...
แสงสุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าสีแดงจัด เรือสำราญลำใหญ่ก็เข้าเทียบท่าที่เกาะส่วนตัวของตระกูลแฮมิลตัน ทุกคนขึ้นฝั่งอย่างสดชื่นยกเว้นลอเรนซ์ที่ยังคงมีสีหน้าบึงตึงและหงุดหงิด นายแบบหนุ่มขอแยกไปพักผ่อนทันที
แจ็คถูกทักเกรียวกราวจากทุกคนที่มารอรับ โดยเฉพาะเด็กๆมีแต่เสียงคิดถึงๆจนระงมไปหมด สาวน้อยหน้าตาคมขำคนหนึ่งโผเข้าหาแจ็ค แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองสนทนากัน แต่ท่าทางต่อว่ากระเง้ากระงอดของสาวน้อยกับท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจของแจ็ค ก็สร้างความขุนมัวในหัวใจบางดวง แจ็คง้ออยู่ครู่หนึ่งสาวน้อยก็หัวเราะเสียงใส ใบหน้าคร้ามที่เคยเคร่งขรึมดูสดใสขึ้นทันตา สาวน้อยคล้องแขนแจ็คแล้วเดินเคียงกันไปท่ามกลางเด็กๆที่วิ่งตามกันกรูเกรียว
ไนท์ยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาดุที่เคยนิ่งเย็นกลับไหววูบ
“ไม่ทราบว่าการต้อนรับของเรามีข้อบกพร่องอะไรหรือเปล่าครับ?” ริชทักถามด้วยมาดเจ้าบ้านที่ดี แต่ความจริงอยากแหย่ชีคหนุ่มมากกว่า
“ไม่หรอกครับ ทุกอย่างงดงามสมบูรณ์แบบ สมแล้วที่ได้ฉายาว่าสวรรค์บนดิน แต่จุดประสงค์ที่เชิญผมมาที่นี่คงไม่ใช่มาพักผ่อนอย่างเดียวกระมัง?” ดวงตาชีคหนุ่มกลับสงบนิ่งและเย็นชาอีกครั้ง
“แต่วันนี้เพิ่งมาถึง ผมอยากพาคุณเที่ยวชมรอบๆเกาะให้สบายใจก่อน”
“ผมชอบทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพักผ่อนทีหลัง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญที่ห้องประชุมเลยครับ”
ไคซัคขยับจะตามแต่ชีคหนุ่มหันขวับมาสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ไม่ต้องตาม รอสายจากฮาลี ติดต่อมาเมื่อไหร่รีบต่อเข้าไปให้เรา”
“กระหม่อม”
ไคซัคถูกเชิญไปรอที่ห้องรับรอง องครักษ์หนุ่มเพิ่งสำนึกว่าเขากับนายหนุ่มอยู่กลางรังพญาราชสีห์เสียแล้ว แม้พนักงานที่มาคอยดูแลจะหน้าตาดี แต่งกายดีแบบพนักงานต้อนรับทั่วไป แต่เสียงฝีเท้าเบากริบของแต่ละคนก็บอกให้รู้ว่าได้รับการฝึกศิลปะการต่อสู้มาอย่างดี ชายหนุ่มหายข้องใจแล้วว่าเหตุใดพนักงานโรงแรมแบบแจ็คถึงได้ล้มคนของเขาลงได้ เพราะแจ็คเคยประจำอยู่ที่นี่มาก่อนนี่เอง
ไคซัคมองทางหนีทีไล่อย่างหนักใจ หากริชคิดไม่ซื่อเขาจะเหลือหนทางใดบ้างหรือไม่ที่พานายเหนือหัวออกไปจากที่นี่ ร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งทั้งที่ภายในเดือดพล่านด้วยความกังวล
จากพลบค่ำจนสี่ทุ่มกว่าที่ไนท์หายเข้าไปในห้องประชุม ตลอดเวลาไคซัคปักหลักรออยู่ที่เดิม แม้จะมีพนักงานมาเชิญเขาไปรับประทานอาหารหลายครั้งแล้วก็ตาม เสียงฝีเท้าแผ่วเบาทำให้องครักษ์หนุ่มขยับตัวอย่างระวัง ร่างสูงใหญ่พอๆกับเขาแต่มีใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้มใจดีปรากฏกายตรงหน้าประตู
“ทานมื้อค่ำหรือยังครับ…แต่ถ้าจะรอท่านชีคละก็ไม่ต้องเลยนะครับเพราะท่านสั่งอาหารเข้าไปในห้องประชุมแล้ว”
“เอ่อ…ผมอยากไปดูฝ่าบาทนิดหนึ่งไม่ทราบว่าจะรบกวนหรือเปล่า?”
“อ๋อได้สิครับ…อองรี…พาคุณไคซัคไปห้องประชุมด้วย”เจฟฟรี่หันไปสั่งพนักงานที่เพิ่งเดินเข้ามา
“ครับผม เชิญทางนี้ครับ”
ไคซัคหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า หัวใจกระตุกวูบเมื่อได้เห็นใบหน้าคมสวยที่เหมือนจะมีรอยยิ้มตลอดเวลา ดวงตาพราวระยับดูขี้เล่นแต่ก็ปั่นหัวใจให้ป่วนได้ง่ายๆ
หัวฝ่ายต้อนรับหนุ่มเดินนำไปด้านใน แผ่นหลังบอบบางชวนพิศจนไคซัคแทบลืมไปว่าก่อนหน้านี้เขากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ อองรีพาแขกมาหยุดหน้าห้องประชุมและผายมือให้อย่างล้อๆเมื่อเห็นไคซัคยังมองเขานิ่ง
ไคซัคกล่าวขอบคุณเบาๆแล้วหันไปเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป ห้องประชุมไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยมปิดม่านมิดชิด มีโต๊ะประชุมยาวๆอย่างที่ไคซัคเคยเห็น
ห้องกว้างโล่งตลอดแนวโค้งรวมถึงเพดานครึ่งหนึ่งกรุด้วยกระจกใสมองเห็นท้องฟ้าและทะเลมืดภายนอก มีแสงดาวและแสงไฟจากเรือประมงประดับระยิบระยับ โต๊ะกระจกใสรูปวงกลมมีคอมพิวเตอร์เรียงรายรอบโต๊ะ ทายาทของสองตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดนั่งอยู่คนละฟากและต่างก็จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เขม็ง ชีคหนุ่มเงยขึ้นมาเห็นไคซัคก็โบกมือไล่แล้วหันไปสนใจหน้าจอต่อ
ไคซัคจำต้องถอยออกมาแต่ก็โล่งใจขึ้น ท่าทางริชคงเป็นที่ไว้วางใจไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะไม่ไล่เขาไปเด็ดขาดและเขาก็เชื่อมั่นในตัวเจ้านายว่าสามารถเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน พนักงานต้อนรับรูปงามเดินนำเขาออกมาด้านนอกอีกครั้ง
“คืนนี้จะกลับไปพักที่บ้านพักหรือว่าจะพักที่นี่ดีครับ ทางเรามีห้องรับรองอยู่ด้านข้างๆนี่เอง”
“ขอพักที่ห้องรับรองแล้วกันครับ”
“เชิญทางนี้ครับ ผมจะให้เขาจัดอาหารมาให้คุณที่ห้องแล้วกันนะครับ”แม้แต่พนักงานต้อนรับหน้าสวยก็มีฝีเท้าเงียบและเบาอย่างคนที่ถูกฝึกมาอย่างดี
ไคซัคลอบมองหน้าเนียนใสอย่างพึงใจ ร่างเพรียวเดินไปเปิดม่านและเปิดแอร์อย่างคล่องแคล่ว
“ผนังด้านนี้เป็นกระจกนิรภัยครับ สามารถเลื่อนเปิดได้หากต้องการรับลมธรรมชาติ...พักผ่อนก่อนนะครับอีกสักครู่อาหารจะมาถึง”
องครักษ์หนุ่มคว้าเอวบางกระชากมาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว
“อาหารน่ะเลื่อนไปก่อนก็ได้…ตอนนี้ผมอยากคุยส่วนตัวกับคุณมากกว่า”
“แหม…จะไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าผมจะอยากคุยหรือเปล่า?” หัวหน้าฝ่ายต้อนรับหนุ่มยังคงยิ้มละไมแต่ดวงตาวาววับ ไคซัคยิ้มเย็นกระซิบข้างหูนิ่มเบาๆ
“ผมแน่ใจว่าจมูกผมไม่พลาด กลิ่นของคุณมันพร้อมตั้งแต่เราเจอกันไม่ใช่เหรอ?”
อองรีหัวเราะคิก สอดแขนขึ้นโอบไหล่หนาด้วยสายตายั่วยวน
“เพิ่งรู้ว่าองครักษ์เขาใช้จมูกกันแบบนี้เอง…อืม…” ปากร้อนแนบประกบเร่าร้อน ร่างบางถูกดันไปปะทะข้างฝา เสียงซิปเลื่อนแล้วฝ่ามือร้อนก็สอดเข้ามาอย่างรวดเร็ว อองรีเลื่อนมือลงไปปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระเช่นกัน สะโพกบางถูกเสียดสีด้วยความร้อนจัดขณะที่ปากก็แลกจูบกันดุเดือด หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสสะดุ้งเมื่อทางแคบถูกสำรวจโดยไม่ทันตั้งตัว แม้จะผ่านศึกมาไม่น้อยแต่เขาไม่เคยถูกรุกอย่างนี้มาก่อน
“อะ…ผม…ผมว่าเราไปที่เตียง..อา…กันเถอะ” อองรีพูดปนหอบ ด้วยปลายนิ้วที่ขยับเสียดสีอยู่ภายใน ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บเสียดปนเสียววาบจนต้องเกร็งหน้าท้องตามทุกครั้งที่นิ้วยาวขยับ ดูเหมือนไคซัคจะเชียวชาญจนรู้ว่าควรสัมผัสตรงไหนเป็นพิเศษ เพียงแค่ปลายนิ้วก็ทำให้อองรีติดลมบนอย่างง่ายดาย
“คงไม่ทันแล้วล่ะ…โทษทีนะ” เสียงกระซิบตอบร้อนรนพร้อมกับขาเรียวที่ถูกยกขึ้นพาดไหล่
“อะ....เดี๋ยว...โอ้ย!”
อองรีต้องโหนไหล่กว้างไว้แน่นเมื่องูเห่าแห่งทะเลทรายแทรกลึกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว เสียงครางด้วยความเจ็บปวดถูกกลืนหายไปในปากร้อนผ่าว
ไคซัคแปลกใจจนเผลอปล่อยปากนุ่มเป็นอิสระ ดูเหมือนช่องทางนี้จะไม่เคยมีใครผ่านมาก่อนจึงทั้งแคบและฝืดคับ ตาดุเหมือนเสือจ้องใบหน้าแดงซ่านที่ เหยเกด้วยความเจ็บปวดเขม็ง ความรู้สึกฮึกเหิมยินดีพลุ่งพล่านในอก ชายหนุ่มสอดกายลึกช้าเพราะรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งจนสั่นด้วยความเจ็บปวดของอองรี มือร้อนละจากเอวบางเลื่อนลงมาลูบไล้จะกระตุ้นด้านหน้าที่อ่อนนุ่มเพราะความเจ็บปวดให้กลับมาเข็มแข็งอีกครั้ง
ทั้งๆที่เหงื่อไหลโซมด้วยความเจ็บ แต่ความสามารถในการปลุกเร้าของ ไคซัคก็ทำให้อองรีเสียวซ่านจนหลุดเสียงครางแผ่วตลอดเวลา
“อะ...อือ...ผม...” ความเจ็บปวดจากช่องทางด้านหลังกับแรงกระตุ้นเสียวกระสันด้านหน้า ทำให้อองรีสับสนว่าควรต่อต้านหรือตอบรับดี
ลำคอขาวซับสีแดงจัดด้วยเลือดที่กำลังสูบฉีด ไคซัคจูบไซ้และกัดเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ทิ้งรอยแดงไว้เป็นทางทุกที่ที่ปากเขาผ่าน ความฉ่ำเยิ้มลื่นร้อนในมือบอกให้เขารู้ว่าอองรีกำลังจะถึงที่สุด ช่องทางแคบบีบและคลายเป็นจังหวะ สะโพกหนาจึงอาศัยช่วงเวลาที่คลายตัวสอดลึกเข้าไปจนสุดตัว
“อ๊ะ...” อองรีหอบหายใจแรงด้วยรู้สึกจุกแน่นไปหมด ไคซัคเลาะเล็บกลีบปากนุ่มแล้วค่อยๆเพิ่มความหนักหน่วงดูดดื่ม ปลายลิ้นที่ฉกรัดเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างงัดเอาความชำนาญเชิงมาสู้กันเต็มที่ รสจูบหนักหน่วงดุดันกลับกระตุ้นให้ร่างกายร้อนยิ่งขึ้น อองรีสะท้านเบาๆเมื่อสัมผัสได้ว่าไคซัคกำลังขยายใหญ่ขึ้นอีกในกายเขา ช่องทางแคบจึงบีบรัดเพื่อต่อต้าน สร้างความกดดันแสนหวานให้ไคซัคจนต้องขยับกายเลื่อนออกช้าๆ
“อา...อืม...” เสียงครางของทั้งคู่ดังแผ่วอยู่ในลำคอ ความรู้สึกเสียดเสียววาบสึกเมื่อสะโพกหนาดันกลับเข้าไปใหม่ มือขาวเลื่อนจากการเกาะกุมไหล่หนามาลูบไล้แผ่นอกกว้างและบีบเคล้นกระตุ้นที่กล้ามนูนแข็งหนักๆ ไคซัครุกรานปากนุ่มหนักหน่วงขึ้นแต่ลิ้นนุ่มก็สอดรัดตอบรับอย่างไม่ยอมแพ้ ช่องทางที่เจ็บเหมือนจะฉีกขาดกลับเสียววูบวาบปนเข้ามาด้วย และค่อยๆทวีมากขึ้นจนแทบไม่เหลือความเจ็บปวด
“ขะ...เข้ามาอีก...อา...” อองรีขยับสะโพกรับแก่นกายร้อนทุกครั้งด้วยปรารถนาให้ไคซัคแทรกลึกยิ่งกว่านี้
ไคซัคอยากหัวเราะอย่างสมใจ แต่เสียงที่หลุดรอดออกมากลายเป็นเสียงคำรามต่ำลึกด้วยสภาวะบีบคั้นรอบกาย มือร้อนเลื่อนลงไปช้อนสะโพกกลมให้ยกลอยขึ้นรับเขามากขึ้น ทางแคบลึกร้อนดูดกลืนเขาไว้จนแทบทนไม่ไหว เสียงครางระริกรัวข้างหูยามปากบวมช้ำเป็นอิสระ ทำให้เปลวไฟในกายลุกโหมยากจะดับนอกจากดิ่งลึกเข้าไปให้ถึงที่สุด สะโพกบางขยับร่อนอยู่ไม่นานก็เกร็งกระตุก ผนังบางตึงกลับมีแรงบีบรัดมหาศาลจนผู้รุกรานต้องครางเสียงกระเส่า ไคซัคเคลื่อนไหว อย่างรุนแรง ในที่สุดร่างหนาก็สั่นเทิ้มและทิ้งตัวลงกอดรัดร่างบางไว้แน่น หยาดร้อนๆพร่างพรูลงสู่พรมสีอ่อนจนชุ่มโชก
“ขยับหน่อยครับ…ขาผมจะเป็นตะคริวแล้ว” อองรีกระซิบทั้งที่ยังหอบกระเส่า ขาที่ถูกปลดลงจากบ่ากว้างชาจนไร้ความรู้สึก
“โทษที…ไปที่เตียงดีกว่า” ไคซัคโอบร่างบางไปทิ้งตัวลงที่เตียงด้วยกัน
เมื่อลมหายใจเริ่มเข้าสู่สภาวะปรกติ พนักงานต้อนรับหนุ่มก็พยายามยันกายลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก แต่แขนหนากลับตวัดร่างบางกลับลงไปใหม่
“ผมต้องไปทำงานแล้วครับ…คุณเองก็ควรทานอาหารได้แล้ว”
“อย่าเพิ่งเลย ผมอยากกินคุณมากกว่า”
“ไม่ได้ครับ ถึงพวกคุณจะแข็งแรงกว่าคนทั่วไปก็ใช่จะเจ็บป่วยไม่เป็นนะ…ปล่อยครับ ผมจะโทรสั่งอาหารให้” อองรีประชดอย่างหมั่นไส้นิดๆ ขณะเลื่อนตัวไปที่โทรศัพท์อีกฟากของเตียง ขืนปล่อยตามใจไคซัคเขาคงขาดใจตายเสียก่อนเป็นแน่
ไคซัคมองตามสะโพกกลมที่ยังเปลือยเปล่าเพราะกางเกงถูกเขาโยนหายไปอย่างพอใจ ร่างเปลือยที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตไม่ได้ติดกระดุมกระตุ้นให้เลือดระอุขึ้นมาอีกครั้ง อองรีเกือบสะดุ้งเมื่อนิ้วยาวกดตัดสัญญาณแล้วเขาถูกตวัดรัดกลับที่เดิมอย่างรวดเร็ว
“ก็ได้…แต่ต้องหลังจากนี้”
อองรีพูดไม่ออกเมื่อปากร้อนฉกวาบเข้าหาทรวงอกอย่างรวดเร็ว ฟันคมแทะเล็มแล้วดูดดึงยอดเม็ดเล็กผ่านเสื้อเนื้อบาง ขณะที่สะโพกก็เลื่อนเข้าหาทางแคบ ที่ชุ่มฉ่ำด้วยหยาดรักที่ยังคั่งค้างอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักทั้งคู่ก็ขยับโยกอย่างเมามัน เสียงเตียงลั่นประสานกับเสียงครางระรัวอยู่จนดึกกว่าที่พายุจะพ้นผ่านอองรีไป............
ห้องเงียบสนิทไร้สรรพเสียง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของคนที่ควรนอนอยู่ข้างๆ อองรีควานมือไปกดสวิตช์โคมไฟ
ข้างเตียง แสงสว่างกะทันหัน ทำให้ต้องหรี่ตาหลบ ดวงตาวาวหวานกวาดไปรอบๆห้องหาเจ้าของห้อง แต่ไร้ วี่แววของไคซัค อองรีเหลือบมองนาฬิกาแล้วสะดุ้งเฮือก เกือบตี3แล้ว...เขาต้อง รีบกลับไปเข้าเวร
“อะ...อูย...ซี๊ด...”ทันทีที่ขยับอาการปวดร้าวไปหมดทั้งตัวก็ทำให้ต้องหยุดนอนนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นช้าๆ
แม้ขาจะสั่นจนแทบทรง กายไม่ไหว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิ่มเอมกับรสรัก อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ของเหลวร้อนๆที่ไหลออกมาจากช่องทางด้านหลัง ที่ทั้งเจ็บระบมและแสบร้อนทำให้อองรีต้องรีบชำระล้างให้สะอาด เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอดีตคู่รักหรือเซ็กเฟรนด์สมัยเรียนของเขาถึงหมดเรียวหมดแรงและบ่นเป็นหมีกินผึ้งทุกครั้ง เพราะคนรับมันเจ็บอย่างนี้เอง
อองรีชะโงกดูกระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะออกจากห้องแสงวูบวาบเป็นประกายล้อแสงไฟสลัวหน้ากระจก ทำให้ชายหนุ่มชะงักก้มลงดูใบหน้าขาวเผือดซีดก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงจัดด้วยความโกรธเกรี้ยว แหวนตราล้อมเพชรแบบผู้ชายวางทับกระดาษแผ่นเล็กที่มีข้อความสั้นๆประโยคเดียว
‘ขอบคุณ’
“บัดซบ...นี่เห็นเราเป็นไอ้ตัวหรือไง ไอ้ทุเรศ!”
อองรีขยำกระดาษแผ่นเล็กกับแหวนขว้างไปกระทบผนัง ไม่สนใจว่ามันจะไปตกที่ไหน ก่อนจะผลุนผลันออกไปจากห้อง............
...............
ไนท์พิงตัวกับพนักแรงๆ แล้วขยี้หัวคิ้วหนักอย่างหงุดหงิด ไม่ว่าจะรายงานจากฮาลีหรือหลักฐานจากแฮมิลตันล้วนแต่ให้ข้อมูลที่ตรงกัน นั่นหมาย ความว่า ชีคฟาฮัสคือคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างแน่นอน ทั้งเรื่องของที่ถูกสับเปลี่ยนและเรื่องรถที่ถูกวางระเบิดในห้างรวมถึงกลุ่มนักฆ่าที่พยายามตามเก็บเขาก็เป็นคนของอาฟาฮัส...คนที่เขานับถือและไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งจะกลาย เป็นคนทำร้ายเขา...เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากเหลือเกิน
แม้จะอยู่ในภาวะวุ่นวายใจ แต่กลิ่นน้ำยาหลังโกนหนวดที่อยู่ใกล้เกินไปก็เรียกให้ชีคหนุ่มต้องลืมตาขึ้นฉับพลัน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องอยู่ใกล้นิดเดียว ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดใบหน้าจนอุ่นระอุ
“พักหน่อยดีไหมครับ ดูชีคเครียดจัง” ริชกระซิบชิดหน้าผากหอม
“ไม่เป็นไรผมยังไหว หากคุณเหนื่อยก็เชิญนะครับ” ไนท์ปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบเฉยหันไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานต่อ แต่ริชผลักหน้าจอให้หมุนไปอีกทาง
“ผมคงเป็นเจ้าของบ้านที่แย่มากๆ หากปล่อยให้แขกต้องนั่งทำงานอยู่คนเดียว”
“อย่ากังวลเลยครับ ผมเคยชินกับการทำงานคนเดียวอยู่แล้ว”ไนท์เสียดสีกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ผมว่าถ้าชีคเครียดมากเราก็ลองมาคุยกันดูไม่ดีเหรอครับ?”
“แล้วที่คุยกันมาตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ยังไม่เรียกว่าคุยอีกเหรอครับ?”
“แหม…นั่นมันเรื่องธุรกิจ ผมกำลังชวนชีค ‘คุย’ เรื่องส่วนตัวต่างหาก”
“ผมไม่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวกับเด็ก”ไนท์เจตนาเน้นคำว่าเด็ก ริชเลิกคิ้วแต่ดวงตากลับพราวระยับกว่าเดิม
“ไม่ลองแล้วคุณจะรู้เหรอครับว่าเด็กก็มีเรื่องน่าสนใจไม่แพ้ผู้ใหญ่เหมือน-
กันนะครับ”
“แต่ผมไม่อยากทราบ”ไนท์ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยจนริชหมั่นเขี้ยว อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าเขาจะสามารถละลายน้ำแข็งขั้วโลกลงได้หรือเปล่า
ริชชะโงกลงไปท้าวบนที่พักแขนทำให้เก้าอี้ไหวยวบ ใบหน้าคมคายห่างจากหน้าเนียนสวยไม่ถึงคืบ
“แต่ผมว่าคุณควรพิสูจน์” ปากร้อนแนบบนปากบางฉาบฉวย ยังไม่ทันเน้นหนัก ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะกั้นกลาง ดวงตาคมเย็นนิ่งไม่เปลี่ยนแต่ริชสัมผัสได้ถึงไอยะเยือกชวนหนาวสันหลัง
“บอกแล้วไงว่าผมไม่อยากลอง…นี่ก็ดึกแล้วผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
ร่างบางพลิกตัวจากเก้าอี้ว่องไว ริชมองตามยิ้มๆ ............
.........
ขอบคุณคะ