#*#*# Beats of Life.......
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #*#*# Beats of Life.......  (อ่าน 101250 ครั้ง)

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อตอนใหม่แล้วตามคำเรียกร้องค่ะ ^_^

--------------------------------------
บทที่ 9

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อผ้าสวมใส่สบายในแบบที่รู้ว่าวันนี้เจ้าตัวคงไม่คิดจะออกไปไหนแน่นอน นอนแผ่อยู่บนพื้นห้องตรงที่ปูเอาไว้ด้วยพรมหนานุ่ม เหมาะเอาไว้นั่งหรือนอนเล่นโดยเฉพาะ สายตาแม้จะจับจ้องอยู่บนเพดานห้องสีครีมสบายตา แต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกล นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่มีเวลาให้ตัวเองได้ครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไรที่ถาโถมเข้ามาแบบนี้
   
สองสัปดาห์แล้วสินะที่เขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักที่แสนจะสะดวกสบายแห่งนี้พร้อมกับเพื่อนๆอีกสี่คน กลุ่มเพื่อนที่กำลังจะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสมาชิกวงเดียวกัน พวกเขาทั้งห้าคนจะต้องใช้เวลาร่วมกันต่อจากนี้เป็นต้นไปยาวนานเป็นปี เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมในการเป็นวงบอยแบนด์หน้าใหม่ และห้องพักแห่งนี้ก็จะเป็นที่ที่พวกเขาจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกัน ห้องนี้มีขนาดกว้างพอสำหรับเด็กหนุ่มห้าคน ประกอบไปด้วยห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำอีกสองห้อง ห้องนั่งเล่น และห้องครัวที่น่าจะเรียกว่าเป็นห้องอาหารไปด้วยก็ได้เหมือนกัน เรียกว่าสำหรับห้องพักในคอนโดมิเนียมแบบนี้ ที่นี่ถือว่าเพียบพร้อมทีเดียว
   
สำหรับเจที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวมาพักใหญ่แล้ว การย้ายมาอยู่ที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา โยเองก็แค่ทำเรื่องย้ายออกจากห้องพักเดิมเท่านั้นแม้ในใจจะนึกเสียดายห้องพักที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดีมากมายเพียงใดก็ตาม ส่วนชุนเอง ครอบครัวของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อยู่แล้ว จึงยิ่งง่ายขึ้นไปอีก อีกทั้งเจ้าตัวท่าทางเป็นเด็กขี้เหงา การได้ย้ายมาอยู่กับเพื่อนๆที่ค่อนข้างคุ้นเคยสนิทสนมกันดีแบบนี้ ต้องเรียกว่าเต็มใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ส่วนซันแม้จะมีบ้านอยู่แล้ว แต่เพราะอยู่ในย่านชานเมือง การย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ มีแต่จะทำให้เจ้าตัวสะดวกสบายขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว บวกกับเด็กหนุ่มเป็นคนร่าเริงเข้ากับคนง่าย การย้ายมาอยู่ร่วมกับคนอื่นจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แม็กน้องคนสุดท้องที่จริงก็เหมือนกับเจที่มีบ้านอยู่ในตัวเมือง แต่ด้วยความที่มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จึงไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยากนัก บริษัทอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับสมาชิกคนอื่นในวงให้มากที่สุด เขาจึงไม่อิดออดอะไร เพียงแต่อาจจะมีขอกลับไปที่บ้านบ้างเท่านั้นก็พอ
   
ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพาตัวเองมาได้ไกลถึงขนาดนี้
   
เจได้แต่ครุ่นคิดกับตัวเอง
   
ที่แน่ๆ เขาถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น และเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้วเสียด้วย ห่วงเพียงอย่างเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในใจของเขาก็คือ พ่อ พ่อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขายังเป็นกังวลอยู่
   
“ดีใจด้วยนะเจ” เด็กหนุ่มยังจำสัมผัสจากอ้อมกอดของพี่สาวทั้งสี่คนได้เป็นอย่างดี พวกพี่ๆที่แม้บางครั้งจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันบ้างตามประสา แต่มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่า พี่ๆรักและเป็นห่วงเขามากเพียงไร ที่สำคัญ พี่ๆเป็นกำลังใจที่สำคัญ คอยสนับสนุน และคอยปกป้องเขาเสมอ ในยามที่เขาลำบากขัดสน แม้จะไม่เคยออกปาก แต่บรรดาพี่สาวที่รู้ถึงนิสัยปากหนักของเขาเป็นอย่างดีต่างก็ไม่รีรอที่จะช่วยเหลือน้องชายคนนี้เลยสักครั้ง
   
ในวันที่เจตัดสินใจกลับไปที่บ้านอีกครั้งเพื่อบอกข่าวดีกับสมาชิกในครอบครัวด้วยตัวเอง ทุกคนดีใจไปกับเขา คงเหลือแต่พ่อที่ไม่ยอมอยู่รอเจอเขา พ่อยังไม่ยอมยกโทษที่เขาเลือกจะเดินตามความฝันมากกว่าเลือกการสอบเอ็นทรานซ์ แม้เขาจะยืนยันว่าเขาจะกลับไปเรียนอย่างแน่นอนก็ตาม ถึงอย่างไร พ่อก็ไม่อยากจะให้เขาเป็นนักร้องอยู่ดี ทั้งที่คิดว่าหากเขาสามารถมาได้ไกลถึงเพียงนี้ พ่อก็คงพอจะยอมรับเขาได้บ้าง
   
“พ่อยังโกรธเจอยู่เหรอแม่” เด็กหนุ่มถามออกไปในที่สุด ทำเอาผู้เป็นแม่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรต่อไปดี
   
“พ่อเขาก็เป็นแบบนี้แหละเจ ตัวไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวก็หาย” เสียงพี่สาวคนรองที่มีนิสัยคล้ายกับเจที่สุดในเรื่องคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นจนติดจะกลายเป็นขวานผ่าซากในบางครั้งเอ่ยออกมาอย่างรู้จักผู้เป็นพ่อเป็นอย่างดี
   
“เจ เก่งมากเลยนะที่มาได้ไกลขนาดนี้ พวกพี่น่ะเชื่ออยู่แล้วว่าตัวต้องทำได้ ยินดีด้วยจริงๆ” หนึ่งในพี่สาวฝาแฝดเอ่ยขึ้นมาบ้าง
   
“เจก็ขอบคุณพี่ๆทุกเลยนะ ถ้าไม่มีพวกพี่ เจอาจจะไม่มีวันนี้เลยก็ได้” เจที่หน้าตาสดชื่นขึ้นมาได้เพียงครู่เดียวก็ทำหน้าจ๋อยลงไปอีกเมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อ “ถ้าพ่อยอมรับในสิ่งที่เจทำได้ซักครึ่งหนึ่งที่พวกพี่เป็น เจจะสบายใจกว่านี้มากเลย”
   
“เจ” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นบ้าง “แล้วแม่จะพูดกับพ่อเขาให้นะลูก” พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายอย่างเห็นใจ สำหรับนางแล้ว แม้อาจจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของลูกชายเพียงคนเดียวเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เห็นแล้วว่าลูกชายของนางก้าวมาไกลสมกับความพยายามตั้งใจเพียงไร นางจึงยอมรับในที่สุด ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคัดค้านหรือต่อต้าน นางหันไปมองเสี้ยวหน้าลูกชาย วินาทีนั้นจึงได้เห็นว่า เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดคนนี้เติบโตขึ้นชนิดผิดหูผิดตา ไม่ใช่รูปร่างที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการทุ่มเทฝึกฝน ไม่ใช่ใบหน้าที่ดูคมคายขึ้นแม้จะยังดูสวยเกินกว่าผู้ชายทั่วไปก็ตาม แต่เป็นแววตาอันมุ่งมั่นและอะไรบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มที่ทำให้ผู้เป็นแม่อย่างนางรู้สึกคลายใจที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลลงได้
   
เจหันไปมองหน้าแม่ ก่อนจะยิ้มให้และยกมือไหว้ “ขอบคุณที่แม่เข้าใจและยอมรับเจนะฮะ”
   
“พ่อเขาดื้อลูกก็รู้ ใครจะไปเปลี่ยนความคิดเขาน่ะยาก ต้องใช้เวลาหน่อย” แม่ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “เจทำในสิ่งที่ต้องทำเถอะลูก”
   
เด็กหนุ่มยกมือไหว้แม่ ก่อนจะใช้เวลาว่างที่เหลือของวันนั้นพูดคุยกับแม่และพี่สาวต่อและลากลับในที่สุดทั้งที่ในใจแอบหวังว่าพ่อจะทันกลับมาเจอเขา สักนิดก็ยังดี
   
เจนอนหลับตาพลางถอนหายใจหนักๆออกมา ราวกับว่าถ้าทำแบบนั้น ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง
   
อีกหนึ่งปี
   
ถ้าพวกเขาขยันฝึกซ้อมอย่างหนักตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ในหนึ่งปีนี้ได้ ความฝันที่เฝ้ารอมานานก็จะเป็นจริงเสียที แม้มันจะหมายถึงการฝึกฝนอย่างเข้มข้นและเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว รวมไปถึงการยอมที่จะเอ็นทรานซ์ช้ากว่าคนอื่นไปอีกสักหน่อยนั่นด้วย แม้จะมุ่งมั่นกับความฝันของตัวเองมากเพียงไร แต่ลึกๆในใจแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้สึกกับเรื่องนี้
   
ที่จริงเขารู้สึกกับมันมากกว่าใครเพื่อนเลยต่างหาก
   
คนเราไม่ได้อะไรอย่างที่หวังไปทุกอย่างหรอก ไม่อย่างนั้นชีวิตก็คงจะสมบูรณ์แบบไปหมดน่ะสิ เจนอนมองฝ่ามือของตัวเองที่ชูขึ้นทั้งที่นอนหงายแผ่บนพื้นห้องอยู่แบบนั้น แต่เมื่อโอกาสลอยอยู่ตรงหน้าแล้วไม่คว้าเอาไว้ ปล่อยให้มันหลุดมือไป เขาก็คงจะนึกเสียดายมากกว่า ดังนั้น ถูกต้องแล้วเจ เด็กหนุ่มบอกตัวเอง ดีกว่ามานั่งเสียดายที่หลัง
   
เจนอนหลับตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งรู้สึกถึงอะไรอุ่นๆแต่อ่อนโยนสัมผัสอยู่บนหน้าผากของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นและเป็นจริงดังคาด สัมผัสที่คุ้นเคยแบบนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าเป็นของใคร
   
“โย” เสียงเรียกชื่อนั้นแหบเบา
   
“ไม่เป็นไรนะ เห็นนอนนิ่งอยู่ นึกว่าไม่สบาย” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่เด็กหนุ่มที่นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งอยู่ข้างๆตัวเขาตอนนี้กลับไม่ยอมผละมือยาวเรียวสมตัวข้างนั้นออกไปเสียที ทำเอาคนที่นอนอยู่อดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะวางมือข้างหนึ่งของตัวเองทับลงไปบนมือข้างนั้น
   
“กลายเป็นคนขี้กังวลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เราแค่นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่เจ็บไม่ไข้สักหน่อย”
   
“เราไขประตูเข้ามา นายยังไม่รู้ตัวเลย”
   
“วันหลังก็ส่งเสียงมาหน่อยสิ”
   
“ไม่เป็นไรนะ” ดวงตายาวรีคู่นั้นมีแววคาดคั้นเล็กน้อย ทำอาคนที่นอนอยู่อดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิพร้อมกับมองตอบเข้าไปในแววตาที่ดูจะจริงจังเกินเหตุไปเสียแล้ว
   
“ทำยังไงถึงจะเชื่อ” เจส่งยิ้มให้กับร่างที่นั่งอยู่ข้างเขา พร้อมกับช้อนสายตาที่เต็มไปด้วยแววหยอกล้อขึ้นมอง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อก็ถูกเรียกเสียก่อน
   
“พวกพี่…” เสียงแหลมเล็กเป็นเอกลักษณ์ที่แสนจะไม่สมตัวของน้องคนเล็กของกลุ่มดังขึ้นจากห้องครัว “ไม่หิวกันเหรอ… มากินข้าวกันเหอะ พวกผมหิวแล้วนะ”
   
ทำเอาพี่คนโตของวงทั้งสองคนที่นั่งคุยกันแบบมีโลกส่วนตัวหันมาพยักเพยิดให้
   
“กินกันไปเลย เดี๋ยวพี่ตามไป” เสียงทุ้มจากร่างที่สูงใหญ่กว่าตอบกลับไป
   
“พี่ชุน พี่ซัน ลุยเลยพี่ เดี๋ยวพวกพี่เค้าตามมา” เสียงนั้นดังแว่วขึ้นในห้องทานอาหารแม้จะไร้เงาของเจ้าตัวไปแล้ว
   
“แม็กมันกินเยอะอย่างนี้เป็นปกติเลยหรือเปล่าเนี่ย” เจพูดเหมือนกับจะรำพึงกับตัวเองมากกว่า
   
“ปกติกินเยอะกว่านี้”
   
“หา...”
   
“มันกินเก่งมาก” โยพยักหน้าเป็นการยืนยันว่าที่เขาพูดเป็นความจริงทุกประการ
   
“ซื้ออะไรเข้ามากินแบบนี้บ่อยๆคงสิ้นเปลืองน่าดู” ก่อนจะคิดสาระตะอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปยิ้มให้กับอีกฝ่าย “นายว่า น้องๆพอจะกินอาหารฝีมือเราไหวไหม”
   
“นายพูดอะไรของนาย” หนนี้ร่างสูงใหญ่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
   
“นายว่าอาหารฝีมือเราอร่อยไหม”
   
“เปิดร้านได้สบาย” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
   
“วันหลัง ทำอะไรให้น้องๆกินบ้างดีกว่า” เจ้าตัวว่าอย่างหมายมั่นปั้นมือ
   
“ไหวหรือ” โยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงไม่ปิดบัง “ถึงตอนนี้นายจะไม่ลำบากอย่างแต่ก่อน แต่คลาสเรียนของพวกเราหนักกว่าสมัยตอนเป็นนักร้องฝึกหัดเยอะเลยนะ”
   
“งั้นเอาเท่าที่ไหว ดีไหม” เจยิ้มให้อย่างเข้าใจอยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายขี้เป็นห่วงเขาขนาดไหน “ตอนนี้เราไม่ได้ไปทำงานร้านพี่อ๊อดแล้ว ก็ถือซะว่ามาฝึกมือทำอาหารให้น้องๆกินก็แล้วกัน แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวเราก็ไม่ต้องทำ ก็ซื้อเข้ามาอย่างทุกครั้ง โอเคไหม”
   
โยยิ้มบางๆออกมาโดยไม่เอ่ยอะไรอีก เด็กหนุ่มวางมือบนศีรษะกลมๆของอีกฝ่ายก่อนจะลูบอย่างอ่อนโยน แล้วจึงผุดลุกขึ้น ร่างสูงๆของเขามองลงมาก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับมือของอีกฝ่ายและฉุดให้ลุกขึ้นยืน และพากันไปจัดการมื้อเที่ยงของตัวเองที่มีคนล่วงหน้าไปแล้วเสียที   

เพราะความที่สมาชิกแต่ละคนนั้นมีความคุ้นเคยกันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม การมาใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้จึงใช้เวลาในการปรับตัวไม่นานขนาดที่ว่า แต่ละคนยังอดแปลกใจไม่ได้ที่พวกเขาเข้ากันได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของวงคงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากเกิดความแปลกแยกขึ้นกันสมาชิกในวงแม้แต่เพียงคนเดียว

โยกับเจถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของวง น้องทั้งสามคนจึงยินดีที่จะเรียกพวกเขาว่าพี่แม้อายุจะไม่ได้ห่างกันมากปีสักเท่าไหร่ และด้วยบุคลิกที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความเป็นผู้นำสูง โย จึงได้รับหน้าที่เป็นเหมือนหัวหน้าวงไปกลายๆ แม้จะไม่ได้มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะยอมรับบทบาทอันนี้ไปแต่โดยดีแบบไม่ปริปากอะไรทั้งสิ้น ชุนกับซันนั้นถือว่าอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งคู่จึงถือเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย และเมื่อได้สนิทสนมกันจึงได้รู้ว่า ชุนเป็นเด็กขี้เหงาและอ่อนไหวอย่างร้ายกาจด้วยความที่ต้องจากครอบครัวมาไกล แต่โดยพื้นฐานชุนเป็นคนร่าเริงอารมณ์ดี จึงเรียกว่าเข้ากับซันที่มีบุคลิกสดใสสมชื่อชนิดเป็นปี่เป็นขลุ่ย ด้านแม็ก น้องเล็กของวง แม้จะอายุน้อยที่สุด แต่ก็มีนิสัยค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน แม็กจะสุภาพเสียจนพี่ๆเกรงใจ ต้องใช้เวลาสักพักเกราะที่น้องเล็กสร้างขึ้นจึงค่อยๆพังทลายลงในที่สุด จนถึงตอนนี้แม้แม็กจะยังคงเป็นน้องที่น่ารักของพวกพี่ๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่เจ้าตัวก็ยียวนเอาเรื่อง ที่สำคัญน้องเล็กของวงเป็นเด็กฉลาดและเรียนเก่งเอามากๆ ในขณะที่พี่ใหญ่อีกคนอย่างเจ เหมือนจะเป็นศูนย์กลางของวงไปเรียบร้อย ไม่ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แม้ภาพลักษณ์ของเจในตอนแรกจะดูไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไร แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กหนุ่มเป็นคนอ่อนโยนและใจดีเสียจน ใครมีปัญหาอะไรมาก็ต้องมานั่งปรึกษาพี่เจนี่แหละ แถมเจ้าตัวยังพ่วงหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยของบ้านและของทุกคนตามนิสัยเจ้าระเบียบที่แก้ไม่หายสักทีเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก

“พวกพี่ๆเขาไม่หิวกันเหรอแม็ก” ชุนถาม

“เดี๋ยวตามมาพี่” เจ้าน้องเล็กแต่ตัวสูงกว่าพี่ๆทุกคนว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ มือข้างหนึ่งยังคงตักโน่นตักนี่ทานอย่างเพลิดเพลิน อีกข้างก็คอยเลื่อนจานอาหารให้พี่คนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ “พี่โยเขาห่วงพี่เจ เห็นนอนนิ่งอยู่เป็นนานเลย”

“พี่โยนี่ ถ้าเป็นเรื่องพี่เจนี่ไม่ได้เลยนะ” ชุนเปรยขึ้น

“คู่นี้เขาเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว” ซันว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา “วันไหนเขาไม่ดูแลกันสิแปลก” ว่าไปปากก็ซดน้ำแกงไปอย่างเอร็ดอร่อย

“นี่...” ชุนยื่นหน้าเข้าไปหาซัน “ถ้าเราเป็นอะไรไป นายจะดูแลเราแบบพวกพี่ๆเขามั่งไหมอ้ะ”

“นายเป็นลูกเราตั้งแต่เมื่อไหร่” ซันถามหน้าซื่อๆ

“โหว...” เด็กหนุ่มอีกคนร้องอย่างขัดใจ ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจออกมาทันทีเหมือนกัน

“ไอ้คนขี้เหงา กลัวเพื่อนทิ้งล่ะซี้” เจ้าของเสียงหัวเราะนั้นอดแซวไม่ได้ ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งผลักศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “เพื่อนกัน ไม่ดูแลกันใครจะดูแลเล่า กินไป เดี๋ยวเย็นชืดหมดไม่อร่อยนา”

คำพูดที่เหมือนไม่ถือเป็นจริงจังอะไรนั้นกลับทำให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบังความดีใจ ทำเอาน้องเล็กที่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อยได้แต่ส่ายหน้า พวกพี่นี่นะ โตกันแต่ตัวซะเปล่า ก่อนจะหันไปเลื่อนเก้าอี้ข้างๆตัวให้กับพี่ชายอีกสองคนที่เดินตามเข้ามาสมทบ

กลายเป็นอาหารมื้อเที่ยงที่ค่อนข้างครึกครื้นไม่เบาทีเดียว

****************************

ที่บอกว่าเมื่อหลุดพ้นจากการเป็นนักร้องฝึกหัดเพื่อที่จะก้าวไปสู้การเป็นนักร้องเต็มตัว หมายความว่าเด็กหนุ่มทั้งห้าคนจะต้องฝึกซ้อมและเรียนหนักขึ้นไปอีก ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแต่อย่างใด ต้องบอกว่ามันหนักหนากว่าที่คิดเอาไว้เสียละมากกว่า และการที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าช่วยได้มากเพียงไร ทุกวันจะมีรถของบริษัทไปรับไปส่งพวกเขาเสมอ และนั่นก็รวมไปถึงการไปรับส่งถึงหน้าประตูโรงเรียนด้วยเช่นกัน เมื่อมีกันอยู่ห้าคน การตื่น การนอน การกิน การใช้ชีวิตทุกอย่าง จึงอยู่ในสายตาของกันและกัน และง่ายต่อการดูแลซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแต่สร้างความสนิทสนมให้ก่อตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังสร้างวินัยและนิสัยรับผิดชอบทุกอย่างร่วมไปด้วยโดยปริยายเช่นกัน

แต่แม้จะได้ชื่อว่าอยู่ด้วยกันห้าคน เด็กๆกลุ่มนี้ก็ยังต้องมีคนคอยดูแลอยู่นั่นเอง ทีแรกก็มีการประชุมว่าจะให้ใครเข้ามาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของพวกเขา หน้าที่อันนี้จะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก เพราะถึงอย่างไร เด็กหนุ่มทุกคนก็มีตารางเวลาในการที่จะฝึกซ้อมและเข้าเรียนอย่างเป็นระบบอยู่แล้ว คนที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เพียงแต่ต้องคอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามตารางที่วางเอาไว้ แต่เมื่อลงในรายละเอียดแล้ว หน้าที่รับผิดชอบไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ดูเผินๆแม้นี่จะเรียกได้ว่าเป็นงานของผู้จัดการวงก็จริง แต่จะว่าไปก็ไม่ต่างกับการเป็นพ่อแม่พี่น้องให้กับเด็กหนุ่มทั้งห้าคนดีๆนี่เอง

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบที่มาใช้ชีวิตอย่างเต็มไปด้วยความรับผิดชอบร่วมกัน ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาใหญ่โต ก็คือความรับผิดชอบที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการจะต้องรับรู้และรับมือด้วยเช่นกัน

หน้าที่นี้จึงตกเป็นของ เมษ สาวบุคลิกห้าวที่ถ้าไม่บอกก็ไม่มีทางทายถูกว่าเป็นหญิงแท้หรือทอมบอย หรือแม้แต่จะเดาว่าอายุเท่าไหร่กันแน่ แถมคนที่ได้พบเจอกับหญิงสาวเป็นครั้งแรก หากไม่รู้จักก็เป็นอันต้องรู้สึกครั่นคร้ามกับบุคลิกของเธอกันไปเสียทุกคน

“ทีแรกผมก็มีนึกหวั่นๆพี่เมษนะ” หนึ่งในสมาชิกทั้งห้าคนเคยเอ่ยกับเธอตรงๆ ก่อนจะเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวขึ้นมาได้ทันทีเมื่ออีกฝ่ายว่าอย่างซื่อๆ “แต่ พอรู้จักกับพี่เจ ผมก็เลยชินแล้ว”

เมษเหมาะกับงานดูแลนักร้องศิลปินมากกว่างานพีอาร์ที่เธอเคยลองได้ทำมาแล้วครั้งหนึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ด้วยความที่ไม่ชอบเอาอกเอาใจใครบวกกับบุคลิกที่แสนจะตรงไปตรงมา เธอจึงเดินไปขอหัวหน้าว่า ช่วยเปลี่ยนให้เธอกลับไปดูแลนักร้องเหมือนเดิมดีกว่า พร้อมกับสารภาพว่าทนรับมือกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อหรือนักข่าวที่งี่เง่าไม่ได้จริงๆ

ให้ไปดูแลคนคนเดียวหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปเลยแบบนั้นน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า เพราะเป็นงานที่ไม่ถึงกับต้องเอาอกเอาใจใครมากจนเกินไป ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกำหนดการ มีระเบียบ และตักเตือนกันได้ โดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันว่า อีกฝ่ายจะมีผลประโยชน์ให้อย่างไร เมษชอบแบบนี้มากกว่า จนใครหลายคนอดแซวไม่ได้ว่า แท้ที่จริงเธอก็เป็นพวกศิลปินพอๆกับคนที่เธอต้องดูแลเหมือนกัน จึงเหมาะกันดีแล้ว

ครั้งแรกที่เธอได้พบกับเด็กทั้งห้าคนที่เธอจะต้องทำหน้าที่ดูแลไปตลอดทั้งปี และเผลอๆอาจจะต้องลากยาวไปจนถึงวันที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จะได้ออกไปเป็น นักร้อง นั่นด้วย เมษบอกกับตัวเองเป็นสิ่งแรกว่า เด็กพวกนี้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในแบบที่เธอต้องอึ้ง แม้จะผ่านงานดูแลนักร้องในสังกัดมาไม่น้อยก็ตาม ที่สำคัญ เธอถูกชะตากับเด็กๆกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกพบ
   
ในสายตาของเธอ โย เป็นเด็กหนุ่มตัวใหญ่บุคลิกดีที่ดูแล้วเหมาะกับหน้าที่หัวหน้าวงที่เจ้าตัวยอมรับเอาไว้เองอย่างไม่อิดออด เด็กหนุ่มคนนี้มีลักษณะการเป็นผู้นำและเป็นที่พึ่งพาของทุกคนได้จริงๆ หันไปมองเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆคนที่เป็นหัวหน้าวง เจ เด็กผู้ชายอะไรจะหน้าตาดีได้ขนาดนี้ นี่ขนาดเจ้าตัวยังไม่ได้เป็นนักร้อง เธอยังรู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันน่าดึงดูดใจของเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้ได้อย่างชัดเจน แม้บุคลิกภายนอกจะดูเย็นชา แต่แท้ที่จริงเด็กหนุ่มค่อนข้างขี้อายและไม่ค่อยมั่นใจในภาพลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆเด็กคนนี้น่ารักอ่อนโยนกว่าที่ใครๆจะคิด ซัน เป็นเด็กหนุ่มที่คำว่าน่ารักน่าจะเหมาะกับเขาที่สุด เด็กอะไรจะสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นคนช่างพูดช่างคุยและเป็นมิตรกับทุกคนดีเหลือเกิน ข้างๆกันคือชุน ที่ชอบทำท่าเขินๆอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ดูก็รู้ว่าติดเพื่อน ก็ท่าทางดูเป็นคนขี้เหงาขนาดนั้น คนสุดท้าย น้องเล็กของวงแต่ตัวสูงกว่าใครเพื่อน แม้หน้าตาจะน่ารักแต่ก็ดูเป็นเด็กที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ท่าทางเป็นคนพูดน้อยและขี้อาย แต่ก็ดูฉลาดเฉลียวทีเดียว

เอาเป็นว่านี่คือเด็กหนุ่มที่พร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติในการที่จะเป็นวงบอยแบนด์หน้าใหม่ที่นายใหญ่อย่างคุณเอ็มหมายมั่นปั้นมือ และเธอก็คือคนที่จะต้องรับหน้าที่ดูแล หรือพูดตามตรงก็เหมือนกับเป็นแม่อีกคนของเด็กพวกนี้นั่นเอง

“ฝากดูแลพี่ด้วยก็แล้วกันนะน้องๆ” คำทักทายแรกที่ออกจากปากของหญิงสาวทำเอาเด็กหนุ่มทั้งห้าคนที่ไม่รู้จะทำหน้าหรือวางตัวอย่างไรในตอนแรก ถึงกับต้องเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้มออกมาในที่สุด

“ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นล่ะครับพี่เมษ” โย พูดกลั้วเสียงหัวเราะกับมุกตลกหน้าตายของหญิงสาวที่เมื่อมายืนอยู่กับพวกเขาแล้วตัวเล็กไปถนัดตา

“แค่พี่มายืนตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยตึกสูงๆแล้ว ยังจะคาดหวังให้พี่ดูแลอะไรหรือ” เมษพูดหน้าตายต่อไป ทำให้บรรยากาศยิ่งดูผ่อนคลายมากขึ้นพร้อมกับเรียกรอยยิ้มกว้างจากเด็กหนุ่มได้ราวกับนัดกันไว้ทีเดียว “แต่ถ้าให้เป็นพี่ เป็นเพื่อน หรือที่ปรึกษาล่ะก็ พี่เมษยินดีนะคะ” หญิงสาวพูดจริงจังพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน “ต่อไปนี้เราก็ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ค่อยๆเรียนรู้กันไป แล้วถ้ามีอะไรอยากจะพูดคุยกับพี่ ก็ได้เสมอนะ แล้วก็... พี่ดีใจนะที่จะได้มาดูแลพวกเรา”

ผู้หญิงคนนี้เท่ดี ดูไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั่วไป เมษเป็นคนบุคลิกคล่องแคล่วไม่กลัวใคร แต่ก็ดูเปิดเผยจริงใจอย่างยิ่ง เวลาพูดคุยกับพวกเขา หญิงสาวจะตั้งใจฟังและมองตาคู่สนทนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด รอยยิ้ม หรือการหัวเราะ ทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกอุ่นใจเสียจนเหมือนกับว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้จะยืนอยู่เคียงข้างพวกเขาแน่นอน

“พี่เมษนี่ จะว่าไปก็คล้ายพี่เจนิดหน่อยแฮะ” แม็กเปรยขึ้นลอยๆเมื่อพวกเขานั่งอยู่ด้วยกันห้าคน

“เห็นด้วย แค่ต่างเวอร์ชั่นเท่านั้นเอง คนหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกคนเป็นผู้หญิง”

“ขอบใจนะ” เสียงคนถูกพาดพิงเอ่ยขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคำชมหรืออะไรกันแน่

“ทีแรกยังนึกกังวล ผู้หญิงคนเดียวดูแลลิงตั้งห้าตัวจะไหวเหรอ” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“พี่ว่าถ้าเป็นพี่เมษล่ะก็ สบาย” โยเอ่ยปิดท้าย “พี่ชอบพี่เมษนะ”

ทุกคนหันไปพยักหน้าให้กันราวกับนัดกันไว้

“ไม่น่าเชื่อนะว่าเราจะมีผู้จัดการส่วนตัวของเราเองแล้ว” เจว่าขึ้นมาบ้าง ทุกคนหันไปมองพี่คนโตหน้าสวยของวง “พอมานึกย้อนกลับไป ทีแรกเหมือนมันกับเป็นอะไรที่ห่างไกลมาก แล้วดูพวกเราตอนนี้สิ... อีกนิดเดียวแค่นั้น พวกเราก็จะมีผลงานเป็นของตัวเองแล้ว” เจว่าออกมาตามความรู้สึกที่แท้จริง

“พวกเราถึงตอนนี้จะยังไม่มีผลงานออกมา แต่เราก็ได้ชื่อว่าเป็นวงเดียวกันแล้วนะ” เจหันไปมองหน้าแต่ละคนสลับไปมาพร้อมรอยยิ้มที่แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกซาบซึ้งใจเพียงไร “แล้วพี่ก็ดีใจมากที่พวกเราได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ต่อไปพวกเราจะต้องพยายามให้มาก”

คำพูดอันแสนธรรมดานั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มอีกสี่คนที่นั่งอยู่ด้วยรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ซันยกแขนขึ้นโอบชุนที่น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาตามประสาคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย โยยกมือข้างหนึ่งจับกระชับมือเจเอาไว้ อีกข้างยกขึ้นบีบไหล่ของน้องคนเล็กเบาๆ ราวกับว่าเพียงเท่านี้ก็เข้าใจกันแล้วโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาอีก

******************************

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ตารางการฝึกซ้อมครั้งล่าสุดของเด็กหนุ่มที่เมษนำมายื่นให้แต่ละคนที่แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ยังถึงกับต้องถอนหายใจหนักๆออกมา แค่มองผ่านๆก็ชวนให้ประหลาดใจแล้วว่า ตัวหนังสือมากมายขนาดนั้นอัดลงไปในกระดาษแผ่นแค่นี้ได้อย่างไร ที่สำคัญมีตั้งหลายแผ่น แถมนี่ยังเป็นตารางของแค่เดือนนี้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น

แต่ที่ทำให้เมษนึกทึ่งเด็กพวกนี้ก็คือ แม้ว่าใบหน้าของแต่ละคนจะแสดงออกชัดว่าหนักใจ แต่ก็ใม่มีใครบ่นออกมาสักคำว่า มากเกินไป หนักเกินไป หรือว่าทำไม่ไหว ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เมษมีโอกาสได้ดูแลนักร้องหลายๆคน แต่น้อยครั้งเหลือเกินที่เธอจะได้เจอกับคนที่มีความมุ่งมั่นและใจสู้ขนาดนี้ ที่สำคัญพวกเขายังเด็กกันมาก หญิงสาวจึงอดนึกทึ่งวิสัยทัศน์ของนายใหญ่ไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณเอ็มจึงพิถีพิถันกับการคัดเลือกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้นัก

วูบหนึ่ง เมษบอกตัวเองว่า ถ้าเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ พวกเขาอาจจะทำได้ก็ได้

เธอเองก็จะขอทุ่มสุดตัวเหมือนกัน

“เหนื่อยกันหน่อยนะพวกเรา” เธอเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ จะว่าไปก็หนักกว่าสมัยเป็นนักร้องฝึกหัดขึ้นมาอีกนิดหน่อยเท่านั้น” โยว่า “จะมายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ได้ยังไง” เด็กหนุ่มว่าพลางหันไปมองสมาชิกในวงคนอื่นๆที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นมาจากคำพูดเพียงสั้นๆของหัวหน้าวง

“พี่เมษน่ะสิครับ ต้องมาเหนื่อยกับพวกเราไปด้วย” เจว่า

“ถ้าน้องว่าไหว พี่ก็ต้องไหวสิ” เมษยิ้มให้ทุกคน “ลงเรือลำเดียวกันแล้ว มันก็ต้องไปไหนไปกันล่ะนะ”

ความหนักหนาของตารางการฝึกนั้น เริ่มตั้งแต่การฝึกสัปดาห์ละหกวัน โดยมีวันพักเพียงหนึ่งวันนั่นคือวันอาทิตย์ ในแต่ละวันจะเริ่มจากการซ้อมสลับกันไปตั้งแต่คลาสว้อยซ์ คลาสแดนซ์ คลาสฝึกบุคลิกภาพ ซึ่งระดับความเข้มข้นของมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เริ่มต้นกันเลยทีเดียว เป็นการบอกว่า พวกเขากำลังเข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพมากขึ้นทุกที แม้แต่ครูที่เข้ามาทำหน้าที่ฝึกสอนนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป มีทั้งที่คุ้นหน้าคุ้นตา ไปจนถึงที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เพราะเป็นอาจารย์พิเศษที่เก่งเหนือชั้นขึ้นไปอีก และที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือช่วงเวลาในการออกกำลังเสริมสมรรถภาพร่างกาย ไปจนถึงการดูแลเรื่องโภชนาการอย่างเหมาะสม แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด ด้วยเพราะวัยและสุขภาพที่แข็งแรงของแต่ละคนที่มีอยู่เป็นทุนเดิม แต่การปล่อยปละละเลยให้น้ำหนักมากหรือน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร

ทุกอย่างที่ปรากฏในตารางการฝึก ยังต้องทำควบคู่ไปกับการเรียนหนังสืออย่างหนักด้วย

วันอาทิตย์ แม้จะเป็นเพียงแค่วันเดียวในสัปดาห์ที่พวกเขาจะได้หยุดพัก แต่บางครั้งก็จะมีอะไรเข้ามาแทรกให้พวกเขาได้ยุ่งขิงอยู่บ่อยๆได้เหมือนกัน ความหนักหนาของมันบางครั้งก็ทำให้สมาชิกบางคนถึงกับแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยและท้อใจออกมา แต่ก็ได้สมาชิกคนอื่นคอยปลอบและคอยเป็นกำลังใจให้ จนกระทั่งสามารถประคับประคองให้ผ่านไปได้ในที่สุด ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะคอยดูแลกัน อยู่เคียงข้างกัน และช่วยเหลือกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนบ่อยครั้งที่พวกเขารู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องพึ่งพากันและกัน และถ้าปราศจากใครคนใดคนหนึ่งไป ความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป
ความรู้สึกนี้เป็นมากกว่าแค่สมาชิกร่วมวง เป็นมากกว่าเพื่อน เป็นมากกว่าแค่พี่น้อง พวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน

*****************************

ยิ่งใกล้ช่วงเวลาของการสอบเอ็นทรานซ์ เจก็ดูเหมือนจะมีอะไรต้องคิดอยู่ตลอดเวลามากขึ้นไปอีก ตอนที่เขายังต้องไปเรียนหนังสือตามปกตินั้น ยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนฝูงที่โรงเรียนรวมไปถึงโยที่คร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมสอบเอ็นทรานซ์ เจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เจนึกถึงใจพ่อมากที่สุด

หลายเดือนมานี้ เจไม่ได้คุยกับพ่อเลย ที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายค่อนข้างจะห่างเหินมากพออยู่แล้ว ยิ่งเกิดเรื่องขึ้น ไม่เพียงแต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่พ่อเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้าเขาเลย ตัวของเขา ต่อให้เด็ดเดี่ยวเพียงไร แต่พ่อก็คือพ่อ ถึงจะไม่เคยพูด แต่เจก็ห่วงความรู้สึกของพ่อไม่แพ้ใคร
ยิ่งใกล้จะเอ็นทรานซ์แบบนี้ พ่อต้องรู้สึกกับมันมากกว่าใคร และเขาอยากคุยกับพ่อเหลือเกิน

ในขณะที่ห้องนอนใหญ่ที่ประกอบด้วยสมาชิกสามคนของวงปิดไฟเงียบไปครู่ใหญ่แล้วหลังจากทะเลาะทุ่มเถียงกันเรื่องเกมคอมพิวเตอร์อยู่เป็นนานจนแทบจะกลายเป็นกิจวัตร ห้องนอนเล็กที่เป็นของพี่ใหญ่ทั้งสองคนกลับมีแสงไฟสีส้มนวลตาลอดผ่านออกมาแม้จะเลยเวลาเที่ยงคืนไปนานแล้วก็ตาม ทั้งที่รู้ดีว่าวันพรุ่งนี้ยังมีตารางเรียนอย่างหนักรออยู่ แต่เห็นได้ชัดว่า ร่างที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงอย่างครุ่นคิดนั้น ยังไม่อาจข่มใจให้หลับตาลงได้จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไรก็ตาม
เจเงยหน้าขึ้นมองไปยังอีกร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวอยู่บนเตียงอีกหลังใกล้ๆกัน ก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งลงบนขอบเตียงที่มีร่างอันสูงใหญ่ครอบครองอยู่

“โย” เสียงเรียกนั้นแหบแผ่วเบาและรู้สึกได้ถึงความเกรงใจอยู่ในที “หลับไปแล้วหรือยัง”

“ยังหรอก” ร่างนั้นหันกลับมาเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่วางอยู่บนไหล่ของเขา และยิ่งได้เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ปลุกเขาในตอนนี้แล้ว ต่อให้ง่วงแค่ไหนเขาก็คงข่มตาหลับไม่ลงแน่นอน เด็กหนุ่มค่อยๆชันร่างลุกขึ้นนั่ง “มีอะไรหรือเปล่า”

เจนั่งก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ประสานกันเอาไว้หลวมๆอย่างคนคิดไม่ตก คนถูกปลุกได้แต่ยิ้มอย่างนึกรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องคงมีอะไรในใจถึงขนาดนอนไม่หลับจนต้องลงมือปลุกเขาขึ้นมากลางดึกแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร เฝ้ารอให้เจ้าตัวเปิดปากออกมาเองเมื่อพร้อม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือข้างหนึ่งจับกลุ่มเส้นผมนุ่มๆของอีกฝ่ายขึ้นทัดหูให้ จึงได้เห็นว่าใบหน้าหวานเกินเด็กผู้ชายทั่วไปที่เขาชอบมองนักหนาในยามนี้ ดูจะเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เจ...” เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยเรียกชื่อขึ้นเบาๆอย่างเต็มไปด้วยความห่วงใย หลายวันมานี้เจดูมีเรื่องไม่สบายใจรบกวนอยู่ตลอดเวลา แม้เจ้าตัวพยายามอย่างหนักที่จะกลบเกลื่อน คนอื่นอาจจะไม่ทันได้สังเกต แต่สำหรับโยแล้ว เรื่องของเจที่แม้จะเล็กน้อยสักเพียงไร ล้วนอยู่ในสายตาของเขา เพียงแต่ระยะหลัง เขาง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมและการเตรียมสอบเสียจนไม่ได้ลืมหูลืมตา จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยถามไถ่เสียที คิดแล้วก็น่าตำหนิตัวเองนัก

ร่างขาวจัดในชุดเสื้อกล้ามตัวหลวมและกางเกงขายาวใส่สบายนั้น หันมามองเขา หัวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย เจกัดริมฝีปากราวกับชั่งใจว่าจะพูดออกไปดีไหม ก่อนจะหลบสายตาคู่นั้นและก้มหน้าลงมองมือที่ดูเหมือนจะประสานกันแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกครั้ง

มือใหญ่ยาวเรียวข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ค่อยๆโอบรั้งศีรษะของอีกฝ่ายเข้ามาอย่างอ่อนโยนก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนขมับ เขาได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆจากกลุ่มเส้นผมที่อ่อนนุ่มและดูจะยาวขึ้นกว่าเดิมมาก สัมผัสนั้นอ้อยอิ่งอ่อนโยนเสียจน อีกฝ่ายไม่คิดแม้แต่จะขัดขืนหรือปัดป้อง ไม่รู้เป็นเพราะความอ่อนล้าในใจหรือความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเหมือนกันที่ทำให้เขาปล่อยให้อีกคนสัมผัสเขาตามแต่ใจแบบนี้ ก็มันรู้สึกดีเหลือเกินนี่เล่า

“พูดมาเถอะ...” โยเป็นอย่างนี้เสมอ คนคนนี้รู้เสมอว่าเขารู้สึกอย่างไร

“ขอโทษนะที่ปลุก” รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่มุมปากของร่างที่ยังอยู่ใต้ผ้าห่มเมื่อได้ยิน “แต่เรานอนไม่หลับเลย ทั้งที่ร่างกายรู้สึกเหนื่อยมาก”

โยไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มเขยิบร่างไปยังอีกฝั่งของเตียง มือข้างหนึ่งเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายให้ล้มลงนอนข้างๆกันแล้วจึงห่มผ้าให้ แล้วจึงหันไปกดปิดโคมไฟตรงหัวเตียง

แม้ห้องจะมืดเสียจนมองไม่เห็นอะไร แต่เจก็รู้สึกได้ถึงวงแขนแข็งแรงข้างหนึ่งที่รั้งตัวเขาเข้าไปกอด ใกล้ชิดกันเสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่าย ก่อนที่มือข้างเดียวกันนั้นจะค่อยๆลูบหลังเขาอย่างปลอบโยน

“อย่างนี้สบายขึ้นไหม” ไม่มีเสียงตอบกลับมา นอกจากศีรษะกลมๆตรงซอกคอของเขาขยับหงึกหงักอยู่เป็นการตอบรับกลายๆ แขนข้างหนึ่งของเจยกขึ้นวางลงบนเอวแข็งแรงของคนที่กอดเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างชนิดที่รู้ว่าไม่ยอมปล่อยเขาไปไหนแน่ๆ

“เรารู้ว่านายยุ่งกับเรื่องเตรียมสอบ” เสียงแหบแต่กลับน่าฟังนั้นเปล่งออกมาเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ “แต่ยิ่งเราเห็นนายแล้วก็เพื่อนๆเตรียมเอ็นฯกันแบบนี้แล้ว...”

“เสียใจเหรอที่เลือกทางนี้แทนเอ็นทรานซ์” เจส่ายศีรษะทันที จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้งในความมืด

“ถึงตอนนี้เราก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด ถ้าต้องเลือกอีกครั้ง เราก็จะเลือกเหมือนเดิม” เสียงตอบที่หนักแน่นนั้นกลับแผ่วลง “แต่เราห่วงความรู้สึกพ่อ”

“อยากคุยกับพ่อใช่ไหมเจ”

“อือม์” เจตอบรับ “ไม่อย่างนั้นเราคงไม่สบายใจอยู่แบบนี้” เด็กหนุ่มหลับตาเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่กดหนักๆลงบนกลางศีรษะของเขาจนเผลอซุกตัวเข้าหาวงแขนอันอบอุ่นนั้นจนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆระหว่างกันอีก “เราไม่ได้คุยกับพ่อเลยนะโย มันยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นลูกที่แย่ยังไงก็ไม่รู้”

“ไปไหม?”

“หือม์?”

“ไปคุยกับพ่อให้เข้าใจ” เสียงทุ้มพูดอย่างหนักแน่น “นายจะได้สบายใจเสียที เราว่ามันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะ”

“พ่อเขาจะยอมเข้าใจไหมโย”

“ไม่รู้สินะ” โยเงียบไปเป็นครู่ “แต่ก็ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ไม่ดีกับนายเลย”

“ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์นี้เราจะไปคุยกับพ่อ เรามันขี้ขลาด พยายามหาเหตุผลสารพัดเพื่อที่จะเลี่ยงไม่คุยกับเขา ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นการหนีปัญหาและหลอกตัวเอง” เด็กหนุ่มตำหนิตัวเอง

“ไม่เอาน่า” โยเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม “ถ้ามันง่ายแบบนั้น นายคงทำไปนานแล้ว อย่าโทษตัวเองเลย” ร่างในอ้อมแขนซุกตัวเข้าหาเขาแน่นขึ้นอีก คงจะมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่จะได้เห็นอีกด้านที่ทั้งน่าเอ็นดูและน่าปกป้องของคนคนนี้ เจที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จนน่าหลงใหล เจที่มีความสามารถอยู่เต็มเปี่ยมจนน่าอิจฉา เจที่เปรียบเสมือนหัวใจของทุกคนในวง แต่ไม่มีใครนึกภาพเจที่อ่อนล้า เจที่ต้องการที่พึ่ง หรือเจที่ออดอ้อนเมื่อยามอ่อนแอออกเลยสักคน

“ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” เด็กหนุ่มที่ยังไม่คลายวงแขนปลุกปลอบนั้นเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไร เราอยากไปคนเดียวน่ะ”

“อือม์”

“ไม่ว่ากันนะ”

“เข้าใจ แล้วก็... ดีแล้วล่ะ” มือของเขายังลูบหลังอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอยากปลอบใจหรือเพราะชอบที่จะได้สัมผัสอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนแบบนี้ “สบายใจขึ้นบ้างไหม”

“ดีขึ้น”

“ทีนี้จะนอนได้หรือยัง”

“จะพยายาม”

“นอนที่นี่แหละ”

“ผู้ชายตัวใหญ่ตั้งสองคนมานอนเบียดกันเนี่ยนะ นายนอนไม่สบายหรอก”

“เราบอกเมื่อไหร่ว่านอนไม่สบาย”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจ”

“ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เราไม่ได้นอนแบบนี้มานานเลยนะ ว่าไหม”

“ก็นึกว่านายไม่ชอบ เห็นมีเตียงของตัวเองแล้ว”

“ก็สบายอยู่หรอก แต่มัน...”

“แต่อะไร...”

“มันก็... เหมือนขาดๆอะไรไปเหมือนกัน”

“แปลว่าชอบนอนแบบนี้มากกว่า”

“นายทำเราชินมากกว่า”

“ดีจัง...” แม้จะมองไม่เห็นแต่โยก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเงยหน้าขึ้นมองเขาในความมืด

“อะไรดี...”

“ก็ที่นายชอบ ไม่รังเกียจเวลาเรากอดนาย”

“ถ้าไม่ชอบเราก็บอกไปแล้ว ไม่ปล่อยให้ทำหรอก”

“นั่นสิ”

“พอไม่ว่าก็เคยตัว นายน่ะ” เรียกเสียงหัวเราะเบาๆออกมาจากร่างสูงที่ตอนนี้กอดเขาแน่นขึ้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ขออะไรที่เอาแต่ใจอย่างหนึ่งได้ไหม” เสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของโยเอ่ยขึ้น

“อะไร” พอได้นอนคุยกันแบบนี้ เจกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด หนังตารู้สึกหนักขึ้นมาเสียเฉยๆ และชักจะง่วงขึ้นมาติดหมัด

“อย่าไปกอดใครแบบนี้ได้ไหม”

“ขออะไรประหลาดแฮะ”

“น่า... ได้ไหม” เสียงทุ้มแฝงแววออดอ้อน

“เพราะ?”

“มัน... หวง”

“ไอ้บ้า” มือข้างที่โอบเอวของอีกฝ่ายเอาไว้ยกขึ้นทุบหนักๆลงไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ถึงอย่างไรก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ ก็จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ถูกผู้ชายด้วยกันมาบอกว่าหวงแบบนี้เล่า โยหัวเราะเสียงเบาก่อนจะเอ่ยอะไรออกมาที่ทำเอาอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

“แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ ไม่ชอบเลย เวลารู้สึกแบบนี้มันไม่ค่อยเป็นตัวเอง เพราะงั้น อย่าทำให้รู้สึกหวงได้ไหม ขอแค่นี้แหละ” เสียงทุ้มนั้นยังว่าอย่างเอาแต่ใจไม่หยุด “ได้ไหม”

“นายเคยเห็นเราไปกอดกับใครแบบนี้ไหมล่ะ”

“ไม่เคย”

“แล้วเคยเห็นเราปล่อยให้ใครมากอดแบบนี้ไหม”

“ไม่เคย”

“งั้นก็รู้ไว้ซะ เราเองก็ไม่ใช่จะปล่อยให้ใครมากอดง่ายๆเหมือนกัน” เจว่า “พอใจหรือยัง”

“พอใจแล้ว”

“ทีนี้นอนได้หรือยัง”

“ง่วงแล้วเหรอ”

“ง่วงมาก ตาจะปิดอยู่แล้ว”

“นอนกอดกันก็ดีแบบนี้แหละเห็นไหม” ไม่แค่พูด แต่ยังถือวิสาสะก้มลงจูบลงบนศีรษะหอมๆนั้นเบาๆ “นอนเถอะ”

“อือม์” ตอบสั้นๆเพียงเท่านั้น ไม่นาน ร่างที่เล็กกว่าในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเตียงก็ผลอยหลับไปง่ายๆด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นในรอบหลายๆวันมานี้

โยขยับตัวเบาๆให้นอนสบายขึ้นก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน โดยไม่ยอมผละมือข้างที่กอดร่างนั้นออกแต่อย่างใด

--------------------------------------------

หวังว่าบทที่ 9 นี้จะทำให้หายคิดน้องลงได้บ้างนะคะ มาต่อช้าไปนิด ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ช่วงปลายปีน่ะค่ะ มีอะไรจะต้องไปจัดการมากมายเหลือเกินทีเดียว

สำหรับตอนนี้คงได้รู้แล้วนะคะว่า ตัวละครที่ถูกหยิบยืมมาจาก "เพลงรัก" ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่เมษของเรานี่เอง แต่เริ่มเดิมทีก็มีคิดจะสร้างตัวละครขึ้นใหม่ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เราก็มีตัวละครที่เหมาะอยู่ในมืออยู่แล้ว แถมจากเรื่องก่อน พี่เมษก็มีบทบาทเยอะอยู่ไม่เบา ขอพี่เขามาเป็นแขกรับเชิญในนิยายเรื่องนี้อีกสักเรื่อง ก็ไม่น่าจะเป็นไร (คิดเองเออเองน่ะค่ะ) พี่เมษจึงเข้ามามีบทบาทอีกครั้งในเรื่องนี้ด้วย

เรื่องราวต่อไปนี้จะมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆค่ะ ไม่ขอบอกใบ้ แต่อยากจะให้ติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบอกไว้ก่อนว่า นิยายเรื่องนี้ ไม่ยาวเท่ากับเรื่องที่แล้ว แต่ถึงจะจบก็ไม่เรียกว่า จบแล้ว เสียเลยทีเดียว ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น ช่วงตอนสุดท้ายจะเข้ามาบอกเล่าเก้าสิบกันค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม และอ่านให้สนุกเหมือนเคยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2009 23:03:57 โดย fingerscrossed »

C2U

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนเก้าแล้วเหมือนตัวเองพลาดอะไรไป

ที่แท้พลาดตอนที่แปดนี่เอง   555

พลาดได้ไงเนี่ย   ตอนที่แปดน่ะ กรี๊ดดดด มากมาย  :m3:



เอาใจช่วยเจให้ได้คุยกะ่พ่อดีๆซะที   :L2:



ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
บอกได้คำเดียว

"อุ่น" จังค่ะ  :o8:

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
โย อบอุ่นมากๆ  ขอเพียงเจยังมีโยอยู่อะไรๆก็คงไม่น่ากลัวละนะ :กอด1:

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
โยน่ารักเหมือนเดิม :-[ เจก็ยังไม่รู้สึกตัวอีกยอมเขาขนาดนั้นแล้ว อิจฉาเจอ่ะ โยแสยดีมากๆ :o8: :bye2:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
แอร๊ยยย  น้องๆเค้าเข้าใจกันดีจิงๆเลยน๊า
ให้บรรยากาศอบอุ่นมากเเลยยย
+1 ขอบคุณที่มาต่อคร้า  แล้วจะรอตอนต่อไปนะคร้า :L2:

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
รู้สึกชอบจัง รู้สึกว่าอบอุ่นชอบกล อิอิ น่ารักจิงๆๆ

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจจังที่เห็นสาวเมษได้กลับมาดูแลน้องๆ อีกครั้ง
และมั่นใจว่า น้องๆ ต้องผ่านเรื่องร้ายไปได้ ถ้ามีคนดูแลชื่อ พี่เมษ ....

อบอุ่นกับความรักที่โยมีให้กับเจมากเลยค่ะ

อยากให้พี่นนท์กับน้องน้ำต้น มาเยี่ยมเยียนน้องโยน้องเจ บ้างนะคะ ....

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
บรรยากาศเวลาโยกับเจอยู่ด้วยกันนี่มันอบอุ่นจังเลยน๊า ><
โยคอยเปนกำลังใจให้เจตลอด น่ารักจัง
แถมยังมีพี่เมษมาดูแลอีกตะหาก โห๊ะ ๆ

อยากให้เจคุยกับพ่อให้รุ้เรื่องไปเลย ๆๆ จะได้ไม่เศร้า เนาะ ๆ :)

 :L2: :L2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 10

สามทุ่ม
   
นี่เขาใช้เวลาคุยกับพ่อนานถึงขนาดนี้เลยหรือ

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่แสนธรรมดา แต่กลับดูดีเมื่อมันถูกสวมใส่บนรูปร่างอันสูงโปร่งสมส่วนของเจ้าของ นั่งพิงอยู่ตรงเบาะหลังของแท็กซี่สีสันสดใส ต่างจากสภาพจิตใจที่หดหู่และเศร้าหมองเหลือเกินของเขาในตอนนี้

ก็น่าอยู่หรอก

เจจำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับพ่อนานๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แต่ว่าตั้งแต่เจตัดสินใจคิดอยากจะเป็นนักร้อง พ่อก็แทบจะไม่มองหน้าเขาอีกเลย แม้พอจะคาดเดาได้บ้างอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างจากการพูดคุยอย่างเปิดอกกับพ่อคราวนี้ แต่เอาเข้าจริงมันแย่กว่าที่คิดเอาไว้มาก

พ่อรับไม่ได้ และไม่ให้อภัยเขา

“สิ่งที่เจทำมันผิดขนาดนั้นเลยเหรอพ่อ” เด็กหนุ่มยังจดจำน้ำเสียงอันแหบแห้งเหมือนกับคนสิ้นหวังของตัวเองได้ดี

“แกอยากให้พ่อแกอกแตกตายใช่ไหม ถึงได้ตัดสินใจเลือกทางนี้ ทั้งที่แกก็ไม่ได้โง่ แต่แกมันไม่รักดี” คำพูดรุนแรงพรั่งพรูออกมาจากปากผู้เป็นพ่ออย่างเหลืออด เจหันไปมองแสงไฟของร้านรวงข้างทางที่ยังคงเปิดไฟสว่างโร่ แต่มันกลับพร่าเลือนจนกลายเป็นภาพเบลอไปหมด น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ตั้งแต่ก้าวเท้าขึ้นนั่งบนรถพร้อมบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ ในตอนนี้มันไหลลงอาบแก้มอย่างไม่อาจหักห้ามได้

ไม่ว่าจะมีเรื่องเหนื่อยยากแค่ไหน เด็กหนุ่มทนได้ ลำบากสาหัสเพียงใด เขาก็พร้อมจะสู้ แต่หนนี้ เจทั้งท้อแท้ ทั้งเสียใจ คำพูดที่รุนแรงและเสียดแทงของพ่อแต่ละคำทำให้เด็กหนุ่มหัวใจแทบสลาย พ่อปรามาสว่าเขาอกตัญญู โง่ขลาเบาปัญญา เป็นลูกที่ไม่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจเลยสักนิด

เขาที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดมาตลอด แต่เพียงแค่เลือกเดินในเส้นทางที่พ่อไม่เห็นด้วย ทำให้เขาถึงกับกลายเป็นลูกที่เลวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เด็กหนุ่มหมดเรี่ยวแรง พลังกายและพลังใจที่มีอยู่ทั้งหมดเหือดหายไปจนหมดสิ้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียใจที่ทำให้พ่อผิดหวังหรือเสียใจที่พ่อไม่ยอมรับการตัดสินใจของเขามากกว่ากันแน่ แต่ถึงตอนนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

พ่อเกลียดเขาจนไม่อาจทนมองหน้าได้ด้วยซ้ำ

ร่างที่นั่งนิ่งราวกับหยุดหายใจไปแล้วแต่น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุดนั้น ทำเอาชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ลอบมองเขาผ่านกระจกอยู่หลายครั้ง เด็กอะไรหน้าตาดีแต่ดูเศร้าเหลือเกิน คงเจอกับอะไรหนักๆมาสินะ แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้ผู้โดยสารหนุ่มอายุน้อย นั่งคิดอะไรเงียบๆอยู่ในโลกของตัวเองต่อไป

“เอาเลย ปีกกล้าขาแข็งแล้วก็ไม่ต้องเห็นหัวพ่อแม่อีก แกจะไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ไปเลย พ่อจะนึกเสียว่าไม่มีลูกชายอีกต่อไปก็แล้วกัน ในเมื่อชีวิตเป็นของแก ข้าวของอะไรที่เหลืออยู่ขนออกไปให้หมดเลยนะ ไปอยู่กับไอ้บริษัทเฮงซวยนั่น แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”

พ่อพูดกับเขาเป็นคำสุดท้ายก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขาโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลอะไรอีกไม่ว่าเขาพยายามที่จะอธิบายไปแล้วแค่ไหนก็ตาม แม่และบรรดาพี่สาวได้แต่ตกใจกับคำขาดของพ่อ จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ที่แย่ไปกว่านั้นไม่ว่าทุกคนพยายามที่จะปลุกปลอบให้กำลังใจน้องชายคนเล็กของบ้านเพียงไร ก็ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่รับรู้อะไรอีก ได้แต่นิ่งเงียบจนน่าใจหาย ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าโกรธ เสียใจ หรือผิดหวัง ทำเอาสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออดเป็นกังวลไม่ได้

พี่ๆมีหรือจะไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่อาจจะดูเย็นชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรของน้องเล็กนั้น เด็กหนุ่มเป็นคนอ่อนไหวอย่างที่สุด ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างตัวเองแล้วล่ะก็ เจจะรู้สึกมากกว่าใครเพื่อน แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าไม่ได้แปลว่าจะเสียใจน้อยกว่าคนอื่น

แล้วเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนที่มักจะคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเสมออย่างเจ จะเสียใจสักแค่ไหนที่คนเป็นพ่อพูดจาตัดรอนเขาถึงเพียงนั้น

เจไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ได้แต่เดินหันหลังออกจากบ้านไปเหมือนคนไร้วิญญาณ ไม่พูดไม่จา ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ทุกอย่างดูว่างเปล่าไปหมด ทิ้งให้คนข้างหลังได้แต่ยืนมองด้วยความใจหาย

แค่เรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายแก่คนขับได้ก็เก่งมากแล้ว เขาพยายามตั้งสติ แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของพ่อมันดังก้องอยู่ในหัววนไปวนมาจนไม่อาจสลัดให้หลุดออกไปได้เลย

เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แสงไฟจากโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นเมื่อเขากดปุ่มอะไรสักอย่าง ก่อนจะที่นิ่งค้างไว้อย่างนั้น จนแสงสว่างนั้นดับลง เขาอยากคุยกับโยตอนนี้ ทั้งที่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอกันอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าโยจะต้องรอฟังข่าวจากเขา หรือเขาควรจะรอเจอหน้าโย แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของเขาแย่มากเสียจนอยากจะได้ยินเสียงนุ่มๆทุ้มๆนั่นบอกเขาว่า ไม่เป็นไร อย่าร้องไห้ เราจะอยู่ข้างๆนายเอง

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกดหมายเลขที่แสนจะคุ้นเคยด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เรี่ยวแรงที่มีอยู่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้จะหมดเต็มที
   
“ฮัล...”
   
เจได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสายเพียงเท่านั้น ก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง จู่ๆก็เหมือนกับถูกเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรง เขาแทบไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำก่อนที่สติจะดับวูบลงไปเสียเฉยๆ
   
นอกจากเสียงกระแทกของโลหะหนักอย่างรุนแรงแล้ว เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ไม่แม้แต่ความเศร้าหรือความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น

*************************

ทำไมรถถึงแล่นได้ช้าไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย
   
เด็กหนุ่มร่างสูงนั่งคู่กับคนขับด้านหน้ารถแท็กซี่ เบาะหลังมีเด็กหนุ่มอีกสองคนนั่งมาด้วย สีหน้าของแต่ละคนไม่สู้ดีนัก โชเฟอร์วัยชราไม่นึกแปลกใจว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น เพราะจุดหมายของเด็กหนุ่มทั้งสามคนในรถก็คือโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่ายี่สิบนาที แม้การจราจรในยามดึกเช่นนี้จะเบาบางลงมากแล้วก็ตาม
   
คงจะเป็นคนสำคัญมากล่ะกระมัง
   
เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ต่างก็ปลอบใจกันและกัน ถ้ามองไม่ผิดคนหนึ่งร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบังโดยที่อีกคนแม้จะคอยปลอบใจเพื่อนอยู่แต่ก็ด้วยดวงตาที่แดงช้ำ ไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไหร่ ส่วนเด็กหนุ่มที่บุคลิกท่าทางเป็นผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆเขา แม้ไม่ได้พูดหรือแสดงอาการอะไรออกมา แต่จากหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นจนดูเคร่งเครียด บวกกับใบหน้าที่ซีดเผือดและมือที่กำแน่นจนขาวซีดนั้น ก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่า มีความกังวลใจไม่แพ้กัน
   
ชายชราไม่ถามอะไรให้มากความ ได้แต่เหยียบคันเร่งบึ่งไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้   

เขาจำได้ว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของเจ คนที่เขานึกเป็นห่วงตั้งแต่ออกจากห้องพักไปเพื่อที่จะไปคุยกับพ่อตั้งแต่ตอนเย็น แม้ใจจะห่วงแค่ไหน แต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของเพื่อนคนสำคัญ ไม่เซ้าซี้จะตามไปและรับปากว่าจะรอฟังข่าวอยู่ที่ห้อง
   
จนกระทั่งเจโทรศัพท์มาหาเขา
   
กดรับสายยังไม่ทันขาดคำ เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีกนอกจากเสียงคล้ายวัตถุหนักๆกระแทกกันก่อนที่สายจะถูกตัดขาดไป ตอนนั้นหัวใจของเขาหล่นวูบ ไม่ว่าจะพยายามโทรกลับไปสักเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมาอีก
   
เกิดอะไรขึ้น
   
เขาพยายามถามคำถามตัวเองทั้งที่รู้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา เจเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงอะไร แล้วทำไมเจถึงไม่รับสายเขาหรือโทรกลับไม่ว่าเขาจะพยายามโทรกลับไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าทำได้โยคงจะผลุนผลันออกไปตามหาเจแล้ว แต่สติที่ยังมีอยู่เฝ้าบอกตัวเองว่า เขาไม่รู้ว่าเจอยู่ที่ไหน แล้วจะตามหาเด็กหนุ่มได้อย่างไร
   
โยกดโทรศัพท์หาเมษทันทีก่อนจะพูดกรอกลงไปในโทรศัพท์อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น เมษตกใจแต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกให้เด็กหนุ่มรออยู่ที่ห้อง อย่าเพิ่งรีบหุนหันตัดสินใจออกไปไหนเด็ดขาด และเธอจะตามไปสมทบทันที หลังจากนั้นพี่ใหญ่ของวงก็เดินไปบอกชุนกับซันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนได้แต่ร้อนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น
   
“หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่าพี่โย” ชุนหันไปถามพี่ใหญ่หัวหน้าวงเสียงแหบเครือ
   
โยได้แต่นิ่วหน้า มีหรือที่เขาจะไม่คิดถึงเรื่องนั้น แต่เขาก็จนใจไม่อยากจะคาดเดาไปต่างๆนานา
   
“พี่ก็กลัวอยู่”
   
แต่แล้วบรรยากาศที่ตึงเครียดนั้นก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวโยไม่ห่างนับตั้งแต่ติดต่อเจไม่ได้
   
“เบอร์เจ” พูดได้เท่านั้นเขาก็กดรับสาย โดยน้องๆอีกสองคนกระโดดเข้ามานั่งข้างๆ รอลุ้นด้วยอาการใจจดใจจ่อ “ฮัลโหล เจ...” ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น โยก็อ้าปากค้างนิ่งไป ใบหน้าที่ผ่อนคลายลงเมื่อครู่กลับดูเคร่งเครียดขึ้นจนน่ากลัว
   
“ครับ ผมเองครับ... เป็นเพื่อนครับ...” เด็กหนุ่มเงียบไปเป็นครู่ เขาตั้งใจฟังเสียงจากปลายสายราวกับจะซึมซับทุกคำพูดในนั้นเข้าไปในสมองให้หมด แม้จะคอยพยักหน้าแต่อาการกัดริมฝีปากล่างจนแทบจะห้อเลือดเหมือนพยายามจะสะกดกั้นอารมณ์บางอย่าง บอกให้รู้ว่า ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
   
“ที่ไหนนะครับ... ได้ครับ” พูดได้เท่านั้น โยก็กดวางสายก่อนจะหันหน้าไปมองน้องคนนั้นทีคนนี้ที อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าตรงไหนก่อน
   
“เกิดอุบัติเหตุกับเจ” เสียงที่ทุ้มอยู่แล้วฟังดูแหบโหยหายเข้าไปในลำคอ กว่าจะเปล่งออกมาได้แต่ละคำ ช่างยากเย็นนัก
   
“พี่เจเป็นยังไงบ้าง เขาว่ายังไงพี่โย” ซันคว้าเสื้อยืดของหัวหน้าวงกำแน่นเอาไว้ในมืออย่างลืมตัว
   
“รถแท็กซี่ที่เจนั่งมาโดนชนท้ายอย่างแรง เขานั่งอยู่ข้างหลังคนขับพอดี เลยโดนกระแทกหมดสติไป” โยนึกถึงปลายสายที่ถูกตัดหายไป คงจะเป็นตอนนั้นสินะ เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “บาดเจ็บมาก แต่ไม่รู้จะสาหัสแค่ไหน เขาบอกให้เราไปหาเจที่โรงพยาบาลนี้” โยยื่นกระดาษที่จดชื่อโรงพยาบาลเอาไว้ให้น้องชายต่างสายเลือดทั้งสองดู
   
“ชุนหรือซันก็ได้ โทรบอกแม็กหน่อย” โยหมายถึงน้องเล็กของวงที่ในวันหยุดเพียงวันเดียวของสัปดาห์จะขอกลับไปอยู่ที่บ้านบ้างเป็นบางครั้ง “เดี๋ยวพี่จะโทรบอกให้พี่เมษตามไปที่โรงพยาบาลเลย เขาอยากจะได้ผู้ปกครองไปเซ็นเพื่อให้เจเข้ารับผ่าตัด ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ให้เวลาห้านาทีเดี๋ยวลงไปเรียกแท็กซี่ได้เลย”
   
เมื่อสติกลับมาครบสมบูรณ์ โยก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
   
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีพวกเขาก็เข้ามานั่งในรถแท็กซี่คันนี้แล้ว แม้จะรู้ว่าคงใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก แต่ในยามที่ร้อนใจแบบนี้ มันกลับดูเหมือนนานเป็นปี ระยะทางไม่กี่กิโลเมตรก็เหมือนจะยาวไกลมากกว่าปกติ
   
ทันที่ที่รถแท็กซี่พาพวกเขามาถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มทั้งสามคนแทบจะพุ่งออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ไม่ลืมจ่ายค่าโดยสารเสียก่อน
   
เมษที่มาถึงก่อนหน้าเด็กหนุ่มทั้งสามคนรีบเดินเข้ามาสมทบ ก่อนที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจให้สมาชิกในวงอีกสามคนฟัง
   
“พลเมืองดีเขาเห็นเหตุการณ์พอดีว่า มีรถเก๋งคันหนึ่งขับมาเร็วมากชนท้ายแท็กซี่คันที่เจนั่งมา แล้วก็ขับหนีไป แต่เขาจำหมายเลขทะเบียนได้ หลังจากนั้นก็ลงไปช่วยรถแท็กซี่คันที่เกิดอุบัติเหตุ โชคดีมากที่คนเห็นเหตุการณ์เยอะ ก็เลยมีคนเข้ามาช่วยหลายคนแบบทันท่วงทีด้วย” เมษเล่า “ท้ายรถแท็กซี่พังยับเลย ตัวคนขับน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจที่นั่งอยู่เบาะหลังนี่สิ เจ็บหนัก ขาหักแถมหมดสติเลยต้องเข้ารับผ่าตัดด่วน โชคดีนะที่โยโทรมาบอกพี่เร็วพี่ก็เลยรีบบึ่งมาเซ็นให้ผ่าตัดได้ทัน” เมษยกมือขึ้นดูเวลา “พี่ส่งเจเข้าห้องผ่าตัดแล้วถึงได้ลงมารอพวกเรา ว่าแต่โย ทำไมถึงได้รู้เรื่องเร็วนัก โชคดีมากเลยนะเนี่ย”
   
“ก็น่าจะเป็นพลเมืองดี หรือใครซักคนในเหตุการณ์น่ะครับพี่เมษ เขาเห็นโทรศัพท์ตกอยู่ก็เลยหยิบขึ้นมากดดู เห็นว่ายังใช้ได้แล้วก็คงเห็นว่าเบอร์ของผมเป็นเบอร์สุดท้ายที่เจโทรหา เขาก็เลยโทรหาผม... ผมเป็นคนสุดท้ายที่รับสายเขาก่อนจะเกิด...” โยพูดได้เท่านั้น ก็เหมือนหมดเรี่ยวแรงไปเสียเฉยๆ เหมือนความเข้มแข็งที่ทนอดกลั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ได้ถึงขีดจำกัดของมันแล้ว
   
น้ำตาที่ไม่เคยมีใครได้เห็นไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก แม้แต่เจ้าตัวเองก็ให้ประหลาดใจกับน้ำตาที่จู่ๆก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุด
   
“โย...” เมษยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปกอดเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เธอได้รู้จักสนิทสนมกับเด็กกลุ่มนี้ “ไม่เป็นไรนะครับ เจไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
   
เด็กหนุ่มกอดตอบและร้องไห้ออกมาเงียบๆเหมือนกับเด็กชายตัวน้อยๆ ทำให้เมษได้ตระหนักว่าแท้ที่จริงโยยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แล้วคนที่อ่านคนได้อย่างลึกซึ้งจนแทบจะกลายเป็นความสามารถพิเศษส่วนตัวไปแล้วเหมือนเมษ มีหรือจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างโยกับเจนั้น มีความพิเศษมากเพียงไร ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่า โยเป็นห่วงเป็นใยเจมากขนาดไหน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเจนั้นเปิดใจและเชื่อใจโยมากแค่ไหน เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คนที่จะรู้สึกมากกว่าใครเพื่อนก็คือเด็กหนุ่มคนนี้นี่เอง
   
ซันกับชุนเมื่อเห็นพี่ชายคนโตที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เข้มแข็งมากกว่าใคร แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็น แม้พวกเขาจะได้มาใช้ชีวิตร่วมกันเป็นระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่ความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้นจนพวกเขาไม่ต่างอะไรกับพี่น้องร่วมสายเลือดกัน ก็ทำให้เข้าใจความรู้สึกของพี่ใหญ่หัวหน้าวงเป็นอย่างดี ที่สำคัญพี่เจที่น้องๆรักก็ประสบอุบัติเหตุแบบที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารุนแรงและจะก่อให้เกิดผลกระทบแบบไหน มีหรือพวกเขาจะไม่รู้สึกเสียใจจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก
   
เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินเข้าไปกอดพี่ชายของวงเอาไว้แน่น ราวกับจะปลอบใจและให้กำลังใจกันและกันไปด้วยในที เมษถึงกับน้ำตาคลอเมื่อได้เห็นภาพเด็กหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้า
   
ไม่กี่อึดใจ ร่างผอมสูงอันคุ้นเคยก็วิ่งเข้ามา ดูจากสภาพก็พอจะเดาได้ว่าร้อนใจเพียงไร ยิ่งเมื่อเห็นภาพเด็กหนุ่มทั้งสามคนยืนกอดกันร้องไห้ คนที่เพิ่งตามมาสมทบก็พลอยเขื่อนแตกไปด้วยอีกคน
   
“พี่” แม็กเรียกพี่ชายทั้งสามคน ก่อนที่ทุกคนจะยื่นมือไปรับน้องชายคนเล็กเข้ามากอดกันกลมทั้งสี่คน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว และนั่นหมายถึงความทุกข์ของคนหนึ่งก็จะถูกถ่ายทอดไปยังคนอื่นได้ทันทีโดยอัตโนมัติ
   
เมษหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่ตอนนี้หยุดร้องไห้ไปแล้วนั่งคุยกันเงียบๆแต่ก็เห็นได้ชัดว่าทุกคนยังอยู่ในอาการที่เคร่งเครียดและเป็นกังวลอย่างยิ่ง เธอปล่อยให้เด็กๆขึ้นไปรอหน้าห้องผ่าตัด โดยไม่ลืมบอกว่าจะตามไปสมทบทีหลัง เพราะดูเหมือนว่าคืนนี้เธอจะต้องโทรไปปลุกใครต่อใครอีกหลายคนทีเดียว

*******************************

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หน้าห้องผ่าตัดก็เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นแม่และพี่สาวของเจ เมษแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นผู้เป็นพ่อ แต่เธอเลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไปให้มากความ ครอบครัวของซันและแม็กก็มารออยู่ด้วยอย่างพร้อมหน้า เมื่อเด็กพวกนี้สนิทสนมกันจึงเป็นธรรมดาที่บรรดาพ่อแม่ก็จะรู้จักกันไปโดยปริยาย แต่ที่แน่ๆทุกคนล้วนเป็นห่วงเด็กหนุ่มที่หายเข้าไปในห้องผ่าตัดนานหลายชั่วโมงแล้ว
   
คนสุดท้ายที่เดินทางมาที่โรงพยาบาลและสร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆได้มากที่สุดก็คือ ประธานบริษัทคนสำคัญนั่นเอง คุณเอ็มตรงเข้าไปพุดคุยกับแม่ของเจก่อนเป็นคนแรก ก่อนที่จะปลอบอกปลอบใจผู้เป็นแม่ว่า ลูกชายของนางจะต้องปลอดภัย

************************
   
ไฟหน้าห้องผ่าตัดดับลงแล้ว
   
คนที่นั่งรออยู่หน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ แทบจะหยุดหายใจเมื่อหมอหนุ่มเจ้าของไข้เดินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางของหมอเองดูจะโล่งใจมากกว่าอะไรอื่น ทำเอาทุกคนที่เฝ้ารอฟังผลใจชื้นขึ้นมาแทบจะทันที
   
“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ” หมอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “อาจจะต้องรอดูผลข้างเคียงอีกสองสามวัน แต่เท่าที่ดูสมองคนไข้ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไร โชคดีที่ยังเด็ก สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงมากทีเดียว ค่อยๆรักษาตัวไปพร้อมกับกายภาพบำบัด ไม่นานก็หาย เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปห้องพิเศษ แล้วก็เดี๋ยวขอเชิญญาติคนไข้ที่ห้องหมอหน่อยนะครับ”
   
ไม่น่าแปลกใจเมื่อใบหน้าของแต่ละคนเริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำยืนยันจากหมอว่า เจปลอดภัยดี ตอนนี้ไม่มีเรื่องไหนจะสำคัญเท่ากับความปลอดภัยของเด็กหนุ่มอีกแล้ว

**************************
   
ห้องทำงานของคุณหมอเจ้าของไข้ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่ากว้างใหญ่เกินไปที่จะเป็นห้องทำงานของหมอคนหนึ่ง แต่คืนนี้ห้องที่ว่ากลับดูเล็กลงไปถนัดตา ดูเหมือนคนไข้คนนี้จะมีคนที่รักและเป็นห่วงมากเหลือเกินทั้งที่หมอก็บอกไปแล้วแท้ๆว่าขอพบกับญาติ แต่ก็เอาเถอะ คนที่ทำงานเป็นหมอช่วยชีวิตคนมานับไม่ถ้วนมานานปีอย่างเขามีหรือจะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นห่วงคนที่พวกเขารัก
   
“คนไข้โชคดีมากนะครับที่บาดเจ็บมาเพียงแค่นี้แล้วก็สามารถรักษาได้แบบทันท่วงที แต่ออกจะโชคไม่ดีไปสักหน่อยที่อาการหนักหนากว่าที่ควรเป็น ปกติเคสรถโดนชนท้ายแบบนี้จะไม่บาดเจ็บขนาดนี้ แต่น่าจะเป็นเพราะรถคันที่เข้ามาชนคงขับมาเร็วมาก แล้วส่วนใหญ่คนที่นั่งด้านหลังแล้วโดนชนแบบนี้จะไม่ค่อยได้ทันระวังตัว อาการบาดเจ็บก็เลยค่อนข้างจะหนักสักหน่อย” คุณหมอพูดอธิบายยืดยาว แต่เมื่อเห็นทุกคนตั้งอกตั้งใจฟัง จึงพูดต่อไป “พอโดนชนไปแรงๆขนาดนั้น ก็เลยทำให้ขากระแทกเข้ากับเบาะหน้าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะขาขวาโดนหนักสุดทำให้ขาท่อนบนหักและข้อสะโพกเคลื่อน โชคดีมากนะครับที่กระดูกสะโพกไม่หัก ถ้าหักล่ะก็เรื่องใหญ่ทีเดียว”
   
หมอเจ้าของไข้หันไปดูฟิล์มเอ็กซเรย์ที่ติดบนผนังด้านหลังเก้าอี้หนังสีเข้มของตัวเอง ก่อนจะอธิบายต่อ
   
“ทีนี้อาการข้อสะโพกเคลื่อนแบบนี้ คนไข้จะเจ็บบริเวณสะโพกมากนะครับ แล้วก็คงงอขาไปไม่ได้พักใหญ่ กระดูกมันจะผิดรูปอย่างที่เห็น เห็นไหมครับ” หมอชี้ไปยังฟิล์มเอ็กซเรย์ “ตอนนี้หมอจัดการดามเหล็กตรงกระดูกขาท่อนบนเอาไว้แล้ว วิธีนี้เรียกว่า เนล มันจะดีกว่าการใช้ เพลท ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบเดิมมาก เพราะจะหายเร็วกว่าแล้วก็ไม่ต้องใส่เฝือกด้วย แต่เนลเนี่ยพอครบสองปีต้องผ่าออก แต่ว่าหลังผ่าตัดพักแค่สามสี่วันก็หายแล้ว”
   
“แล้วเคสของเจนี่ต้องดูแลรักษายังไงบ้างครับ นานแค่ไหนถึงจะหาย เอ่อ... แล้วจะหายเป็นปกติได้ใช่ไหมครับ”
   
หมอหันไปทางต้นเสียงที่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ใบหน้าที่แม้จะคลายความกังวลลงบ้างแล้วแต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่คลายใจสักเท่าไรนัก
   
“หายดีกลับมาเป็นปกติได้แน่นอน หมอเอาหัวเป็นประกันเลย” หมอว่ายิ้มๆ เรียกรอยยิ้มแรกของเด็กหนุ่มขึ้นมาได้ในที่สุดหลังเกิดเรื่องขึ้น “หลังจากผ่าตัดแล้วให้คนป่วยพักฟื้นสักสามสี่วัน ก็เริ่มหัดเดินได้แล้ว แต่ว่าในตอนแรกอย่าเพิ่งลงน้ำหนักมากนัก ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ ให้ฝึกเดินอย่างสม่ำเสมอ ประมาณสามสี่สัปดาห์ก็จะเดินได้แล้ว ถ้าจะเอาแบบหายดีกลับมาวิ่งได้เหมือนเดิมก็ประมาณสามเดือน อย่างที่บอกคนไข้ยังอายุน้อยแล้วก็แข็งแรง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก สบายใจได้” หมอว่าอย่างใจดี “ส่วนบาดแผลภายนอกอื่นๆส่วนใหญ่เป็นแผลถลอกฟกช้ำ ไม่น่าหนักใจเลย เดี๋ยวก็หาย”
   
เสียงขอบคุณคุณหมอเจ้าของไข้ดังอื้ออึงขึ้นพร้อมกับเสียงถอนหายใจจาก “ญาติ” อย่างโล่งอก บรรดาพี่สาวของเจต่างกันหันไปจับมือกันบ้าง กอดกันบ้างอย่างโล่งใจ บรรดาแม่ๆก็ช่วยกันปลอบใจกันและกัน คุณเอ็มหันไปมองเมษอย่างโล่งอก แต่ดูเหมือนว่าเรื่องคงยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้แน่ หญิงสาวรู้ดี วันพรุ่งนี้คงจะต้องมีเรื่องเข้าที่ประชุมกันตั้งแต่เช้าแน่นอน ว่าตามตรง แม้จะนึกโล่งใจอยู่บ้างที่เจปลอดภัยดี แต่เมษก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นว่าหัวข้อการประชุมนั้นจะเป็นไปในทิศทางไหน เธอมองตามหลังคุณเอ็มที่เดินไปคุยอะไรกับคุณหมอต่อ เดาไม่ออกว่านายใหญ่ของบริษัทคิดอะไรอยู่
   
หญิงสาวหันซ้ายหันขวา ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสี่คนพร้อมใจหายออกไปจากห้องนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินที่จะคาดเดา ไม่พ้นห้องพิเศษที่คนป่วยที่เพิ่งจะผ่านพ้นการผ่าตัดอันยาวนานมาหมาดๆถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปนั่นเอง
   
เมษปลีกตัวออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอเจ้าของไข้ ก่อนจะเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังห้องคนป่วยที่เป็นเด็กในความดูแลของตัวเอง  หญิงสาวหยุดยืนอ่านชื่อที่ติดอยู่หน้าห้องเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะบิดประตูเปิดเข้าไปอย่างเบามือ ภาพที่เห็นทำเอาเธอน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาอีกครั้ง
   
หญิงสาวอาจจะไม่ใช่คนขี้ใจอ่อน แต่ภาพเด็กหนุ่มคนนึ่งกุมมือเด็กหนุ่มที่ยังคนนอนนิ่งหายใจสม่ำเสมอเพราะฤทธิ์ยาสลบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย โดยมีเด็กหนุ่มอีกสามคนยืนล้อมรอบเตียงคนป่วยนั้นอย่างเป็นห่วง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นโอบไหล่อีกคนที่เห็นได้ชัดว่าร้องไห้อยู่ โดยน้องคนเล็กที่ปกติเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนป่วยเพราะมีเรื่องให้เถียงกันอยู่เป็นประจำยืนปาดน้ำตาอยู่แม้พยายามที่จะเข้มแข็งเพียงไรก็ตาม
   
เด็กพวกนี้จะรู้ตัวไหมหนอว่าความรักความห่วงใยที่พวกเขามีให้กันและถ่ายทอดให้แก่กันนั้น มันลึกซึ้งและกินใจต่อผู้ที่ได้พบเห็นเพียงใด เมษนึกไม่ออกว่า ถ้าหากพวกเขาต้องถูกแยกออกจากกันไปเสียแล้ว จะเป็นอย่างไร เธอไม่อยากคิดเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาที่เริ่มจะคลอหน่วยขึ้นมาและกลืนมันหายเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับเด็กๆที่พร้อมใจกันหันมามองและส่งยิ้มบางๆมาให้
   
เมษเดินเข้าไปบีบไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงของหัวหน้าวงที่นั่งมองหน้าคนป่วยชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาไปไหน
   
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เธอพูดเบาราวกับกระซิบ เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้าตอบรับ “โยครับ พี่ขอคุยกับโยแป๊ปนึงได้ไหม” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวก่อนจะลุกขึ้น เขาหันไปมองคนป่วยอีกครั้งก่อนจะยอมปล่อยมือออกอย่างอ้อยอิ่ง และสอดมือข้างนั้นของคนป่วยเข้าไปในผ้าห่มให้อย่างอ่อนโยน
   
“ฝากดูเจหน่อยนะ” เด็กหนุ่มที่เหลือพยักหน้าตอบรับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าพี่ใหญ่หัวหน้าวงจะเป็นห่วงพี่ใหญ่อีกคนที่นอนเจ็บอยู่มากแค่ไหน

***********************
   
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจถึงออกไปข้างนอกได้” เมษถามทันที่ที่ปิดประตูลง น้ำเสียงเป็นการเป็นงานแต่ไม่ได้คาดคั้นอะไรนัก
   
“เจกลับบ้านครับ” โยเอ่ยเสียงเบา เห็นได้ชัดว่ารองรอยความอ่อนล้าเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนบนใบหน้าเด็กหนุ่มแล้ว “เขามีปัญหากับพ่อมานาน เรื่องที่เขาอยากเป็นนักร้อง แต่พ่อไม่ยอม” โยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ “ผมสังเกตว่าเขามีเรื่องต้องคิดมากมาหลายวัน ยิ่งใกล้เอ็นทรานซ์ เขาก็ยิ่งคิดมาก เพราะเขารู้ว่าพ่อหวังเขาเอาไว้มาก ก็เลยมาปรึกษากับผมว่าควรจะไปคุยกับพ่อดีไหม ผมก็แนะนำให้เขาไป แต่... มาถึงตอนนี้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ผมน่าจะไปกับเขาด้วย” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากด้วยพยายามสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้เต็มที่
   
“ไม่เอาโย” เมษบีบต้นแขนเด็กหนุ่มเป็นการปลอบใจ “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก มองอีกด้าน ถ้าโยไปด้วยแล้วเกิดเจ็บขึ้นมาอีกคน มันคงจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้ นึกเสียว่าโชคดีแล้วที่เจไม่ได้เจ็บไปมากกว่านี้ นะ” เด็กหนุ่มหันไปมองประตูห้อง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
   
“ที่พี่ถามเนี่ย เพราะเดี๋ยวมันจะต้องมีประชุมใหญ่แน่ๆ พี่ก็อยากจะรู้ที่มาที่ไปให้มากที่สุด เข้าใจพี่นะ”
   
“ครับ”
   
“พี่ฝากเจด้วยนะ ช่วยดูแลกันแบบนี้แหละดีแล้ว พี่ดีใจนะที่ได้เห็นน้องๆทุกคนรักกันแบบนั้น”
   
“พี่เมษไม่ต้องห่วงครับ อยากจะให้พวกผมทำอะไรบอกมาได้เลย อะไรก็ได้ที่จะทำให้เจกลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็วๆ ทุกอย่างที่จะทำให้เขาสบายใจที่สุด ผมยินดีทำ”
   
“ไม่บอกพี่ก็รู้ว่าโยเต็มใจ แต่ขออย่างเดียว พวกเราต้องดูแลตัวเองด้วยนะ ตารางฝึกอะไรก็อาจจะกระทบบ้างนิดหน่อย แต่ว่าพวกเราคงต้องฝึกกันต่อ ทิ้งไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่จะคุยกับทางคุณเอ็มแล้วก็พวกครูในคลาสต่างๆให้ด้วย อย่าเพิ่งกังวลอะไรกัน”
   
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะยกมือไหว้หญิงสาวที่เปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆของพวกเขาไปแล้ว
   
“แล้วฟังพี่ดีๆนะ” เมษชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “รักกันให้มากเข้าไว้แบบนี้แหละ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนต้องยึดมั่นเอาไว้ พี่เชื่อว่ามันจะทำให้เราผ่านพ้นปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยกัน”
   
โยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยก็จริง แต่เพียงแค่เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่ลังเลพร้อมกับบีบกระชับมือผู้จัดการวงเอาไว้แน่น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
   
หญิงสาวตบบ่าเด็กหนุ่มร่างสูงเบาๆเป็นการรับรู้
   
“คืนนี้พี่ต้องไปจัดการอะไรหลายอย่าง พวกเราดูแลเจได้พี่ไม่ว่าหรอก แต่ว่าต้องดูแลตัวเองกันด้วย เพราะไม่ว่ายังไงเราก็มีหน้าที่ของเราที่ต้องทำ เข้าใจนะ แล้วถ้ามีอะไรพี่จะโทรหานะ”
   
คล้อยหลังเมษไปไม่ทันไร กลุ่มพี่สาวของเจที่เดินประคองผู้เป็นแม่ที่แม้สีหน้าจะคลายกังวลลงบ้างแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งสองข้างแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักมาขนาดไหน
   
“เจเป็นยังไงบ้างลูก” นางเดินเข้ามาจับมือเด็กหนุ่มร่างสูงแน่น
   
“นอนอยู่ครับ” พูดเพียงเท่านั้น โยก็จูงมือพานางเดินเข้าไปในห้องตรงไปยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงคนป่วยที่เขาเพิ่งลุกออกมาได้ไม่นานนัก
   
เมื่อเห็นร่างของลูกชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ แม้ภายนอกจะปรากฏเพียงร่องรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย แต่เท่านั้นก็ทำให้หัวใจของผู้เป็นแม่แทบสลาย น้ำตาที่เหือดหายไปพรั่งพรูลงมาอีก นางนั่งลงมองใบหน้าอันซีดเซียวของลูกชาย ผิวที่ขาวจัดอยู่แล้วนั้นกลับยิ่งดูขาวซีดขึ้นอีกจนน่าใจหาย อุ้งมืออันสั่นเทาของผู้เป็นแม่ยกขึ้นวางบนหน้าผากได้รูปนั้น ก่อนจะลูบผ่านไรผมอันอ่อนนุ่มอย่างเบามือซ้ำแล้วซ้ำอีก
   
“เจ็บไหมลูก” นางเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “แม่อยู่ตรงนี้แล้วนะเจ ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
   
เสียงพูดนั้นหายไปกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ ทำเอาอีกหลายคนที่ยืนมองภาพนั้น ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
   
“แม่ครับ” เสียงทุ้มเรียกขึ้นเบาๆ ก่อนที่นางจะหันไปเห็นว่าร่างนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ “พวกผม พวกเราทั้งสี่คนจะคอยดูแลเจเอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”
   
“จริงๆครับ เราจะไม่ปล่อยให้พี่เจต้องอยู่คนเดียวแน่นอน” ซันที่ยืนโอบไหล่ชุนที่พูดไม่ออกเพราะร้องไห้ไม่หยุดเอ่ยขึ้นบ้าง
   
“พี่เจเป็นคนสำคัญของวงเราครับ” เสียงน้องเล็กที่ช่วยรับรองอีกแรง ทำให้นางยิ้มออกมาได้ในที่แม้น้ำตาจะยังคงไหลอยู่ก็ตาม
   
“แม่เคยกังวลว่า การตัดสินใจทำอะไรตามใจตัวเองของเจ จะนำพาลูกของแม่ไปเจอกับอะไรบ้าง” นางว่าพลางจับมือของโยกระชับเอาไว้แน่น “แต่ตอนนี้แม่ไม่ห่วงแล้ว และยิ่งดีใจขึ้นไปอีกที่ได้เห็นว่าเจได้เจอกับเพื่อนที่ดีและรักเขาขนาดไหน” นางสะอื้นน้อยๆ “ขอบใจมากนะลูก”

***********************

ทุกคนกลับออกไปหมดแล้ว
   
ชุนกับซันกลับไปที่ห้องพักเพื่อพักผ่อน โดยรับปากว่าช่วงสายจะกลับมาอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนกะกับพี่ใหญ่หัวหน้าวง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจะต้องเอาหนังสือเตรียมสอบมาอ่านช่วงที่เฝ้าเจเด้วย เขาคงไม่ยอมทิ้งเจแน่นอนแม้ว่าน้องๆคนอื่นรับปากจะผลัดกันมาเฝ้าก็ตาม  ส่วนน้องเล็กอย่างแม็กต้องกลับบ้านกับแม่ เพราะวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องกลับมานอนที่ห้องพักตามปกติ โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงเตรียมสอบ โยจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเข้าเรียนเหมือนช่วงเวลาปกติ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีสมาธิเป็นแน่
   
แม่และพี่ๆของเจกลับไปแล้ว เพราะต้องกลับไปบอกข่าวกับผู้เป็นพ่อที่บ้าน ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ๆ เขาเพิ่งมีโอกาสได้พบกับพี่สาวทั้งสี่คนของเจแบบพร้อมหน้าพร้อมตาก็คืนนี้เอง พี่สาวสี่คนก็สี่แบบแตกต่างกันไป และพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า เจจะต้องรับมือกับพี่สาวทั้งสี่คนนี้อย่างไร แต่ส่วนตัวแล้วเขาถูกใจพี่แจน พี่สาวคนรองมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะนิสัยใจคอที่คล้ายกับเจก็เป็นได้ นึกขึ้นมาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ถ้าเจเป็นผู้หญิงก็คงเป็นแบบพี่แจนนี่แหละ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รับรู้ก็คือ พี่สาวของเจรักน้องคนเล็กมาก อีกทั้งยังสนับสนุนช่วยเหลือน้องชายกันแบบสุดกำลังเลยทีเดียว
   
พี่เมษกลับไปแล้วก่อนหน้านี้พร้อมกับคุณเอ็ม ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก แม้จะยังเด็กแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้เสียเลยว่าอุบัติเหตุครั้งนี้มันจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อบริษัทบ้าง อีกไม่กี่เดือนพวกเขาก็จะต้องเปิดตัวในฐานะวงบอยแบนด์หน้าใหม่แล้ว แต่จู่ๆสมาชิกของวงก็มามีอันเป็นไปเสียแล้วแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผลจะออกมาในรูปไหน
   
โยหันไปมองคนป่วยที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
   
แต่อย่างน้อยตอนนี้เจก็ปลอดภัย และจะหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่นอน
   
อุ้งมือใหญ่และอบอุ่นข้างนั้นกระชับเข้ากับมือข้างหนึ่งของคนป่วยที่เย็นชืดเหลือเกิน อยากจะส่งความอบอุ่นนี้ให้กับร่างที่นอนอยู่นี้แม้สักนิดก็ยังดี เขายืนยันอยากจะเฝ้าเจคืนนี้เพราะ อย่างน้อยอยากให้เจตื่นมาแล้วเห็นว่ามีเขาอยู่ข้างๆ ไม่หนีไปไหน ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะเบาใจว่าได้เห็นคนคนนี้ลืมตาขึ้นด้วยตาตัวเอง สู้ดูแลเองไม่ให้คลาดสายตา อย่างไรก็ดีกว่าต้องไปนั่งรออย่างกระวนกระวายใจโดยไม่รู้เรื่องอะไรเป็นไหนๆ
   
“ขอโทษนะ” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นเบาแสนเบาราวกับจะพูดกับตัวเองมากกว่า “เราน่าจะดูแลนายได้ดีกว่านี้ ขอโทษนะเจ”
   
เด็กหนุ่มยกมือที่ขาวซีดข้างนั้นขึ้น มันอาจจะไม่ใช่มือที่อ่อนนุ่มนักเพราะผ่านการทำงานหนักเกินเด็กวัยเดียวกันไปมากโขอยู่ แต่ก็เป็นมือที่เขาชอบจับมันเล่นอยู่เสมอ และอุ่นใจยามเมื่อเห็นมันขยับไปมาเมื่อเจ้าของง่วนทำโน่นทำนี่ไม่หยุดมือ เขาจรดริมฝีปากลงประทับบนหลังมือนั้นก่อนจะแนบมันบนแก้มของตัวเอง
   
“ถ้านายตื่นขึ้นมารับรู้แล้ว นายจะต้องเข้มแข็งให้มากนะเจ แล้วเรา... พวกเราจะอยู่เคียงข้างนายเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รีบๆตื่นมานะ”
   
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขานอนมองใบหน้านั้นหลับอยู่ ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงบ้างอย่างเหนื่อยล้า แต่กลับไม่ยอมคลายอุ้งมือนั้นออกเลยแม้เพียงนิด

-----------------------------------------

ขอโทษที่ปล่อยให้คอยนานค่ะ... หายไปต่างจังหวัดมา... แล้วพอมาลงตอนใหม่ก็ดูเอาเถอะ... น้องเจงานเข้า วิกฤติชีวิตเสียอย่างนั้น ตอนนี้ค่อนข้างจะกระชากอารมณ์หน่อยนะคะ แต่ว่าก็เป็นเหมือนอีกบททดสอบของน้อง (บททดสอบเยอะมาก)

ตอนหน้าห้ามพลาดเลยล่ะค่ะ

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่านกันอยู่เสมอ

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
พ่อเจใจร้ายจัง...
สงสารเจนะ แต่ถ้าไม่เกิดเหตุแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าเด็กๆทั้งห้ารักและเป็นห่วงกันมากแค่ไหน
อบอุ่นดีจัง 
หวังว่าจริงๆแล้ว น้องๆจะยังรักกันแบบนี้อยู่นะ  :monkeysad:
ฮ่าๆๆ เลยเถิดแล้วเรา
เอาเป็นว่ารอคอยตอนต่อไปค่ะ  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
 “รักกันให้มากเข้าไว้แบบนี้แหละ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนต้องยึดมั่นเอาไว้
 
  พี่เชื่อว่ามันจะทำให้เราผ่านพ้นปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยกัน”


 พี่เมษ พูดได้ประทับใจมาก  ความรักชนะทุกสิ่ง จับมือไว้แล้วไปด้วยกันนะเด็ก ๆ

ป้าเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลาอยู่แล้วว  ทั้งในฟิค และ ในชีวิตจริง เลย fighto!


MERRY X'MAS  นะคะ  ขอให้มีความสุขมาก มาก ค่ะ    :L2:

OhJa

  • บุคคลทั่วไป

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
น่าเศร้าจิงๆๆ น้องเจเราเจ็บตัวเลยอ่ะ เหอๆๆ  :เฮ้อ:

น้องโยดูแลเจดีๆๆนะ จ๊ะ  :L2:

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
อุบัติเหตุ เปลี่ยนทุกสิ่งได้  :L2:

แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป  สงสารเจ

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
มาเปิดอ่านก็งานเข้าเลยเรา ทำไมเป็นแบบนี้ :m15: โกรธพ่อเจด้วย :m31: ทำงี่ได้ไง
ตอนหน้าขอยาวๆนะ มางเร็วๆด้วย จะวันหยุดเร็ว มาลงหลายๆตอนก็ดีนะ  :bye2:

C2U

  • บุคคลทั่วไป
 :m15:  สงสารเจจัง   

เด็กๆ  รักและดูแลกันดีๆนะ   :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ บททดสอบอีกบทสำหรับน้องเจ  :เฮ้อ:

มีเรื่องร้ายแบบนี้ จะมีเรื่องดีๆ ตามมาให้น้องเจได้มีเรี่ยวแรงต่อสู้ขึ้นบ้างมั้ยนะ

รักโยห่วงเจ...

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
 :mc4: สวัสดีปีใหม่ค่า

คุณนิ้วไขว้ และ โยเจ

ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีปีใหม่คุณนิ้วไขว้นะคะ
ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง
และมีกำลังกายกำลังใจในการแต่งนิยายสนุกๆมาให้แฟนๆได้อ่านนะคะ

สวัสดีปีใหม่โยและเจด้วยค่ะ ขอให้รักกันมากๆ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 11 (พาร์ต 1)

อาการเมื่อยขบที่เกิดจากการครึ่งนั่งครึ่งนอนมาค่อนคืนเล่นงานเด็กหนุ่มทันทีที่เขาลืมตาขึ้น แต่กลับไม่ใช่เพราะความปวดเมื่อยที่ปลุกเขา เป็นสัมผัสเบาๆบนศีรษะของเขานั่นต่างหาก
   
เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าสายตาในแบบที่เขาแสนจะคุ้นเคยกำลังจ้องมองมาที่เขาเท่านั้น อาการง่วงงุนก็หายไปทันทีแทบจะปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มคว้ามือข้างที่กำลังลูบศีรษะของเขาเบาๆเอาไว้อีกครั้ง แม้จะปุบปับแต่ก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง ดวงตาเรียวรีของเขาเป็นประกายยินดีเมื่อได้มองตอบดวงตากลมสวยคู่นั้น แม้ในตอนนี้มันอาจจะดูอ่อนล้ากว่าปกติ อาจจะดูเหน็ดเหนื่อยไปสักหน่อย แต่มันก็ยังคงมีชีวิตชีวายิ่งนัก และที่สำคัญดวงตาคู่นั้นก็กำลังยิ้มให้เขา
   
“ตื่นแล้วเหรอ” เขาเอ่ยถามออกมาในที่สุด
   
ร่างที่นอนมองเขาอยู่นั้น พยักหน้า แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหยเก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน พลางกัดริมฝีปากเอาไว้ราวกับจะสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นเป็นริ้วๆขึ้นมาทันทีทันใด
   
โยกระชับมือข้างนั้นเอาไว้แน่น ถ้าทำได้ เขาอยากจะซึมซับความเจ็บปวดเหล่านี้เอาไว้เองเหลือเกิน
   
“เจ็บมากไหม”
   
ร่างนั้นไม่เอ่ยอะไร ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วมานอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตานี่ได้อย่างไร ทำไมถึงได้รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวถึงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการปวดหนึบอย่างหนักตรงขาขวาของเขามาจากไหน ความรู้สึกเจ็บปวดและสับสนที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันในคราเดียวทำเอาน้ำตาไหลลงหางตาเป็นสาย
   
“เจ...” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเรียกสติเด็กหนุ่มให้กลับมา แม้โยจะรู้สึกใจหายเมื่อเห็นกริยาอาการของเจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเฝ้าบอกตัวเองว่า เขาจะต้องเข้มแข็ง เพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็มีแต่จะแย่ลงกว่านี้ เด็กหนุ่มยื่นมือเช็ดน้ำตาให้กับคนป่วยอย่างอ่อนโยน

“เจ...” เสียงเรียกชื่อดังขึ้นอีก หนนี้มันทำให้เจ้าของชื่อหันกลับมาสบตากับเขาอย่างรู้ความหมายในเสียงเรียกนั้น “เอาน้ำหน่อยไหม” ไม่รอฟังคำตอบ เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งหยิบแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วพร้อมหลอดพลาสติกที่วางเตรียมเอาไว้บนหัวเตียงยื่นให้คนป่วย เขานั่งลงบนขอบเตียง มือข้างหนึ่งประคองศีรษะทุยๆนั้นเอาไว้ก่อนจะค่อยๆเลื่อนหลอดพลาสติกจรดริมฝีปากอันซีดเซียว

เจค่อยๆดูดน้ำจากแก้วอย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามฝืนเต็มที่ เพราะความรู้สึกแห้งผากในลำคอของเขาตอนนี้มันทรมาณมากกว่าหลายเท่า จนเมื่อรู้สึกว่าเพียงพอแล้วจึงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย บุรุษพยาบาลจำเป็นจึงวางศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยุ่งเหยิงนั้นลงบนหมอนอย่างเบามือ และวางแก้วคืนกลับในที่ของมัน

“เกิดอะไรขึ้น” คนป่วยเอ่ยขึ้นเป็นคำแรกนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้น

“จำอะไรได้บ้าง”

ร่างที่นอนหน้าเซียวบนเตียงพยายามหลับตาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาพอจะจำได้

“เมื่อวานเรากลับไปที่บ้าน ทะเลาะกับพ่อ แล้วก็นั่งแท็กซี่จะกลับไปหานาย... แล้ว” ใบหน้าขาวซีดนั้นนิ่วหน้าอย่างจนใจ “จำอะไรไม่ได้อีกเลย”

เด็กหนุ่มร่างสูงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อต้องเอ่ยปากเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังด้วยตัวเอง

“รถที่นายนั่งมาโดนชน นายบาดเจ็บมาก แต่ดีที่หมอช่วยรักษาได้ทัน” โยยังคงจับมือข้างนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“แล้ว ขา... ทำไมเราขยับขาไม่ได้เลย” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำตาของเด็กหนุ่มก็ไหลพรากออกมา ราวกับเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมาได้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง จนในที่สุดความกังวลก็เข้าครอบคลุมจิตใจของเด็กหนุ่มอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาขยับขาไม่ได้เลย อาการบาดเจ็บที่ได้รับมันรุนแรงแค่ไหนกัน แล้วมันจะส่งผลอย่างไรบ้าง ความคิดนี้แล่นเข้าสู่สมองทันทีโดยอัตโนมัติ

ดวงตาคู่งามที่เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกหันไปสบดวงตาเรียวรีคู่ที่มองกลับมาอย่างห่วงใย โยกระชับมือแน่นขึ้นพร้อมกับห่อปากทำเสียงชู่ว... ราวกับจะปลุกปลอบให้คนป่วยคลายความตกใจลง มือข้างหนึ่งก็คอยลูบศีรษะให้คลายความวิตก

“นายไม่เป็นไรเจ ที่ขยับไม่ได้เพราะขาท่อนบนหัก ตอนนี้คุณหมอต่อกลับเข้าไปเหมือนเดิมแล้วนะ แค่ช่วงแรกอย่าฝืนมากเท่านั้น ค่อยๆดูแลรักษาไป แป๊ปเดียว... แป๊ปเดียวนายก็กลับมาเดินได้ตามปกติแล้ว อย่าว่าแต่เดินเลย จะลุกขึ้นมาเต้นก็ยังไหวนะ”

“เราจะหายแน่นะ นายไม่ได้หลอกเรานะ” น้ำตายังคงไหลพรากออกมาจากดวงตาสีดำคู่นั้นไม่หยุด น้ำเสียงที่ถามย้ำซ้ำๆราวกับเด็กเล็กๆ ทำให้โยนึกอยากจะกอดร่างที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้เหลือเกิน

“ไม่หลอกสิ... เราเคยโกหกนายด้วยเหรอ” สายตาคมคู่นั้นจ้องเข้าไปในตาของคนป่วยที่ยังอาบไปด้วยน้ำตา “ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวให้คุณหมอมาบอกเองเอาไหม นายจะได้สบายใจไง” ศีรษะกลมๆนั่นส่ายไปมาช้าๆ ราวกับจะบอกว่าไม่จำเป็น เพราะเขาเชื่อเด็กหนุ่มที่คอยนั่งดูแลและปลอบใจเขาคนนี้ยิ่งกว่าใคร

เพียงแต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มที่นอนป่วยอยู่รู้สึกราวกับความอดทนทั้งหมดทั้งปวงได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกท้อแท้ หดหู่ และสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน ร่างกายและจิตใจของเขาคงมาถึงขีดจำกัดแล้ว น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาจึงยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ

“เราทำอะไรผิดมากมายหรือโย...” น้ำเสียงสะอื้นนั้นเอ่ยขึ้น “ทำไมมันถึงได้มีแต่เรื่องกับเราสารพัด ที่ผ่านมาเราอดทน ไม่เคยปริปากบ่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็สู้ทุกอย่าง...” เจก้มหน้าก้มตาร้องไห้ต่อไม่หยุด ความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้มานานระเบิดออกมาในที่สุด “ทั้งซ้อมหนัก ทะเลาะกับที่บ้าน ต้องหยุดเรียน ต้องมาทำอะไรที่เด็กสิบเจ็ดทั่วไปเขาไม่ทำกัน มันยังไม่พออีกเหรอโย... หรือเรายังพยายามไม่พอ หรือเรายังอดทนไม่พอ เราต้องพิสูจน์อะไรอีกโย... ชีวิตมันถึงได้ทำร้ายเราขนาดนี้”

โยผวาลุกขึ้นก่อนจะโน้มตัวลงไปรวบร่างนั้นกอดเอาไว้แน่นในอ้อมแขน และยิ่งรู้สึกใจหายขึ้นไปอีกเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทาที่ถ่ายทอดผ่านร่างอันซีดเซียวที่ดูเหมือนจะเล็กและเปราะบางลงกว่าครั้งไหนๆ

“เราชักไม่แน่ใจแล้วโยว่าทางเลือกของเรามันถูกต้องหรือเปล่า จะต้องเสียหรือแลกอะไรไปอีก แล้วเราจะทนได้ไหม... เราไม่ไหวแล้วจริงๆนะ ตัวเองเสียใจยังไม่พอ ไหนจะคนรอบข้างอีกล่ะ เราจะต้องทำให้คนรอบข้างเราเสียใจอีกมากแค่ไหนกัน หรือจริงๆแล้วเราเป็นคนที่แย่ที่สุด เราอาจจะเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าพอให้ใครมารัก หรือไม่ควรที่จะรับสิ่งดีๆในชีวิตก็ได้นะ...”

“เจ พอแล้ว เจ... มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ...” คำพูดปลอบโยนนั้นดังก้องอยู่ในหัว

“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง... จะไม่ใช่ได้ยังไง” น้ำเสียงนั้นประท้วงออกมาเบาๆ แขนทั้งสองข้างมีแรงยกขึ้นได้มากเพียงแค่เกาะเอวของอีกฝ่ายและยึดชายเสื้อยืดเนื้อนุ่มเอาไว้ ราวกับเป็นหลักยึดเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้

“เจ เราเองก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง และเราก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่นายต้องเจอน่ะมันหนักหนามากเหลือเกิน” มือแข็งแรงข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะที่ฝังใบหน้าซบกับอกของเขาจนรู้สึกได้ถึงความร้อนและเปียกชื้นจากน้ำตาของอีกฝ่าย “จนเราไม่รู้จะปลอบนายให้รู้สึกดีกว่านี้ได้ยังไงเหมือนกัน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยกระซิบเบาๆ

“แต่เราไม่เชื่อหรอกว่า คนอย่างเจจะไม่มีคนรัก หรือจะไม่มีอะไรดีๆเข้ามาในชีวิต” เขาโยกร่างนั้นไปมาช้าๆ “มีคนรักนายมากมายนะเจ ดูอย่างเมื่อคืน ใครต่อใครก็เป็นห่วงนาย นายยังมีครอบครัวที่รักนาย นายมีเพื่อนดีๆรายรอบ นายมีน้องๆอีกสามคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างนายและเดินไปพร้อมกับนาย และนายก็ยังมีเราอยู่ทั้งคน ต่อให้โลกนี้นายไม่มีใครแล้ว ก็ยังแน่ใจได้ว่ามีเราอยู่อีกคน” ร่างในอ้อมแขนหยุดสั่นแล้ว และเขาก็แน่ใจว่าน้ำตาก็คงหยุดไหลไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆที่เกิดจากการร้องไห้อย่างหนักติดต่อกันเท่านั้น

“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น มันหนักหนาก็จริง แต่นายก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอเจ” โยผลักร่างนั้นออกอย่างเบามือ แต่เจยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น “นี่...” จู่ๆคนป่วยก็รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก เมื่อเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาศีรษะมาแตะหน้าผากของเขาเอาไว้จนรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา “นายยังมีชีวิตอยู่นะ แล้วนายก็จะหายดีในอีกไม่ช้าด้วย ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราดีใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

สองมือประคองใบหน้าหวานนั้นเอาไว้ก่อนจะใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างปาดคราบน้ำตาที่เลอะบนใบหน้าคนป่วยออกให้อย่างเบามือ

“มีอย่างหนึ่งที่เราเชื่อนะ” ดวงตากลมโตคู่นั้นมองตาเขาอย่างรอคำตอบ “เราเชื่อว่าคนอย่างเจจะต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน... แค่อาจจะต้องรอหน่อย อาจจะต้องผ่านอะไรมากหน่อย แต่ก็นึกเสียว่าสิ่งที่จะได้รับมันจะคุ้มค่ากับความลำบากที่ต้องแลกมันมา อดทนอีกนิดไหวไหม”

คนป่วยพยักหน้า “แล้วนายจะไม่ทิ้งเราไปไหนแน่นะ...”

คำถามซื่อๆเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนที่ทำหน้าที่ปลอบอย่างเต็มกำลังออกมาในที่สุด

“ใครจะไปทำแบบนั้นกัน”

“ถึงเราจะเรื่องเยอะ ชอบสร้างปัญหา ขี้บ่น...”

“ต่อให้ยิ่งกว่านี้ก็ไม่ทิ้ง”

“สัญญา?”

“สัญญา” ตอบออกมาสั้นๆได้เพียงเท่านั้น ร่างของคนป่วยก็เอนซบลงพิงเขาอีกครั้ง

“เราเอาแต่ใจตัวเองไปหรือเปล่า”

“มากกว่านี้ก็ยังไหวน่า” เสียงทุ้มมีแววขันอยู่ในทีก่อนจะยกแขนขึ้นโอบร่างนั้นเอาไว้ นึกโล่งใจที่คนในอ้อมแขนดูเหมือนจะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว“สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง” โดยไม่รอคำตอบ เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาออกให้คนป่วยอีกครั้งอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ขอแค่นายอย่ากังวลอะไร เชื่อฟังหมอกับพยาบาลให้มาก เรากับน้องๆสัญญาว่าจะผลัดกันมาดูแลนายทุกวันเลย” คำพูดนั้นทำให้คนป่วยยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก ก่อนทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“แล้วแม่...”

“แม่กับพี่ๆนายมากันครบเลยเมื่อคืน ไม่ต้องห่วงนะ พี่เมษเขาจัดการให้หมดแล้ว เดี๋ยวสายๆแม่นายก็คงจะมาอีก” สีหน้าของคนป่วยจึงค่อยคลายใจลงได้บ้าง

“ขอบคุณมากนะ” แม้จะเป็นคำพูดที่เฝ้าบอกอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้เพราะอะไรหนนี้มันจึงกินใจกว่าทุกครั้ง “เราอดคิดไม่ได้จริงๆ... ถ้าตื่นมาแล้ว คนที่อยู่ข้างๆไม่ใช่นาย เราจะเป็นยังไง”

เรียกรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากให้กับคนฟังขึ้นมาชนิดไม่อาจห้ามได้

“แล้วดีไหม”

“ดีที่สุด” ว่าพลางพยักหน้าก่อนจะหันไปมองใบหน้าที่หล่อเหลาสมบูรณ์แบบของคนใกล้ตัวอีกครั้ง รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าหวานเกินเด็กผู้ชายทั่วไปหายไปอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนใบหน้าอันแสนคุ้นเคยที่ผิดไปจากเดิม เจยกมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสใบหน้าได้รูปของอีกฝ่าย

“โย...”

“หือม์”

“นายร้องไห้มาหรือ”

“นิดหน่อย” บุรุษพยาบาลจำเป็นว่าเสียงอ่อยก่อนจะเสหันใบหน้าไปทางอื่น

“แดงช้ำขนาดนี้ จะนิดหน่อยได้ยังไง” น้ำเสียงนั้นยากจะบอกว่าพูดด้วยอารมณ์แบบไหน

“ก็ตอนนี้ไม่ได้ร้องแล้วไง เดี๋ยวก็หาย” เสียงทุ้มมีแววทะเล้นราวกับอยากจะบอกให้อีกฝ่ายเลิกใส่ใจกับมัน

“ตั้งแต่รู้จักกันมา เรายังไม่เคยเห็นนายร้องไห้เลย” เจว่า “เราขอโทษนะ...” พูดได้แค่นั้น น้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นในดวงตากลมโตคู่นั้นอีกครั้ง

“เจ... พอแล้ว” แม้จะเอ่ยห้ามออกมา แต่เสียงนุ่มทุ้มนั้นกลับอ่อนโยนอย่างยิ่ง “พวกเราร้องไห้กันมาพอแล้ว... นะ” ว่าพลางยกมือประคองใบหน้าหวานที่เขารักนักหนาเอาไว้ “นึกเสียว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเลี่ยงไม่ได้ก็แล้วกัน ยังไงเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป แล้วก็ต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยเข้าใจไหม” ใบหน้าคมคายนั้นยิ้มให้เขา ยิ้มในแบบที่มีให้เขาเพียงแค่คนเดียว

“นายเป็นคนป่วย เพราะฉะนั้นเรายอมให้นายอ่อนแอมากหน่อยก็ได้” โยพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ “แต่ถ้านายแข็งแรงขึ้นแล้ว จะมาขี้แยอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ” พูดจบทำเอาร่างขาวๆที่เอนหลังลงไปนอนแบ่บตามเดิมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

“ยอมก็ได้”

“แต่อย่าหาว่าปากไม่ดีเลย...” คนป่วยได้แต่เลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นบุรุษพยาบาลจำเป็นโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆข้างหูเขาหน้าตาเฉย “เวลานายป่วยแล้วขี้อ้อนแบบนี้ ก็น่ารักดีนะ”

คนป่วยที่หน้าซีดพลันเบิกตาโต แก้มที่ขาวจัดนั้นกลายเป็นสีชมพูขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจห้ามได้

“ไอ้บ้า...” เด็กหนุ่มโพล่งออกมาอย่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาอีกดี

***************************

บรรยากาศในห้องประชุมนั้นเคร่งเครียดและคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย แม้แต่เมษที่ปกติมีความอดทนสูงและอารมณ์คงที่กว่าใครหลายคน ยังไม่อาจห้ามไม่ให้ตัวเองหัวเสียกับเรื่องราวที่ถูกนำมาถกในที่ประชุมได้

ก็จะเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ถ้าต้องรักษาตัวตั้งสามเดือนโดยที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า จะกลับมาหายได้ทันอย่างที่หมอบอกจริงๆล่ะก็ มีทางเดียวคือเปลี่ยนสมาชิกใหม่ซะ” คำพูดน่ารังเกียจพรั่งพรูออกมาจากชายร่างท้วมที่แม้จะอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ แต่ก็ดูเหมือนเส้นผมที่ขึ้นอยู่บางๆนั้นจะทำให้เขาดูแก่กว่าอายุจริงไปโข

“แต่เด็กไม่ได้พิการนี่ จะไปตัดโอกาสเขาแบบนั้นได้ยังไงกัน” เสียงใครอีกคนพูดขึ้น

“แต่มันจะทำให้แผนการที่วางไว้ทุกอย่างคลาดเคลื่อนหมดนะ และนั่นหมายถึงความเสียหายมากมาย”

“เรายังเหลือเวลาอีกไม่ใช่หรือ”

“ถามจริงๆ คุณกล้ายอมเอาเงินเป็นแสนไปเสี่ยงกับเด็กที่ไม่มีแม้แต่ความรับผิดต่อชอบตัวเองงั้นหรือ”

เกิดความเงียบชนิดที่ถ้าหากมีเข็มตกสักเล่มคงได้ยินกันทุกคน

“คุณรู้อะไรมากแค่ไหนถึงกล้าพูดว่า เด็กไม่มีความรับผิดชอบ” เสียงของเมษถามขึ้นเย็นๆแต่ก็รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองที่เจ้าตัวพยายามสะกดเอาไว้เต็มที่

“ทั้งที่รู้ว่าอีกวันต้องมีคลาส แต่สามสี่ทุ่มยังนั่งแท็กซี่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกน่ะเหรอ ได้ข่าวว่าจะเลิกเรียนแล้วด้วยนี่ แถมโดนพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัด เด็กดีจริงจะเป็นอย่างนี้เหรอ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเป็นนักร้อง ยังไม่รู้จักเซฟตัวเอง” น้ำเสียงน่ารังเกียจพ่นออกมาไม่หยุด

“รู้มาจากไหน”

“... ใครๆเขาก็พูดกัน” คนพูดไม่ยอมแพ้แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคราวนี้ตอบออกมาแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มคำนัก

“ใครๆนี่มันใคร ลูกน้องคุณ หรือนักเรียนฝึกหัดคนอื่น ทำไมรู้ดีกันนัก เมษเป็นเออาร์ของเด็กกลุ่มนี้แท้ๆ ทำไมไม่คิดถามเมษซักคำ” เธอว่าอย่างเอาเรื่อง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่า บริษัทใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้นเด็กเส้น หากเผลอและสบโอกาสเมื่อไหร่ ก็จะมีคนแบบนี้นี่แหละ พยายามบีบบังคับให้มีการเอาเด็กของตัวเองเข้าไปเสียบแทนที่ได้ทันที

“แล้วมันจริงอย่างที่คุณชาญเขาว่าหรือเปล่า คุณเมษ” ใครคนหนึ่งที่นั่งตำแหน่งบอร์ดของบริษัทถามขึ้น

“เอาเรื่องไหนล่ะคะ เพราะเมษกำลังงงว่า เด็กที่ได้รับอุบัติเหตุกลายเป็นคนผิดไปได้ยังไง เขาเป็นนักร้องในสังกัดเรานะคะ เขาโดนรถชนเกือบตาย แทนที่เราจะมาคุยกันเรื่องดูแลเขา แต่นี่เรากลับมาถามว่าควรจะถอดเขาออกไปไหม” เธอกราดสายตามองไปรอบห้องอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ยังรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบได้อย่างน่าชื่นชม “เมษเข้าใจว่าเรามองเขาเป็นสินค้า แต่เขาเป็นคนนะคะ เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน นี่ไม่เพียงแต่จะไม่พูดถึงน้ำใจที่เราควรมีต่อเขา แต่กลับคิดว่าจะหาคนมาแทนเขาได้อย่างไร” คำพูดนั่นทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบขึ้นไปอีก

“เจเป็นเด็กดี เป็นเด็กขยัน แต่ทางบ้านเขาไม่สนับสนุน ความที่อยากเป็นนักร้องก็ต้องปากกัดตีนถีบส่งเสียตัวเองให้ได้เข้ามาเรียนที่นี่ เมื่อคืนเขาออกไปหาพ่อ เพราะอยากจะให้พ่อยอมรับในตัวเขาเสียที ขากลับก็เลยเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น” เมษนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของแต่ละคน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้แย้งอะไร จึงว่าต่อทันที “จะมีใครรู้บ้างหรือเปล่าคะว่า เด็กคนนี้หาเลี้ยงตัวเองเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายตลอดช่วงระยะเวลาที่เป็นนักร้องฝึกหัดที่นี่ ในขณะเดียวกันก็ต้องไปโรงเรียน เรียนหนังสือ มาเข้าคลาส และขอบอกเลยนะคะที่เด็กคนนี้ตัดสินใจหยุดเรียน เพราะพ่อของเด็กตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเมื่อรู้ว่าเด็กเลือกทางนี้”

“ถึงยังไงผมก็เห็นว่า เขาเป็นคนเลือกหนทางของเขาเอง” ชาญว่าอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก แต่ก็ไม่ทิ้งความพยายาม “โอกาสของคนเราไม่เท่ากันอยู่แล้ว” คนพูดยักไหล่อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา “แล้วคุณนึกดูนะคุณเมษ เราทุ่มเทเวลาให้กับเด็กกลุ่มนี้มาแค่ไหน กำหนดการทุกอย่างก็วางเอาไว้แล้ว ถ้าต้องเลื่อนออกไป เพราะปัญหาส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง โดย... ขอย้ำนะ... โดยไม่รู้แน่ว่าจะรักษาตัวได้ทันไหม และจะทำให้เราเสียเวลากันต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ผมว่ามันไม่คุ้มเสี่ยง” หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีใครกล้าออกหน้าสนับสนุนความคิดเห็นของชาญแบบเต็มที่เลยสักคน

“แล้วมานึกดูดีๆ ผมเชื่อว่าเรายังมีเด็กที่คุณสมบัติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเด็กเจ้าปัญหาคนนี้ คนที่ร้องเพลงได้ดี มีทักษะในการเต้นอะไรต่างๆ ผมอาจจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่เชื่อเถอะคุณเมษผมเองก็ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทนี้เหมือนกันกับคุณ”

“ไม่เหมือนแน่ๆค่ะ” เมษว่าเสียงเย็น “เมษใช้หัวใจใส่ลงไปในงานด้วย ไม่ได้เห็นแก่เม็ดเงินเพียงอย่างเดียว”

ชาญยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับยักไหล่ด้วยสีหน้ายียวน “ผมไม่ใช่คนทำงานด้วยอารมณ์เสียด้วย”

“ถึงได้ไร้หัวใจแบบนี้ไง” เมษตอกกลับโดยไม่คิดจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต ประธานในที่ประชุมที่นั่งนิ่งมานานราวกับจะประเมินสถานการณ์อะไรบางอย่างเงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นเพื่อหยุดการทุ่มเถียงที่มีแต่จะเข้มข้นขึ้นนั้นเสียที

“เอาล่ะ...” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นสั้นๆอย่างเป็นการเป็นงาน แต่ก็หยุดความร้อนแรงที่เกิดขึ้นลงได้ชงัดนัก “ผมเข้าใจเหตุผลของพวกคุณดี และรู้ว่าพวกคุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มใหญ่ที่ฟังดูนุ่มนวลแต่ก็มีอำนาจอยู่ในทีนั้น จับปากกาขึ้นและถือมันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะกราดสายตามองผู้เข้าร่วมประชุมที่พร้อมใจกันมาจับจองเก้าอี้ในห้องจนเต็ม สมแล้วที่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่บริษัทหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็แทบจะทำให้มันกลายเป็นวาระแห่งชาติไปเลยทีเดียว

“ถ้าถามความเห็นของผมตอนนี้ เบื้องต้น บริษัทจะไม่ดูดายต่อเด็กในสังกัดเราเด็ดขาด ถึงแม้เขาจะยังไม่มีผลงานออกมาก็ตาม ดังนั้นเราจะต้องดูแลรักษาเด็กคนนี้จนกว่าเขาจะหายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทหรือเกิดจากตัวเด็กเอง” เมษพยักหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าประธานบริษัทผู้นี้ไม่ใช่คนใจไม้ใส้ระกำ ที่สำคัญ เขารู้จักทุกคนที่อยู่ในนี้รวมถึงเด็กที่อยู่ในสังกัดของเขาทุกคน เธออาจจะไม่ค่อยได้พูดคุยหรือสนิทสนมกับนายใหญ่ของเธอนัก แต่เธอก็นับถือเขาในฐานะของผู้บริหารที่ครบเครื่องทั้งความรู้ด้านธุรกิจและด้านศิลปะบันเทิง รวมถึงน้ำจิตน้ำใจที่มากล้นผิดกับผู้บริหารหลายๆคนที่เธอได้ยินชื่อเสียงมา

“ส่วนเรื่องแผนงานที่วางไว้ ผมเห็นด้วยกับคุณชาญในแง่ที่ว่ามันมีความสำคัญมาก และถ้าหากตารางงานทุกอย่างจะต้องถูกระงับหรือเลื่อนออกไป มันก็หมายถึงเม็ดเงินมหาศาลจริงๆ คุณเข้าใจใช่ไหมคุณเมษ” เขาหันไปถามเออาร์สาวที่ยังคงนั่งเงียบด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เมษพยักหน้ารับอย่างยอมจำนน “ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ทันทีแน่นอน ผมอยากจะขอเวลาในการตัดสินใจอีกนิด” เขาว่าอย่างชั่งใจ

“ถ้าคุณเอ็มเห็นอย่างนั้น ผมก็คงไม่มีข้อโต้แย้งอะไร” ชาญกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ดูเขามั่นใจยิ่งนัก “แล้วถ้าหากจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัวสมาชิกในวงอย่างไรล่ะก็ ผมเองก็พอจะมีเด็กเก่งๆที่หมายตาเอาไว้เหมือนกันนะครับ” สายตายียวนนั้นเหลือบปรายมาทางหญิงสาวอย่างจงใจ “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมยอมรับฟังความเห็นของทุกท่านอยู่แล้ว ถึงเวลานั้น เราคงได้มาถกกันอีกที”

ไอ้ตัวแสบ หญิงสาวนึกในใจ

“เมษได้พูดอย่างที่อยากพูดไปแล้ว ที่เหลือก็คงต้องแล้วแต่บอร์ดกับคุณเอ็ม แต่มีอย่างหนึ่งที่เมษอยากจะบอกให้ทุกคนได้ทราบไว้” เธอว่าเรียบๆ “เมษใช้เวลาอยู่กับเด็กๆมาพอสมควร เด็กพวกนี้ผูกพันกันมากกว่าที่ใครๆคิด เราที่เป็นผู้ใหญ่อาจจะมองว่าเขาเป็นเด็ก อยากเป็นนักร้องที่โด่งดัง ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง จะชี้ให้เขาไปทางไหนอย่างที่เราสั่งก็ได้ เมษบอกได้เลยว่า คุณคิดผิด ไม่แน่นะคะ...” เธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษว่ากับใคร “แทนที่จะหาคนมาแทนสมาชิกในวงแค่คนเดียว เราอาจจะต้องหาวงใหม่ทั้งวงเลยก็ได้”

“ผมว่าคุณประเมินเด็กพวกนี้สูงเกินไปหรือเปล่า คุณเมษ” สาบาญได้ว่าเธอไม่ได้อคติจนรู้สึกไปเองว่าน้ำเสียงนั้นมีแววเย้ยหยันเธออยู่ในที

“ไม่สูงล่ะค่ะ เพราะพวกเขาเก่งจริงๆ” เมษระบายลมหายใจออกมาอย่างเหลืออด “ขอถามหน่อยเถอะนะคะว่าที่ผ่านมา เราเคยคัดเลือกเด็กกันด้วยวิธีการที่ยากเย็น ซับซ้อนและต้องใช้เวลาขนาดนี้กันมากก่อนหรือเปล่า เราฝึกเด็กพวกนี้มากี่ปีคะ สองปี สามปี สี่ปี ทั้งที่ปกติถ้าใครมีแววก็ดึงเข้ามาเป็นนักร้องเลยแท้ๆ แสดงว่าเด็กๆกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา เมษไม่รู้ว่าคุณเคยสนใจไปดูพวกเขาเวลาฝึกซ้อมบ้างไหมถึงได้กล้าประเมินพวกเขาต่ำแบบนี้ แล้วถ้าหากว่าเราต้องเสียพวกเขาไปจริงๆ หรือปล่อยให้คนอื่นคว้าตัวพวกเขาไปล่ะก็ มันจะน่าเสียดายมากแค่ไหน และจะกลายเป็นความเสียหายเท่าไหร่ เมษไม่กล้าคิด” ไม่มีใครบอกได้ว่าหญิงสาวในตอนนี้รู้สึกอย่างไรจากสีหน้าอันเรียบเฉย “เมษอยากพูดแค่นี้ล่ะค่ะ”

บรรยากาศหลังการประชุม ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าก่อนและระหว่างการประชุมสักกี่มากน้อย บอร์ดและสมาชิกในที่ประชุมบางคนเห็นว่าควรจะหาเด็กใหม่แทนตำแหน่งของเจ แต่เมื่อเทียบกับคนที่ลังเลหรือไม่เห็นด้วยก็ยังนับว่ามีน้อยกว่า แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเรื่องนี้ก็คือหัวเรือใหญ่อย่างคุณเอ็มเพียงคนเดียวเทานั้น

หญิงสาวนั่งถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะสบายใจนักเมื่อกลับมายังโต๊ะทำงานของตัวเอง เธอหวังว่าคำพูดของเธอจะโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเด็กกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเจ เมษเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าเด็กหนุ่มรู้ว่าตัวเองอาจจะต้องถูกถอดออกจากโปรเจ็กต์นี้ เขาจะผิดหวังและเสียใจเพียงไร แต่ที่เธอรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าก็เห็นจะเป็นประธานในที่ประชุมวันนี้นี่แหละ วันนี้คุณเอ็มทำตัวเป็นผู้ฟังมากกว่าจะร่วมวงทุ่มเถียงด้วยแตกต่างจากการประชุมหลายๆครั้งที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่านายใหญ่คิดอะไรในใจ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ คุณเอ็มที่น่าจะเป็นทุกข์ร้อนกับโปรเจ็กต์นี้มากกว่าใคร กลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ เธอเอื้อมมือรับอย่างคนที่ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มที ก่อนจะตาโตและตอบรับไปโดยอัติโนมัติว่า “ได้ค่ะ”

คุณเอ็มคิดอะไร ถึงอยากจะไปเยี่ยมเจที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น

******************************************** (จบพาร์ต 1 ของบทที่ 11)

สวัสดีปีใหม่ไปยังทุกท่านค่ะ

ต้องขอโทษนะคะที่มาต่อให้ช้าอีกแล้ว เนื่องจากคนเขียนต้องเดินทางไปต่างจังหวัดค่ะ เพิ่งจะกลับมาและมีโอกาสได้เข้ามาในวันนี้เอง ส่วนนิยายตอนนี้ที่เอามาลง ใจจริงไม่อยากตัดเป็นสองพาร์ตเลย แต่ด้วยความที่มันยาวเหลือเกิน จึงขออนุญาตนะคะ แต่สัญญาว่า จะนำพาร์ตสองมาต่อให้เร็วขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

Beats of Life ใกล้จะจบลงแล้วล่ะค่ะ อย่างที่เคยเกริ่นไว้ว่า นิยายเรื่องนี้จะไม่ยาวเหมือนเรื่องที่แล้ว แต่ก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้นั่นแหละค่ะว่า ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการจบลงจริงๆ เพราะจะมีอะไรพิเศษมาเติมเต็มอารมณ์ของแฟนโยเจและเด็กทั้งห้าคนนี้อีกแน่นอน แต่จะเป็นอะไรนั้น สัญญาค่ะว่า จะนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้ได้ทราบกันแน่นอนในพาร์ตที่สองของบทที่ 11 นี้

ในช่วงปี 2009 ที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณทุกท่านมากๆนะคะสำหรับการติดตาม กำลังใจ รวมไปถึงคำติชมที่มีต่อคนเขียนเสมอมา เชื่อเถอะค่ะว่ามันได้กลายเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิดไว้มากมายนัก ตั้งแต่ เพลงรัก มาจนถึง Beats of Life ที่เรียกว่าลงกันข้ามปีกันเลยทีเดียว ก็ได้ทุกท่านนี่แหละค่ะที่ทำให้เราเชื่อมั่นว่า เราก็พอจะเป็นนักเขียนที่ดีได้บ้างอยู่เหมือนกัน และยืนยันค่ะว่า จะเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆแน่นอน

ขอให้ปี 2010 เป็นปีที่ดี และเป็นปีที่มีความสุขสำหรับทุกท่านนะคะ

ขอบคุณจากใจและสวัสดีปีใหม่ค่ะ

ปล. ขอบคุณมากสำหรับคำสวัสดีปีใหม่และคำอวยพรค่ะ ขอให้สิ่งดีๆเหล่านั้น ย้อนกลับสู่คุณด้วยเช่นกันนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2010 22:50:37 โดย fingerscrossed »

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
ใกล้จะจบแล้วเหรอ  แอบเสียดายไม่อยากให้จบไวเลย
ชอบเรื่องนี้มากๆ หลงรักน้องเจ  :o8:

รอๆอ่านตอนต่อไปนะคะ  กำลังสนุกเลย

สวัสดีปีใหม่คนแต่งด้วยค่ะ  ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2010 11:21:29 โดย OhJa »

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
สวัสดีปีใหม่ ค่ะ

โยเจให้ความรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่นิยาย

แต่เป็นเด็กผู้ชายที่มีความฝันและความผูกพันที่มีให้กันอย่างมากมาย

หลงรักเค้าสองคนมาก ๆ เลยค่ะ

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดี ๆ แบบนี้

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
น่ารัก แต่สงสารเจมากๆๆ อะไรมันจะโชคร้ายแบบนี้ แล้วตอนประชุมอีก โอ๊ยเครียด แต่เราเชียร์โยเจสู้ๆๆๆ
รอตอนต่อนะค่ะ มาลงเร็วละ สวัสดีปีใหม่ด้วย ขอให้มีความสุขมากๆ :L2: :bye2:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
อ่านตอนนี้ทั้งเศร้าทั้งซึ้ง น้ำตาซึมเลยอ่า :m15:
สงสารเจมากเลย แต่ดีที่โยยังคอยอยู่ข้างๆแบบนี้
พี่เมษก็เก่งมากเลยค่ะ สู้เพื่อน้องๆ
ทุกคนต้องผ่านเวลานี้ไปให้ได้นะ สู้ๆ :a2:
+1 ขอบคุณที่มาต่อนะคร้า :L1:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
สวัสดีปีใหม่ค่ะ^^
ตอนนี้กดดันจังแฮะ ไอ้พวกผู้บริหารไร้หัวใจ!!
รักพี่เมษจังนิ
และคาดหวังในตัวของคุณเอ็มด้วย หวังว่าคุณเอ็มจะมีหัวใจพอนะ  :call:

โยกับเจ ตอนนี้ก็ยังอบอุ่นอยู่เหมือนเดิมนะ ถึงจะผ่านเรื่องที่เจ็บปวด
แต่ถ้าหากทั้งคู่ยังอยู่เคียงข้างกัน ก็น่าจะผ่านเรื่องร้าย ๆ ที่กำลังจะเข้ามาได้อย่างเข้มแข็งแน่ ๆ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนเผื่อแผ่ไปถึงโยกับเจด้วยนะคะ

ปีใหม่นี้หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปและต่อไปเร็ว ๆ อิอิ :z2:
เห็นว่าใกล้จบแล้ว รู้สึกใจหายนิด ๆ นะคะ ว่าทำไมสั้นจัง...

ยังไงใกล้จบแล้ว ขอหวาน ๆ แบบไม่เอาน้ำตาได้ไหมคะ?
ลางมาเหมือนตอนหน้าจะเสียน้ำตาให้กับเจยังไงไม่รู้สิ ฮ่าๆๆๆ (คิดไปเอง)

สุดท้ายก็ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องสนุก ๆ มาให้ได้อ่านได้จิ้นกันไป เนอะ ^^  :pig4: :L2: :pig4:

(เป็นเม้นที่ยาวที่สุดของเราในเรื่องนี้เลยแฮะ :really2:)


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ๊ยยยย เจเอ้ย ไม่เปนไรน๊า
ดีนะที่มีโยกะพี่เมษอยู่ข้าง ๆ หุหุ

HNY นะค๊า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด