่มันค้างๆคาๆ หรือว่าจะพาผมมารู้จักธรรมชาติ เรียนวิชาสปช.สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง....” พูดเสร็จแล้วมันก็ลุกเดิน เดินวนไปวนมา อยู่เกือบ1นาที แหะๆไม่นานหรอกครับ แต่ใจผมน่ะซิมันบอกว่านานมากกกก...ก็มันเดินเงียบๆหันมามองหน้าผมเป็นช่วงๆขมวดคิ้ว แล้วก็เดินต่อ
“นี่ตกลงมึงจะมาเดินทำสมาธิใช่มั้ย...กูจะได้กลับ” หมดกันความอดทนที่มีน้อยนิด มันอยากรู้ให้มันจบๆไป แล้วไอ้ใหญ่มันก็ไม่บอกมาซักที ผมทำลีลาลุกขึ้นจะเดินไปที่จักรยาน แต่ก็นึกมาได้ว่ากลับทางไหนว่ะ ผมว่าไอ้ใหญ่มันจงใจขับให้วกวน ทำให้คนฉลาดๆอย่างผมก็เปลี่ยนเป็นคนโง่ไปฉับพลัน แต่เมื่อบอกไปแล้วว่าจะกลับ จะเปลี่ยนใจก็กลัวเสียฟอร์ม ผมเลยหันไปดูมันอีกที มันก็ยืนมองผมอยู่แต่ทำไมมึงไม่เรียกกูไว้ แล้วบอกว่า “อย่าเพิ่งกลับล่ะ”
“เงียบทำสมาธิอีกหรือมึง...กูให้โอกาสมึงอีกครั้งพูดมา”
ผมเริ่มต้นนับอย่างช้าๆ “ 1..2...3...4..5...6...7...8....9..10 10.ครึ่ง”
ผมหยุดพักหายใจ แล้วคิดว่ากลับดีกว่า แต่....
“11...12..13...”ไอ้ใหญ่มันนับต่อจากผมน่ะซิครับ ผมเดินเข้าไปหาใหญ่อีกครั้งแล้วผลักไหล่มันเบาๆ
“พอๆเลยมึงอย่ามากวนตีนกับกู..ตกลงมีเรื่องอะไรบอกมา อย่ามาโยกโย้ให้เสียเวลา”
ผมยกข้อมือไอ้ใหญ่ดูเวลา “ดูซิ5โมงกว่าแล้ว กูจะกลับแล้วนะ บ้านก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ไม่ได้อยู่หอเหมือนมึงนะ”
“ไม่เห็นมีปัญหามึงก็นอนกับกู ไม่ใช่เรื่องใหม่..”
ผมคิดในใจว่าก็จริงของมัน แต่ไม่อยากยอมมันง่ายๆ เดี๋ยวมันจะนึกว่าผมง่ายๆใครมาจุ๊ๆเรียกก็วิ่งกระดิกหางตามเค้าไป
“กูก็คนมีบ้านนะมึง..ไม่กลับได้ไง” ไอ้เรื่องลีลาลังเลนี่ต้องมีไว้อย่าให้ขาด
เราก็พูดเถียงกันไปมาเรื่องนี้อีกพักใหญ่เลยครับ จนนึกขึ้นมาได้ว่า
“แล้วตกลงมึงมีอะไรจะบอกกู”
ไอ้ใหญ่ถอนหายใจ “มึงก็รู้ว่าพวกเราปี4แล้ว” ท่าทางมันจะเกริ่นนาน เหมือนเริ่มตั้งแต่กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.. ผมเลยต้องขอแทรกไปหน่อย
“ใครๆเค้าก็รู้มึง เรื่องเนี้ยนะที่มึงจะมาบอกกู กูยังไม่ปัญญาอ่อนจนไม่รู้ว่าตัวเองเรียนปีอะไรอยู่หรอกเว้ย”
ใหญ่มันส่ายหัวแล้วพูดต่อ ไม่ได้สนใจว่าผมจะกวนตีนมันยังไง ก็มันอยากทำหน้าจริงจังทำไมล่ะครับ ผมเริ่มกลัวนี่นา ผมไม่ชอบฟังอะไรยาวๆ
“อีกไม่กี่เดือนเราก็ต้องแยกย้ายจากกันแล้ว”ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ
แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า...แล้วยังไง “แต่เราก็นัดสังสรรค์กันได้ พวกไอ้ด้า ไอ้เกียรติ มันก็ต้องนัดแดกเหล้าเคล้านารีกันอยู่แล้ว มึงก็..
“กูก็คงต้องกลับบ้าน”มันเงยหน้ามองผม ไอ้ใหญ่บ้านมันอยู่ทางเหนือครับ มันก็ไกล
แล้ว..
“เราจะได้เจอกันอีกมั๊ย”
ผมพูดไปแล้วก็ใจหาย ทั้งที่รู้อยู่ตลอดว่าวันนึงพอเรียนจบ ทุกคนก็ต้องไปตามทางของตัวเอง แต่ผมลืมไปว่าเวลามันผ่านไปเร็ว แต่ระยะทางที่ต้องห่างกันไม่เคยสั้นลงมาเลย ยังคงไกลอยู่เหมือนเดิม
ผมเอื้อมมือไปจับมือมัน ผมไม่รู้ว่ามือผมเย็นหรือมือไอ้ใหญ่เย็นกว่ากัน แต่มันเย็นเฉียบไปถึงหัวใจจริงๆ เสียงแผ่ว ๆของไอ้ใหญ่ที่ตอบมา ทำเอาผมมือตก
“คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
ความเงียบเข้ามาครอบครองบรรยากาศอีกครั้ง ต่างคนต่างใช้ความคิด
“ทำไมล่ะ..กูไม่เข้าใจ ก็เราอยู่ประเทศไทยนะ ทำไมเราจะไม่ได้เจอกันอีก”
ถึงปากผมจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจผมซิ ผมไม่เคยรู้สึกเศร้าขนาดนี้มาก่อน แต่แค่คิดว่าต่อไปนี้จะไม่ได้เจอกัน ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้กวนตีนใส่กัน เหมือนที่ทำมาตลอด3ปีกว่า ผมก็ปวดหัวใจหนึบๆ ใจมันหาย ชาๆมึนๆ ก็ตลอดเวลาที่เรียนด้วยกัน4ปี ผมอยู่กับมันตลอดแทบจะใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่าอยู่กับคนที่บ้านอีก
"กูก็ไม่รู้....แค่คิดว่าจะไม่ได้คุยกับมึงอีก กูก็..กูก็...กูๆๆ..”
“ใจหาย...”เราสองคนพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน
น้ำตาไอ้ใหญ่คลออยู่ที่ดวงตา มันรีบกระพริบตาถี่ๆให้น้ำตาหมดไป แต่มันกลับไหลลงมาได้อีก มันเป็นคนแบบนี้ครับ ฟังเพลงซึ้งๆก็น้ำตาไหล ดูหนังเศร้าๆก็น้ำตาไหล กับข้าวไม่ถูกปากก็น้ำตาไหล เห็นหมาขี้เรื้อนก็น้ำตาไหล ร้องเพลงชาติมันยังน้ำตาไหล ไม่รู้ว่ามันเป็นดาวพระศุกร์กลับชาติมาเกิดรึเปล่า พี่ภาคย์อย่างผมก็อดไม่ได้ ผมไม่รู้ตัวว่าเอานิ้วเช็ดน้ำตาให้ใหญ่ไปตอนไหน แต่รู้เพียงว่าผมรับรู้ความรู้สึกที่ใหญ่คิด เพราะผมก็คิดแบบเดียวกัน ไอ้ใหญ่เอามือของตัวเองปัดมือผมออกจากใบหน้าตัวเอง
“อย่าสงสารกู มึงก็รู้พูดอะไรกูก็อิน”
“กูรู้..กูก็อิน แต่กูไม่ร้องมึงเสือกมาร้องทำไม เดี๋ยวกูร้องตาม ทำอย่างกับจะจากตายไม่ใช่จากเป็น เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายนะมึง”
“แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนจะจากตายก็ไม่รู้...เมื่อคืนพ่อกูโทรมาบอกว่าแม่เป็นโรคหัวใจ อยากให้กูเรียนจบแล้วรีบกลับ พ่อก็ทำงานกลัวไม่มีเวลาดูแม่ได้เต็มที่”น้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของมัน ทำเอาผมหดหู่ไปด้วย ตกลงมันมีเรื่องเป็นเรื่องตายที่ซ้อนเรื่องนี้อยู่จริงๆด้วย มิน่าดูอารมณ์ไอ้ใหญ่มันวูบวาบมากมาย
“กูคุยกับแม่ แม่ก็เสียงใสดี แต่กูก็ไม่รู้ว่าแกเป็นมากน้อยแค่ไหน พ่อรักแม่มากก็คงกังวล แต่แม่บอกให้กูสบายใจ เรียนจนจบแล้วค่อยกลับ ทั้งที่กูบอกจะขึ้นไปเยี่ยมแกก็ยังไม่ยอม” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวมัน ผมสูงกว่ามันมากขนาดนั่งบนเก้าอี้ก็ยังคงสูงกว่าเยอะ ผมรู้สึกเหมือนมันเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งน้อง
“คนเป็นโรคหัวใจเดี๋ยวนี้หมอเค้ารักษาได้ มึงไม่ต้องกังวลใจไป รู้ว่าเป็นก็ไปหาหมอตามที่เค้าสั่ง ไม่เป็นอะไรมากหรอกเชื่อกูซิ” ผมก็ปลอบใจมันไปตามเท่าที่รู้
“มึงก็โทรไปหาเค้าบ่อยๆ น้องแจน น้องนิ น้องกบไรของมึง ก็เพลาๆซะบ้าง โทรไปหาแม่แทน เข้าใจ๋”ผมเอาไหล่กระแทกมันเบาๆ มันหันมายิ้มให้ผมแล้วบอกว่า
“ไอ้เชี่ย...แอบด่ากู” ผมดีใจที่เห็นมันยิ้มได้
“กูแอบที่ไหน ..กูด่าตรงๆ ไม่เอียง ไม่เฉียง ไม่แอบไม่ซุก หึๆ”
“เออๆๆ..ไม่แอบก็ไม่แอบ..แต่มึงว่าแม่กูจะไม่เป็นอะไรใช่มั๊ย”สายตาที่มีความหวังของมันที่มองมา ทำเอาผมต้องคิดนิดนึงก่อนจะพูดอะไรออกไป ไม่อยากให้รู้ว่ามันเป็นแค่คำพูดปลอบของคนนอกอย่างผม
“ไม่เป็นหรอก พ่อมึงก็รักแม่ขนาดนั้น มึงก็เป็นลูกแสนดีขนาดนี้ คนเป็นโรคหัวใจถ้ามีความสุข ไม่เครียด หาหมอเรื่อยๆ รับรองอยู่ได้เหมือนคนปกตินะมึง เชื่อกูดิ”
นะ..เชื่อกูหน่อย กูปลอบเหนื่อยแล้ว กูจะขาดใจแล้ว ผมอยากบอกมันอย่างนั้น แต่ประกายตาใสซื่อ และรอยยิ้มที่ดีใจเปี่ยมด้วยความหวังของมัน ทำเอาผมต้องรีบหยุดแม้กระทั่งความคิดที่อยากจะกวนตีนออกไป มันคงจะเชื่อสิ่งที่ผมพูดจริงๆ
“งั้นเรากลับกันเถอะ กูหิวข้าวแล้ว”
ไอ้ใหญ่มันรีบลุกขึ้นแล้วลากผมไปที่รถ แล้วหันมาบอกผมว่า
“มึงขี่ตามมาไวๆนะกูเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ากูนัดน้องกบไว้ ลืมสนิทเลย เดี๋ยวน้องเค้างอนกูอีก”พอมันตั้งตัวได้ มันก็ลิ่วไปเลยครับ ผมได้แต่ส่ายหัวแล้วรีบขับตามมันไป
“อารมณ์เปลี่ยนไปเลยนะมึงพอคิดถึงหญิงขึ้นมา หึหึ”
ผมรู้ซึ้งดีในความเป็นไอ้ใหญ่ ใหญ่เป็นคนหน้าตาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดีเป็นมิตรกับทุกคน ไม่แปลกหรอกครับที่จะมีผู้หญิงมาชอบมากมาย แต่สำหรับตัวผมก็ไม่มีผลอะไร เพื่อนจะมีแฟนรึเปล่าเพื่อนก็ยังคงให้เวลากับผมเสมอๆ
“คิดไรอยู่ว่ะไอ้ใหญ่”ผมเดินเข้าไปตบไหล่ไอ้ใหญ่ที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่ริมระเบียง สายตามองออกไปเบื้องหน้า ความเงียบเข้าคลอบคลุมบรรยากาศระหว่างผมสองคน มันไม่ตอบผมทันทีเหมือนกำลังใช้ความคิดคำนึงเรื่องอะไรอยู่ แล้วใหญ่มันค่อยๆเบือนหน้ามามองหน้าผม แล้วก็..........
.................กลายเป็นหมาป่า.......เอ๊ยยย...ไม่ใช่แล้ว...
มันบอกผมเบาๆว่า “กูกำลังมองพระจันทร์ทรงกลด...”
“สวยนะมึง ดีจังเลยที่ได้ดูพระจันทร์สวยๆอยู่กับมึง”
ผมเกือบจะสวนออกไปแล้วว่า—กูยังไม่ได้ดูเลย มึงดูอยู่คนเดียวแล้วมาตู่ว่าผมไปดูกับมันได้ยังไง---
แต่สำนึกของความเป็นเพื่อนที่ดีบอกผมว่า...อย่าไปกวนตีนมัน ..รักษาบรรยากาศกันหน่อยนึง..
ผมก็เลยตอบไปแค่ว่า “อืมมม....ก็สวยนะมึง”ก็คืนนี้พระจันทร์สวยจริงๆนี่ครับเต็มดวงสวยสว่าง
“เอ... แต่วันนี้มันไม่ใช่วันลอยกระทงนี่หว่าทำไมพระจันทร์เต็มดวงล่ะ”ผมรู้แล้ว หรือว่า
“ใช่แล้ว..วันนี้วันไหว้พระจันทร์ซิ มิน่าสวยเชียว” ไอ้ใหญ่มันไม่พูดอะไรครับมันหันหลังให้ผมแล้วก็ตัวสั่นเทา นี่มันคงซึ้งจนร้องไห้อีกแล้ว แต่มันคงอายผมเลยหันหลังให้ ผมเลยค่อยๆเอามือไปตบไหล่มันเบาๆ
“ใหญ่มึงไม่ต้องเสียใจไป..วันหลังเรายังมีโอกาสดูพระจันทร์ด้วยกันอีก..นะอย่าร้องดิมึง”
มันค่อยๆหันหน้ามาครับโถ..น้ำตาคลอตาเชียวมึง ผมค่อยๆเอามือเช็ดน้ำตาให้มัน นี่กูเช็ดบ่อยแล้วนะเนี่ย จะร้องไห้บ่อยไปไม๊ หน้ามันแดงเชียวครับ ไอ้ใหญ่ค่อยๆเอ่ยปากพูดอย่างยากเย็น
“ก...กะ..กูไม่ได้ร้องไห้ กูขำมึง..ไอ้ฟายย...ที่ไหนว่ะวันนี้วันไหว้พระจันทร์ ฮ่าๆๆๆๆ” มันเอามือกุมท้องแล้วหัวเราะเอาเป็นเอาตายน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง จะขำบ้าอะไรนักหนา
ผมงงได้แต่ขมวดคิ้วหรือไม่ใช่เหรอ “อ้าว...แต่วันนี้ไม่ใช่วันลอยกระทงนี่..แล้วทำไมพระจันทร์เต็มดวงล่ะก็ต้องเป็นวันไหว้พระจันทร์ซิ” ไอ้ใหญ่มันระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง
“มึงอย่าบอกนะว่ามึงคิดว่าพระจันทร์จะเต็มดวงแค่สองวัน”ไอ้ใหญ่มันชี้หน้าผม ผมไม่ชอบเลยเหมือนผมทำอะไรผิดไป
“ก็หรือไม่ใช่ล่ะ เอ๊า...ขำให้ตายไปเลยนะมึง ขำเสร็จแล้วไปส่งกูด้วยกูจะกลับบ้าน” ผมชักโมโห..พูดอะไรก็ไม่พูดเอาแต่หัวเราะเป็นบ้าเป็นบอ
มันคงรู้ว่าผมงอนมันเลยเดินมากอดเอวผมทั้งๆที่มันยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น “โอ๋ๆๆๆอย่างอนมึง ตัวใหญ่ๆงอนแล้วฮามากกว่าน่ารัก ...”มันเริ่มลามปามเอามือมาลูบหัวผม แล้วทำเป็นพูดเสียงอ่อนโยน
“ก็มันใช่ที่ไหนเล่ามึง พระจันทร์น่ะมันก็เต็มดวงเรื่อยแหล่ะ เดือนนึงมันก็เต็มดวงหนนึง ไอ้ฝันเอ๊ยมึงจะน่ารักไปไหน ฮ่าๆๆๆ”ผมฟังแล้วถึงกับเหวอ..นี่ผมเข้าใจผิดมาตลอดเกือบ20ปีหรือนี่ ดีที่ผมไม่ไปปล่อยไก่กับใครอีก เง้อ...อายนะเนี่ย
ไอ้ใหญ่มันกอดผมแล้วเอามือลูบหลังผมอยู่อย่างนั้น
“กูจะไม่มีวันลืมวันนี้เลย ถ้ากูเห็นพระจันทร์เมื่อไหร่กูจะนึกถึงมึงนะ”
ร่างกายผมกับมันแนบชิดกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันอุ่นจังเลยครับ ผมไม่รู้สึกแปลกอะไรเลย กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ เวลาไอ้ใหญ่พูดขึ้นมาผมรู้สึกเหมือนคำพูดนี้เพื่อผมเท่านั้น คนเดียวในโลกจริงๆ ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วๆที่ต้นคอของผม ผมก้มลงมองหน้ามันหน้าเราใกล้กันมากจริงๆ
“กูก็จะคิดถึงมึง..ไม่ต้องมองพระจันทร์กูก็จะคิดถึงมึง....กูสัญญา”มือของไอ้ใหญ่ค่อยๆตกลงไปจากเอวผม มันเอามือเช็ดน้ำตาป้อยๆ แล้วเอากำปั้นชกที่อกผมเบาๆ
“มึงนี่ชอบพูดอะไรให้กูตื้นตัน..”
“อ้าว..ความผิดกูอีก..เหอๆๆๆ..หึหึ..ไอ้ขี้แยเอ๊ย”
คราวนี้เป็นผมเองที่ลูบหัวมัน แล้วโอบมันหลวมๆ ความรู้สึกของผมกับไอ้ใหญ่มันบอกไม่ถูกครับ จะว่ามากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนมันก็ไม่ใช่ ผมไม่รู้ว่าจะนิยามว่ายังไงมากกว่า แต่ผมรู้แค่ว่าคงมีมันคนเดียวที่ผมจะมีความรู้สึกแบบนี้ได้
ผมใช้เวลาคืนนั้นที่หอกับเพื่อนผมคนนี้เป็นคืนสุดท้ายครับ แล้วผมก็ไม่เคยได้มีโอกาสไปนอนค้างกับมันอีกเลย การเรียนในปีสุดท้าย ทำให้เราต้องใช้เวลาในการตั้งใจเรียนอย่างมาก ผมโชคดีที่มีเพื่อนดีๆหลายๆคน เวลาเพื่อนไม่เข้าใจอะไรก็มาสอนกัน ทำแบบฝึกหัดด้วยกัน กว่าจะรู้ตัวว่าเราจบแล้วและคงถึงเวลาที่ต้องจากกันก็ตอนที่จะสอบปลายภาค แล้วไอ้ด้าก็เสนอขึ้นมาว่า
“กูว่าสอบเสร็จก่อนเราจะแยกย้ายกันไปเที่ยวกันดีกว่าว่ะ ฝันมึงว่าไปไหนดีว่ะ แต่กูอยากไปทะเล”
“อ้าว...ก็มึงบอกมาแล้วยังมีหน้ามาถามกูอีก ถามพวกสาวๆดีกว่าว่าอยากไปไหน ไปไหนดีอ้อย”
“ถามอ้อยคนเดียวเลยนะมึง”ไอ้ด้ามันแซวผม
ใครๆก็รู้ครับว่าผมแอบชอบอ้อยมานานแล้ว แต่ใครๆก็ชอบอ้อยกันทั้งนั้น ก็อ้อยทั้งเรียบร้อย ขาว สูง นิสัยอ่อนหวาน สวย แล้วยังเรียนเก่ง ได้ข่าวว่าเกียรตินิยมอันดับสองได้แน่ๆรอลุ้นแค่เกรดเทอมนี้เท่านั้นเองว่าจะได้อันดับหนึ่งหรือเปล่า
“ไม่รู้ซิ..ไปไหนก็ไป กล้วยว่าไง ไปไหนดี”ต่างคนก็ต่างเสนอกันมาหลายๆที่ครับ แต่ในที่สุดก็ตกลงกันที่เกาะตะรุเตา เรายังไม่ได้ถามกันหมดทุกคนว่าจะมีใครไปได้บ้าง แต่ผมก็อยากให้ไปกันได้มากที่สุดเป็นการเที่ยวส่งท้ายของพวกเรา แล้วผมก็หวังว่าไอ้ใหญ่มันจะไปด้วยเหมือนทุกครั้ง
“ทริปนี้กูนับมึงไปแล้วนะใหญ่ มึงห้ามเบี้ยวด้วย สอบเสร็จแล้วคืนนั้นไปเลยนะเว้ย”ผมย้ำกับไอ้ใหญ่อีกครั้งก่อนที่ผมจะกลับบ้าน
ใหญ่มันยิ้มตอบผม “กูจะพลาดได้ไง..ทริปส่งท้ายชีวิตนักศึกษาของพวกเรา กูไปแน่”
จนวันที่สอบเสร็จก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปเอากระเป๋าเสื้อผ้ากัน ผมยังเจอไอ้ใหญ่ ยังบอกกับมันว่า “เจอกันที่สายใต้เลยนะ มึง ทุ่มนึงอย่าลืมล่ะเผื่อเวลาด้วย” ใหญ่ก็ยังตอบผมว่า
“เออน่า..กูไม่มีทางลืมมึงหรอกเชื่อกูสิ” ผมยังจำคำพูดสุดท้ายของมันได้เลยจนวันนี้
************************
*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
ทิพย์โมบอร์ดนิยาย