.......
เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้น 7ครั้ง เสียงร่ำไห้ระงมไปทั้งเมือง กลิ่นน้ำมันหอมจากทุกบ้านถูกจุดเพื่อส่งพระวิญญาณ พายุทะเลทรายที่พัดมาหลายวันหยุดลง ราวกับจะรอส่งพระวิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย
ขบวนเกียรติยศในชุดสีขาวอัญเชิญเสด็จพระศพในโลงแก้วไปยังสุสานของราชวงศ์ ประชาชนมากมายยืนรอส่งเสด็จพระชายาเป็นครั้งสุดท้ายตลอดแนวสองฟากถนน ร่างโปร่งบางของเจ้าชายรัชทายาทชักม้าเคียงคู่โลงแก้ว ใบหน้าขาวซีดแต่ดวงตาแห้งผาก นอกจากชีคฟาฮัสกับราชครูแล้ว ก็มีเพียงเหล่าทหารองครักษ์เท่านั้นที่มาส่งเสด็จ ด้วยสงครามระหว่างเผ่าที่ยังวุ่นวายทำให้บรรดาจอมทัพทั้งหลายต้องออกไปประจำแต่ละแค้วน จึงไม่มีใครมาร่วมงานได้
แต่ลึกลงไปเจ้าชายหนุ่มน้อยก็ทราบดีว่าทุกคนต่างก็รอดูท่าทีว่าใครที่จะได้ดำรงอำนาจ แน่นอนว่าทุกคนต่างรู้เรื่องตราประทับหายไป ตอนนี้ไม่มีใครกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เว้นแต่ว่าองค์ฮัสซาจะปลอดภัยเท่านั้น
โลงแก้วถูกวางลงบนแท่นในห้องสุสานอย่างบรรจง ร่างโปร่งบางยืนข้างโลงแก้วเดียวดาย เพราะนอกจากราชวงศ์ แม้แต่ทหารที่หามโลงแก้วเข้ามาก็ต้องออกไปรอข้างนอกตามธรรมเนียมโบราณ แม้ใบหน้าจะดำเกรียมด้วยผลของยาพิษ แต่มุมปากงามยังแย้มสรวลน้อยๆราวกับจะปลอบประโลมหัวใจลูกรัก ไม่ให้แหลกสลายลงไปเสียก่อน
“แม่จ๋า...แม่จะอยู่ในหัวใจลูกตลอดไป...” ปากสีสดแตะบนโลงแก้วแผ่วเบา ดอกลิลลี่ขาวถูกวางบนโล่งแก้วอย่างบรรจง แล้วจึงถอยออกมาถวายความเคารพ เจ้าชายหนุ่มน้อยหมุนตัวกลับออกจากห้องเก็บพระศพ เสียงประตูปิดตามหลังเสมือนความรักความอ่อนโยนในหัวใจถูกปิดตาย นับแต่นี้จะดำรงพระชนม์อยู่ด้วยความแค้นและชิงชัง มันผู้ใดที่ทำร้ายพระมารดาย่อมไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินอีกต่อไป............
ร่างผมบางที่ดูเหมือนจะผอมยิ่งกว่าเดิมนั่งนิ่งราวกับหุ่น ทหาร-องครักษ์วัยเยาว์ที่เป็นทั้งทหารและเพื่อนเล่นต่างเหลือบมองตากันแล้วได้แต่นั่งเงียบ แม้แต่เสียงลมหายใจก็พยายามให้เบาที่สุด
เจ้าชายรามิลทรงเงียบขรึมและดูน่ากลัวมากขึ้นทุกวันนับแต่สูญเสียพระมารดาไป ยิ่งสองสามวันมานี้ก็เสด็จมารอท่านราชครูกลับจากราชการทุกวัน
เสียงตบปืนทำความเคารพดังลอดเข้ามาเบาๆ ร่างที่นั่งนิ่งผุดลุกขึ้นแล้วเสด็จออกอย่างรวดเร็ว จนองครักษ์รุ่นเยาว์ทั้งหลายเกือบลุกตามแทบไม่ทัน
ถึงจะรีบร้อนอย่างไรเจ้าชายรามิลก็ยังหยุดเคาะประตูห้องพระอักษร รอจนได้ยินเสียงอนุญาตจึงเสด็จเข้าไปเพียงลำพัง
“ได้ความว่าอย่างไรครับครู?”
“เป็นอย่างที่สงสัยกระหม่อม พิษที่พระชายาทรงได้รับมาจากเผ่าของพระชายาองค์ใหม่แน่นอน”
ไนท์รับเอกสารผลการตรวจพระโลหิตของพระมารดามาอ่านแล้วกำไว้แน่นจนแทบแหลก ดวงเนตรคมเป็นประกายเรืองด้วยความคั่งแค้น
“หมายความว่า...”
“กระหม่อมไม่อยากให้ทรงด่วนตัดสินเร็วนัก เรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำกว่าที่ทรงคิด”
“แต่ที่แน่ๆคือชายาใหม่ของเสด็จพ่อมีส่วนรู้เห็นแน่”
“แต่กระหม่อมว่าฝ่าบาทต้องพระทัยเย็นๆ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้”
“คงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะตอนนี้นางอยู่ที่ห้องใต้ดินแล้ว”
“ฝ่าบาท!”
“ขอโทษนะครับครู แต่เราจะไม่ปล่อยให้คนที่ทำร้ายแม่ได้อยู่ดีเป็นอันขาด มันต้องชดใช้อย่างสาสม”
เจ้าชายรามิลเสด็จออกจากห้องพระอักษรมุ่งตรงไปยังห้องใต้ดินทันที โดยมีเหล่าองครักษ์ตามติด ราชครูถอนใจยาวด้วยความกังวล ดูท่าเรื่องนี้จะบานปลายแน่แล้ว เพราะแน่ใจได้ว่าเจ้าชายรามิลต้องไม่ทรงปล่อยให้พระชายาองค์ใหม่มีชีวิตรอดไปได้ นั่นอาจหมายถึงสงครามกวาดล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ก็เป็นได้
พระชายาองค์ใหม่ผวาลุกขึ้นนั่งตัวสั่น เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนพระแท่นห่างออกไป แม้จะเพิ่งแรกรุ่น แต่ดวงเนตรคมกล้าด้วยอำนาจก็ทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยกล้าสบตาด้วย...ยิ่งคนที่มีชนักปักหลัง ยิ่งแล้วใหญ่!
“เจ้า..เจ้าชายรามิลทำอย่างนี้ได้อย่างไร เราเป็นพระชายานะ จะมากุมตัวเราแบบนี้ไม่ได้” นางละล่ำละลักปากคอสั่น ทั้งตกใจทั้งงุนงง ก็เมื่อคืนได้ข่าวว่าองค์ฮัสซากำลังจะเสด็จกลับจากชายแดน นางจึงแต่งตัวมารอในห้องบรรทม แต่พอตื่นขึ้นมากลับมาอยู่ในห้องใต้ดินแทนเสียนี่
“งั้นเหรอ...แล้วมีใครกล้าช่วยเจ้าไหมล่ะ?”
“เราจะฟ้องฝ่าบาท”
“...แล้วขวดนี้ล่ะ จะบอกเสด็จพ่อด้วยไหม?”
พระชายาองค์ใหม่สะดุ้งวาบทั้งตัวเมื่อเห็นขวดยาที่ถูกโยนมาตรงหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมอเฒ่าคงถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว
“ขวดอะไร?...เราไม่รู้เรื่อง”
“เราได้มันมาจากหมอประจำตัวเจ้า”
“อย่ามาใส่ความกันดีกว่า เด็กอย่างเจ้าจะมารู้อะไร นี่แม่เจ้าคงเสี้ยมสอนไว้ละสิว่าเราเป็นคนวางยาพิษ ขี้อิจฉาทั้งแม่ทั้งลูก อิจฉาใช่ไหมล่ะที่ฝ่าบาทโปรดปรานเรามากกว่าแม่เจ้า”
“รู้ได้อย่างไรว่าพระชายาทรงโดนวางยา ในเมื่อคนที่รู้เรื่องนี้มีแค่องค์รัชทายาทกับเราเท่านั้น” ราชครูเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับก้าวเข้าไปในห้อง ใบหน้าเชิดๆของพระชายาองค์ใหม่ขาวเหมือนกระดาษฉับพลัน ดวงตาส่ายล่อกแล่กไปมาอย่างตื่นตระหนก พยายามหาคำแก้ตัวแต่ก็จนปัญญา
ไนท์ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ราชครูไวกว่า มือแข็งแรงยึดไหล่บางไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่าทรงวู่วามกระหม่อม”
“ทำไม!...นางเป็นคนฆ่าเสด็จแม่แท้ๆ ยังจะปล่อยไว้อีกเหรอ?”
“เราต้องรู้ให้ได้ฝ่าบาท ว่าใครสั่งนางมา”
“จะมีใครก็ไอ้ความอิจฉาริษยาของนางนะสิ”
“เราน่ะเหรออิจฉา เราน่ะเป็นว่าที่สนมเอกเชียวนะ เป็นรองตำแหน่งรานีแค่ขั้นเดียวเท่านั้น องค์ฮัสซากำลังจะประกาศแต่งตั้งเรา...รู้ไว้เสียด้วย”
“เจ้าก็เลยฆ่าเสด็จแม่เพื่อจะเป็นรานีเสียเองงั้นสิ”
“ถึงแม่เจ้ายังอยู่เราก็ควรได้รับแต่งตั้งอยู่แล้ว เผ่าเรามีอำนาจมีทรัพย์สินเท่าไหร่ ยังไงๆฝ่าบาทก็ต้องเห็นความสำคัญของเรามากกว่าเจ้าหญิงลูกครึ่งที่ไม่มีอะไรเลยอย่างแม่เจ้า”
“สามหาว!” ดวงตาคมเป็นประกายกร้าวทำให้คนที่กำลังลอยหน้าถึงกับลนลานถอยหนีจนล้มกลิ้งด้วยความหวาดกลัว กระนั้นนางก็ยังไม่วายปากดีด้วยแน่ใจว่าอย่างไรเสียเจ้าชายรัชทายาทย่อมไม่กล้าฆ่านางแน่
“อย่านะ!ถ้าขืนเจ้าทำอะไรเราเจ้าเดือดร้อนแน่ แค่เรื่องตาเจ้าลอบทำร้ายองค์ฮัสซาน่ะเจ้าก็แย่แล้ว ขืนแตะต้องเราเจ้าจะไม่มีเงาหัว เฮอะ!ไม่รู้ตัวเลยละสิว่าความชั่วช้าที่ตาเจ้าทำน่ะทำให้ทั้งเจ้าทั้งแม่เจ้า ยิ่งเป็นที่เกลียดชังของราชวงศ์แค่ไหน ที่แม่เจ้าต้องตายนี่น่ะ เป็นคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาทฟะ...อึ๊ก!”
ประกาย โลหะสว่างวาบ!
ราชครูถลันเข้าบังไนท์ทันควัน แต่ใบมีดคมกริบปักเข้าที่ลำคอขาวของพระชายาใหม่จนมิดด้าม เลือดสดๆไหลพรูราวกับท่อน้ำแตก ร่างอวบสะท้านเฮือก ตาเหลือกค้างด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลงจมกองเลือด เงาดำที่แอบอยู่ข้างบันไดเผ่นหนีไปทันที คนสนิทของราชครูวิ่งตามเงาดำไปติดๆ เสียงต่อสู้ดังลอดมาแว่วๆ......ไม่นาน องครักษ์ร่างใหญ่ก็กลับมาก้มหน้านิ่ง
“หนีไปได้เหรอ?”
“มันฆ่าตัวตายแล้วขอรับท่านราชครู”
“เสด็จพ่อต้องรับผิดชอบ!” ไนท์ตะโกนก้องด้วยความแค้น แม้จะรู้ว่าตอนนี้องค์ฮัสซามีปัญหากับดินแดนทางเหนือ ซึ่งเป็นของพระบิดาพระชายาโซฟียาหรือพระอัยกาของเจ้าชายรามิล ถึงขั้นจะทำสงครามกัน และองค์ฮัสซาถูกลอบทำร้ายอาการสาหัส แต่ไม่คิด...ไม่คิดว่าพระบิดาจะสั่งฆ่าแม่ได้ลงคอ
“ฝ่าบาท!”
“เราจะตัดหัวมันส่งไปให้เสด็จพ่อ!”
“อย่าทรงทำอย่างนั้นนะฝ่าบาท เรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่ แค่นางตายในมือเราก็เป็นเรื่องใหญ่พออยู่แล้ว”
“เราไม่สน ถ้าเสด็จพ่อจะเอาเรื่องก็ให้มาจัดการเราเลย!”
“องค์ฮัสซาคงไม่เอาเรื่องฝ่าบาทหรอกเพราะอย่างไรก็เป็นพระโอรส แต่เผ่าของพระชายาจะต้องไม่พอใจ นั่นอาจหมายถึงสงคราม ฝ่าบาททรงนึกบ้างไหมว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้างหากเกิดสงครามขึ้น ราษฎรจะเดือดร้อนแค่ไหน ทรงนึกถึงบ้างหรือเปล่ากระหม่อม?”
ปากบางเม้มแน่นด้วยความแค้นเคือง ความคั่งแค้นกับความถูกต้องตีกันยุ่งอยู่นานกว่าที่เสียงแผ่วเบาจะหลุดออกมา
“...เราขอโทษที่วู่วาม...แล้วจะจัดการอย่างไร?”
“นางเป็นถึงพระชายา การที่จู่ๆจะหายตัวไปคงไม่ใช่เรื่องเล็ก กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้เอง ฝ่าบาทควรเสด็จไปอยู่ที่วังขององค์ซารีฟก่อนดีกว่า”
“แต่เรา...”
“อย่าทรงกังวล กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ขอบคุณครับครู”
“ไคซัค...” องครักษ์หนุ่มน้อยที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าอายุก้าวออกมาค้อมคำนับ
“เตรียมเชิญเสด็จฝ่าบาทไปที่วังขาว ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ขอรับท่านพ่อ”
ราชครูยืนมองร่างที่จมกองเลือดด้วยดวงตาไตร่ตรอง ยังดีที่คนปลิดชีวิตพระชายาใหม่หนีไม่รอด อย่างน้อยคนที่บงการก็ยังไม่รู้ว่านางตาย เห็นทีเขาจะต้อง ‘ส่งพระชายากลับไปที่วังอย่างปลอดภัย’ เสียแล้ว ............
ไนท์ชะงักกึกเมื่อเห็นร่างอวบในชุดคลุมแพรวพราวตามเสด็จขึ้น เครื่องบินไปกับพระบิดา…ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัด แต่รูปร่างกับกิริยาท่าทางนั้นเป็นพระชายาองค์ใหม่แน่นอน...เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อได้เห็นกับตา ว่านางถูกฆ่าไป แล้ว!
แต่การเสด็จประพาสโรงแรมตากอากาศที่เพิ่งเปิดใหม่กับพระบิดา เป็น เสมือนเป็นการประกาศตัวว่านางคือว่าที่องค์รานีองค์ต่อไป ความข่มขื่นน้อยใจ ในเรื่องหลังทำไนท์ลืมเรื่องที่สงสัยแต่แรกไปทันที
“มีอะไรหรือหลานถึงได้ทำหน้าอย่างนั้น” มือเย็นหอมกรุ่นที่แตะไหล่ทำให้ไนท์ต้องหันไปทำความเคารพ ความสนิทสนมทำให้ไนท์หลุดความในใจออกไป
“หลาน...ไม่มีอะไรกระหม่อม แค่หลานนึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะทรงพา พระชายาองค์ใหม่เสด็จประพาสทั้งๆที่เสด็จแม่เพิ่งสิ้นไปไม่ถึง3เดือน...ทรงทำได้”
ชีคฟาฮัสหรี่ตาอย่างครุ่นคิด ยังไม่ทันแสดงความคิดเห็นใด ราชองครักษ์ รุ่นเยาว์ก็โผล่เข้ามาห้อม ล้อมรอบองค์รัชทายาท
“ได้เวลาเสด็จแล้วกระหม่อม”
“จริงสิ…ขอบใจไคซัค หลานขอตัวก่อนกระหม่อม”
“นั่นหลานจะไปไหน?”
“เสด็จอาซารีฟชวนหลานไปที่วังกระหม่อม”
“งั้นรึ...งั้นก็ไปเถอะ”
“ทูลลากระหม่อม”
ชีคฟาฮัสมองตามร่างเล็กๆที่รายล้อมด้วยองครักษ์รุ่นเยาว์ด้วยดวงตาวาววับ คนสนิทปราดเข้ามาเคียงข้างทันที
“หามือสังหารเจอหรือยัง?”
“ยังกระหม่อม สงสัยไอ้ราชครูเจ้าเล่ห์มันจะได้ตัวไปแล้วกระหม่อม”
“บัดซบ!”
“ไม่ต้องกังวลฝ่าบาท มันไม่มีทางซัดทอดแน่กระหม่อม”
“เจ้าแน่ใจนะ?”
“แน่กระหม่อม มันรักลูกยิ่งกว่าชีวิต ตราบใดที่ลูกมันยังอยู่ในมือเรามันไม่กล้าทรยศแน่ แต่กระหม่อมจะหาศพมันให้เจอกระหม่อม”
“ดี...แปลกนะที่รามิลยอมปล่อยคาร์เมียน”
“คงไม่มีหลักฐาน อีกอย่างไอ้ราชครูเจ้าเล่ห์มันอยู่ด้วย มันคงไม่ยอมให้ทำอะไรวู่วามแน่กระหม่อม”
“แล้วคาร์เมียนว่าไงบ้าง?”
“เอ่อ...เกล้ายังไม่ได้พบกระหม่อม”
“ทำไม?”
“พระชายาเข้าเฝ้าองค์ฮัสซาตลอดคืนเลยกระหม่อม แล้วก็เสด็จประพาสด้วยกันกระหม่อม”
“หึ...รีบแจ้นไปฟ้องเสด็จพี่สินะ ก็ดีที่นางรู้จักหลบหลีก เพิ่งรู้ว่านางก็มีสมองเหมือนกัน คิดว่ามีแต่หัวไว้ตั้งบนบ่าอย่างเดียวเสียอีก”
“แล้วจะให้กระหม่อมจัดการอย่างไรต่อไปกระหม่อม”
“เฉยไว้ก่อน อย่างเพิ่งเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้”
ตลอดเวลาที่ทั้งคู่สนทนากัน มีสายตาของทหารพื้นเมืองตัวเล็กแกร็นที่ยืนเข้าแถวส่งเสด็จอยู่ห่างๆคอยจับจ้องริมฝีปากของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา และทุกถ้อยคำได้ถูกถ่ายทอดไปสู่ท่านราชครูในอีกชั่วโมงถัดไป ............
ข่าวใหญ่สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งประเทศอีกครั้งเมื่อโรงแรมที่สร้างใหม่ถูกลอบวางระเบิด องค์ฮัสซาได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่พระชายาองค์ใหม่หายสาบสูญไปในกองซากตึก!
เจ้าชายรามิลกลับมาเข้าเฝ้าอย่างรีบเร่งทันทีที่ทราบข่าว แต่เปิดประตูเข้าไปในห้องบรรทมกลับพบว่าองค์ฮัสซายืนอยู่กลางห้องแทนที่จะนอนอยู่บนเตียง
“เสด็จพ่อ! ทรงลุกขึ้นได้แล้วหรือกระหม่อม?”
“หรือต้องให้เราตายไปด้วยถึงจะสะใจเจ้า”
“เสด็จพ่อ!?”
“หากไม่เพราะความเอาแต่ใจของเจ้า เรื่องราวมันคงไม่บานปลายอย่างนี้หรอก สำนึกบ้างหรือไม่ว่าเจ้าทำผิดแค่ไหน?”
“...กระหม่อมผิดที่พยายามจะหาตัวคนฆ่าแม่ของกระหม่อม...แต่กระหม่อมไม่ได้มือเปื้อนเลือดเหมือน...ใครบางคน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรามิล”
“หรือไม่จริง...ทรงคิดว่าตบตาใครๆได้ แต่หลอกกระหม่อมไม่ได้หรอกนะ ทรงคิดว่าท่านตาส่งคนไปลอบทำร้ายเลยแก้แค้นโดยให้นางมาวางยาฆ่าเสด็จแม่!”
“เจ้าพร่ำเพ้อบ้าบออะไรรามิล”
“นางบอกกระหม่อมก่อนที่จะถูกฆ่าว่าคนที่ช่วยหนุนหลังนางคือฝ่าบาท ทรงสั่งฆ่าปิดปากนางเองแล้วจะมาโยนให้กระหม่อมรับผิดชอบหรืออย่างไร?”
กษัตริย์ฮัสซาตาลุกวาบด้วยความโกรธ รามิลคิดได้อย่างไรว่าทรงสั่งฆ่าหญิงที่ทรงรักที่สุด ทั้งๆที่พระองค์ต้องทรงระเบิดโรงแรมใหม่เพื่อสร้างเรื่องให้พ้นตัวรามิลไปแท้ๆ แต่ลูกกลับคิดว่าพระองค์คือคนบงการ
“เราคือใครรามิล! ในฐานะของกษัตริย์สิ่งที่เจ้ากล่าวหาเราก็ต้องโทษประหารแล้ว หากในฐานะของพ่อเจ้าก็เป็นลูกอกตัญญู!”
“ก็ทรงประหารเสียเลยสิ กระหม่อมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี่”
“รามิล!”
“ทรงทำได้อย่างไร? ไหนว่าทรงรักเสด็จแม่นัก...ปากว่ารักแต่ทรงทำร้ายหัวใจเสด็จแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยัง...” เสียงขาดหายกระท่อนกระแท่นด้วยความสะเทือนใจ ไนท์เมินหน้าหนีไปทางอื่น จึงไม่ได้เห็นแววตาเจ็บปวดขององค์ฮัสซา
“กระหม่อมยินดีรับโทษที่บังอาจล่วงเกินกษัตริย์ แต่กระหม่อมไม่มีโทษอื่นเพราะกระหม่อมไม่มีพ่อ!”
ฉาด!!!! ใบหน้าเรียวเล็กสะบัดไปตามแรงตบ รอยแดงเป็นปื้นผุดขึ้นทันที
กษัตริย์ฮัสซายืนนิ่งขึง ไม่เคยสักครั้งที่จะลงโทษใครป่าเถื่อนแบบนี้ แต่คำพูดของพระโอรสที่ทรงเสน่หาที่สุดเหมือนมีดกรีดใจจนพลั้งมือ ดวงตาเป็นประกายรวดร้าวของลูกทำให้หัวใจพ่อแทบสลาย
ไนท์จ้องมองพระบิดาด้วยความปวดใจก่อนจะหลับตาลง ภาพแม่ที่ทุรนทุรายอยู่บนเตียงผุดวาบขึ้นมา ความน้อยใจถูกแทนที่ด้วยความเคียดแค้น
กษัตริย์ฮัสซาชาวาบทั้งตัวเมื่อเห็นดวงตาที่ลืมขึ้นสบตาอีกครั้ง ความรู้สึกหนาวเยือกเกาะกุมหัวใจ ดวงตากลมโตไม่มีความน้อยใจเสียใจอีกต่อไป มีเพียงความว่างเปล่าเย็นชาเท่านั้น
“รามิล...พ่อ...”
เสียงเคาะพระทวารดังแทรกขึ้น ก่อนที่ทหารองครักษ์จะเข้ามาค้อมกายเคารพอย่างร้อนรน
“ฝ่าบาทฟาฮัสมาขอเข้าเฝ้ากระหม่อม”
คำขอโทษถูกกลืนหายไปในลำคอ ทิฐิทำให้องค์ฮัสซาเชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พระองค์เป็นทั้งกษัตริย์และพระบิดา แต่ลูกกล้ากล่าวหาเช่นนี้ การลงโทษแค่นี้ถือว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ
“รับรองที่ห้องน้ำเงินก่อน แล้วอีก15นาทีค่อยให้เข้ามา บอกไปว่าหมอตรวตอาการเราอยู่”
“กระหม่อม”
กษัตริย์ฮัสซาเสด็จไปนั่งที่แท่นข้างเตียงโดยไม่ยอมตรัสอะไรกับโอรสอีกเลยพร้อมๆกับหมอหลวงก็เข้ามาเตรียมพันผ้าถวายเพื่อให้ดูสมจริงที่สุด ไนท์ค้อมกายเคารพตามธรรมเนียมแล้วเดินแยกไปอีกทางสายใยของพ่อลูกสะบั้นลงตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
♜...........♜...........♜
ขอบคุณที่ติดตามคะ

เรื่องที่สามของใบปอนำมาลงให้แล้วนะคะ มีตัวละครเกี่ยวพันกับสองเรื่องแรกเหมือนกันคะ ลองอ่านดูสนุกคนละแบบกับคู่ของ เท็ดกาย แต่สนุกไม่แพ้กันเลยคะ