(เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)  (อ่าน 24466 ครั้ง)

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง เป็นคล้ายๆโปรเจคเรื่องสั้นที่กำหนดเวลาเขียนให้หนึ่งตอนเขียนเสร็จภายในหนึ่งวัน(เพราะเวลาไม่เยอะ จะได้ไม่ดอง) สำหรับเรื่องจากโปรเจคเดียวกันที่เคยลงไว้ในบอร์ดนี้ คือ อ้างฟ้าอ้างฝน


เรื่องสั้นเรื่องนี้ ลักษณะเป็นสามตอนจบ  คือ ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ  ค่อยๆทยอยลงเเล้วกันเน๊อะ
เรื่องนี้เคยลงในบอร์ดปิดเเล้วบางท่านอาจเคยวอบเเวบเห็นมาบ้าง หวังว่า ทุกท่านที่หลงเปิดเข้ามาในกระทู้นี้เเล้วจะไม่ผ่านเลยไป เเวะติชมกันหน่อยนะคะ  :กอด1:

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2014 20:03:30 โดย ภาณุเมศพลัง »

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง
เรื่อง: ไม่มี


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก....โดยเฉพาะในกรณีหลังสุด ที่ทำให้มนุษย์เรานั้น ‘เจ็บ...แต่ไม่รู้จักจำ’ แล้วทำไมมนุษย์เราถึงขวนขวายหามันกันนัก ทั้งที่ห้วงอารมณ์รัก มาพร้อมกับความทุกข์มากกว่าความสุข หรืออาจเพราะช่วงเวลาสุขอันน้อยนิดในห้วงรัก มันหวานหอมจนเสพย์ติด...? ผมเองตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันครับ ว่าเพราะอะไรถึงยังพยายามดื้นรั้น ยื้อยึดความรักไว้ ทั้งที่รู้ อยู่เต็มอก ว่า ในไม่ช้า จะต้องเสียมันไป

“พัศ เราเลิกกันเถอะ...ได้ไหม?” ผมนิ่งฟังความนั้นราวคนไม่เข้าใจภาษา ทว่าเสียงที่ปลายสายยังคงพูดอะไรต่อไป ทว่าผมจับความใดๆไม่ได้...ใช่ครับ...ผมกำลังช๊อค

น่าแปลกใจอย่างยิ่งครับ ที่หลังจากพยายามทำความเข้าใจกับคำนั้นอยู่เพียงไม่กี่นาที ผมกลับ ตอบกลับคนที่ผม ‘ยังรัก’ ว่า ผมเข้าใจสิ่งที่เขาบอกผมด้วยอาการสงบอย่างยิ่ง ผิดกับผมคนก่อนที่คงโวยวาย ฟูมฟาย อาจเพราะช่วงเวลานั้นผมมีเรื่องให้คิดมากมายก็ได้





ดอกไม้สวยงามที่ถูกจัดแจงใส่ภาชนะสารพัดอย่าง สวยงามบ้าง สวยจนเกินงามบ้างจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นโชว์ของร้านดอกไม้เล็กๆในโรงพยาบาลที่เคยพลุกพล่านด้วยผู้คนที่มารอรับการตรวจ ญาติผู้ป่วยในตอนกลางวัน ผมกำลังสนใจดอกทานตะวันดอกใหญ่ที่เบ่งบานแช่มชื่นอยู่ในตู้แช่เย็น พลางคิดไปว่า มันจะสวยได้นานสักเท่าไหร่

“อ้าว คุณมโนพัศ” ผมหันไปสนใจเสียงทุ้มนุ่มนวล นายแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้พี่ชายของผม ที่ประสบอุบัติเหตุและกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้มร่วมสองอาทิตย์

“สวัสดีครับคุณหมอ” ผมยกมือไหว้เขาเพราะจากการกะเกณฑ์แล้ว นายแพทย์หนุ่มคนนี้คงอายุมากกว่าผมสักสองสามปี แม้ใบหน้านั้นจะเยาว์ แต่แววตาเจือเศร้านั้นกลับทำให้สะดุดใจ

“ซื้อดอกไม้ไปฝากพี่ชายหรือครับ…เอาอันนั้นครับ”แพทย์หนุ่มชี้ไปที่ ดอกคาเนชั่นสีแดงเข้มที่ถูกจัดลงในลูกบาศก์แก้วใสเตี้ยๆเพียงดอกเดียว ก่อนจะยื่นเงินให้พนักงานร้าน

“ครับ แล้วคุณหมออศลย์ล่ะ?” หมอหนุ่มรับดอกไม้นั้นมาถือไว้ ยิ้มจางๆให้ ก่อนจะเดินจากไป...โดยไร้คำตอบใดๆ

“คุณไม่รู้หรือคะ ว่าคุณหมอเขาซื้อไปให้ภรรยา” ข้อมูลใหม่ของพนักงานร้านทำให้ผมถึงกับฉงน เพราะหมอหนุ่มคนนั้นดูออกจะหนุ่มเกินไปสำหรับการแต่งงาน

“ภรรยาคุณหมอป่วยหรือครับ?”

“ใช่สิคะคุณ เขาลือกันให้แซดทั้งโรงพยาบาล ว่าหมอเขาแต่งหวังเงิน ภรรยาเขาน่ะ อายุมากกว่า แถมป่วยหนักเชียวล่ะค่ะ เห็นพวกพยาบาลซุบซิบกันว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน...”พนักงานร้านทำท่าจะ ‘บอกเล่า’ ข่าวสารต่อไปอีก ทว่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องของใครอื่นมากนัก

“อ้อ ...เอาดอกทานตะวันในตู้ครับ ดอกเดียว”ผมพูด พลางเตรียมเงินสำหรับจ่าย และเมื่อได้รับดอกไม้ที่ต้องการแล้วก็รีบเดินจากไป

ระหว่างทางที่ผมเดินไปหาพี่ชายของผม ทางเดินที่เงียบกริบนั้น กลับมีเสียงหัวเราะเบาๆลอยมาตามสายลมอ่อนๆของยามค่ำในฤดูหนาว ผมมองผ่านกระจกใสของประตูห้องเข้าไป หมอหนุ่มคนนั้น นั่งบนเตียงคนไข้ กำลังยิ้มและหัวเราะอย่างขบขันไปกับหญิงสาวคนหนึ่งที่แม้ร่างกายจะผ่ายผอมลงด้วยโรคภัย แต่พอเดาได้ว่าก่อนหน้านี้เธอคงน่าดูสักเพียงไหน โดยที่ไม่รู้ตัว ดวงตาคมปนประกายโศกนั้น ก็หันมาสบตาผมเข้าโดยไม่ตั้งใจ เขาหุบยิ้มลงเล็กน้อยกว่าจะพยักหน้าให้เบาๆ นั่นทำให้ผมได้สติและรีบพละจากมา


ลึกๆแล้วผมก็สงสัยเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มที่หน้าที่การงานดี หน้าตาดี อย่างหมออศลย์ ถึงแต่งงานกับผู้หญิงที่รู้ทั้งรู้ว่าเหลือเวลาบนโลกใบนี้น้อยเหลือเกิน
[/i]



ค่ำวันหนึ่ง หลังจากที่ผมเยี่ยมพี่ชายเสร็จ ผมได้รับโทรศัพท์จากคนรัก และเราทะเลาะกัน โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าอะไรทำให้เราต่างฉุนเฉียวใส่กันได้ถึงขนาดนั้น ผมรู้แต่ผมโกรธมาก จนไม่อยากเสี่ยงที่จะขับรถกลับในเวลานี้ จึงนั่งทอดอารมณ์และคิดทบทวนหลายสิ่ง ที่เก้าอี้ข้างตึกที่พี่ของผมรักษาตัว

“ยังไม่กลับหรือครับคุณมโนพัศ” เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้น ดังขึ้น ก่อนเงาร่างสูงจะทรุดลงข้างผม พลางล้วงซองบุหรี่ยับย่นออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต

“แล้วคุณหมอละครับ”ผมถามโดยไม่ได้มองหน้าหมอหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าน้ำตาจะรินไหลออกมา

“คืนนี้ผมอยู่เวร มีไลท์เตอร์ไหมครับ?”ผมตอบปฎิเสธ ว่าผมไม่สูบบุหรี่ หมออศลย์จึงเก็บซองบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิม หลังจากต่างเงียบอยู่นาน ผมรู้สึกถึงสายตาประกายโศกนั้นกำลังจับจ้องมองอยู่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ผมนึกว่าคุณจะถามผมเรื่องภรรยาผมเสียอีก”หมอหนุ่มหัวเราะขื่นๆ

“ผมไม่ช่างสงสัยถึงขนาดนั้นหรอกครับ”ผมตอบพลางทอดสายลงมองที่ปลายเท้า ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆของคนข้างกาย

“ตามหลักการแล้ว ภรรยาของผมควรอยู่ได้อีกสักครึ่งปี แต่ตอนนี้...เธอพร้อมจะ...จากไป...ได้ทุกเมื่อ”เสียงพูดนั้นแผ่วเบาเหลือเป็นเพียงเสียงกระซิบที่แห้งแล้ง

“เธอดูเป็นคนสวยทีเดียวนะครับ”หมอหนุ่มผินหน้ามามอง ดวงตาคมโศกนั้นฉายประกายคล้ายจะถาม อย่างนั้นหรือ?

“ก็อาจจะใช่ ผมมาพบเธอ ตอนที่สุขภาพไม่สู้จะแข็งแรงแล้ว เธอเป็นคนไข้รายแรกๆที่ผมได้เป็นแพทย์เจ้าของไข้ รุ่นพี่ของผมเคยเตือนเอาไว้ ว่าไม่ควร ที่เราจะผูกพันกับคนไข้คนไหนให้ลึกซึ้ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมไม่เชื่อคำเตือนนั้น”

“ผมเชื่อว่าหัวใจคนเราห้ามกันยาก”ผมตอบด้วยเสียงที่เบาแทบไม่ต่างกัน

“นั่นสิ เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด คุยสนุก แต่เริ่มเดิมที ผมไม่ได้แต่งงานกับเธอเพราะรัก”ถ้อยความนั้นทำให้ผมถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด

“ไม่ได้รัก..?”

“ใช่ ผมสงสาร...”

“แต่มันออกจะไม่ยุติธรรมกับภรรยาคุณนะครับ” หมอหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางออกความเห็นว่า ก็จริง

“เธอสู้กับโรคและความเจ็บปวดมาด้วยตัวคนเดียวตลอด เป็นผู้หญิงที่ใจเด็ดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา นั่นทำให้ผมประทับใจ ขณะเดียวกันก็สงสาร” เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมยกขึ้นดูชื่อคนโทรเข้า ก่อนจะกดรับอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วพูดเพียงสั้นๆ

“ผมไม่อยากคุยตอนนี้” ไม่ว่าปลายสายจะพูด อะไร ขณะนี้ผมไม่ต้องการรับฟังสิ่งใดๆอีกแล้ว...เป็นอีกครั้งที่ผมกดวางสายอย่างไร้เยื่อใย

“โกรธกันหรือ อย่าโกรธกันไปเลย ถ้าต่อไป ‘ไม่มี’ เสียแล้ว จะนึกเสียดาย เวลา....ย้อนกลับไม่ได้หรอกนะ”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นปลอบประโลมหัวใจให้ค่อยเย็นลงช้าๆ

“ขอบคุณครับ ผมเห็นว่าได้เวลาต้องกลับ...”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ อ้อ..ถ้ามีเวลาละก็ แวะไปที่ห้องนั้นสิครับ” แพทย์หนุ่มยกยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ดวงตาโศก ก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับไปทำงาน


คำว่า ‘ไม่มี’ ของหมออศลย์ ทำให้ผมคิด ว่าหากไม่มี...อีกต่อไปแล้ว ผมจะนึกเสียใจในภายหลังหรือเปล่า และนั่นทำให้ผมคิดต่อไปอีกว่า ถ้าไม่มีเสียแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป
[/i]



หลายวันต่อมา ผมเดินไปตามทางเดินเงียบกริบทางเดิม ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหายใจของตัวเองชัดเจน ห้องที่ผมมุ่งหน้าไปนี้ ยังไม่ใช่ห้องที่พี่ของผมรักษาตัว ผมหยุดยืนหน้าห้องนั้นนิ่งนาน ได้ยินเสียงพูดคุยของนางพยาบาลภายในห้องและเสียงอุปกรณ์กระทบกัน ตามด้วยเสียงรูดม่าน เมื่อผมเอื้อมมือไปหมายจะเคาะ ประตูห้องกลับเลื่อนออก ผมสบตาเข้ากับนางพยาบาลคนหนึ่งซึ่งท่าทางตกใจ

“อ้าว คุณมโนพัศใช่ไหมคะ กำลังรออยู่เชียว”ร่างผอมเกร็งบนเตียงผู้ป่วย พูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทว่าแผ่วเบา

“สวัสดีครับ”

“เห็นสนมาบอกว่าคุณจะมา ไม่นึกว่าจะหน้าตาน่ารักเสียด้วย”เธอพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายแจ่มใสชวนมอง ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง และเธอคงจับอาการสังเกตของผมได้

“ฉันเพิ่งผ่าตัดสมองมา เสื้อผ้าหน้าผม ออกจะไม่ตามแฟชั่นสักหน่อย อย่าสนใจเลยค่ะ”เธอพูดแล้วหัวเราะเบาๆ นั่นทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย และเริ่มเข้าใจว่าทำไมคุณหมอหนุ่มคนนั้นถึงเลือกเธอ

“คุณก็ดูสวยสมอาการดีครับ”ผมออกปากทีเล่นทีจริงด้วยหวังว่าเธอคงไม่เคือง

“แหม ปากหวานจริง มิน่า สนถึงอยากให้คุณมาคุยกับฉันนัก” เราคุยกันถูกคอจนน่าแปลกใจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนผมเองก็ลืมเรื่องที่คิดไม่ตกไว้ภายหลังเสียสิ้น

“คุยกันเสียเพลิน คุณไปเยี่ยมพี่คุณเถอะค่ะ ฉันได้ข่าวมาว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมย่านของฉัน” ผมหัวเราะกับคำว่า ย่านของเธอ ก่อนจะเอ่ยคำลาอย่างเสียดาย

“มโนพัศ อำนาจแห่งใจ คุณเป็นคนเข้มแข็ง ใช้มันอย่างฉลาดนะคะ อย่าลืมเผื่อแผ่ให้คนอื่นด้วย”

“ผมคงเข้มแข็งได้ไม่เท่าคุณหรอกครับ”ผมสวัสดีเธอก่อนจะออกจากห้องมา ภาพภรรยาของหมออศลย์ยิ้มให้ผมด้วยดวงตาเป็นประกายสุขใสยังติดอยู่ในหัวใจ


ณ เวลานั้น ผมเพียงคิดไปว่า บางทีฟ้าก็ช่างกลั่นแกล้ง ดูอย่างภรรยาของหมออศลย์สิ เธองดงามด้วยความคิด และอาจเคยงดงามด้วยรูปโฉม ทว่า ฟ้าให้เวลาเธอสำหรับการอยู่บนโลกนี้ น้อยเหลือเกิน
[/i]



เช้าวันหนึ่งที่ผมมาเยี่ยมพี่ชายตอนเช้า แทนที่จะเป็นเย็นเหมือนทุกที เนื่องจากอีกหลายวันที่ผมต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด เมื่อผมเปิดประตูห้องเข้าไป พบหมออศลย์กำลังตรวจอาการพี่ชายของผมพอดี ผมส่งยิ้มให้พยาบาลและพี่ชายของผม ก่อนจะหันไปสนใจการซักอาการของนายแพทย์หนุ่ม ดวงหน้าที่เคยพอมีสีเลือดอยู่บ้างวันนี้กลับซีดจาง ดวงตาที่แผงประกายโศกวันนี้กลับฉายประกายร้าวราวและเหนื่อยล้าอยู่ทุกขณะ หมออศลย์ขอตัวออกจากห้องไปโดยไม่ได้หันมาทักทายผมแม้แต่น้อย


ยามสายจัดของวันนั้นระหว่างผมเดินกลับจากการแวะไปทานอาหารเช้าจากโรงอาหารของทางโรงพยาบาล ผมเดินผ่านห้องห้องนั้น ห้องที่ภรรยาของหมออศลย์เคยพักรักษาตัว ทว่าวันนี้มันกลับว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นอีกต่อไปแล้ว....ผมได้แต่ภาวนาให้สิ่งผมคิดนั้นไม่เป็นจริง ร่างสูงในชุดเครื่องแบบนายแพทย์เดินผ่านผมไปราวกับไร้ตัวตน ฝีเท้านั้นย่ำสม่ำเสมอไปจนสุดทางเดินก่อนจะหายไปหลังประตูทางหนีไฟ ผมลังเลอยู่อึดใจก่อนตัดสินใจที่จะตามไป เบื้องหลังบานประตูเหล็กนั้น เสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดออกมา ผมมั่นใจ ว่าเป็นเสียงสะอื้น ของผู้ชายคนหนึ่ง....ที่หัวใจกำลังแหลกสลาย

“คุณหมอ...ไม่เป็นไรนะครับ?”ผมถามด้วยเสียงไม่ต่างจากกระซิบ เสียงหลังบานประตูนั้นเงียบหายจนน่าใจหาย นาน...กว่าจะมีเสียงอู้อี้พูดกลับมาเบาๆ

“ครับ” ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวแผ่วเบา ราวกับจะเย้ยหยัน ว่าคนอย่างผม ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้แม้สักอย่าง

“เพิ่งเมื่อเย็นที่ผ่านมา เธอยังเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง เธอยังหัวเราะอยู่เลย...”เสียงสั่นเครือนั้นพูดแผ่วเบา ผมตัดสินใจผลักประตูเหล็กนั้นออกไป ทว่ากลับมีแรงต้าน

“อย่าเปิดออกมาเลย..นะครับ”หางเสียงนั้นคล้ายจะวิงวอน ผมทรุดกายลงนั่งข้างประตูนั้น ก่อนตัดสินใจยื่นมือออกไป..โดยที่ผมเองก็ไม่แน่ใจตัวเอง ว่าสิ่งนี้คือความสงสารหรือเปล่า

“ครับ” มือของผมแบออก รับรู้ถึงความอบอุ่นของไอแดดในฤดูหนาว ด้วยมือนั้นอยู่พักใหญ่ กว่าสัมผัสเย็นชื้นนั้นจะยอมอยู่ในอุ้มมือ ผมบีบกระชับมือที่เคยแข็งแรงนั้นไว้แน่นราวกับพยายามจะถ่ายทอดถ้อยคำปลอบประโลมใดๆผ่านมือนี้

“ต่อไปนี้...จะไม่มีอีกแล้ว” ผมอับจนด้วยคำพูดใดๆ ณ วินาทีนั้น ได้แต่กุมมือนั้นไว้แน่น พลางรับฟังเสียงสะอื้นเบาๆ

“ขออยู่อย่างนี้ อีกสักพักนะครับ”น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่มนวลกลับแห้งแล้ง ผมรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลออกจากดวงตาของผมเช่นกัน

“เท่าที่คุณต้องการเถอะครับ”


แดดอุ่นในสายลมหนาว ในยามนี้....ไม่อาจทำให้หัวใจใครบางคนห่างหายจากความเยียบเย็น
[/i]



หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์พี่ชายของผมก็อาการดีขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลโดยกลับไปกายภาพบำบัดที่บ้านได้ ในวันที่ผมมารับพี่ชายของผมออกจากโรงพยาบาลนั้น หมออศลย์ยังคงแต่งกายด้วยเครื่องแบบตามปรกติ ดวงหน้านั้นค่อยดูมีสีสันขึ้นเมื่อเทียบกับวันนั้น ทว่าดวงตาที่ทอประกายโศกนั้น ยังฉายประกายเจ็บร้าวอยู่ลึกๆ แม้จะทุเลาลงมากแล้ว เราพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยในระหว่างที่ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลของพี่ชายผม จนเมื่อเวลาบ่ายคล้อย ผมให้หลานสาวเข็นรถเข็นของคุณพ่อของเธอล่วงหน้าไปก่อน ผมรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังคงมองผมด้วยท่าทางสงบเรียบ

“ครับ?” ในที่สุดผมก็อดรนทนไม่ไหว หมอหนุ่มยกยิ้มบาง...รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานาน

“คุณหมอยิ้มได้แล้วนะครับ”ผมพูดอย่างติดจะล้อ ทว่าดวงตาคมโศกนั้นกลับตรึงสายตาของผมให้สบนิ่ง และไร้คำพูดใดๆ

“ขอบคุณนะครับ”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวเพียงแผ่วเบา เช่นเดียวกับสัมผัสอุ่นๆที่จับมือผมกุมไว้อย่างสุภาพ สัมผัสนั้นไม่ได้เย็นชื้นอีกต่อไป

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”ผมพูดได้เพียงเท่านั้นพลางรับสัมผัสอ่อนเบาที่ไล้ไปบนมือของผม

“ขอบคุณมือคู่นี้ ที่ช่วยให้ผมมีความกล้ามากพอที่จะปลดภาระทุกข์ออกจากบ่า” ดวงตาคู่นั้นกำลังบอกเล่าหลายสิ่งโดยมิได้ปริปาก โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นผมมองดวงหน้าคมสันนั้น เขาพยักหน้าให้เบาๆ ทว่าไม่ปล่อยมือ

“ครับ?”ผมกรอกเสียงไปตามสาย อย่างไม่มั่นใจ หลังความเงียบที่ยาวนาน เสียงหนึ่งที่คุ้นใจก็พูดกลับมา

“พัศนี้ผมเองนะ” ผมนิ่งฟังทั้งที่เดาได้ ว่าวันนี้ คนที่ผม ‘ยังรัก’โทรมาเพื่อบอกสิ่งใด

“พัศเราเลิกกันเถอะ ...ได้ไหม?” ทั้งที่คิดว่าเตรียมใจมาบ้างแล้ว ทว่าในเวลานั้นผมกลับทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงนิ่งค้าง ในหัวกลับว่างเปล่า สัมผัสที่มือนั้นบีบกระชับเรียกสติให้กลับมาอีกครั้งเช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่เริ่มแผ่ซ่านในอก ดวงตาคมโศกนั้นราวกับจะเตือนให้ผมคิดได้ว่า

ระหว่างการยื้อใครสักคนที่หัวใจเขาไม่ใช่ของเราด้วยทิฐิ กับการยอม ‘ไม่มี’ เขาคนนั้นอีกต่อไปแล้ว อย่างไหนจะให้เจ็บน้อยกว่ากัน ตัวเขายังโชคดีแค่ไหนที่เลือกได้โดยที่มีตัวเลือก เเต่หมออศลย์เสียคนที่รัก ไปโดยไม่มีแม้โอกาสที่จะได้เลือก

“ครับ ผมเองก็เหนื่อยมากแล้วที่จะยื้อเราไว้ด้วยกัน”ผมพูดได้เพียงเท่านั้น คนที่ปลายสายพูดและวางสายไปเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ตัวเองกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“พี่สน” ผมเรียกเขาเสียงเครือ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเล่นเขา แขนแข็งแรงนั้นเป็นฝ่ายโอบรั้งให้ผมเข้าสู่อ้อมแขน

“โตแล้ว อย่าร้องเลย อายเขานะ”

“พี่สนยังร้องได้เลย”

“ก็ตอนนั้นพี่เสียใจ” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นติดจะเขิน ผมพละออกจากอกนั้น เห็นหมออศลย์เกาแก้มอย่างเขินๆ

“ผมก็เสียใจ” ผมเถียงแทบจะทันควัน หมออศลย์จึงได้แต่รับคำว่า ครับครับ... ก่อนผมจะได้หัวเราะทั้งน้ำตา

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมรู้จักเพียงว่า ความรักของผมทำให้เจ็บร้าว แต่กลับเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยเพราะเกรงจะสูญเสีย ทว่า เมื่อผมได้รับรู้เรื่องราวของหมออศลย์ ผมได้รู้เพิ่มอีกว่า ความรักอาจก่อตัวอย่างไม่ยุติธรรมด้วยความสงสาร เเต่ความรัก อย่างไรก็คือความรัก


แม้วันนี้บาดแผลทางใจของผมหรือแม้แต่ของหมออศลย์จะยังสดใหม่ ทว่าหากในอนาคต เมื่อแผลทางใจของผมทุเลาและ ความทุกข์ใดๆเจือจาง บางทีผมอาจจะได้มีโอกาสเริ่มสัมผัสความรักอย่างที่หมออศลย์เคยสัมผัส และบางที มันอาจเริ่มจากดวงตาคมโศกคู่ตรงหน้านี้ก็ได้....เพราะผมเชื่อ ว่ามนุษย์เรา อย่างน้อยก็ผมนี่ละ.... มักเจ็บแล้วไม่จำครับ
[/i]


TBC ๒.มี

The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป
การเดินทางของหัวใจบางทีมันก็ต้องเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเราอย่างมากมาย
เหมือนเตรียมความพร้อมให้เรา ว่าวันหนึ่งถ้าหาก ไม่มี มันเหมือนอย่างที่เคย
วันที่เราเคย มี นั้นจะเป็นวันที่เราจดจำมันไว้จนขึ้นใจ และเห็นคุณค่าของมันมากที่สุด

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ

:m13:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
เมี๊ยวววววววววววว
หน้าแมว เอ๊ย หน้าหมา
เอ๊ย หน้าม้า (อิอิ) มาเจิม
 :o8:

ออฟไลน์ DEMON3132

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
เข้ามาเจิม  :mc4: +1 ให้เรื่องใหม่ด้วยคน
ชอบเรื่องสั้นแบบนี้ ไม่ยืดยาว ถึงจะไม่ต้องคอยติดตามตอน
ต่อไปเหมือนกันเรื่องยาว แต่เรื่องสั้นประเภทนี้มักจะเป็น
เรื่องราวที่ลึกซึ้ง มีแง่คิดให้ชวนติดตามได้ตลอดเวลา
เช่นเดียวกัน ชอบค่ะ จะคอยติดตามตลอดไป
 :L1:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :sad4: เหมือนความรักมันมีทั้งจบลงไปและรักที่คงอยู่เสมอเลยนะ
แต่เราจะอยู่ต่อไปโดยลืมรักที่จบลงแล้วหารักใหม่ที่คงอยู่เสมอได้รึเปล่าซิ  :impress3:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ฟ้าหลังฝน มักเป็นอะไรที่ดีๆ นะ  :n1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:


 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:


ถ้าหากฌะอเหงาเหมือนฉันกำลังเหงา

ก็อยากไห้เรามาเหงาด้วยกัน

ผ่านความเดียวดาย และความปวดร้าวไปด้วยกัน


สู้ๆๆๆ น่ะ ครับบ

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 o13 o13 o13
สุดยอดมากมายครับสำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้
+1 ใหเป็นกำลังใจเลยครับแอบคิดว่าจะต้องไปตามอ่านเรื่องเก่าๆของ คุณคนเขียน
ปกติจะไม่อ่านเรื่ิองสั้นนะครับ แต่เห็นชื่อเรื่องแปลกดีเลยลองเข้ามาอ่าน
และไม่ผิดหวังจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
การำดับเรื่อง การวางตัวละคร ทุกอย่างทำได้ในระดับดี ของเรื่องสั้น
เรื่องนี้อ่านแล้วติดใจกับความหมายของชื่อตอนมากครับ
“โกรธกันหรือ อย่าโกรธกันไปเลย
  ถ้าต่อไป ‘ไม่มี’ เสียแล้ว จะนึกเสียดาย เวลา....ย้อนกลับไม่ได้หรอกนะ”
นั่นสินะพออ่านถึงตรงนี้ทั้งเข้าใจเรื่อง ชื่อตอน
แล้วผมยังต้องกลับมาคิดตัวเองในตอนนี้ที่กำลังเครียดๆอยู่พอดี
มันมีความหมายมากพอที่จะทำให้เปลี่ยนมุมมองของ เรื่องบางเรื่องเลยนะครับ
นั้นแล้วจะเห็นว่าไม่ผิดเลยที่บอก เรื่องนี้มีพลังอยู่ที่ว่าคนอ่านจะรับ และตีแผ่ได้ในแง่ไหน
ลายการเขียนจัดว่าไม่ธรรมดา ดูออกว่าไม่ใช่งานชิ้นแรกชัวๆ
ทั้งภาษา การเลือกสรรคำมาใช้ ดูประณีตอย่างพอเหมาะ ไม่มีคำผิดเลย โดนใจครับ
ช่วงหลังๆมาคำผิดกลายเป็นเรื่องที่ต้องย้ำ กับ หลายๆเรื่องในเล้า อิๆ
สรุปแล้วชอบครับ จะรออ่านต่อ อีกสองตอนเลยเป็นกำลังใจให้ครับ
นิว

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
แอร๊ยยยส์เรื่องสั้น  :impress2: รอตอนต่อไปจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






benxine

  • บุคคลทั่วไป


ถ้าต่อไป ‘ไม่มี’ เสียแล้ว จะนึกเสียดาย เวลา....ย้อนกลับไม่ได้หรอกนะ

ประโยคนี้โดนใจสุด ๆ อ่านจบปุ๊ป จี๊ดที่ใจ น้ำตาไหลโดยทันที

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆแบบนี้นะครับ

จะรอตอนต่อไป .....  :3123:


Donpopper

  • บุคคลทั่วไป
มโนพัศ อำนาจแห่งใจ คุณเป็นคนเข้มแข็ง ใช้มันอย่างฉลาดนะคะ อย่าลืมเผื่อแผ่ให้คนอื่นด้วย

ชอบท่อนนี้มากเลยอ่ะครับ

อำนาจแห่งใจ

ใช้มันอย่างฉลาดและใช้เพื่อคนอื่น

จะรอต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ ChiOln

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
 :mc4:


รอครับ !!

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
เรื่องสั้น๒๔ชม.  ตอนนี้ ทำการรีไรท์เเก้ไขนิดหน่อยนะคะ  เนื่องจาก มีผู้อ่านเคยเเย้งว่าอ่านเเล้วขัดๆ  ยังรอรับทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะคะ

เรื่อง มี ภาคต่อของ ' ไม่มี’

************************************************************************


แสงสว่างเพียงบางเบาสาดผ่านม่านสีเหลืองส้มที่รูดเปิดไว้ครึ่งๆ สายลมยามเช้าโชยพัดแผ่วเบาให้กระดิ่งลมที่ระเบียงส่งเสียงกริ๊งๆเบาๆ ผมลืมตาขึ้นรอคอยอย่างเงียบเชียบให้ความง่วงซึมค่อยๆละลายหายไป...ช้าๆ ระหว่างนั้นผมให้เวลากับตัวเองได้คิดหาคำตอบให้ตัวเองอย่างนี้ซ้ำๆทุกวัน



มีความสุขดีไหม?

ท่ามกลางห้องที่สว่างด้วยแสง สองหูได้ยินเสียงแห่งความวุ่นวายเพียงไกลๆ ผมลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบ บัดนี้ความง่วงซึมใดๆจางหาย เหลือเพียงความสดชื่นยามเช้าวันใหม่เท่านั้น

“พัศตื่นเช้าจริง”เสียงงัวเงียดังเพียงแผ่วๆฟังอู้อี้จากใบหน้าที่ซุกซบบนหมอนนุ่ม มือแข็งแรงกำผ้าห่มไว้หลวมๆดูราวกับคนขี้หนาว

“ผมทำงานเช้านะครับ พี่สนนอนต่อเถอะ” ผมลุกขึ้นจากที่นอน ห่มผ้าห่มให้คนที่ยังหลับใหลได้อุ่นสบาย

ผมจัดการธุระส่วนตัวยามเช้าภายในไม่กี่นาที ทันกับเสียงกาน้ำร้อนที่ส่งเสียงร้อง แก้วกาแฟเซรามิกสีแดงเข้ม บัดนี้มีผงกาแฟและน้ำตาลรอท่าอยู่แล้ว ผมมองกลับไปในห้องนอนที่เปิดประตูกว้าง คนบนเตียง ยังนอนท่าเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ้มน้อยๆ พลางเทน้ำร้อนลงในถ้วย กลิ่นหอมกรุ่นจึงฟุ้งไปทั่วบริเวณ ก่อนที่กลิ่นอาหารเช้าอย่างง่ายๆจะลอยยวนยั่ว รอจนกว่าใครอีกคนจะพ้นจากห้วงนิทรารมย์


สำหรับเช้านี้ ผมยังคงตอบตัวเองได้ครับว่า....มีความสุข


หากจะมองย้อนไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ก่อนที่เราจะมีความสุขกับปัจจุบัน ความทุกข์นานาย่อมย่างกรายเข้ามา เพราะมนุษย์เรา ความทุกข์มักใหญ่กว่าความสุขเสมอ เหมือนจุดขนาดใหญ่ที่สีสันจัดจ้าน ความสุขที่รายล้อมจึงไม่แจ่มชัด สำหรับตัวผมเอง ก่อนหน้านี้ความทุกข์ขนาดใหญ่ของผมเกิดขึ้น เมื่อคนรักที่คบกันมานานปี ขอเลิกรา ทว่าความทุกข์ของผมดูเล็กไปถนัดตา เมื่อเทียบกับหมออศลย์ หรือพี่สน ที่สูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปตลอดกาลด้วยโรคภัยที่สร้างความปวดร้าว ทดท้อให้มายาวนาน แต่ในขณะเดียวกัน กลับเป็นสิ่งที่ผูกคนทั้งสองคนเข้าไว้ด้วยกัน นั่นเองทำให้ผมเกิดคำถามนับร้อยประการ

จะดีหรือ ที่ใกล้ชิดพี่สน ขณะที่พี่เขาเพิ่งจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป

จะดีหรือ ที่ผมจะเจ็บแล้วไม่จำเช่นนี้ซ้ำๆ

จะดีหรือ ที่ผมอาจต้องเสี่ยงเอาความรักไปแลกกับความเหงาของใครอีกคน



เสียงเมโลดี้คุ้นหูดังขึ้นจากโต๊ะทานเข้าในครัว ในตอนเย็นหลังจากผมกลับมาจากที่ทำงานไม่นาน พี่สนลืมโทรศัพท์อีกแล้ว … ตั้งแต่พี่สนย้ายมาขออาศัยอยู่ด้วย เพราะบ้านพี่สนกำลังซ่อมขนานใหญ่นั้น ทำให้เขารู้นิสัยเสียๆของพี่สนเพิ่มหนึ่งอย่าง มือถือ....พี่สนลืมเป็นเรื่องปรกติ แถมออกจะทิ้งๆขว้างๆเสียด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆที่หลายคนใช้บ่งบอกรสนิยมและฐานะ สำหรับพี่สนจึงเข้าข่าย ดึกดำบรรพ์

“ปรกติ ไม่มีคนโทรหาอยู่แล้ว ถ้าพี่ลืมแล้วมีคนโทร พัศรับไปเลย”ผมเหลือบสายตามองหน้าจอที่ขึ้นเบอร์โทรเข้าที่ผมเองก็ไม่รู้จัก ก่อนจะกดรับ

“ครับ”ผมกดรับสายแล้วนิ่งฟังอย่างแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

พี่สนกำลังจะขายบ้าน...บ้านที่ซื้อไว้ เมื่อตอนแต่งงาน!

บ้านสีครีมขาวในขอบรั้วสีเขียวที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้ไปเยือนนั้นยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ ผมยังจำเสียงกระดิ่งลมส่งเสียงกริ๊งๆได้ บ้านสวยสงบ ทว่าปราศจากบรรยากาศอบอุ่น ราวกับบ้านที่ไม่เคยมีคนอยู่นั้นทำให้ผมอึดอัดทุกครั้ง พี่สน...อยู่ในบ้านนี้เพียงลำพังเสมอ

“พัศ ถ้าง่วงทำไมไม่เข้านอน”เสียงทุ้มและฝ่ามืออุ่นๆ แตะหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบา ทำให้ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอหลับไปด้วยฤทธิ์ยาตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ

“มีไข้นิดๆนะ กินยาแล้วหรือยัง?”ผมพยักหน้าเบาๆ พลางยึดมือแข็งแรงนั้นไว้ ดวงตาคมโศกของพี่สนมองผมอย่างมีคำถาม แหวนโลหะบนนิ้วนางข้างซ้ายต้องแสงไฟเป็นเงาวาวจนผมต้องหยีตา

“เมื่อเย็นๆมีคนโทรมาหาพี่สน” พี่สนขมวดคิ้ว อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าคลายใจ ว่าตนลืมสิ่งใดไว้ที่บ้าน

“แล้ว” มือแข็งแรงนั้น เสยเส้นผมที่ปรกหน้าของผมขึ้นแผ่วเบา..และอ่อนโยน ผมหลับตาแล้วรับสัมผัสนั้น

“เขาว่าบ้านที่สนจะขาย เรียบร้อยดี คิดว่าคงมีคนติดต่อขอซื้อในเร็วๆนี้” พี่สนทรุดกายลงนั่งลงบนโซฟาที่ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่

“โกรธพี่หรือเปล่า?”น้ำเสียงแผ่วเบานั้นทำให้ผมส่ายหน้าช้าๆ

“บ้านนั้นของพี่สนกับ...”ดวงตาคมโศกคู่ตรงหน้าผม ฉายประกายปวดร้าว ก่อนจะหลุบตาลงข่มซ่อนร่องรอยนั้นไว้ พี่สนคงไม่รู้หรอก ยิ่งทำแบบนี้มากเท่าไหร่ ตัวผมเองยิ่งเจ็บเหมือนกัน เจ็บตรงที่ มันตอกย้ำว่าสามปีที่ผ่านมาผมไม่อาจช่วยลดความทุกข์และความปวดร้าวของพี่สนได้ เหมือนแหวนวงเกลี้ยงที่พี่สนสวมติดนิ้วนางข้างซ้าย มันติดตัวพี่สนเสมอไม่เคยห่าง เมื่อมือของผมกุมรอบแหวนบนนิ้วแข็งแรงนั้น และเริ่มยื้อยุดให้เคลื่อนหลุดจากนิ้ว พี่สนกลับกำหมัดเข้า ราวกับไม่ต้องการให้มันจากไปไหน

“คงครบสี่ชั่วโมงแล้ว กินยาอีกสักหน่อยแล้วรีบนอนเถอะ” พี่สนพูดโดยไม่สบตาผม สิ่งที่ทำได้ มีเพียงการมองตามหลังพี่สนเช่นนี้...จริงๆนะหรือ??


หากจะเปรียบเทียบพี่สนเป็นสักสิ่งหนึ่ง ผมจะเปรียบพี่สนเหมือนน้ำ ไม่มีใครสามารถจับต้องตัวตนได้อยู่มือ ตลอดระยะเวลาที่ผมรู้จักพี่สน พี่สนยังมีอีกหลายแง่มุมที่ผมไม่รู้ มันยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าถึง อาจมีแต่ภรรยาของพี่สนเท่านั้น ที่สามารถเข้าใจความซับซ้อนนั้น ในตอนนี้ผมเองก็ตระหนักแล้วว่า ผมไม่รู้ตัวเช่นกัน ว่าอยู่ในสถานะไหน เพื่อน..คนรัก..หรือเพียงเด็กคนหนึ่งในสายตาพี่สน



ผมนอนลืมตามองเพดานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแผ่นหลังที่นอนเคียงใกล้ ทว่ามันไม่อุ่นซ่านถึงข้างใน ผมรู้ว่าพี่สนก็หลับได้ไม่เต็มตาเช่นกัน ดวงตาคมโศกนั้นคงทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมายและเฝ้าคิดเรื่องของตัวเองอยู่เงียบๆ จวบจนนาฬิกาปลุกร้องเตือน ผมลุกจากที่นอนด้วยความเกียจคร้าน กิจวัตรยามเช้ายังเป็นไปตามปรกติ เมื่อผมต้มน้ำทิ้งไว้ในครัว ขณะเงี่ยหูฟังเสียงกาน้ำร้อนร้องเตือน และออกมาได้กลิ่นกาแฟโชยหอมกรุ่นเช่นวันก่อน ทว่าวันนี้ กาแฟนี้รสชาติไม่กลมกล่อมชวนให้ติดใจเสียแล้ว


ผมยังคงเฝ้าถามตัวเองทุกวัน ถึงความสุขของผม ....และวันนี้เป็นวันแรก ที่ผมเองชักไม่แน่ใจ ว่าความสุขที่ผ่านๆมานั้น จริงเท็จด้วยประการใด

ผมเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนที่ยังคงมีไอเย็นโอบล้อมด้วยเพราะเพิ่งปิดเครื่องปรับอากาศ พี่สนยังคงนอนอยู่บนเตียง และหลับตาราวคนหลับ แต่ผมรู้ ว่าพี่สนเพียงแค่หลับตาแล้วเงี่ยหูฟังเท่านั้น ผมทรุดกายลงนั่งข้างเตียง มองเครื่องหน้านั้นเงียบๆ และอดไม่ได้ที่จะใช้มือปัดเส้นผมที่ระใบหน้าของพี่สนออกเบาๆ คำถามหนึ่งที่คอยทิ่มแทงผมเสมอมา ทว่าตัวผมเองกลับไม่กล้าถามมาตลอดนั้น ในคราวนี้มันกลับแทบล้นทะลัก ด้วยความอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหว

“พี่สนยังรักเขาอยู่ใช่ไหม?”ผมมองใบหน้าที่หลับตานอนนิ่งบนเตียงด้วยนัยน์ตาร้อนผ่าว ทว่าความเงียบยังคงเป็นคำตอบ ผมเหยียดยิ้มให้ตัวเอง ด้วยความคิดเยาะหยัน ว่าตนเองนั้นถามคำถามโง่ๆออกไป

แม้พี่สนจะไม่ได้ตอบคำถามนั้น ทว่าคำตอบกลับกระจ่างชัด พี่สนยังรักภรรยาของเขา...นั่นหมายถึงว่า ช่วงเวลาสามปีที่เขาทุ่มเท เอาความรักของตนเข้าแลก อาจได้เพียงความเหงาของหัวใจใครอีกคนมาไว้ในกำมือ

เคยรู้สึกกันบ้างไหมครับ ว่าบางวัน การที่เราเริ่มวันใหม่ผิดพลาด ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ทำให้วันนั้นเจอแต่เรื่องร้ายๆ เหมือนโดนกลั่นแกล้ง วันนั้นทั้งวันนอกจากไม่สบายใจแล้วอากาศก็ร้อนอบอ้าว ผมปวดหัวตั้งแต่เช้า งานมีปัญหา ลูกน้องกวนอารมณ์ เพื่อนร่วมงานไม่มีความรับผิดชอบ ตบท้ายด้วยปัญหาชาวกรุง...รถติด นับเป็นวันที่เลวร้าย แต่ที่สุดของมันยังมาไม่ถึง เมื่อผมกลับเข้าบ้าน ทิ้งกายอย่างเหนื่อยอ่อนลงบนโซฟาพลางปลดเนคไทออกจากคอ และเริ่มเข้าสู่วังวนความคิดเรื่องเดิมๆ ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติบางอย่างในบ้าน เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะบ้านดูโล่งไปถนัดตา เมื่อผมลองเดินสำรวจให้หายข้องใจ ก็ได้คำตอบ


ของที่เป็นของพี่สนแม้น้อยชิ้น ทว่าทุกชิ้น....หายไปแล้ว




หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปครับ?....รอจนกว่าเขาจะโทรหาด้วยความหวังว่าเราจะได้ทำความเข้าใจกัน หรือ เป็นฝ่ายโทรหาเขา ด้วยอารมณ์สับสนของตัวเองและพร้อมชนทุกอย่าง สำหรับผม วิธีเหล่านี้ ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ใช่ครับ ผมโทรหาพี่สน และใช่อีกแหล่ะครับ ที่ผมสับสนและพร้อมชนทุกอย่าง ในวินาทีนี้

จากอากาศร้อนอบอ้าวมาทั้งวัน ค่ำนี้ฝนจึงตกหนักและยังคงตกต่อไปจนคล้อยดึก แต่ไม่มีอะไรหยุดความวู่วามของผมได้ จนในที่สุดผมก็ยืนตัวสั่นงันงกในโรงพยาบาลที่ติดแอร์เย็นเฉียบ เพื่อรอพี่สนอย่างเงียบๆ ก่อนออกมาผมส่งข้อความบอกพี่สนว่าจะมาหา แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ และนั่นเป็นการติดต่อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้หมดกะของพี่สน รู้สึกสั่นไปทั้งตัวแม้เสื้อผ้าจะเริ่มหมาดแล้วพลางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า ว่าใช้พี่สนหรือไม่

“พัศ!!”เสียงที่คุ้นเคยร้องอย่างตกใจ ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่สน เพราะพี่สนใส่สลิปเปอร์แทนที่จะเป็นรองเท้าหนัง เพียงแค่เห็นดวงหน้านั้น ความคิดสับสนทั้งหลายก็สงบลงในทันที

“ทำไมเปียกอย่างนี้ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรเรียกพี่” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นถามอย่างเป็นห่วง พลางจับจูงให้เดินไปตามทางเดิน

“พี่สนอยากฟังคำตอบของคำถามไหนก่อนดี?”

“ไม่ตลกนะพัศ!” น้อยครั้งที่เสียงนุ่มนวลนั้นจะเข้มดุเหมือนอย่างคราวนี้ พี่สนพามาที่ห้องพักแพทย์ ห้องแคบๆที่ร้างผู้คน ก่อนจะส่งผ้าเช็ดตัวของโรงพยาบาลให้

“เปียกเพราะนั่งมอเตอร์ไซค์มา มาได้สักสองสามชั่วโมงแล้ว ที่ไม่โทรเรียกเพราะเวลางานไม่ควรคุยโทรศัพท์นะครับ แล้วก็ที่ไม่ให้ใครไปตามเพราะเรื่องของผมเล็กน้อย หากเทียบกับชีวิตคนไข้ของพี่สน”

“ยิ่งไม่ค่อยสบายยังจะตากฝนตากลมอย่างนี้อีก”

“ก็เพราะพี่สนแหล่ะ” มือแข็งแรงที่ชงกาแฟร้อนๆให้ชะงัก

“ทำไมถึงย้ายออกล่ะครับ”

“พี่รบกวนพัศมาเยอะแล้ว”พี่สนส่งแก้วกาแฟอุ่นๆให้ ดวงตาคมโศกฉายประกายสับสนอย่างปิดไม่มิด

“พัศสิที่รบกวนพี่สน จนพี่สนรำคาญ พัศไม่น่าทำให้พี่สนลำบากใจเลย”

“ไม่เอาน่าพัศ”

“พัศไม่น่าถามโง่ๆเลย พี่สนอย่าโกรธพัศนะ” ผมกุมมือแข็งแรงนั้นไว้แน่น

“พี่ไม่ได้โกรธหรอก”พี่สนพูดเพียงแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลนั้น น้ำเสียงที่ผมโหยหาทุกคืนวัน

“พัศไม่รู้เลยว่าตลอดสามปีที่ผ่านมา พัศเป็นอะไรสำหรับพี่สน แต่สำหรับพัศ พี่สนเป็นคนที่พัศรักนะ” พี่สนแนบหน้าผากของเราเข้าด้วยกัน พลางพึมพำแผ่วเบาว่า รู้แล้ว...รู้แล้ว

“อยากให้ตอบคำถามไหนก่อนดี?” เสียงนุ่มนวลนั้นถามแผ่วเบา มือแข็งแรงนั้นกอบกุมมือของผมขึ้นจรดริมฝีปาก ดวงตาคมโศกนั้นติดจะล้อเลียนน้อยๆ

“แล้วแต่พี่สน”ผมทำเสียงจริงจัง พี่สนจึงตอบอย่างจริงจังเช่นกัน

“พัศถามพี่เมื่อเช้า ว่ายังรักเขาอยู่ไหม ถึงเธอจะเสียไปหลายปีแล้ว แต่พี่ตอบได้เต็มปากว่ายังรักเขาเหมือนที่ผ่านมา”คำตอบนั้นซึมซาบลงในหัวใจของผมช้าๆ มันทำให้น้ำตาหยดใหญ่ไหลจากดวงตาเช่นกัน ผมอดที่จะเจ็บลึกๆไม่ได้ ว่าสุดท้ายผมได้เพียงความเหงาของคนตรงหน้านี้กอดไว้จริงๆใช่ไหม

“แล้วพัศจะไม่ถามพี่หรือ ว่าพี่รักพัศไหม?” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา พี่สนยิ้มอ่อนโยนพลางใช้ชายแขนสื้อของชุดกาวน์ซับน้ำตาให้แผ่วเบา

“อ้าว แย่จริง แต่พี่อยากตอบนะ งั้นข้ามไปคำถามของพัศก่อน พัศบอกว่าพี่เป็นคนที่พัศรักใช่ไหม? แล้วทำไม พัศถึงจะไม่เป็นคนที่พี่รักล่ะครับ?” ผมขมวดคิ้วคิดตามอยู่หลายอึดใจ พยายามตีความจากรอยยิ้มกว้างขวางนั้น จนพี่สนต้องช่วยขยายความ

“ไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รักนะครับ พัศ”

“พี่สนขี้โกงที่สุด”ผมพูดพลางยิ้ม ทอดสายตามองแหวนบนนิ้วพี่สน

ผมยินดีที่จะให้พี่สนสวมแหวนวงนี้ต่อไป เพื่อระลึกถึงการสูญเสีย อันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ แม้ระหว่างผมกับพี่สนจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นคู่รัก แต่ขณะนี้เราเป็น ‘เพื่อนใจ’ ของกันและกัน พี่สนเพียงแต่ต้องการเวลา...อีกสักหน่อย ก่อนที่เราจะออกเดินไปพร้อมๆกัน บนเส้นทางชีวิต....บนเส้นทางที่แม้จะไม่ได้สะดวกสบาย ทว่าไม่เดียวดาย

คืนนั้นเรานอนฟังเสียงหัวใจของกันและกันเงียบๆ โดยปราศจากคำพูดใดๆ มีเพียงมือของเราเกาะกุมกันไว้ใกล้ใจ พี่สนเคยบอกว่าแต่งงานกับภรรยาด้วยความสงสาร ก่อนความสงสารนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักและผูกพัน ตัวผมก็ก็ไม่ต่างจากพี่สนเลย แต่เริ่มเดิมทีผมรู้สึกสงสาร ‘คุณหมออศลย์’ ความรู้สึกเหล่านั้นถูกบ่มเพาะจนเป็นรักและผูกพันในที่สุด

“พัศ ขอบใจที่อยู่ข้างๆพี่มาตลอดนะ”พี่พัศพูดเพียงแผ่วเบานิ้วมือแข็งแรงนั้นลูบไปบนหลังมือของผมเพียงแผ่วเบา ให้ความรู้สึกสบาย

“ไม่เป็นไรครับ ผมดีใจที่พี่สนยอมให้ผมอยู่ข้างๆ” ผมยกศรีษะขึ้นมองสบตาคมโศกนั้น ที่ฉายประกายพราว ดวงตาคู่นั้นกำลังกล่าวขอบคุณ เป็นคำขอบคุณที่แผ่วเบาที่สุด อ่อนหวานที่สุด และอุ่นซ่านในหัวใจที่สุด

“รีบนอนเถอะ....สงสัยต้องเลิกทำกะเย็นสักที”

“ทำไมหรือครับ?”

“เดี๋ยวเด็กที่บ้านจะเป็นเด็กมีปัญหาน่ะสิ ” พี่สนบีบจมูกของผมไม่แรงนักพลางยิ้มให้

ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก แต่สุดท้าย ทุกข์นั้นจะใหญ่จะน้อยล้วนขึ้นกับใจคนมอง และสุดท้ายเราจะก้าวผ่านความทุกข์เหล่านั้นมาได้ด้วยหัวใจที่แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมถอนหายใจยาวพลางเอาหน้าซุกแขนพี่สน ได้ยินเสียงพี่สนหัวเราะเบาๆ เมื่อผมพยายามเอาขาก่ายพี่สนไว้ด้วย


ก่อนนอนคืนนี้ ผมมีคำตอบสำหรับคำถามของเช้าวันพรุ่งนี้ที่ว่า ‘มีความสุขดีไหม?’ ....คำตอบคือ ‘มี’ครับ และมากเสียด้วย





TBC...สู่กลางใจเธอ
************************************************************************

Donpopper

  • บุคคลทั่วไป
พีสนก็นะ

เงียบอย่างเดียว

ปล่อยให้คนอื่นเขาคิดมากซะได้

benxine

  • บุคคลทั่วไป


ร้องไห้สองตอนซ้อน!!~

ขอให้ จบ แบบแฮปปี้เอนดิ้งนะ!!~

กลัวจะร้องไห้ตอนสุดท้ายย!!~

 :m15: :m15:


The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป
แปลกดีเหมือนกันนะ ที่เมื่อวันก่อนเรารู้ตัวว่าเราขาด บอกตัวเองว่า ไม่มี
และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้ มี ตามแบบที่ใจต้องการ

แต่เมื่อถึงวันนี้ ที่เรามีกับเขาบ้างแล้วจริงๆ
แต่ชีวิตมันกลับเล่นกล ทำให้เรามองไม่เห็นเสียแบบนั้น

หากหยุดตัวเองและมองทุกอย่างด้วยสายตาที่มาจากหัวใจที่เดินช้าลง อีกสักนิด
รับรองจะเห็นว่าเรา มี  มาตลอด และบางทีเราอาจจะไม่เคยขาดมัน ตั้งแต่แรกแล้ว

ก็เป็นไปได้..

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
นิยายของเมศๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

patz

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาอ่านเรื่องใหม่ครับ ^^


ทำไมตอนหมอสนย้ายของออกไป ไม่บอกพัศก่อนอะ เป็นผมผมก็ตกใจเหมือนกันนะเนี่ย

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
ตอบคอมเม้นต์จาก 'ไม่มี'

คุณThe Living Rive  อ่านคอมเมนต์เเล้วมัน อื้มมมม มาก  (เเปลว่าอะไรไม่รู้) รู้เเต่ดูมีหลัการมาก
ปรกติดเมศเป็นมนุษย์เม้นต์อะไรไม่ค่อยเป็นสาระ เอาเป็นว่าขอบคุณมากค่ะ

คุณ krappom  ผันวรรณยุกต์กันหลายตลบ 55+  ปูที่บางเเสนมีเยอะไหมคะ? (เอ๊ะ หรือบางปู ...งง)

คุณ DEMON3132 ชอบเรื่องสั้นเหมือนกันค่ะ เพราะว่ามันสั้นดี เป็นคนติดนิยายง่าย เเต่เวลาน้อย 
เช่นเดียวกับงานเขียนของตัวเอง อยากเขียนเเต่เวลาไม่มาก บวกขี้เกียจอีกต่างหาก ดังนั้นเรื่องสั้น จึงเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

คุณ M@nfaNG  คิดถึงพี่ฟาง น้องรอเจ้ามืออยู่นา (มาจากไหนนี่55+)

คุณ dahlia  ฟ้าหลังฝนมักมีอะไรดีๆ อย่างน้อยฟ้าใสเเล้วใจก็ปลอดโปร่ง(นี่ พูดจาดีดูมีสาระ)

คุณ cavalli อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวน้ำท่วม

คุณ [N]€ẃÿ{k}uñĢ  "ขอขอบพระคุณยิ่ง ด้วยใจจริงที่กรุณา..."(เขารู้หมดเรียนยุวกาชาดมา)
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเเรกๆของเมศ เขียนมาพอสมควร ดองมาก็มาก เขียนไม่รอดก็เเยะ เเห่ะๆ

คุณ Poes  เเม่นางเซียวยังสวยซึ้งไม่สร่างซา(เอ...ใช่ชื่อนี้หรือเปล่าชักไม่เเน่ใจ) ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

คุณ Zhenelle[♥]  ขอบคุณที่เข้าอ่านเช่นกันค่ะ สงสัยคราวหน้า ถ้าจะเขียนเเนวนี้อีก คงต้องเเจกทิชชู่เป็นออฟชั่นเสริมด้วย

คุณ Donpopper  ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  เเอ๊ปเปิ้ลโดนใครกัดเเหว่งไปคะ ฮ่าๆๆ

คุณ ChiOln  ขอบคุณค่ะ!! เห็นไข่ดาวจับมือกันเเล้ว อยากกินทั้งคู่เลย ข้าวสวยร้อนๆ ซอสเเม๊กกี้ 

ตอบคอมเม้นต์จาก 'มี'

คุณ Donpopper พี่สนเขามีอาการๆหนึ่ง จะปรากฏในตอนต่อไปค่ะ

คุณ Zhenelle[♥] ตอนสุดท้ายไม่ร้องนะ ไม่ร้อง

คุณ The Living Rive  เพราะจิตใจมนุษย์เราซับซ้อน จนบางที ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจ หากใช้สติ
หยุดคิดสักนิดหนึ่ง ทุกอย่างจะกระจ่างขึ้นไม่ช้าก็เร็ว  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ดีๆค่ะ

คุณ pongsj  ช่ายยยเเล้ว... จริงๆก็ไม่ใหม่มากนะคะ เรื่องสั้นนี่เขียนไว้นานเเล้ว ยกเว้นตอนสุดท้าย สู่กลางใจเธอ ที่เพิ่งเขียนเมื่อเร็วๆนี้

คุณ patz   เป็เมศคงโวยวายตีโพยตีพาย(ตีกรรเชียงด้วย)ตามหาพี่สน


ปรกติเมศเป็นมนุษย์ไม่ค่อยตอบคอมเม้นต์ เนื่องจาก เป็นคนตอบคอมเม้นต์ได้ไม่มีสาระมาก เป็นที่น่าอนาถใจ เเต่ครั้งนี้เกิดฮึดอยากตอบขึ้นมาเลยเอาซะหน่อยก่อนจะลงตอนต่อไป

ขอบคุณสำหรับการติดตาม คอมเม้นต์ +1 กำลังใจ ฯลฯ  :man1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
สู่กลางใจเธอ เรื่องสั้น ๒๔ ชม.
ภาคต่อของ ไม่มี และ มี

*****************************************************************

ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก...โดยเฉพาะอย่างหลัง มโนพัศเห็นจะทุกข์มากที่สุด ด้วยเพราะกลัวคนที่รักไม่รัก อศลย์แปลว่าไม่ทุกข์ บางที พี่สน อาจไม่รู้ ราวทองไม่รู้ร้อน ว่า คนรอ..รอมานาน จนชักทรมาน มโนพัศ ได้แต่คิด ไม่เคยปริปาก

“พี่สน...พี่สน” พี่สนเพียงแต่อืมออรับ ทั้งที่ดวงตาหลังกรอบแว่นยังคงมองจ้องตัวอักษรในหนังสือเล่มหนา

“พี่สน”

“ว่าไงครับ”พี่สนทนไม่ไหวต้องเงยหน้าละจากหนังสือ เมื่อเห็นมโนพัศยิ้มหวานให้ ก็อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“พัศมีอะไรจะบอกแน่ะ”ดวงตาคมหลังกรอบแว่นหรี่ลงอย่างประเมิน ทั้งที่ในหัวใจแอบคาดหวังว่าจะได้ยินอะไร

“ชักลงพุงแล้วนะพี่สน ไปออกกำลังกายเสียบ้าง เห็นทำแต่งาน” หลายเดือนแล้วที่อศลย์ขายบ้าน แล้วย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านนี้อย่างเต็มตัว ไม่ใช่เพียงข้าวของเล็กน้อยอย่างคราวก่อน

“พัศก็ช่วยให้พี่ออกกำลังกายสิ” ดวงตาคมโศกฉายแววกลุ้มกริ่มจนมโนพัศต้องเสสายตามองทางอื่น

“พี่สนทะลึ่งว่ะ” คนทะลึ่งรีบแก้ตัว ...พัศคิดลึกเองต่างหาก

“ทะลึ่งอย่างนี้กับคนอื่นหรือเปล่าเนี่ย” มโนพัศมองตาคมโศกคู่นั้นอย่างค้นหา

“ถ้าพี่บอกว่าทะลึ่งกับพัศคนเดียวจะเชื่อไหมล่ะ?” คำตอบของคำถามเปลี่ยนเป็นหมัดต่อยเข้าแขนคนถาม ไม่หนักไม่เบา แค่ร้องเสียงหลง...

“ เดี๋ยวพัศ พี่ก็มีอะไรจะบอกแน่ะ”มือแข็งแรงนั้นรีบคว้าคนขี้อายเข้าไว้ในแขน แม้ดวงหน้านั้นจะซับสีเรื่อชวนมอง ทว่าดวงตาคู่นั้น ลึกๆแล้วยังรอคอย ที่จะฟังบางสิ่งจากคนตรงหน้านี้...รอฟังจากพี่สนของพัศ

“พี่ซื้อเกมส์มา จะแกะเล่นก่อนก็ได้นะ” คนฟังหัวใจหล่นวูบ ผิดหวัง...อีกแล้ว

“พี่สนบ้าที่สุด”พี่สนเห็นพัศหน้างอ ทำท่าจะเดินหนี ก็รีบจับแขนไว้

“พรุ่งนี้จะไปดูงานต่างจังหวัดไม่ใช่หรอ รีบนอนดีกว่าพี่ว่า”มโนพัศพยักหน้ายอมแต่โดยดี ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน เหลืออศลย์มองตามจนลับสายตา เสียงเรียกเข้าไม่คุ้นหูทำให้หมอหนุ่มหลุดจากห้วงคิด น้องพัศ ลืมโทรศัพท์เสียแล้ว

“พัศ โทรศัพท์”

“พี่สนรับเลย” มือแข็งแรงนั้นหยิบโทรศัพท์เครื่องน้อยที่ถูกลืม กดๆจิ้มๆอยู่พักใหญ่ก็รับสายไม่ได้เสียที จนสายนั้นตัดไป ระหว่างพี่สนกำลังพยายามศึกษาการใช้โทรศัพท์เครื่องจิ๋วไม่คุ้นมืออยู่นั้น ข้อความก็ถูกส่งเข้ามา คราวนี้กลับกดเปิดข้อความขึ้นอ่านได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม

‘ทำไมไม่รับ โทรศัพท์ ?…ฝันดีนะครับพัศ พรุ่งนี้เจอกัน’ อศลย์คิด....คิดไปไกลอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


หรือหมดเวลาของพี่สนคนนี้เสียแล้ว??


“พี่สนจะติดรถไปลงแถวโรงพยาบาลไหม?”มโนพัศถามพลางใส่ถุงเท้าอย่างรีบร้อน พี่สนนำกาแฟร้อนๆ มาวางไว้ให้บนโต๊ะ

“อย่าเลย เดี๋ยวพี่ไปรถเมลล์ก็ได้”

“หูยคุณหมอ โหนรถเมลล์ไปทำงาน ไม่เท่ห์เลย” พี่สนยิ้มขยี้ผมคนช่างพูดด้วยความหมั่นไส้

“พี่ก็รอคนมาซ่อมรถให้พี่อยู่เนี่ย”

“พัศซ่อมไม่เป็น เขาต้องเทรนกันตั้งปีสองปีกว่าจะซ่อมได้”

“ให้เพื่อนพัศมาช่วยก็ได้” มโนพัศเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ดวงตาคมโศกคู่นั้นคล้ายมีประกายบางอย่างเต้นอยู่ลึกๆ

“เพื่อนคนไหน?” พี่สนว่าช่างเถอะ พลางดื่มกาแฟในแก้วของตน ทำเป็นไม่เห็นเสียว่าคนฟังขมวดคิ้วเสียแทบเป็นปม

“พี่สน เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า พี่แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

“ปากแข็ง!” มโนพัศรู้ พี่สนเป็นคนปากแข็ง ขณะเดียวกันอศลย์ก็รู้ ว่ามโนพัศเมื่อข้องใจต้องรู้ให้ได้ มืออุ่นคู่ที่อศลย์เคยคุ้นแนบหน้าคมสันแผ่วเบา

“พัศรู้ว่าพี่สนเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่คราวนี้พัศจะรอจนกว่าพี่สนจะออกปาก….ตกลงไหม?”พี่สนหลุดยิ้มกับคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แต่บังคับให้ทำต่างหาก

“พัศบังคับพี่”มโนพัศรีบร้องเปล่า ก่อนจะย้ำ

“พัศจะรอ...จนกว่าพี่สนจะออกปาก”น้ำเสียงหนักแน่นนั้นเน้นย้ำ ดวงตาคู่นั้นจริงจังเพราะพัศยังคงเป็นพัศ ทั้งที่รู้...พัศรออะไร ทว่าพี่สนก็ยังคงเป็นพี่สนเช่นกัน

“สายแล้วรีบไปเถอะ”



บางคราวที่ๆสงัดที่สุดก็อาจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย อศลย์ทอดสายตามองตลาดเช้าอันคึกคัก มองดูผู้คนเริ่มวิถีชีวิต ชวนให้นึกถึงสมัยยังเป็นเด็กนักเรียนจนเติบโตเป็นหนุ่มน้อย จากหนุ่มน้อยเติบใหญ่เป็นชายหนุ่ม เริ่มทำงาน..และแต่งงาน ความคิดของอศลย์หยุดลง ณ ตรงนี้

“ฉันไม่ใช่คู่ชีวิตแท้ๆของสนหรอก”อศลย์คิดแล้วขำ เมื่อนึกถึงผู้เป็นภรรยา

“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้น ผมเพิ่งขอคุณแต่งงานนะ”

“ฉันอาจเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นคนรักได้ แต่เป็นคู่ชีวิตให้ไม่ได้ เพราะฉันไม่คิดว่าคนอย่างฉันจะอยู่ได้นานนัก”

“อยู่สิ คุณจะอยู่กับผมอีกนาน”

“ แหม ฟังแล้วชื่นใจจัง”

“อย่างน้อยก็ในความทรงจำ”

“เอ๊ะ ยังไง”เธอพูดแล้วหัวเราะ

“แล้วตกลงจะแต่งไหมละครับ?”

“เอ๊า แต่งสิ”อศลย์รู้เธอแต่งด้วยรัก และใจกว้างพอที่จะปล่อยเขาไป หากถึงเวลา ทว่าเวลานั้นมาถึงแล้วและกำลังจะผ่านไป อศลย์เฝ้าภาวนา อย่าให้เวลานั้นผ่านไปเร็วนัก

ร่างสูงน้อมสักการพระสงฆ์ ค้อมกายน้อยๆพลางใส่บาตร และสวดภาวนา ให้ผลบุญฝากพาข้อความไปถึงคนไกล ทั้งที่ไม่รู้ว่าข้อความนั้นจะถึงที่หมายหรือไม่ ด้วยรูปแบบใด อศลย์สวดภาวนาไปอมยิ้มไป กับระบบส่งข้อความด้อยเทคโนโลยี ...ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง...ผมเจอแล้ว!

“โยมมีสมาธิหน่อย” เสียงทุ้มนุ่มเย็นจากหลวงปู่ทำให้อศลย์รีบรับคำ...ครับครับ อายลูกศิษย์หลวงปู่เสียจริง



เสียงใบปัดน้ำฝนดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพราะฝนยามบ่ายคล้อยลงเม็ดไม่หนักไม่เบาแต่น่ารำคาญ อศลย์มองโลกเบื้องนอกคันรถผ่านม่านหยาดฝน รอเวลาให้มโนพัศออกจากที่ทำงาน เขาเห็นแล้ว ร่างสูงโปร่ง ชะเง้อชะแง้อยู่หน้าบริษัท น้องพัศตอนกำลังกระวนกระวาย...น่ารักไปอีกแบบ รถยนต์รุ่นใหม่ที่ครั้งหนึ่งอศลย์เคยเห็นว่าเป็นรถของเพื่อนมโนพัศขับมาจอดเทียบตรงหน้า มโนพัศก้มลงคุยทางช่องหน้าต่างครู่หนึ่งก่อนรถคันนั้นจะขับลับหายไป พลันสายตาของมโนพัศเหลือบมาเห็นรถยนต์คุ้นตาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงรีบเดินฝ่าสายฝนมาขึ้นรถ

“เห็นพี่ได้ยังไง?”

“เห็นสิ จับรังสีโรคจิตได้”

“แน่ะ ว่าพี่”มโนพัศหัวเราะชอบใจ

“เหนื่อยไหม?”มโนพัศฟังเสียงทุ้มนั้นถามอย่างอ่อนโยนความเหนื่อยล้าดูจะระเหยไปในอากาศ

“หายแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

“ทานอะไรรองท้องสักหน่อยดีกว่ามั้ง”พี่สนพูดยิ้มๆพลางยื่นอลัวกะทิสีสันสดใสให้เพราะรู้ พัศหิว

“ป้อนด้วย”พี่สนเริ่มสั่งการ

“หยิบเองสิ”

“รถคันเมื่อกี้ เพื่อนหรือ?”มโนพัศฟังแล้วขมวดคิ้ว

“รถไม่ใช่เพื่อน แต่คนขับน่ะใช่ มันซ่อมรถไม่เป็นหรอก”อศลย์หัวเราะเมื่อมโนพัศพูดแล้วยักคิ้วให้

“รถพี่ซ่อมแล้ว เขาว่าเซนเซอร์หลวม ไม่รู้มันยังไง ฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน” อศลย์ว่าพลางหยิบขนมกินเสียเอง นิ้วแข็งแรงปราศจากแหวนวงเกลี้ยงเสียแล้ว

“พี่สนลืมแหวนหรือเปล่า?” พี่สนล้วงกระเป๋าเสื้อ แหวงวงเกลี้ยงถูกร้อยไว้ในสายสร้อย ก่อนจะจับใส่มือบางแล้วกุมมือนั้นไว้

“ไม่รู้จะเอาไว้ไหนดี” มโนพัศก้มหน้านิ่งนานจนพี่สนชักหวั่นใจ

“จริงๆแล้วพี่สนจะใส่ไว้พัศก็ไม่ได้ว่าอะไร” ดวงตาคู่โตมีหยาดน้ำคลอ พี่สนคิดในใจท่าจะแย่แล้ว

“แต่ว่าพัศบอกตรงๆว่าเหนื่อยแล้ว พี่สน...พี่สนยังรัก ‘เธอ’ อยู่ไหม?” อศลย์ฟังแล้วยิ้มจางๆ มโนพัศยังเป็นมโนพัศ เมื่ออยากรู้สิ่งใด ต้องรู้ให้ได้

“ไม่รัก แต่จะว่าไม่ผูกพัน ก็โกหก” น้ำตาหยดใหญ่หยดลงบนหลังมืออศลย์ พี่สนชักเป็นทุกข์เสียแล้ว วิธีบอกอ้อมๆเห็นจะไม่ได้ผลเสียแล้ว

“พัศครับ พัศเคยบอกพี่ว่าไม่รู้ว่าพัศเป็นอะไรสำหรับพี่ใช่ไหม ?” เมื่อเห็นว่ามโนพัศพยักหน้ารับ จึงพูดต่อ

“พัศน่ะไม่ใช่น้องไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ทั้งคนรัก...แต่พี่เลือกพัศให้มาเป็น ‘คู่ชีวิต’ของพี่ ได้ไหมครับ?” มโนพัศเงยหน้าขึ้นสบตาคมโศก พี่สนรอ ด้วยใจจดจ่อ แต่มโนพัศนิ่งนานจนอศลย์ร้อนใจ

“พี่สนไม่รู้หรอก ว่าพัศรอ...รอมาหลายปี จนคิดจะไม่รอก็หลายครั้ง พี่สนไม่รู้หรอก คนรอ...ทรมาน”พี่สนถึงบางอ้อ โดนน้องพัศดัดหลัง คราวนี้เขาเข้าใจแล้ว หัวใจคนรอเป็นอย่างไร ทว่าความกระวนกระวายที่ตนได้รับคงเทียบไม่ได้เลยกับของมโนพัศ

“โชคดีจังที่พัศยังไม่เลิกรอ ไม่งั้นพี่ต้องแย่แน่ๆเลย”มโนพัศยิ้มขันทั้งที่น้ำตายังซึม ขณะที่พี่สนหัวเราะเสียงดังให้สมกับความรู้สึกโล่งในอก ฉ่ำชื่นในหัวใจ อ้อมแขนแข็งแรงนั้นโอบกอดร่างโปร่งไว้กับอก พลางประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากนั้น

“คราวหลังอย่าบอกอะไรอ้อมมากๆนะ พัศคิดตามมุกไม่ทันหรอก” พี่สนรับคำ ก่อนริมฝีปากนั้นจะประทับลงแผ่วเบา


กล่องไม้ใบน้อยถูกเปิดอย่างเบามือ ภายในนั้นมีเอกสารสำคัญของพี่สนและรูปภาพ...ภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่ดวงตามีประกายเข้มแข็งกำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มือบางวางแหวนวงเกลี้ยงที่ร้อยสายสร้อยลงในกล่องนั้นอย่างเบามือ พลางยิ้มตอบรอยยิ้มงดงามนั้น ก่อนจะปิดฝากล่องไม้และปิดตู้เซฟ

“แน่ะ แอบดูรูปพาสปอร์ตพี่ละสิ”

“ใครเขาอยากดู หน้าตาเหมือนโจร”

“ใครจะหน้าตาดีเท่าคุณมโนพัศละครับ”พี่สนว่าพลางโอบแขนรอบเอวโปร่งบาง ดวงตาคมโศกนั้นฉายประกายขบขัน ก่อนริมฝีปากหยักสวยนั้นจะแนบรอยสัมผัสอุ่นให้ มือแข็งแรงอุ่นนุ่มลอบไล้สัมผัสไปบนผิวกาย

“พี่สนทะลึ่ง”

“พี่ทะลึ่งกับพัศคนเดียว แล้วพี่ก็ยังไม่ลงพุงนะ จับสิๆ” พี่สนจับมือบางมาวางบนหน้าท้องตน มโนพัศหัวเราะจนน้ำตาไหล

“เชื่อแล้วๆ”

“ถ้าไม่เชื่อจะแก้ผ้าโชว์”

“พี่สนไปไกลแล้ว กลับมาๆ”อศลย์หัวเราะชอบใจ นิ้วมือแข็งแรงไล้สัมผัสไปบนมือบาง อดไม่ได้ที่ จะประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ

“พี่ขอโทษที่ให้พัศรอนาน ขอบใจมากที่ยังรอพี่ ขอบใจมือคู่นี้ที่เมื่อครั้งนั้นเคยให้กำลังใจ ขอบใจแขนคู่นี้ที่เคยกอดปลอบใจ ขอบใจริมฝีปากคู่นี้ที่พูดให้พี่อารมณ์ดี ขอบใจดวงตาคู่นี้...ที่บอกรักทุกครั้งที่ได้สบตา”

“ขนาดนั้นเชียว”พี่สนว่า ใช่สิ ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้น

“ขอบใจหัวใจดวงนี้ที่ยอมให้พี่สนเข้าไปครองนะครับ”

“หลงตัวเอง…ทีอย่างนี้ไม่เห็นปากแข็ง” มือบางดึงแว่นสายตาบนใบหน้าคมสันออก ดวงตาคมโศกนั้นฉายประกายพึงใจอย่างเปิดเผย ก่อนจมูกโด่งนั้นจะก้มลงถูกปลายจมูกกับจมูกรั้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระส่ำ จนพี่สนนึกร้องปราบหัวใจตนเอง หัวใจจ๋าเต้นเบาๆหน่อยเดี๋ยวน้องพัศได้ยินว่าพี่สนตื่นเต้น

“พี่สนตื่นเต้น”โดนจับได้เสียแล้ว

“เปล่า”มโนพัศยิ้ม ก่อนมอบจูบลงบนริมฝีปากหยักสวยมอบสัมผัสอ่อนหวานทว่าอุ่นร้อนราวกับจะหลอมละลายหัวใจคนทั้งคู่เข้าด้วยกันอย่าช้าๆ



ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก ทว่าความทุกข์เหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสุข แม้เพียงเล็กน้อย ขอเพียงให้ความสุขนั้นแปลเป็นกำลังใจ ทุกข์ใหญ่น้อยประการใดย่อมไม่สำคัญ เชื่อเถอะ...ขอเพียงมีแรงใจ ต่อให้หนทางยาวไกลสักเพียงไหน ก็พร้อมจะเดินต่อไป ดังเช่นที่มโนพัศ ก้าวเดิน ไปสู่หัวใจอศลย์...ที่กลางใจเธอ


END
*******************************A tu corazon******************************




หมดเเล้ว สามตอน....โดยส่วนตัวเเล้ว ชอบไม่มี > สู่กลางใจเธอ > มี   จะพบว่า สู่กลางใจเธอ ให้อารมณ์ที่เเตกต่างจาก ไม่มีเเละมี ค่อนข้างมาก  ขอสารภาพว่า  เรื่องทั้งสามตอนนี้ เขียนขึ้นในระยะเวลาที่ค่อนข้างห่างกันมากทีเดียวค่ะ เลยอาจจะดูอารมณ์ของเรื่องกระโดดไปบ้างในตอนสุดท้ายนี้

ขอบคุณสำหรับทุกการเข้าอ่าน ทุกคอมเม้นต์นะคะ
  
จริงๆเรื่องสั้น๒๔ชม. ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่เคยลงที่บอร์ดนี้มาก่อน  อาจจะลงต่อในทู้เดียวกันเสียเลย ดูไปก่อนเเล้วกันเน๊อะ(ดองไว้ก่อนเเล้วกันเน๊อะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2009 00:45:37 โดย ภาณุเมศพลัง »

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
+1 ให้นะคราบสำหรับเรื่องนี้เสียดายจังจบแล้ว
แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องสั้นนะจะให้ยืดเพื่อ 555+
จะบอกว่าอ่านเรื่องนี้แล้วแระทับใจในวิธีการเล่าเรื่องที่แยบคายใช้ได้
ภาษามีระดับของตัวเองดีไม่มีความจำเจในการเล่าเรื่อง
พออ่านเรื่องนี้ไปตอนแรก ก็ติดใจไปตามอ่านเรื่องสั่นของ เมศ
แล้วก็เขียนออกมาได้ดีมากๆ ในหลายเรื่อง จะมีบางเรื่องที่อ่านไม่ได้จริงๆ
เพราะไม่ชอบเรื่องแนวๆประวัติศาสาตร์ กับ แนวทะเลทราย 555+
แต่ทุกเรื่องเขียนดี รวมถึงเรื่องนี้ด้วย
เพียงแต่พออ่านตอนสุดท้าย สู่กลางใจเธอ ระดับของการใช้คำดูจะตกลง
ภาษาบางอย่างที่ใช้สื่ออกมาได้ในระดับนึงเท่านั้น แต่ก็ชอบนะคราบ
แล้วจะรออ่านผลงานเรื่องสั้นดีๆแบบนี้อีก
นิว

patz

  • บุคคลทั่วไป
จบได้น่ารักดีอะครับ

โชคดีจริงๆ ที่พัศไม่เลิกรอ  :กอด1:

Donpopper

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งมากเลยครับ

เป็นการพัฒนาความรักแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ไม่รีบร้อน

น่ารักมาก

The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป
นี่แหละ ความรัก ความรักที่สวยงาม
จะสดใสหรือจะมืดมัว ใจเราเท่านั้นที่บอกได้
กว่าจะเข้าสู่กลางใจเธอได้ ต้องเดินมาจากกลางใจตัวเองก่อนเท่านั้น

:m13:

benxine

  • บุคคลทั่วไป



 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะครับ


 :L1: :L1:

 :pig4: :pig4:

หัดดิน เอ้ยหัดกิน

  • บุคคลทั่วไป

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
เจ๋งมากน้องพี่

ชอบสุดๆอ่ะ

เศร้าได้ถูกใจ พี่มากมาย

จบได้หวานพอดี

สุดจะบรรยาย  :m31:  :m31:

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
เรื่องสั้น(เกิน) ๒๔ชม.
เรื่อง : ใช่ว่าไม่รักกัน

๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖



ท่ามกลางสายลมปลายฝนต้นหนาว ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่เสียดสีกันราวส่งเสียงกระซิบถ้อยความต่อกันบ้างร่วงโรยตามลมพัด บ้างคงอยู่ กบส่งเสียงร้องต่ำสูงอยู่เพียงไกลๆ เจ้าของบ้านสองคนกำลังช่วยกันเก็บของใช้ส่วนหนึ่งบรรจุใส่ลังกระดาษ หนังสือเล่มใหญ่ตั้งหนึ่งถูกมือนวลบางค่อยวางเรียงลงในลังอย่างเป็นระเบียบก่อนจะผนึกลังด้วยเทปกาวให้แน่นหนา

“ลังนี้หนักมาก ไม่รู้จะแตกหรือเปล่า”

“เขียนไว้ดีกว่าว่าหนังสือหนัก เวลาขนจะได้ไม่วุ่น” เสียงนุ่มๆนั้นกล่าว พลางคว้าปากกาเมจิกเขียนข้อความลงบนฝาลัง

“คริษฐ์นี่เขียนหนังสือไม่มีหัวเลย”

“ทำอย่างกับตัวเองเขียนแล้วมี” คนฟังฟังแล้วหัวเราะก่อนจะเถียง มีสิ ก่อนจะคว้าปากกามาลองเขียนบนฝากล่องบ้าง

“เห็นไหมมีแล้ว”

“มัวเล่นอยู่ รีบเก็บของเถอะ เชจะได้รีบนอน พรุ่งนี้ประชุมเช้าไม่ใช่หรือ?”เสียงอ่อนโยนนั้นกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่นิทเชได้ฟังยามใดล้วนสุขใจทุกครั้ง


จะมีใครเชื่อไหมว่า ‘เรา’ กำลังจะเลิกกัน ไม่ใช่สิ เราเลิกกันแล้ว คริษฐ์แค่แวะมาเก็บของก่อนจะจากไป ออกจากชีวิตของใครอีกคนไป...อาจเป็นตลอดกาล จะมีใครเชื่อไหมว่า เราคบกันเจ็ดปีเต็ม โดยไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ตามใจกันทุกเรื่อง รู้ใจกันทุกอย่าง ไม่มีใครเชื่อหรอก..... แม้เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดของทั้งนิทเชและคริษฐ์ต่างหาว่าเราทั้งคู่โกหก

“ไม่ได้โกหก” นิทเชยืนยันกับเพื่อนสนิท ทั้งที่ข้างกายเขาคริษฐ์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น

“ทำไมแกโง่อย่างนี้วะ คริษฐ์เขาดีกับแกทุกอย่างเลยนะเว้ย ไม่เคยทะเลาะกันสักหนเลยไม่ใช่หรือ ตามใจแกทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคริษฐ์เขาด้อยที่ตรงไหนเลยนะ การศึกษา หน้าตา ความก้าวหน้า เขาเหมาะสมกับแกทุกอย่างเลยนะ”

“ทำไมนะหรือ?”ผมหันไปสบตาคู่หนึ่งที่มองสบกันโดยไม่ต้องนัดหมาย และสิ่งที่เราไม่ได้นัดหมายกันในใจอีกอย่างคือ

ทำไมเราต้องเลิกกัน?

เพราะเราไม่เข้าใจกันหรือ? เห็นจะไม่ใช่ เพราะเราพบรักใหม่หรือ? ก็ยังไม่พบ เพราะเรา ทนนิสัยแย่ๆของอีกฝ่ายไม่ได้? ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ......หรือเพราะเราไม่เคยทะเลาะกัน??

“วันเสาร์นี้ไปงานวันเกิดด้วยกันไหม?” เสียงนุ่มนวลนั้นถามขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน..คำชักชวนเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

“วันเกิดใครล่ะ?”คำตอบที่ได้รับทำให้นิทเชถึงกับต้องนิ่งคิด วันเกิดแฟนเก่า เอาแฟนคนปัจจุบันไปร่วมงานด้วย จะดีหรือ?

“คริษฐ์ไปเถอะ”

“เชไม่ไปแล้วคริษฐ์จะไปทำไม?”

“ก็เขา...เพื่อนคริษฐ์”

“เชไม่ไป ก็ไม่รู้จะคุยกับใคร” นิทเชร้องอ้าว สุดท้ายแล้ว ‘เรา’ ก็ไม่ได้ไป เพียงแต่ส่งการ์ดที่ช่วยกันเลือกไปให้เท่านั้น


ทำไมเราต้องเลิกกัน? หรือเพราะเรารักกันน้อยเกินไป ท่าทางจะไม่ใช่ หรือเพราะเราไม่เอาใจใส่กัน ก็เปล่าเลย หรือเพราะเราใกล้กันมากเกินไป จนต่างอึดอัด ก็อาจจะไม่ใช่อีก เพราะเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของอีกคนต่างหาก

“มายืนตรงนี้เร็ว” นิทเชร้องสั่งอย่างขบขัน ก่อนจะจูงมือคนตัวโตกว่ามายืนข้างสิงห์ไม้หน้าบ้าน

“ทำไมต้องถ่ายกับสิงห์หน้าบ้านด้วย”

“หรือจะถ่ายกับปลาคาร์ฟในบ่อ เชก็ไม่ว่านะ” นิชเชพูดพลางจัดทรงผมคริษฐ์ให้เข้าที่ ก่อนจะจัดการกับกล้องถ่ายภาพคู่ใจ

“หล่อแล้ว” คนฟังยิ้มเขินเมื่อได้ฟัง

“หล่อเชยๆ”

“รู้ไหม คริษฐ์ไม่เคยชอบการถูกถ่ายภาพเลย” คนหลังกล้องลดกล้องลง

“ถ้าไม่อยากถ่าย เชเลิกก็ได้”

“ถ่ายเถอะ” คริษฐ์ยิ้ม รับฟังเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น....ครั้งแรก...และเพียงครั้งเดียว

“พอดีกว่า รูปเดียวก็พอแล้ว”นิทเชพูดก่อนจะเก็บกล้องตัวโปรด



ฝนยามบ่ายโปรยลงมาแล้ว ละอองน้ำเล็กๆ เกาะบนกระจกใส ทำให้ภาพเบื้องนอกเลือนลาง เหมือนหัวใจนิทเชในวันนั้น หัวใจที่มองสิ่งใดไม่ชัดเจน รอจนกว่าหยดน้ำจะจางหายระเหยเป็นละอองไอสู่อากาศ เมื่อนั้นทุกสิ่งจึงกลับมากระจ่างชัด

“คริษฐ์ เราสองคนน่ะ รักกันมากเกินไปหรือเปล่า?” สัมผัสอุ่นๆนั้นลูบศีรษะนิทเชแผ่วเบา

“อะไรคือมากเกินไปล่ะ”

“ไม่รู้สิ”อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น ยังคงอบอุ่น และอ่อนโยนเสมอ


เราไม่เคยทำสิ่งที่ ‘เราต่าง’ ไม่ชอบ และหลีกเลี่ยงมันเรื่อยมา นิทเชเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบวุ่นวายสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่มากเกินความจำเป็น ในขณะที่คริษฐ์ทำงานที่ต้องพบคนมากเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนมาก
นิทเชชอบถ่ายภาพ เขารักมันยิ่งกว่าสิ่งใด เขามักไปไหนมาไหนคนเดียวกับกล้องคู่ใจ บันทึกภาพสิ่งที่ตนเห็นเก็บไว้ ทว่าไม่เคยบันทึกภาพคนที่เขารักไว้ ...เพราะคริษฐ์เคยบอกว่าไม่ชอบถ่ายภาพเพราะมีปมด้อย...เมื่อใดที่เขาหายไปจากบ้านออกไปตระเวนถ่ายภาพ โทรศัพท์มักดังด้วยความร้อนรนเสมอ นั่นเป็นสัญญาณบอกเวลา...ต้องกลับ เพื่อความสบายใจของ ‘เรา’

“ผมเป็นห่วง”

“ไปแค่แป๊บเดียวเอง ซื้อขนมมาฝากด้วย”

“ไว้เราไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ?” นิทเชแค่รับคำในคอ ไม่มีใครพูดถึงมันอีก จนสุดท้ายนิทเชก็หลงลืมไปเสียเอง

ต่างคิดไปเพียงว่า อยากให้ ‘เรา’ มีความสุข….ก็แค่เท่านั้น


“เพื่อนแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะไอ้คริษฐ์” เพื่อนคนหนึ่งของคริษฐ์ ทักขึ้นเมื่อพบกันโดยบังเอิญ

“ก็ไม่ค่อยมีเวลา” มือแข็งแรงอบอุ่น ยังคงกอบกุมมือบางไว้ในอุ้งมือ สุภาพ และอ่อนโยนเสมอ

“แหม คุณเชปล่อยๆไอ้คริษฐ์มันมั่งเหอะครับ”

“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง ข้าเนี่ยแหล่ะติดเขา ไม่ใช่เขาติดข้า” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะกับเพื่อนอย่างขบขัน มือนวลบางในอุ้มมือ ค่อยๆดึงออกจากการเกาะกุม แผ่วเบา...เสียจนเจ้าของมืออุ่นนั้นไม่รู้ตัว

“ ว่างๆก็ชวนคริษฐ์ออกไปสังสรรค์บ้างนะครับ อยู่ติดบ้านเกินไปเดี๋ยวจะเบื่อ” นิทเชพูดออกไปทั้งที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น เขากลับรู้สึก....ว่างเปล่า ความรู้สึกที่มันทับถมกันมานานปี กำลังจะเอ่อล้นตันตื้อขึ้นในจิตใจ

“รายนี้คุณเชต้องออกปากเอง เขาถึงจะไปแหล่ะครับ” นิทเชทำเพียงยิ้มน้อยๆ
ในเมื่อเราต่างอยากให้มีความสุข...แล้วเราในตอนนี้ มีความสุขจริงหรือเปล่า??
เราจะมีความสุขด้วยกันได้ โดยที่ตัวตนของเราต่างค่อยสาบสูญไปทีละน้อย ...เราทำอย่างนั้นได้จริงๆนะหรือ?


“แล้วถ้าได้ล่ะ”คริษฐ์ ตอบตัวเอง ทั้งที่มีคำถามอื่นๆผุดขึ้นมาอีก ความสัมพันธ์ของเราจะอยู่ต่อไปได้อีกสักเท่าไหร่?

“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” นิทเชตอบตัวเอง ผลของมันจะทำให้เราต่างเจ็บปวด ต่างพังทลายลงหรือเปล่า? หรือจะปิดตาตัวเองต่อไป เพื่อให้เรายังอยู่ด้วยกันได้...อีกนิด

“ผมต้องเลือกหรือเปล่า?” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลนั้น จริงจัง ดวงตาคู่นั้นที่เคยมีน้ำหล่อเลี้ยงฉ่ำหวานกลับแห้งผาก มือนวลกอบกุมมือแข็งแรงที่กำหมัดแน่นไว้

“ไม่ใช่คริษฐ์คนเดียวหรอก แต่เป็น ‘เรา’” น้ำเสียงแห้งแล้งนั้น ทำให้ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสแผ่วผิวลงบนมือบาง

“เพียงแต่เราต้องรู้ไว้ เราจะมีทุกสิ่งตามหวังไว้ไม่ได้”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆล่ะ?” ดวงตาคู่นั้นที่เคยทอประกายอ่อนโยน ทอดมองอย่างดิ้นรนหาทางออก


ความรักหรือ?....เราจะยังกุมมือกันได้สนิทใจทั้งที่พิษของความเจ็บปวดกำลังกัดกินเรานะหรือ?

“แล้วความสุขล่ะ?”

“เชไม่มีความสุขหรือ?”

“มีสิ เรามีเสมอ เมื่อเราอยู่ด้วยกัน ...แล้วคริษฐ์คิดว่าเรา ‘เป็นสุข’หรือเปล่า?” ชายหนุ่มครุ่นคิด ทว่าให้คำตอบที่แน่นอนกับตนเองไม่ได้เช่นกัน

“แล้วถ้าไม่ เราก็ควรจบกันอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาที่คอยสบกลับมาวูบหลบ

“แล้วแต่คริษฐ์”คนฟังยิ้มทั้งที่ดวงตาโศก

“จะแล้วแต่คริษฐ์คนเดียวได้ยังไง?”

“เราอาจจะแค่ต้องการเวลา” นิทเชอดไม่ได้เลย ที่จะยื้อความสัมพันธ์เอาไว้ พอๆกับที่ห้ามตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตาไม่ได้

“อืม...เราอาจจะแค่ต้องการเวลา ให้ตัวตนของเรากลับมา...อย่าร้องไห้เลย”น้ำเสียงอ่อนโยนติดจะอ่อนหวานนั้นกระซิบแผ่วเบา พลางกอดคนในอ้อมแขนไว้

“เพื่อนเชจะต้องว่าเอาแน่ๆ”

“นี่ร้องเพราะกลัวโดนเพื่อนว่าเอาหรืออะไร?”คนถามร้องเสียงหลงเมื่อถูกทุบเสียเต็มแรงก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เราอาจจะเลิกกัน...” ริมฝีปากหยักสวย มอบสัมผัสอุ่นล้ำบนริมฝีปากบาง เนิ่นนาน ก่อนจะถอนจูบอย่างเสียดาย เมื่อสบดวงตาที่ยังเอ่อล้นด้วยน้ำตาคู่นั้น เขายิ่งมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะพูด

“แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน ใช่ไหม?” ชายหนุ่มยิ้ม นิทเชพยักหน้ารับพลางยิ้มตอบ

บางคนอาจพูดว่าโชคชะตาเปิดโอกาสให้เราต่างกลับไปค้นหาตัวตนของเรากลับมา ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ นิทเชยิ้มกับตัวเอง โชคชะตาอาจจะช่วยครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเราต่างหาก ที่ ‘กล้า’ พอจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า คริษฐ์และนิทเช กล้าพอ ที่จะถอยหนึ่งก้าวสำหรับความสัมพันธ์ ให้พื้นที่กับหัวใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของตนโดยไม่อาจหยุดยั้ง

“ย้ายไปทำงานต่างประเทศก็ดีนี่นา ใครเขาก็อยากไปกันทั้งนั้น ” นิทเชออกความเห็น ในค่ำวันที่ เราอยู่ด้วยกัน ...มิใช่คนรัก แต่เป็นเพื่อนใจ

“เป็นห่วงเช”

“ห่วงทำไม? เชก็ต้องเดินทางเหมือนกัน”

“ห่วงสิ เพราะเชต้องเดินทางไปหลายที่ ใครจะดูแล”คนพูดอดห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าขัด มากนัก เพราะรู้ว่านิทเชพยายามมาหลายปีกว่าจะได้รับการตอบรับให้เป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีแห่งหนึ่ง

“ทุกคนก็ต้องเดินทางทั้งนั้น เดินไปบนทางเดินชีวิตของตัวเอง”

“คริษฐ์รู้ แต่มันก็อดห่วง...ไม่ได้”นิทเชยิ้มอย่างเข้าใจ เจ็ดปีเต็มที่คนตรงหน้านี้เฝ้าเอาใจใส่ดูแลกันไม่เคยบกพร่อง

“ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าทำงานจนลืมตัวเองไป เพราะเราต้องรัก...รักตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม”

“อืม...คริษฐ์เข้าใจ”

“ เชไม่ต้องยกลังนั้น เดี๋ยวคริษฐ์ยกเอง”ลังใส่หนังสือถูกนิชเลยกใส่รถที่จอดรอหน้าบ้าน โดยไม่ฟังเสียงค้าน

“มีอะไรต้องขนอีกไหม?”คริษฐ์ว่าไม่มีหรอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่บาง

“ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไหร่”

“จะร้องเพลงสั่งนางด้วยหรือเปล่า?” นิทเชถามหน้าตาย ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ไม่ร้องหรอก เชก็รู้ ร้องเพลงเป็นปมด้อยพอๆกับถ่ายรูปเชียวล่ะ”มือนวลหยิบรูปหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อ

“รูปนี้คงพอพิสูจน์ได้ ว่าปมด้อยเรื่องรูปถ่ายของคริษฐ์น่ะ ไม่จริงหรอก”


รูปถ่ายขาวดำของกิจวัตรประจำวันที่เจ้าตัวมักทำทุกเช้า เป็นการฝึกสมาธิให้ตัวเองมีสติก่อนออกไป ทำงานเสมอ คนในภาพนั่งบนเก้าอี้ ค้อมกายลงผูกเชือกรองเท้าตนเองในเช้าวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่ง ดวงตาของคนในภาพที่เงยหน้าขึ้นดูคล้ายมองสบในที แววตานั้นฉายประกายนิ่งสงบ และลุ่มลึกกว่าครั้งไหนๆ

“อ่านข้างหลังสิ”ช่างภาพออกปาก คริษฐ์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความ

“มิใช่ไม่รักกัน”ไม่มีลงชื่อ หรือวันที่ มีเพียงลายมือหนักแน่นของตัวอักษรไม่มีหัวและเขียนเอียงน้อยๆ ทว่าดูสะอาดตา

“รูปสวยมาก ขอบคุณ” นิทเชมองร่างสูงที่ยังก้มลงพิจารณารูป พลางคาดเดาว่าช่างภาพไปเก็บภาพมาเมื่อไหร่

“ฝนจะตกแล้วนะ” เ สียงแผ่วเบาฟังคล้ายกระซิบนั้น ทำให้ดวงตาคู่คมมองรอบกาย ให้ได้คิดทบทวน ให้ได้ซึมซับความรู้สึกรักและเจ็บปวด ให้ได้เข้าใจ ‘เรา’ ที่ไม่ใช่ฉันท์คนรัก แต่เป็น ‘ตัวเรา’

“อืม ไปล่ะ ปิดประตูบ้านดีๆนะ” มืออุ่นร้อนยังคงสัมผัสอย่างสุภาพอ่อนโยนเสมอ ก่อนริมฝีปากหยักสวยที่ยกยิ้มน้อยๆจะมอบจุมพิตครั้งสุดท้ายลงบนหน้าผากใครอีกคน...ผิวแผ่วราวสายลม ที่พัดมาและผ่านเลยไป


ท่ามกลางสายลมที่สงบลงจนไม่มีใบไม้ใดขยับไหวและเสียงฟ้าครวญ นิทเชยืนมองรถยนต์คันนั้นแล่นจากไปจนลับสายตาด้วยดวงตาที่แผงรอยอาลัยรัก และริมฝีปากคลี่ยิ้มส่งให้ นิทเชถามใจตน ได้เรียนรู้สิ่งใดบ้างจากความรัก ไม่ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มเฝ้าเตือนตนเอง ให้เรียนรู้และเก็บไว้เป็นบทเรียน ว่า ‘เรา’จะเป็นเราไม่ได้ หากไม่มี ‘ตัวเรา’ เสียงฟ้าครวญสนั่น พร้อมกับสายฝนตกกระทบผืนดินจากน้อยหยดเป็นเทกระหน่ำ หอบพากลิ่นไอดินจางๆชวนสดชื่น หยดน้ำอุ่นร้อน ร่วงหล่นถูกตน ชายหนุ่มเพียงแต่รำพันกับตนเอง

“ฝนตกเสียแล้ว”









********************************************************************

ไม่ค่อยได้เขียนอะไรมาพักใหญ่ รู้สึกฝืดสนิทศิษย์ส่ายหน้า  

อยู่ๆก็อยากเขียนคนเลิกกันมากกว่าคนเริ่มรักกัน 555+ เพราะวันก่อนอาบน้ำอยู่(ทำไมต้องตอนอาบน้ำ เเป่ว...)เเล้วนึกขึ้นมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ใช้เวลาเกิน๒๔ชม.ไปเยอะเลยค่ะ คุณ3 (ใช่เวลาตั้งนาน เขียนได้7หน้า ไม่ถึงด้วย)...เเต่ไม่เป็นไร มีเวลาเยอะ ฮ๋าๆๆ  

เเอบขี้เกียจตั้งทู้ใหม่ด้วย เเฮ่ะๆ  :-[

ยินดีรับฟังความคิดเห็น ขอบคุณสำหรับการเข้าอ่าน เม้นต์ นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2009 18:19:34 โดย ภาณุเมศพลัง »

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อ่านแล้วไม่ฝืดนะคะ ภาษาสวย อ่านไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีจบซะแล้ว
แถมยังก็รู้สึกว่า ทำไมมันเศร้าจังเลย อะ ทั้งๆที่ช่วงแรกๆ มันไม่เศร้านี่หว่า

 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด