มาถึงตอนที่๑๑แล้ว อ่านต่อกันเลยค่ะ
******************************
(ตอนที่๑๑)
เรากลับไปที่ร้านอีกครั้ง ใหญ่ต้องใช้เวลาเคลียร์งานอีกนิดหน่อยแล้วเราก็ออกมากันอีกรอบ พ่อของใหญ่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไอ้ใหญ่เองก็ดูร่าเริงดีตามประสาคนได้โดดงานน่ะครับ ผมยังไม่เคยเห็นใครโดดงานแล้วไม่มีความสุขซักคน ตอนที่เราจะออกมา พ่อยังมายืนส่งพวกเราด้วย แล้วสั่งเหมือนเรายังเป็นเด็กๆ
“อย่าขับเร็วนะใหญ่ มีเพื่อนไปด้วยระวังๆล่ะ” ผมเลยสงสัยว่ามันต้องชอบขี่มอเตอร์ไซด์เร็วๆแน่นอนพ่อถึงต้องมาเตือน
“มึงมาซ้อนท้ายกูมา จับกูให้แน่นๆ อย่าปล่อยกูไปล่ะ”
ผมเองไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซด์ซักที ใส่หมวกกันน็อคเก้ๆกังๆ จนมันต้องมาใส่เข็มขัดรัดคางให้ ผมออกจะตื่นเต้นนิดหน่อย
“กูกลัวว่ะ มึงอย่าขี่เร็วนะ”
“เออน่าเชื่อมือกูเหอะ ทำเป็นป๊อดดไปได้”แต่มันก็หลอกให้ผมตายใจครับ ไอ้ใหญ่ออกตัวรถอย่างรวดเร็วแกล้งจนผมเกือบหงายหลัง ผมเลยต้องรัดเอวมันไว้แน่นด้วยความกลัว แล้วโวยวายออกมา
“เชี่..ใหญ่ ขับซะเร็วรู้ๆอยู่ว่ากูกลัว”เสียงมันหัวเราะดังมาแว่วๆ คงดีใจที่ทำให้ผมเสียฟอร์มได้ แล้วยังหันหน้าจะมาชวนผมคุยอีก
“ไม่ยักรู้ว่ามึงกลัวความเร็ว เห็นชอบเลวๆๆ” ผมเลยยิ่งกลัวขึ้นไปอีก คนขับหันเล่นหน้าหันหลังคุยไปแบบนี้ กลัวมันจะขับไปชนอะไรซะก่อน ผมเลยตะเบ็งเสียงตอบมันไปว่า
“กูคงได้เลวๆแน่ ถ้ามึงยังแกล้งกูแบบนี้ ลงจากรถเมื่อไหร่น่าดูนะมึง ขับไปดีๆไม่ต้องหันหน้ามา”
“ก็กูกลัวมึงไม่ได้ยินนี่นา”มันยังหันมาอีกครับ
“ไม่ต้องหันมา กูได้ยิน งั้นกูอยู่ใกล้ๆมึงแบบนี้ก็ได้”ผมกอดเอวมันแน่นขึ้นจนลำตัวแนบชิดกับมันแล้วเอาหน้าไปเกยไหล่ใกล้ๆกับหน้ามันแต่ขัดที่หมวกกันน็อคมันเกะกะ แต่หน้าเราก็ใกล้กันจนผมเห็นแก้มแดงๆของไอ้ใหญ่ที่ตอนนี้แดงไปจนถึงใบหู
“มึงไม่ต้องใกล้กูขนาดนี้ก็ได้ กูไม่พูดแล้ว”
ผมไม่ตอบอะไรแต่กลับกอดมันแน่นยิ่งขึ้น ไม่อยากจะขยับเปลี่ยนท่าอะไรอีก
เราใช้เวลาขี่รถวนเวียนชมรอบเมืองเชียงใหม่จนค่ำ เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนมากมายพลุกพล่านไม่แพ้กรุงเทพฯ ไปที่ไหนก็มีแต่คนมากๆ ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกแตกต่างจากเมื่ออยู่กรุงเทพฯเท่าไหร่ จะต่างกันก็แค่ผมไม่ได้ซ้อนท้ายวิน
มอเตอร์ไซด์ แต่ผมซ้อนท้ายไอ้ใหญ่ เราคุยเรื่องทุกเรื่องที่เราสบายใจ เรื่องเพื่อนๆเรื่องงานที่เราขำๆ
ไอ้ใหญ่พาผมไปกินอาหารอร่อยๆหลายอย่างในเมืองเชียงใหม่จนผมจุกไปหมด ในตอนนี้สมองผมว่างเปล่าไม่มีเรื่องอะไรต้องคิด ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกมีเพียงผมกับมันเท่านั้น เราคงจะลืมทุกคนที่อยู่เคยรอบกายเรา ไม่มีใครพูดถึงเวลากลับของผมทั้งที่มันใกล้เข้ามาทุกที จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังทานข้าวเย็นอยู่ ไอ้ใหญ่พยักหน้าให้ผมรับสาย ผมดูชื่อสายที่โทรเข้ามา เป็นอ้อยนั่นเองครับ
“ฝัน..เธอไม่มาเรียนเหรอวันนี้ ทำไมยังมาไม่ถึงล่ะ”ผมเงียบไปชั่วขณะ ไม่อยากโกหกอ้อย
“วันนี้เราไม่ไปนะอ้อย เอ่อ...”ผมหันไปมองไอ้ใหญ่ มันไม่ได้มองผมที่คุยโทรศัพท์อยู่ก็จริง แต่ผมรู้ว่ามันได้ยินทุกถ้อยคำที่ผมพูด “ไว้เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน มีอะไรรึเปล่าครับ”
“อ๋อ...ไม่มีอะไร เราแค่สงสัย ปกติฝันไม่ค่อยโดด เลยกลัวว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่า แล้วไปหาหมอมาหมอว่าไงบ้าง”
“อืม..ไม่มีอะไรหรอกเราหาหมอเสร็จก็มาทำธุระนิดหน่อยเลยกลับไปเรียนไม่ทัน” ไอ้ใหญ่สบตาผมผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร แต่ผมยังไม่อยากคุยโทรศัพท์กับอ้อยต่อ ผมอยากใช้เวลาก่อนกลับกับเพื่อนให้มากที่สุด
“แค่นี้ก่อนนะอ้อย ผมทานข้าวอยู่ แล้วเจอกันครับ” ผมวางสายทันทีแต่ยังทันได้ยินเสียงอ้อยที่ตอบกลับมาว่า “โชคดีจ๊ะ”
“อ้อยเหรอ?” ไอ้ใหญ่ถามผมทั้งๆที่มันรู้อยู่แล้ว หรือว่ามันไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ เป็นเพียงแค่การชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบเท่านั้นเอง ผมเลยพยักหน้าตอบไปแล้วกินข้าวต่อ
“อ้อยเป็นคนดีนะ” ผมเงยหน้าขึ้นทันที ไม่เข้าใจสิ่งที่ไอ้ใหญ่กำลังจะพูด ไอ้ใหญ่มันพูดไปยิ้มไป
“กูจะดีใจมากถ้ามึงกับอ้อยจะเป็นแฟนกันเสียที” แววตาของไอ้ใหญ่ดูจริงใจกับทุกคำที่มันพูด แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดใจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมสงสัยว่าอ้อยอาจจะมีใจให้ไอ้หนุ่ย แต่ผมรู้แค่ว่าผมไม่ชอบที่ไอ้ใหญ่พูดแบบนี้
“กูไม่อยากพูดเรื่อง..คนอื่น...ตอนนี้”ผมตัดบทไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก แต่ไอ้ใหญ่กลับไม่ยอมจบ
“ทำไมล่ะ..ก็มึงชอบอ้อยมากนี่..ทำไม” ผมไม่อยากตอบมัน เพราะผมเองก็ไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกันว่าตอนนี้ผมรู้สึกกับอ้อยแค่ไหน ผมกินข้าวหมดจานพอดีในขณะที่ไอ้ใหญ่กินข้าวหมดไปแค่ครึ่งจาน
“ทำไมมึงไม่กินข้าวก่อน เลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องซะที” ดูเหมือนผมดุไอ้ใหญ่ไปแล้ว มันก็คงดูออกว่าผมรำคาญที่มันยังคงเซ้าซี้พูดไม่เลิก
ไอ้ใหญ่ถอนหายใจ “มึงก็เป็นซะแบบนี้”
“กูก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว หรือมึงไม่ชอบล่ะ”ไอ้ใหญ่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป ผมนึกว่ามันจะไม่ตอบคำถามที่ผมถามมัน แต่มันก็ตอบ....ถึงแม้มันจะไม่ยอมเงยหน้ามองผมเลยก็ตาม
“ชอบซิ.... นิสัยมึงแบบนี้กูก็ยังชอบ”
เสียงไอ้ใหญ่ไม่ดังก็จริง มันพูดเบากว่าปกติด้วยซ้ำ แต่ผมก็ได้ยินชัด ผมรู้สึกเหมือนตัวชาๆแต่ก็มีความสุขกับคำตอบมัน จนไม่รู้ตัวว่าผมกำลังยิ้มอยู่ มันเองก็คงไม่รู้ตัวว่ามันหน้าแดง ไฟข้างถนนไม่สว่างมากก็จริงแต่ผมก็ยังเห็นอยู่ดีว่ามันหน้าแดง
“.......”ทั้งผมและมันต่างก็เงียบ ผมตัดสินใจให้ช่วงเวลาที่ต่างคนต่างเงียบหมดไป
“มึงกับกูก็เหมือนกัน..นิสัยเลวๆที่มีเหมือนกันหมด...พอกัน” ผมพูดไปก็หัวเราะไป มันก็หัวเราะ แต่ฟังดูก็รู้ว่าเสียงหัวเราะของเรามันก็เพียงอาการแก้เขินเท่านั้นเอง ก็ผู้ชายสองคนมาพูดอะไรแปลกๆแบบนี้นี่ครับ
“มึงซินิสัยเลว..กูไม่มี…ไอ้ฝัน” มันเงยหน้ามามองผมเอากำปั้นชกเบาๆที่ไหล่ผม แล้วเราหัวเราะด้วยกันอีกครั้ง แล้วเสียงโทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้นมาบ้าง มันบอกผมว่า “พ่อกูโทรมา”
ผมพยักหน้าให้มันรับ แต่ทันทีที่รับสายมันก็ขมวดคิ้วทันที
“ครับ...ผมลืมสนิทเลย”ไอ้ใหญ่ทำสีหน้าไม่ดีเลยครับ “แล้วใครไปรับ...นุ่นใช่มั้ย...โอเค”
“ให้ผมคุยกับน้องออมเองครับ...”ผมเริ่มเครียดขึ้นมาบ้าง อยู่กับมันทั้งวันแต่ผมลืมถามมันไปเลยว่าตกลงน้องออมคือใคร
“.อย่าร้องไห้นะคะ....โอ๋ๆๆๆ....ขอโทษนะคะ....รักซิคะ..จริงๆ.”
ไอ้ใหญ่หันหลังให้ผมก็จริง แต่ผมก็ได้ยินทุกถ้อยคำที่มันพูด น้องออมคงเป็นคนที่มันแคร์จริงๆ
“เอาขนมอะไรมั้ยคะ ...เดี๋ยวซื้อไปชดเชยนะคะ...ไม่โกรธกันนะ..ดีกันแล้วนะคะ”
ผมอยากเดินไปไกลๆไม่อยากรับรู้ไม่อยากได้ยินอะไรอีก ก็คงเป็นเหมือนผู้หญิงคนก่อนๆของมันสมัยที่มันมีแฟนอยู่กรุงเทพฯ เพียงแต่มันไม่เคยหวาน ไม่เคยอ่อนโยน และไม่นุ่มนวลขนาดนี้
ทำไมผมรู้สึกเจ็บๆในใจ ผมอาจจะหวงเพื่อนเกินไปจนไม่มีความสุข ผมกวักมือเรียกเด็กมาเก็บค่าอาหาร ดูนาฬิกาเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถทัวร์ก็จะออกแล้ว
“ไม่ร้องแล้วใช่มั้ยพ่อ...ผมขอโทษครับพ่อ เดี๋ยวผมจะไปส่งไอ้ฝันเลยคงไม่ได้ไปแวะที่บ้านก่อน”ไอ้ใหญ่หันหน้ามาพอดี ผมฝืนใจส่งยิ้มให้มัน “ขอกูลาพ่อมึงหน่อยซิ” ไอ้ใหญ่พยักหน้า
“พ่อ...ฝันจะคุยด้วย” ไอ้ใหญ่ยื่นโทรศัพท์ให้ผม สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“พ่อครับ ผมขอโทษนะครับ ไม่ได้ไปไหว้ลาพ่อกับแม่ด้วยตัวเอง ขอลาทางโทรศัพท์แล้วกันครับ”
“ไม่เป็นไร เดินทางปลอดภัยนะลูก ขอบใจที่มาเยี่ยมใหญ่มัน พ่อไม่เห็นมันมีความสุข ร่าเริงแบบนี้มานานแล้ว”ผมดีใจที่อย่างน้อยผมก็ทำให้เพื่อนมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง ถึงแม้จะไม่มากเท่าที่ควรก็ตามที
“บอกใหญ่นะว่าน้องออมไม่ร้องไห้แล้ว สบายใจได้ คงหายงอนแล้วล่ะ ใหญ่มันลืมไปรับน่ะ เค้าเลยงอน”ผมพยักหน้ารับรู้ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นผมลานะครับพ่อ เดี๋ยวไปขึ้นรถแล้ว”
“โชคดีนะลูก มีเวลามาใหม่นะ”ผมวางสายจากพ่อด้วยใจที่หนักอึ้ง แต่ก็บอกไอ้ใหญ่ตามที่พ่อฝากบอกมา
“พ่อบอกว่าน้องออมไม่ร้องไห้แล้ว คงหายโกรธแล้ว”มันยิ้มอย่างดีใจ สีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ค่อยยังชั่วหน่อย..กูลืมม....”ผมไม่ปล่อยให้มันพูดหรือเล่าอะไรต่อ เวลาของเราหมดแล้ว
“เราต้องรีบไปแล้วใหญ่ รถจะออกแล้ว”ผมเดินไปที่รถเอาหมวกมาใส่ไอ้ใหญ่เอื้อมมือมาจะช่วยผมใส่เหมือนเคย แต่ผมปัดมือมันออก
“ไม่ต้อง..”ไอ้ใหญ่หน้าเสียทันที ผมเลยรู้สึกตัวว่าผมพูดห้วนเกินไปแล้ว ผมเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆก็หงุดหงิดขึ้นมาได้ยังไง
“กูใส่เองเป็นแล้ว”ไอ้ใหญ่ไม่พูดอะไรอีกใส่หมวกแล้วก้าวขึ้นรถทันที ผมซ้อนท้ายมันเหมือนเคย แต่ยังลังเลที่จะกอดเอวมันอีกครั้ง ไอ้ใหญ่ยังคงไม่ออกรถจนผมสงสัยต้องชะโงกหน้าไปถามมัน
“ทำไมยังไม่ไป เดี๋ยวไปไม่ทัน”
ไอ้ใหญ่ตอบเสียงเรียบๆมาว่า “มึงยังไม่จับเอวกู เดี๋ยวมึงหล่นลงไป กูไม่มีมึงกลับไปคืนให้อ้อย”
ผมกัดฟันตอบมันไป “อืม..จริง” แปลกที่ผมหงุดหงิดเมื่อมันพูดแบบนั้นผมเลยแกล้งกอดเอวมันแน่นจนได้ยินมันร้องออกมาเบาๆด้วยความเจ็บ
ไอ้ใหญ่เอามือซ้ายพยายามคลายมือผมออกไม่ให้รัดแน่นเกินไปแต่ผมกลับยึดมือของมันไม่ปล่อยคืนโดยกุมไว้อย่างนั้น ไอ้ใหญ่พยายามดึงมือออกอีกครั้งแต่ผมก็ไม่ยอม มันเลยจำใจต้องขับรถไปทั้งมือเดียวแบบนั้น
แล้วไอ้ใหญ่ก็ออกรถด้วยความรวดเร็วอีกครั้งทั้งที่ขับมือเดียว ผมกลัวที่จะตกรถจริงๆ เลยกอดเอวมันแน่นผมบอกตัวเองแบบนั้น เมื่อออกถนนไปซักพักไอ้ใหญ่เริ่มชะลอความเร็วลง ผมรู้สึกเพลียกับการขี่รถมอเตอร์ไซด์ร่อนไปทั้งวัน เลยเอาหน้าแนบไปกับหลังไอ้ใหญ่เพื่อหยุดพัก สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายมันเลือดเนื้อของมันที่ผมกอดอยู่ ผมรู้สึกสบายจนเกือบจะเคลิ้มหลับไป ผมไม่รู้ว่ามันชะลอความเร็วลงไปอีกเมื่อไหร่ แต่รู้สึกเหมือนเรากำลังอยากทอดเวลาให้มันช้าลงเพื่อผมกับมันจะได้แยกจากกันช้าที่สุด แต่ความจริงก็คือผมมาถึงที่สถานีรถทัวร์แล้ว เหลือเวลาอีกประมาณ5 นาทีที่ผมจะต้องไป
“เดินทางปลอดภัยนะมึง แล้วเขียนจดหมายมาหากูบ้าง”ไอ้ใหญ่ฝืนยิ้มส่งให้ผม
ผมอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของมัน “กูขอเบอร์มึงหน่อย เผื่อกูอยากคุยกับมึง”ไอ้ใหญ่เงียบไปชั่วครู่แต่ก็พยักหน้า ผมถามเบอร์มันแล้วโทรเข้าหาเพื่อให้มันบันทึกเบอร์ไว้ แต่มันก็ยังไม่วายสั่งผมว่า
“มึงอย่าโทรมานะ ไว้กูจะโทรไปเอง”ผมไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ผมก็เชื่อมัน อย่างน้อยผมก็ขออุ่นใจว่ามีเบอร์โทรของมันแล้ว
“ดูแลอ้อยดีๆนะ มีข่าวดีเมื่อไหร่อย่าลืมบอกกู” มันพูดกับผมอีกครั้งก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นบันไดรถไป ผมจุกๆในอกรู้สึกเหมือนมันกำลังยกผมไปให้คนอื่น ผมเลยหันกลับมาบอกมันบ้างว่า
“มึงก็เหมือนกันดูแลน้องออมดีๆ มีข่าวดีก็อย่าลืมบอกกูเหมือนกัน” ผมฝืนยิ้มส่งให้มันพยายามทำเสียงให้ร่าเริงเข้าไว้
“เสียดายวันนี้เลยไม่ได้เจอเพื่อนสะใภ้” ไอ้ใหญ่อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่มันก็ยังไม่พูด มีเพียงแววตาเศร้าๆที่มองกลับมา ในที่สุดมันก็พูดขึ้นมาว่า “น้องออมเค้าเป็น......”
แต่ก่อนที่มันจะพูดต่อจนจบประโยค ผมกลับไม่อยากรับรู้รีบยกมือขึ้นห้ามมันไม่ให้พูดต่อ
“กูไม่สนใจ..ไม่ต้องบอกกู” เราสบตากันนิ่งเมื่อผมพูดจบ
ไอ้ใหญ่ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วรำพึงกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับผม
“จริงซินะ เราต่างก็มีคนที่ต้องดูแล เรื่องของกูก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องสนใจ” พอมันพูดทำนองน้อยใจแบบนั้น ผมอยากจะค้านว่ามันไม่ใช่ ผมไม่ได้คิดแย่ๆแบบนั้น
“กูไม่ได้...”
ไอ้ใหญ่บีบไหล่ผมแล้วส่ายหน้า “รถจะออกแล้วมึงขึ้นไปเถอะ”
ผมเข้าใจแล้วว่ามันรู้สึกยังไงเมื่อมีคนปฏิเสธไม่อยากฟังสิ่งที่เราจะพูด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เวลามันหมดแล้ว
เวลาของผมกับมันในหนึ่งวันกำลังจะหมดไปแล้วจริงๆ เหมือนอย่างที่มีคนเคยบอกไว้ว่าเวลาไม่เคยรอใคร ผมรู้สึกใจหายที่จะต้องแยกจากกันแล้ว ผมโบกมือให้มันก่อนจะจากไป
“ไปแล้วนะ เจอกันวันรับปริญญานะมึง"
" สัญญานะ”
มันพยักหน้าอย่างหงอยๆ แล้วผมก็ต้องขึ้นรถไป มันยังคงยืนส่งผมอยู่ข้างล่าง เราโบกมือให้กันจนรถเคลื่อนออกจากอาเขตมันพูดออกมาคำหนึ่งซึ่งผมอ่านจากปากมันได้ มันบอกว่า
“สัญญา....เพื่อน”
**************************
เฮ้อ