[Novel] Sorry Friend ใกล้เกินไป...หัวใจสปาร์ครัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Novel] Sorry Friend ใกล้เกินไป...หัวใจสปาร์ครัก  (อ่าน 204702 ครั้ง)

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
สวัสดีเน้อ.......... บรรดานักอ่านตัวยง

ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนเลย เราชื่อ Sunny ฝากนามปากกา Haein Park ไว้ด้วยน้างับ ตอนนี้เรียนอยู่ที่ม.บูรพาปีสาม เอกภาษาเกาหลี

วันนี้เอานิยายเรื่องแรกมาฝากกัน ใครที่ชื่นชอบนิยายรักแนว กุ๊กกิ๊ก เศร้า ตลก บอกได้คำเดียวว่ามีทุกรส


สุดท้ายนี้ ฝากผลงาน เรื่อง Sorry Friend ใกล้เกินไป...หัวใจสปาร์ครัก ด้วยงับ ยังไงก็ช่วยให้กำลังใจหรือติชมนักเขียนหน้าใหม่คนนี้ด้วยน้า.... :call:


ก่อนอ่านก่อนอื่นเลย...ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.


                                   ....................................................................

                                                 :กอด1:ตัวละครหลัก [Main Character] :กอด1:

     จาง กึน ซอก รับบทเป็นไปป์ เด็กหนุ่มวัยรุ่น รักในศักดิ์ศรี รักพวกพ้อง และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ดูภายนอกจะเป็นคนแข็งๆ แต่ความจริงแล้วเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน รักใครรักจริง

  พิช วิชญ์วิสิฐ รับบทเป็น ปอนด์ หนุ่มน้อยหน้าใส จิตใจดี เป็นคนทีไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เซ่อซ่า ป้ำๆเป๋อ และซุ่มซ่ามเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นคนยอมคน ขี้สงสาร และใจอ่อน

  แบร์รี่ ณเดช รับบทเป็น ปีเตอร์ เด็กหนุ่มเจ้าเสน่ห์ เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับความรักเต็มที่ โแมนติก และเป็นสุภาพบุรุษ

  สน ยุกต์ ส่งไพศาล รับบทเป็น ปาล์ม นักกีฬาว่ายน้ำโรงเรียน เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ชอบเอาชนะ และมีความลึกลับอยู่ในตัวเองมาก

จองเบ เคโอทิค รับบทเป็น ท้อป เด็กหนุ่มอัจฉริยะ เรียนเก่ง เรียบร้อย ขี้อาย และมั่นคงในความรัก
...................................
ตอนนี้ไม่ต้องใส่หัวเรื่องแล้วนะ ว่านิยายหรือเรื่องเล่า นอกจากเรื่องสั้น ถึงจะใส่จ้า
*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2010 21:20:17 โดย THIP »

ออฟไลน์ ChiiCaLorz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 :mc4: เย้ว นิยายใหม่
มาบ่อยๆน่ะคร้าฟ รออ่านอยู่
รา่ยงานตัวคับป๋ม  :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2009 22:00:32 โดย ChiiCaLorz »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

เข้ามาทักทายนิยายใหม่จ้า  :mc4:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เอากฏมาแปะด้วยนะ แล้วอีกทู้นึงลบออกไปแล้ว ยังงัยก็ลงนิยายในทุ้นี้แล้วกันจ้า

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
   สวัสดีตอนเที่ยงๆๆ หลังจากลองโพสต์ผิดโพสท์ถูกมาหลายครั้งก็เริ่มเข้าใจวิธีมากขึ้น วันนี้ก็อย่างที่บอกจะลงนิยายเรื่องแรกของเราให้ลองอ่านดู ชอบไม่ชอบก็ติชมได้เลย จะเป็นพระคุณอย่างสูงสุด

    คำว่า "เพื่อน" นั้นสำคัญไฉน มีหลายคนบอกเอาไว้ว่าเป็นเพื่อนกันแล้วไม่สามารถเปลี่ยนไปมากเกินกว่านี้ได้ นิยายเรื่องนี้จะเป็นเหมือนสื่อกลางที่ทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจคำว่า "เพื่อนรัก ที่เกิดขึ้นพร้อมกับคำว่า "รักเพื่อน" ความจริงอันปวดร้าวที่ทำให้หลายหัวใจต้องเจ็บปวด แต่หลายคนก็ยอมเจ็บปวดด้วยคำถามที่เปี่ยมไปด้วยความหวังที่ว่า "ทำไมเราจะรักกันไม่ได้" พิสูจน์นิยามรักนี้ได้ใน "Sorry Friend ใกล้เกินไป...หัวใจสปาร์ครัก"
:n1:
                                                                                                                      
                                                                 ......................................................                                                    
                                                              
                                                          Sorry Friend   ใกล้เกินไป หัวใจสปาร์ครัก
      
             “เส้นบางๆของคำว่าเพื่อนกับแฟนนั้นบางเบาเสียจนไม่รู้ว่าเป็นเส้นเดียวกันหรือไม่ เส้นสองเส้นนี้สำหรับผมแล้วมันใกล้กันมากจนขนานทาบทับกันได้ในบางเวลา ความเป็นเพื่อนนั้นก่อตัวอย่างเปิดเผย แต่เส้นบางๆที่เรียกว่าแฟน ก่อตัวขึ้นอย่างลับๆ และพยายามกลบเส้นเพื่อนไปทีละน้อย จนในที่สุดเส้นเพื่อนก็ยอมแพ้ และอ่อนกำลังลง ทำให้เส้นแฟนนั้นค่อยๆทำงานอย่างช้าๆ กว่าเราจะรู้ตัวอีกที เราก็ไม่รู้ไปเสียแล้วว่า คำว่าเพื่อนนั้นสะกดยังไง”


 ตอนที่ 1 ความห่างไกล    
      
      ผมกับไปป์เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว ตั้งแต่จำความได้เพื่อนคนแรกของผมก็คือนายไปป์คนนี้นี่แหละ เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เพราะเราเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน ทั้งๆที่ทุกปีจะมีการเปลี่ยนห้องไปเรื่อย แต่ผมกับไปป์กลับได้อยู่ห้องเดียวกันตลอด ตอนเด็กผมไม่ค่อยชอบเล่นกับเพื่อนผู้ชายเท่าไหร่ เพราะเด็กผู้ชายชอบเล่นกันแรงๆ จนผมเจ็บตัวทุกครั้ง ผมมักจะแอบไปเล่นกับเพื่อนผู้หญิง ซึ่งเมื่อเพื่อนชายของผมมาเห็นก็มักจะมาแซว และแกล้งผมแรงๆ ในขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย พระเอกที่ชื่อไปป์ ก็มักจะขี่ม้าขาวมาช่วยผมเสมอ ด้วยเหตุนี่ผมจึงรู้สึกอุ่นใจที่มีไปป์เป็นเพื่อน เราโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกัน ห้องเดียวกัน และก็เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ต้องคอยบอกคอยปรึกษากันอยู่เสมอ
       
         จนกระทั่ง...................

       วันหนึ่งในฤดูร้อนตอนปิดเทอม ผมยังจำได้ดีถึงข่าวร้าย ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของไปป์กับผมต้องสั่นคลอน ตอนนั้นเราเพิ่งจบ ม. 3 เราก็เลยไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดด้วยกัน ไปป์เป็นคนหัวดี เรียนเก่ง แต่ติดเกเรไปหน่อย ผมจึงต้องเป็นคนคอยช่วยผลักช่วยดันไม่ให้ไปป์ออกนอกลู่นอกทาง เราต่างคาดหวังกับโรงเรียนนี้มาก ติวหนังสือด้วยกันทุกวันแต่ในที่สุด......................

      
  “เฮ้ย! ปอนด์ กูสอบโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ติดว่ะ”  ไปป์บ่นด้วยความผิดหวัง พาลทำให้ใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
       
 “ไปป์ มึงพูดจริงเหรอวะ เก่งอย่างมึงเนี่ยนะสอบไม่ติด” ผมถามกลับด้วยความหวังในใจว่าเขาอาจจะล้อเล่นตามนิสัยคนชอบอำ
  
 “เออ! กูพูดจริงๆ แล้วมึงล่ะสอบติดเปล่าวะ” ไปป์ถาม ด้วยความที่ผมยังไม่ได้เช็คข้อมูล ผมจึงภาวนาในใจให้สอบตกไว้ล่วงหน้า
      
 “กูยังไม่ได้ดูเลยเลย เดี๋ยวกูขอเช็คก่อนนะ” ผมตอบ พร้อมเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูล ผมกับไปป์นั่งลุ้นกันอยู่สองคนด้วยใจระทึก ผมค่อยๆใส่รหัสผ่านทีละตัว ภายในใจก็ภาวนาหนักขึ้น ไม่ให้มีชื่อผมอยู่ในรายชื่อผู้สอบติด
   
     ^
    ^
    ^
 
 “ปอนด์ มึงสอบติดนี่หว่า ดีใจด้วยนะ” หน้าจอของคอมพิวเตอร์แสดงรายชื่อชัดเจนว่ามีชื่อของผมอยู่ ไปป์ทำท่าดีใจไปกับผม แต่ในแววตาฉายแววเศร้าอย่างสังเกตได้
      
  “ไปป์ แล้วมึงจะเอายังไงต่อไป มึงจะเรียนที่ไหนวะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
       
 “ก็คงอยู่โรงเรียนเดิมแหละ กูไม่อยากเรื่องมาก” ไปป์ตอบเสียงเบา ใบหน้าผิดหวัง
      
  “เอาอย่างนี้มั้ย กูสละสิทธ์โรงเรียนนี้ แล้วกลับไปเรียนโรงเรียนเราเหมือนเดิม เป็นเพื่อนมึง ดีมั้ย” ผมถามหน้าจริงจัง เหมือนผมจะล้อเล่นถ้าจะสละสิทธิ์โรงเรียนดีๆ และสอบเข้ายากขนาดนี้ไป แต่ผมคิดจริงทำจริง
       
 “ไม่ได้นะ มึงอุตส่าห์พยายามจนสอบได้โรงเรียนนี้ แล้วจะมาสละสิทธิ์ด้วยเหตุผลง่ายๆแบบนี้ไม่ได้” ไปป์ต่อว่าผม คงโมโหมากที่ผมคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง
     
  “แต่........กู  กูเป็นห่วงมึงนะเว่ย” ผมตอบเสียงอ่อน
       
 “ไม่ต้องห่วงกูหรอก กูไม่เป็นไร โรงเรียนก็โรงเรียนเดิม เรียนมาตั้งแต่อนุบาล 12 ปีแล้วนะเว่ย ยังไงก็สบายมาก แต่มึงสิน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า โรงเรียนใหม่ สังคมใหม่ เพื่อนใหม่  .....” ไปป์พูดเพื่อให้ผมสบายใจ แต่ผมก็รู้ว่าไปป์พูดปลอบใจตัวเองด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆวางมือที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงลงบนบ่าของไปป์
       
 “ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่มึงกับกูก็ยังเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ อย่าลืมสิว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน” ผมพูดให้กำลังใจผู้ชายตรงหน้าที่ตอนนี้มีความทุกข์อยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้แสดงออกถึงความเสียใจ แต่ด้วยความที่คบกันมานาน ทำให้ผมค่อนข้างที่จะรู้ใจเขามากพอสมควร ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆ เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกเตรียมพร้อม กับการออกไปเจอกับสังคมใหม่ที่ผมกำลังจะได้พบเจออีกในไม่ช้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 20:53:33 โดย haeinpark »

Chinnawut

  • บุคคลทั่วไป
ตกใจหมดเลย


กระทู้หายครับ


หาตั้งนาน
 :a5:




haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
เรามาต่อตอนที่สองกันเลยดีกว่า
ความเดิม เมื่อเพื่อนที่สนิทกันมากอย่างไปป์กับปอนด์ โดนความห่างไกลเล่นงาน ทั้งคู่จะยังรักษาความสัมพันธ์ต่อกันและกันไว้ได้อย่างไร ติดตาม ตอนที่ 2

    ...

 ตอนที่ 2 เปิดเทอมใหม่ หัวใจว้าวุ่น
       
            วันนี้เป็นวันแรกที่โรงเรียนแห่งใหม่ของผมเปิดเทอม โรงเรียนของผมเปิดเรียนก่อนโรงเรียนของไปป์เสียอีก ผมมองไปรอบ ๆ โรงเรียนอย่างพิจารณา โรงเรียนนี้ใหญ่โต มีตึกเรียนที่สูงมากที่สุดถึงสิบชั้น รอบๆโรงเรียนร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลากหลายพันธุ์ โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดแห่งนี้มีนักเรียนจากหลายอำเภอ และจากต่างจังหวัดมาเล่าเรียน จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่ผมเดินสำรวจมานานแต่ก็ไม่ยักเจอกับคนรู้จัก
       
            กริ่งดังขึ้นบอกเป็นสัญญาณให้ไปเข้าแถวหน้าเสาธง ผมกวาดสายตามองหาแถวที่เป็นห้องของผมคิดดูแล้วการที่ผมได้เข้ามาเรียนที่นี่เหมือนเป็นเรื่องที่เกินคาดสำหรับผมมาก ผมเป็นเด็กที่เรียนไม่ค่อยดีแต่กลับสอบติดห้องคิงที่โรงเรียนนี้ พอผมเดินมาถึงแทบไม่ต้องถามใครเลยว่าห้องผมอยู่ไหน เพราะพิจารณาดูจากแถวที่โดดเด่นจากแถวอื่น และผมจำเพื่อนบางคนที่มามอบตัวด้วยกันได้ ผมจึงเดินไปเข้าแถวโดยมาลังเล ห้องของผมมีนักเรียน 35 คน ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 30 คน ก็แปลกใจเหมือนกันที่ทำไมทรัพยากรผู้หญิงมีมากขนาดนี้ ผมยืนอยู่ข้างหลังเพื่อนผู้หญิงสองคนที่กำลังเม้าท์อย่างเมามัน พวกเธอคงจะรู้ว่าผมแอบฟังและแอบหัวเราะไปกับเรื่องที่พวกเธอพูดกัน ผู้หญิงผมยาวข้างหน้าหันมายิ้มให้ผม เผยให้เห็นฟันขาวแต่เรียงตัวไม่สวยค่อนข้างยืนออกมาเกินปาก หรือที่คนเค้าเรียกว่าฟันเหยินนั่นเอง
      
  “หวัดดี เราชื่อแนนนะ แล้วนี่เพื่อนสนิทของเราชื่อ น่องโป่ง เอ๊ย! ชื่อฝน” เธอคนนี้แนะนำตัวเองพร้อมเม้าท์ฉายาเพื่อนตัวเสียเสร็จสรรพ ผมมองไปที่น่องของผู้หญิงอีกคน พร้อมกับหลุดหัวเราะ น่องของเธอที่โป่งออกมาเป็นกล้ามทำให้ผมกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
      
 “นี่แน่ะ! ยัยแก้วหน้าม้าเม้าท์เพื่อนอ่ะ อย่าไปใส่ใจเลยนะเธอ…..”
     
 “ปอนด์ครับ” ผมตอบ
        
“มาครับมาเคริ๊บอะไรกัน ไม่ต้องสุภาพกับเราหรอกอยู่ห้องเดียวกัน พอสนิทกันก็เรียกมึงกูแล้ว” แนนบอกอย่างอารมณ์ดี
        
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ แนน ฝน” ผมรู้สึกดีใจที่มาวันแรกก็มีเพื่อนสติแตกอย่างนี้ ผม แนน และ ฝนเดินคุยกันมาอย่างถูกคอ ซักประวัติกันไปมาก็รู้ว่าทั้งสองคนย้ายมาจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ พวกเธอชวนผมไปเที่ยวที่นั่นที่นี่จนผมชักเริ่มนึกสนุกไปกับพวกเธอ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปกรุงเทพฯมาก่อนทั้งที่ก็อยู่ไม่ไกลมากนัก
     
              เมื่อมาถึงห้องเรียน เป็นความโชคดีของเราที่โต๊ะเรียนจัดเป็นแถวละสามตัว เราทั้งสามก็เลยได้นั่งด้วยกันไม่ต้องแยก ซึ่งผมนั่งริมสุดเพื่อความสะดวกเวลาออกไปไหนมาไหน บรรยากาศภายในห้องดูครึกครื้นเนื่องจากทั้งสองนางเดินเม้าท์กับเพื่อนไปทั่ว เพียงแค่วันเดียวพวกเธอก็รู้จักกับเพื่อนทุกคนในห้องอย่างรวดเร็ว
        
“ผู้ชายห้องเราแม่งโคตรหล่อเลยว่ามั๊ย มีแค่ห้าคนแต่เป็น.....หนึ่งคน เหลือสี่หนุ่มหล่อเด็ดทุกคน ถ้าได้ใครชั้นโอหมดอ่ะ” แนนเริ่มเปิดประเด็นพร้อมทั้งกำหนดเพศให้ผมเสร็จสรรพ
  
  “นายกันย์คนนั้นอ่า เป็นลูกผู้ว่าฯ รวยโคตร ๆ มีลักยิ้มด้วยน่ารักจัง” ยัยฝนเริ่มพูดถึงผู้ชายในห้องขึ้นมาบ้าง
       
 “ดูคนนั้นสิ ที่นั่งหน้าห้องอ่ะ เป็นเด็กเรียนใส่แว่น ชื่อนายท้อป เรียนเก่งเว่อร์ สอบติดคะแนนเป็นที่หนึ่งของสายชั้นเลยนะเว้ย” ยัยแนนเล่าต่อ
      
  “แต่ฉันว่าคนที่ผมตั้ง ๆ แลเกเร ๆ คนนั้นน่ารักกว่าว่ะ นายปาล์มเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ หุ่นดีโคตรขาวเว่อร์” ยัยฝนเล่าอีก ผมทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็แอบเก็บข้อมูลสุดฤทธิ์
      
 “แต่ไม่มีใครสู้ปีเตอร์ของฉันได้หรอกย่ะ ลูกครึ่งไทย-แคนาดา ใส่เหล็กดัดฟันด้วยอ่ะ ยิ้มทีโอ๊ย! ใจจะละลาย ดูดิ ๆ เค้ายิ้มให้ชั้นด้วยอ่ะ” ยัยแนนพูดพร้อมพร่ำเพ้อ ป่านนี้คงไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปแล้ว
      
  “เฮ้ย! ปอนด์แกจองคนไหนวะ ตอนนี้เหลือสองช้อยส์แล้วนะ เร็ว ก่อนชั้นกะยัยฝนจะขอคนละสองแล้วแกอด” ยัยแนนเริ่มเพ้อเจ้อ
      
  “ไม่อ่ะ....เรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ผมตอบ ทำให้ยัยสองคนกรี๊ดลั่นพร้อมแซวผมอย่างพร้อมเพรียง
       
 “แหม! มีแฟนแล้วก็ไม่บอก”
        
             ในขณะที่พวกเรากำลังคุยกัน คุณครูประจำชั้นหรือเรียกให้ทันสมัยก็คือครูที่ปรึกษาเดินเข้ามาในห้องพอดี
      
  “สวัสดีค่ะ นักเรียนทุกคน ครูชื่อพิจิตราภรณ์ หรือครู น้ำชานะคะ ครูจะมาเป็นครูที่ปรึกษาตลอดระยะเวลาสามปีให้กับพวกเรา ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าห้องของเราเป็นห้องวิทย์-คณิตห้องแรก และเป็นห้องคิงส์ของโรงเรียน ดังนั้นนักเรียนต้องตั้งใจเรียนให้มากไม่ให้เสียชื่อของห้องเรานะคะ เอาละค่ะ ครูอยากรู้จักนักเรียนทุกคนแล้วล่ะ เริ่มจากเธอก่อนเลย” คุณครูน้ำชาชี้ไปที่นักเรียนคนแรก นั่นก้อคือนายท้อปนั่นเอง
       
 “สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน ผมชื่อนายณัฐพล ชื่อเล่นท้อปครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ” นายท้อปกล่าวเสร็จก็ถอนหายใจเป็นการใหญ่ สื่อให้รู้ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อาย
        
“นายท้อปเนี่ยเป็นคนที่สอบได้คะแนนสูงสุดของสายชั้นเรา ขอให้เพื่อนๆทุกคนปรบมือให้หน่อยค่ะ” คุณครูน้ำชาว่า ทุกคนต่างทำเสียงฮือฮา พร้อมปรบมือให้อย่างดัง คุณครูน้ำชาไล่ถามชื่อนักเรียนจนครบห้อง แล้วทิ้งท้ายไว้ว่า จะมีการเลือกหัวหน้าห้องในวันพรุ่งนี้ เพื่อนๆก็ต่างเสนอชื่อท้อปกันเป็นแถว เพราะดูจากท่าทางที่สุขุมน่าจะทำงานได้ดี คนที่สองเพื่อนก็เสนอว่าให้เป็นนายปาล์มที่ดูท่าทาวมั่นใจ และคงอยากเป็นหัวหน้าเต็มแก่ หน้าหมั่นไส้ที่สุด คนที่สามเพื่อนก็เสนอชื่อผม ที่ดูเป็นผู้ชายเรียบร้อย น่าจะเป็นผู้นำและทำงานออกมาเรียบร้อยได้
        
 “นายชื่ออะไรนะ ปอนด์รึป่าวเราฟังไม่ชัด นายเคยเรียนที่โรงเรียนรัตนวิทยาใช่มั้ย” ท้อปถามผมหลังจากที่คุณครูน้ำชาเดินออกไปแล้ว
       
 “อืม เราเรียนที่นั่นตั้งแต่อยู่อนุบาล ถามทำไมเหรอ” ผมตอบและถามกลับด้วยความสงสัย
       
 “นายจำเราได้มั้ย เราท้อปไงที่เข้าเรียนตอนป.1 ปีเดียวก็ออก เราจำนายได้” ท้อปว่า
       
 “อ๋อ! เราจำได้แล้ว นายท้อปแว่นหนาที่ชอบโดนแกล้งใช่มั้ย ถึงว่าหน้าตาคุ้น ๆ” ผมตอบพร้อมกับเพ่งมองท้อปด้วยความจำได้
      
  “โลกกลมจริง ๆ เลย เรายังจำได้ตอนนั้นนายก็โดนแกล้งไปพร้อมกับเรา แต่ก็มีเพื่อนของนายที่ชื่อไปป์มาช่วยพวกเราตลอดตอนนี้นายไปป์ไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ ยังติดต่อกันอยู่รึป่าว” ท้อปเริ่มซักท่าทางน่าสงสัย
        
“เค้าก็เรียนที่เดิมแหละ พอดีว่าเราสอบติดที่นี่ก็เลยมาเรียนที่นี่”  ผมตอบ
        
“ว่างๆก็ชวนไปป์มาเที่ยวที่โรงเรียนเราบ้างก็ได้นะ เราอยากจะขอบคุณเค้าที่เค้าคอยช่วยเรา ถ้าไม่มีเค้าเราแย่แน่ ๆ” ท้อปพูดไปก็แสดงอาการบิดไปบิดมาเหมือนคนกำลังเขิน ผมไม่อยากจะคิดอกุศล แต่สัญชาตญาณมันบอกว่าท้อปผิดปกติ ห้องเราจะเหลือผู้ชายสามคนก็ตอนนี้แหละ
      
  “ได้ เดี๋ยวเราบอกให้” ผมพูดพร้อมขอตัวออกไปกินข้าวเพราะเป็นเวลาเที่ยงแล้ว
        
“แนน ฝน ไม่รอเลยนะ” ผมวิ่งตามไปนั่งหอบแฮก ๆ
        
“ก็แกมัวแต่ยืนจีบกับนายท้อปอยู่ ก็เลยไม่อยากขัด แหม มาวันแรกก็เอาเลยนะ ชั้นสงสารแฟนแกว่ะ โดนสวมเขาตั้งแต่วันแรก 555” ยัยฝนพูดกระแนะกระแหนทันที
“บ้าเหรอ ชั้นยังไม่มีแฟนซักหน่อย แค่บอกว่าแอบชอบเฉย ๆ แล้วนายท้อปนั่นชั้นก็ไม่ได้คิดอะไรด้วย ชั้นว่านายท้อปต้องเป็นเหมือนชั้นแหละ” ผมว่าเล่นเอาสองคนนั้นตาถลึง
   
“จริงเหรอวะ” ทั้งสองคนพูดแทบจะพร้อมกัน
   
“เออน่า เชื่อชั้นเถอะ ชั้นดูไม่ผิดหรอก” ผมตอบ
   
“เดี๋ยวไปซื้อข้าวก่อนนะ หิวม๊ากมาก”
   
             โรงอาหารโรงเรียนนี้ค่อนข้างกว้างมีของกินให้เลือกกินมากมาย ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารตามสั่ง หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยวก็มีให้เลือก ขณะที่ผมกำลังมองหาของอยู่นั้น ด้วยความซุ่มซ่ามทำให้เดินไปชนกับใครบางคนจนน้ำก๋วยเตี๋ยวหกเลอะเต็มเสื้อของผมไปหมด
   
“เฮ้ย ! ขอโทษ อ้าวปอนด์ เราขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ” ผู้ชายคนนี้สำเนียงออกแปร่ง ๆ เพราะเนื่องจากเป็นลูกครึ่งก็เลยพูดไม่ชัดเท่าไร คนนั้นก็คือ นายปีเตอร์นั่นเอง เมื่ออยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้ว ผมลอบมองหน้าของปีเตอร์อย่างพิจารณา หน้าตาของปีเตอร์ใสมากจนมีเลือดฝาด เหล็กดัดฟันสีชมพูรับกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อได้เป็นอย่างดี
   
“ไม่เป็นไรหรอกปีเตอร์ เราเดินไม่ดูทางเอง” ผมว่าพร้อมกับเอามือปัดเศษผักออกจากเสื้อ
   
“น้ำก๋วยเตี๋ยวลวกมั้ยปอนด์ นี่ผ้าเช็ดหน้าเราเอาไปเช็ดนะ” ปีเตอร์ยื่นผ้าเช็ดหน้าลายมิกกี้เม้าส์สีหวานมาให้ผม
   
“ขอบใจนะ แต่ว่าเสียดายผ้าเช็ดหน้า เราว่าปีเตอร์เก็บไว้ใช้เถอะ เดี๋ยวเราเอาทิชชู่เช็ดออกก็ได้” ผมตอบด้วยความเกรงใจ
   
“คนอย่างเราถ้าให้ของไปแล้ว แล้วคนรับไม่รับไว้ เราจะเสียใจมากนะ รู้มั้ย” ปีเตอร์เริ่มปรับโทนเสียงพูดจนผมรู้สึกขนลุก
   
“รับเอาไว้เถอะถือว่าเป็นคำขอโทษจากเรา งั้นเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันในห้อง” ปีเตอร์ว่าพร้อมจับมือผมขึ้นมา แล้ววางผ้าเช็ดหน้าลงบนมือของผม และเดินจากไป ผมยืนขาแข็งทำอะไรไม่ถูก รู้สึกหน้าชา มือผมสั่นไปหมด ไม่เคยโดนใครจู่โจมอย่างนี้มาก่อน
   
“กริ๊ดดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องดังลั่นโรงอาหาร ผมได้สติคืนมาหันมามองต้นเสียงทันที ก็เห็นยัยแนนยืนจังก้าท้าวสะเอวท่าทางเอาเรื่อง
   
“นี่ปอนด์ แกคุยอะไรกับปีเตอร์ของชั้นยะ ชั้นเห็นนะ บาดตาบาดใจ นี่อะไร ผ้าเช็ดหน้า ต้องเป็นของปีเตอร์แน่เลย แกแย่งแท่งอ้อยชั้น ชั้นไม่ยอม” ยัยแนนกระทืบเท้าอย่างขัดใจ จนทำให้ใครหลายคนหันมามอง
   
“ก็เราเดินซุ่มซ่าม ไปชนปีเตอร์เข้า ก๋วยเตี๋ยวก็เลยหกใส่ เค้าก็เลยให้ผ้าเช็ดหน้ามาก็แค่นั้น ” ผมตอบพยายามทำหน้าให้เรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้
   
“กรี๊ดดดดดดดดดดด ของดีแบบเนี้ยจะเอาไปเช็ดคราบอาหารไม่ได้ เราขอนะปอนด์ นะ นะ” แนน
กระเซ้าขอผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน
   
“เอาไปดิ เพื่อนกันให้กันได้อยู่แล้ว” ผมให้แนนไปด้วยใจที่เสียดาย ผมพยายามควบคุมใจไม่ให้เตลิด พยายามไม่วอกแวก
   
“กูรักไปป์คนเดียวและจะไม่มีวันชอบใครเด็ดขาด” ผมท่องคำนี้ไว้ตลอดในใจ แต่บางครั้งคำว่าไปป์ของผมกลายเป็นสองพยางค์ซะได้ เฮ้อ! ใจผมมันเป็นอะไรไปเนี่ย
   
             ผมเดินใจลอยเข้ามาในห้องด้วยความซุ่มซ่ามทำให้ผมเดินสะดุดขาเก้าอี้หลังห้องจนล้มหน้าคะมำไป ขณะที่ผมกำลังจะยันกายลุกขึ้นก็มีมือหนึ่งยื่นมาให้ผม ผมหันไปมองหน้าเจ้าของมือนั้น แล้วก็ต้องหน้าแดงขึ้นอย่างไร้เหตุผล ปีเตอร์นั่นเอง
   
“ซุ่มซ่ามอีกแล้วนะปอนด์ มาลุกขึ้นเราช่วย” ปีเตอร์ยื่นมือให้ผม หน้าอมยิ้ม ผมค่อยๆยื่นมือไปจับมือของปีเตอร์อย่างช้า ๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นมา
   
“ขอบใจนะปีเตอร์” ผมว่าพร้อมทั้งรีบเดินไปก่อนที่ความอายจะแสดงออกไปมากกว่านี้ ยังไม่ทันเดินถึงที่นั่ง ผมก็สังเกตเห็นยัยแนนเอาเท้ามาวางพาดที่เก้าอี้ของผมเสียแล้ว พร้อมหันหน้ามาแยกเขี้ยวที่เหยินคับปากของเธอ ขู่ฟ่อ ๆ เหมือนแมวเจอหมายังไงยังงั้น
   
“ปอนด์ อีกแล้วนะ” แนนกัดฟันกรอด ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
   
“เอ่อ…….” ผมพูดไม่ออก ทำหน้าจ๋อย แต่ก็เป็นความโชคดีที่อาจารย์เข้ามาสอนพอดี ก็เลยทำให้สงครามเล็กๆจบลง
   
                  ขณะที่นั่งเรียนอยู่ ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรไม่รู้ปากระทบหลังผม พอหันกลับไปดูก็เห็นนายปีเตอร์นั่งยิ้มแฉ่งพร้อมทั้งชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่พื้น ผมมองตามก็เจอก้อนกระดาษหล่นอยู่ ผมจึงหยิบขึ้นมาอ่าน
   
“เย็นนี้ว่างมั้ยครับ” ข้อความในกระดาษว่าอย่างนั้น ในใจผมก็คิดว่านายปีเตอร์ต้องเป็นคนเขียนแน่ๆ
   
“ไม่ว่าง” เป็นคำตอบที่ขัดกับใจที่สุด ผมเขียนตอบแล้วปากลับคืนไป โดยพยายามไม่คิดอะไร สักพักก็มีอีกก้อนหนึ่งปากลับมา
   
“แล้วเมื่อไหร่จะว่างอ่ะครับ” ผมหยิบขึ้นอ่าน หัวใจเต้นรัว แล้วเขียนกลับไปอีกว่า
   
“ไม่รู้สิ ทำไมเหรอ” ผมถามกลับไปบ้าง แล้วโยนคืนไป ปีเตอร์ก็เขียนกลับมาอีกว่า
   
“เราอยากชวนปอนด์ไปกินข้าวด้วยกัน เราอยากรู้จักปอนด์มากกว่านี้ได้มั้ยครับ” ผมหยิบอ่านปุ๊บก็บิดไปบิดมาหน้าร้อนผ่าวๆ อย่างนี้หรือป่าวที่เรียกว่า “โดนจีบ” ตื่นเต้นอะไรอย่างนี้
   
“อยากรู้จักก็มาคุยกันตรงๆก็ได้ไม่เห็นต้องชวนไปที่อื่นเลย” ผมรีบม้วนกระดาษแต่ยังไม่ทันได้โยนกลับไป ก็ต้องหยุดชะงักเพราะอาจารย์มายืนอยู่หน้าโต๊ะของผมเรีบยร้อยแล้ว
   
“นี่ เธอจะโยนกระดาษหากันอีกนานมั้ย ครูเห็นมาตั้งนานแล้วนะ ถ้าไปอยากเรียนก็ออกไปข้างนอกโน่นทั้งคู่เลย แล้วเอากระดาษไปด้วยนะ เขียนแล้วโยนคุยกันให้หนำใจจนกว่าจะหมดคาบ” อาจารย์ไล่พวกเราด้วยความโกรธ อาจารย์ให้ผมกับปีเตอร์นั่งอยู่คนละด้านกับประตูห้อง แล้วก็สั่งให้เขียนโน้ตพับจรวดคุยกัน ปีเตอร์เริ่มเขียนดูท่าทางไม่ทุกข์ร้อนดูมีความสุขด้วยซ้ำ
   
“ขอโทษนะปอนด์ นายซวยเพราะเราแท้ ๆ เรานี่มันแย่จริงๆ” ผมอ่านแล้วแอบอมยิ้ม
   
“ไม่เป็นไร ต้องโดนทำโทษซะบ้างชีวิตจะได้มีสีสัน” ผมตอบกลับแล้วโยนคืนไป ปีเตอร์รับไปเปิดอ่านพร้อมกับอมยิ้มเหมือนกัน
   
“ปอนด์ นี่เป็นคนมองโลกในแง่ดีมากเลยนะ” ปีเตอร์เขียนกลับมา
   
“เราไม่ชอบให้ตัวเองเครียด ชีวิตคนเราสั้นก็อยู่อย่างมีความสุขดีกว่า” ผมเขียนกลับไป
   
“อืม เรามีเรื่องอยากจะถาม” ปีเตอร์เขียนมาทำหน้าซีเรียส
   
“มีอะไรเหรอ” ผมถามกลับใจเต้นตุบตับ ๆ
   
“เราจะคบกันได้มั้ย” ปีเตอร์ถามมา หน้าของเค้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึง
   
“ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ” ผมตอบใจสั่นเป็นจังหวะกลองรัว ไม่อยากจะคิดอกุศลไปไกล และก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเอง
   
“แล้ว……….ถ้าคบกันมากกว่าเพื่อนปอนด์จะว่ายังไงครับ” ถามมาแบบนี้เล่นเอาผมหน้าดึง หัวใจแทบหยุดเต้น สติของผมกระเจิงจนมือไม้สั่น เหงื่อเริ่มไหลซึมออกมาตามหน้าผาก ผมเผลอมองเข้าไปในห้องก็เห็นยัยแนนนั่งมองตาขวาง แยกฟันเหยินใส่ผมน่ากลัวสุด ๆ ขณะที่กำลังหยิบปากกาเขียนตอบอยู่นั้น โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นนมาดูชื่อไปป์โชว์หราขึ้นหน้าจอ ผมกดรับ
   
“ปอนด์เลิกเรียนยังวะ มาหากูที่บ้านหน่อยดิ มีเรื่องอยากคุยกับมึง” เสียงของไปป์ฟังดูไม่สบายใจ
   
“ได้ดิ ใกล้จะเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวกูไปหานะมึง” ผมพูดจบแล้ววางหูโทรศัพท์ไป ใจที่เป็นห่วงไปป์ทำให้ผมเลิกคิดเรื่องของปีเตอร์ไปเสียสนิท พอสติกลับคืนมา ผมก็มองหน้าปีเตอร์แล้วยิ้มแหย ๆ ความกลัวที่จะตอบเริ่มเกิดขึ้น ผมไม่กล้าตอบตกลงแล้วก็ไม่กล้าตอบปฏิเสธใด ๆ ทั้งนั้น มือผมสั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
   
“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ่ง ตึง ตึ้ง ตึ่ง” เสียงหมดเวลาเรียนดังขึ้น พร้อมกับอาจารย์สอนเสร็จทันที เด็กห้องข้าง ๆ ก็พากันเดินมาออหน้าห้องจนเต็มพื้นที่ รวมทั้งห้องของผมด้วย ผมหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้กับปีเตอร์อีกครั้ง แล้วเดินเข้าประตูหลังห้องเตรียมกลับบ้าน
   
“ไอ้ปอนด์ แกทำไมทำแบบนี้ชั้นไม่ยอม ๆ ๆ” ยัยแนนเริ่มงอแง
   
“เดี๋ยวค่อยคุยกันนะแนนเรารีบ ไปก่อนนะ” ผมหยิบกระเป๋าได้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหน้าโรงเรียนทันที รถเมล์ก็คนเยอะมาก คันแล้วคันเล่าเต็มจนแน่น ผมตัดสินใจเมื่อรถเมล์อีกคันมาจอด ถึงแม้คนจะเยอะผมก็จะขึ้น ขณะที่ผมเบียดเสียดคนจนได้ขึ้นไปสำเร็จแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกผมตามหลังมา
   
“ปอนด์ เรายังรอคำตอบอยู่นะ กลับบ้านดีๆนะครับ บ๊ายบาย” ผมหันหลังกลับไปมองกระจกรถเมล์ก็เห็นปีเตอร์ยืนโบกมือให้ผมแล้วพูดเรียกชื่อผมลั่นไม่อายใคร แต่ผมนนี่สิอายเพราะคนในรถจ้องมองผมเป็นตาเดียว
   
                  รถเมล์จอดหน้าบ้านของไปป์ ผมรีบวิ่งเข้าไปหาไปป์ในบ้าน ภายในบ้านเงียบไม่มีคน
   
“ไปป์กูมาแล้ว มึงอยู่ไหนวะ” ผมเรียกแต่ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา ผมจึงโทรศัพท์ไปหา แต่ไม่มีสัญญาณ ผมเดินตามหาไปป์อีกครั้งแต่ก็ไม่เจอ ป้าข้างบ้านของไปป์เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับเล่าเรื่องให้ผมฟัง
   
“ไอ้หนู เพื่อนไปป์เหรอ ตอนนี้ไปป์ไม่อยู่บ้านหรอก มีพวกวัยรุ่นยกพกมาตีกันหน้าบ้านป้า แล้วไอ้ไปป์ก็ออกไปช่วย ก็เลยดูลูกหลง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลโน่นแหละ” ป้าข้างบ้านบอก
   
“ขอบคุณครับป้า” ผมรีบวิ่งออกไปโบกแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลทันที พอถามพยาบาลที่ประจำอยู่ก็ได้รู้ว่าไปป์ไม่เป็นอะไรมากแค่หัวแตก และฟกช้ำตามตัวทำให้ขยับตัวค่อนข้างลำบาก ผมรีบเดินไปหาไปป์ที่ห้องฉุกเฉิน
   
“เอ้าปอนด์ มึงมาได้ไง” ไปป์ทักผมด้วยความแปลกใจ
   
“ไปทำไรมาวะมึง อยู่ดีๆก็มานอนหน้าแหกแบบนี้” ผมถามขำ ๆ แต่ก็ลอบมองแผลของไปป์ด้วยความสงสาร
   
“ก็มีคนมาตีกันหน้าบ้านกูแล้วมันก็จะพาลทำลายของร้านค้าข้างๆบ้าน กูก็เลยไปช่วยเค้า พวกมันก็เลยยำกูเละแบบนี้แหละ” ไปป์ตอบขำ ๆ
   
“แล้วที่มึงโทรมาตามกูนี่ จะให้กูตามไปช่วยมึงเหรอไง” ผมถาม
   
“คงงั้นมั้ง ก็กูอยากมีฟีลเพื่อนขี่ม้าขาวมาช่วยตอนลำบากบ้างนี่หว่า แต่กูเซ่อไปหน่อยที่ตามมึง” มันแกล้งว่ากระทบผม
   
“มึงอย่ามาดูถูกกูนะเว้ย กูก็สู้คนนะ ถ้ากูมาทันป่านนี้มึงก็ไม่ต้องมานอนเละเป็นโจ๊กแบบนี้หรอก” ผมพูดเอาขำเข้าสู้
   
“มึงมาไม่ทันอ่ะดีแล้ว ถ้ามึงมาแล้วโดนยำไปอีกคนกูคงจะรู้สึกผิด” ไปป์ว่าแล้วยิ้มที่มุมปากมองมาที่ผม
   
“มึงนีเป็นเพื่อนที่แม่ง โคตรประเสริฐเลยว่ะ” ผมแกล้งพูดยอ  
   
“กูไม่ทำแบบนี้กับทุกคนนะเว้ย กูเลือกคนปฏิบัติ” มันว่า
   
“แล้วคนแบบไหนวะ ที่มึงจะเลิกทำดีให้” ผมแกล้งถาม
   
“ก็คนที่กูรักไง” มันตอบหน้าตาเฉย แล้วจู่ ๆ หน้าของไปป์ก็แดงขึ้นมาจนลามไปถึงใบหู ภายในห้องเงียบกริบเราต่างพากันพูดไม่ออก
   
“เออ ๆ ๆ ๆ ก็รักแบบเพื่อนไง คิดมาก มึงก็เป็นเพื่อนรักกูไม่ใช่เหรอวะ” ไปป์เหมือนจะเรียกสติคืนมาได้ก่อน ก็เลยแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ
   
“เออ มึงดูแลตัวเองด้วยนะ เปิดเทอมไปหน้าแหกไม่หล่อแล้วหาว่ากูไม่เตือนไม่ได้นะเว้ย” ผมก็เริ่มขำ ๆ เปลี่ยนประเด็น
   
“แล้วมึงเป็นไงบ้างวะ เปิดเทอมวันแรก มีคนมาจีบป่าววะ” มาถามผมหน้าตาอยากรู้อยากเห็นเอามากๆ
   
“มีเพื่อนเยอะแยะเลย ไปดีกว่ามืดแล้วเดียวแม่ด่า ไปแล้วนะเดี๋ยวมาเยี่ยมใหม่พรุ่งนี้” ผมขอตัวกลับบ้านในใจยังคงนึกถึงคำที่ไปป์พูด
   
“คนที่ไปป์จะเลือกทำดีให้คือคนที่ไปป์รักอย่างงั้นเหรอ” ผมมพูดพึมพำ
   
“เฮ้ย ไม่เอา ๆ ๆ ๆ อย่าคิดมาก” ผมเรียกสติคืนมา สะบัดหัวสลัดความคิดนั้นออกไปโดยเร็ว จนลืมนึกไปว่ากำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ ซึ่งพฤติกรรมของผมนั้น คนบนรถเมล์รับรู้กันหมดแล้ว.แย่เลย
   ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2009 15:29:19 โดย haeinpark »

ออฟไลน์ beernp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
 วันนี้แถมให้อีกตอนแล้วกันน้าๆๆๆๆๆๆ เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างยาว จะได้ศึกษาเนื้อเรื่องให้แน่นยิ่งขึ้น ขอบคุณทุกคนที่สนใจอ่านเรื่องนี้กัน ถ้าจะให้ดีติชมกันมาด้วยนะๆๆๆๆ คนเขียนจะได้มีกำลังใจเขียนต่อไป
ความเดิม เปิดเทอมวันแรกก็งานเข้าปอนด์ซะแล้ว ปอนด์ถูกปีเตอร์หนุ่มหล่อลูกครึ่งตามจีบ และดูท่าทางจะคิดจริงจังเสียด้วย แล้วปอนด์จะตัดสินใจต่อไปอย่างไรในเมื่อในใจเค้าก็แอบรักเพื่อนสนิทอย่างไปป์อยู่อีกใจก็ตื่นเต้นกับความรักครั้งใหม่ ชุลมุนวุ่นรักกันได้ต่อ ตอนที่ 3 งับ

                                                                                                               .............................................................................
ตอนที่ 3 บุพเพอาละวาด
   
           การมาโรงเรียนเป็นครั้งที่สองผมเริ่มชินขึ้นมาแล้ว เริ่มรู้จักสถานที่ในโรงเรียนบ้างแล้ว ขณะที่กำลังเดินไปรอเข้าแถวที่สนาม ก็เห็นยัยแนนนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ริมสระน้ำโดยมียายฝนนั่งปลอบข้างๆผมเห็นเพื่อนทั้งสองคนก็รีบวิ่งไปหา
   
“แนน ฝน มาอยู่นี่เอง  อ้าวแนนเป็นอะไรร้องไห้ทำไม” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
   
“ยังจะมาถามอีก แกนั้นแหละเป็นต้นเหตุ” ฝนหันมาตอบกลับผม
   
“เราทำอะไร เราไม่รู้ เราขอโทษ” ผมทำอะไรไม่ถูกไม่คิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้น
   
“เอานี่ไปดู แล้วจะเข้าใจเอง” ฝนยื่นกระดาษที่พับเป็นรูปจรวดให้ผม ผมก็เข้าใจทันทีถึงสาเหตุของเรื่อง
   
“แนน เราขอโทษ จะให้เราทำยังไง ก็ปีเตอร์เค้า.....” ผมเสียงสั่น
   
“ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเพื่อนชอบยังจะแย่งอีก”   ฝนต่อว่าผม ผมเริ่มใจเสีย น้ำตาผมเริ่มซึมที่เจอเหตุการณ์แบบนี้
   
“แนน เรายังไม่ได้ตกลงนะ เรายังไม่ได้ให้คำตอบปีเตอร์ เดี๋ยวเราจะไปตอบปฎิเสธเดี๋ยวนี้แหละ” ผมรีบ    เสนอข้อเสนอทันที
   
“ไม่มีประโยชน์” แนนตอบพลางเงยหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตามองผม
   
“เพราะ.................................” แนนพูดช้าๆพลางสะอึกสะอื้น
   
“เพราะปีเตอร์เค้าชอบแกมาก และเค้าก็อยู่ข้างหลังชั้นนี้แล้ว แต้แหน่ว กรู๊ๆๆๆๆๆๆ” ยัยแนนกับยัยฝนกระโดกระเดก้งเต้นกันหลุดโลก เล่นเอาผมงง ปีเตอร์โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ ในมือถือกระดาษสีชมพูดใบหนึ่ง แล้วยื่นส่งให้ผม
   
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผมถามงงๆ
   
“ก็เกมกามเทพแผลงศรยังไง ปอด์นคงไม่รู้ว่าเรากับฝนชอบจับคู่ให้คนได้สมหวังกัน แล้วนี่ก็เป็นคู่แรกของโรงเรียนนี้ ที่เราเต็มใจจับคู่ให้ด้วยความยินดี” ยัยแนนพูดเสียงแปร๋นอารมณ์ต่างกับเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง
   
“แล้วแนนไม่ชอบปีเตอร์แล้วหรอ” ผมถามด้วยใจที่ยังสงสัยอยู่
   
“ก็ชอบอะ บอกตามตรง แต่ในเมื่อปีเตอร์ชอบแก เพื่อนที่ดีแบบชั้นก็ต้องหลีกทางให้ ให้เธอได้กับเขา และจงโชคดี อย่ามีอะไรให้เสียใจ๊..............” แนนร้องเพลงเสียงแหลมอย่างอารมณ์ดี
   
“การ์ดเนี่ยเราตั้งใจทำมาให้ปอนด์นะ เปิดอ่านสิ เราหวังว่าปอนด์คงจะตอบตกลง” ปีเตอร์พูดตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงแล้วแดงอีก
   
“สัญญาเป็นแฟนกัน” ผมอ่านจบแล้วตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วอ่านรายละเอียดกฎของการเป็นแฟนกัน 5ข้อที่ปีเตอร์คิดมา

1 ต้องโทรหากันหรือคุยกันตลอด ห้ามขาดการติดต่อ

2 อยู่ที่โรงเรียนต้องแสดงความรักต่อกันอย่างเปิดเผยห้ามปิดบัง

3 ห้ามมีกิ๊ก

4 ห้ามลืมวันสำคัญของกันและกัน และต้องให้ความสำคัญกับวันแรกที่เขียนสัญญา ให้ถือว่าวันนี้ของทุกปีเป็นวันครบรอบรักกัน

5 ห้ามเห็นเพื่อนสำคัญกว่าแฟนเด็ดขาด
   
                      พอผมอ่านถึงข้อห้า ใจของผมก็หายวาบผมไม่ได้คิดจริงกับปีเตอร์ ขนาดต้องทำสัญญาเป็นแฟนกันขนาดนี้ หน้าของผมเริ่มซีด ความรู้สึกถูกกดดันเกิดขึ้นอีกครั้ง

“เซ็นต์เลยดิวะรออะไร ถ้าแกช้านะชั้นจะเซ็นต์แทนแกเองแล้วนะ” ยัยแนนเชียร์

“คือ...ขอเวลาคิดก่อนได้มั้ยอะ” ผมตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“เฮ้ย แนน แกจำได้ป่าววะ ปอนด์มันเคยบอกว่า มันมีคนที่ชอบอยู่........” ฝนพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงก็ขาดหายไปก่อน เนื่องจากโดนยัยแนนตบปากเข้าให้

“เบาๆสิ อินี่ปากรั่ว” แนนต่อว่า

“ปอนด์มีคนที่ชอบแล้วหรอ แย่จัง ปีเตอร์อกหักแล้วละ” ปีเตอร์หน้าจ๋อยทันที

“คือ.........ปีเตอร์ไม่ใช่หรอก เรายังไม่มีแฟน เราเป็นเพื่อนกันเฉยๆ แล้วก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆเป็นแฟนคงไม่ได้มั้ง” ผมพูดด้วยความสงสารปีเตอร์ แต่พอพูดจบกลับลำบากใจเสียเอง

“แล้ว ปอนด์จะคบกับเราได้มั้ย” ปีเตอร์ถามอีกครั้งด้วยความหวัง น้ำตาของปีเตอร์เริ่มคลอเบ้า อะไรจะเซนซิทีฟขนาดนี้

“ขอเวลาเราหน่อยนะปีเตอร์ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาไม่ใช่หรอ” ผมตอบกลับ

“เพื่อปอนด์เรารอได้เสมอ” ปีเตอร์ว่า

“ปอนด์ เราขอกอดปอนด์จองไว้ก่อนได้มั้ย” ปีเตอร์พูดออกมาอายๆ ผมตะลึง ไม่คิดว่าจะมีคนต้องการตัวผมมากขนาดนี้ ก็เลยพยักหน้าตอบตกลงโดยไม่ตั้งใจ ปีเตอร์ค่อยโน้มตัวเข้ามากอดผมไว้ ปีเตอร์ค่อนข้างสูงกว่าผมมาก ทันทีที่หน้าของผมได้สัมผัสไออุ่นจากอกกว้างของปีเตอร์ ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกดีๆที่ไม่เคยได้รับ กลิ่นหอมของตัวปีเตอร์ทำให้ผมเผลอสูดดมเข้าไป กลิ่นของความใคร่ที่ทำให้หัวใจของผมถวิลหา ผมค่อยๆผละออกจากปีเตอร์ เมื่อเสียงกริ่งเข้าแถวดังขึ้น เราไปเข้าแถวพร้อมกันปีเตอร์ยืนอยู่ข้างหน้าผม มักหันมายิ้มให้ผมบ่อยๆจนผมเริ่มเขินอายและอ่อนระทวย

                ชั่วโมงแรกมาถึงแล้ว เป็นชั่วโมงสำคัญที่ใช้เลือกหัวหน้าห้อง คุณครูน้ำชาให้ท้อป ปาล์ม และผมออกไปยืนหน้าห้องแล้วให้พูดแนะนำตัวคนละสามนาที ด้วยความที่ผมโม้เก่งก็เลยพูดพล่ามไปเรื่อย ๆ คงจะตลกมากเพื่อนทั้งห้องก็เลยพากันขำผมกันยกใหญ่ พร้อมทั้งปีเตอร์ที่ยกนิ้วโป้งเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่ายอดเยี่ยม ทำให้ผมพูดไม่หยุดจนเกินเวลา พอพูดครบก็มีการลงคะแนนและนับคะแนน พอนับเสร็จก็ปรากฏผลออกมาว่าผมชนะ ได้กลายเป็นหัวหน้าห้องโดยบังเอิ๊ญบังเอิญ
หลังเลิกเรียน

“ดีใจด้วยนะปอนด์” ท้อปพูดกับผม ทำให้ผมนึกได้ถึงสิ่งที่ผมลืมไปนั่นคือท้อปฝากขอบคุณไปป์ แต่ก็ช่างเถอะ

“เลือกมั่วๆแบบเนี้ย ห้องมันจะเจริญได้ไง” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนเงียบกันสนิท นายปาล์มนั่นเอง ยืนทำหน้าหาเรื่อง

“อ้าว! นี่แพ้แล้วพาลนี่หว่า” ยัยฝนถียงขึ้นมา ถึงยัยฝนจะแอบชอบปาล์มแต่ก็รู้อะไรถูกไม่ถูก

“เราไม่ได้พาล แค่ไม่เห็นด้วย” นายปาล์มเถียงหน้ากวน

“ก็ผลคะแนนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ ประชาธิปไตยรู้จักป่ะ” แนนเถียงแทนผม

“ไม่รู้จัก รู้จักแต่ประชาทัณฑ์” มันพูดทิ้งท้ายแบบกวน ๆ แล้วเดินออกจากห้องไป สร้างความงุนงงสงสัยให้กับทุกคนมาก

“อะไรของมันวะ” แนนสบถ

“ช่างมันเหอะแนน เชื่อเรา” ผมบอกให้แนนที่อารมณ์ร้อนเย็นลง

“เย็นนี้ต้องฉลอง จังซี่มันต้องหลอง งึก งึก งัก งัก....”เอากับสองคนนี้สิ เข้าขากันตลอดยัยแนนกับยัยฝน

“เย็นนี้ ไปกินข้าวด้วยกันนะปอนด์” ปีเตอร์ชวน

“เอ่อ......” ผมลังเลใจ

“ไม่ต้องมาเอ้ออ้าเลย ตกลงเดี๋ยวนี้ไม่งั้นโกรธ” ยัยฝนบอกแกมบังคับ

“ก็ได้ แต่กลับดึกไม่ได้นะ เดี๋ยวโดนดุ” ผมเสนอ

“แหมพ่อแม่หวงน่าอิจฉา” ยัยแนนเริ่มเหน็บแนมจนน่าหมั่นไส้

“จะไม่ห่วงได้ไงครับ ก็ลูกชายน่ารักขนาดนี้” ปีเตอร์แซวทำให้ผมปรับอารมณ์แทบไม่ทัน

“เดี๋ยวไปรถเรานะ เราเอารถมา” ปีเตอร์บอกพร้อมชี้ไปที่รถเก๋งคันหนึ่ง เป็นรถที่หรูหราเปิดประทุนสีดำเป็นเงาแวววาว คงแพงน่าดู

“ป๊าด! หรูขนาด กรี๊ดดดดดด อิจฉาคนแถวนี้ว่ะ พร๊อบเลิศ ทั้งคนทั้งรถ” ยัยแนนยังไม่วายจิกกัด

“ไปกันเถอะ” พวกเรานั่งรถกันออกไป ผมได้แต่นั่งเกร็งด้วยความไม่คุ้นเคย ต่างกับสองสาวที่เม้าท์กันตลอดทาง ยังไม่พอ ยังแอบจิกผู้ชายรายทางด้วย

“กริ๊งงงงงงงงงงง” เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ไปป์โทรมา

“ฮัลโหล ว่าไงมึง” ผมถามด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“ปอนด์ กูกลับบ้านแล้วนะ เหงาว่ะ มึงเลิกเรียนยังวะ” มันถาม

“อืม แต่ว่าวันนี้ไม่ว่างว่ะ” ผมตอบเสียงอ่อน

“แย่เลย แม่ก็ไม่อยู่แผลก็ตึงทำไรไม่ถนัดเลยว่ะ” มันบ่น

“เดี๋ยวกูรีบกลับละกันนะ แค่นี้นะ” ผมวางสายไป ทั้งสามสายตามองมาที่ผมเขม็ง รวมทั้งปีเตอร์ที่กำลังขับรถก็ยังทำหน้าฉงน

“มีไรรึป่าวปอนด์” ปีเตอร์ถาม

“คือ เพื่อนป่วยเป็นห่วงมัน เลยต้องรีบกลับไปดู คงอยู่นานไม่ได้” ผมตอบทุกคนไป

“คราวหน้าก็ยังมีไม่ใช่เหรอ อย่าเครียดกันสิ” ผมพูดปลอมทุกคนที่ตอนนี้หน้างอเป็นม้าหมากรุก

                      พอขับมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ปีเตอร์แนะนำ พวกเราแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย เพราะผมรีบกินจนไม่เงยหน้ามองใคร ใจที่เป็นห่วงไปป์เริ่มทำงานหนักจนผมนั่งไม่ติดที่ เมื่อกินเสร็จแล้ว

“รีบมากรึป่าวปอนด์ เดี๋ยวเราไปส่งนะ” ปีเตอร์เสนอ

“เกรงใจจัง ปีเตอร์ไม่เป็นไร ยังกินกันได้นิดเดียวเองหนิ ขอบใจนะที่อยากจะเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้กับเรา ขอบคุณมาก แล้วก็ต้องขอโทษที่ต้องกลับก่อน แล้วเจอกันทุกคน” ผมพูดจบก็ขอตัวกลับ ผมเรียกแท็กซี่มุ่งไปที่บ้านไปป์ทันที

“ไปป์ กูมาแล้ว” ผมตะโกนส่งเสียงเข้าไปในบ้าน

“มาเร็วกว่าที่คิดอีกนะมึง” ไปป์ส่งเสียงออกมา

“เป็นไงมึง นอนหลังยาวเป็นไม้กระดานเลยนะ” ผมแซวมันเมื่อเดินเข้ามาถึงในห้อง

“หิวข้าวว่ะปอนด์” มันบ่น

“เดี๋ยวกูไปซื้อให้ เอาอะไรล่ะ” ผมถาม

“ไม่! กูอยากกินฝีมือมึง เห็นแม่เมิงชอบมาเล่าว่ามึงทำกับข้าว อร่อยสุดยอดไปเลย” มันเล่า

“มึง ก็พูดเกินไป ก็พอแดกได้จะลองเสี่ยงรึป่าวล่ะ” ผมแกล้งหลอกมัน มันพยักหน้า หงึก ๆ ทำตาแป๋วอ้อนวอนสุดฤทธิ์ ผมเลยใจอ่อนเดินเข้าไปในครัว ผมเปิดตู้เย็นมีของสดอยู่มาก ก็เลยกะว่าทำอาหารจานเดียวให้กิน จะได้ไม่ต้องตักหลายอย่าง จะพาลเจ็บมือ
                        ข้าวผัดกุ้งกลิ่นหอมฉุยออกมาจากครัว ผมถือจานโฉบจมูกไปป์ไปมาให้อยาก แล้วแกล้งเอาช้อนตักใส่ปากตัวเอง

“อ้า! อร่อยสุดยอด ฝีมือใครวะ โคตรอร่อย” ผมแกล้งมัน

“เฮ้ย! กูให้ผัดให้กูกิน ไม่ได้ให้ผัดกินเอง” มันโวยวายด้วยความหิว

“เอ้า อยากแดกก็เอาไปแดก แต่อย่าชมว่าอร่อยจนออกนอกหน้านะเว้ย เขิน” ผมแหย่มัน

“ขอบใจ แต่ว่ากูมือเจ็บกินไม่ได้ว่ะ มึง” มันบอกพร้อมสีหน้าที่น่าสงสาร

“อ้าว มือใช้แดกไม่ได้ ก็ใช้ตีนแดกสิวะ” ผมกวนมัน

“โห! โหดว่ะ คนป่วยนะเนี่ย มึงป้อนกูหน่อยดิ” มันอ้อนวอน

“ไม่พ้นกูเลยนะ” ผมแอบด่ามัน แต่ก็หยิบจานขึ้นตักข้าวป้อนมันอยู่ดี

“อร่อยจัง” มันกินไปคำแรกก็ชมซะเสียงหวานเชียว

“เออ กูรู้แล้วไม่ต้องชม รีบๆกินเข้าไป” ผมรีบป้อนอย่างรวดเร็วแก้อาการเขิน พอกินหมด มันก็นอนพุงกางหมดท่า ผมจึงเดินเอาจานไปล้าง

“อิ่มมาก ๆ อยากป่วยตลอดไป จะได้มีคนดูแล ดีจริง ๆ” มันบ่นเปรย ๆ

“ใครจะมาดูแลมึง กูสมเพชนะเนี่ยเลยมาดูให้ แต่ถ้าป่วยนาน ๆ มีหวังตายคาที่นอน” ผมตอบกลับขำ ๆ หลังจากจัดการกับจานกองพะเนินเสร็จแล้วก็เลยเดินเข้าห้องมา

“เฮ้อ! เหนื่อย จานเจินเต็มอ่างไปหมด กูล้างให้แล้วนะ เหนื่อยฉิบ” ผมล้มตัวลงนั่งข้างมัน หอบแฮ่ก ๆ เหนื่อยจากการล้างจานกองมหึมา

“โอ้ย! บังคนจะดูทีวี เอาหัวหลบไปหน่อยดิ” มันโวยวายขึ้นมา

“จะให้หลบไปทางไหนละวะ” ผมเริ่มฉุน

“งั้นก็นอนลงมาดิ จะได้เห็นทั้งคู่” มันเสนอ ผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย พอนอนลงปุ๊บ ไปป์ก็เอาขาข้างหนึ่งมาก่ายผมไว้ ก่ายไปก่ายมามืออันซุกซนของไปป์ก็มาดึงผมให้นอนบนแขนของเขา กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของไปป์ซะงั้น ผมนอนตัวแข็งทื่อเหมือนลูกไก่ในกำมือยังไงยังงั้น ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

“นอนนิ่งเลยนะมึง หลับแล้วเหรอ” มันถามผมเมื่อเห็นผมนอนเกร็ง

“ใครจะหลับลง ตัวเหม็นจะตายห่า” ผมแกล้งว่ากลบความเขิน

“จริงดิ ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว ทำไงดี ปอนด์เช็ดตัวให้กูหน่อยได้มั้ย กูเหนียวตัว” ไปป์ขอร้อง สายตาเว้าวอน

“เฮ้ย! กูทำไม่เป็น” ผมหาข้ออ้าง ใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ

“แค่เอาผ้าชุบน้ำเช็ดให้รอบ ๆ ตัว แค่นี้ง่ายจะตาย นะนะ ตัวเหม็นมากเลย ทนตัวเองไม่ได้แล้ว” ไปป์เริ่มขอร้องหนักขึ้น

“เออ ๆ ๆ สงสารนะเนี่ยเลยทำให้” ผมตอบตกลงทั้งหัวใจเต้นถี่

                    ผมเข้าไปในห้องน้ำเตรียมกะละมังใส่น้ำและผ้าเช็ดตัว พอเดินออกมาถึงห้องไปป์ก็ต้องตกตะลึง เพราะไปป์ตอนนี้เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกเปลื้องออกไปเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว

“อนาจาร” ผมหลุดปากพยายามหันหน้าหนีไปทางอื่น

“จะเช็ดตัวก็ต้องแก้ผ้าสิ ถ้าไม่แก้จะเรียกเช็ดตัวเหรอ หรือจะให้ถอด กกน.ด้วยเลยมั้ย” ไปป์ตอบหน้ายียวน ตั้งแต่คบกันมาก็เพิ่งเคยเห็นรูปร่างของไปป์ก็วันนี้แหละ ดูภายนอกเหมือนจะเป็นคนผิวคล้ำแต่ข้างในขาวมาก จัดว่าเป็นคนรูปร่างดีเลยทีเดียว กล้ามแขนสมส่วน กล้ามหน้าท้องที่เป็นรอนสวย ยิ่งทรงผมของไปป์เป็นสกินเฮดอีก ดูตอนนี้ยิ่งเหมือนพระเอกหนังเกย์ยังไงยังงั้น มือที่ถือกะละมังเริ่มสั่น ผมค่อย ๆ เขยิบตัวเข้าไปใกล้แล้วบรรจงเช็ดหน้าของไปป์ ที่ผมเพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเป็นคนที่รูปหน้าสวย จมูกโด่ง เรียวปากบางเป็นสีชมพูระเรื่อ มีเคลาเล็กน้อยใต้คาง ดูแล้วแอบจั๊กกะจี้ เช็ดผ่านลำคอมาที่รักแร้และหน้าอกของของไปป์ คราวนี้ผมไม่ได้แค่มองอย่างเดียวแต่ยังได้สัมผัสกล้ามเนื้อหน้าอกที่เป็นมัด ๆ ไล่ลงมาบริเวณกล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนได้รูป มีขนรำไรบริเวณสะดือยาวลงไปจนไม่รู้ว่ามันสิ้นสุดที่ไหน จากนั้นผมก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเช็ดมาถึงจุดนั้นของไปป์

“ไปป์ เดี๋ยวกูเช็ดขาให้มึงเลยนะ ส่วนตรงนั้นมึงก็ไปทำความสะอาดเองละกัน” ผมบอกเสียงสั่น ๆ

“เช็ดตัวภาษาอะไร เช็ดก็ไม่ทั่ว” ไปป์บ่นน้ำเสียงล้อเลียน

“ทำให้แค่นี้ก็บุญแล้ว พอ ๆ ๆ เสร็จ ๆ ๆ”ผมละล่ำละลักแล้วรีบลุกขึ้นเอากะละมังไปเก็บ ผมไปยืนทำใจในห้องน้ำนานสองนาน กว่าจะตั้งสติได้ ทำเอาผมใจสั่น ผมเดินออกมาเพื่อเตรียมกลับบ้าน ไปป์ยังคงนอนในสภาพกางเกงในตัวเดียวเช่นเดิม

“ทาแป้งให้หน่อย” ไปป์เริ่มจิกหัวใช้ผม

“ทำยังกะเป็นคนพิการไปได้แค่แขนเจ็บแค่เนี้ย” ผมบ่นแต่ก็หยิบกระป๋องแป้งทาให้ไปป์อยู่ดี

“กลับแล้วนะ ดึกแล้ว เดี๋ยวปิดบ้านให้ เอ้านี่ชุดนอนใส่ซะ กูไปก่อนนะ” ผมรีบบอกลา เดี๋ยวไปป์จะยื้อผมให้อยู่นานกว่านี้

“ปอนด์ ขอบใจมึงมากนะเว้ย กูโชคดีจริง ๆ ที่มีเพื่อนแบบมึง” ไปป์บอกกับผมแบบนี้ ทำให้ผมหน้าแดงขึ้นอีกครั้งด้วยความอาย

“เออ เพื่อนกันก็ต้องช่วยกัน” ผมยิ้มให้ไปป์อีกครั้งแล้วเดินออกจากบ้านไปเตรียมเรียกรถกลับบ้าน

                  พอกลับมาถึงบ้านก็รื้อการบ้านขึ้นมาทำ การ์ดสีชมพูของปีเตอร์ที่สอดอยู่ระหว่างสมุดหลุดปลิวออกมา

“เฮ่อ! เอาไงดีวะกู งานเข้าซะแล้ว” ผมได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่คนเดียวท่ามกลางพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้า เสี้ยวของพระจันทร์นั้นคล้ายกับรอยยิ้มที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า แสดงความยินดีหรือหัวเราะเยาะก็ไม่รู้กับโชคชะตาของผมในตอนนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 21:08:22 โดย haeinpark »

ออฟไลน์ beernp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
New ตอนที่ 4 อัพแล้วน้ามาอ่านกัน
ความเดิม หลังจากโดนเพื่อนตัวแสบหลอกตุ๋นจนเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องปีเตอร์ ทำให้ปีเตอร์ถือโอกาสขอความรักจากปอนด์ด้วยการให้สัญญาเป็นแฟนกันเพื่อให้ปอนด์กลับไปคิดทบทวน ปอนด์หนักใจมากเพราะยังไม่ได้คิดกับปีเตอร์ไปไกลถึงขนาดนั้น ส่วนไปป์ก็มีคนเข้ามาเกี่ยวพันก็คือนายท้อปเพื่อนร่วมห่องที่เคยรู้จักกันมาก่อนตอนเด็กๆ ดูท่าทางท้อปจะชอบไปป์เข้าแล้ว นายเอกของเราจะตัดสินใจยังไงดี ตามมาเลย ตอนที่ 5

                                                                ..............................................

ตอนที่ 4 การตัดสินใจครั้งสำคัญ
    
            โรงเรียนของไปป์เปิดเทอมแล้ว แผลของเขาก็หายวันหายคืนจนกลับมาหล่อเฟี้ยวเหมือนเดิม (ชมเชียวนะ) ชีวิตของผมก็เหมือนเคย เช้ามาไปโรงเรียน เย็นกลับบ้าน จะมีบางวันที่ไปกินข้าวเป็นเพื่อนปีเตอร์ หรือไม่ก็ไปช็อปปิ้งกับยัยแนน ยัยฝน แต่หน้าที่หลัก ๆ ที่ผมจะต้องทำก็คือไปหาไปป์ที่บ้าน ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเราจะรุดหน้าไปไกล เรากลายเป็นเพื่อนคู่กัดกันไปเสียแล้ว เจอหน้ากันก็ตั้งท่าทะเลาะกัน สนุกเป็นบ้าเลยชีวิตนี้

“ปอนด์ วันนี้กูไปเที่ยวบ้านมึงนะ” ไปป์โทรมาวันหนึ่งหลังเลิกเรียน

“ไปเรียนวันแรกก็มีเรื่องเล่าเลยเหรอวะ แหม….” ผมแซว

“มันแน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวเจอกันนะ บาย” ไปป์วางสายไป

“วันนี้มาแปลก แลดูอารมณ์ดี” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง

“คุยโทรศัพท์กับใครเหรอคับ” ปีเตอร์เดินยิ้มกว้างทักผมมาแต่ไกล

“คุยกับเพื่อนเก่าที่สนิทกันมาก” ผมตอบ

“เพื่อนเก่าที่สนิทกัน ใช่คนที่ปอนด์บอกว่าปลื้มเค้าหรือเปล่า” ปีเตอร์ถามทำหน้าสงสัยใคร่รู้

“เพื่อนกันจริง ๆ วันนี้เราคงต้องกลับก่อนนะปีเตอร์ พรุ่งนี้เจอกัน” ผมรีบเปลี่ยนประเด็นแล้วลาปีเตอร์ไปอย่างห้วน ๆ

“เดี๋ยว ปอนด์ ถ้าปอนด์ยังไม่มีใคร ทำไมปอนด์ยังไม่ตอบตกลงกับเราซักทีล่ะ เรายังให้เวลาปอนด์ไม่พออีกเหรอ” ปีเตอร์เริ่มพูดน้ำเสียงน้อยใจ

“รักมันต้องการเวลานะปีเตอร์” ผมทิ้งท้ายพร้อมเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมอง

“ปอนด์ บางครั้งความรักก็ไม่ต้องการเวลาหรอก สำหรับเราการรอคอยมันทรมานมาก ถ้าปอนด์จะปฏิเสธเรา ก็บอกเราก่อนได้มั้ย เราจะได้ไม่ต้องรอ เวลาของคนที่ให้รอ กับเวลาของคนรอมันต่างกันมากนะ ปอนด์” ปีเตอร์วิ่งตามหลังผมแล้วสวมกอดเข้าด้านหลัง ปีเตอร์ซุกหน้าของเขาที่หลังของผม เสียงสะอื้นทำให้ผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่หยดลงบนแผ่นหลังของผม ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกรู้สึกสะท้อนใจเข้าใจความรู้สึกของปีเตอร์ดี ผมกลับหลังหันไปหาปีเตอร์ ใช้สองมือจับที่ใบหน้าของปีเตอร์ที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาให้เงยขึ้นมา

“ถ้าปีเตอร์รักเรา ปีเตอร์ต้องพร้อมที่จะรอเราได้เสมอ ถ้าปอนด์จะตัดสินใจที่จะรักใครสักคนก็ต่อเมื่อปอนด์พร้อมและไม่มีใครติดค้างอยู่ในใจ หรือปีเตอร์อยากจะให้เรามีปีเตอร์เป็นแฟนแล้วมีอีกคนใจไปพร้อมๆกัน ปีเตอร์อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอ” ผมปลอบใจปีเตอร์ มือของผมเช็ดน้ำตาของปีเตอร์ที่ค่อยๆไหลลงมา

“หยุดร้องไห้นะ เราเห็นคนร้องไห้เพราะเราแบบนี้แล้วเราใจไม่ดีเลย” ผมค่อยๆเอามือเสยผมที่ลงมา

ปรกหน้าของปีเตอร์ให้ขึ้นไป

“เราเข้าใจปอนด์แล้ว เราขอโทษนะที่งี่เง่าเกินไป ต่อไปนี้เราจะไม่ทำแบบนี้อีก ยกโทษให้เรานะ”ปีเตอร์ได้สติก็รีบขอโทษ ขอโพยผม

“งอแงเป็นเด็กไปได้” ผมเอามือลูบผมของปีเตอร์ ความรู้สึกสงสารเกิดขึ้นในใจ  แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า  ความสงสารเป็นบ่อเกิดของความรัก

“เลิกร้องได้แล้ว” ผมว่าพลางเข้าไปสวมกอดปีเตอร์ด้วยสัญชาตญาณ ปีเตอร์กอดผมแน่นมากและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย  ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด ก็เลยต้องขอร้องปีเตอร์ให้เลิกกอดผมเสียที

“ปีเตอร์ เราต้องไปแล้วเลิกกอดเราได้แล้ว” ผมพูด  เรายังไม่ทันได้คลายกอดออกจากกัน ปีเตอร์ ก็ขโมยหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่ ทำให้ผมอึ้งไปพักหนึ่ง

“ตาบ้า!!”  ผมรีบสลัดตัวออกจากปีเตอร์

“ไปแล้วนะ” ผมรีบวิ่งไปก่อน กลัวจะโดนทำอะไรไปมากกว่านี้

“กลับบ้านดีๆนะครับ ที่รักของผม” ปีเตอร์ยังไม่วายพูดตามหลังมาอีก

             ผมยืนรอรถเมล์อยู่ที่หน้าโรงเรียน เมื่อรถเมล์มาถึง ผมเดินขึ้นพร้อมกับสังเกตได้ถึงความผิดปกติของคนที่กลับบ้านรอบเย็นพร้อมผมวันนี้ บ้างหันมามองผมบ้างก็ซุบซิบนินทากัน พวกเขาคงจะเห็นภาพเมื่อสักครู่กระมัง  ผมค่อยๆเอามือจับแก้มข้างที่โดนหอมเมื่อครู่แล้วยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ปอนด์” ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยิน

“เอ้า ! ไอ้ไปป์มึงมาได้ไงเนี่ย” ผมถามด้วยความสงสัยที่มาเจอไปป์บนรถเมล์นี้

“กูเพิ่งเลิกเรียน คิดว่ากำลังจะไปบ้านมึงพอดีเลย” ไปป์ตอบเสียงตะกุกตะกัก

“เอ้า โรงเรียนเลิกนานแล้วไม่ใช่หรอ ตอนที่มึงโทรมามึงยังไม่เลิกเรียนอีกเหรอวะ” ผมซักด้วยความสงสัย

“เลิกแล้ว แต่วันนี้กูคุยกับอาจารย์นานไปหน่อยก็เลยกลับบ้านเย็น” ไปป์ตอบ


“ไหนบอกว่าจะเล่าอะไรให้กูฟัง เล่ามาดิ” ผมถาม

“ไม่มีอะไรมากหรอกเดี๋ยวถึงบ้านค่อยเล่า” ไปป์ตอบผม ดูท่าทางของเขาแปลกไป ทุกครั้งที่เจอกันไปป์มักจะหาเรื่องมาเล่า แต่วันนี้กลับเงียบจนผิดสังเกต

“เฮ้อ! คนเราเนอะ อยู่ดีๆก็เงียบไปซะงั้น เดี๋ยวนี้มีอะไรปิดบังเพื่อนเหรอ” ผมพูดลอย ๆ ขึ้นมา ในใจก็คิดว่าไปป์ต้องมีปัญหาอะไรแน่ ๆ

“ไม่มีไรจริง ๆ โว้ย” ไปป์เริ่มขึ้นเสียง
            
             ขณะที่ผมกำลังทำการล้วงคองูเห่าอยู่นั้น ก็มีผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดนักเรียนสถาบันเดียวกับผม เดินจากแถวข้างหน้ารถตรงมาเรา

“ปอนด์” ผู้ชายคนนั้นทัก ด้วยความที่ผมมองไม่ชัดก็เลยถามกลับไปว่าเป็นใคร

“เราท้อปเอง” ผู้ชายคนนั้นตอบ

“อ๋อ ท้อปนั่นเอง” ในที่สุดผมก็คิดออกเมื่อเห็นแว่นกรอบหนาแวบเข้ามา

“ไปป์ มึงจำท้อปได้ป่าววะ เพื่อนเราตอนป.1ไง ที่ใส่แว่นหนา ๆ แล้วตอนนั้นก็ชอบโดนแกล้งไปพร้อมกับกู แล้วมึงต้องไปช่วยทุกทีเลย” ผมรีบแนะนำท้อปให้ไปป์รู้จัก

“จำได้ ๆ เป็นไงบ้างท้อปไม่เจอกันตั้งนาน” ไปป์ทักท้อป

“ก็ดี” ท้อปตอบสั้น ท่าทางกรุ้มกริ่ม

“เนี่ยไปป์ ท้อปแม่งเรียนเก่งสุดยอด สอบได้คะแนนที่หนึ่งในสายชั้นเลยนะเว้ย” ผมแนะนำต่อ

“สุดยอดเลยอ่ะ ว่าง ๆ ก็สอนเราบ้างนะ เราอ่ะโง่” ไปป์เน้นคำว่าโง่ดังผิดปกติจนผมสะดุ้ง

“ได้เลย ตอบแทนที่นายคอยช่วยเราตอนนั้น” ท้อปรับคำน้ำเสียงดูร่าเริงผิดปกติ ทั้งสองคุยกันตลอดทางดูถูกคอกันมาก จนทำให้ผมกลายเป็นส่วนเกินไป เมื่อถึงบ้านท้อป ท้อปก็ขอตัวลงไปก่อนและก่อนลงยังมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้กันอีก ผมเริ่มหงุดหงิดใจ

“คุยกันถูกคอจริงนะ” ผมกระแนะกระแหนด้วยอารมณ์หึง

“ผิดตรงไหน กูคุยกับคนฉลาด ๆ กูจะได้ฉลาด ๆ ขึ้น” ไปป์พูดเหมือนประชด

“อะไรของมึง อย่ามาชวนทะเลาะสิ พูดด้วยดี ๆ นะ” ผมเริ่มหมดความอดทด

“กูยังไม่ได้ว่าอะไรมึงเลย กูด่าตัวเองโง่ยังไม่ได้ว่ามึงตรงไหนเลย” ไปป์เถียงไม่ลดละ

“เออ ไอ้โง่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” ผมด่าไปป์รัว ๆ อย่างไม่เกรงใจแล้วก็นั่งเงียบมาตลอดทางจนรถมาจอดหน้าบ้านผม ผมรีบเดินลงแล้วสาวเท้าหนีไปป์อย่างเร็ว

“ปอนด์ มึงโกรธกูเหรอ” มันวิ่งตามผมมา

“ปอนด์ กูขอโทษ” มันยังวิ่งตามมาง้อติด ๆ

“กูไม่ชอบให้มึงด่าตัวเองเลยนะเว้ย มีอะไรก็บอกมา โกรธกับใคร มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกตรง ๆ ถามจริงๆ กูทำอะไรให้มึงรู้สึกว่ามึงโง่เหรอ” ผมพูดด้วยความโมโห

“กูขอโทษมึงอย่าโกรธกูนะ” ไปป์วิ่งตามหลังผม ที่เดินไปบ่นไปโดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น

“ปอนด์ ถ้ามึงยังไม่เลิกเดินหนีกู กูจะถือว่ามึงโกรธ ไม่ยอมให้อภัยกูนะ ขอร้องเลิกเดินหนีกูซะที” ไปป์ขอร้องวิ่งตามผมมาติดๆ  ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้ามัน ไปป์เดินเข้ามาใกล้ๆแล้วเอามือลูบหัวผมที่มองค้อนมันอยู่ ไปป์ขยี้หัวผมเบาๆ

“งอนทีไรทำตัวเป็นเด็กๆทุกที หน้าบูดแบบนี้ ไม่น่ารักเลยน้า” ไปป์ว่าผม

“ก็กูไม่ได้อยากน่ารักนี่” ผมตอบประชด

“หึ หึ  คนเรานี่ก็แปลกนะ น่ารักอยู่ดีๆไม่ชอบ อยากเป็นคนไม่น่ารักซะงั้น” ไปป์หลุดปากชมผมทำเอาผมเขิน จนกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่

“นั่นแน่ แอบยิ้มอย่างนี้แสดงว่าหายโกรธกูแล้วใช่มั้ย เฮ้อโล่งอกไปที ปะกลับบ้านกัน”  ไปป์ชวนผมกลับบ้านด้วยความโล่งใจและยื่นมือข้างหนึ่งมาให้ผม ผมมองไปป์แบบงงๆ

“ปะ กลับบ้านด้วยกันนะ มืดแล้วเดี๋ยวหลงทาง” พอพูดจบไปป์ก็คว้าข้อมือผมแล้วเดินนำผมไป ผมเดินตามอย่างว่าง่าย  ไปป์จูงมือผมเดินไปตลอดทาง ถึงแม้จะมีคนมองบ้างแต่ดูไปป์ไม่มีทีท่าจะเขินอายคนที่อายกลับกลายเป็นผมไปซะนี่ ผมมองผู้ชายที่เดินนำหน้าผมค่อยๆทบทวนความสัมพันธ์ของเขากับผมอยู่ในใจ ความจริงเราเป็นเพื่อนกันแต่การกระทำของเขาตอนนี้ดูเหมือนจะเกินกว่าสิ่งที่เพื่อนทำให้กันไปซะแล้ว เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่เขาทำให้กับผมนั้น ทำให้หัวใจของผมหวั่นไหวมากขึ้นทุกวัน  
            
           เราเดินมาถึงหน้าบ้าน ไปป์ค่อยๆปล่อยมือผม

“ถึงบ้านแล้วปอนด์ ยืนหน้าเอ๋ออยู่ได้ ไขกุญแจดิ” คำพูดของไปป์ทำให้สติที่กระเจิดกระเจิงของผมกลับมา

“บ้านก็บ้านกูยังมาสั่งอีก” ผมบ่นกลับไปเบาๆ
          
            เมื่อเข้ามาถึงในห้องไปป์ก็ล้มลงบนเตียงของผมอย่างถือวิสาสะ

 “เฮ้ย เหนื่อยจริงโว้ยปราบม้าพยศ กว่าจะยอมสงบได้เล่นเอาแทบแย่”  ไปป์พูดพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาบนเตียง

“ไอ้ไปป์ตัวสกปรกยังมานอนบนเตียงกูอีกลุกขึ้นเดียวนี้”  ผมบ่นพลางดึงแขนไปป์ให้มันลุกขึ้นจากเตียง

“กูขอนอนแป๊บนึงไม่ได้หรือไงวะ มึงหวงที่นอนหรอ”  ไปป์ยืนกรานไม่ยอมลุกท่าเดียว แต่ผมก็ไม่ยอมเหมือนกันพยายามดึงแขนไปป์ไห้ลุกจากเตียงให้ได้ ดึงกันไปมาผมก็เสียหลักล้มลงไปทับบนตัวของไปป์ ผมรีบใช้แขนยันร่างกายลุกขึ้นให้พ้นจากตัวของไปป์ ไม่รู้ว่าตอนนี้เรี่ยวแรงของผมหายไปไหนอยู่ดีๆแขนของผมเกิดไม่มีแรงขึ้นมาซะงั้น แทนที่จะพยุงตัวเองขึ้นมาได้กลายเป็นว่าข้อแขนของผมพับเสียก่อนจนผมเสียหลัก  หน้าของผมซุกลงบนอกของไปป์พอดิบพอดี  แล้วมือทั้งสองข้างของไปป์ก็โอบกอดผม  ผมเงยหน้าขึ้นเราสองคนสบตากัน ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ผมค่อยๆโน้มใบหน้าของผมเข้าไปใกล้ๆใบหน้าของไปป์ทุกที ทุกที ไปป์หลับตาพริ้ม

“ปอนด์!!!มากันข้าวได้แล้วลูก” แม่ผมเรียกเสียงดังลั่นบ้าน เราทั้งคู่ได้สติ รีบผละออกจากกันโดยเร็ว

“หิวข้าวแล้วไปกินข้าวกัน” ผมชวนไปป์อย่างเขินๆ  เราสองคนไม่กล้าสบตากัน เราลงไปกินข้าวพร้อมกัน แม่ของผมโชว์ฝีมือทำอาหารไว้หลายอย่างและอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ก็คือ น้ำพริกกะปิ ที่ใครก็ชมว่าอร่อยเหาะ เวลาบนโต๊ะอาหารช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าแม้อาหารฝีมือแม่จะอร่อยเพียงใดแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ผมกับไปป์ทานข้าวได้มากขึ้นเลย  ถึงตอนนี้ผมยังคงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่และผมคิดว่าไปป์ก็คงคิดเรื่องเดียวกันเพราะผมเห็นไปป์เขี่ยข้าวไปมาราวกับทานข้าวไม่ลง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบจนแม่เอะใจ

“อาหารไม่อร่อยหรอลูก ไม่ค่อยทานกันเลยทุกทีเห็นคุยกันออกรส วันนี้ทำไมเงียบละ” แม่ถามด้วยความสงสัย

“วันนี้คุยกันเยอะแล้วก็เลยหมดเรื่องคุยอ่ะแม่” ผมตอบสั้นๆ ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

“เฮ้อ แปลกคน  ทานเสร็จแล้วแม่ฝากเก็บจานด้วยนะลูก”

“ครับ” ผมกับไปป์ตอบรับคำแม่เกือบจะพร้อมกัน  เราเก็บจานไปในครัวแล้วยืนล้างจานด้วยกัน โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดเลยชวนคุยขึ้นมา

“ไปป์  มึงจะบอกได้หรือยังว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้กูฟัง” ผมเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

“ก็เรื่องทั่วไปมึงคงไม่อยากรู้หรอก” ไปป์บอกโดยไม่มองหน้าผม

“เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูหรอ”  ผมถามแบบกวนๆ

“ไม่มีอะไรจริงๆ” ไปป์บอกปัด  ผมไม่อยากเซ้าซี้ เลยเปลี่ยนเรื่องคุย

“วันนี้มึงจะกลับกี่โมงวะ” ผมถามอีกเพื่อจะได้มีเรื่องคุย

“ล้างจานเสร็จก็กลับแล้ว” ไปป์ตอบห้วนๆ

“อ้าว  มึงรีบไปไหนวะทุกทีเห็นกลับดึก”  ผมถามเมื่อเห็นผิดสังเกต หลังจากล้างจานเสร็จแล้ว ไปป์ก็รีบเดินออกไป

“เฮ้ยไปป์   รอกูด้วย” ผมรีบจัดการกับอ่างล้างจานแล้วตามออกไป

“มึงรีบขนาดนี้เลยหรอไปป์”  ผมทักท้วงเมื่อเห็นไปป์เก็บกระเป๋าเตรียมจะกลับบ้านแล้ว

“เออปอนด์ วันนั้นกูลืมหนังสือไว้มึงเอาไว้ตรงไหนวะ” ไปป์ถามอย่างรีบร้อน

“อยู่ในลิ้นชักบนหัวเตียงอ่ะ ไปหาดูสิ”  ผมตอบ ไปป์เดินไปที่ลิ้นชักแล้วเปิดออก แทนที่ไปป์จะหยิบหนังสือที่ลืมไว้ขึ้นมา กลับหยิบการ์ดสีชมพูที่อยู่ในลิ้นชักนั้นขึ้นมาแทน ไปป์ค่อยๆเปิดการ์ดขึ้นอ่าน ผมจะร้องห้ามแต่ว่าไม่ทันซะแล้ว  ไปป์อ่านออกเสียง  “ใบสัญญาเป็นแฟนกันระหว่างปีเตอร์กับปอนด์”  สีหน้าอยากรู้ของไปป์ตอนนี้กลับกลายเป็นหน้าซีดไป

“โรแมนติกดีเนอะ ปอนด์เพื่อนกูจะได้มีแฟนกับเขาสักที ว่าแต่ปีเตอร์นี่ใครวะ ไม่เห็นพามาให้รู้จักเลย แบบนี้เค้าเรียกว่ามีความลับกับเพื่อนนี่หว่า”  ไปป์อ่านเอง สรุปเองเสร็จสรรพ

“เออ.................คือ........เค้า........มาขอกูเป็นแฟนแต่กูยังไม่ได้ตอบตกลงเลย” ผมพูดเสียงเบา

“แล้วมึงรู้สึกกับเขายังไงละ มึงรักเขาหรือเปล่า” ไปป์ถามผม  โดยพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“คือ............ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมตอบตามความจริง

“ถ้ากูกับปีเตอร์เป็นแฟนกัน มึงจะว่ายังไงวะ” ผมรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามไปป์

“กูก็ต้องยินดีกับมึงสิวะ มึงเป็นเพื่อนรักของกู มึงรักใครกูก็รักด้วย” ไปป์ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่นัยน์ตาเศร้า

“แต่....แต่ความจริงแล้วกูชอบ มะ....”

“ไม่ต้องมีแต่ความรักไม่มีข้อแม้อยู่แล้ว มึงได้เจอคนที่รักมึง กูในฐานะเพื่อนก็ต้องยินดีด้วย”  ไปป์พูดสวนขึ้นมาทำให้ผมหมดโอกาสที่จะพูดต่อ

“มึงเห็นแล้วใช่มั้ย  ถ้ากูตอบตกลงกับปีเตอร์ก็หมายความว่ากูพร้อมที่จะทำตามกฎ ห้าข้อที่ปีเตอร์เขียนมา แล้วข้อที่เขียนไว้ว่าห้ามเห็นเพื่อนสำคัญกว่าแฟน มึงโอเคมั้ย ถ้ากูกับมึงต้องห่างกันกว่าเดิม”  ผมถามด้วยเสียงสั่นๆ

“มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก ความสุขของมึงสักวันนึงกูก็ต้องพูดอย่างนี้กับมึง  ไม่ว่าใครก็ต้องมีคนรักไม่มีใครอยู่กับเพื่อนไปตลอดชีวิตหรอก”

“นี่ก็แสดงว่า.........”  ผมกำลังเดา

“ใช่  แล้วอีกอย่างตอนนี้กูก็มีคนที่กูรักอยู่แล้ว  แต่เค้ายังไม่พร้อมที่จะรักกู  แต่กูเชื่อว่าสักวันนึงเค้าคงใจอ่อน  กูก็ได้แต่หวังให้เขารับรู้ความรู้สึกของกูสักที” ไปป์พูดพลางมองหน้าผมด้วยแววตาเศร้า

“อ่ะ นี่ปากกา  เขียนตกลงสิอย่าให้คนที่รักเรารอนาน สงสารใจคนรอบ้าง มึงต้องรีบตัดสินใจก่อนที่จะสายเกินไป”  ไปป์พูดพร้อมยื่นปากกาให้ผม

“ถ้ามึงไม่ว่าอะไรกูจะได้สบายใจ”  ผมรับปากกามาจากไปป์  แล้วมองไปที่การ์ดอย่างพิจารณา ตอนนี้ผมรู้สึกหนักใจไม่รู้ว่าจะเขียนตอบอย่างไรดี

“งั้นกูกลับบ้านแล้วนะปอนด์  มีอะไรก็ปรึกษากูได้นะ ขอให้มึงมีความสุข”  ไปป์เดินคอตกกลับไป ผมอยากจะรั้งเขาไว้แต่ไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆออกมาได้เลย ผมได้แต่ยืนมองไปป์ เดินออกจากบ้านของผมไปไกลเรื่อยๆผ่านทางหน้าต่างห้องนอนของผมก่อนจะพ้นสายตาไปป์หันหลังกลับมาแล้วมองตรงมาที่ห้องนอนของผมอีกครั้งทำให้ผมต้องรีบหลบหลังผ้าม่าน ผมแอบมองไปป์ผ่านทางช่องเล็กๆของผ้าม่านถึงแม้จะไกลจนมองไม่เห็นสีหน้าของไปป์แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเศร้าแปลกๆพี่เกิดขึ้น ไปป์หันหลังกลับไปแล้วเดินต่อยก
แขนข้างหนึ่งขึ้นขึ้นปาดหน้า แล้วยกมืออีกข้างขึ้นปาดบ้าง ผมเข้าใจว่าคงปาดเหงื่อ แต่ทำไมระยะปาดจึงต่ำกว่าระดับหน้าผากเหมือนกำลังปาดหรือเช็ดอะไรบริเวณดวงตา จะว่าไปท่าทางของไปป์คล้ายๆกับผมที่ยืนสะอื้นไห้อยู่ข้างกระจกนั้น พร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างปิดดวงตาเอาไว้ เพื่อกั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาภายนอก

                                                                                   ..............................................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 21:18:41 โดย haeinpark »

ออฟไลน์ Cha Ris Ma

  • สาระไม่ค่อยมี...หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +670/-0
 :กอด1: มาให้กำลังใจเรื่องใหม่

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ะโอ ตอนที่ 5 มาแย้ว
ความเดิม หลังจากที่ไปปืได้รู้ความจริงว่าปอนด์เพื่อนรักของเขากำลังจะมีแฟน เขาก็ยินดีด้วยความจำใจเพื่อให้เพื่อนสมหวังในความรัก เมื่อเห็นท่าทีอันเศร้าสร้อยของเพื่อน ปอนด์จะตัดสินใจอย่างไรในความรักครั้งนี้ ติดตามได้ตอนนี้เรยงับ งับ

                                                                   .....................................

ตอนที่ 5 ลางร้ายแห่งรัก

          วันรุ่งขึ้น ผมถือการ์ดสีชมพูไปที่โรงเรียน ก็แสดงว่าผมได้ตัดสินใจดีแล้ว ผมตั้งใจจะมอบการ์ดให้ปีเตอร์ทันทีที่ถึงโรงเรียน ผมข้ามถนนไปถึงฟากโรงเรียน ซึ่งตอนนี้บริเวณหน้าโรงเรียนมีเพื่อนรักของผมทั้งคู่รออยู่ คือแนนกับฝนนั่นเอง

“ปอนด์ ในที่สุดแกก็ตัดสินใจตอบตกลงแล้วใช่มั้ย ดีใจแทนปีเตอร์อ่ะ” แนนทักเมื่อเห็นสิ่งของในมือผม

“เพื่อนเราก็เป็นฝั่งเป็นฝากันแล้ว ส่วนเราก็เหงาต่อไป” ฝนพร่ำรำพัน ผมได้แต่ยิ้มให้ไม่ตอบเพื่อนแม้แต่คำเดียว

          ปีเตอร์กำลังเดินมาหาผม เค้าคงจะสังเกตเห็นการ์ดในมือจึงเดินยิ้มแก้มปริ ปรี่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว

“ปอนด์ ตอบตกลงแล้วใช่มั้ย ดีใจที่สุดเลย” ปีเตอร์ทำท่าจะกระโดดดีใจ แต่ผมยื่นการ์ดให้ก่อน

“อ้าว ปอนด์ไม่เห็นจะเขียนอะไรเลย” ปีเตอร์ถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นหน้ากระดาษว่างเปล่า

“ปีเตอร์ ฟังเราให้ดีนะ เราขอบใจที่ปีเตอร์มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเรา เรายอมรับว่าเราก็มีความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ให้ปีเตอร์ พูดง่าย ๆ คือเราก็รักปีเตอร์เหมือนกัน แต่จะให้เรารักแต่ปีเตอร์ ห่วงแต่ปีเตอร์โดยที่ละเลยคนรอบข้างอย่างเช่นเพื่อน เราทำไม่ได้ กฎ 5 ข้อของปีเตอร์ เราขอข้อนึงได้มั้ย ขอให้เราได้มีโอกาสห่วงใยคนรอบข้างได้บ้าง เราคิดว่าปีเตอร์คงให้เราได้” ผมพูดอธิบายเหตุผลให้ปีเตอร์เข้าใจถึงสาเหตุที่ผมไม่ได้ตอบตกลง

“นึกว่าเรื่องอะไร เราต้องขอโทษ ที่คิดกฎเห็นแก่ตัวแบบนี้ขึ้นมา เรารู้ว่าปอนด์เป็นคนดี ห่วงคนรอบข้างเสมอ ทำตามที่ใจตัวเองต้องการเถอะปอนด์ กฎพวกนี้ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป” ปีเตอร์พูดจบก็ฉีกสัญญาทิ้งต่อหน้าผม ทุกคนต่างตกใจในการกระทำของปีเตอร์

“ปีเตอร์ โกรธเราเหรอ ทำไมต้องฉีกสัญญาทิ้ง” ผมถามด้วยอาการตกใจ

“ไม่ใช่หรอกปอนด์ ต่อไปนี้เราจะคบกันแบบบริสุทธิ์ใจ ถ้าเราจริงใจต่อกันกฎอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เราดีใจที่ปอนด์บอกว่ารักเรา ก็แสดงว่าปอนด์ตกลงจะคบกับเราแล้วใช่มั้ย” ปีเตอร์มองผมด้วยสายตาชื่นชมแล้วยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

“อืม” ผมตอบเขิน ๆ ปีเตอร์เดินเข้ามาสวมกอดผม ผมรู้สึกว่าตอนนี้ความสุขกำลังวิ่งผ่านตัวเราไป ถึงแม้คนรอบข้างจะมองมาแต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะอายแล้วตอนนี้แนนกับฝนร่วมร้องเพลงอวยพรให้เราอย่างสนุกสนาน ผมยอมรับว่าผมมีความสุขที่สุดในช่วงเวลานี้

        หลังเคารพธงชาติ ปีเตอร์เดินจูงมือผมเข้าเรียนแม้จะมีสายตาจากใครต่อใครมองมาตลอด แต่ปีเตอร์ก็ไม่หวั่นกลัวเลย เดินจูงมือผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดินเข้ามาถึงในห้องเรียน เพื่อนทั้งห้องแซวเรากันยกใหญ่ ผมและปีเตอร์ก็ต้องเขินอายเป็นธรรมดา ปีเตอร์ย้ายที่มานั่งข้างหลังผม เหมือนบรรยากาศเป็นใจ ทุกคนแลดูยินดีไปกับความรักครั้งนี้ของเรา ยกเว้นนายปาล์มที่จ้องมองพวกเราตาขวางราวกับว่าโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน

“เตอร์ ดูปาล์มสิ นั่งมองแกทำหน้าแปลก ๆ” ฝนสังเกตเห็นแล้วเริ่มเล่า

“หล่อแต่นิสัยไม่ดี ขี้อิจฉาอีกต่างหาก” ยัยแนนเสริม

“ช่างเค้าเหอะ เราก็ไม่ต้องไปสนใจ คงไม่มีอะไรหรอก” ผมรีบตัดบท คาบเรียนนี้ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย เพราะนายปาล์มเล่นจ้องมองมาที่พวกเราตลอดเวลา ราวจะกินเลือดกินเนื้อ

         หลังจากกินข้าวเที่ยง ผมก็ขอตัวไปห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ด้วยความที่ชอบความเงียบสงบ ผมตัดสินใจไปเข้าห้องน้ำที่ตึกหลังโรงเรียน ซึ่งเก่ามากแล้วคงไม่มีใครไปเข้าที่นั่นกันมากนัก ขณะที่กำลังทำธุระอยู่นั้นผมก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีคนมาเดินวนไปมาบริเวณห้องน้ำที่ผมเข้าอยู่ ผมมองด้วยความสงสัย และรอจนกว่า คน ๆ นั้นจะออกจากห้องน้ำไป เมื่อเขาไปแล้ว ผมบิดลูกบิดประตูเตรียมออกมาข้างนอก แต่ปรากฏว่าบิดเท่าไรก็บิดไม่ออก เหมือนมีคนล็อกจากด้านนอก ผมรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายนั้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคิดว่าจะโทรไปหาเพื่อนที่รู้จัก แต่ผมไม่มีเบอร์ของใครเลยไม่ว่าจะเป็นแนน ฝนหรือปีเตอร์

“โครตซวยเลย ไม่ได้ขอเบอร์ใครไว้ด้วย” ผมบ่นกับตัวเองแล้วตัดสินใจเรียกให้คนช่วย แต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีคนได้ยิน

ไม่น่ามาเข้าห้องน้ำหลังโรงเรียนเลย ไม่ค่อยมีใครมาเข้าด้วย” ผมเริ่มโทษตัวเอง ห้องน้ำหลังโรงเรียนนี้กำลังจะถูกทุบทิ้งเนื่องจากโรงเรียนกำลังจะสร้างตึกใหม่แทนตึกเก่า หลังโรงเรียนจึงเคลียร์พื้นที่ไว้รอการก่อสร้าง อาจารย์จึงห้ามนักเรียนไม่ให้ไปบริเวณนั้น ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดและร้อนมาก เพราะอากาศที่อบอ้าวและความแคบของห้องน้ำ ผมพยายามถีบประตูหลายครั้งแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าประตูจะเปิดออก ผมอยู่กับความเงียบนานสองนาน ผมก็ได้ยินเสียงรถใกล้เข้ามา เมื่อเงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วผมจึงได้รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงรถที่ใช้ทำการก่อสร้างแน่นอน พลันความคิดผมก็นึกถึงคำที่ ผอ. เตือนเมื่อเช้าว่าจะมีการทุบตึกนี้ทิ้งตอนเที่ยง ผมใจหายวาบเมื่อมองไปที่นาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้วนิดหน่อย ผมพยายามตั้งสติแล้วคิดหาวิธีเอาตัวรอดต่างๆนานา เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ คนเดียวที่ผมนึกถึงคือไปป์ เพื่อนที่ผมรักมากที่สุด

“ฮัลโหล ไอ้ไปป์ ช่วยกูด้วย กูติดอยู่ในห้องน้ำหลังโรงเรียน เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก ตอนนี้มีรถเข้ามาทุบตึกนี้แล้ว กูกลัวไปป์ มึงต้องรีบๆมานะเว่ย กูหายใจไม่ค่อยออกมันอึดอัดมาก” เมื่อไปป์กดรับสายปุ๊บผมก็ไม่รอช้าขอความช่วยเหลือทันที

“ใจเย็นๆนะเว่ยปอนด์ กูจะไปช่วยมึงเดี๋ยวนี้แหละ” ไปป์ตอบน้ำเสียงตกใจ แฝงความห่วงใยต่อผมจนรู้สึกได้
        
       หลังจากที่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับผม ไปป์ก็ไม่รอช้ารีบยืมมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนบิดมาอย่างเร็ว พลางโทรศัพท์หาท้อปเพื่อให้ท้อปที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ช่วยก่อนเบื้องต้น แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

       ในขณะเดียวกัน แนน ฝน และปีเตอร์ก็เริ่มเอะใจในการหายตัวไปของผม ทั้งสามคนจึงยอมโดดเรียนมาตามหาผมตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ไม่เจอ ก็เลยพากันไปห้องทะเบียนเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อถึงผม

“กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในเวลาไม่ถึงห้านาที

“ปอนด์ กูมาถึงแล้ว มึงยังไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ไปป์โทรมาถามไถ่อาการผมด้วยดวามเป็นห่วง

“กูกลัวไปป์ ตอนนี้เหมือนเค้าจะเริ่มทุบตึกแล้ว กูรู้สึกว่าตึกมันสั่นๆ รีบตามคนมาช่วยกูทีนะ” ผมละล่ำละลักบอก น้ำเสียงสั่นเครือ

“ไม่ต้องกลัวนะมึง กูมาถึงที่นี่แล้ว ยังไงกูต้องช่วยมึงออกมาให้ได้” ไปป์พูดน้ำเสียงจริงจัง ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงไปป์เล่าเรื่องของผม และอ้อนวอนให้คนเหล่านั้นมาช่วยผมดังมาเป็นระยะ ไปป์ไม่ได้วางสายเพราะกลัวว่าผมจะตื่นกลัวเกินไป ความห่วงใยที่ไปป์มีให้ผมวันนี้ ทำให้ผมนึกย้อนไปในวันแรกที่เรารู้จักกัน ความรู้สึกแบบนี้ไปป์ยังคงมีให้ผมอยู่เหมือนเดิมไม่ได้จางหาย ผมรู้สึกอุ่นใจมากที่มีไปป์อยู่ใกล้ๆแม้ว่าจะเป็นเพียงแต่เสียง แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกกลัวเต็มทีแล้วก็ตาม

          หลังจากที่ได้ทราบข่าวจากไปป์แล้ว ยามหน้าโรงเรียนรายงานเรื่องนี้ไปให้ ผอ. รับทราบ ผอ. จึงได้มอบหมายให้การทุบทำลายตึกระงับก่อนชั่วคราว ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่หยุดลง ผมรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ด้วยความที่ตึกถูกทุบทำลายที่ชั้นบนไปมากทำให้เพดานห้องน้ำเริ่มยุบลงมาอย่างเห็นได้ชัด

“ปอนด์ เป็นยังไงบ้าง” เสียงของไปป์ดังลอดหูของโทรศัพท์เข้ามา

“ไอ้ไปป์ เพดานมัน ๆ ๆ จะถล่มแล้ว.....โอ๊ยยยยย!” ผมร้องตกใจที่จู่ ๆ แผ่นปูนเพดานร่วงลงมาในห้องน้ำที่ผมอยู่ ผมรีบกระโดดไปให้ชิดกำแพงด้านใน ซึ่งตอนนี้แผ่นปูนแผ่นใหญ่ที่ร่วงทับโถส้วมจนแตกแหลกละเอียด

“ปอนด์ มึงเป็นอะไรไป” ไปป์ตะโกนถามผม เมื่อได้ยินผมร้องเสียงหลง

“มึง เพดานมันถล่มลงมาแล้ว” ผมตอบเสียงสั่น

“แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บรึเปล่า” ไปป์ถามผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม ขณะที่คุยกันอยู่นั้นโทรศัพท์สายซ้อนก็เรียกเข้ามาในเบอร์ของผม เป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่ได้เมมเอาไว้ ผมเผลอกดรับสายทั้งที่ใจคิดว่าจะไม่รับเพราะต้องการคุยกับไปป์จนกว่าจะออกไปข้างนอกได้

“ฮัลโหล” ผมรับด้วยน้ำเสียงอิดโรย

“ปอนด์ ปอนด์รึเปล่าครับ เราปีเตอร์เองนะ ปอนด์อยู่ที่ไหนครับ เราเป็นห่วงปอนด์มากเลยรู้มั้ย” ปีเตอร์ถามด้วยความห่วงใยเมื่อผมกดรับสาย

“ปีเตอร์ ช่วยเราด้วย เราติดอยู่ในห้องน้ำหลังโรงเรียน เราออกไปไม่ได้ เค้ากำลังจะทุบตึกนี้ทิ้ง เรากลัว ช่วยเราด้วยปีเตอร์” ผมเล่าด้วยความหวาดกลัว

“อะไรนะ ปอนด์ ใจเย็นๆๆนะเราจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ปีเตอร์วางสายไป น้ำเสียงของเขาแลดูเป็นกังวล น้ำความเป็นห่วงผมไม่ต่างจากไปป์ ทำให้ผมใจชื้นขึ้น

           ปีเตอร์ รีบบอกแนนและฝนถึงเรื่องนี้ แล้วรีบวิ่งมาที่ห้องน้ำหลังโรงเรียนทันที ในขณะที่ไปป์ก็กำลังตามคนมาช่วยผมเหมือนกัน

ปีเตอร์ใช้ความชำนาญพื้นที่วิ่งมาถึงก่อน แล้วเรียกตะโกนชื่อผมเสียงดังลั่น เมื่อผมได้ยิน ผมจึงรีบขานรับกลับไปโดยเร็ว ปีเตอร์วิ่งมาถึงห้องน้ำที่เกิดเหตุ แล้วกระแทกประตูห้องน้ำห้องที่ถูกล็อคจากด้านนอกซึ่งเป็นห้องที่ผมกำลังเผชิญชะตากรรมเลวร้ายอยู่

“ปีเตอร์” ผมเรียกชื่อคนที่มาช่วยผม ด้วยแรงกระแทกอันหนักหน่วงทำให้ประตูเปิดออกอย่างไม่ยากนัก

“ปอนด์ เรามาช่วยปอนด์แล้วนะ ไม่เป็นไรนะครับ เตอร์อยู่นี่แล้ว ขวัญเอ๊ยขวัญมา” เมื่อปีเตอร์เปิดประตูสำเร็จก็รีบเข้ามาสวมกอดผม แล้วปลอบผมด้วยความรัก

“ปอนด์คงเหนื่อยมาก เดี๋ยวเราอุ้มปอนด์ออกไปนะ” ปีเตอร์เสนอ แล้วอุ้มผมขึ้นในอ้อมแขนของเขา ผมหลับตาพริ้มลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเกิดขึ้นภายในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่น


“ปีเตอร์อุ้มผมที่เหนื่อยล้าเต็มทีออกมาที่ด้านนอกตึก เขาค่อยๆวางผมลงอย่างอ่อนโยน

“ขอบใจปีเตอร์มากเลยนะที่ช่วยเราถ้าไม่ได้นายช่วยไว้เราต้องแย่แน่ๆเลย” ผมเอ่ยอายๆ

“เมื่อคนที่เรารักกำลังลำบาก จะให้เราอยู่เฉยๆได้ยังไง ปอนด์เห็นแล้วใช่มั้ยครับ ว่าเตอร์รักปอนด์มากแค่ไหน” ปีเตอร์พูดเสียงจริงใจ ผมมองใบหน้าคนที่รักผมอีกครั้ง แล้วเราก็โผเข้ากอดกันอีกครั้ง ผมซุกหน้ากับไหล่อบอุ่นนั้นอยากให้เวลาหยุดหมุน ผมรู้สึกอยากจะสัมผัสอ้อมกอดนี้นานๆ

“ปะ................ ปอนด์”  เสียงที่คุ้นเคยของไปป์ดังขึ้น ใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อยของไปป์ที่พยายามมาช่วยผม ทำให้ผมเกิดความละอายจึงรีบคลายอ้อมกอดออกจากปีเตอร์ ผมทำหน้าไม่ถูก ไปป์เองก็เช่นกัน ใบหน้าที่ซีดเผือดยากเกินคาดเดาความรู้สึก ปีเตอร์มองไปป์งงๆ แล้วจับมือผมแน่นพาเดินไปหาไปป์ที่กำลังมองมา

“ไปป์ มึงมาช่วยกูจริงๆด้วย กูขอบใจมึงมากนะ” ผมพูดขอบคุณในความมีน้ำใจของไปป์ ที่พยายามมาช่วยผม

“กูยังไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลย เค้าต่างหากที่ช่วยมึงออกมา มึงควรจะขอบคุณเค้ามากกว่านะ ไม่ต้องขอบคุณกูหรอก” ไปป์พูดเสียงอ่อน

“เออ! ไปป์เนี่ย ปีเตอร์นะ แฟนกูเอง”  ผมแนะนำไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ส่วนคนนี้ชื่อไปป์นะ เป็น........... เพื่อนของเรา” ผมแนะนำไปป์ต่อให้ปีเตอร์รู้จัก

“อ๋อ! ไปป์คนนี้นี่เองยินดีที่ได้รู้จักครับ ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลปอนด์มาโดยตลอด ปอนด์ไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับนายให้เราฟังซักเท่าไหร่เลย งั้นถ้าว่างๆเดี๋ยวเราไปทานข้าวด้วยกันดีมั้ย จะได้ทำความรู้จักกันกว่านี้” ปีเตอร์ทักน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับไปป์ที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“เราฝากดูแลปอนด์ด้วยนะ ปอนด์เป็นแฟนนาย นายอย่าทำให้ปอนด์เสียใจเด็ดขาด” ไปป์พูดใบหน้าจริงจัง ทำให้ปีเตอร์ที่ฟังอยู่หลุดขำกับคำพูดแปลกๆ ที่ได้ยิน

“นายไม่ต้องห่วงหรอกเพื่อน เรารักปอนด์มากแล้วก็หวงมากๆด้วย ไม่มีทางที่เราจะทำให้ปอนด์เสียน้ำตาเด็ดขาด “ ปีเตอร์พูดขำๆ แล้วหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“เป็นยังไงบ้าง ปอนด์ เพื่อนทั้งห้องกรูกันออกมาเมื่อรู้ข่าวจากแนนและฝน ทุกคนถามไถ่อาการผมกันยกใหญ่ด้วยความเป็นห่วง ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ

“อ้าว! ไปป์นายมาได้ยังไงเนี่ย” ท้อปถามเมื่อเห็นไปป์เข้ามาอยู่ในโรงเรียน

“ก็................... ปอนด์โทรตามเราให้มาช่วย แต่โชคดีแฟนเค้าช่วยไว้ได้ก่อน ไม่งั้นแย่เลย” ไปป์ตอบฝืนยิ้ม

“นี่ใครวะปอนด์ น่ารักดีว่ะ” ฝนถามเมื่อเห็นไปป์

“โครตจะแมนเลย เท่ห์ สมาร์ท เป๊กเลยหว่ะ เพื่อนแกเหรอวะปอนด์” ยัยแนนกระเซ้าถามบ้าง

“อือ! ก็ไปป์ที่เคยเล่าให้ฟังอ่ะ” ผมตอบสั้นๆ

“น่ารักขนาดนี้ ไม่น่าปอนด์ถึงได้.............................” ยัยฝนกำลังจะหลุดปากพูด แต่ถูกยัยแนนสกัดไว้ทัน

“ฝน แกนี่ปากปีจอจริงๆเลยนะเงียบไปเลย” แนนปราม

“เดี๋ยวเราแนะนำให้นะ เฮ้ยไปป์มานี่ดิ๊” ผมเรียก พยายามเบนปะเด็นสนทนา

“นี่ แนน ฝน เพื่อนสนิทของกู” ผมแนะนำอย่างห้วนๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” แนนกับฝนตอบแทบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“เอ่อ! ปอนด์ กูมานานมากแล้วคงต้องกลับไปเรียนต่อ ไปก่อนนะ ลาก่อนครับทุกคน” ไปป์บอกลา ก่อนกลับหลังเดินไป จังหวะการเดินที่ช้ากว่าที่เคยของไปป์ ดูไม่คุ้นเคยเหมือนเพิ่งจะเคยเป็นแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น คนที่เดินช้าลง เค้าว่าอาจเกิดจากการครุ่นคิดอะไรบางอย่างอย่างหนักขณะเดิน จึงทำให้จังหวะในการเดินช้าลง อยากรู้จริงๆว่าไปป์กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะไปป์เดินไปแต่ละก้าวนั้นช้ามากและยิ่งไปกว่านั้นยังเดินไม่ตรงทางอีกด้วย เหมือนกับว่าไม่ได้มองทางเลยขณะเดิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 21:20:01 โดย haeinpark »

ออฟไลน์ beernp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ขยันลงเจงๆๆเลยน๊า น้อง sunny
หิวข้าววว แต่ยังอ่านไม่จบ...
เลยต้องอ่านให้จบก่อนไปทานข้าว 55+
แล้วจะรออ่านะคร้า :L2:

forest

  • บุคคลทั่วไป
สนุกจัง  น่ารักด้วย o13 o13จะรออ่านต่อนะครับ :o8:

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วตอนที่ 6 มาเร็ววววว มาอ่านกันงับๆๆๆ
  ความเดิม  ปอนด์ตัดสินใจคบกับปีเตอร์ โดยมีข้อแม้ให้เปลี่ยนแปลงกฎในการคบกันที่ยากต่อการตัดสินใจออกไป ปีเตอร์ไม่ขัดข้องทำให้ทั้งคู่คบได้กันอย่างเปิดเผย แต่จู่ๆก็เกิดเหตุร้ายกับปอนด์ ปอนด์ถูกกลั่นแกล้งด้วยการขังไว้ในห้องน้ำในตึกที่กำลังจะถูกทุบทิ้ง ปอนด์ขอร้องให้ไปป์มาช่วย แต่ความพยายามของไปป์นั้นดูไร้ค่าไปทันที เมื่อแฟนตัวจริงอย่างปีเตอร์ช่วยปอนด์ไว้ได้ก่อน เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อจิตใจของไปป์อย่างหนักหน่วง หรือเพื่อนอย่างไปป์จะหมดความหมายไปแล้วจริงๆสำหรับปอนด์ ติดตามต่อ ตอนที่ 6

                                                           ...............................................

ตอนที่ 6 สับสน

             หลังเหตุการณ์เลวร้ายนั้นผ่านพ้นไป ผมพยายามไม่พูดถึงสิ่งผิดปกติก่อนเกิดเหตุที่ผมรู้สึกกับใครเลย แม้กระทั่งปีเตอร์ ผมพยายามลืมมันไป แต่ดูเหมือนว่ายิ่งคิดจะลืมยิ่งกลับฝังใจกว่าเดิม เวลามีคนมาถามผมก็จะโทษความสะเพร่าของตัวเองที่เข้าไปใช้ห้องน้ำที่นั่น ทั่งๆที่มีประกาศติดเสียทั่วโรงเรียนว่ากำลังจะทุบตึกนั้นทิ้ง แต่เรื่องที่กุญแจถูกล็อคจากด้านนอกนั้น ผมให้คำตอบไม่ได้จริงๆ ปีเตอร์แลดูเป็นห่วงผมมาก ติดผมแจไปทุกที่เลยแม้จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีและอบอุ่นใจ หลังจากนั้นทุกเย็นปีเตอร์ก็จะขับรถไปส่งผมถึงบ้าน นอกจากนี้ยังทำโทษที่ผมไม่ยอมเมมเบอร์โทรศัพท์ของเขา ด้วยการให้คัดเบอร์ของเค้าทุกวัน วันละหนึ่งหน้ากระดาษเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เล่นเอาผมจำเบอร์ได้ขึ้นใจเลย ด้วยความที่เราใกล้ชิดกันมากๆ จนเรียกว่าตัวติดกันเลยก็ว่าได้ทำให้ผมยิ่งห่างไกลกับไปป์มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อผมจึงส่งข้อความไปหาไปป์ทุกวัน แต่ทว่าไม่มีข้อความตอบกลับมาเลยแม้แต่ข้อความเดียว ความห่างไกลที่ไม่คุ้นเคย เริ่มทำให้ผมคิดถึงไปป์อย่างไม่มีเหตุผล วันนั้นผมไม่มีนัดกับปีเตอร์พอดี ก็เลยตัดสันใจไปหาไปป์ที่บ้านโดยไม่ได้โทรบอกล่วงหน้า

            เมื่อมาถึงหน้าบ้านของไปป์ ประตูหน้าบ้านที่เปิดอ้าไว้ ทำให้ผมสามารถเข้าไปในบ้านได้โดยไม่ต้องเรียกไปป์มาเปิดประตูให้ ผมเดินตรงไปที่ห้องนอนด้วยความแน่ใจว่ามีคนอยู่เนื่องจากได้ยินเสียงแว่วมา เมื่อเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยดังลอดออกมา

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ ไปป์เนี่ย คิดผิดหมดเลย เราบอกแล้วไงว่าถ้าเป็นโจทย์แบบนี้ต้องคิดยังไง” เสียงผู้ชายคนนั้นดังขึ้น คุ้นๆแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร


“อ้าว...เหรอ ว้า คิดผิดมาตั้งนาน งั้นเดี๋ยวลองใหม่” ไปป์ตอบน้ำเสียงผิดหวังเล็กๆ เสียงเงียบไปพักหนึ่ง

“โอเค เก่งมากนายคิดถูกแล้ว ไปป์นี่ก็หัวดีไม่ใช่เล่นเลยน้า สอนแป๊บเดียวคิดได้เลย” ผู้ชายบอก น้ำเสียงใสแสดงความรู้สึกชื่นชมไม่น้อย ผมยืนนึกอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออกว่าเสียงแปลกที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของใคร ก็เลยเดินเข้าไปใกล้ขึ้นๆ พยายามเอาหูแนบประตูห้อง พลันหูก็ได้ยินเสียงกุกกักในห้องด้วยความตกใจผมเลยก้าวถอยหลังออก แต่ด้วยความซุ่มซ่ามประกอบกับไม่ได้ดูทางก่อนถอยก็เลยทำให้เท้าของผมไปเตะเข้ากับลังกระดาษที่วางซ้อนกันอยู่หน้าห้องไปป์ล้มลงครืน ผมอุทานเสียงดังด้วยความตกใจแล้วรีบเอามือปิดปากไว้กันไม่ให้เสียงตัวเองลอดออกมาอีกและพยายามจะวิ่งหนีไป แต่ไม่ทันเสียแล้วไปป์เปิดประตูออกมาก่อนแล้วมองผมด้วยใบหน้าฉงน ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มแหยๆ

“ปอนด์ มึงมาเมื่อไหร่เนี่ย” ไปป์ถามผม พร้อมกับผู้ชายคนนั้นซึ่งก็คือ ท้อป ที่โผล่หน้าออกมาพ้นประตูห้องมองมาที่ผม

อ้าว!ปอนด์นั่นเอง ดีเลยมาช่วยกันสอนไปป์คิดเลขกันเถอะ เราคนเดียวแทบแย่” ท้อปบ่นน้ำเสียงแกมหยอก

“อย่างเนี้ยไปป์ต้องสอบได้คะแนนดีแน่ๆ มีติวเตอร์คนเก่งมาสอนถึงที่บ้าน” ผมพูดพยายามทำน้ำเสียงให้ขัน แต่พอพูดจบเหมือนพูดประชดยังไงก็ไม่รู้

“มาคนเดียวเหรอ ปอนด์ ปีเตอร์ไม่มาด้วยเหรอ”ท้อปถาม

“อ๋อ เค้าไม่ว่าง เราผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะมาเฉยๆ” ผมโกหกตอบไป

“แล้วบอกปีเตอร์หรือเปล่าว่ามาคนเดียว เดี๋ยวนายนั่นจะโกรธเอาน้า คิดดูดิไปป์น่าอิจฉาปอนด์แค่ไหน มีแฟนทั้งหล่อ รวย แถมเอาใจเก่ง แล้วที่สำคัญเป็นห่วงเป็นใยคนรักเอามากๆแบบเนี้ย” ท้อปเล่า

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”ผมพูดแก้ตัว เมื่อเห็นใบหน้านิ่งสนิทของไปป์

“ดูดิไปป์ ปอนด์อายใหญ่เลย ความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยันค่ำนั่นแหละปอนด์ หลอกคนอื่นได้แต่ว่าหลอกตัวเองไม่ได้หรอก ดีจะตายมีแฟนดีๆ คอยไปรับไปส่งทุกวัน ไม่เห็นต้องปิดบังเลย” ท้อปยังฝอยต่อ ชักจะรู้มากเกินไปแล้ว ผมเห็นท่าไม่ดีขืนอยู่ต่อมีหวังท้อปเล่าเรื่องของผมจนหมดเปลือก ทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือต้องรีบกลับให้เร็วที่สุด

“งั้น เรากลับก่อนดีกว่า เออ..ไปป์กูส่งข้อความหาได้รับมั่งป่าววะ ถ้าได้ก็ส่งกลับมาหากูบ้างนะเว่ย กูเป็นห่วง” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากบ้านไป ไม่มีการตอบรับจากไปป์ที่ยืนหน้านิ่ง สายตาเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ผมเดินกลับบ้านด้วยใจที่ไม่สบายนัก เดินครุ่นคิดมาตลอดทาง ผมคิดหลายเรื่องจนไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรบ้างความคิดตีกันวุ่นวายไปหมด

“ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน” เสียงแตรรถดังกระชั้นจนผมสะดุ้ง ผมตกใจมากที่พบว่าตัวเองมายืนอยู่กลางถนน ทั้งที่ผมเดินเลาะตามฟุตบาทมาแท้ๆ ผมรีบเดินกลับไปที่ฟุตบาทแล้วมองกลับไปเบื้องหลัง พลางบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ

“ เดินมาตั้งนานแล้ว ยังไม่พ้นเขตบ้านของไอ้ไปป์อีกเหรอเนี่ย ทำไมกูเดินช้าแท้”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 21:21:25 โดย haeinpark »

Chinnawut

  • บุคคลทั่วไป
ปอนด์ น่าร๊าาาาากกกก






จาเอาๆๆๆ
 :z3:










ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
^
^
^


เฮียแกเป็นอารายอ่ะ 55+


คนชื่อท้อปนี่ยังงายหว่า น่า :z6: จริงๆๆ


ที่มอมีลูกครึ่งคนนึง เด็กรัดสาด...เค้าน่ารักดี  :o8:

งั้นเบียร์เชียร์ปีเตอร์น๊า....55 เกี่ยวไรกันฟระ~

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
 ตอนที่7 กำลังจะมาแร้วววววววว :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
 ตอนที่ 7

 ความเดิม หลังเหตุการณ์เลวร้ายนั้นผ่านไป ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ความสัมพันธ์ฉันท์แฟนอันเหนียวแน่นของปอนด์และปีเตอร์กำลังไปได้สวยแต่กลับทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของไปป์และปอนด์สั่นคลอน ยิ่งรู้ว่าท้อปใกล้ชิดไปป์มากเกินไปแล้ว ปอนด์จะทำอย่างไร คนนั้นก็รัก คนนี้ก็หวง หรือว่า
ปอนด์ของเราอยากจะจับปลาสองมือซะแล้ว ลุ้นกันต่อตอนนี้เลย

                                                                 ...........................................

ตอนที่ 7 เรื่องน่าสงสัย

           กีฬาสีของโรงเรียนกำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน รุ่นพี่เรียกประชุมพวกเราถี่ยิบ ห้องของผมได้อยู่สีชมพู สีที่ทำผลงานดีมาโดยตลอด ดังนั้นรุ่นพี่จึงเคร่ง และคาดหวังกับพวกเราไว้มาก พอเริ่มแบ่งหน้าที่ ผมก็โดนรุ่นพี่รบเร้าให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ แต่ด้วยความที่ผมไม่มีทักษะในการเต้น และเป็นคนความจำสั้น จึงขอไปทำอย่างอื่น ในที่สุดสิ่งที่รุ่นพี่บอกว่าเหมาะสมกับผมที่สุดนั่นคือ การเป็นดรัมเมเยอร์ ส่วนปีเตอร์ก็ถูกคัดเลือกให้แข่งกีฬาว่ายน้ำ ร่วมกับนักกีฬาในห้องอีกคนก็คือนายปาล์มจอมลึกลับ ยัยแนนกับยัยฝน ก็ถูกคัดเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ แต่เป็นหรีดโจ๊ก สมใจพวกเธอ

            ทุกเย็นหลังเลิกเรียนผมมีหน้าที่ต้องซ้อมเดิน ซ้อมควงไม้คฑาที่โรงเรียน โดยมีปีเตอร์มาคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ปีเตอร์จะคอยหาขนมและเครื่องดื่มเย็นๆมาให้ผม แม้การซ้อมจะเหนื่อยจนเหงื่อโทรมกายแต่ปีเตอร์ก็เตรียมผ้าเย็นๆมาคอยซับเหงื่อให้ผมทำให้ผมหายเหนื่อยและซ้อมได้ดียิ่งขึ้น ความหวานของเราทำให้รุ่นพี่ที่ซ้อมคฑาให้ผมพากันแซวไม่หยุดปาก บางครั้งผมอายมากจนต้องไปยืนห่างๆปีเตอร์ เมื่อปีเตอร์เห็นก็จะตามติดผมไม่ยอมให้ผมออกห่างจากตัวเลย เท่านั้นยังไม่พอยังมากอดหอมผมต่อหน้าคนอื่นอีก ผมอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีมากๆๆๆๆๆๆ

          หลังจากซ้อมคฑาเสร็จ หน้าที่ของผมยังคงไม่หมดไป ผมต้องตามปีเตอร์ไปที่สระว่ายน้ำเพื่อรอปีเตอร์ซ้อมว่ายน้ำอีก เมื่อมาถึงปีเตอร์ก็ไปเปลี่ยนชุดเตรียมซ้อม ปล่อยให้ผมนั่งรอบนอัฒจรรย์คนเดียว ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว นาฬิกาบอกเวลา หกโมงกว่าๆ ผู้คนในโรงเรียนเริ่มซา คงเหลือแต่นักกีฬาว่ายน้ำในสระนี้ที่รอซ้อมช่วงเย็นด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ผมก็เลยกวาดสายตามองอะไรไปเรื่อยเปื่อยในสระ พลันสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนหันหลังให้ผมบริเวณริมสระ ที่ผมสะดุดก็คงจะเป็นเพราะแผ่นหลังขาวเนียน ดูกำยำ และก้นที่งอนได้รูป เป็นคนที่มีเสน่ห์เพราะรูปร่างโดยแท้ ผมจ้องมองตาไม่กระพริบอยู่นานสองนาน แต่แล้วก็ต้องชะงักด้วยความตกใจ เมื่อเค้าหันมาจ้องที่ผมเขม็ง สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร ทำให้ผมถึงกับต้องหันหน้าหนี เสมองไปทางอื่นแทนโดยไม่มีความคิดว่าจะหันกลับไปมองเค้าอีก

“ปอนด์ครับ” ปีเตอร์เรียก ผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

“ตกใจอะไรอ่ะปอนด์ สะดุ้งเชียว รอเตอร์นานมั้ยครับ”ปีเตอร์ถาม ผมถอนหายใจโล่งอก

“ไม่มีอะไร เรานั่งคิดอะไรเพลินๆก็เลยตกใจที่เตอร์เรียกน่ะ เตอร์รีบซ้อมรีบกลับนะ เดี๋ยวจะดึกเสียก่อน” ผมว่าพร้อมส่งยัมหวานให้

“ครับผม” ปีเตอร์รับคำแล้วก็วิ่งไปซ้อม

             ตอนนี้นักกีฬาทั้งหมด ขึ้นแท่นเตรียมซ้อมแล้วผมมองแล้วยิ้มให้ปีเตอร์ข้างๆกันนั้นมีปาล์มที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ แล้วก็พลันมุ่ยกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าผมกำลังยิ้มให้เค้าอยู่ ผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“คนอะไรก็ไม่รู้ หน้าโหดเป็นบ้า เกิดมาเคยยิ้มป่าววะยิ้มให้ก็ไม่ยิ้มตอบ หน้าแหกเลยกู ไม่รู้ว่าจะทำหน้าหงิกไปถึงไหน หมดหล่อเลยให้ตายสิ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองในใจก็คิด ปาล์มเป็นผู้ชายที่หล่อและดูเท่ห์เอามากๆรูปร่างก็ดี ผิวก็ดี ขาวสูสีกับปีเตอร์แต่แลดูผิวจะมีสุขภาพดีกว่า ปีเตอร์เป็นคนที่สูง ผอมแต่ดูน่ารักแบบเด็กๆ แต่ปาล์มดูหล่อเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สังเกตได้จากกล้ามเนื้อทุกส่วนแล้ว คงผ่านการออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอ หน้าท้องที่แบนราบปราศจากไขมันส่วนเกิน ดูแล้วเป็นผู้ชายที่รูปร่างดีที่สุดที่เคยผมเคยเห็นมาก่อนเลย แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมเท่านั้น

             ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดฟุ้งซ่านมากเกินไปแล้วจึงหยิบการบ้านขึ้นมาทำฆ่าเวลา ท่ามกลางแสงไฟสลัวทำให้มองตัวอักษรไม่ชัดเจนนัก ขณะที่กำลังเพ่งทำการบ้านอยู่นั้น พลันผมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย

“เฮ้ย! คนจมน้ำนี่หว่า สงสัยจะเป็นตะคริวหว่ะ ใครก็ได้ช่วยที” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติในสระน้ำ

              ผมมองตามเสียงนั้นก็เห็นคนดำผุดดำว่าย ท่าทางเหมือนคนจะจมน้ำจริงๆ ผมทำอะไรไม่ถูกเพราะตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน ผมมองหาปีเตอร์ เมื่อหาเจอก็ตัดสินใจตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือทันที

“ปีเตอร์ ๆ ช่วยด้วยมีคนจมน้ำ อยู่ตรงโน้น” ผมตะโกนลั่นสระ ปีเตอร์ได้ยินเสียงผมก็เงยหน้าขึ้มมามองหาจุดเกิดเหตุ แล้วว่ายน้ำตรงเข้าไปทันที เขาค่อยๆช้อนร่างที่ไร้สตินั้นว่ายเข้ามาใกล้ขอบสระ ใกล้เข้ามาๆ ผมเห็นหน้าผู้ชายผู้โชคร้ายคนนั้นก็ต้องตกใจเมื่อปีเตอร์เหวี่ยงร่างนั้นขึ้นมา ปาล์มนอนแน่นิ่งลมหายใจแผ่วเบาเสมือนไร้ลมหายใจ

“ปีเตอร์ ทำยังไงดี” ผมถามด้วยน้ำเสียงตระหนก

“คนจมน้ำแบบนี้ คงต้องลองผายปอดดู” ปีเตอร์บอกผมพลาง ใช้มือของเขาล้วงกวาดสิ่งของที่อาจจะติดค้างในช่องปากเพื่อกันสิ่งนั้นเข้าไปติดค้างในลำคอหลังการผายปอดออก เขาใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกของปาล์ม มืออีกข้างก็เอามาวางป้องปากไว้ ปีเตอร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติเตรียมผายปอด เขาค่อยๆโน้มใบหน้าลงไปอย่างช้าๆ ยังไม่ทันได้ประกบปากก็เงยหน้าขึ้นมาหายใจอีก สีหน้าที่แปลกไปของเขาและท่าทางที่บ่งบอกความลังเลทำให้ผมแอบสงสัย ปีเตอร์มองหน้าปาล์มที่นอนนิ่งเหมือนเขาคิดอะไรสักอย่างในใจ คิ้วเริ่มขมวดติดกัน แล้วจู่ๆเขาก็ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดพลางเอามือทั้งสองข้างกุมขมับดิ้นพล่านไปมา.......................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 21:23:22 โดย haeinpark »

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
เรื่องไมวุ่นวายอย่างงี้อะ

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
แอร๊ยยยย ปีเตอร์กะปาล์ม m2m กันดัวะ  :-[

จะเกิดการผิดฝาผิดตัวป่ะเนี่ยยยย

ลุ้นๆๆๆๆๆ :z2: :z2: :z2:


ออฟไลน์ yunchun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 554
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
เรื่องนี้ ป. เยอะจังงง

ไปป์  ปอนด์ ปีเตอร์ ปาล์ม  555+

ปาล์มแอบลึกลับอ่ะ

ออฟไลน์ Cha Ris Ma

  • สาระไม่ค่อยมี...หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +670/-0
 :จุ๊บๆ:ฝายปอด กันด้วย
วุ่ยวายจริงๆ

J๐ly

  • บุคคลทั่วไป

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องเริ่มจะชุลมุนวุ่นวายกันใหญ่แล้วสินะงับ เห็นว่าวันนี้มีคนเข้าเม้นกันเยอะแต่ละคนก็งงตึ๊บไปตามๆกันว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปเดาไม่ถูก งั้นวันนี้เด๋วลงให้อีกตอน เอาไว้เพิ่มความสงสัยให้มากยิ่งขึ้น ขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่เข้ามาอ่านแล้วก็เม้นให้ ได้กำลังใจเยอะเลย มีแรงคิดได้อีกเยอะ

ความเดิม กีฬาสีของโรงเรียนจะเริ่มในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทุกคนก็มีหน้าที่รับผิดชอบกันหมด ปอนด์เป็นดรัมเมเยอร์ ปีเตอร์แข่งว่ายน้ำ แล้วก็กลายเป็นภาระของปอนด์อีกตามเคยที่จะต้องไปนั่งเฝ้าคนรักฝึกซ้อม เมื่อไปทุกวันก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อปาล์มที่แลดูจะไม่ค่อยชอบปอนด์เท่าไรนัก แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ ปาล์มจมน้ำแต่ได้ปีเตอร์ช่วยไว้ แต่จู่ๆปีเตอร์ก็ปวดหัวกระทันหันอย่างแรง แล้วปอนด์จะทำยังไง จะพาคนรักไปหาหมอ หรือจะช่วยปาล์มที่กำลังตกอยู่ในอันตราย เฮ่อ!!!!! หนักใจแทนปอนด์จริงๆๆๆ

                                                                       ...........................................

ตอนที่ 8 อยากรู้แต่...ไม่อยากถาม

“ปีเตอร์ เป็นอะไรไป ปีเตอร์...ตอบเราสิ” ผมรีบเดินเข้าไปพยุงและเขย่าตัวเพื่อเรียกสติของปีเตอร์ให้กลับคืนมา เมื่อปีเตอร์เริ่มได้สติ ผมจึงพาเขาไปนั่งที่อัฒจรรย์

“ใจเย็น ๆ นะปีเตอร์ เดี๋ยวเราช่วยผายปอดให้ปาล์มเอง ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมรีบวิ่งไปหาปาล์มที่นอนแน่นิ่ง มือข้างหนึ่งบีบจมูก อีกข้างป้องปากของปาล์มไว้แล้วค่อย ๆ โน้มใบหน้าใช้ริมฝีปากประกบปากของปาล์ม เป่าลมเข้าไปในปากของปาล์มอย่างช้า ๆ ตามที่ได้เรียนมาในวิชาสุขศึกษา ใช้เวลาเพียงไม่นานปาล์มก็เริ่มได้สติพร้อมสำลักน้ำออกมา ขณะเดียวกันปีเตอร์ก็เดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผม เพื่อดูอาการของปาล์ม ปาล์มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา และพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ปีเตอร์จึงพยุงปาล์มขึ้นนั่ง ปาล์มมองหน้าพวกเราด้วยความมึนงงเหมือนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“นายจมน้ำ” ปีเตอร์พูด

 “ขอบใจนะ ที่ช่วยเรา” ปาล์มพูดพร้อมสายตาที่มองไปที่ปีเตอร์ด้วยความซึ้งใจ

“แต่เรา.......”ปีเตอร์พยายามบอกความจริงเกี่ยวกับผู้ที่ช่วยชีวิตปาล์มไว้ แต่ดูท่าทางปาล์มจะเชื่อมั่นมากว่าปีเตอร์เป็นคนช่วยชีวิตตน

“ยังไงก็ต้องขอบใจนายอยู่ดี ถ้าไม่มีนายก็ต้องแย่แน่ ๆ” คำขอบคุณจากปากของปาล์มแฝงด้วยความรู้สึกแปลก ๆ อีกทั้งรอยยิ้มที่ปาล์มยิ้มให้ปีเตอร์เป็นรอยยิ้มที่มีเลศนัย สื่อความรู้สึกที่ลึกซึ้งบางอย่าง พอเหตูการณ์เข้าสู่สภาวะปกติแล้วปาล์มก็บอกลาปีเตอร์กลับบ้านโดยไม่หันมามองหน้าผมเลยเหมือนผมไม่มีตัวตน

“ปาล์มนี่แปลกเนอะปีเตอร์” ผมคุยกับปีเตอร์เมื่อปาล์มกลับไปแล้ว

“แปลกยังไงเหรอ” ปีเตอร์ถามหน้างงคงไม่เคยสังเกตพฤติกรรมของปาล์ม

“ปาล์ม เค้าเป็นคนเงียบ นิสัยแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้” ผมตอบไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง

“คนเงียบนี่นะแปลก ปอนด์คิดมากอ่ะ ไม่เอาแล้วไม่พูดถึงคนอื่นแล้ว กลับบ้านกันดีกว่า” ปีเตอร์ว่าผมขำ ๆ แล้วเราก็กลับบ้านพร้อมกัน
 
                    ผมกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ความคิดฟุ้งซ่านและความสงสัยยังคงไม่จางหายไป ผมไม่เข้าใจการกระทำที่ปาล์มทำเลยตั้งแต่เจอกันครั้งแรก หรือว่าปาล์มจะเคยมีความแค้นกับผม ก็คงไม่ใช่เพราะเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจึงสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วเตรียมตัวอาบน้ำนอน หลังจากนั้นผมก็ส่งข้อความไปหาไปป์ก่อนนอน

“ไอ้ไปป์ เป็นยังไงบ้างวะ ไม่ได้คุยกันนานเลย โคตรคิดถึงมึงเลยว่ะ” ผมพิมพ์เสร็จก็ส่ง โดยในใจก็ยังมีความหวังว่าไปป์จะส่งกลับมา

“ตี๊ด ๆ” เสียงข้อความดังขึ้น ผมรีบเปิดดูด้วยความดีใจ

“sweet dream na kub” ข้อความจากปีเตอร์นั่นเอง

“ไม่ตอบอีกตามเคย” ผมบ่นด้วยความท้อใจ ก่อนที่จะนอนหลับไป

                 การซ้อมเดินคฑามันชักจะไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว ยิ่งซ้อมท่ายิ่งยากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังซ้อมเสร็จก็ต้องไปดูปีเตอร์ซ้อมว่ายน้ำอีก เมื่อไปหลายวันเข้าผมก็ยิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของปาล์มได้มากขึ้น ปาล์มเริ่มคุยกับปีเตอร์ได้ถูกคอ และท่าทีของปีเตอร์ก็เริ่มเปลี่ยนไป

“ปีเตอร์ เดี๋ยวนี้เริ่มมีเพื่อนคุยกันถูกคอแล้วอะดิ” ผมแกล้งถาม

“ใครเหรอปอนด์” ปีเตอร์ถามทำหน้าสงสัย

“ก็ปาล์มไง เดี๋ยวนี้เห็นคุยกันบ๊อยบ่อยนะ” ผมตอบไป ปีเตอร์จึงยื่นหน้ามาใกล้ผม พร้อมกระซิบถาม

“ถามแบบนี้ หึงเค้าเหรอปอนด์” ปีเตอร์แกล้งถามใบหน้ายิ้มกริ่ม

“จะบ้าเหรอ ไม่ได้หึงซะหน่อย แค่ถามเฉย ๆ ดีซะอีกเราจะได้มีเพื่อนเพิ่ม” ผมตอบพยายามเปลี่ยนประเด็น

“แต่ที่ปอนด์ทำแบบนี้ บ้านเค้าเรียกว่าหึงนะ” ปีเตอร์ยังไม่เลิกแซว

“เตอร์จะคิดยังไงก็ช่าง เราขี้เกียจพูดแล้ว” ผมชักอารมณ์เสีย

“ขอโทษ ๆ เค้าบอกก็ได้ เรากับปาล์มรู้จักกันตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้ว เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน อย่าคิดมากสิ เรารักปอนด์คนเดียวแหละ” ปีเตอร์พูดจบก็ลักหอมแกมไปหนึ่งฟอด

“แต๊ะอั๋งตลอดเลยนะ” ผมต่อว่าแล้วทุบอกของปีเตอร์ไปหนึ่งที เมื่อปีเตอร์ทำแบบนี้ความสงสัยในเรื่องของปาล์มที่ผมอยากจะถามก็ต้องสิ้นสุดไปโดยปริยาย

                  กีฬาสีวันจริงมาถึงแล้ว ผมต้องรีบมาโรงเรียนแต่เช้ามืด เพื่อมาแต่งหน้าเตรียมเดินพาเหรด โดยมีแนนและฝนมาพร้อมกัน ทั้งสองสาวแลจะมีความสุขกับการแต่งหน้าแต่งตัวมาก พวกเธอบอกว่า เป็นหรีดโจ๊กต้องแต่งหน้าแต่งตัวให้ฮาที่สุดถึงจะดี

“แนน มึงลองแรเงารูจมูกดูสิ กูเห็นในทีวีโคตรตลกเลย” ฝนแนะ

“จริงเหรอวะ ไหนมึงลองทำให้กูดูดิ๊” แนนบอกให้ฝนลองทำ ฝนจึงหยิบสีดำขึ้นมาทาเข้าไปในรูจมูกตัวเอง

“อิฝน โคตรอุบาทว์เลยว่ะ ดูดิเหมือนคุณป้าลูซี่เลยอ่ะ ฮ่ะ ๆ ๆ” แนนหัวเราะลั่น ผมหันไปมองหน้าฝนที่ตอนนี้แต่งหน้าเละไม่ไหวแล้ว ก็พาลขำไปด้วย

“ทาปากเบิน ๆ อย่างนี้สิ สวยยยยยยย” แนนว่าพลางหยิบลิปสติกสีแดงทาปากให้ฝน ทำใบหน้าตลกยิ่งขึ้นไปอีก

“น้องปอนด์ อยู่นิ่ง ๆ สิคะ พี่แต่งหน้าไม่ถนัดเลยค่ะ” ผมขำไม่หยุดจนพี่ที่แต่งหน้าให้ต้องขอร้องให้ผมหยุดขำ ผมพยายามทำหน้าให้นิ่งเพื่อการแต่งหน้าให้ดำเนินไปด้วยดี

                  ชุดที่ผมใส่ เป็นชุดกรีก โรมันสีชมพูสวยหวาน คอตั้งเป็นระบาย มีหมวกทรงสูง และรองเท้าหัวแหลม ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายหน้าหวาน ทำให้เวลาที่เดินไปตามที่ต่าง ๆ จึงมีคนมองมาเยอะมาก มีคนพยายามเข้ามาจีบโดยซื้อน้ำมาให้ บ้างก็ซื้อขนมมาให้ในระหว่างที่เดินพาเหรด แต่ผมก็ได้แต่ยิ้มให้เท่านั้น พอเดินเข้ามาถึงในโรงเรียน ผ่านประตูหน้าโรงเรียนเข้ามา ผมก็รู้สึกแปลกใจเมื่อเหลือบไปเห็นไปป์ที่ยืนกอดอกมองผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตรงประตูโรงเรียน โดยที่ข้าง ๆ ก็มีท้อปยืนโบกไม้โบกมือให้ผมอยู่ด้วยเหมือนกัน ผมเลยยิ้มให้ทั้งคู่แบบแห้ง ๆ

“ปอนด์ เค้าอยู่นี่” อีกเสียงที่คุ้นเรียกผมเสียดังลั่น ปีเตอร์ยืนอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อผมมองไปปีเตอร์ก็ส่งยิ้มหวานให้ แต่ผมก็ต้องหุบยิ้มทีละน้อยเมื่อเห็นปาล์มยืนทำหน้าถมึงทึงยืนอยู่ข้างปีเตอร์

                 เมื่อเดินเข้ามาถึงในสนาม หลังจากประธานกล่าวเปิดกีฬาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของผมก็จบลง ผมเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะอากาศที่ร้อนแต่ก็มีคนคัดค้านเอาไว้ก่อน

“ปอนด์ มาถ่ายรูปกัน” ท้อปพูดพร้อมกับไปป์ที่เดินตามหลังมาด้วย

“ไปป์ ถ่ายรูปให้หน่อยนะ ปอนด์ วันนี้น่ารักมากเหมือนตุ๊กตาเลย”  

“ขอบใจนะ” ผมตอบเขิน ๆ พลางมองไปที่ไปป์

“ไปป์ มึงมาได้ไงวะ” ผมถามสั้น ๆ พร้อมความสงสัย

“ท้อปชวนมาว่ะ เห็นว่ามึงเป็นดรัมเมเยอร์ก็เลยมาดู ทำไมมึงไม่ชวนกูมาเลยวะ” ไปป์ตอบด้วยน้ำเสียงปนความน้อยใจ

“กูส่งข้อความไปหามึงตั้งหลายวัน มึงไม่เคยเปิดอ่านเลยเหรอวะ?” ผมตอบเคือง ๆ

“เร็ว ๆ ปอนด์ เราพร้อมแล้วนะ ถ่ายรูปกัน” ท้อปตัดบทการสนทนาของเราสองคนแล้วยืนเก๊กท่าถ่ายรูปกับผมไปหลายรูป

“เฮ้ย ไปป์ มาถ่ายรูปกับปอนด์มั่งดิ นานที ๆ จะได้เห็นปอนด์ในลุคส์แบบนี้” ท้อปพูดแล้วไปหยิบกล้องจากไปป์ พร้อมไล่ให้ไปป์มาถ่ายรูปคู่กับผม

              ไปป์ค่อย ๆ เดินมายืนข้างผม ทิ้งระยะห่างเป็นช่วงแขน

“ทำไมยืนห่างขนาดนั้น เข้าไปใกล้ ๆ กันสิ” ท้อปสั่งไปที่ทำท่าเงอะ ๆ งะ ๆ ไปป์ค่อย ๆ เขยิบมาจนชิดผมแล้วก็ยืนนิ่ง

“ไปป์ ปอนด์ กอดคอกันหน่อยดิ จะได้เหมือนเพื่อนรักกันไง” ท้อปสั่งอีก ไปป์ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ผม ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองพลันสายตาของเราก็สบกัน

“โอเค ๆ เอาอีก ๆ ๆ ๆ” ท้อปพูด เมื่อถ่ายเสร็จไปแล้ว 1 รูป ไปป์รีบผละออกจากผมเมื่อถ่ายสำเร็จ

“มาอยู่นี่เอง หาตั้งนาน” ปีเตอร์ส่งเสียงมาแต่ไกล

“ถ่ายรูปเหรอปอนด์ ถ่ายมั่งดิ” ปีเตอร์มาถึงก็จับมือผมเลย

“อ้าว!! แฟนตัวจริงมาแล้ว ถ่ายรูป ๆ” ท้อปว่าอย่างกระตือรือร้น

                 ปีเตอร์แทรกเข้ามาถ่ายรูปกับผม เราถ่ายรูปด้วยกันหลายอิริยาบถมาก มีทั้งจับมือ โอบกัน หรือแม้กระทั่งหอมแก้มกันตามท่าที่ท้อปจัดให้

“เฮ้ย ไปป์ ๆ เข้ามาถ่ายรูปหมู่ด้วยกันดิ ไปป์อยู่ข้าง ๆ ปอนด์ละกัน” ท้อปสั่งพร้อมทั้งจัดที่ให้พวกเราเสร็จสรรพ

                 ปีเตอร์จับมือผมข้างหนึ่งอย่างรู้หน้าที่ มืออีกข้างชูสองนิ้วแล้วหันมาพยักหน้าให้ผม เป็นสัญญาณว่าให้ผมทำท่าเดียวกันผมจึงยกมืออีกข้างชูสองนิ้วเช่นเดียวกับปีเตอร์ ปีเตอร์ค่อยๆโน้มหัวเข้าหาผม ผมจึงต้องโน้มหัวตาม ส่วนไปป์ที่ยืนอยู่อีกด้านก็ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยืนเฉยยิ้มแหยๆ รูปหมู่ของเราจึงกลายเป็นรูปคู่ที่ถ่ายติดใครก็ไม่รู้มาด้วย โดยไม่ได้ตั้งใจ

                 การแข่งว่ายน้ำกำลังจะเริ่ม ปีเตอร์จึงชวนทุกคนไปเชียร์แล้วล่วงหน้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมแข่งก่อน ที่สนามมีคนแน่นมาก ผมรีบเดินเข้าไปสมทบกับหรีดโจ๊ก แนนฝน ที่มาตั้งท่ารอเชียร์อยู่แล้ว การเชียร์ของหรีดโจ๊กนี้เรียกเสียงฮาจากคนในสนามได้มาก ด้วยความที่ผมยังใส่ชุดดรัมเมเยอร์อยู่ก็เลยถูกชักจูงเข้าเต้นเนียนๆไปด้วยกัน ถึงจะอายแต่ก็สนุกดี

                 การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทุกคนยืนเตรียมบนแท่นเรียบร้อย ปีเตอร์มองมาที่ผม ผมจึงส่งรอยยิ้มหวานคืนไปเป็นกำลังใจให้

“อย่าแพ้เค้านะ เตอร์ เตอร์ เพราะปอนด์เชียร์อยู่ อยู่ อยู่” ยัยแนนกับยัยฝนเตี๊ยมเพลงมาอย่างดีแล้วเอามาร้องแซวผมทำเอาผมเขินแทบแย่ ปีเตอร์ก็เช่นกันยิ้มอายจนหน้าแดง ทุกคนในสนามมองมาที่ผมกันหมด อายโคตร.....................

                 สิ้นเสียงนกหวีดนักกีฬาทุกคนก็กระโดดลงน้ำ แข่งว่ายน้ำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ปีเตอร์ที่ได้กำลังใจดีกว่าคนอื่นว่ายนำหน้า ปาล์มก็ว่ายตามมาติดๆ การแข่งขันคู่คี่สูสีกันมาก ปีเตอร์กับปาล์มผลัดกันนำผลัดกันตาม จนใกล้จะถึงเส้นชัยความเร็วของปาล์มก็ลดลงอย่างผิดสังเกต ทำให้ปีเตอร์ที่เร่งความเร็วเต็มกำลังว่ายแซงหน้าจนแตะขอบสระชนะไปในที่สุด ทุกคนในสนามแปลกใจในฝีมือการว่ายน้ำอันฉกาจของปาล์มที่ลดลงจนทำให้นักกีฬาหน้าใหม่เช่นปีเตอร์สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ไม่มีใครทักท้วงอะไร

“นายทำได้ดีมาก” ปาล์มเดินมาตบไหล่แสดงความยินดีกับปีเตอร์แล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป ปีเตอร์ที่หน้าไม่ค่อยสู้ดีนักเดินตามเข้าไปทันทีเหมือนรู้ว่าเกิดความผิดปกติอะไรในการแข่งขันเมื่อครู่ คนเริ่มทยอยออกไปจากสนามจนหมด เพราะการแข่งเชียร์ลีดเดอร์กำลังจะเริ่มขึ้น

“ปอนด์ไปดูแข่งหรีดกัน” ท้อปชวน

“ไปก่อนเลยท้อป เดี๋ยวเรารอปีเตอร์ก่อน” ผมบอกเบาๆ

“งั้นเราไปรอก่อนเลยนะ ป่ะ ไปป์ไปกัน” ท้อปว่าแล้วจับมือไปป์จูงไปด้วยกัน ผมมองทั้งคู่เดินไปด้วยใจสั่นๆ อารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งสองสนิทกันขนาดจับมือถือแขนกันได้เลยเหรอเนี่ย

“มึงว่าไอ้สองคนนั้นมันแปลกๆเปล่าวะ ไอ้ปาล์มก็เป็นเชี่ยอะไรไม่รู้ร้องห่มร้องไห้เหมือนจะตาย ส่วนไอ้เตอร์ก็พูดแปลกๆฟังแล้วโครตจั๊กจี๋เลยว่ะ” นักว่ายน้ำผู้ชายคนหนึ่งเดินคุยมากับนายชายนักว่ายน้ำอีกคน ผมถึงกับตกใจในเรื่องที่ได้ยิน

“ไอ้เตอร์มันเป็นเกย์ ใครๆก็รู้ กูยังรู้จักแฟนมันเลยไอ้ปอนด์ที่เป็นดรัมเมเยอร์สีชมพูไง มึงเนี่ยโครตเชยเลย เมื่อกี้เค้าก็ให้กำลังใจกันซะหวานหยด มึงไปมุดอยู่รูไหมมาฮะ” นายชายเล่า

“กูรู้ว่าไอ้เตอร์มันเป็นเกย์ แต่ถ้ามันมีแฟนแล้วมันยุ่งกับไอ้ปาล์มทำไมวะ หรือว่า.............” ผู้ชายอีกคนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ใช่ ไอ้ปาล์มมันก็เป็นเกย์ แล้วยิ่งไปกว่านั้นนะ..............”  ผมแอบฟังด้วยใจระทึก นายชายกำลังจะเล่าแต่หันมาเห็นผมที่ยืนแอบฟังอยู่จึงแสดงความตกใจและพากันเดินหลบไป ผมวิ่งตามทั้งคู่ไปเพื่อถามความจริงเกี่ยวกับปีเตอร์ที่ผมไม่เคยรู้ ผมแน่ใจว่านายชายต้องรู้แน่ๆ เพราะเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน แต่ตามไม่ทันเพราะทั้งคู่วิ่งเร็วเหลือเกิน ผมจึงเดินคอตกกลับเข้าไปในสระว่ายน้ำตามเดิม

                    ปาล์มเดินก้มหน้างุดๆ สาวเท้าเดินนำออกมาอย่างเร็ว เมื่อเดินมาถึงตรงที่ที่ผมยืนรออยู่ เขาก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แล้วจ้องสายตาที่แดงก่ำมาที่ผมทำให้ผมกลัวจนทำหน้าไม่ถูก แล้วปาล์มก็วิ่งชนไหล่ผมออกไป ตัวผมเซด้วยด้วยแรงชนเล็กน้อยใบหน้าชา สมองทำงานหนักด้วยความครุ่นคิด ไม่นานนักปีเตอร์ก็เดินตามออกมา หน้าของเขาซีดอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเขามองมาเจอผมที่ยืนรออยู่เขาก็พยายามยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่สบายหรือเปล่าเตอร์ สีหน้าดูไม่ดีเลย” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“เรารู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ ปอนด์” ปีเตอร์ตอบเสียงสั่นเครือ

“กลับไปนอนพักผ่อนเถอะเตอร์ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ผมบอก พร้อมยิ้มให้เล็กน้อยที่มุมปาก

“งั้นเราคงต้องกลับก่อน ปอนด์อยู่คนเดียวได้นะครับ” ปีเตอร์ถามผมน้ำเสียงเจือความห่วงใย

“อือ มีเพื่อนอยู่ด้วยตั้งเยอะ ไม่ต้องห่วงปอนด์หรอกเตอร์ ดูแลตัวเองนะ” ผมบอกแล้วเราก็ลาจากกันตรงนั้น

                        ผมเดินไปที่สนามแข่งเชียร์ลีดเดอร์ด้วยใจหดหู่ แม้ว่าการแข่งขันจะสนุกสนานและน่าติดตามขนาดไหน ก็ไม่ทำให้ผมมีกะจิตกะใจจะรับชม ผมยืนเหม่อลอยครุ่นคิดเรื่องที่ยังคาใจอยู่อย่างนั้น จนการแข่งขันจบลง เวลาประกาศรางวัลมาถึง สีของเรากวาดรางวัลมาได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการประกวดขบวนพาเหรด การประกวดเชียร์ลีดเดอร์ หรือแม้แต่ถ้วยชนะเลิศกีฬารวม ผมควรจะดีใจที่ได้ถ้วยรางวัลมาครอบครอง แต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นเลย ความพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดของผมจนสำเร็จนั้นไม่มีความหมายเลยในช่วงเวลาที่จิตใจหดหู่เช่นนี้
                                                      
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2009 21:25:06 โดย haeinpark »

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
สนุกๆ น่าติดตามมากมาย ยังเดาไม่ถูกเลยว่าหนูปอนด์จะคู่กับใครอ่ะ  :really2:

เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ เก่งมากจ้า

Chinnawut

  • บุคคลทั่วไป

haeinpark

  • บุคคลทั่วไป
 เมื่อคืนเขียนเสดไปอีกหนึ่งตอน



 คงจะได้ลงตอนที่ 9 เร็วๆๆๆ นี้งับ




  :z1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด