เรื่องสั้น(เกิน) ๒๔ชม.
เรื่อง : ใช่ว่าไม่รักกัน
๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖
ท่ามกลางสายลมปลายฝนต้นหนาว ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่เสียดสีกันราวส่งเสียงกระซิบถ้อยความต่อกันบ้างร่วงโรยตามลมพัด บ้างคงอยู่ กบส่งเสียงร้องต่ำสูงอยู่เพียงไกลๆ เจ้าของบ้านสองคนกำลังช่วยกันเก็บของใช้ส่วนหนึ่งบรรจุใส่ลังกระดาษ หนังสือเล่มใหญ่ตั้งหนึ่งถูกมือนวลบางค่อยวางเรียงลงในลังอย่างเป็นระเบียบก่อนจะผนึกลังด้วยเทปกาวให้แน่นหนา
“ลังนี้หนักมาก ไม่รู้จะแตกหรือเปล่า”
“เขียนไว้ดีกว่าว่าหนังสือหนัก เวลาขนจะได้ไม่วุ่น” เสียงนุ่มๆนั้นกล่าว พลางคว้าปากกาเมจิกเขียนข้อความลงบนฝาลัง
“คริษฐ์นี่เขียนหนังสือไม่มีหัวเลย”
“ทำอย่างกับตัวเองเขียนแล้วมี” คนฟังฟังแล้วหัวเราะก่อนจะเถียง มีสิ ก่อนจะคว้าปากกามาลองเขียนบนฝากล่องบ้าง
“เห็นไหมมีแล้ว”
“มัวเล่นอยู่ รีบเก็บของเถอะ เชจะได้รีบนอน พรุ่งนี้ประชุมเช้าไม่ใช่หรือ?”เสียงอ่อนโยนนั้นกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่นิทเชได้ฟังยามใดล้วนสุขใจทุกครั้ง
จะมีใครเชื่อไหมว่า ‘เรา’ กำลังจะเลิกกัน ไม่ใช่สิ เราเลิกกันแล้ว คริษฐ์แค่แวะมาเก็บของก่อนจะจากไป ออกจากชีวิตของใครอีกคนไป...อาจเป็นตลอดกาล จะมีใครเชื่อไหมว่า เราคบกันเจ็ดปีเต็ม โดยไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ตามใจกันทุกเรื่อง รู้ใจกันทุกอย่าง ไม่มีใครเชื่อหรอก..... แม้เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดของทั้งนิทเชและคริษฐ์ต่างหาว่าเราทั้งคู่โกหก
“ไม่ได้โกหก” นิทเชยืนยันกับเพื่อนสนิท ทั้งที่ข้างกายเขาคริษฐ์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น
“ทำไมแกโง่อย่างนี้วะ คริษฐ์เขาดีกับแกทุกอย่างเลยนะเว้ย ไม่เคยทะเลาะกันสักหนเลยไม่ใช่หรือ ตามใจแกทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคริษฐ์เขาด้อยที่ตรงไหนเลยนะ การศึกษา หน้าตา ความก้าวหน้า เขาเหมาะสมกับแกทุกอย่างเลยนะ”
“ทำไมนะหรือ?”ผมหันไปสบตาคู่หนึ่งที่มองสบกันโดยไม่ต้องนัดหมาย และสิ่งที่เราไม่ได้นัดหมายกันในใจอีกอย่างคือ
ทำไมเราต้องเลิกกัน?
เพราะเราไม่เข้าใจกันหรือ? เห็นจะไม่ใช่ เพราะเราพบรักใหม่หรือ? ก็ยังไม่พบ เพราะเรา ทนนิสัยแย่ๆของอีกฝ่ายไม่ได้? ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ......หรือเพราะเราไม่เคยทะเลาะกัน??
“วันเสาร์นี้ไปงานวันเกิดด้วยกันไหม?” เสียงนุ่มนวลนั้นถามขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน..คำชักชวนเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
“วันเกิดใครล่ะ?”คำตอบที่ได้รับทำให้นิทเชถึงกับต้องนิ่งคิด วันเกิดแฟนเก่า เอาแฟนคนปัจจุบันไปร่วมงานด้วย จะดีหรือ?
“คริษฐ์ไปเถอะ”
“เชไม่ไปแล้วคริษฐ์จะไปทำไม?”
“ก็เขา...เพื่อนคริษฐ์”
“เชไม่ไป ก็ไม่รู้จะคุยกับใคร” นิทเชร้องอ้าว สุดท้ายแล้ว ‘เรา’ ก็ไม่ได้ไป เพียงแต่ส่งการ์ดที่ช่วยกันเลือกไปให้เท่านั้น
ทำไมเราต้องเลิกกัน? หรือเพราะเรารักกันน้อยเกินไป ท่าทางจะไม่ใช่ หรือเพราะเราไม่เอาใจใส่กัน ก็เปล่าเลย หรือเพราะเราใกล้กันมากเกินไป จนต่างอึดอัด ก็อาจจะไม่ใช่อีก เพราะเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของอีกคนต่างหาก
“มายืนตรงนี้เร็ว” นิทเชร้องสั่งอย่างขบขัน ก่อนจะจูงมือคนตัวโตกว่ามายืนข้างสิงห์ไม้หน้าบ้าน
“ทำไมต้องถ่ายกับสิงห์หน้าบ้านด้วย”
“หรือจะถ่ายกับปลาคาร์ฟในบ่อ เชก็ไม่ว่านะ” นิชเชพูดพลางจัดทรงผมคริษฐ์ให้เข้าที่ ก่อนจะจัดการกับกล้องถ่ายภาพคู่ใจ
“หล่อแล้ว” คนฟังยิ้มเขินเมื่อได้ฟัง
“หล่อเชยๆ”
“รู้ไหม คริษฐ์ไม่เคยชอบการถูกถ่ายภาพเลย” คนหลังกล้องลดกล้องลง
“ถ้าไม่อยากถ่าย เชเลิกก็ได้”
“ถ่ายเถอะ” คริษฐ์ยิ้ม รับฟังเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น....ครั้งแรก...และเพียงครั้งเดียว
“พอดีกว่า รูปเดียวก็พอแล้ว”นิทเชพูดก่อนจะเก็บกล้องตัวโปรด
ฝนยามบ่ายโปรยลงมาแล้ว ละอองน้ำเล็กๆ เกาะบนกระจกใส ทำให้ภาพเบื้องนอกเลือนลาง เหมือนหัวใจนิทเชในวันนั้น หัวใจที่มองสิ่งใดไม่ชัดเจน รอจนกว่าหยดน้ำจะจางหายระเหยเป็นละอองไอสู่อากาศ เมื่อนั้นทุกสิ่งจึงกลับมากระจ่างชัด
“คริษฐ์ เราสองคนน่ะ รักกันมากเกินไปหรือเปล่า?” สัมผัสอุ่นๆนั้นลูบศีรษะนิทเชแผ่วเบา
“อะไรคือมากเกินไปล่ะ”
“ไม่รู้สิ”อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น ยังคงอบอุ่น และอ่อนโยนเสมอ
เราไม่เคยทำสิ่งที่ ‘เราต่าง’ ไม่ชอบ และหลีกเลี่ยงมันเรื่อยมา นิทเชเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบวุ่นวายสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่มากเกินความจำเป็น ในขณะที่คริษฐ์ทำงานที่ต้องพบคนมากเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนมาก
นิทเชชอบถ่ายภาพ เขารักมันยิ่งกว่าสิ่งใด เขามักไปไหนมาไหนคนเดียวกับกล้องคู่ใจ บันทึกภาพสิ่งที่ตนเห็นเก็บไว้ ทว่าไม่เคยบันทึกภาพคนที่เขารักไว้ ...เพราะคริษฐ์เคยบอกว่าไม่ชอบถ่ายภาพเพราะมีปมด้อย...เมื่อใดที่เขาหายไปจากบ้านออกไปตระเวนถ่ายภาพ โทรศัพท์มักดังด้วยความร้อนรนเสมอ นั่นเป็นสัญญาณบอกเวลา...ต้องกลับ เพื่อความสบายใจของ ‘เรา’
“ผมเป็นห่วง”
“ไปแค่แป๊บเดียวเอง ซื้อขนมมาฝากด้วย”
“ไว้เราไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ?” นิทเชแค่รับคำในคอ ไม่มีใครพูดถึงมันอีก จนสุดท้ายนิทเชก็หลงลืมไปเสียเอง
ต่างคิดไปเพียงว่า อยากให้ ‘เรา’ มีความสุข….ก็แค่เท่านั้น
“เพื่อนแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะไอ้คริษฐ์” เพื่อนคนหนึ่งของคริษฐ์ ทักขึ้นเมื่อพบกันโดยบังเอิญ
“ก็ไม่ค่อยมีเวลา” มือแข็งแรงอบอุ่น ยังคงกอบกุมมือบางไว้ในอุ้งมือ สุภาพ และอ่อนโยนเสมอ
“แหม คุณเชปล่อยๆไอ้คริษฐ์มันมั่งเหอะครับ”
“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง ข้าเนี่ยแหล่ะติดเขา ไม่ใช่เขาติดข้า” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะกับเพื่อนอย่างขบขัน มือนวลบางในอุ้มมือ ค่อยๆดึงออกจากการเกาะกุม แผ่วเบา...เสียจนเจ้าของมืออุ่นนั้นไม่รู้ตัว
“ ว่างๆก็ชวนคริษฐ์ออกไปสังสรรค์บ้างนะครับ อยู่ติดบ้านเกินไปเดี๋ยวจะเบื่อ” นิทเชพูดออกไปทั้งที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น เขากลับรู้สึก....ว่างเปล่า ความรู้สึกที่มันทับถมกันมานานปี กำลังจะเอ่อล้นตันตื้อขึ้นในจิตใจ
“รายนี้คุณเชต้องออกปากเอง เขาถึงจะไปแหล่ะครับ” นิทเชทำเพียงยิ้มน้อยๆ
ในเมื่อเราต่างอยากให้มีความสุข...แล้วเราในตอนนี้ มีความสุขจริงหรือเปล่า??
เราจะมีความสุขด้วยกันได้ โดยที่ตัวตนของเราต่างค่อยสาบสูญไปทีละน้อย ...เราทำอย่างนั้นได้จริงๆนะหรือ?
“แล้วถ้าได้ล่ะ”คริษฐ์ ตอบตัวเอง ทั้งที่มีคำถามอื่นๆผุดขึ้นมาอีก ความสัมพันธ์ของเราจะอยู่ต่อไปได้อีกสักเท่าไหร่?
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” นิทเชตอบตัวเอง ผลของมันจะทำให้เราต่างเจ็บปวด ต่างพังทลายลงหรือเปล่า? หรือจะปิดตาตัวเองต่อไป เพื่อให้เรายังอยู่ด้วยกันได้...อีกนิด
“ผมต้องเลือกหรือเปล่า?” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลนั้น จริงจัง ดวงตาคู่นั้นที่เคยมีน้ำหล่อเลี้ยงฉ่ำหวานกลับแห้งผาก มือนวลกอบกุมมือแข็งแรงที่กำหมัดแน่นไว้
“ไม่ใช่คริษฐ์คนเดียวหรอก แต่เป็น ‘เรา’” น้ำเสียงแห้งแล้งนั้น ทำให้ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสแผ่วผิวลงบนมือบาง
“เพียงแต่เราต้องรู้ไว้ เราจะมีทุกสิ่งตามหวังไว้ไม่ได้”
“แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆล่ะ?” ดวงตาคู่นั้นที่เคยทอประกายอ่อนโยน ทอดมองอย่างดิ้นรนหาทางออก
ความรักหรือ?....เราจะยังกุมมือกันได้สนิทใจทั้งที่พิษของความเจ็บปวดกำลังกัดกินเรานะหรือ?
“แล้วความสุขล่ะ?”
“เชไม่มีความสุขหรือ?”
“มีสิ เรามีเสมอ เมื่อเราอยู่ด้วยกัน ...แล้วคริษฐ์คิดว่าเรา ‘เป็นสุข’หรือเปล่า?” ชายหนุ่มครุ่นคิด ทว่าให้คำตอบที่แน่นอนกับตนเองไม่ได้เช่นกัน
“แล้วถ้าไม่ เราก็ควรจบกันอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาที่คอยสบกลับมาวูบหลบ
“แล้วแต่คริษฐ์”คนฟังยิ้มทั้งที่ดวงตาโศก
“จะแล้วแต่คริษฐ์คนเดียวได้ยังไง?”
“เราอาจจะแค่ต้องการเวลา” นิทเชอดไม่ได้เลย ที่จะยื้อความสัมพันธ์เอาไว้ พอๆกับที่ห้ามตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตาไม่ได้
“อืม...เราอาจจะแค่ต้องการเวลา ให้ตัวตนของเรากลับมา...อย่าร้องไห้เลย”น้ำเสียงอ่อนโยนติดจะอ่อนหวานนั้นกระซิบแผ่วเบา พลางกอดคนในอ้อมแขนไว้
“เพื่อนเชจะต้องว่าเอาแน่ๆ”
“นี่ร้องเพราะกลัวโดนเพื่อนว่าเอาหรืออะไร?”คนถามร้องเสียงหลงเมื่อถูกทุบเสียเต็มแรงก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เราอาจจะเลิกกัน...” ริมฝีปากหยักสวย มอบสัมผัสอุ่นล้ำบนริมฝีปากบาง เนิ่นนาน ก่อนจะถอนจูบอย่างเสียดาย เมื่อสบดวงตาที่ยังเอ่อล้นด้วยน้ำตาคู่นั้น เขายิ่งมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะพูด
“แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน ใช่ไหม?” ชายหนุ่มยิ้ม นิทเชพยักหน้ารับพลางยิ้มตอบ
บางคนอาจพูดว่าโชคชะตาเปิดโอกาสให้เราต่างกลับไปค้นหาตัวตนของเรากลับมา ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ นิทเชยิ้มกับตัวเอง โชคชะตาอาจจะช่วยครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเราต่างหาก ที่ ‘กล้า’ พอจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า คริษฐ์และนิทเช กล้าพอ ที่จะถอยหนึ่งก้าวสำหรับความสัมพันธ์ ให้พื้นที่กับหัวใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของตนโดยไม่อาจหยุดยั้ง
“ย้ายไปทำงานต่างประเทศก็ดีนี่นา ใครเขาก็อยากไปกันทั้งนั้น ” นิทเชออกความเห็น ในค่ำวันที่ เราอยู่ด้วยกัน ...มิใช่คนรัก แต่เป็นเพื่อนใจ
“เป็นห่วงเช”
“ห่วงทำไม? เชก็ต้องเดินทางเหมือนกัน”
“ห่วงสิ เพราะเชต้องเดินทางไปหลายที่ ใครจะดูแล”คนพูดอดห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าขัด มากนัก เพราะรู้ว่านิทเชพยายามมาหลายปีกว่าจะได้รับการตอบรับให้เป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีแห่งหนึ่ง
“ทุกคนก็ต้องเดินทางทั้งนั้น เดินไปบนทางเดินชีวิตของตัวเอง”
“คริษฐ์รู้ แต่มันก็อดห่วง...ไม่ได้”นิทเชยิ้มอย่างเข้าใจ เจ็ดปีเต็มที่คนตรงหน้านี้เฝ้าเอาใจใส่ดูแลกันไม่เคยบกพร่อง
“ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าทำงานจนลืมตัวเองไป เพราะเราต้องรัก...รักตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม”
“อืม...คริษฐ์เข้าใจ”
“ เชไม่ต้องยกลังนั้น เดี๋ยวคริษฐ์ยกเอง”ลังใส่หนังสือถูกนิชเลยกใส่รถที่จอดรอหน้าบ้าน โดยไม่ฟังเสียงค้าน
“มีอะไรต้องขนอีกไหม?”คริษฐ์ว่าไม่มีหรอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่บาง
“ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไหร่”
“จะร้องเพลงสั่งนางด้วยหรือเปล่า?” นิทเชถามหน้าตาย ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ไม่ร้องหรอก เชก็รู้ ร้องเพลงเป็นปมด้อยพอๆกับถ่ายรูปเชียวล่ะ”มือนวลหยิบรูปหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อ
“รูปนี้คงพอพิสูจน์ได้ ว่าปมด้อยเรื่องรูปถ่ายของคริษฐ์น่ะ ไม่จริงหรอก”
รูปถ่ายขาวดำของกิจวัตรประจำวันที่เจ้าตัวมักทำทุกเช้า เป็นการฝึกสมาธิให้ตัวเองมีสติก่อนออกไป ทำงานเสมอ คนในภาพนั่งบนเก้าอี้ ค้อมกายลงผูกเชือกรองเท้าตนเองในเช้าวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่ง ดวงตาของคนในภาพที่เงยหน้าขึ้นดูคล้ายมองสบในที แววตานั้นฉายประกายนิ่งสงบ และลุ่มลึกกว่าครั้งไหนๆ
“อ่านข้างหลังสิ”ช่างภาพออกปาก คริษฐ์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความ
“มิใช่ไม่รักกัน”ไม่มีลงชื่อ หรือวันที่ มีเพียงลายมือหนักแน่นของตัวอักษรไม่มีหัวและเขียนเอียงน้อยๆ ทว่าดูสะอาดตา
“รูปสวยมาก ขอบคุณ” นิทเชมองร่างสูงที่ยังก้มลงพิจารณารูป พลางคาดเดาว่าช่างภาพไปเก็บภาพมาเมื่อไหร่
“ฝนจะตกแล้วนะ” เ สียงแผ่วเบาฟังคล้ายกระซิบนั้น ทำให้ดวงตาคู่คมมองรอบกาย ให้ได้คิดทบทวน ให้ได้ซึมซับความรู้สึกรักและเจ็บปวด ให้ได้เข้าใจ ‘เรา’ ที่ไม่ใช่ฉันท์คนรัก แต่เป็น ‘ตัวเรา’
“อืม ไปล่ะ ปิดประตูบ้านดีๆนะ” มืออุ่นร้อนยังคงสัมผัสอย่างสุภาพอ่อนโยนเสมอ ก่อนริมฝีปากหยักสวยที่ยกยิ้มน้อยๆจะมอบจุมพิตครั้งสุดท้ายลงบนหน้าผากใครอีกคน...ผิวแผ่วราวสายลม ที่พัดมาและผ่านเลยไป
ท่ามกลางสายลมที่สงบลงจนไม่มีใบไม้ใดขยับไหวและเสียงฟ้าครวญ นิทเชยืนมองรถยนต์คันนั้นแล่นจากไปจนลับสายตาด้วยดวงตาที่แผงรอยอาลัยรัก และริมฝีปากคลี่ยิ้มส่งให้ นิทเชถามใจตน ได้เรียนรู้สิ่งใดบ้างจากความรัก ไม่ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มเฝ้าเตือนตนเอง ให้เรียนรู้และเก็บไว้เป็นบทเรียน ว่า ‘เรา’จะเป็นเราไม่ได้ หากไม่มี ‘ตัวเรา’ เสียงฟ้าครวญสนั่น พร้อมกับสายฝนตกกระทบผืนดินจากน้อยหยดเป็นเทกระหน่ำ หอบพากลิ่นไอดินจางๆชวนสดชื่น หยดน้ำอุ่นร้อน ร่วงหล่นถูกตน ชายหนุ่มเพียงแต่รำพันกับตนเอง
“ฝนตกเสียแล้ว”
********************************************************************
ไม่ค่อยได้เขียนอะไรมาพักใหญ่ รู้สึกฝืดสนิทศิษย์ส่ายหน้า
อยู่ๆก็อยากเขียนคนเลิกกันมากกว่าคนเริ่มรักกัน 555+ เพราะวันก่อนอาบน้ำอยู่(ทำไมต้องตอนอาบน้ำ เเป่ว...)เเล้วนึกขึ้นมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ใช้เวลาเกิน๒๔ชม.ไปเยอะเลยค่ะ คุณ3 (ใช่เวลาตั้งนาน เขียนได้7หน้า ไม่ถึงด้วย)...เเต่ไม่เป็นไร มีเวลาเยอะ ฮ๋าๆๆ
เเอบขี้เกียจตั้งทู้ใหม่ด้วย เเฮ่ะๆ
ยินดีรับฟังความคิดเห็น ขอบคุณสำหรับการเข้าอ่าน เม้นต์ นะคะ