บทที่ 6
นักปรัชญาภาษาพบว่ามีปัญหาเรื่องความลักลั่นระหว่างความหมายกับถ้อยคำ บางครั้งถ้อยคำเพียงแค่บ่งถึงสิ่งสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้มีความหมายตรงไปหรือนัยประหวัดถึงสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย ดอลเนลลันบอกว่าถ้อยคำไม่ได้ถูกใช้อย่างที่มันถูกกำหนดความหมายโดยชุมชนผู้ใช้ภาษา เราอาจจะเรียกดิลโด้ว่าไวเบรเตอร์และสื่อสารได้ตรงตามความต้องการของเรา ทั้ง ๆ ที่ดิลโด้กับไวเบรเตอร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่บางครั้งถ้อยคำพุ่งตรงไปยังความรู้สึกที่สื่อไม่ได้ของเราโดยไม่ผ่านกระบวนการแปลความหมาย ความรู้สึกทางเพศเองก็ไม่จำเป็นต้องถูกกระตุ้นโดยตรงด้วยมือและปากที่อวัยวะเพศ จินตนาการที่เกิดขึ้นก็อาจจะไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับกระบวนทัศน์ทางเพศตามขนบ กล่าวคือผู้ที่เกิดอารมณ์ทางเพศตอนที่ดูเทเลทับบี้อาจจะไม่ได้คิดถึงหรือเปรียบเทียบตัวเทเลทับบี้กับอวัยวะเพศหรือการร่วมเพศเลยด้วยซ้ำ
นั่นยังเป็นเพียงแค่ข้อสมมุติฐานที่ออกจะดูเป็นวิชาการไปหน่อย แต่คุณควรรู้ไว้ว่าในขณะที่มนุษย์ทั่วไปปิดบังเครื่องบอกความเป็นเพศของตนด้วยเสื้อผ้า นักวิชาการก็สามารถที่จะปิดบังความร่านดอกของพวกเขาไว้ด้วยถ้อยคำที่ดูวางภูมิอย่างยโสโอหัง ถ้าหากคุณรู้ผู้ทรงปัญญาหลายคนก็เหมือนสุนัขที่ฝึกไว้ดีแล้ว เวลาที่มีสายตาจับจ้องอยู่มันจะเชิดหน้าอย่างทระนง แต่พร้อมที่จะเลียกินอุจจาระอย่างระริกระรี้เมื่อหลุดพ้นไปจากการถูกจับสังเกต คุณคิดว่าผมคิดผิด? งั้นคอยดูกันต่อไป...
ชิตตพัณเกือบจะหลั่งตอนที่เขาได้เตะลูกโทษ เป้าของเขาตุงเต็มเมื่อมันขยายตัวพาดออกไปด้านข้าง เขารู้ว่าทุกคนกำลังจับจ้องอยู่ที่เขาเป็นจุดเดียวกัน เขารู้สึกเสียวสุด ๆ เมื่อรู้ว่ามีหลายคนที่มองเป้าตุง ๆ ของเขา และรู้แน่ว่ามีอีกหลายคนที่จะจำช่วงวินาทีนี้ไปสำเร็จความใคร่ก่อนนอน
เขาง้างเท้าช้า ๆ เหมือนภาพสโลโมชั่น ช่วงเป้าถูกบิดรัดให้ปริตุงเป็นก้อนระหว่างหว่างขา ตรงน่องขาวแน่นเหยียดตึง กล้ามเนื้อเกร็งเห็นเป็นนูนเนื้อราง ๆ ขึ้นมา หลายคนกลืนน้ำลายเมื่อเห็นภาพเร้าอารมณ์ และชิตตพัณก็สับเท้าเตะด้วยความเร็วเหมือนตอนที่น้ำอสุจิของเขาพุ่งกระฉูดขึ้นไปบนอากาศตอนถึงจุดสุดยอด
‘เกม’ ของชิตตพัณจบลงเมื่อเขาถูกหามออกจากสนาม เท้าของเขาถูกกระทืบด้วยสตั๊ดของกองหลังคนหนึ่งในทีมตรงข้ามอย่างจงใจ ธีรเดชออกไปจากเกมพร้อม ๆ กันและกันทุกคนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวเขากับชิตตพัณ หนุ่มหล่อนักกีฬายังคงทำหน้าที่ซีเคร็ทคีปเปอร์ของเขาได้ดี เขาเรียกแท๊กซี่ที่จอดดูบอลอยู่ข้างสนามของมหาวิทยาลัย และพยุงชิตตพัณเข้าไปในรถโดยไม่บอกลูกทีมคนอื่นว่าจะไปโรงพยาบาลไหน
“เจ็บไหม” ธีรเดชถามหลังจากบอกจุดหมายให้คนขับแท็กซี่แล้ว
ชิตตพัณพยักหน้าเบ้ ๆ เขาคลายเจ็บลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังปวดอยู่มาก ธีรเดชก้มลงหยิบเท้าของชิตตพัณขึ้นมาวางไว้บนเบาะ รองเท้าถูกถอดออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว เหลือแต่ถุงเท้านักบอลสีเทาสลับดำตัดกับขาขาวจั๊วะของชิตตพัณ
คนเจ็บเงยหน้ามองเพื่อนเมื่อธีรเดชลูบ ๆ คลำ ๆ ตรงข้อเท้าอย่างระมัดระวัง ธีรเดชบอกกับเขาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เงยหน้าเพราะง่วนกับการพิจารณาอาการอยู่
“เดี๋ยวจะดูให้ เราเคยเห็นคนเท้าแพลงมามาก แต่ของนายโดนกระทืบเข้าไปเต็มแรงเลยนี่”
“อืม” ชิตตพัณตอบเบา ๆ เขาเริ่มคลายเจ็บ อาจจะเพราะการบีบนวดเบา ๆ จากมือของเพื่อนรัก
“พวกนั้นไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาเลยวะ แย่จริง ๆ” ธีรเดชบ่นและตอนนั้นแท๊กซี่ก็เคลื่อนออกมานอกมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะพบว่าถนนสายหลักในชั่วโมงเร่งด่วนนั้นไม่อนุญาตให้รถเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าสามเมตรต่อนาที
ชิตตพัณหลับตาและถอยหลังไปเอนพิงผนังประตูรถด้านที่เขานั่ง ธีรเดชจับข้อเท้าของเพื่อนไว้ด้วยมือซ้าย และใช้มือขวาดึงขอบถุงเท้าห่างจากเนื้อขาว ๆ อย่างระมัดระวัง เขาปล่อยนิ้วที่คีบถุงเท้าออกและดึงใหม่คล้ายกับลองเชิง จากนั้นก็ถลกดึงมันให้ร่นหลุดออกมาทีละน้อย
พระเจ้า..มือของเขา เส้นเลือดที่อยู่ในมือของเขา มันฉีดพุ่งจนรู้สึกได้เหมือนกับว่าหัวใจของเขาเลื่อนไปอยู่ที่มือซึ่งกำลังล่วงเกินเท้าของชิตตพัณอยู่ ธีรเดชกลืนน้ำลายหัวใจเต้นดังตึกตัก ๆ จนเขากลัวว่าคนที่กอดอกหลับตาพริ้มยินยอมให้เขาแตะต้องจะได้ยินเสียงนั้น
ธีรเดชดึงถุงเท้าผ้ามาทีละน้อยจนถึงส้นเท้า มันกลมกลึงและเนียนเรียบอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของผู้ชาย เด็กหนุ่มมองความงามสมบูรณ์แบบที่ถูกโอบอุ้มในมือของเขาราวกับเข้าภวังค์
ปีหนึ่งของธีรเดช และเที่ยงวันหนึ่งในปีนั้น เขาเดินเตร็ดเตร่ไปอย่างไม่รู้จะไปที่ไหนดี ก่อนที่จะมองเห็นร่มไม้หน้าอาคารกับม้านั่งหินอ่อนให้ความรู้สึกสงบเย็น ธีรเดชถูกดึงดูดไปที่นั้น เขานั่งลง และสูดหายใจลึกเพื่อคลายความร้อนยามเที่ยงที่ยังตกค้างอยู่ในปอด เขามองออกไปตรงนั้น ตรงภาพที่สวยงามที่สุดในชีวิต ผู้หญิงสาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อย กำลังเดินช้า ๆ เท้าเปลือยเปล่าค่อย ๆ เหยียบย่างลงบนพื้นอิฐตัวหนอน สายตาของเธอหลุบต่ำมองพื้น ราวกับว่าทุกย่างก้าวของเธอคือจังหวะที่สำคัญที่สุดในชีวิต ธีรเดชถูกดึงดูดด้วยข้อเท้างามระหง เนื้อกลมกลึง สัมผัสของแสงที่ไล้ผิวเท้าเปลือยก็ดูนุ่มนวลตัดกับความหยาบกระด้างไร้ชีวิตของพื้นอิฐ
เท้าเปลือยของแพรอาภรณ์กำลังซ้อนทับลงไปกับปลายเท้าเนียนขาวของชิตตพัณ ธีรเดชพบว่ามันมีวิญญาณเดียวกับ คือความีชีวิตชีวา ความสวยงาม ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สุนทรียธาตุอันเกือบจะถอดมาจากพิมพ์เดียวกันทำให้ธีรเดชลูบไล้และบีบรัดเท้าของชิตตพัณอย่างหลงใหล สัมผัสนวดตอดเบา ๆ ทำให้ชิตตพัณเคลิบเคลิ้ม เขาสูดหายใจลึกและหลับตาต่อไปรับการดูแลจากเพื่อน
ในกางเกงบอลของธีรเดช การหลับใหลกำลังเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะตื่นตัว จะไม่ให้เขาตื่นตัวได้อย่างไรก็ในเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด คือลูบไล้เท้าสวย ๆ สักครั้ง อารมณ์ทางเพศของเขาไปไกลเกินกว่าที่จะหยุดยั้งตนเอง ธีรเดชรั้งดึงเท้าของชิตตพัณเข้ามาแนบชิดกับท้องน้อยของตน ให้ส้นเท้าของอีกฝ่ายวางอย่างเหมาะเจาะบนส่วนปลายของสิ่งที่กำลังชูชันอยู่
ชิตตพัณยังไม่ได้หลับไป เขาคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เท้าเขาไปโดนกับอวัยวะเพศของธีรเดช และเป็นเรื่องบังเอิญที่สิ่งนั้นกำลังแข็งตัวอยู่ เขารู้สึกอายซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เข้าใจได้ และพยายามขยับเท้าถอยออกมาหน่อย แต่ธีรเดชดึงเท้าของเขาไว้ให้กดแนบกับท่อนลำของตนเต็ม ๆ และจับเท้าของเขาขยับเหยียบถูไถให้หนังหุ้มเสียดสีกับเนื้อแข็งภายใน
ชิตตพัณลืมตาขึ้นมองเพื่อน และพบว่าธีรเดชก็กำลังมองเขาอยุ่ด้วยดวงตาขุ่นมัวเลื่อนลอย เขาตกใจเกินกว่าที่จะทำอะไร หัวใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อตระหนักว่ากำลังถูกล่วงละเมิดทางเพศในเบาะหลังรถแท็กซี่ท่ามกลางถนนที่การจราจรติดคับคั่ง
บุคลิกที่สองของหนุ่มน้อยรู้สึกตื่นเต้น เขาสงสัยว่าคนขับจะกำลังเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านกระจกหลังหรือเปล่า หรือรถคันข้าง ๆ ซึ่งอาจจะเห็นพฤติการณ์นี้อย่างไม่ตั้งใจ มันทำให้ชิตตพัณตอบสนองเพื่อน เท้าของเขาขยับเองโดยที่ธีรเดชไม่ต้องบังคับ ชิตตพัณใช้ปลายนิ้วเกี่ยวขอบกางเกงบอลของอีกฝ่ายลงไปเผยให้เห็นท่อนเนื้อที่ผงาดชูหัวบาน ๆ อยู่แล้ว อวัยวะเพศแข็งจัดร้อนฉ่าและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ยอดเยี่ยมกว่าเครื่องนวดเท้าเครื่องไหน ๆ ทำงานของมันอย่างสุดความสามารถโดยการเกร็งตัวผงกหงึก ๆ เป็นระยะ และปลดปล่อยโลชั่นหล่อลื่นออกมาเยิ้มตรงซอกนิ้วเท้าของชิตตพัณ
ไม่นานความต้านทางของธีรเดชก็ถึงจุดสิ้นสุด กล้ามเนื้อทุกมัดของเขาเกร็งระริก อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นสูงวูบหนึ่ง ก่อนที่มัดกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาจะบีบตัดกดดันขับเคลื่อนความสุขสมทางเพศอย่างเป็นรูปธรรมออกจากท่อปัสสาวะและพวยพุ่งทิ้งความขุ่นคลั่กอุ่นร้อนลงบนหลังเท้าและง่ามนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเท้าของชิตตพัณซึ่งคีบขอบเงี่ยงของธีรเดชอยู่
ชิตตพัณรู้สึกตกใจ จะตอแหลไปไหมถ้าจะบอกว่าเขาไม่ได้จินตนาการว่ามันจะไปไกลถึงขั้นนี้ ในความรู้สึกกึ่งสับสนกึ่งวิตก ธีรเดชรีบเยียวยามันอย่างรวดเร็วโดยใช้ชายเสื้อบอลของตนเองเช็ดเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากหลังเท้าของชิตตพัณ เขาประจงเช็ดอย่างละเอียดละออ และเก็บอวัยวะเพศของตนซึ่งถึงแม้จะปลดปล่อยความตึงเครียดไปแล้วแต่ก็ยังชูชันเอาไว้ภายในกางเกง ชิตตพัณชักเท้าออกเมื่อสิ้นสุดการทำความสะอาด เขามองหน้าธีรเดชซึ่งมองเขาอย่างกังวลและเสียใจ ธีรเดชเบือนสายตาหนีและเปลี่ยนมุมนั่งเป็นนั่งหันไปทางเบาะหน้า ชิตตพัณหยิบถุงเท้าของเขามาใส่และสอดเท้ากลับเข้าไปในรองเท้า ทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันอีกไปจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล
มีคนเคยบอกว่าหัวแม่โป้งเท้าของผมเหมือนกับอวัยวะเพศ แต่ผมแน่ใจว่าธีรเดชไม่ได้คิดถึงเท้าของแพรอาภรณ์และชิตตพัณในฐานะตัวแทนอวัยวะเพศชายหรือหญิง การปลดปล่อยของเขาเป็นเรื่องที่สูงส่งและบริสุทธิ์ การเข้าใจความงามของเรือนร่างมนุษย์แม้เพียงส่วนเดียวเพื่อจะบรรลุจุดสุดยอดคือสิ่งที่มหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ ธีรเดชไม่ได้ต้องการหนังสือปลุกใจหรือว่าหนังโป๊อันเสื่อมทราม เขาต้องการเพียงแค่ได้เฝ้ามองส้นเท้าเปลือยของมนุษย์ซึ่งกำลังเยื้องย่างอยู่เท่านั้น
ว่าแต่เคยมีใครบอกคุณบ้างไหม...ว่าผมคือจอมตอแหลสร้างภาพอย่างระยำ
ธีรเดชนั่งเก้าอี้เยื้องไปข้างหลังด้านซ้ายของชิตตพัณซึ่งกำลังรอถูกเรียกเข้าไปตรวจรักษาอยู่ ภายหลังจากที่เขาปลดปล่อยอย่างสุดขีด ธีรเดชก็เกิดกลุ้มใจขึ้นมา ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะรู้สึกผิด สิ่งแรกที่เขาคิดคือกลัวว่าชิตตพัณจะเอาเรื่องของเขาที่สังคมอันแสนจะวิปริตว่าเป็นเรื่องวิปริตเสื่อมทรามไปกล่าวแก่เพื่อน ๆ เขา..ในฐานะที่รักใคร่ของเพื่อน ๆ และอาจารย์ กัปตันทีมฟุตบอลของคณะผู้ห้าวหาญเปิดเผย ในตัวตนทั้งหมดที่เขาเป็น อาจจะพังทลายด้วยความลับดำมืดอันนี้ ขอพระเจ้าจงอวยพรให้แก่ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ธีรเดชจึงไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียวต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
จู่ ๆ ชิตตพัณก็หันกลับไป และพบว่าธีรเดชกำลังมองต้นคอของเขาอยู่ด้วยสายตาประหลาด คนที่คิดว่าตนเองทำผิดหลบสายตา ชิตตพัณเรียกชื่อเขา
“เดช”
ธีรเดชถูกบังคับให้ต้องจ้องตาอีกฝ่าย เขาพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะฝืนยิ้มออกมา เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมโจรข่มขืนถึงมักเลือกที่จะฆ่าเหยื่อภายหลังจากเสร็จกิจ ชิตตพัณคือความอับอายของเขาที่สะท้อนเขากลับมา ถ้าคุณอ่านเรื่อง ‘กระจกเงา’ ของซาร์ตร์ คุณจะเข้าใจความรู้สึกนี้ของธีรเดชดียิ่งขึ้น มนุษย์มักจะพยายามกลบฝังตัวตนด้านมืดและดิบเถื่อนของตนให้พ้นจากสายตาของตนเอง และมันมักจะลงเอยด้วยการทำลายมนุษย์อีกคน
กระจกเงา; No Exit, ชื่อนิยาย. ประโยคเด็ด 'นรกคือผู้อื่น' เขียนโดย ฌอง ปอล ซาร์ตร์, อันที่จริงผมไม่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้ และผมเขียนไปมั่ว ๆ อย่างงั้นแหละ
ธีรเดชเพียงแต่ทำเสียงอยู่ในคอที่บอกให้รู้ว่าเขาทราบว่าถูกเรียก
“เมื่อกี้..” ชิตตพัณเริ่ม
“อย่าบอกใคร ได้โปรดชิต” ธีรเดชพูดอย่างร้อนรน
ชิตตพัณตระตุกมุมปากน้อย ๆ เขาไม่ได้อยากจะยิ้ม เพียงแต่เขารำคาญความเป็นมนุษย์
“..นายแสดงได้ดีมาก” ชิตตพัณต่อประโยคอย่างที่ธีรเดชเดาไม่ออก หัวของธีรเดชตื้อเกินกว่าจะตีความ เขาได้แต่รับสารอย่างตรงไปตรงมา และเข้าใจว่า ‘การแสดง’ ก็หมายถึง ‘การแสดง’ และนั่นทำให้เขางวยงง
“บนรถน่ะ..” ชิตตพัณเสริม “..มันน่าสนใจ มีพลัง” เขาเว้นจังหวะเหมือนกับตัวละครนำในนิยายอมตะ “..จะมีคนอยากดู”
ธีรเดชได้แต่งุนงง เขาตามบทละครอันลื่นไหลของชิตตพัณไม่ทัน แต่รู้สึกประทับใจในท่าทีเหล่านั้น มันตอบได้ว่าบางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรก่อนที่จะหลงรัก จูเลียตเองก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่าใครอยู่หลังหน้ากาก ก่อนที่หล่อนจะตัดสินใจปล่อยให้เขาเอาลิ้นอุ่น ๆ สอดเข้ามาในปาก และตามด้วยการสอดใส่อย่างอื่นเท่าที่ความเคร่งขรึมของสังคมที่เชคสเปียร์เผยแพร่ผลงานของเขาจะอนุญาต
“เดชช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมล่ะ” ชิตตพัณกล่าวบทของเขาไปอย่างลื่นไหล ระยะที่เขาเว้นหลังจากนี้เป็นไปอย่างพอดี ทิ้งให้ฉงนสงสัย แต่ไม่นานเกินไปจนบีบให้คู่สนทนาอึดอัด
“อยากให้นายแสดงอย่างนี้อีกครั้ง” เขาบอก และด้วยคำทิ้งท้ายที่เหมือนจุดประทัดยัดเข้าไปในหูของธีรเดช “ที่ห้องของผม...”