#*#*# Beats of Life.......
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #*#*# Beats of Life.......  (อ่าน 101281 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
เพิ่งมาจิ้มจ้า

โยกะเจน่ารักมากมาย

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
 :mc4: ขอฉลองหน่อย ช้าไปหน่อยแต่คงไม่สายนะครับ

ความผูกพัน ความห่วงใย ความใกล้ชิด ก่อให้เกิดความ.....

มารอดูการพัฒนาการของความรักเพื่อนที่เกินเพื่อนไปแล้ว จะดำเนินต่อไปยังไง

+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
+1 ให้คุณนิ้วไขว้คร่า ๆๆ
ยิ่งอ่านยิ่งรุ้สึกได้ว่าโยอบอุ่นจังงง

:)

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
มายาวได้ใจมากๆๆคะ

เลย +1 เลย มาต่ออีกนะคะ  :L2:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
โยน่ารักมากเลย

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ความใกล้ชิดเป็นเหตุแห่งความหวั่นไหว ความเห็นใจเป็นเหตุแห่งความรัก ....

 :กอด1: ให้คนแต่งเรื่องครับ

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาให้กำลังใจคุณนิ้วไขว้ค่ะ

ตอนนี้ยาวได้ใจจริงๆ แต่ชอบอ่ะ สะใจดี
สนุกมากด้วยค่ะ

หวานจัง ตอนนี้โยเริ่มแสดงความรักกับเจแล้ว เย้เย้เย้

แล้วเจล่ะ รับรู้ความรู้สึกของเจและตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน

รอต่อค่ะ

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
เพิ่งอ่านทันจ้า

ชอบจังเลยเรื่องราวความผูกพัน ความหวังดี ที่อาจจะกลายเป็นความรักได้ในสักวัน

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

แล้วก็ขอบคุณด้วยค่ะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 5
   
“แน่ใจนะว่าดีขึ้นแล้ว” เด็กหนุ่มที่ตัวสูงใหญ่กว่าอีกฝ่ายอยู่แล้วและดูเหมือนจะตัวใหญ่อย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาก เมื่ออีกฝ่ายดูผ่ายผอมลงไปอีกเพราะอาการป่วยถามด้วยน้ำเสียงติดจะคาดคั้น แต่ก็เจือแววความเป็นห่วงอย่างรู้สึกได้
   
“ดีขึ้นแล้วจริงๆ” แน่ล่ะกำลังวังชาอาจจะยังไม่ได้กลับคืนมาเต็มร้อยเหมือนเดิม แต่ก็นับได้ว่าดีขึ้นมาก เขาไม่มีอาการไข้ ไม่มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ปวดหัว แถมยังทานได้มากขึ้นจนน่าจะเรียกว่าเกือบเป็นปกติแล้วด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับบุรุษพยาบาลจำเป็นที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี ที่จริงต้องบอกว่าดีเกินไปด้วยซ้ำ บ่อยครั้งที่โยทำเหมือนกับว่าเขาช่างบอบบางเสียเหลือเกิน เรียกว่าเป็นห่วงกังวลไปสารพัด ทั้งที่เขาก็ยังช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติทุกอย่างนั่นแหละ

ดูเหมือนว่าการป่วยของเขาคราวนี้ จะเปลี่ยนแปลงอะไรไปไม่น้อย เจเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่เพื่อนคนนี้มองมาที่เขา มันไม่เหมือนเดิมอย่างไรพิกล

เจได้เพื่อนที่โรงเรียนช่วยกันดูแลเรื่องการบ้านและบทเรียนให้ในช่วงที่เขาขาดเรียนไปหลังจากที่โยนั่นแหละคอยเป็นธุระให้ ส่วนคลาสที่บริษัทก็ได้โยอีกเหมือนกันที่ไปลาครูผู้สอนในแต่ละคลาสให้โดยที่บรรดาครูพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหายดีเมื่อไหร่ค่อยกลับมาเรียน ส่วนงานพิเศษยิ่งหายห่วง เพราะพี่อ๊อดเจ้าของร้านไม่เพียงแต่บอกให้เขารักษาตัวให้หาย แต่ยังฝากบอกด้วยว่ารับรองไม่หักค่าจ้างแน่นอน แถมยังออกค่ายาค่าหมอให้อีกต่างหาก ทำเอาเจต้องโทรไปขอบคุณเดี๋ยวนั้นด้วยความเกรงใจ
   
แต่ที่ทำให้เขาซึ้งน้ำใจที่สุดก็คือวันที่โยยื่นซองอะไรบางอย่างให้เขา เมื่อเปิดออกจึงได้เห็นธนบัตรเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ไม่น้อยเลยสำหรับเขาอยู่ในนั้น เจมองหน้าโยเหมือนต้องการคำอธิบาย

“แม่นายเขาฝากมาให้”
   
“ยังไง” ใบหน้าสวยๆนั่นยังขมวดอยู่อย่างงงงวย
   
“อย่าเพิ่งโกรธนะถ้าจะบอกว่าเราโทรไปหาแม่นายมา นายป่วยทั้งคนจะไม่ให้ท่านรู้ไม่ได้หรอกเจ”
   
“แล้วนี่ มายังไง”
   
“แม่นายฝากมาให้ เราไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เลยรับมา รับปากว่าจะเอามาให้นาย”
   
เจก้มลองมองซองในมืออย่างไม่รู้จะพูดออกมาว่าอย่างไรดี
   
“โทรไปหาแม่เถอะ”
   
“เราไม่ได้โกรธแม่เลยนะโย แค่...” เจอ้ำอึ้ง “รู้สึกผิดที่เราไปสร้างปัญหาให้เขา”
   
“โทรไปคุยกับแม่เถอะนะ นายจะสบายใจขึ้น แม่ก็จะได้สบายใจเหมือนกัน” เจไม่ได้ว่าอะไรนอกจากก้มหน้าพลางพยักหน้าเบาๆ เห็นดังนั้นโยจึงยิ้มออกมาก่อนจะคว้าร่างที่ยืนตรงหน้าเขาเข้ามาสวมกอดเอาไว้ คล้ายกับจะเป็นการปลุกปลอบและให้กำลังใจอยู่ในที
   
พักนี้โยกอดเขาบ่อยมาก เขาคงไม่รู้สึกอะไรถ้ามันเป็นกอดแบบที่เคยทำมา แต่ระยะหลังอ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปในแบบที่เขาเองก็บอกไม่ถูก มันให้ความรู้สึกดีและอบอุ่นอย่างมาก จนเขารู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายอย่างยิ่ง อะไรก็ไม่เท่าเขารู้สึกเคยตัวอย่างไรไม่รู้ เหมือนติดนิสัยชอบให้โยกอดไปแล้วอย่างนั้นแหละ
   
“ไป ไปโรงเรียนกัน” มือใหญ่ๆข้างหนึ่งของโยคว้ามือของเจจูงเอาไว้อย่างลืมตัว เด็กหนุ่มขืนเอาไว้นิดหนึ่งก่อนจะยิ้มให้กับโยที่ยืนทำหน้างงอยู่
   
“เราหายแล้ว ไม่ต้องจูงเป็นเด็กๆหรอกน่า” โยปล่อยมือนั้นออก แล้วยกขึ้นเกาศีรษะแก้เก้ออย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น
   
ทั้งที่บอกว่าหายดีแล้วแท้ๆ แต่โยก็ยืนยันจะไปส่งเขาจนถึงโรงเรียน ไม่ว่าเจจะบอกว่าไม่ต้องหรือห้ามอย่างไร เจ้าคนตัวใหญ่กว่าก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้ แถมยังย้ำกับเขาด้วยว่าตอนเย็นจะมารับ ห้ามหนีไปบริษัทเองเด็ดขาด
   
ที่น่าแปลกคือ เขาไม่เคยนึกรำคาญความหวังดีเกินเหตุของโยเลยแม้แต่นิดเดียวนี่สิ
   
**************************

“ไอ้เจ” เสียงเพื่อนซี้ของเพื่อนร่วมชั้นทักขึ้นอย่างยินดีเมื่อเห็นเพื่อนมาโรงเรียนได้เสียที “หายแล้วเหรอ”
   
“หายแล้ว สบายมาก” เขายิ้มให้เพื่อนเพื่อยืนยันคำพูดนั้น “คิดถึงรึไง” แถมยังกระเซ้ากลับไปอีก
   
“โอ๊ย ข้าน่ะไม่ได้คิดถึงหรอก พวกหนุ่มๆสาวๆแฟนคลับเอ็งเสียอีกเขาบ่นคิดถึง” เพื่อนคนเดิมแซวกลับ “ได้การบ้านที่ข้าฝากเพื่อนเอ็งไปใช่ไหม”
   
“ได้แล้ว ขอบใจมาก”
   
“เพื่อนเอ็งคนนี้โคตรดีเลย มันเป็นห่วงเอ็งมากเลยรู้ไหม มันเอาเบอร์ข้าไปแล้วคอยโทรมาถามไถ่ตลอดเรื่องการบ้าน เรื่องลาโรงเรียน ทีแรกข้าก็นึกห่วงอาการป่วยเอ็งนะ แต่เห็นเพื่อนเอ็งแล้ว เออ คงไม่ต้องห่วงแล้ว” เจฟังคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ได้แต่นึกขอบอกขอบใจที่มันเองก็คอยเป็นธุระให้กับเขาตลอดช่วงระยะเวลาที่เขาป่วยจนต้องลาเสียหลายวัน
   
“แล้วนี่เย็นนี้ต้องไปบริษัทอีกไหมวะ”
   
“ต้องไป ขาดมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน”
   
เพื่อนคนเดิมเอามือตบบ่าเจเบาๆ ด้วยรู้ว่าเพื่อนตัวเองคนนี้มีความมุ่งมั่นเกินธรรมดาอย่างเอาใจช่วย
   
“อย่าหักโหมจนเจ็บป่วยไปอีกนะเพื่อน ทำเอาข้าใจหายหมด”
   
เจได้แต่ยิ้มรับโดยไม่จำเป็นต้องพูดขอบอกขอบใจอะไรออกไปให้มากความอีก

***************************

เขาเห็นร่างสูงๆที่คุ้นตานั้นมาแต่ไกล แต่ที่แปลกใจก็คือร่างนั้นถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเด็กสาวสามสี่คน ดูจากเครื่องแบบแล้วเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับเขานี่เอง แล้วหมอนั่นเที่ยวได้ไปรู้จักคนโน้นคนนี้ได้อย่างไรกัน เจนิ่วหน้าออกมาอย่างนึกสงสัย และก่อนที่จะทันได้เอ่ยอะไรออกไป ร่างสูงๆนั้นก็หันมาทักเขาทันที

“เจ” แล้วทำไมต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นด้วย ถ้าอยู่กันสองคนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก นี่มีคนอยู่ตั้งเยอะ ถึงคนอื่นจะไม่คิดอะไร แต่เขานี่แหละที่รู้สึก
   
“อุ๊ย เพื่อนพี่เจเหรอคะ” เด็กสาวคนหนึ่งหันมาถามเขาอย่างแปลกใจ ถึงแม้จะไม่รู้จักเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว แต่โรงเรียนนี้ก็ยากที่จะหาคนที่ไม่รู้จักเขา ไม่ใช่เพราะใบหน้าที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผลการเรียนและการทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอนั่นด้วย ใครบ้างที่นี่จะไม่รู้จักเจ ห้อง 6.2
   
เจพยักหน้าให้เด็กสาวพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่ก็หน้าเหวอไปทันทีเมื่อได้ยินผู้ปกครองจำเป็นเอ่ยออกมาว่า
   
“ผมมารับคนนี้แหละครับ ไม่ยักรู้ว่าเจจะเป็นที่รู้จักขนาดนี้นะ” ใครไม่รู้สึกแต่เจรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั่นมีแววล้อๆเขาอย่างไรพิกล
   
“โธ่ ก็ไม่บอก ปล่อยให้เรายืนถามอยู่ตั้งหลายวัน”
   
“แต่ก็ขอบคุณที่นะครับที่คอยมาถาม เป็นเพื่อนคุย”
   
หนอยไอ้คนปากหวาน เจนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ไม่รู้ทำไมถึงนึกหมั่นไส้หน้าหล่อๆที่ส่งยิ้มหวานๆให้สาวๆกลุ่มนี้นัก
   
“ไปรึยังโย”
   
เจ้าตัวพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือออกไปกอดคอเด็กหนุ่มเหมือนอย่างที่ทำอยู่เป็นปกติ แต่มันให้ความรู้สึกไม่ปกติด้วยอย่างไรพิกล
   
“ไปนะครับน้องๆ” ยังมีหันไปบอกลาอีก มารยาทงามจริง เจยังไม่เลิกหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุ
   
“พี่เจหวัดดีนะค้า พี่โยด้วยค่า” เสียงสาวๆร้องดังขึ้นตะเบ็งเซ็งแซ่
   
“แก... “เสียงแหลมๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นแค่พอได้ยินกันสามสี่คน “ฉันว่าคู่นี้เค้าน่ารักมั้ย”
   
“เห็นด้วย ผู้ชายหน้าตาโคตรดีสองคน ยังไงก็ดูดี”
   
“ทีแรกที่ฉันเห็นพี่เค้ามายืนรอใครหน้าประตูยังคิดเลย แหม น่าจีบ” เพื่อนคนอื่นได้ยินแล้วเบ้ปาก ในใจอยากจะถามออกไปใจจะขาดว่า แล้วถามพี่เขาหรือยังว่าพี่เขาอยากได้ไหม แต่ก็ยั้งไว้ได้ทันเสียก่อน
   
“พอเห็นว่าคนที่มารับเป็นพี่เจ....” ว่าแล้วยั้งไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะว่าต่อ “ตัดใจเถอะ”
   
“ไอ้บ้า เค้าเพื่อนกัน”
   
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าจะเป็นอย่างอื่นฉันก็ไม่แปลกใจย่ะ”
   
“คนสวยๆอย่างพี่เจใครจะไม่รักบ้าง”
   
“งั้นฉันยอม”
   
“ฉันก็ยอม”
   
พูดเองเออเองจนพอใจแล้ว เสียงนกกระจอกแตกรังนั้นก็เงียบลง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านในที่สุด ทำเอาคนแถวนั้นมองราวกับอยากจะถามออกไปเต็มแก่ว่า เป็นอะไรกันมากไหม

*****************************

“ไปรู้จักมักจี่กับน้องๆได้ยังไงน่ะหือ” เจตั้งใจจะถามธรรมดา แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงจึงฟังดูเหมือนคาดคั้นอย่างรู้สึกได้
   
โยก้มลงมองหน้าคนข้างๆอย่างแปลกใจ และนึกอยากรู้ว่าคนถามคิดอะไรในใจ แต่พอได้เห็นหน้ามุ่ยๆที่ไม่ยอมสบตาเขาแถมยังก้าวขายาวๆเหมือนอยากจะหนีหน้าเขาเต็มที ก็ทำเอาเจ้าตัวหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หน้ามุ่ยๆนั่นเลยเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างนึกเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ
   
“หัวเราะอะไร”
   
“เปล่า” ปากว่าไปอย่างนั้น แต่ก็ยังหยุดหัวเราะชอบใจไม่ได้อยู่ดี อีกฝ่ายเลยยิ่งหงุดหงิด ชักอดทนกับใบหน้านี้ไม่ไหว ไวเท่าความคิด มือข้างหนึ่งจึงผลักหน้าหล่อๆนั่นเสียจนหงายไปเลย ถึงอย่างไรเจก็เป็นเด็กผู้ชายแถมแรงยังเยอะเสียด้วย เจ้าตัวถึงกับโอดครวญออกมาชวนให้หมั่นไส้หนักขึ้นไปอีก
   
“นึกว่าโดนถีบ” มือก็คลำไปที่หน้าตัวเองป้อยๆ
   
“ไปห่างๆ” เจนึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ
   
“โธ่ ล้อเล่นน่า” โยว่าอย่างนึกขัน “ก็ตอนที่เรานัดมาเอาการบ้านจากเพื่อนนาย ต๊อก ใช่ไหม เราก็มายืนรอตรงหน้าประตูนี่แหละ สาวๆพวกนั้นจู่ๆก็เดินเข้ามาพูดคุยทักทาย เราก็บอกมารอเพื่อน เรามาทีไรก็มาทักทุกที แต่ก็แค่ทักทายไม่มีอะไรหรอก เสร็จก็กลับ”
   
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังทำหน้ามุ่ยไม่หาย เขาก็ยิ่งหยุดยิ้มไม่ได้
   
“จริงๆ”
   
“แล้วไง ถึงไม่จริงเราก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนนี่หว่า” ดูเอาเหอะ
   
“แล้วไหงโกรธล่ะ”
   
“ใครบอกว่าโกรธ” เจหันมาตอบเสียงฉิว
   
“โกรธจริงๆด้วย”
   
“ไม่ได้โกรธโว้ย”
   
“งั้นก็งอน”
   
“เราจะงอนเพื่อ”
   
“หวง?”
   
คำคำเดียวทำเอาเจสะดุดกึกหยุดเดินทันที พร้อมกับหันไปมองหน้าไอ้คนพูด เจทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่หยุดไว้แค่นั้นก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวๆออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
   
โยรีบเดินตาม ก่อนจะก้มหน้าไปมองใบหน้าเพื่อนร่วมทางที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินเหมือนตามควายหายก็ไม่ปาน ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป ร่างนั้นก็ชิงพูดดักเอาไว้ก่อน
   
“ห้ามถาม”
   
โยอมยิ้ม ยกมือขึ้นสองข้างเป็นนัยว่ายอมก็ได้ ก่อนจะเดินเคียงข้างกันไปโดยไม่พูดอะไรกันอีก
   
ในใจเจได้แต่ครุ่นคิดกับตัวเองว่า จะตอบได้ยังไงวะ ว่าหวงมันจริงๆ!

************************
   
ไอ้อาการหวงที่เจ้าตัวเฝ้าครุ่นคิดมาตลอดการเดินทางมาบริษัทนั้น นับได้ว่ารบกวนจิตใจเด็กหนุ่มไม่เบา ทำให้ใบหน้าที่ปกติก็เหมือนเสือยิ้มยากอยู่แล้วยิ่งบึ้งตึงลงไปอีก ทำเอาเพื่อนฝูงในคลาสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น บางคนตั้งใจจะเดินเข้ามาทักทายหลังจากที่เจป่วยและหายไปเสียหลายวันก็ถึงกับอ้ำๆอึ้งๆ เพื่อนซี้อย่างโยเห็นแล้วได้แต่นึกขัน อดรนทนไม่ได้ถึงต้องเดินไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเจ้าตัว สักพักใบหน้าบึ้งตึงนั้นจึงค่อยผ่อนคลายและยิ้มออกมาได้
   
“พี่ไปพูดอะไรกับพี่เจมา ถึงได้เปลี่ยนจากหน้าบึ้งมายิ้มได้เสียที พวกผมล่ะโล่งเชียว” ซัน เด็กหนุ่มรุ่นน้องกว่าโยหนึ่งปี แต่ผ่านออดิชั่นมาก่อน ถึงกับออกปากถามด้วยความใคร่รู้ ทำเอาโยหัวเราะพรืดออกมา
   
“ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งคนอื่นเขากลัวหมดแล้ว เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอกแค่นั้นเอง เจมันกลัวดูไม่ดีที่สุดเลย ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองยังกะอะไรดี” ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆสำทับอีกที
   
“เห็นจะมีแต่พี่นี่แหละที่คุยอะไรแบบนี้กับพี่เจได้”
   
“เจเขาไม่มีอะไรหรอกซัน เวลาที่หมกมุ่นกับอะไรมากๆหน้าตาก็จะเป็นแบบนี้แหละ ดูดีๆบางทีก็แค่เหม่อเฉยๆน่ะ”
   
“หา...” เด็กซันหันไปมองรุ่นพี่หน้าสวยที่ตอนนี้มีคนกล้าเข้าไปพูดคุยทักทายมากขึ้นแล้ว “พี่ไม่บอกผมไม่รู้นะเนี่ย”
   
“ปกติเราไม่ได้คุยกะเขาหรือ”
   
“คุยนะ แต่น้อย เราเรียนไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ที่ผ่านมา แต่ผมชอบพี่เจนะ” ร่างสูงๆนั้นเลิกคิ้วอย่างนึกประหลาดใจ “จริงๆพี่ พี่เจเขาออกจะดึงดูดใจ แล้วพี่ฟังเสียงเขาเวลาร้องเพลงเสียก่อน ผมงี้ถึงกับเคลิ้มเลย”
   
“เจ้าซันเอ๊ย ตัวเองก็เสียงดีจนติดอันดับท็อปของรุ่น นี่ชมคนอื่นไม่ได้ดูตัวเองเลยใช่ไหม” โยว่าอย่างนึกขันแถมเอามือขยี้ศีรษะรุ่นน้องที่ตัวเล็กกว่าเขาอย่างนึกเอ็นดู เขานิยมชมชอบนิสัยใจคอของซันมานาน ค่าที่ว่าเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส แถมมนุษย์สัมพันธ์ก็ดี ยังไม่นับเรื่องความสามารถในการร้องเพลง เต้นรำ แล้วยังเล่นดนตรีได้ด้วยอีกต่างหาก
   
โยหันไปมองเพื่อนคนสำคัญที่อยู่ตรงมุมห้องอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าในสายตาของใครหลายๆคน เพื่อนสนิทที่มีใบหน้าหลากอารมณ์เวลาอยู่กับเขาจะดูเป็นคนที่เข้าถึงยากในสายตาของคนอื่นขนาดนี้ นี่เขารู้สึกดีใจนะนี่เพราะเหมือนกับเขาเป็นคนพิเศษอย่างไรก็ไม่รู้
   
และไม่น่าเชื่ออีกเหมือนกันว่าเหตุการต่างๆที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่วันจะทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงและชัดเจนขึ้นได้มากมายถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าเพื่อนคนนี้จะรู้สึกต่อเขาอย่างไร แต่สำหรับเขา แค่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ ก็พอแล้ว
   
ร่างขาวๆที่โดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนที่กลุ้มรุมพูดคุยกันอยู่อย่างออกรสอยู่นั้น จู่ๆก็หันมาสบตากับเขาโดยบังเอิญ และโยก็ส่งยิ้มกลับไปให้เหมือนอย่างทุกครั้ง
   
เขิน! ทำไมจะต้องยิ้มแบบนั้นให้กับเขาด้วย แต่โยก็ยิ้มให้เขาแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ หรือที่ผ่านมาเขามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกต ไม่สิ ไม่เคยสังเกตเลยต่างหาก
   
เจรู้แต่ว่า โยจะคอยอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลา แต่ไม่เคยสังเกตว่ามีแต่เจเท่านั้นที่โยจะคอยเอาน้ำมาให้ ถามไถ่ว่าวันนี้เป็นอะไร คอยเตือนว่าจะต้องทำอะไร คอยบอกให้เขาดูแลตัวเอง และมีอีกตั้งมากมายที่โยทำให้เขา คนเดียว เจไม่เคยเห็นโยใส่ใจใครขนาดนี้เท่ากับเขา จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่องอย่างวันนั้น โยก็คอยกอดเขาคอยปลอบใจ ตอนป่วยหนักก็คอยดูแลอดหลับอดนอนเพื่อเขา
   
จนตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไปแล้วโดยปริยาย
   
ทำไมโยจึงทำอะไรมากมายเพื่อเขาถึงเพียงนี้
   
“เจ เหม่ออีกแล้ว ขอร้องอย่าทำหน้าแบบนี้บ่อยๆได้ไหม เราใจไม่ดีว่ะ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำท่าแหยงๆ
   
“อ้าว ไหงงั้น?” เจ้าตัวว่างงๆ
   
“มันน่ากลัว” พูดแล้วก็เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมวงสนทนาได้เกรียวกราว แม้จะดูเข้าถึงยาก แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เจเป็นขวัญใจของใครหลายคนในนี้

************************


fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
เด็กหนุ่มเดินถือเป้ใบเก่งออกมาทั้งที่เส้นผมยังหมาดชื้นอยู่ ทำเอาเด็กหนุ่มอีกคนบ่นอุบ
   
“เจ เพิ่งหายป่วย ไม่เช็ดผมให้แห้งหน่อยล่ะหา” เสียงทุ้มๆแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้
   
“กลัวไปร้านไม่ทัน ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็แห้งแล้ว” เจตอบกลับไปยังร่างสูงๆที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ อย่างหนึ่งล่ะที่โยจะช้ากว่าเขา หมอนี่อาบน้ำนานเป็นบ้า นี่เขาว่าเขาเองก็ดูแลตัวเองประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องอาบน้ำล่ะก็ ต้องยกให้โยไปเลย
   
“นี่” เขาเรียก ทำเอาร่างขาวๆที่ดูเร่งรีบต้องหยุดหันมามอง
   
“อะไรอีก”
   
“มีอะไรให้โทรมา โอเคไหม” เจพยักหน้า “แล้วดูแลตัวเองด้วยล่ะ” หนนี้ร่างนั้นคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะโบกมือให้และผลุบหายออกไปอย่างรวดเร็ว

***************************
   
“พี่เจคะ” เด็กหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาสาวเท้ายาวๆเพื่อเดินไปขึ้นรถหันตามเสียงเรียกนั้นอย่างให้นึกประหลาดใจ ทำไมวันนี้มีคนอยากคุยกับเราเยอะจริง เขารำพึงกับตัวเองในใจ
   
“ครับ” แล้วก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เรียกเขาอยู่นั้นเคยเรียนกับเขามาบ้างในบางคลาส แม้จะคุ้นหน้า แต่คงเรียกไม่ได้ว่าสนิทสนมกัน ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กที่เข้ามาทีหลังเขาปีหนึ่ง แต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกันนัก
   
แล้วคนที่แทบไม่เคยคุยกันต้องการอะไรจากเขา ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วของเด็กหนุ่มยิ่งดูโตขึ้นอีกด้วยความประหลาดใจ
   
ผู้ชายคนนี้ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจเหลือร้ายนัก แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยรู้ก็เถอะ เด็กสาวคิดในใจ ตัวเธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังนึกทึ่งในความดูดีของเด็กหนุ่มที่สูงกว่าเธอกว่าสิบเซ็นติเมตรคนนี้ไม่ได้เลย นี่ถ้าเขาตัวพอๆกับเธอ แล้วจะมีใครเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร
   
“คือ...” เด็กสาวอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานแต่ก็หลุดปากออกมาได้ในที่สุด “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่จู่ๆก็มาพูดอะไรแบบนี้” เจก้มลงมองเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่ก้มหน้าก้มตาพูดอย่างประหม่าเอามากๆ “อยากจะรบกวนอะไรพี่เจหน่อยค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆในที่สุด
   
“ครับ?” เด็กหนุ่มยังคงพูดซ้ำคำเดิมอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
   
“รุ้ง...เอ่อ เห็นพี่สนิทกับพี่โยมาก ก็เลย...” อ๋อ เด็กคนนี้ชื่อรุ้งหรอกหรือ “อยากจะฝากของไปให้พี่โยหน่อย... ได้ไหมคะ”
   
เอาแล้วไง เคยเห็นว่ามีแต่ในหนัง แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเองกับตัว ที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายได้รับหรือมีคนรับมาให้เขาอีกต่อหนึ่งมากกว่า นี่เห็นทีจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่มีคนฝากของให้เขาเพื่อส่งมอบให้คนอื่นอีกต่อ แถมคนๆนั้นดันเป็นเพื่อนสนิทของเขาเสียด้วย
   
“เอ่อ...” เจยกมือข้างหนึ่งเกาศีรษะอย่างลำบากใจ เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะนี่
   
“นะคะพี่เจ” เสียงเด็กสาวยังคงออดอ้อนขอร้องเขา “พี่สนิทกับพี่โยที่สุด ยังไงแค่เอาของนี่ไปให้พี่เขาก็พอค่ะ”
   
“พี่ว่า เอาไปให้เจ้าตัวเองไม่ดีกว่าหรือครับรุ้ง” ก็ถ้าเป็นเขา หากชอบใครเขาก็คงเข้าไปบอกตรงๆเลยตามนิสัยนั่นแหละ
   
“รุ้งไม่กล้าหรอกค่ะ” เด็กสาวยังคงยืนกราน “นะคะพี่เจ”
   
แล้วกล่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พร้อมกับจดหมายเล็กๆน่ารักที่แนบมาด้วยก็อยู่ในมือของเขาจนได้ เจทำหน้าปูเลี่ยนๆ แต่ก็หย่อนถุงนั้นลงไปในเป้ กลับห้องแล้วค่อยเอาไปให้เจ้าตัวเขาก็แล้วกัน
   
ไม่ยักรู้ว่าเพื่อนเขาก็เสน่ห์แรงไม่เบาเหมือนกัน

**************************

เสียงไขกุญแจประตูห้องทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งทำการบ้านอยู่ถือโอกาสลุกเดินขึ้นมายืดเส้นยืดสาย หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่เป็นนาน
   
เขาหยุดยืนมองดูด้านหลังอันคุ้นเคยของเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังสาละวนเก็บรองเท้าเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะยิ้มให้เมื่อร่างนั้นหันมาเห็นเขา
   
“ที่ร้านเป็นยังไงบ้างวันนี้”
   
“ไม่ยุ่งเท่าไหร่แล้ว ทุกคนถามเรื่องอาการป่วยกันใหญ่เลย แต่พอเห็นเราแข็งแรงดีแล้วก็เลยเบาใจ เข้าไปขอบคุณพี่อ๊อดกับตัวมาแล้วด้วย ถ้าไม่ได้พี่เขาช่วยเราก็คงแย่” โยเบาใจเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงที่กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมเสียที
   
“แล้วนี่” เจชูถุงที่ใส่กับข้าวมาสามสี่อย่างให้โยดู “พี่เขาเลยฝากมาให้กินด้วย เราคงดูผอมมาก เลยกะจะขุนเรากันใหญ่ แหงๆเลย” เมื่อเห็นคนพูดกลอกตาขึ้นอย่างติดตลก โยถึงกลับกลั้นยิ้มออกมาไม่ไหว ยื่นมือไปรับถุงอาหารนั้นมา ก่อนจะหยิบเป้ไปวางไว้ให้ที่โซฟาให้แล้วเดินตรงไปยังตู้เย็น
   
เมื่อเดินออกมาก็เห็นเจนั่งปุอยู่ตรงโซฟาอย่างสบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว
   
“ก็ดีนะ คงได้อิ่มท้องไปหลายมื้อ แถมนายก็จะได้ไม่ต้องวุ่นเรื่องทำอาหารเกินไปด้วย”
   
“เราไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย” เจว่า
   
“นายไม่ลำบาก แต่เราก็อยากให้นายได้อยู่สบายๆบ้าง” โยว่าตรงๆ
   
เงียบกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดเจก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเอ่ยถามออกไป
   
“ถามจริงๆนะ” เจชั่งใจ “ทำไมนายถึงไม่คิดจะหารูมเมตมาแชร์ค่าห้องเลย”
   
“ถ้ามีรูมเมตนายก็แวะมาไม่ได้บ่อยๆน่ะสิ” เจหันไปมองคนข้างๆอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ปกติเวลาที่เขาเอ่ยถามเรื่องนี้ ถ้าโยไม่ตอบแบบทีเล่นทีจริงก็คงจะเฉไฉไปเรื่อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โยตอบออกมาตรงๆ ทำเอาเขาอึ้งไปเลยเหมือนกัน
   
“นี่พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
   
“พูดจริง” โยหันไปมองหน้าคนถามบ้าง “มีนายมาอยู่เป็นเพื่อนบ้างแค่นี้ก็ดีอยู่แล้ว เราเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก็เลยไม่คิดหาใครมาอยู่ด้วยเลย”
   
“แสดงว่าที่ผ่านมานี่ ไม่เคยหาเลย?”
   
ร่างนั้นส่ายหน้า
   
“นี่นายทำให้เรารู้สึกเหมือนเอาเปรียบนายอยู่ยังไงไม่รู้” เจขมวดคิ้วอย่างไม่นึกชอบใจนัก
   
“เอาเปรียบอะไรกัน”
   
“เรามาอาศัยห้องนายอยู่นะโย ฟรีด้วย แย่งเตียงนายนอน ใช้ครัวนาย ใช้โน้ตบุ๊กของนาย แถมบางทีก็เจ้ากี้เจ้าการหลายสิ่ง แบบนี้จะว่าเราไม่เอาเปรียบนายได้ยังไง” เด็กหนุ่มว่ายืดยาวพลางพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สบอารมณ์
   
“ถ้าเราไม่ชอบเราก็บอกนายไปแล้ว” โยว่าง่ายๆ
   
“นายจะชอบได้ยังไง”
   
“ชอบ” น้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นทำเอาอีกฝ่ายอึ้งไปเสียสนิท “เราชอบให้นายมาอยู่ด้วย ชอบที่จะได้ช่วยเหลือนาย ชอบให้นายมาบ่นโน่นบ่นนี่ ชอบอาหารที่นายทำ ชอบทุกอย่างนั่นแหละ” ดวงตากลมโตสีดำสนิทนั้นเบิกกว้างขึ้น “จริงๆ” เขาย้ำ
   
“ไม่รำคาญหรือ”
   
“ไม่เลย”
   
“ไม่เบื่อ?”
   
ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
   
“ทำไม?”
   
“ไม่รู้สิ เพราะเป็นนายมั้ง” เขาว่าพลางยักไหล่ “เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าเป็นคนอื่นเราอาจจะไม่สบายใจเท่านี้ เหตุผลง่ายๆเลยนะ ว่าไหม” เขาถามอย่างติดตลก “เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก” โยขยี้ศีรษะนั้นเบาๆ “อยู่กันไปแบบนี้แหละดีแล้ว” เขาสรุปง่ายๆ “ไปอาบน้ำไป จะได้พักผ่อน”
   
เจหันไปมองคนตัวสูงกว่าอย่างงงๆและไม่สู้จะเข้าใจอะไรนัก รู้แต่ไอ้ที่เพิ่งได้ยินจากปากเจ้าของห้องนี้ ทำให้เขารู้สึกดีเป็นบ้า
   
“เออ เดี๋ยวก่อน” เจโพล่งออกมาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ เด็กหนุ่มคว้าเป้ขึ้นมาเปิดแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาอะไรบางอย่างในนั้น ก่อนจะชูขึ้นมาและส่งให้คนข้างๆ “อ่ะ...”
   
“อะไร?”
   
“มีคนฝากมาให้” เจว่า “เด็กผู้หญิง เขาคะยั้นคะยอมา เราไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธยังไงจริงๆ”
   
โยยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะค่อยๆแกะกล่องของขวัญนั้น ข้างในเต็มไปด้วยกระดาษสีมากมายที่อัดกันเอาไว้ แต่เมื่อรื้อๆดูแล้วจึงได้เห็นว่ามีถุงกำมะหยี่ใบเล็กสีดำซ่อนอยู่ หน้าถุงปักด้วยด้ายสีสวยเป็นชื่อยี่ห้อเครื่องประดับที่ขึ้นชื่อเรื่องแบบที่ไม่ซ้ำใครและราคาที่สูงไม่เบา มือหนาแต่เรียวยาวแบบผู้ชายแกะถุงนั้นออก ภายในมีจี้สร้อยคอที่สวยมากอยู่เส้นหนึ่ง สายสร้อยดูเรียบก็จริง แต่กลับส่งให้จี้ที่กำลังสะท้อนแสงสีเงินนั้นดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
   
“โอ้โห... สวย” เจร้องออกมา “เหมาะกับนายมากเลยนะเนี่ย”
   
“ท่าทางจะแพงน่าดู” โยนิ่วหน้า “รู้สึกไม่ดีเลยถ้าจะให้รับของมีราคาขนาดนี้” ว่าแล้วก็ยื่นส่งให้เจได้ดูชัดๆ ด้วยรู้ว่ารายนี้ชอบเครื่องประดับมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นต่างหู สร้อยข้อมือ หรือสร้อยคอ เจชอบทุกอย่าง ถ้าถูกใจและพอมีกำลังซื้อ เจ้าตัวก็จะพยายามเจียดเงินที่พอจะเหลือเก็บอยู่บ้างซื้อเก็บเอาไว้ ว่าตามจริง เจเป็นคนแต่งตัวเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาสวมใส่ก็ดูดีไปเสียหมดจริงๆ เอาเป็นว่ารสนิยมของเจนั้นเชื่อถือได้ก็แล้วกัน
   
โยหยิบจดหมายที่แนบมากับของขวัญขึ้นเปิดอ่าน เขาทำตาโต ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่ตอนนี้ทำท่าสนใจจดหมายในมือของเขามากกว่าสร้อยคอสวยๆเส้นนี้เสียอีก โยยื่นจดหมายฉบับนั้นให้เจอ่าน
   
“เฮ้ย... ไม่ได้” เจปฏิเสธเป็นพัลวัน “เขาเขียนให้นาย ไม่ได้ให้เรา ไม่ดีหรอก”
   
“อ่านเถอะ เราอยากให้นายอ่าน”
   
เจรับมาในที่สุดก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
   
“ท่าทางเขาจะชอบนายมากนะโย” เจว่าเสียงอ่อนพลางพับจดหมายฉบับนั้นส่งคืนเจ้าของไป
   
“เราไม่ได้ชอบเขา”
   
“ใจร้ายแฮะ”
   
“ไม่ชอบ แต่ดันไปบอกว่าชอบแบบนั้นยังจะใจร้ายกว่าอีก” เหตุผลนี้เถียงไม่ได้เลยสักนิด
   
“นายยังไม่เคยได้ทำความรู้จักกับเขา รู้ได้ไงว่าจะไม่ชอบ”
   
โยยิ้มก่อนจะจ้องหน้าคู่สนทนาราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง
   
“นายอยากให้เราคบกับเขาหรือไง”
   
เจนิ่วหน้ากับคำถามนั้น
   
“นายจะคบกับเขาเกี่ยวอะไรกับเราอยากไม่อยาก?”
   
“เกี่ยวสิ”
   
“เกี่ยวยังไง”
   
“ก็นายเป็นเพื่อนเรา”
   
“แล้ว?”
   
“ก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด”
   
“อ่าฮะ” เจยังคงเอียงคอเหมือนจะรอคำอธิบายจากปากคนข้างตัวอย่างตั้งอกตั้งใจ
   
“เรามีแฟนแล้วใครจะดูแลนาย”
   
“เราไม่เห็นต้องให้นายดูแลสักหน่อย”
   
“จริงอ่ะ?”
   
“ก็... อาจจะนิดหน่อย” เจก้มหน้าด้วยจนใจกับข้อเท็จจริงอันนี้ “แต่มันก็ไม่เกี่ยวกันอยู่ดี”
   
“งั้นตอบมาสั้นๆ” หนนี้โยมองหน้าเจตรงๆ “นายอยากให้เรามีแฟนไหม”
   
เงียบ ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของเด็กหนุ่มข้างตัว คำถามง่ายๆแค่นี้ก็ตอบไปสิเจ
   
“โอ๊ย ไม่รู้โว้ย” จู่ๆร่างนั้นก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งยัดสร้อยเส้นนั้นใส่มือของอีกฝ่าย ก่อนที่จะคว้ากระเป๋า เดินเข้าไปในห้องแถมปิดประตูตามหลังอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาโยที่มองตามร่างนั้นนิ่งไปเป็นครู่ปิดปากหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายที่เดินหน้ามุ่ยเข้าห้องไปได้ยินเข้า
   
ทีแรกก็นึกว่า สงสัยจะคิดไปเองคนเดียว แต่ตอนนี้ชักจะยังไงเสียแล้ว
   
โยก้มลงมองสร้อยที่เพิ่งถูดยัดกลับคืนมาในมือ ก่อนจะยิ้มออกมา

ขอโทษนะที่ไม่อาจตอบรับไมตรีของเธอได้ จะให้พี่ตัดใจจากไอ้คนปากแข็งนั่นคงยากแล้วล่ะ

______________________________

ต้องขอโทษทุกท่านนะคะที่มาต่อตอนนี้ช้ากว่าปกติไปซักหน่อย คนเขียนงานเข้าน่ะค่ะ ^_^''' นึกได้อีกทีก็รู้สึกว่าทิ้งช่วงนานไปหน่อยแล้ว พอว่างปุ๊ป ก็เลยรีบเอาตอนใหม่มาลงให้ได้อ่านกัน สำหรับตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ยาวมากเท่ากับตอนที่แล้ว แต่ก็น่าจะพอทำให้ได้เห็นความสัมพันธ์ของโยและเจที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาล่ะนะคะ

ติดตามกันไปเรื่อยๆค่ะ ชีวิตของเจยังจะต้องเจออะไรอีกไม่น้อยทีเดียวชนิดคนอ่านต้องได้ลุ้นกันจนเหนื่อย แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะคะ น้องมีโยคอยดูแลอยู่เป็นอย่างดีทีเดียว หวังว่าจะชอบและสนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณสำหรับตอนที่ 5

น่ารักมากมายและพัฒนาขึ้นเยอะเลย อ่าๆๆ รอดูต่อไปคะ

+1 กับเรื่องราวน่ารักดีคะ

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
หุหุหุ

น่ารักกันจริง

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ใกล้แระๆ  ชักเริ่มหวั่นไหว ใจมันสั่นรัว หุหุ

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
ความรักเริ่มก่อตัวทีละเล็กทีละน้อยแล้ว

ขอบคุณคนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
สาวกยุนแจ มารายงานตัวค่าา

พึ่งได้เข้าเล้ามาเห็นเรื่องนี้  คุณนิ้วไขว้บรรยาย เจ

ได้เห็นภาพตัวจริงมั่กมัก  หุหุ ลูกสาวอิชั้น สวยเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในฟิคไหน

ส่วน โย ก็ยังอ่อนโยนช่างดูแลอีกตามเคย แถมในเรื่องท่าทางเจ้าเล่ห์ไม่เบา

รุกเพื่อนน่าดู  :-[    ที่สำคัญ ชอบน้อง ๆ ที่โรงเรียนเจ กี๊ซซ..วายได้ใจพี่จริง ๆ

อ่านไปยิ้มไป มีความสุขมากค่ะ  ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะคะ .. :L2:

Yukisae

  • บุคคลทั่วไป
พี่นิ้วไขว้ มารายงานตัวค่ะ
ชอบตั้งแต่เพลงรักแล้ว
ยิ่งเรื่องนี้เป็นยุนแจ โยเจอีก
ไม่พลาดๆ น่ารักมากเลยค่ะ
เจน่ารักที่สุด :-[
ขอบคุณนะคะ +1



MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
หวัดดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

กำลังลุ้นว่า โยจะบอกรักเจยังไง
คงใกล้แล้วสินะคะ
ขอแบบหวานๆ นะ

ท่าทางเจก็คงรู้สึกเหมือนโยแน่เลย...

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเรื่องนี้อีกแล้ว  น้องเจน่ารัก  :o8:

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ชอบค่ะ นุกดี มาลงที่ยาวๆเค้าชอบมากๆอ่านทที่แบบตดลมโคตร จะมีน้ำต้นกับพี่นนมาแจมปะเนี่ย
อยากให้มีเข้ามาแจมด้วยสงสัยจะน่ารัก รอตอนใหม่นะค่ะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 6

ภาพเด็กหนุ่มสองคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันนั้นยิ่งเห็นได้บ่อยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไปเรียบร้อยแล้ว ตอนเช้าออกจากห้องพร้อมๆกันเพื่อขึ้นรถประจำทางคันเดียวกัน ก่อนจะแยกย้ายกันระหว่างทาง ตอนเย็นคนหนึ่งก็ไปรับอีกคนหนึ่งราวกับเป็นกิจวัตรที่ต้องทำอยู่เป็นประจำไม่ให้ได้ขาด แล้วจึงเดินทางไปบริษัทเพื่อฝึกซ้อมกันอย่างที่ทำเป็นประจำสัปดาห์ละหกวัน จะแยกกันก็ตอนที่เจต้องไปทำงานพิเศษและกลับไปเจอกันอีกครั้งที่ห้องนั่นแหละ

โยยิ่งดูแลใส่ใจเจมากขึ้นไปอีก เมื่อหนหนึ่งมีเด็กผู้ชายรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนอยู่ด้วยกัน ตามตื๊อเจไม่หยุด หมอนั่นก็ไม่ได้มีทีท่าหวังร้ายอะไรหรอก แค่เอะอะอะไรก็ร้องหาเจ ถามโน่นถามนี่ ขอให้เจช่วยเรื่องการร้องเพลง หนักเข้าถึงกับจะไปส่งเจถึงร้านอาหารที่ทำงานพิเศษอยู่ ด้วยเพราะหมอนี่มีรถขับ เห็นแล้วโยไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร ยิ่งได้เห็นท่าทางที่ดูลำบากใจของเจด้วยแล้ว จะให้โยปล่อยไปได้อย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายโน้นมีทีท่าสนใจเจชัดเจนขนาดนั้น ช่วงนั้นเขาจึงยอมนั่งรถไปเป็นเพื่อนเจส่งจนถึงร้านพี่อ๊อด หนักเข้าวันไหนขี้เกียจตีรถกลับ ถ้าไม่นั่งทำการบ้านเสียที่ร้านก็ช่วยเสิร์ฟอาหารไปด้วยเลยไม่ให้เสียเที่ยวที่มา เจถึงกับทำหน้าไม่ถูกที่จู่ๆก็เหมือนพาพนักงานคนใหม่มาให้พี่อ๊อดเสียอย่างนั้น
   
“โอ๊ย... ดีเสียอีก” เจ้าของร้านใจดีว่าติดตลก “นึกซะว่าจ้างพนักงานรายวันก็แล้วกัน” แถมยังให้ค่าจ้างมาจริงๆเสียด้วย ยังดีที่เจ้ารุ่นพี่นั่นถอดใจยอมแพ้ไปเสียก่อน เพราะเข้าไม่ถึงเจสักเท่าไหร่ เห็นเจทีไรเป็นต้องเห็นเด็กหนุ่มตัวใหญ่ที่ใครๆต่างก็รู้ดีว่าเป็นเพื่อนซี้ของเจอยู่ด้วยเป็นเงาตามตัวตลอดเวลา แม้โยจะสุภาพเพียงไร แต่เวลาที่เขาเข้าใกล้เจก็ให้อดรู้สึกไม่ได้ทุกทีว่า ถูกกันท่าอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็เป็นเดือนเหมือนกันกว่าหมอนั่นจะยอมถอย ทำเอาโยเกือบได้เป็นพนักงานประจำของร้านพี่อ๊อดไปแล้วจริงๆ ขนาดวันที่โยบอกว่าอาจจะไม่ได้แวะมาบ่อยๆแล้ว เจ้าของร้านผู้ใจดีก็ยังไม่วายจะบ่นเสียดายออกมา พร้อมกับกำชับกำชาว่า อยากทำงานพิเศษเมื่อไหร่ให้ติดต่อผ่านแกได้เลย ดูเอาเถอะ
   
แต่ที่ทำให้เจยิ่งแปลกใจก็คือ วันที่รุ้งเดินมาบอกเขาด้วยสีหน้าไม่สู้สดชื่นนักว่าขอบคุณที่ช่วยส่งของและจดหมายให้กับโย
   
“พี่โยเอาของมาคืนรุ้งแล้วก็บอกขอโทษที่ทำให้รุ้งผิดหวัง” เจออกจะนึกเห็นใจเด็กสาวอยู่ไม่น้อย ประสาคนขี้ใจอ่อน เขามีพี่สาวตั้งหลายคน มีหรือจะไม่รู้ว่าผู้หญิงคิดและรู้สึกอย่างไร
   
“พี่เสียใจด้วยนะรุ้ง”
   
เด็กสาวส่ายหน้าไปมาเบาๆจนเส้นผมยาวสลวยที่ทิ้งตัวลงอย่างอ่อนโยนส่ายไหวตามไปด้วย
   
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ แต่ว่า...” เด็กสาวยกมือที่เหมือนกำอะไรเอาไว้สักอย่างขึ้นมายื่นให้แก่เขา
   
“อะไรครับ” เจทำหน้างง
   
“ถือว่ารุ้งขอร้องนะคะ เก็บเอาไว้ยังไงรุ้งก็ไม่ได้ใช้ แล้วมาคิดๆดู... รุ้งว่าของชิ้นนี้แหละ เหมาะกับพี่ที่สุด” เด็กสาวยิ้มให้เขาอย่างจริงใจแม้จะดูเศร้าไปสักนิดก็ตามที
   
เขาแบมือรับก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นว่าของที่ว่าคืออะไร
   
“นี่มัน... รุ้งครับ เอามาให้พี่ทำไม พี่รับไม่ได้” เจระล่ำระลักว่า
   
“รุ้งเก็บไว้ก็บาดใจเปล่าๆค่ะ แต่เถอะ มันเหมาะกับพี่จริงๆ พี่โยคนหนึ่งล่ะที่ต้องเห็นด้วย”
   
“อ่ะ... แล้วเกี่ยวอะไรกับโยครับ”
   
เด็กสาวยิ้มออกมาได้จริงๆเสียที
   
“พี่เจเนี่ย ความรู้สึกช้านะคะ” เธอว่าอย่างนึกขัน ในใจกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนอย่างที่คิด แถมยังกลายเป็นว่าเธอชักนึกถูกชะตากับรุ่นพี่คนนี้เสียแล้ว แน่ล่ะเธอผิดหวังที่โยบอกปฏิเสธเธอ ทีแรกเธอบอกตัวเองว่า ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกหากผู้ชายอย่างพี่โยจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แค่นึกไม่ถึงเท่านั้นว่าโยจะบอกแก่เธออย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น ยิ่งได้รู้ว่าคนที่โชคดีคนนั้นเป็นใคร รุ้งยิ่งรู้ตัวว่าคงไม่มีทางเข้าไปแทรกระหว่างคนทั้งสองได้แน่นอน ก็เห็นๆกันอยู่ แล้วจะเหลือที่ว่างตรงไหนให้เธอกันล่ะ
   
“แต่ว่า อย่าช้าเกินไปนะคะ เดี๋ยวคนที่รอเค้าจะรอเก้อ” เธอว่าอย่างนึกขัน ก่อนจะโค้งให้นิดๆเป็นเชิงขอตัว
   
“อะไรกันน้องคนนี้” เขามองตามหลังเด็กสาวที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปอย่างไม่สู้เข้าใจอะไรนัก ยิ่งเมื่อเห็นของที่อยู่ในมือด้วยแล้วก็ยิ่งงงหนัก “ก็ว่ารู้จักผู้หญิงดีแล้วแท้ๆ แต่สงสัยจะยังไม่พอแฮะ”
   
แม้จะเล่าเรื่องให้โยฟังไปแล้วเจก็ไม่ได้รู้สึกว่าเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิมสักกี่มากน้อย เพราะโยได้แต่ยิ้ม ยิ่งเห็นของที่รุ้งให้มาแบบงงๆด้วยแล้ว แทนที่เจ้าของคนเก่าจะพูดอะไร กลับหยิบมันขึ้นมาสวมให้กับเขาเสียนี่
   
“แต่สร้อยเส้นนี้ก็เหมาะกับนายจริงๆนะ” เป็นอย่างนั้นไป “ตอนที่ได้มา เราก็นึกถึงนายน่ะ ถ้าไม่ติดว่าต้องเอาไปคืนเขาเราก็คงยกให้นายไปแล้ว”
   
“พูดเหมือนรุ้งว่าเลย” เจมองตาแป๋วไปยังร่างสูงๆที่เพิ่งจะสวมสร้อยให้เขาไป “เขาบอกนายต้องเห็นด้วย” เจก้มลองมองสร้อยทีมองหน้าคนใส่ให้ที ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “แต่เราไม่เห็นเข้าใจเลย”
   
โยถึงกับหัวเราะชอบใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะขยี้ศีรษะทุยๆนั้นอย่างเบามือแล้วดึงเข้ามาใช้คางสากๆของตัวเองเคาะลงไปเบาๆ
   
“ถ้าไม่เป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่เจสิ” เจนิ่วหน้า แต่ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกไป ก็โดนคนตัวใหญ่กว่ากึ่งจูงกึ่งลากให้เข้าไปเรียนคลาสต่อไปโดยไม่ทันได้ห้ามปรามอะไรต่อ

*******************************

“วงบอยแบนด์หน้าใหม่!!!” เสียงเด็กๆในคลาสทุกคนร้องอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทันทีที่หัวหน้าทีมสอนคลาสแดนซ์ประกาศออกไป หลังจากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจฟังไม่ได้สรรพของเหล่าลูกศิษย์ที่บางตาลงไปกว่าวันแรกๆที่เริ่มคลาสมาก
   
“เงียบๆกันหน่อย” ครูอินที่เด็กๆมักจะแซวว่าอินไปกับการเต้นสมชื่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับชูมือขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างก็ถือกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ แต่กระดาษธรรมดาแผ่นนี้นี่แหละที่จะตัดสินอนาคตของเด็กหลายๆคนที่นั่งอยู่ในนี้ “จากนี้ไปอีกสามเดือน จะมีการคัดเลือกสมาชิกของวงบอยแบนด์วงใหม่ในไม่ช้า แล้วครูบอกได้เลยว่า นี่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่สำคัญมากสำหรับค่ายของเรา” หัวหน้าครูที่แม้จะตัวเล็กแต่ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงอย่างคนที่หมั่นออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเรื่องฝีไม้ลายมือไม่ต้องพูดถึง หาไม่แล้ว คงไม่ได้มายืนอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าทีมสอนเต้นแบบนี้ได้แน่นอน
   
“การคัดเลือกคราวนี้ขอบอกไว้ก่อนว่าเข้มงวดมาก เพราะคนที่จะได้รับการคัดเลือกจะต้องโดดเด่นจริงๆทั้งการร้องเพลง การเต้นรำ บุคลิกภาพ แม้แต่ความขยันรับผิดชอบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็จะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินด้วย นี่แหละ ผลของการกระทำของทุกคนมันจะแสดงให้เห็นกันก็คราวนี้ เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมครูจึงคอยจ้ำจี้จ้ำไชนักว่าให้หมั่นเข้าคลาส ไม่จำเป็นอย่าขาด และให้หมั่นฝึกฝนเสมอ” ครูอินพูดพลางกวาดสายตามองหน้าเด็กในคลาสทุกคน คนที่ขยันหมั่นเพียรอย่างที่ครูว่าไม่มีใครสักคนที่หลบสายตาคู่นั้น จะมีก็แต่คนที่มาบ้างไม่มาบ้าง หรือไม่ก็คนที่นึกออกใจอยากมาเข้าคลาสวันนี้หลังจากที่ขาดหายไปนานเท่านั้นที่ไม่กล้าสบตากับครูคนใดหรือแม้แต่กับเพื่อนร่วมคลาสเองก็ตามที
   
เจที่นั่งฟังครูอินพูดยืดยาวรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรง ขนอ่อนตรงคอลุกชัน มือไม้เย็นไปหมด จนต้องหันไปมองโยที่นั่งอยู่ข้างๆ โยไม่ได้พูดอะไรแต่คว้ามือขาวๆนั้นรวบกระชับเอาไว้ มือของโยชื้นเหงื่อ เด็กหนุ่มเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้เขา เจยิ้มก่อนจะกระชับมือนั้นตอบกลับ ราวกับจะให้กำลังใจกันและกันเงียบๆ
   
“สามเดือนต่อจากนี้ไป จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของทุกคน ครูขอเอาใจช่วยนะ สำหรับเด็กผู้หญิง แม้ว่านี่จะยังไม่ใช่โอกาสของพวกเธอ แต่เชื่อเถอะ มันจะมีมาอีกเร็วๆนี้ สิ่งที่พวกเธอได้พากเพียรกันมากำลังจะผลิดอกออกผลแล้ว ใจเย็นกันอีกนิด แล้วก็ขอให้ตั้งใจกันต่อไป เข้าใจนะ” ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าราวกับถูกสะกด
   
ไม่น่าแปลกใจที่คลาสแดนซ์ในวันนั้น นักเรียนทุกคนจะทุ่มเทใจให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องคิดอยู่ในใจเงียบๆ จนกระทั่งครูผู้สอนสั่งเลิกคลาสเท่านั้นแหละ ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นทันที
   
“นายว่าใครจะได้วะ” กลายเป็นคำถามที่ทุกคนพร้อมใจกันเอ่ยออกมาอย่างเกินคาดเดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะเดากันอยู่ดี จะมีก็แค่เด็กหนุ่มเพียงสองคนเท่านั้นที่แยกตัวออกมานั่งเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกัน นานๆก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันเสียทีหนึ่ง
   
“ฉันว่าโยล่ะแน่ๆ คนนึง” เสียงเด็กสาวคนหนึ่งว่าอย่างมั่นใจ “ทั้งเต้นเก่งร้องเพลงเก่งขนาดนั้น”
   
“แต่เราว่านะ...” การคาดเดายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบสิ้น เจไม่มีเวลาได้นั่งฟังต่อ เพราะต้องรีบไปทำงานพิเศษแล้ว เขาลุกขึ้นก่อนจะดึงมือของคนตัวใหญ่กว่าข้างๆที่ยื่นออกมาให้จับลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกัน
   
“นายว่า เราจะมีโอกาสไหม” เสียงของเด็กหนุ่มที่เดินเคียงข้างเขาถามขึ้นเบาๆโดยไม่ได้หันมามองหน้าเขาสักนิด โยหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วสวยได้รูป ดวงตากลมสวยคู่นั้นหรี่ลงอย่างครุ่นคิด และกัดริมฝีปากอย่างประหม่า เขากระชับมือข้างนั้นให้แน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยออกไป
   
“นายต้องมีอยู่แล้ว” โยพูดอย่างหนักแน่น
   
“เปล่า” เจหันหน้ามองโยตรงๆ “หมายถึงเราทั้งสองคนต่างหาก”
   
ขาทั้งสองคู่หยุดลง โยยิ้มออกมาในที่สุดเมื่อเห็นใบหน้าที่บอกไม่ถูกว่าดีใจ สับสน หรือเป็นกังวลกันแน่
   
“คิดแค่ว่านายจะติดหนึ่งในห้าอย่างเดียวก็พอ ดีไหม” เสียงทุ้มๆนั้นเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
   
“ที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่เราเฝ้ารอเลยนะโย” เจว่า “แต่พอโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า เรากลับรู้สึกว่า มันจะมีความหมายมากแค่ไหนถ้าเราได้มันมาด้วยกันทั้งสองคน”
   
โยได้แต่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดอันแสนตรงไปตรงมานั้น
   
“ตลกดีว่าไหม นี่เราพูดเหมือนกับเราจะได้เลยนะ” เจเสหัวเราะกลบเกลื่อน “เราคงจะไม่พูดหรอกว่า อย่างน้อยถ้าเราไม่ได้แต่นายได้ก็ยังดี เพราะเราเองก็อยากได้รับโอกาสอันนี้มากไม่แพ้ใคร แต่มันคงจะดีที่สุดถ้าเราได้มันมาด้วยกัน เพราะฉะนั้น...” เจมองเข้าไปในตาโยอย่างมุ่งมั่นราวกับจะขอคำสัญญา “จากนี้ไปจนกว่าวันประกาศผล เราต้องพยายามให้มากที่สุด สู้ให้ถึงที่สุด เข้าใจใช่ไหม” คำพูดนั้นคาดคั้นและโยรู้ดีว่ามันคือการขอร้องอย่างที่สุดจากคนตรงหน้า

เด็กหนุ่มร่างสูงพยักหน้าด้วยแววตาที่มุ่งมั่นเสียยิ่งกว่าครั้งไหน
   
“สัญญา” พูดแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เจจับมือข้างนั้นตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะกระชับเอาไว้มั่น
   
“สัญญาลูกผู้ชาย” ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

*****************************

ไลฟ์ปิดท้ายสิ้นเดือนนี้จบลงในที่สุด
   
Sonic Energy ถือเป็นวงไฮไลต์ของงานในครั้งนี้ เพราะการแสดงอันแสนร้อนแรงและเต็มไปด้วยพลังของสมาชิกทั้งสี่คน เพลงทั้งหกเพลงที่พวกเขาเลือกนำมาเล่นนั้น สามเพลงเป็นเพลงที่เคยซ้อมสำหรับใช้เล่นงานเมื่อก่อนหน้านั้นมาแล้ว ดังนั้นเพลงใหม่ที่ต้องแกะจริงๆมีเพียงแค่สามเพลง ทุกคนเจียดเวลาที่มีอยู่น้อยนิดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งให้กับการซ้อมที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ อาศัยชั่วโมงบินของแต่ละคนและเทคนิคการร้องเพลงอันน่าทึ่งมารวมเข้าด้วยกัน ก็นับได้ว่าแทบไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจ
   
แต่แม้จะมีฝีมือ สิ่งที่ยังคงจำเป็นที่สุดก็คือการซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะมีคนบอกว่าเก่งแค่ไหน ไม่ว่าจะมีคนชมมากมายเพียงไร การซ้อมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
   
เจพูดกับเพื่อนๆทุกคนเสมอว่า แม้เพลงที่เลือกนำมาร้องจะยากแค่ไหน บวกกับความยากของภาษาที่ไม่คุ้นเคย เขาก็ไม่มีวันที่จะขึ้นไปดำน้ำ หรือที่แย่ที่สุดคือกางเนื้อบนเวทีแน่นอน
   
“ร้องผิดในไลฟ์น่ะมันเรื่องหนึ่ง เสน่ห์ของการแสดงสดก็คือความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่เราจะต้องขึ้นไปแก้ปัญหากันบนเวทีนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้เอาเนื้อขึ้นไปกาง หรือขึ้นไปทั้งที่ไม่พร้อม เราจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเด็ดขาด” เจพูดออกมาครั้งหนึ่งเมื่อได้เห็นวงหน้าใหม่บางวง ดูถูกคนดูด้วยการเอาเนื้อขึ้นไปกางบนเวทีพร้อมกับประกาศออกไมค์ว่า เราซ้อมมาน้อย เพราะถ้าคนที่ภาระล้นมืออย่างเขา ยังหาเวลาซ้อมได้สัปดาห์ละครั้งล่ะก็ คนอื่นก็ควรจะหาเวลาแบบนั้นได้เหมือนกัน
   
หลังไลฟ์อันเหน็ดเหนื่อยก็ต้องปิดท้ายด้วยการพากันเฮละโลไปหามื้อเย็นทานกันเหมือนเป็นธรรมเนียมทุกครั้ง จะต่างจากเดิมก็ตรงที่มือกีตาร์ของวงอย่างต้น บอกกับทุกคนว่ามีข่าวสำคัญอยากจะบอกให้สมาชิกทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน
   
“มีค่ายติดต่อผ่านเรามา บอกว่าสนใจอยากคุยกับวงเรา”
   
คำพูดเพียงประโยคเดียวก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปภายในโต๊ะอาหาร
   
สมาชิกคนอื่นๆในวงไม่ว่าจะเป็นนัท หรืออ้น ต่างก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาไม่ปิดบัง แถมชูมือตีกันบนอากาศอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกต่างหาก
   
ปาล์ม แม่งานของวงปรบมือชอบใจเป็นการใหญ่ เพราะสำหรับคนที่คลุกคลีกับการจัดไลฟ์คอนเสิร์ตมานานเป็นปี ความสำเร็จอย่างที่สุดในสายตาของเด็กสาวก็คือ วงที่มาเล่นในงานของเธอได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่เหมือนที่ Sonic Energy กำลังจะได้ลิ้มรสอยู่นี่เอง
   
นก สตาฟคู่ซี้ของปาล์มก็ยินดีปรีดาไม่แพ้กัน ก่อนจะร้องออกมาว่า “ต้องฉลองกันหน่อยแล้วมั้งแบบนี้”
   
จะมีก็เพียงแต่เจผู้เป็นนักร้องนำของวงเท่านั้นที่ทำหน้าหนักใจเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้มา แน่ล่ะเขาดีใจกับเพื่อนในวงทุกคน แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกหนักใจและลำบากใจอย่างยิ่ง
   
“เป็นอะไรไปวะเจ ไม่ดีใจเหรอ”
   
โยหันไปมองเจอย่างเข้าใจสถานการณ์ที่คนข้างตัวต้องเผชิญอยู่ เจส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะมองหน้าเพื่อนๆแต่ละคน
   
“เราต้องดีใจสิ แต่มีอย่างหนึ่งที่เราอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้” จังหวะช่างไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ เจได้แต่ถอนใจหนักๆออกมา ก่อนจะตัดใจเอ่ยออกมาในที่สุด ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องบอก แทนที่จะประวิงเวลาออกไป สู้พูดออกไปเลยนั่นล่ะดีที่สุด “อีกสามเดือนต่อจากนี้ บริษัทเราจะประกาศรายชื่อของคนที่จะได้เป็นสมาชิกของวงบอยแบนด์วงใหม่ อะไรก็ไม่เท่ากับว่าทางบริษัทหมายมั่นปั้นมือกับวงนี้มาก เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้เป็นหนึ่งในนั้นไหม รู้แต่ว่าเราไม่อยากทิ้งโอกาสอันนี้ไป” แม้จะรู้สึกผิดที่ทำให้เสียบรรยากาศอันดีไป แต่ก็ยังสบายใจขึ้นมาก เมื่อได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเสียที
   
เกิดความเงียบขึ้นบนโต๊ะอาหารอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะมีใครเอ่ยอะไรออกมา
   
“ไอ้เจ...” นัทพูดขึ้นในที่สุด “พวกเราไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้นหรอกนะ” เจเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
   
“นายสู้อุตส่าห์ทุ่มเทฝึกฝนเพื่อการณ์นี้มานานนะเว้ย แถมโอกาสตอนนี้ก็มาลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงแม้ว่าวงเราจะสำคัญ แต่คงไม่สำคัญไปกว่าความต้องการของสมาชิกในวงหรอก” ต้นว่า “ถ้าการที่นายเลือกอยู่กับพวกเรา โดยที่ต้องทิ้งความตั้งใจเดิมของตัวเองไปแบบนั้น ก็ใช่ว่าจะทำให้พวกเราดีใจหรอกนะ”
   
“พวกเราแค่โชคดีที่ได้นายมาเป็นนักร้องให้ แต่ก็รู้แหละว่าสักวันนายก็ต้องมีทางเดินของตัวเอง” อ้นเสริม “มีหรือที่เราจะไม่รู้ว่าซักวันนายก็ต้องเดินไปตามทางของนาย”
   
“เจ” ปาล์มพูดขึ้นบ้าง “ลุยเลย” เด็กสาวตบบ่าเพื่อนที่รู้จักสนิทสนมกันมาปีกว่าเบาๆ
   
“จริงๆนะ ตอนนี้นายไม่ต้องกังวลเรื่องวงเราหรอก ขอแค่เวลามีงานก็มาร้องให้เหมือนเดิมไปก่อน นึกซะว่ามาสนุกๆ ซ้อมเสียงก็ได้”
   
“นายยังมีเวลาอีกตั้งสามเดือนนะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ตั้งใจทำให้ดีที่สุด เข้าใจไหม”
   
เจหันไปมองหน้าโย จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาให้อย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง เจ้าตัวจึงยิ้มออกมาได้ในที่สุด
   
“ขอบใจทุกคนมากนะ เรานี่จะว่าไปก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน”
   
“อย่า ไอ้เจ... อย่ามาทำพระเอกแถวนี้” อ้นอดแซวออกมาไม่ได้ตามประสา “หน้าตาดีแล้วยังมาทำนิสัยดี ทนไม่ได้โว้ย อิจฉา”
   
“แกไปลดน้ำหนักก่อนไป ค่อยมาอิจฉาเพื่อน” ปาล์มหันไปกัดเพื่อนแบบไม่ยั้ง ทำเอาอ้นคอหดลงไปหลายนิ้ว เรียกเสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารให้ดังขึ้นได้อีกครั้ง
   
“เอ้าพวกเรา” นัทชูแก้วโค้กขึ้น “เป็นกำลังใจให้เจมันหน่อย”
   
ทุกคนพร้อมใจชูแก้วน้ำตรงหน้าของตัวเองขึ้นบ้าง    
   
“เพื่อความฝันของเพื่อน” นัทว่า “สู้โว้ย!”
   
ชนแก้วเสร็จก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนที่นั่งขมวดคิ้วเป็นกังวลอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ยิ้มได้อย่างหมดกังวลลงในที่สุด

**************************

เด็กหนุ่มทั้งสองคนนั่งเงียบบนรถแท็กซี่โดยไม่มีใครเอ่ยอะไรอยู่เป็นนาน เห็นได้ชัดว่าต่างคนต่างก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายเพียงไร ตามปกติจะมีแค่เจเท่านั้นที่นั่งรถประจำทางไปทำงานพิเศษในคืนวันเสาร์แบบนี้ แต่วันนี้ โยกลับบอกว่าอยากจะไปเยี่ยมพี่อ๊อดสักหน่อยค่าที่ว่าไม่ได้แวะเวียนไปนาน และคะยั้นคะยอให้นั่งแท็กซี่ไปแทน เพราะเห็นว่าเวลาค่อนข้างกระชั้นมากแล้ว ก็จะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุยกันติดลมไปหน่อยนั่นแหละ
   
เจยอมรับกับตัวเองว่า ทันทีที่ได้รู้ว่าโอกาสที่ดีกำลังเดินเข้ามาหาวงดนตรีที่เขาร่วมหัวจมท้ายมาเป็นปี เขาดีใจแทนเพื่อนอย่างที่สุด แต่ตอนนั้นเขากลับนึกภาพตัวเองยืนอยู่บนเวทีกับเพื่อนสมาชิกอีกสามคนไม่ออกจริงๆ Sonic Energy เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของเขา ซึ่งแม้จะเป็นสนามเด็กเล่นแต่เขาก็ทุ่มเทตั้งใจกับมันอย่างเต็มที่ แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่า วันหนึ่งเขาคงต้องตัดใจจากมันไปในที่สุด เพราะมันไม่ใช่เป้าหมายของเขา เป็นเพียงแต่หนทางที่จะทำให้เขาได้เข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพในการร้องเพลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าความคิดอันนี้เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่าเหมือนกัน
   
ในวินาทีที่เขารู้สึกผิดและกังวลอย่างหนัก เพื่อนๆกลับไม่มีใครทัดทานเขาเลยแม้แต่คนเดียว ไม่เพียงเท่านั้น ยังสนับสนุนให้เขาได้เดินตามทางที่เขาเลือกมากกว่า ทั้งที่มันหมายความว่าวงจะต้องหานักร้องคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะหากันได้ง่ายๆ ใครๆก็ร้องเพลงได้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ร้องไลฟ์บนเวทีได้ จะมีสักกี่คนที่สามารถขึ้นไปเปล่งประกายบนเวทีและดึงดูดให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับเสียงเพลงได้ จะมีใครสักกี่คนที่ไม่รู้จักกันแต่กลับสามารถเล่นดนตรีด้วยกันได้ราวกับรู้จักกันมานาน ทั้งเข้าขาและรู้ใจกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา และจะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่านักร้องนำไม่ใช่ดาวเด่นเพียงคนเดียวของวง แต่ทีมเวิร์กของความเป็นวงต่างหากที่สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันขึ้นมาและเป็นตัวตัดสินว่าวงจะอยู่ได้นานแค่ไหน
   
เขาไม่ปฏิเสธว่าเสียดายที่จะต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปเมื่อวันนั้นมาถึง
   
“ยังคิดมากอยู่อีกหรือ” เสียงทุ้มจากคนที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น
   
“มันอดคิดไม่ได้เหมือนกันนะ”
   
“นายโชคดีมากเลยนะเจ” โยหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง “ที่มีเพื่อนที่ดีและใจกว้างขนาดนั้น”
   
“ในความโชคร้ายก็ต้องมีความโชคดีบ้างล่ะ จริงไหม” เด็กหนุ่มหันมายิ้มให้กับเขา “ถามอะไรหน่อยสิโย”
   
“ว่า?”
   
“ถ้าเกิดเราเลือกจะอยู่กับวง นายจะโกรธเราไหม”
   
โยหันไปมองหน้าอีกฝ่ายราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มบางๆออกมา
   
“เราจะไม่โกหกหรอกนะว่าเราคงรู้สึกผิดหวัง” เขาเอ่ยออกมาตรงๆ “แต่คงจะเสียใจมากกว่าถ้านายต้องเลือกทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำจริงๆ”
   
“ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เรากับนายไม่ได้อยู่ด้วยกันน่ะเหรอ” เจถามอย่างใคร่รู้ขึ้นมาจริงๆ
   
“ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้านายทำแล้วมีความสุขมากกว่า เราจะไม่ห้ามเลย”
   
“พูดจริงๆเหรอ”
   
“พูดจริงๆ” โยหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม “แต่เรารู้อยู่แล้วว่านายจะเลือกอะไร”
   
“นายรู้ขนาดนั้นเชียว”
   
“เจ คนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์กับตัวเองทุกอย่างแบบนายน่ะ ไม่ได้อ่านยากอะไรเลยสักนิด จริงๆนะ” โยว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้านายไม่ชอบสิ่งที่ทำอยู่ นายคงไม่ทนทำอยู่ได้ตั้งสองสามปี นายหาเงินส่งตัวเองเรียน ทะเลาะกับที่บ้าน ยอมเหนื่อย ยอมทนทุกอย่าง โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้เป็นนักร้องจริงๆวันไหน แต่ก็ยังทุ่มเททำ นายยอมไม่ไปเล่นไลฟ์บางงานได้ แต่นายไม่ยอมขาดเรียน เวลาอยู่กับวงนายเป็นคนสำคัญใครๆก็รู้จัก แต่นายก็ยังเลือกมาเข้าคลาสทุกวัน ถ้านายอยากทำวงดนตรีจริงๆ วันนี้นายคงรับปากกับวงไปแล้ว คงไม่ได้มานั่งคิดมากอยู่อย่างนี้หรอก” โยว่ายืดยาว ทำเอาเจ้าตัวที่นั่งฟังอยู่อ้าปากค้างอย่างทึ่ง ด้วยไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนอ่านง่าย หรือหมอนี่มันอ่านเขาขาดกันแน่
   
“อื้อหือ... “ เจครางออกมาอย่างชื่นชม “สนใจเรียนด้านจิตวิทยาไหมเพื่อน”
   
“ระดับนี้ยังต้องเรียนอีกรึ” โยยืดอกเต็มที่
   
“น้อยๆหน่อยโว้ย” เจหัวเราะพลางทุบไปที่บ่าเพื่อนร่วมทางที่ถ้าไม่ได้มาสนิทสนมด้วยเหมือนอย่างเขาก็ยากที่จะได้เห็นมุมขี้เล่นแบบนี้ “แต่ก็ขอบใจนะ”
   
“ขอบใจอะไร” เขาเลิกคิ้วขึ้น
   
“ก็ ขอบใจที่ทำให้เรามองตัวเองได้ชัดเจนขึ้น” เจแค่นยิ้ม “ปกติเรามันพวกทำโดยสัญชาติญาณ ชอบก็ทำ เห็นว่าดีก็ทำ แต่บางที่ก็ลืมนึกว่าทำเพราะอะไร ทำทำไม เพื่ออะไร”
   
“ถึงต้องมีเรานี่ไง” โยยกมือขึ้นวางบนศีรษะเจเบาๆ เจ้าตัวที่ชินกับสัมผัสนั้นมานานก็ไม่ได้ทัดทานอะไร แค่เอ่ยเพียงสั้นๆว่า

“ก็จริง” ก่อนที่รถแท็กซี่คันนั้นจะพาพวกเขามาถึงที่หมายได้ก่อนเวลาไปแบบเฉียดฉิว

*********************************




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
แม้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะเป็นเวลาตีหนึ่งของเช้าวันใหม่ แต่สำหรับห้องพักขนาดกำลังพอดีห้องนี้ แสงไฟที่ยังเปิดสว่างโร่นับว่าเป็นเรื่องปกติเมื่อเทียบกับอีกหลายๆห้องที่ปิดไฟมืดกันไปเกือบหมดแล้ว
   
“พรุ่งนี้จะได้หยุดซักที” เด็กหนุ่มร่างสูงที่เห็นได้ชัดว่าผอมเพรียวกว่าอีกคนนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดสภาพ “วันหยุดเพียงหนึ่งวันในรอบอาทิตย์ ชีวิตวัยหนุ่มอันน่าเศร้าว่ะ” โยฟังเสียงพร่ำเพ้อคร่ำครวญนั้นอย่างไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอะไร เพราะถึงเจ้าตัวจะบ่นออกมาแบบนี้ แต่พอถึงเวลาก็วิ่งไปวิ่งมาเหมือนเดิม แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
   
คนคร่ำครวญทำท่าจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ พลันก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ดึกขนาดนี้ใครยังจะโทรมาหาเขาอีกหรือ
   
“ครับ” กดรับโดยไม่ได้ใส่ใจดูว่าใครโทรมาในยามวิกาลขนาดนี้
   
“เจ” เสียงเรียกที่ที่ปลายสายทำให้เขาตาสว่างขึ้นแทบจะทันที
   
“แนน” ความรู้สึกของเจในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด แนนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกกับเขา บอกว่าเขาไม่มีเวลาให้ และคงจะไปด้วยกันไม่ได้ พร้อมกับหายไปเป็นเดือนๆคนนั้นจู่ๆก็โทรมาหาเขา
   
“หลับไปหรือยัง คุยได้ไหม”
   
“คุยได้ เราเพิ่งกลับมา” เจขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
   
“เรานอนไม่หลับน่ะ ไม่รู้จะคุยกับใครดี...”
   
“มีอะไรหรือเปล่าแนน” เด็กหนุ่มจับน้ำเสียงของปลายสายได้ว่าไม่ร่าเริงเหมือนเคย และน่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ถึงทำให้แนนยอมโทรหาเขาแบบนี้
   
“เรา... ไม่รู้สิ...” เสียงเด็กสายที่ปลายสายเริ่มขาดๆหายๆ และกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆไปในที่สุด “เราคงเป็นคนที่แย่มากใช่ไหม เจถึงไม่สนใจเรา บอยก็ขอบอกเลิกเรา...”
   
“แนน...” เจทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้น
   
“เขาบอกเลิกเราวันนี้เอง ทั้งที่แนนก็ดีกับเขาทุกอย่าง แต่ก็เหมือนยังดีไม่พอสำหรับเขา จะต้องให้แนนทำยังไงหรือเจ เขาถึงจะพอใจ” ฟังแล้วให้นึกสะท้อนใจเหมือนกัน ตอนที่แนนคบอยู่กับเขา แม้จะไม่มีเวลาให้แนนเต็มที่ แต่เรื่องที่จะทำให้แนนร้องไห้เสียใจไม่เคยอยู่ในหัวเจเลย เขาดีกับเด็กสาวที่สุดเท่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ใครสักคนได้ นึกแล้วก็น่าเจ็บใจ สุดท้ายคนที่ถูกบอกเลิกอย่างเขา กลับกลายมาเป็นคนที่ต้องคอยปลอบใจไปเสียนี่
   
“แนนขอโทษนะ แนนทำไม่ดีกับเจเอาไว้มาก จนไม่กล้าขอให้เจยกโทษให้ แต่แนนนึกถึงใครไม่ออกเลยนอกจากเจคนเดียว” เสียงนั้นยังคงสะอึกสะอื้นไม่หยุด
   
“ขอบคุณที่นึกถึงเราแนน เราดีใจนะที่เราพอจะช่วยอะไรแนนได้บ้าง นิดหน่อยก็ยังดี”
   
“แนนอยากจะเจอเจได้ไหม”
   
หนนี้เด็กสาวทำเขาอึ้งไปจริงๆ บอกตามตรงว่าแม้จะยังรู้สึกดีกับแนน แต่การกลับไปเจอกับเด็กสาวอีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าจะเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ ครั้งที่แล้ว ถ้าไม่ได้โยเขาคงแย่กว่านี้ เจหันไปมองร่างสูงๆที่ยืนพิงประตูห้องมองมาทางเขา ไม่รู้เพราะอะไร เขาไม่อยากให้โยได้ยินบทสนทนาอันนี้เลย เขาไม่อยากให้โยรู้ด้วยซ้ำว่าใครโทรมา
   
แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็ดูจะรู้ไปเสียหมด
   
“เอ่อ...”
   
“เจ ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ จริงๆ แนนไม่มีสิทธิ์...”
   
“ได้... พรุ่งนี้เลยก็ได้ เราว่างพรุ่งนี้”
   
“จริงเหรอเจ มาเจอแนนได้จริงๆนะ” เสียงของเด็กสาวแสดงความดีใจไม่ปิดบัง
   
ปลายสายวางหูไปแล้ว เจนั่งมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างใช้ความคิด เขาเม้มปากพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดี แต่ก็ใจดี ตกปากรับคำเขาไปแล้ว จะทำอะไรได้ล่ะเจ แล้วเขาโทรมาร้องไห้ขนาดนั้น จะให้เขาทำใจดำไม่ไยดีได้อย่างไรกัน
   
“คุยเสร็จแล้ว อาบน้ำนอนเถอะเจ” เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เพราะอะไรไม่รู้เขาไม่กล้าสบตากับโยตรงๆเลย แล้วทำไมเขาจะต้องรู้สึกไม่ดีด้วย เขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย แล้วก็นึกโล่งใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทุ้มๆนั้น แล้วเห็นรอยยิ้มแบบที่มีให้เขาอยู่เสมอส่งมาให้

********************************

เด็กหนุ่มไม่กล้าเปิดไฟเพราะเกรงว่าจะปลุกร่างที่นอนอยู่ก่อนหน้านั้นให้ตื่นขึ้นมา อาศัยแสงไฟที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างก็พอจะช่วยให้คลำทางไปถึงเตียงนอนได้ไม่ยากเย็นนัก
   
นอนไม่หลับเลย
   
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แนนคงยังไม่รู้ว่า อีกไม่นานจะมีการคัดเลือกตัวสำหรับวงบอยแบนด์หน้าใหม่แล้ว และเขาก็อาจจะไม่ได้เล่นดนตรีกับวงที่แนนไม่ค่อยชอบอีกต่อไป เขายังยุ่งกับการเรียน งานพิเศษ และยังทะเลาะกับที่บ้านเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ไม่ได้ติดต่อกัน เกิดอะไรขึ้นกับเขามากมายเหลือเกิน แล้วแนนล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่าเคยคบกันมาบ้าง
   
“นอนไม่หลับเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆข้างๆหูเขานี่เอง
   
“อือม์”
   
เจรู้สึกได้ว่าร่างที่นอนข้างๆเขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะรู้สึกว่าแขนข้างหนึ่งโอบเอวเขาเอาไว้หลวมๆ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายที่แนบอยู่กับแผ่นหลังของเขา ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด เพราะตั้งแต่เจย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ โยก็นอนกอดเขาแบบนี้บ่อยๆจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว พอเจบอกว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร โยก็เหมือนจะได้ใจ ทำเสียจนเคยตัวติดเป็นนิสัยไป เจเองที่ปกติบ้าจี้เป็นทุนเดิม แรกๆก็บ่นว่าจั๊กกะจี๋อยู่หรอก พอผ่านไปก็เริ่มชินจึงไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก แถมจะว่าไปสำหรับคนขี้หนาวอย่างเขา แบบนี้ก็อุ่นสบายดีเหมือนกัน
   
“พรุ่งนี้เรานัดเจอแนนนะ”
   
“รู้แล้ว” เสียงนั้นพูดเหมือนกระซิบ
   
“นายไม่โกรธใช่ไหม”
   
“โกรธทำไม”
   
“ก็เราโดนเขาบอกเลิกเองแท้ๆ น่าจะเข็ด แต่นี่...”
   
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะเจ” โยขัดขึ้น “ชีวิตเป็นของนาย อะไรที่ทำแล้วเห็นว่าดีก็ทำไปเถอะ”
   
“ทำไมนายตามใจเราจัง” เจเอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบอะไรทั้งสิ้น
   
อ้อมแขนแข็งแรงยังคงกอดเอวของอีกฝ่ายเอาไว้พอหลวม ไม่ให้รู้สึกว่าจาบจ้วงหรือทำให้อึดอัดอะไร โยไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่เลือกที่จะนอนอยู่เงียบๆ จนอีกฝ่ายคิดว่าคนที่นอนกอดเขาอยู่คงหลับไปแล้ว
   
“นายผอมไปนะ”
   
“หือม์?” ร่างที่พอนอนอยู่ด้วยกันแบบนี้เห็นได้ชัดว่าตัวเล็กกว่ามาก ตอบรับงงๆเมื่อจู่ๆคนข้างๆก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
   
“เอวนายเล็กนิดเดียว กินเยอะๆหน่อย อย่าเอาแต่ห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองบ้าง”
   
“ถึงจะเอวเล็กแต่ก็แข็งแรงนะ” เสียงนั้นแย้งขึ้นทีเล่นทีจริง
   
“เชื่อว่าแข็งแรง” โยว่า “แต่ดูแลตัวเองหน่อย”
   
ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงหลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างขยับตัวให้สบายขึ้น ปล่อยให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และเข้าสู่นิทราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้

******************************

เจไปถึงก่อนเวลานัดเหมือนอย่างทุกครั้ง ในหัวครุ่นคิดอะไรมากมายเต็มไปหมด พักนี้เขามีอะไรต้องคิดมากเหลือเกิน ชักจะทำตัวแก่เกินอายุไปหน่อยแล้วไหมนี่ มือข้างหนึ่งเท้าคางมองออกไปนอกร้านที่เป็นสถานที่นัดหมายในวันนี้ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็เล่นกับพวงกุญแจที่ต้องพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลานับตั้งแต่ออกจากบ้านมา
   
“กุญแจห้อง” โยที่ยื่นกุญแจพวงนี้ให้เขาในวันหนึ่งเอ่ยขึ้น “ถึงจะกลับด้วยกัน แต่ก็ต้องมีเผื่อเอาไว้นะ” เขาก็เลยเอากุญแจทุกอย่างที่มีอยู่แล้ว ร้อยเข้ากับพวงใหม่ที่ได้มา หน้าตามันแปลกๆก็จริง แต่ดูไปดูมาก็เท่ไม่เบาเหมือนกัน  โยบอกว่ามีพวงกุญแจหลายอันเพราะมีคนให้มา สมควรอยู่หรอก ท่าทางป๊อปปูลาร์ขนาดนั้น คงมีคนเอาของมาให้บ่อยอยู่ นึกได้ดังนั้นก็อดยกมือขึ้นสัมผัสกับจี้ห้อยคอที่เหมือนจะกลายเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายของเขาไปแล้ว ตั้งแต่ได้สร้อยเส้นนี้มา เขายังไม่เคยหยิบเส้นไหนมาใส่อีกเลย พร้อมกับให้เหตุผลกับตัวเองว่า สร้อยเส้นนี้สวยกว่าเพื่อนแถมแพงกว่า ก็ต้องเห่อเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
   
“มานานแล้วเหรอ เจ” เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อเสียงนั้นปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ความคิด นิสัยชอบเหม่อแบบนี้คงแก้ไม่ได้แล้วจริงๆ เขานึกในใจ
   
แนนเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่มออกก่อนที่จะนั่งลงไป แนนยังสวยน่ารักเหมือนเดิม วันหยุดแบบนี้เด็กสาวไม่ต้องสวมเครื่องแบบนักเรียน จึงสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้อย่างเต็มที่ ใบหน้าถูกเคลือบเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางค์แบบอ่อนๆ เสื้อแขนกุดเข้ารูปแมทช์กับกระโปรงสั้น อวดเรียวขาสวยพร้อมกับรองเท้าส้นเตี้ยสีสันสดใสทันสมัย และวางกระเป๋าสะพายใบเล็กน่ารักยี่ห้อดังที่ไม่น่าเชื่อว่าราคาเหยียบหลักพันไปโขลงบนโต๊ะ
   
แต่แม้ใบหน้าจะถูกแต่งแต้มมาอย่างดี ก็ยังสังเกตเห็นได้ว่าดวงตาคู่สวยนั้นยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้มาอย่างหนัก
   
“สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง”
   
“นิดหน่อย” เด็กสาวว่าพลางสบตาเด็กหนุ่มตรงหน้า “ถ้าไม่ได้เจเมื่อคืน คงแย่กว่านี้”
   
“ยินดีเสมอ” เจส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ หัวใจเด็กสาวกระตุกวูบ ทำไมหนอ ตอนที่มีเขาอยู่ข้างตัวจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงสิ่งดีๆเหล่านี้ สุดท้ายก็เลือกที่จะทิ้งไปเพื่อเลือกในสิ่งที่เห็นว่าดีกว่า แล้วไอ้ที่คิดว่าดีกว่าก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด บอยก็เหมือนกับเธอ ลูกคนเดียว มีเงิน ทางเลือกเยอะ เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาคอยอดทนหรือรองรับความเอาแต่ใจของเด็กสาว ไม่ชอบใจก็เลิก ง่ายๆแค่นั้นเอง
   
แนนระบายความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับเด็กหนุ่มได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เจไม่เพียงแต่จะตั้งใจฟัง ยังคอยปลอบโยน และให้กำลังใจเธออยู่ตลอดเวลา มือข้างหนึ่งคอยกุมมือบอบบางที่เห็นได้ชัดว่าไม่เคยจับต้องงานหนักใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“แนนขอโทษที่มองไม่เห็นสิ่งที่เจทำให้ตลอดเวลาที่คบหากันมา” เด็กสาวว่าอย่างสำนึกผิด “แต่ตอนนี้แนนรู้แล้ว”
   
เจได้แต่ส่ายหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ดีใจที่แนนดูจะสบายใจขึ้นมากแล้วเมื่อได้ระบายปัญหาคับอกออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอดูสดชื่นขึ้นและยิ้มออกได้ในที่สุด
   
“เล่าเรื่องเจให้แนนฟังบ้างสิ” เด็กสาวยืนยัน
   
“ก็เหมือนเดิมน่ะ ชีวิตเราน่าเบื่ออย่างที่แนนรู้ เรียน ทำงานหนัก มีอะไรต้องทำตลอดเวลา เออ... ตอนนี้เราออกมาพักอยู่กับโยแล้วนะ”
   
“อ้าว ทำไมล่ะ” แนนเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ
   
“มีเรื่องกับพ่อ” เขาตอบง่ายๆราวกับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว “ช่วงก่อนถ้าไม่ได้โยช่วย เราคงแย่”
   
“โยสบายดีใช่ไหม” แม้จะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่แนนไม่เคยสนใจอยากจะทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นแต่อย่างใด แม้แต่กับโยก็ต้องเรียกว่าพูดคุยกันแบบนับคำได้ทีเดียว
   
“สบายดี ตอนนี้เรากับโยต้องเตรียมตัวกันหนักเลย แนนรู้ไหม อีกไม่นานจะมีการประกาศผลคนที่จะถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์วงใหม่ของค่ายเราแล้วนะ” เจเล่าด้วยดวงตาเป็นประกาย “โอกาสของเรามาถึงแล้ว เราจะทำให้เต็มที่เลย”
   
“ดีใจด้วยนะ” แนนหมายความตามที่พูดจริงๆ
   
“เรากับโยสัญญากันว่า จะพยายามให้ติดเข้าไปพร้อมกัน” ว่าถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มกลับหัวเราะขันออกมาเสียเอง “โยน่ะ เรามั่นใจว่าติดแน่นอน เก่งออกขนาดนั้น เราเสียอีกที่น่าเป็นห่วง”
   
“ไม่หรอก เราว่าเจก็ต้องติด”
   
เด็กหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะเล่าต่ออย่างไม่คิดอะไร
   
“ตอนนี้นอกจากจะต้องฟิตมากๆ ก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดี หนที่แล้วป่วยหนัก เกือบแย่แน่ะ”
   
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
   
“ก็มากอยู่นะ ขนาดขาดเรียน ขาดงาน เรากังวลแทบตายกลัวเรียนไม่ทัน ถ้าไม่ได้โยช่วยนะป่านนี้สงสัยยังไปไม่เป็น”
   
แนนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั่งคุยกับเด็กหนุ่มที่เธอมั่นใจว่ารู้จักดีมาตลอด ชื่อของเด็กหนุ่มอีกคน หลุดออกมาจากปากของเจตลอดเวลา ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะเข้าไปมีอิทธิพลกับชีวิตของเจมากเหลือเกิน มากจนเธอนึกไม่ชอบใจ และนึกอิจฉา เมื่อที่ผ่านมาเธอเข้าใจไปเองตลอดเวลาว่า ถ้าเป็นเรื่องของเจแล้วล่ะก็ เธอต้องรู้หมดทุกเรื่องแท้ๆ
   
หรือแท้ที่จริงแล้วเธอไม่รู้อะไรเลย
   
“แล้วนี่เจก็อาศัยอยู่กับโยตลอดเลยหรือ” แนนกัดฟันถามออกไป
   
เด็กหนุ่มพยักหน้า
   
“ทำยังไงได้ นี่ดีนะที่โยไม่ได้หารูมเมตมาอยู่ด้วยเหมือนอย่างที่เราแนะนำไปก่อนหน้า ไม่งั้นเราคงไม่มีที่อยู่ คงลำบากกว่านี้มาก”
   
“เขาดีกับเจมากเลยนะ”
   
“ก็เราสนิทกัน” เจว่าอย่างไม่คิดอะไร
   
การสนทนายังกินเวลาต่อไปอีกพักใหญ่ ดูเหมือนทั้งคู่มีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมายเหลือเกิน แนนร่ำลาเจก่อนจะยืนยันว่า น่าจะหาเวลามาพบกันบ่อยขึ้น เจได้แต่พยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน เขายังรู้สึกดีกับแนนเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นเสมอมา แต่มีอะไรบางอย่างที่เขารู้สึกได้ว่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
อะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคลางแคลงใจว่า ใช่ความรักแน่หรือ
   
เสียงเพลงเรียกเข้าที่เจตั้งเอาไว้ดังขึ้น ทั้งที่เพิ่งแยกกันไปไม่ถึงห้านาที
   
“ครับ แนน”
   
“แนนลืมบอกอะไรเจไปอย่างนึง” ปลายสายว่ามา
   
“งั้นบอกมาเลย” เจยิ้มออกมาอย่างนึกขัน คุยกันไปตั้งยืดยาวขนาดนั้น ยังเหลือเรื่องที่ยังไม่ได้พูดอีกหรือ
   
“เรากลับมาคบกันเหมือนเดิมได้ไหม”
   
เด็กหนุ่มอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ถ้าเป็นเมื่อตอนที่เธอบอกเลิกเขาใหม่แล้วเธอบอกเขาแบบนี้ล่ะก็ เขาจะตกปากรับคำทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย แต่ตอนนี้ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาจึงไม่บอกเธอออกไป ทำไมเขาจึงไม่ตอบรับไปง่ายๆเหมือนอยางที่น่าจะทำ เขายังชอบเธออยู่ไม่ใช่หรือ
   
“ไม่ต้องรีบให้คำตอบหรอกเจ ค่อยบอกเราวันหลังก็ได้ แค่นี้นะ” แล้วก็ตัดสายไปง่ายๆแบบนั้นเอง แต่แนนไม่รู้หรอกว่า ตัวเองได้ทิ้งความสับสนมากมายเพียงไรให้กับเจบ้าง

*******************************

การฝึกฝนของแต่ละคลาสเรียนในแต่ละวัน เข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดคนที่อึดอย่างเขาและโยยังสัมผัสได้ว่ามันเหน็ดเหนื่อยและหนักหนาขึ้นเพียงไร แต่มีอยู่อย่างหนึ่งอีกเหมือนกันที่สังเกตเห็นได้ไม่ยากก็คือ จำนวนคนที่กลับมาเรียนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ครูอินประกาศออกไปอย่างชัดเจนวันนั้น สร้างผลกระทบหลายอย่าง เด็กนักเรียนที่หายหน้าหายตาไปนานกลับมาขยันตั้งใจเรียนเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่า ภายในระยะเวลาแค่สามเดือนจะทำให้พวกเขาตามเด็กที่เรียนหนักมาตลอดสองปีอย่างพวกเขาและอีกหลายๆคนได้ทันจริงหรือ
   
ผลกระทบอีกอย่างก็คือ พวกที่รู้อนาคตตัวเองแน่นอนโดยไม่ต้องรอให้ใครมากบอกว่านอกจากจะไม่ติดแล้วยังไม่เฉียดกับคำว่านักเรียนที่ดี ตั้งวงนินทาคนที่ตั้งใจเรียนไม่ขาดอย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนละครหลังข่าวไม่มีผิดเลย เจได้แต่คิดกับตัวเองในใจแม้ว่าตัวเองก็แทบจะไม่รู้จักละครหลังข่าวเลยสักเรื่องเลยก็ตาม นึกเสียว่าตัวเองเป็นพระเอก ต้องเจอกับตัวอิจฉาก็แล้วกันวะ
   
“ไม่รู้เหรอที่เขาเลือกมันเข้ามา เพราะมันหน้าตาดีนั่นแหละ”
   
“โธ่เอ๊ย วงบอยแบนด์ หน้าตามันก็ต้องมาก่อนความสามารถล่ะวะ”
   
“ถ้าไม่ติดว่าตัวแม่งใหญ่ขนาดนี้ กูจีบเป็นแฟนไปแล้ว หน้าหวานได้อีก เป็นแต๋วรึเปล่าก็ไม่รู้”
   
นี่คือตัวอย่างคำพูดเล็กๆน้อยๆที่เข้าหูเจอยู่บ่อยครั้งในระยะหลังที่พวกนักเรียนเก่าๆกลับเข้ามา ที่จริงเขาก็นึกฉุนอยู่เหมือนกันเวลาได้ยินคำพูดถากถางพวกนี้ รู้อยู่หรอกว่าพวกขี้อิจฉาที่สิ้นหวังจะมีวิธีทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นได้ด้วยวิธีนี้ แต่บางทีเขาก็นึกอยากสวนกลับไปเหมือนกันว่า หน้าตาดีแต่ไม่รู้จักฝึกฝน ก็ไม่มีใครเอาเหมือนกัน ที่ตลกคือ แต่ละคนที่ถูกเลือกเข้ามา อย่างน้อยๆก็ต้องมีหน้าตาที่ดีในระดับหนึ่งเหมือนกันทั้งนั้น แล้วมันเรื่องอะไรมาว่าเขาเรื่องหน้าตาดีอยู่คนเดียว
   
“ก็นายหน้าตาดีกว่าพวกนั้น” โยโพล่งขึ้นมาเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของเขา “จริงๆ” เจ้าตัวยังว่าออกมาต่อได้หน้าตาเฉย “ว่าตามจริง รุ่นเราทั้งหมดเนี่ย นายหน้าตาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดนั่นแหละ เป็นเราจะให้รางวัลหน้าตาดีนายไปเลยตั้งแต่รับเข้ามาเลยเอ๊า”
   
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคำปลอบใจ แต่ทำไมเขาถึงหยุดยิ้มไม่ได้ก็ไม่รู้ สุดท้ายทนไม่ไหวก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
   
“ไม่ต้องไปถ่อมตัวกับคนพวกนั้นหรอก มันกระแนะกระแหนมาก็ยืดอกรับไป นายเองก็เหนือกว่าพวกมันหลายขุมอยู่แล้ว” โยว่าเสร็จก็กลับไปซ้อมสเต็ปของตัวเองต่อ สายตาที่ปกติมีแต่ความอ่อนโยน เหลือบมองไปทาง “สมาคมคนขี้อิจฉา” อย่างให้เห็นว่าดูถูกดูแคลนโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว สร้างความรู้สึกหนาวๆร้อนๆให้กับคนโดนมองได้เป็นอย่างดี
   
“พวกพี่น่ะ...” เสียงเล็กๆแหบๆเสียงหนึ่งเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้น “อย่าไปยุ่งกับพี่โยพี่เจดีกว่า”
   
“แกมายุ่งอะไรด้วยวะไอ้ซัน” แม้จะเด็กกว่า แต่ความที่ได้เข้ามาเป็นนักร้องฝึกหัดก่อนใคร แถมเรื่องความสามารถนั้นไม่เป็นรองใครอีกต่างหาก ทำให้ซันที่จัดได้ว่าเป็นเด็กขยันคนหนึ่งไม่ได้นึกนิยมชมชอบหรือนับถือคนประเภทที่เขากำลังพูดคุยอยู่ด้วยนี้อยู่แล้ว ว่าออกมาแบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น
   
“โธ่พี่ อย่าให้น้องต้องสอน” ซันว่าหมิ่นๆ “พวกพี่ขี้เกียจอย่างกับอะไรดี จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนอย่างพวกเราต้องเหนื่อยกับอะไรมาบ้างกว่าจะมีวันนี้ พี่ดูถูกพี่เจก็เหมือนดูถูกพวกที่ตั้งใจเรียน” เด็กหนุ่มยักไหล่พร้อมส่ายหน้าอย่างระอา “ถ้ารู้ตัวว่ามาแล้วไม่มีประโยชน์ก็ไม่ต้องมา เพราะมันน่ารำคาญว่ะพี่ สร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่นเขา” ว่าเสร็จก็ทำท่าจะเดินออกไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
   
“อีกอย่าง นี่พวกพี่โชคดีมากเลยนะที่แขวะพี่เจแล้วไม่โดนพี่โยหักกระดูกเอา”
   
“หมายความว่าไงวะ” ปล่อยให้ไอ้เด็กนี่มาพูดด่าปาวๆแบบไม่ได้ตั้งตัว ก็เพิ่งจะมึคนมีสติโต้ตอบอะไรออกไปได้ก็ตอนนี้เอง
   
“พี่โยน่ะเทควันโด้สายคำ เรื่องศิลปะป้องกันตัวเองและผู้อื่นเป็นเยี่ยม พวกพี่พูดไม่คิดระวังปากจะแตกเอา”
   
“แกเป็นใครไปสาระแนเรื่องคนอื่นเขา” เสียงใครสักคนพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
   
“ผมสายน้ำตาล เรียนที่เดียวกะพี่โย มีปัญหาอะไรอีกไหม” ซันมองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างประเมินและนึกดูถูกอยู่ในที “วันหลังถ้ามาแล้วไม่คิดจะเรียนก็ไม่ต้องมา เปลืองพลังครูบาอาจารย์”
   
ได้ผล หลังจากวันที่เด็กซันออกโรงไปวันนั้น พวกที่ไม่ได้คิดว่าจะมาเอาจริงเอาจังอะไรกับการเรียนการสอนก็หายจ้อยไปหมด เหลือแต่พวกที่พอจะมีจิตสำนึกอยู่บ้างเข้ามาเรียนบ้างพอที่จะไม่ทำให้รู้สึกผิดไปมากกว่านั้น

********************************

พักนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เจถึงได้รู้สึกว่ามีบรรยากาศแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างเขากับเพื่อนสนิท แม้ว่าโยจะยังดีต่อเขาดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้ทำไมเจถึงได้รู้สึกว่ามันห่างเหินแตกต่างไปจากเดิม ที่จริงต้องบอกว่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมเหมือนตอนที่เขาคบหากับแนนเป็นแฟนอยู่นั่นล่ะมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะตั้งแต่ตอนที่เขาเล่าให้โยฟังว่า แนนขอกลับไปคืนดีกับเขาอีกนั่นแหละ แม้เขาจะยังไม่ได้ตอบตกลงกับแนน แต่การที่เขายังนัดเจอพูดคุยกับเธออยู่บ้าง กลับทำให้โยห่างออกไป โยเป็นฝ่ายแยกห่างออกไปแต่ก็ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน แค่รักษาระยะเอาไว้ และถ้าเขามองไม่ผิด เขารู้สึกได้ว่าโยเงียบลงกว่าเดิม ไม่ค่อยร่าเริง และที่สำคัญ เหมือนจะคอยหลบหน้าเขาอย่างไรก็ไม่รู้
   
“เป็นอะไรของเขานะ” เด็กหนุ่มรำพึงกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ขอให้เขาจัดการเรื่องยุ่งๆทั้งหลายให้เสร็จก่อน คงต้องคุยกันหน่อยแล้ว เจเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ งานพิเศษรอเขาอยู่นี่นา
   
“โย ไปก่อนนะ”
   
“เออ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” เสียงนั้นตะโกนออกมาจากห้องอาบน้ำโดยไม่โผล่หน้าออกมา
   
ไปแล้วสินะ
   
เหนื่อยเหมือนกันที่ต้องคอยหลบหน้าหลบตากันโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเป็นความจงใจของเขาแบบนี้ ใช่ว่าเขาอยากจะให้เป็นแบบนี้เมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็รังแต่จะลำบากใจกันเปล่าๆ โดยเฉพาะเขานี่แหละ ถ้าไม่ใช่เจมันจะยากแบบนี้ไหมนี่
   
แนนกลับมาแล้ว ทำไมโยจะไม่รู้ว่าเจรักแนนแค่ไหน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าโอกาสที่สองคนจะกลับไปคบกันนั้นสูงเอามากๆ เขาก็แค่เตรียมใจไว้ก่อนแค่นั้นเอง ถึงเวลาจะได้ไม่รู้สึกเหมือนหักดิบ แล้วก็จะได้กลับไปเป็นเพื่อนเหมือนอย่างแต่ก่อนได้ตามปกติ
   
นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องยอมคนๆเดียวได้ถึงขนาดนี้

*******************************

เหนื่อย!
   
นี่เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยจนพูดไม่ออกเลยก็ว่าได้ และคงตัดสินใจอาบน้ำเข้านอนไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเสียงจากปลายสายนั้นเจื้อยแจ้วไม่หยุดมาตั้งแต่เขาเดินออกจากร้านพี่อ๊อด ขึ้นรถประจำทาง แล้วก็ไขกุญแจเข้ามา เขาทำได้ดีที่สุดแค่ตอบรับ เออออไปบ้างพอไม่ให้น่าเกลียด แต่ไอ้เรื่องที่จะให้สรรหาเรื่องมาคุยได้เหมือนอีกฝ่ายนั้น เห็นทีคงต้องยอมแพ้
   
“เจเป็นอะไร ทำไมไม่เห็นค่อยคุยกับแนนเลย”
   
“เปล่าหรอก คงเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
   
“ซ้อมหนักไปก็เพลาๆลงหน่อยก็ได้”
   
“จ้ะ” พลันหางตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มของเพื่อนร่วมห้องที่เดินเข้ามาหาน้ำดื่มในครัว “แป๊ปนะแนน เอ้อ... โย ง่วงหรือยัง” ปลายสายหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอยู่กับใคร “ถ้ายังเดี๋ยวเราขอคุยด้วยนะ อื้อ... ไม่ต้องห่วง เรียบร้อยมาแล้ว… แต่ถ้าขี้เกียจรอ นอนไปก่อนเลยก็ได้... อ๊ะ... ขอบใจนะ”
   
“ขอโทษทีแนน ถามอะไรโยนิดหน่อย”
   
“ได้ยินแล้ว เจอกันทั้งวันยังต้องคุยอะไรกันอีกนักหนานะ”
   
เจนิ่วหน้าอย่างไม่สู้ชอบใจกับน้ำเสียงของแนนนัก
   
“เอาเถอะ” แนนระบายลมหายใจเหมือนพยายามสะกดอารมณ์อันหลากหลายเอาไว้ในใจ “ที่จริงแนนมีเรื่องอยากคุยกับเจนิดหน่อยเหมือนกัน”
   
“เรื่องอะไรหรือ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่การคุยโทรศัพท์กับเด็กสาวกลายเป็นเรื่องที่เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมันไปเสียแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายเฝ้ารอให้แนนเป็นคนโทรมาอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ
   
“แนนไม่เคยบอกเจเลยใช่ไหมว่า เจน่ะเหมาะกับการร้องเพลงกับวงเจร็อคของเจมากกว่า”
   
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเกิดอยากพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกว่าแนนไม่เคยชอบวงของเขาเลยด้วยซ้ำ
   
“เกิดอะไรขึ้นเหรอแนน” เขาถามโพล่งออกไปตรงๆ “ทำไมจู่ๆแนนถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
   
“ก็แค่พูดตามสิ่งที่แนนรู้สึก” ปลายสายว่าพลางยักไหล่ “ถึงแม้แนนจะเคยเห็นเจร้องเพลงกับวงแค่ครั้งเดียว แต่แนนว่าเจดูเท่มากเวลาอยู่บนเวทีแบบนั้น แนนชอบมากกว่าการที่เจจะไปเป็นบอยแบนด์อะไรนั่นอีก” ว่าตามจริง แนนไม่เคยชอบเวลาที่เจต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเพลงอะไรพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเกลียดนักเวลาที่เรื่องเหล่านี้มันดูจะสำคัญกับเด็กหนุ่มไปหมด และมันแย่งเวลาทั้งหมดของเขาไปจากเธอ เธอไม่รู้หรอกว่าไอ้คลาสเรียนของเจน่ะมันจะดีเด่แค่ไหน ไม่สนด้วยว่าวงที่เจร้องเพลงให้จะเยี่ยมแค่ไหน ตอนนี้ที่เธออยากทำก็คือ อะไรก็ได้ที่จะแยกเจให้ห่างจากโย
   
แนนเชื่อว่าการที่เจเลือกวงบอยแบนด์ก่อนวงร็อค สาเหตุหลักเป็นเพราะโย ดังนั้นหากเธอเกลี้ยกล่อมให้เจเลือกวงร็อคได้ล่ะก็ จะถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
   
แต่แนนไม่มีโอกาสได้เห็นว่าสีหน้าของเจตอนที่ได้ยินคำพูดจากปากของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าอีกไม่กี่นาทีถัดมาเจก็ขอตัวไปอาบน้ำและพักผ่อนอย่างสุภาพเหมือนกับทุกครั้ง

********************************

“โย...” เสียงนั้นเรียกชื่อของร่างที่นอนตะแคงหันหลังให้กับเขาแผ่วเบา “หลับไปแล้วเหรอ”
   
เจสอดร่างเข้าไปในผ้าห่มอย่างนุ่มนวลที่สุดด้วยเกรงว่าคนข้างๆจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขามองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยเบาๆพอให้แค่ได้ยินว่า
   
“ฝันดีนะเพื่อน” โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นยังลืมตาโพลงอยู่ในความมืดและไม่มีทีท่าว่าจะหลับตาได้ลงเลยสักนิด

--------------------------------------------

เป็นอีกตอนที่ยาวมากเลยใช่ไหมคะ? คืออย่างนี้ค่ะ หลายครั้งก็มีบอกตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมไม่หั่นแล้วทยอยลงบ้างก็ได้ แต่ก็มานึกถึงว่า เวลาเราอ่านอะไรก็อยากจะให้มันจบตอนน่ะค่ะ อีกอย่าง ตอนที่เราวางพล็อต เราก็วางเป็นตอนๆ มีเรื่องมีราวในแต่ละตอนและจบตอนลงอย่างสมบูรณ์ในแบบของมัน ก็เลยไม่รู้จะแบ่งมาลงอย่างไรดี บวกกับ... อาทิตย์นึงจะได้เอามาลงสักครั้ง นึกเห็นใจคนอ่านที่รออยากอ่านตอนต่อไปอยู่เหมือนกัน ก็เลยอย่างที่เห็นน่ะค่ะ ลงครั้งนึงก็คือตอนนึงไปเลย เพื่อที่จะได้ติดตามอ่านกันอย่างเต็มที่จริงๆ

หวังใจว่าจะยังคงติดตามอ่านกันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ไปจนกว่าจะจบนะคะ Beats of Life เป็นนิยายที่เราชอบมาก และอ่านบ่อยมากจริงๆ จึงแอบหวังอยากให้คนอื่นทุกคนที่แวะเข้ามา ชอบมันบ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดีค่ะ อ่านแล้วชอบใจก็อย่าลืมทิ้งข้อความสั้นๆเป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ หรือถ้าอยากจะแนะนำให้ใครคนอื่นได้อ่าน คนเขียนก็ยินดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้ว เย้ๆๆ

มาคราวนี้ น้องโยแล้วดุเศร้าเลย

น้องเจเค้าไม่รุ้สักที่ว่าเพื่อนสนิทเค้าหลงรัก

รอดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร

ขอบคุณนะคะที่มาต่อ

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
น้องเจ  ทำไมยังไม่รู้ตัวซักที  โยเค้าจะแย่อยู่แล้วนะ
โยก็แสนจะสุภาพบุรุษเกิ๊นนนนนน 
เบื่อยายน้องแนน  จะกลับมาทำม้ายยยยย  :fire:

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
หวัดดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

ตอนที่ 6 ยังคงเห็นความรักที่โยมีให้กับเจอย่างชัดเจน
โยรักและเข้าใจเจมากจริงๆ

แล้วเมื่อไร เจจะเข้าใจโยบ้างล่ะเนี่ย
แต่ท่าทางมีตัวเร่งปฏิกิริยาเข้ามาแล้วนะเนี่ย

ใกล้แระ รอนะคะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกันค่ะ

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ตอนนี้สงสารโยมากเลยอ่ะ แนนนิสัยไม่ดีที่แบบนี่้กลับมาหาเจ เขาว่าลงยาวๆดีแล้วเราชอบ
มาลงแค่อาทิตย์ละครั้งเองเหรอถึงว่าเราเข้ามาทุกวันไม่เห็นเลยอ่ะ  รอตอนต่อไปนะค่ะ :bye2:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
จะบอกว่า เอามาลงได้ถี่แค่ไหน มันไม่แน่ไม่นอนหรอกค่ะ... บางครั้งเราก็ทิ้งช่วงไม่นานเท่าไหร่ ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะคะ

ส่วนใครที่สงสารโย อยากรู้เหลือเกินว่า เจ รู้สึกยังไงแน่กับเพื่อนคนนี้...

ตอนหน้า... มีลุ้นค่ะ  :o8:

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
งั้นมานอนรอดีก่า อิอิ  :z2:

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
น้องโยเศร้าไปเลยอ่ะ สงสารจังเลย

รอติดตามอย่างใจจดจ่อ มาเร็ว ๆ น้า

ขอบคุณคนเขียนนะคะ

Yukisae

  • บุคคลทั่วไป
TTT___TTT
สงสารโยอ่ะ
เมื่อไหร่เจจะรู้ตัวซะทีเนี่ย
โยจะเป็นคนดีไปไหน
รอติดตามนะคะ :L2:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
มาแบบยาวจุใจ  ชอบค่ะ
น้องแนนเริ่มจะทำตัวน่ารำคาญอีกแล้วชิมิค๊ะ
แต่ก็แอบเห็นด้วยนะที่บอกว่าเจน่าจะเหมาะกะการร้องเพลงร็อคมากกว่า
(พูดอย่างกะไปเห็นมางั้นแหละ -///-)
เป็นกำลังใจให้เจ โย และไรเตอร์คร้า
+1 ให้คร้า แล้วมาต่ออีกนะคร้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด