รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67  (อ่าน 1057459 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................

5.1



   เข้าสู่เช้าวันที่ 5 แพลนเที่ยวเมื่อวานที่กะจะไปอิเคะบุคุโระต่อหลังจากเก็บของล่มไม่เป็นท่า ไม่ต้องบอกนะครับว่าหลังจูบหวานๆที่ผมกับไอ้พี่ธันมีต่อกันแล้ว เราก็...เอ่อ...เราก็...เล่นแมงมุมขยุ้มหลังคา แมวกินปลา หมากัดขยุ้มก้นเป็นการย่อยอาหารนั่นเองล่ะครับ ที่ว่าจะไปดูย่านช้อปปิ้งของเหล่าวัยรุ่นแห่งโตเกียวอย่างอิเคะบุคุโระเลยต้องล้มเลิกไป แล้วยกยอดมาเป็นสายวันนี้แทน



   เช่นเคย เราฟาดอะไรเล็กๆน้อยๆเป็นการรองท้อง วันนี้ไม่ใช่ขนมปังเหมือนเมื่อวานแต่เป็นโอนิกิริหรือข้าวปั้นทรงสามเหลี่ยมสอดไส้ข้างในนั่นเองครับ กินกันไปคนละอันอิ่มตื้อเหมือนฟาดข้าวหลามหนองมนยังไงอย่างงั้น หลังจากท้องอิ่มแล้วพวกผมก็ยังคงพึ่งพารถไฟสายยามาโนเตะเพื่อนยาก นั่งไปไม่เกิน 15 นาที ก็มาเหยียบถิ่นอิเคะบุคุโระครับ



   ย่านอิเคะบุคุโระนี้ ไอ้โจคอนเฟิร์มว่าเหมาะกับวัยรุ่นปุถุชนธรรมดาๆแตกต่างจากย่านฮาราจูกุที่พวกผมไปกันมาแล้ว เพราะย่านนี้จะเป็นแนวเด็กมหาวิทยาลัย ไม่เหมือนถนนทาเคชิตะ ณ ฮาราจูกุที่เป็นเด็กมัธยมผู้อินเลิฟดาราซะเป็นส่วนมาก



   พวกเราสองคนเดินไปตามฝูงชนจนมาเจอถนนช้อปปิ้งสายสั้นๆ มีร้านรวงทั้งสองฝั่งซ้ายขวาทั้งร้านอาหาร ร้านขนมหวาน เกมส์เซ็นเตอร์ โรงหนัง และร้านหนังสือมือสอง ไอ้สายตาผมน่ะเพ่งไปที่ร้านขายหนังสือมือสองครับเพราะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนบอกมาอีกทีว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ขายหนังสือมือสองเท่านั้น แต่ทั้งแผ่นซีดีของแท้ก็เอามาขายกันหลักร้อยเยนสบายกระเป๋า ทั้งเครื่องเกมส์ฮิตๆที่แม้แต่เมืองไทยยังไม่มี ที่นี่ก็มีขายในราคาที่พอเอื้อมถึงเนื่องจากเป็นมือสอง แต่...ยังไม่ทันจะเดินไปถึงร้านที่ผมหมายตา ระหว่างทางก็ดันโดนดูดเข้าไปในร้านขายเครื่องสำอางที่มีขนมราคาถูกวางขายล่อใจอยู่ข้างหน้า แต่พอเข้าไปแล้วประหนึ่งตัวเองกำลังเดินอยู่ในอวกาศที่มีแต่เครื่องสำอางทั้งสิ้น!!



   ...นี่สินะครับ ที่น้องเมน้องรหัสของผมเคยให้คำนิยามว่าเป็นร้านหลุมดำ เพราะผู้หญิงคนไหนถูกดูดเข้ามาก็จะหลงใหลอยู่ในร้านนี้นานนับชั่วโมง!!...



   ...แต่ผม...ไม่ใช่ผู้หญิง...ถึงจะมีแฟนเป็นหนุ่มหล่อรวยแต่ผมไม่มีวันหลงละเมอเพ้อพกอยู่ในร้านนี้เป็นอันขาด...



   “พี่ธัน ตะกร้าอยู่ตรงไหนอ่ะ” ผมหันไปถามสุดเลิฟ เมื่อสาวญี่ปุ่นนางนึงถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางหลายชนิดเดินผ่านหน้าผมไปอย่างยั่วยวนกันชัดๆ เห็นคนอื่นซื้อ...เอ่อ...หมายถึงถือตะกร้า...ครับ เห็นคนอื่นถือแล้วก็อยากถือบ้างอะไรบ้างตามสุภาษิตไทยเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามยังไงล่ะครับ



   “จะซื้ออีกเหรอ พี่ว่าถ้าซื้ออีก ตอนเข้าประเทศต้องโดนภาษีแน่” ไอ้นี่ก็มองแง่ร้ายไว้ก่อน มีมั่งมั้ยที่จะเออออห่อหมกไปกับถ้วยฟูคนนี้น่ะเหอะ?



   “ถ้าโดนตรวจ เดี๋ยวฟูอธิบายเองว่าอันไหนของฝากของใคร ศุลกากรไม่เข้าใจกันบ้างเลย คนมันญาติเยอะญาติแยะ จะให้แต่ญาติตัวเอง แล้วปล่อยญาติพี่น้องผัวให้อดยากปากแห้งได้ไงล่ะ! รางวัลลูกสะใภ้ดีเด่นก็ไม่ตกถึงมือกันพอดี!” ว่าแล้วผมก็ขุดประเด็นรางวัลลูกสะใภ้ดีเด่นขึ้นมาบังหน้า เอ๊ย! ขึ้นมาเป็นเหตุผล ไอ้พี่ธันถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบตะกร้ามาถือให้และยังคงมองผมด้วยสายตาระอาประหนึ่งอยากเปลี่ยนเมียใหม่



   ...อย่ามองกูอย่างงั้นยอดรัก!! นี่กูไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อญาติสนิทมิตรสหายล้วนๆ!!! ไม่ได้ซื้อเพื่อตัวเองจริงจริ๊งงงงงง!!...



   ………………………………



   คนล่ะถุง...ไม่มากไม่น้อย พอจะยัดลงกระเป๋าเดินทางได้ เพราะเครื่องสำอางพวกนี้มันกระจุกกระจิกนะครับ ยัดตามซอกตามเหลือบไม่กินเนื้อที่ เราสองคนออกเดินกันต่อโดยผมให้คำมั่นกับคนที่มาด้วยกันว่าเรามีจุดมุ่งหมายที่ร้านขายหนังสือมือสองซึ่งมีป้ายสีเหลืองใหญ่ๆลอยเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกล



   ระหว่างทางก่อนจะถึงร้านที่ผมหมายตา ก็ดันมีของมาให้ผมวอกแวกเล็กน้อย สิ่งนั้นก็คือเจ้าตู้หมุนไข่หรือกาชาปองที่วางเรียงรายอยู่ข้างถนนนั่นเอง สำหรับคนที่เกิดไม่ทันในช่วงที่ตุ้หมุนไข่ฮิตติดลมในบ้านเรา ผมจะอธิบายสั้นๆว่ามันเป็นตู้ที่มีไข่พลาสติกอยู่ข้างในเป็นสิบๆลูก หลากสีสันราวกับลูกกวาดหลอกเด็กสามขวบ ข้างในไข่พวกนั้นบรรจุของกระจุกกระจิกเอาไว้ พวกที่ห้อยมือถือ โมเดลตัวการ์ตูนตัวเล็กๆ อะไรเทือกนั้น พอเราหยอดเหรียญเข้าไปในเครื่อง หมุนที่ตัวหมุนไม่เกิน 5 แก็ก ไข่จากตู้ก็จะหล่นออกมาให้เราตื่นเต้นตอนแกะว่าข้างในจะเป็นอะไร ซึ่งตู้กาชาปองของญี่ปุ่นนั้น มีการหลอกล่อพวกฝันสูง(อย่างผม) ด้วยการติดรูปอวดบนตู้ว่าตู้ไหนจะคายไข่ที่ข้างในไข่มีของอะไรบ้าง ซึ่งไอ้อันที่เล็งว่าอยากจะได้ ก็ไม่เคยได้หรอกครับ ผมเสียไปหลายร้อยเยน ได้พวงกุญแจมาห้าอัน ทั้งๆที่เล็งโมเดลตัวการ์ตูนเอาไว้แท้ๆ อันที่จริง ผมเกือบจะหมุนอีกสักรอบ แต่ไอ้พี่ธันสะกิดยิกๆพร้อมคำนวนเป็นเงินไทยให้เสร็จสรรพว่าไอ้ที่หยอดๆลงไปในตู้กาชาปองนี้ ผมเสียไปกี่ร้อยบาทแล้ว สุดท้ายเราสองคนก็ละจากตู้กาชาปองมา แล้วมาเหยียบร้านมือสองได้เรียบร้อย



   เจ้าร้านหนังสือมือสองอันเป็นที่หมายตาของผมตั้งแต่แรก แต่เพิ่งมาเหยียบเอาป่านนี้ ขึ้นชื่อว่าขายหนังสือมือสอง แต่เอาเข้าจริงๆแล้วทั้งแผ่นซีดีเพลง แผ่นซีดีหนัง หรือแผ่นเกมส์ รวมไปถึงเครื่องเกมส์มือสองก็มีขายด้วยเช่นกัน! แล้วร้านไม่ใช่เล็กๆนะครับ กินพื้นที่เกือบ 3-4 ชั้น แล้วสภาพของมือสองที่เอามาขายนี่ผมคอนเฟิร์มว่าใหม่มากกกกก



   ว่าแล้วก็ขอไปแวะมุมสิบแปดบวกสักหน่อยแล้วกันครับ!!



   “ว่าจะซื้อฝากไอ้โจ” ผมเกริ่นก่อน เดี๋ยวผัวหาว่าเปลี่ยนรสนิยม เพราะหน้าปกแผ่นซีดีที่ผมหยิบมาดูนั้น เป็นรูปสาวน้อยในชุดนักเรียนทำตาละห้อยหยาดเยิ้ม



   “นึกว่าจะซื้อไปดูเอง” ไอ้หล่อหยอก คงหวังจะเห็นเมียมันอายม้วนต้วนเป็นหนุ่มบริสุทธิ์สินะ...แต่ขอโทษ คนระดับผม ไม่มีหรอกครับคำว่ายางอายน่ะ



   “ซื้อทำไม?! เล่นเองเด็ดกว่าเยอะ ไม่งั้นผัวจะรักจะหลงหัวปักหัวปำขนาดนี้เรอะ!” พูดไปจะหาว่าโม้ แต่ตั้งแต่มาเหยียบโตเกียว ไม่มีวันไหนที่ไอ้พี่ธันจะรอดจากร่างกายอันแสนสยิวกิ๊วของผมไปได้ ไม่แบบเซ็ตเมนคอร์ส ก็ลูบๆคลำๆพอเอาหลับสบาย ส่วนเรื่องจูบเจ๊าะๆแจ๊ะๆนั้น เรียกได้ว่าปากเกือบเปื่อยกันเลยทีเดียว! วุ้ย!! ไม่อยากจะอวดว่าเจ็ดปีแห่งความใคร่ เอ๊ย! ความรักความผูกพันนั้น มันรักและหลงใหลในร่างกายและหัวใจผมขนาดไหน!!



   ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เราสองคนจะช่วยกันเลือกซีดีหนังโป๊ที่มีมากมาย สุดท้ายก็ได้มาแผ่นหนึ่งเพราะไอ้พี่ธันเตือนกว่าเกิดถูกตรวจเจอที่สนามบินตอนเข้าประเทศเรื่องจะยาว เพราะแค่ของฝากจำนวนมากที่มีสิทธิ์ได้ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มแล้ว ก็น่าจะเตะตาพี่ๆเจ้าหน้าที่ศุลกากรพอสมควร



   เราสองคนลาจากร้านหนังสือมือสองเมื่อได้ซีดีของฝากไอ้โจมาหนึ่งแผ่น และเซ็ตหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดที่ผมมีเวอร์ชั่นภาษาไทย ส่วนเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่ผมฟาดมานั้น บอกอย่างไม่อายปากว่าซื้อมาประดับบ้านให้ดูฉลาดเฉยๆอ่ะครับ



เป้าหมายต่อไป เราจะแวะทานอาหารเที่ยงกัน โดยมื้อเที่ยงวันนี้ผมตัดสินใจก็อบมาจากไอ้โจเช่นเคย ด้วยการไปลิ้มลองโอโคโนมิยากิหรือเจ้าพิซซ่าญี่ปุ่นที่ของแท้ต้นตำรับนั้นต้องให้เราทำกินเองครับ!



   เดินวกๆวนๆแถวอิเคะบุคุโระเกือบสิบนาทีก็มาจ๊ะเอ๋กับร้านโอโคโนมิยากิที่มีในแพลนของไอ้โจ เจ้าร้านโอโคโนมิยากินี้เป็นร้านเล็กๆที่ประตูทางเข้าอยู่บนพื้นดิน แต่พอก้าวผ่านประตูไปแล้วดันเป็นบันไดทอดตัวสู่ชั้นใต้ดิน ประเทศนี้ใช้พื้นที่กันคุ้มค่ามากครับ ทั้งบนดิน บนฟ้าและใต้ดิน ตรงไหนเจาะได้พี่แกเจาะไม่ยั้งจริงๆ



   ผมเดินลงบันไดมายังชั้นใต้ดินซึ่งสว่างไสวด้วยแสงไฟ มีพนักงานต้อนรับทักทาย ผมก็ทำเช่นเคยคือการชูสองนิ้วบอกให้รู้ว่ามากันแค่สองคน พนักงานก็พาเดินไปนั่งโต๊ะอย่างไม่มีปัญหา



   ภายในร้านมีการกั้นโต๊ะแต่ละโต๊ะด้วยคอกไม้ค่อนข้างสูง กลางโต๊ะมีแผ่นเหล็กซึ่งเดาได้ว่าใช้สำหรับการทำโอโคโนมิยากินั่นเองครับ เราสองคนสั่งโอโคโนมิยากิหน้าเบคอนมาลิ้มลอง พร้อมด้วยยากิโซบะและสเต็กหมูมาด้วย เจ้าโอโคโนมิยากิถูกส่งมาในสภาพยังดิบในถ้วยเดียวเล็กประมาณถ้วยข้าวต้มบ้านเรา ก้นถ้วยเป็นกระหล่ำปลีหั่นฟอย เนื้อแป้ง เนื้อสัตว์วางเรียงกันขึ้นมาจนพูนถ้วย ให้เราคนเอง ละเลงเองอย่างสนุกสนาน



   ...แล้วงานนี้มากับถ้วยฟูเจ้าของสวนอาหารเตาถ่านทั้งที! ก็ต้องโชว์ฝีมือกันเช่นเคยครับ!!...



   “อี๋!! เหมือนอ้วกเลย” ผมเทเจ้าเนื้อแป้งโอโคโนมิยากิที่คลุกเคล้ากับเบคอนลงบนแผ่นเหล็กที่มีน้ำมันเคลือบพอสวยงาม แต่พอแป้งเละๆที่ยังเหลวๆลงไปกองกันอยู่บนกระทะ ก็ทำเอาอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ



   “ทำเป็นจริงรึเปล่าน่ะ ถ้วยฟู” อ้าว...ไอ้พี่ธันเริ่มหยามน้ำหน้าเชฟมือเอกแห่งร้านเตาถ่านอย่างงี้ได้ไง!! คนอย่างกูมีเรอะจะทำอาหารไม่เป็น!!



   “ทำเป็นสิ! พี่ธันผัดยากิโซบะไป” ยากิโซบะและสเต็กหมูหั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำนั้นถูกปรุงสุกมาแล้ว แต่เพื่ออรรถรส ผมก็เลยแบ่งปันพื้นที่แผ่นเหล็กร้อนๆให้ไอ้พี่ธันจัดการผัดยากิโซบะอีกรอบ



   ผมใช้สกิลเล็กน้อย ในที่สุดแป้งเละๆก็กลายร่างเป็นแผ่นโอโคโนมิยากิที่เราคุ้นตาส่งเสียงฉู่ฉี่อยู่บนแผ่นเหล็กร้อน กลิ่นหอมอบอวลแสดงถึงความสามารถของหัตถ์เทพเจ้าของผม



   “น่ากินเปล่าล่ะ!” ว่าแล้วก็อวดซะหน่อย ไอ้พี่ธันยิ้ม มันคงกำลังชื่นชมและภาคภูมิใจในความสามารถของผมแน่ๆเลยล่ะครับ!!



   “ถ้าสมัยเรียนทุ่มเทได้เท่ากับตอนทำโอโคโนมิยากิ พี่ว่าถ้วยฟูคงได้เกียรตินิยมไปแล้ว” ...เอ่อ...แถวบ้านไม่ได้เรียกว่าชื่นชมและภาคภูมิใจซะแล้ว...



   ผมหรี่ตามองมันเล็กน้อยให้รู้ว่าเคือง ก่อนจะใช้ตะหลิวเล็กๆในมือตัดแบ่งโอโคโนมิยากิเป็นชิ้นเล็กๆให้พอดีคำ และตักชิ้นเล็กที่สุดใส่จานมัน!!



   …โทษฐานว่ากูไม่ทุ่มเทกับการเรียน มึงกินแต่แป้งและกะหล่ำปลีพอ!! เบคอนไม่ต้อง!!!...



   “เฮ้ย! ไหงให้พี่แค่นี้ล่ะ” ไอ้พี่ธันโวยหน้ายิ้มๆ นี่มันคงจะคิดว่าผมแกล้งมันด้วยความรักความเอ็นดูใช่มั้ย...ขอบอกเลยว่าไม่ใช่!!...



   ผมเอาตะหลิวในมือกวาดโอโคโนมิยากิที่เหลือทั้งหมดมาที่ฝั่งตัวเอง บอกให้รู้ว่าทั้งหมดนี่เป็นของผม แต่ไอ้พี่ธันไม่ยอมครับ มันเอาตะหลิวของตัวเองมาแอบเขี่ยโอโคโนมิยากิบางชิ้นไปทางมัน คราวนี้เลยเหมือนกับการเล่นฮ้อกกี้โอโคโนมิยากิยังไงอย่างงั้น เกิดการแย่งโอโคโนมิยากิบนแผ่นเหล็กไปมา และผมตัดสินใจใช้ท่าไม้ตายคือการแย่งอันไหนได้ปุ๊บเอาเข้าปากปั๊บ!!!



   “อุ๊!!!” เป็นเรื่องเลยครับ!! โอโคโนมิยากิที่อยู่บนแผ่นเหล็กร้อนๆ พอเข้าปากโดนไม่ทันเป่า ก็ลวกสิครับท่านผู้ชม!! คายออกมาลิ้นห้อยเป็นหมาหมดสภาพความหล่อกันเลยทีเดียว



   “กินเข้าไปได้ยังไง ถ้วยฟู เอ้า! น้ำ” ศัตรูหมายเลขหนึ่งรีบวางอาวุธแล้วส่งน้ำเปล่ามาให้ผม ทำตัวเป็นวีรบุรุษเลยนะมึง!! ก็เพราะมึงไม่ใช่เรอะ! กูถึงต้องใช้วิชามารจนกลายเป็นบาปกรรมย้อนหาตัวเองแบบนี้!!



   “ลวกปากมากรึเปล่า” มันถาม แล้วยื่นมือข้ามโต๊ะมาจับปากผมดู



   ...นี่หาเรื่องแต๊ะอั๋งกูเปล่าเนี่ย...



   แม้จะหงุดหงิดไม่น้อยที่กรรมนั้นตามสนองผมอย่างรวดเร็ว แต่เพราะความห่วงใยที่สุดเลิฟมอบให้ทั้งทางการกระทำและสายตานั้น ก็พอจะทำให้ผมใจกว้างลืมเรื่องเมื่อกี้ไปซะ



   ...ขอบคุณกูซะนะ! ที่กูมีใจเมตตาและพร้อมให้อภัยมึงขนาดนี้...



   ในห้วงอารมณ์แห่งความรักและการให้อภัยที่ลอยอวลอยู่รอบตัวพวกผมนั้น เสียงฉู่ฉี่ของโอโคโนมิยากิและยากิโซบะยังคงดังกังวาล โรแมนติกฉิบหายเลยครับ และมันคงจะโรแมนติกกว่านี้ ถ้าหากว่าไม่มีกลิ่นอะไรเข้ามาในมโนสำนึกซะก่อน



   ผมทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะก้มลงดูเจ้าโอโคโนมิยากิและยากิโซบะบนแผ่นเหล็กร้อน แล้วเพิ่งสำนึกได้ว่าไอ้กลิ่นไหม้ๆนี่น่าจะมาจากไอ้พวกนี้!!



   “เฮ้ย!!!” มือไวเท่าความคิด ตะหลิวในมือผมพลิกโอโคโนมิยากิอีกฝั่งขึ้นดูทันที คงไม่ต้องบอกสภาพนะครับ ว่ามันดำปิ้ดปี๋แค่ไหน



   ผมเหลือบตาสลดๆขึ้นมองหน้าไอ้พี่ธันที่รีบกลับยากิโซบะขึ้นดู ซึ่งสภาพมันก็ไม่แตกต่างจากโอโคโนมิยากิเท่าไหร่นัก เราสองคนมองหน้ากัน แล้วอะไรบ้างอย่างก็ดลใจให้เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน



   สุดท้ายมื้อนั้นก็ต้องสั่งมาใหม่ พร้อมกับแอบกระดิกนิ้วเรียกพนักงานมาทำให้ เพราะเกรงว่าขืนยังทำเองอาจจะอดกินเสียก่อน!



………………………………



    เสร็จกิจกับโอโคโนมิยากิเรียบร้อย เราก็กลับขึ้นมาสูดอากาศบนพื้นดินอีกครั้ง เราสองคนกำลังจะตกลงกันเรื่องที่จะไปไหนกันต่อดี ก็ปรากฏว่ามีเสียงซาวด์แทร็กเป็นภาษาไทยดังขึ้น



   “ธัน? นั่นธันรึเปล่า” แม้ผมจะไม่ได้ชื่อธัน แต่พอดีผัวผมชื่อธัน ผมก็เลยหันมองตามเสียงเรียกนั้นด้วย



   “พี่ก้อย...” มายเลิฟครางออกมาเป็นชื่อหญิงอื่น ทำเอาไอ้ถ้วยฟูเริ่มเสียวสันหลังวาบ ผู้หญิงเจ้าของเสียงที่มองตรงมาที่พวกผมรีบวิ่งเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง



   “ธันจริงๆด้วย! มาเที่ยวที่นี่เหรอ” เธอเป็นผู้หญิงไทยที่กลายพันธุ์เป็นญี่ปุ่นไปแล้วเรียบร้อย ทั้งแฟชั่นการแต่งตัวและสีผม ชนิดที่ถ้าไม่พูดภาษาไทยชัดขนาดนี้ ผมก็คงคิดว่าเธอเป็นญี่ปุ่นชนแน่นอน



   “ครับ สวัสดีครับ” ในขณะที่ ‘เจ๊ก้อย’ ดูจะแสดงความสนิทชิดเชื้อแตะแขนไอ้พี่ธันอย่างแสนสนิท ไอ้หล่อของผมดันยกมือไหว้เขาซะงั้น เจ๊ก้อยเงิบไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา



   “โอ๊ย! ไม่ได้อยู่ที่คณะ ไม่ต้องยกมือไหว้ก็ได้!” อ้อ...แสดงว่าเจ๊ก้อยต้องเป็นรุ่นพี่ในวิศวะฯแน่เลย...แต่ผมว่าผมไม่เคยเห็นหน้า อาจจะจบก่อนที่ผมจะเข้าก็เป็นได้



   “แล้วนี่ธันมากับใครล่ะ น้องของธันเหรอ ชื่ออะไรนะ ตุลารึเปล่า พี่จำได้นะ บ้านธันชื่อเป็นชื่อเดือนกันหมดทุกคนเลย คนโตชื่อสิงหาใช่มั้ย คนที่สองก็ธันวา คนที่สามชื่อตุลา ส่วนคนที่สี่นี่...มีนา?” ฮั่นแหน่ะ! ไม่ธรรมดา! รู้จักพี่น้องไอ้พี่ธันซะด้วย! แต่คนที่สี่ไม่ได้ชื่อมีนานะครับเจ๊



   “คนที่สี่ชื่อเมษาครับ” ในฐานะพี่รหัสของน้องเมษา ผมเลยเฉลยความจริงให้เจ๊แกสักหน่อย เจ๊หันมายิ้มให้ผมแล้วหัวเราะเบาๆ



   “ตายจริง พี่จำผิดเหรอเนี่ย แล้วมาเที่ยวกันสองคนพี่น้องเหรอ” ดูเหมือนนอกจากเจ๊จะจำชื่อน้องสาวคนสุดท้องสุดรักสุดหวงของไอ้พี่ธันไม่ได้แล้ว ยังเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นน้องแท้ๆของมันอีกต่างหาก โถ!! เปิดตาดูหน่อยเจ๊!! หล่อตี๋อินเทรนด์ขนาดนี้ จะเป็นญาติกับไอ้พี่ธันหน้าเข้มได้ยังไง้?!!!



   “นี่ไม่ใช่ตุลาครับ นี่ถ้วยฟูเป็นรุ่นน้องที่คณะ” ไอ้หล่อแนะนำเรียบๆ แต่ทำเอาเจ๊แกชะงักไปนิด



   “รุ่นน้องที่คณะ?” เสียงเจ๊แกทวนสถานะผมเบาๆ แม้ผมจะคันปากยิบๆว่าไม่ใช่แค่รุ่นน้องร่วมคณะธรรมดา แต่เป็นรุ่นน้องในห้วงคำนึงที่ไอ้พี่ธันทั้งรักทั้งเอาใจใส่กว่าสิ่งใดในโลกหล้า แต่ไอ้หล่อไม่เปิดโอกาสให้ผมแสดงตัวมากไปกว่านั้น มันหันมามองผมแล้วแนะนำเจ๊ก้อยให้รู้จักอย่างเป็นทางการ



   “ถ้วยฟู นี่พี่ก้อยเป็นรุ่นพี่ในวิศวะฯ” ผมยกมือไหว้สวัสดีตามธรรมเนียมไทย แต่สายตาอันคมปลาบของผมมองแปบเดียวก็รู้ไปถึงชาติที่แล้วว่าเจ๊ก้อยคนนี้จะต้องไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาในวังวนชีวิตของไอ้หล่อแน่นอน



   “สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะที่เข้าใจผิด ก็ว่าล่ะว่าทำไมถึงหน้าไม่เหมือนกันเลย ที่แท้ก็แค่รุ่นน้องที่คณะนั่นเอง” เจ๊พูดคำว่า ‘แค่รุ่นน้อง’ ได้โคตรเจ็บเข้าไปถึงทรวงใน ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้ไอ้หล่อต่อ



“แล้ว...ธันสบายดีมั้ย จะมาโตเกียวก็ไม่บอกกันเลย รู้ทั้งรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่” อีประโยคท้ายนั่นอะไร?!! การที่พยายามทำเสียงอ่อนเสียงหวานบอกว่าไอ้พี่ธันรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเจ๊ และควรติดต่อเจ๊ถ้าจะมาเหยียบโตเกียว มันหมายความว่ายังไง?!! โตเกียวเป็นถิ่นเจ๊ก็อาจจะใช่ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องประกาศให้รู้นี่หว่าว่าจะมา!!!



   ...ชักจะไม่สนุกแล้วสิ คือก็รู้นะครับว่าไอ้พี่ธันมันหล่อ แต่การเห็นผู้หญิงคนอื่นมาแสดงอาการชื่นชมกันต่อหน้าแบบนี้ ผมก็ชัก...เอ่อ...นี่บอกก่อนว่าผมไม่ได้หึงมันหรอกนะครับ! ไม่ได้หึงครับ ไม่ได้หึงเลยแม้แต่น้อย! ผมแค่อิจฉามันเฉยๆที่มีผู้หญิงมากรี๊ดกร๊าดเท่านั้นเอ๊ง!!!...



   “ถ้วยฟูเป็นคนจัดทริป ผมก็เลยไม่ได้ยุ่งเรื่องมาที่นี่เท่าไหร่” กำลังจะหน้าบูดด้วยความหงุดหงิด แต่ไอ้หล่อดันโยนบทสนทนากลับมาที่ผมอีกครั้ง ผมก็เลยต้องเสยิ้มการค้าส่งให้เจ๊ก้อยอีกรอบ



   “อ๋อ เหรอ...แหม! แต่ธันก็น่าจะบอกกันมั่งนี่นา พี่จะได้พาเที่ยว” เจ๊หันมา ‘อ๋อ เหรอ’ ใส่หน้าผมแค่นี้ก็หันกลับไปคุยกับไอ้พี่ธันต่อ ถ้าจะโจ่งแจ้งกันขนาดนี้ ขอไอ้พี่ธันแต่งงานเลยมั้ย?!



   “ไม่เป็นไรหรอกครับ โตเกียวก็ไม่ได้เที่ยวยากอะไร” ก็แน่ล่ะสิ ก็เพราะมีคนอย่างนายถ้วยฟูคนนี้เป็นไกด์ นอกจากจะเที่ยวสนุก ช้อปเพลิน แล้วยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากไกด์กิตติมศักดิ์คนนี้คอยให้ความรู้ไปตลอดทาง!! ต่อให้ ‘เจ้าถิ่น’ อย่างเจ๊ก้อยพาเที่ยวก็ไม่สนุกเท่าถ้วยฟูคนนี้หรอก!!!!



   “เที่ยวไม่ยาก แต่พี่อยากพาเที่ยวนี่นา” ยาวเลยนะเจ๊ สะพานของเจ๊ทอดมาที่ไอ้พี่ธันยาวมากกกกกก...



“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ...แล้วพี่ก้อยเป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่า เห็นว่าแต่งงานอยู่ที่นี่” ในขณะที่ฝ่ายสาวเจ้าพยายามส่งสายตาแปดร้อยแปดสิบแปดรอบ ไอ้หล่อของผมก็เย็นชาแบบพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นม้ากมาก! แล้วพอมันเริ่มประเด็นเรื่องที่ว่าเจ๊ก้อยมีผัวแล้ว เจ๊แกก็เริ่มชะงักอีกรอบ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆกลับมา



   “ก็...นะ...แต่พี่ว่า...พี่คงไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่ เริ่ม...อยากกลับเมืองไทยแล้วล่ะ” ...ฮัดช่า!...เลี่ยงตอบความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแล้วเบี่ยงประเด็นว่าอยากกลับเมืองไทยแบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน!!...



   “แล้ว...ถ้าพี่กลับเมืองไทย ธันต้องมากินข้าวกับพี่นะ นี่...ธันมาเที่ยวที่นี่กี่วันล่ะ” เอาแล้วไง...ตีนยังอยู่โตเกียว ดันนัดเดทกันยันอนาคตที่กรุงเทพฯ เจ๊แกไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าไอ้พี่ธันเป็นคนโลเล รับรองว่าเจ๊ต้องฉกมันไปจากอ้อมอกของผมสำเร็จแน่ แต่...ขอโทษ คนอย่างนายธันวาผัวสุดที่รัก แสนจะประเสริฐศรี แถมดีตลอดศกนั้น มั่นคง จริงจัง จริงใจ รับใช้ประชาชน เอ๊ย! รับใช้ถ้วยฟูคนเดียวเท่านั้นครับ!...



   “อีกสองวันก็กลับแล้วครับ” ไอ้หล่อยังคงตอบอย่างสุภาพและนิ่งสนิทราวกับรุ่นน้องในคณะที่ไม่มีอะไรในกอไผ่ ในขณะที่ผมเริ่มควักมือถือออกมาทำทีกดเล่นเหมือนไม่ได้สนใจบทสนทนาของชายหญิงคู่นี้ประการใด แต่หูนี่กระดิกยิกๆด้วยความอยากเผือกว่าเขาคุยอะไรกัน!!



   “ว้า! เสียดายจัง พี่ต้องลงโอซาก้าวันนี้ซะด้วยสิ กว่าจะกลับก็อาทิตย์หน้า เลยไม่ได้อยู่ดูแลธันเลย” ไม่เป็นไร จะลงโอซาก้าไปอีกสามเดือนก็ได้ ไม่ต้องดูแลพี่ธันของผมก็ได้!!!



เอ่อ...ผมย้ำคำเดิมว่าผมไม่ได้หึงไอ้พี่ธันนะครับ แต่ที่ไม่อยากให้เจ๊ก้อยมายุ่งกับไอ้พี่ธันก็เพราะ...เอ่อ...เพราะ..เพราะผมแค่รักความสะอาด! ไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร! นึกถึงผ้าเช็ดตัวนะครับ ของใช้ส่วนตัวของเรา เราจะให้คนอื่นมาหยิบไปใช้ด้วยมั้ย?! คำตอบคือไม่! แน่นอนครับ! ไอ้พี่ธันก็เหมือนผ้าเช็ดตัว ของใครของมัน ใช้ร่วมกันไม่ได้!!!



   “ถ้ายังไง ขอไลน์ของธันไว้หน่อยได้มั้ย เผื่อพี่กลับเมืองไทย จะได้ติดต่อกันได้” ว่าแล้วเธอก็ควักมือถือออกมารอ ผมเหลือบตาดูเล็กน้อย ก็เห็นสายตาที่แสนระยิบระยับอย่างกับมีสปอตไลท์สักสิบดวงหมายจะมาแย่งไอ้พี่ธัน เอ๊ย! แย่ง ‘ผ้าเช็ดตัว’ ไปจากผม!!!



   “คงไม่สะดวก เพราะผมไม่ค่อยได้เล่น ถ้าพี่ก้อยจะติดต่อผมก็ทางเฟซบุ้คดีกว่าครับ ไม่งั้นก็อีเมลก็ได้” แล้วไอ้พี่ธันก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอีกหน หึหึหึ!!! ‘ผ้าเช็ดตัว’ ก็เล่นตัวเป็นเว้ยเฮ้ย!! เจ๊ก้อยเงิบรอบที่สามสิบเก้าแล้วมั้ง ก่อนจะเสยิ้มแล้วถามต่อ



“แล้วเฟซของธันชื่ออะไร เหมือนพี่จะไม่มีนะ” ไอ้พี่ธันเงียบไปนิดหน่อยก่อนจะยอมบอกชื่อเฟซบุ้กของมัน เจ๊ก้อยกดมือถือเดี๋ยวนั้นประหนึ่งกลัวลืม



“เรียบร้อย ธันกลับไปรับแอดพี่ด้วยนะ” ว่าแล้วก็ยิ้มสวยๆหนึ่งทีก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋า ณ จุดนี้ผมเริ่มเกลียดเทคโนโลยีล่ะ เพราะมันทำให้หญิงชายสองคนนี้จะได้ติดต่อกันในอนาคต...เอ่อ...แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะครับ ว่าผมไม่ได้หึง! ไม่ได้หึงเลยแม้แต่นิดเดียว!! (แต่อย่าให้รู้ว่าแอบไปติดต่อกันลับหลังนะมึงงงงงงง กูไม่เอาไว้ทั้งหญิงทั้งชายแน่!!!)



   “เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้วเพราะว่ารถไฟลงโอซาก้ารอบบ่ายสอง แล้วไว้เจอกันนะ” และยังคงมีวาจา สายตา ท่าทางทุกอย่างเพื่อไอ้พี่ธันคนเดียว เจ๊ก้อยหมุนตัวเดินจากไปแล้ว ทิ้งพวกผมสองคนเอาไว้ที่เดิม และเป็นผมผู้กล้าหาญเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2014 20:36:23 โดย Dezair »

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8


“สาบานเลยว่าเจ๊แกชอบพี่ธันว่ะ” แฟนเก่าชื่อกิ๊ก เจ๊คนนี้ชื่อก้อย แหม...ดูเหมือนว่าผู้หญิงตัว ก. จะถูกโฉลกกับผัวผมนะครับ...



   ...ไม่ได้หึง ไม่ได้หึง ย้ำเหมือนเดิมว่าไม่ได้หึง...



   “ตอนพี่เข้ามาปีหนึ่ง พี่ก้อยที่อยู่ปีสามน่ะ” มันหันมามองผมนิดนึงแล้วเปิดปากเล่าเรื่องอดีตช่วงเวลาที่ยังไม่มาตกหลุมรัก ‘คนดีๆ’ อย่างผม



   “แล้ว...เป็นแฟนกัน?” ผมถาม



   “เกือบจะคบ”



   “เกือบจะคบ? หมายความว่าไง” คือเกือบจะได้กันแล้ว เอ๊ย! เกือบจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่หลุดมืองั้นเรอะ?! แล้วใครหลุดมือใคร เจ๊หลุดมือไปจากมึงรึเปล่า? แล้วมึงยังอาลัยอาวรณ์อยู่มั้ย? ถ้าเจ๊เลิกกับผัวกลับเมืองไทย มึงจะทำยังไง?



   เราสองคนมองตากัน ก่อนที่มันจะดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ!



   “โอ๊ย!!” กำลังอ้าปากจะด่าแต่ไอ้พี่ธันหัวเราะใส่หน้าผมซะงั้น



   “หึงรึไง?” ...ใครหึงใคร พูดให้มันดีๆนะเว้ย! คนระดับนายถ้วยฟูคนนี้ที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากปวงประชาทั่วโลก จำเป็นต้องมีความรู้สึกหึงหวงด้วยเรอะ!! เลิกกับมึงไปกูก็มีหญิงชายนับร้อยต่อคิวมาขอให้กูพิจารณา แต่ที่ทุกวันนี้ที่กูยังคบมึงอยู่เป็นเพราะกูเห็นแก่ความรักมากมายของมึงหร๊อก!!!!...



   “เปล่า!! แค่ถามดู๊!!” แล้วนี่กูจะเสียงสูงทำไม!!!



   “หึงก็บอกมาเถอะหน่า หน้าหงิกขนาดนี้” แล้วมันก็เขี่ยแก้มผมเล่นอย่างอารมณ์ดี ไอ้หน้าหล่อนิ่งๆที่มีกับเจ๊ก้อยเมื่อกี้กลายเป็นหน้าหล่อยิ้มแย้มแจ่มใสประหนึ่งเป็นคนละคนยังไงอย่างงั้น



   ผู้หญิงตัว ก. ทั้งหลายเอ๋ยยยยย...รู้เอาไว้เถิดว่าสู้ผู้ชายตัว ถ. คนนี้ที่ทำให้ไอ้พี่ธันมีความสุขไม่ได้หรอกหนา...อะฮุ อะฮุ...



   “หึงใช่มั้ย” มันถามย้ำหน้ายิ้มๆ แต่ผมงี้คันปากยิบๆอยากตะโกนกรอกหูมันจริงๆว่ากูไม่ได้หึง!! แต่...จะตอบเอาใจผัวก็แล้วกัน! นี่ถือว่าเป็นการตอบแทนเล็กๆน้อยๆสำหรับโรเล็กซ์ราคาแพงที่มึงซื้อให้กูนะ...



   “เออ! หึงก็ได้!!” ย้ำนะครับว่าผมไม่ได้พูดจากใจ แต่แค่พูดเอาใจผัวเฉยๆ เป็นการพูดเพื่อรักษาหน้าผัว ผมไม่อยากให้ผัวหน้าแตก แล้วพอผมตอบไปแบบนั้น ไอ้พี่ธันก็ยิ้มกว้าง แล้วโยกหัวผมไปมา



   “แล้ว...สรุปว่าไง...เรื่องเจ๊คนนั้น ไม่ได้คบกันเหรอ” ผมวกไปถามประเด็นเดิมที่มันยังค้างเอาไว้



   “อือ...เหมือนว่าตอนนั้นพี่ก้อยจะคบกับเด็กมหา’ลัยอื่นอยู่แล้ว พอพี่รู้ก็เลยแยกตัวออกมา”



   “ฮูย...ควบสอง” ไม่เบาทีเดียว ผมคงต้องยกเจ๊แกเอาไว้เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งซะแล้ว



   “แต่ตอนนี้เขาแต่งงานไปแล้ว”



   “ไม่ได้ยินรึไง เขาบอกอยู่เมื่อกี้ว่าอาจจะกลับเมืองไทย ก็แสดงว่าอาจจะไปกันไม่รอด และถ้าไปกันไม่รอด เขาจะ ‘เรียกธันมากินข้าวด้วยกันนะ’...” ผมดัดเสียงประโยคหลังให้แหลมเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไอ้พี่ธันมองหน้าผมนิ่ง มันคงรู้ว่าผมก็แอบกังวลเล็กๆ ถึงจะเชื่อใจมัน เชื่อใจในความรู้สึกของเราสองคน แต่...ถ้าผู้หญิงไม่แสดงออกขนาดนี้ ผมก็คงไม่รู้สึกแบบนี้



   มันดึงมือผมไปจับเอาไว้ แล้วบอก



   “ถ้างั้นพี่จะนัดเขากินร้านเตาถ่าน” มันพูดหน้านิ่ง เหมือนตัดสินใจเด็ดชาดว่าการที่พาผู้หญิงคนนั้นไปกินข้าวที่ร้านของผม จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด



ผมหัวเราะลั่นกับวิธีอันแยบยลของมัน ถ้าไม่ใช่หัวระดับเกียรตินิยมเหรียญทองแพลตตินั่มแบบสุดเลิฟของผมคนนี้ คิดแบบนี้ไม่ได้นะครับเนี่ยยยย



   “เดี๋ยวฟูจะต้อนรับอย่างดีเลย แต่รับรองว่าเจ๊แกเงิบแน่ๆ เมื่อกี้ก็เงิบไปหลายรอบอยู่นะนั่น” เราสองคนหัวเราะกับจินตนาการอันล้ำเลิศที่ไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นเรื่องจริงรึเปล่าที่ร้านเตาถ่านของผมจะต้องต้อนรับเจ๊ก้อยคนนั้น แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ ขอแค่เรามั่นคงในรักของเราก็พอแล้ว อะฮิ้ววววว...



   “แล้วเราจะไปไหนกันต่อดี เอาของไปเก็บโรงแรมมั้ย” จบประเด็นเรื่องเจ๊ก้อยแล้ว ไอ้พี่ธันก็หันมาถามเรื่องของเราสองและข้าวของที่เราซื้อมา ซึ่งก็มีไม่มากเท่าไหร่ ถ้ากลับไปเก็บที่โรงแรมก็เปลืองค่ารถ เปลืองเวลาด้วย



   “เอาไปฝากไว้ในล็อกเกอร์หยอดเหรียญดีกว่า อยากลองเล่นอ่ะ แล้วไปเดินเล่นแถวชิบุยะกัน ยังไม่ได้ถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์หมาเลย” ตามสถานีรถไฟจะมีล็อกเกอร์หยอดเหรียญเอาไว้ให้บริการเก็บของครับ อัตราค่าบริการก็ขึ้นอยู่กับขนาดของล็อกเกอร์ซึ่งมีตั้งแต่ไซส์สำหรับกระเป๋าเดินทางไปจนถึงไซส์ย่อมๆขนาดประมาณกล่องรองเท้า



   “อือ ก็ได้” แล้วเราสองคนก็ออกเดินทางอีกครั้ง ทิ้งเรื่องรกสมองเอาไว้เบื้องหลัง



…………………………..



   ชิบุยะ ย่านช้อปปิ้งอีกแห่งของโตเกียว มีจุดน่าสนใจที่ไม่ใช่การช้อปปิ้งนั่นคือรูปปั้นสุนัขตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กหน้าสถานี ใกล้กับห้าแยกมหาประลัยที่แสนขึ้นชื่อ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดนัดพบของญี่ปุ่นชนคู่รักและเพื่อนฝูงที่มายืนรายล้อม บางคนก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือรอ บางคนสูบบุหรี่รอ บางคนเม้าส์แตกกับเพื่อนรอ หลากหลายสีสันชีวิตที่อยู่รอบรูปปั้นสุนัขตัวแข็งทื่อ ทำให้บรรยากาศดูคึกครื้นมากมายครับ



   “นี่คืออนุสาวรีย์หมา เอ่อ...ชื่อหมาชื่ออะไรไม่รู้อ่ะ แต่หมาตัวนี้มันเป็นหมาที่ซื่อสัตย์มาก ทุกวันมันจะมารอเจ้านายของมันที่สถานีนี้ตรงเวลาเพื่อเดินกลับบ้านพร้อมกัน จนนายมันตาย มันก็ยังมารอตลอด จนสุดท้ายมันก็ตายตามไป คนก็เลยสร้างอนุสาวรีย์เอาไว้ระลึกถึงมัน และกลายเป็นจุดนัดพบของคนญี่ปุ่น” ว่าแล้วก็โชว์ภูมิอธิบายเรื่องราวสั้นๆให้ไอ้หล่อฟังถึงที่มาที่ไปของเจ้ารูปปั้นนี้



   “อ๋อ ที่เอามาทำเป็นหนังใช่มั้ย” มันเออออสมกับเป็นผัวที่ดีจริงๆ



   “ใช่”



   “ที่ถ้วยฟูดูแล้วร้องไห้” ...เอ่อ...รู้สึกจะเริ่มไม่ใช่ผัวที่ดีตอนที่ขุดคุ้ยเรื่องการเสียน้ำตาของกูขึ้นมานี่ล่ะ!! เป็นผู้ชายอ่อนไหว อ่อนโยนดูหนังแล้วร้องไห้นี่ผิดตรงไหน?!!



   ผมไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงก็เลยหันไปยังห้าแยกชิบุยะที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งเป็นจุดที่มีคนข้ามถนนไปมาวันๆนึงนับล้าน ข้ามไป ข้ามมา ข้ามมา ข้ามไป ซึ่งจุดที่พิเศษของเจ้าห้าแยกนี้คือการที่เขาจะปิดการเดินรถทุกฝั่งแล้วปล่อยให้คนข้ามทีเดียวพร้อมกัน ไม่ว่าจะข้ามจากมุมไหนของห้าแยกก็ไปจะเอ๋กันตรงกลาง ระบบการปิดการจราจรและให้คนข้ามถนนพร้อมกันนี้ กลายเป็นจุดดูงาน สัมมนาวิชาชีพของหลายประเทศที่มาศึกษารูปแบบเลยนะครับ อ้อ...ไม่ต้องถามว่ามีประเทศไทยมาดูงานนี้มั้ย ผมว่าคงไม่จำเป็น เพราะบ้านเราไม่เคยข้ามตรงทางม้าลายหรอกครับ ไม่รู้จะปิดการจราจรไปทำไม



   “นั่นๆ เขาจะข้ามกันแล้ว” ว่าแล้วผมก็กระตุกแขนมันให้ดูปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เมื่อรถทุกฝั่งหยุดเคลื่อน แล้วหมู่มวลมหาประชาชนที่ยืนรอกันริมฟุตบาธก็เริ่มข้ามไปข้ามมาพร้อมกัน ทั้งหัวดำ หัวทอง หัวแดง หัวสารพัดสีหยึบหยับไปหมดเต็มถนนเลยอ่ะ!!



   “ไปรอข้ามมั่ง ไปเร็ว” เขาปล่อยให้คนข้ามแปบนึง ก็ปล่อยให้รถเดินต่อ แล้วพอพอรถเริ่มวิ่งไปวิ่งมา คนก็มายืนออกันริมฟุตบาธเตรียมรอข้ามรอบต่อไปกันแล้ว และหนึ่งในคนเล่านั้นก็มีผมและสุดเลิฟด้วยล่ะครับ



   เราสองคนรออยู่อึดใจหนึ่งก็ได้ข้ามห้าแยกนี้กับเขาบ้าง มันดูวุ่นวายแต่ก็เป็นเอกลักษณ์ดีเหมือนกัน แล้วพอข้ามมาแล้ว...ทีนี้ประเด็นคือไปไหนต่อ...



   “อ่า...ไปทางนี้ล่ะกัน” ผมชี้ไปที่ตรอกขนาดประมาณถนนเลนเดียวสองฝั่งเป็นตึกสูงประมาณ 3-4 ชั้นเรียงเบียดเสียด ทุกตึกล้วนทำมาหากินด้วยการค้าขาย ไม่ว่าจะขายเสื้อผ้า ขายรองเท้า ขายอาหาร เรียงรายตาแทบพร่า



   เราสองคนเดินดูไปเรื่อยจนไปเจอเข้ากับร้านขายคาราอาเกะหรือไก่ทอดร้านเล็กๆ ซึ่งขอบอกว่าเล็กมากขนาดที่ภายในร้านแบบหนึ่งคูหาแบ่งเป็นสองฝั่งคือฝั่งครัวและฝั่งนั่งกินซึ่งเป็นบาร์เดี่ยว ต้องเดินเรียงแถวทีละคนเข้าไป ห้ามเดินแพ็กคู่ทำตัวเป็นคู่ผัวเมียเด็ดขาด ไม่งั้นเข้าไม่ได้ครับ



   “ร้านนี้น่ากินอ่ะ” ประเด็นที่น่ากินไม่ใช่เพราะแคชเชียร์สวย พ่อครัวหล่อ หรือในร้านมีคนนั่งกินก่อนแล้ว แต่ประเด็นคือมันหอมและดูพ่อครัวหลังกระจกกั้นทำอาหารคล่องแคล่วดี



   “เข้าไปสิ” ไอ้หล่อชักชวน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธ เมื่อกี้ก็กินมาอิ่มล่ะครับ แต่แค่คาราอาเกะไม่กี่ชิ้น เรื่องแบบนี้ไม่คณาท้องผมหรอก เราสองคนเดินเข้าไปในร้าน แน่นอนว่าเดินเรียงแถวประหนึ่งแถวลูกเสือ ข้างประตูเป็นแคชเชียร์ พนักงานส่งเมนูซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกแผ่นเดียวมีรายการพร้อมรูปประกอบทั้งด้านหน้าและหลังให้ผมเลือก คงเป็นระบบ ‘สั่งก่อน จ่ายก่อน กินทีหลัง’ นั่นเอง



   “เอาชุดนี้แล้วกันเนอะ กินกันสองคน” ผมชี้ชุดคาราอาเกะพร้อมข้าว และมีน้ำโค้กให้ด้วย สนนราคาไม่ถึงเจ็ดร้อยเยน



   “แล้วก็เอานี่มากินเล่นล่ะกัน” อีกอันที่ผมชี้คือเฟรนซ์ฟรายทอด เฟรนซ์ฟรายที่นี่จะหั่นเป็นแท่งหนาๆ ค่อนข้างสั้นครับ ไม่เรียวยาวแบบเฟรนซ์ฟรายแมคโดนัลล์



   เมื่อสุดเลิฟพยักหน้า ผมก็หันไปชี้นิ้วสั่งอาหารกับพนักงาน จ่ายเงินเรียบร้อยก็รับใบเสร็จและเครื่องดื่มมานั่งรอที่บาร์หน้าครัวซึ่งมีกระจกใสกั้นระหว่างลูกค้ากับครัว พ่อครัวหนุ่มหล่อเริ่มทำอาหารโช้งเช้ง แปบเดียวก็ยื่นเซ็ตอาหารที่ผมสั่งผ่านทางช่องใต้กระจกกั้นมาให้



   เซ็ตคาราอาเกะนั้นเป็นข้าวสวยถ้วยนึง ไก่ทอดห้าชิ้นเคียงด้วยกะหล่ำฝอยมีมายองเนสให้จิ้มพร้อมด้วยเลมอนหนึ่งซีก และก็มีซุปมิโสะให้ด้วย



   เราสองคนหยิบตะเกียบจากกระบอกตะเกียบที่วางบริการข้างๆกับเหยือกน้ำเปล่าและแก้วเปล่า ร้านอาหารที่ประเทศนี้แทบทั้งหมดจะบริการน้ำเปล่าฟรีครับ คงเป็นเพราะน้ำก็อกประเทศนี้ทานได้นั่นเอง เอาล่ะครับ! เรามาเริ่มประเด็นที่ทำให้ผมเหยียบเท้ามาที่ร้านนี้กันเล้ย!! เจ้าคาราอาเกะนั่นเอง!!!...



   ว่าแล้วก็ขอกัดสักกร๊วบ...บ...



   “อ้อน! อ้อน!! อ้อน!!!” ไม่ใช่จะอ้อนใคร แต่มันร้อนมากครับ!! 



คาราอาเกะหรือไก่ทอด ใช้เฉพาะเนื้อไก่ไม่ติดกระดูกนำมาชุบแป้งบางๆแล้วทอด ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีแป้งสูตรเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ครับ แต่โดยพื้นฐานแล้ว คาราอาเกะจะต้องมีลักษณะพิเศษคือข้างในเนื้อจะนุ่มและฉ่ำน้ำ ส่วนข้างนอกกรอบกรุบกัดไปแล้วดังกร๊วบ ซึ่งร้านนี้ทำได้เกินมาตรฐานมากๆเพราะทั้งเนื้อแป้งข้างนอกที่ไม่หนาแต่กรอบ ส่วนข้างในก็นุ่มและชุ่มช่ำ อร่อยเหาะจริงจริ๊ง!!!



   “อร่อยมั้ย” ไอ้พี่ธันถามยิ้มๆ ผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเดียวแล้ว เพราะปากต้องเอาไว้เคี้ยว มันคีบมากัดบ้าง แต่ก็คายแทบไม่ทันเพราะร้อนจริงๆอย่างที่บอก ผมรีบกลืนไก่ในปากแล้วหัวเราะเสียงดังบอกให้รู้กันไปเลยว่าขำผัว



   “ก็พูดอยู่เมื่อกี้ว่าร้อน ยังกัดเข้าไปได้”



   “ก็ไม่คิดว่าร้อนขนาดนี้” มันบ่นหน้าเหยเกแต่ผมยังขำไม่หยุด เราสองคนช่วยกันกินเซ็ตคาราอาเกะและเฟรนซ์ฟรายแปบเดียวก็หมดเกลี้ยง อร่อยจริงๆทั้งเนื้อไก่ ทั้งซุป ขนาดกะหล่ำหั่นฝอยยังอร่อยเลย!!



   หลังจากอิ่มท้องด้วยคาราอาเกะแล้ว เราก็บอกลาร้านเล็กๆร้านนั้นเดินเลาะตามตรอกซอกซอยชมร้านค้ามากมายในละแวก ผมว่าย่านนี้เป็นย่านวัยรุ่นแบบออกแนวอินดี้เล็กๆ ไม่เหมือนย่านอิเคะบุคุโระที่เป็นย่านวัยรุ่นแบบเด็กมหา’ลัย แฟชั่นส่วนใหญ่ถึงจะไม่เว่อวังอลังการแนวคอสเฟลย์แบบฮาราจูกุ แต่ก็มีสไตล์เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างมากทีเดียวครับ ทั้งรองเท้าผ้าใบสีสันแสบตาลวดลายฉวัดเฉวียนดูแล้วลุงๆอย่างผมงง หรือเสื้อเพ้นท์ลายเข้าใจยากที่แขวนเรียงรายตามร้าน ถ้าผมมาที่นี่ตอนอายุสักยี่สิบต้นๆ ก็อาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป แต่นี่จะสามสิบอยู่แล้ว ด้วยภาพลักษณ์ดูดีที่ต้องรักษาเอาไว้ ผมก็คู่ควรแค่เสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กเท่านั้นล่ะครับ



   เราสองคนออกจากชิบุยะโดยที่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา แวะเอาของที่ล็อกเกอร์ฝากของก่อนแล้วนั่งรถไฟสายยามาโนเตะไปยังสถานีเอบิสึก่อนจะเปลี่ยนสายรถไฟมุดหัวลงลงรถไฟใต้ดินไปใช้สายฮิบิยะที่ตรงไปยังรปปงงิเพื่อดูตึกสวยๆอย่างรปปงงิ ฮิลล์ครับ



つづく
5.2 มาวันศุกร์ดึกๆค่ะ

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เห็นถ้วยฟูกินแล้วหิวขึ้นมาทันที
อยากกินบ้างอ้าาาา 55555

ขอบคุณพี่บัวที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ Bejae

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-2
น้องถ้วยฟูไม่หึงเลยค่ะ ไม่ได้หึงเลยจริงๆ ฮ่าาาา
ยิ่งอ่านยิ่งอยากไปญี่ปุ่นนนนนนนนน  :ling1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ถ้วยฟูสุดยอดของการหลงตัวเอง แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะพี่ธันก็หลงตามไปด้วย คิคิ

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
ตอนนี้ถ้วยฟูพาชิมอาหารอ่านแล้วรู้สีกหิวตาม


 :กอด1: :L2: :pig4:



 

ออฟไลน์ luvY

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-0
ถ้วยฟู ซึน อึน จริงๆเลย  :laugh:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
เกรียน หลงตัวเอง แล้วก็ซึนมากจริงๆ อิหนูเอ้ยยยย

 :laugh: :laugh: :laugh:

ไม่หึงเลยเนอะ ไม่หึงพี่ธันเลย
แหมมมมม นี่นั่งหัวเราะคนบอกไม่หึงอยู่ ถถถถถถ
ทำเป็นบอกเอาใจผัว โอ้ยย หมั่นเขี้ยว อยากหยิกแก้มถ้วยฟู 5555

ตอนนี้อ่านนี้ไปหิวไปเลยค่ะ TvT
อยากทั้งพิซซ่าอยากทั้งคาราอะเกะ คิดภาพกระหลำปลีหั่นฝอยจิ้มมายองเนสล่ะรู้สึกสดชื่นบอกไม่ถูก แงงง
ถ้วยฟูกับพี่ธันทำเราหิวววววววววววววววว

ปล.คิดถึงหนังเรื่องนั้น น้องหมาฮาจิโกะ อย่าว่าแต่ถ้วยฟูร้องไห้เลย เราก็ร้องงง TvT
อ่านตอนพิเศษนี้ทำให้คิดถึงอะไรที่เป็นญี่ปุ่นจริงๆ ทั้งที่เรายังไม่เคยไปญี่ปุ่นเลยสักครั้งในชีวิต อยากแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวแบบนี้บ้างจังเลยค่า >_<


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nokkaling

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
 :pig4: :pig4:

ถ้วยฟูน่ารักตลอด

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
หึงก็บอกว่าหึงดิถ้วยฟู มาทำบอกเอาใจสามี 555 แกนี่วางฟอร์มเยอะจริง

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
น่าเบื่อ อิเจ๊ก้อยจริงๆ คนมาเที่ยวเค้าก็อยากเที่ยวกับคนที่รัก ถึงจะมีความสุข

ยังเซ้าซี้ โดนตัดบทหลายรอบก็ยังหน้าทน ตื้อจริงๆสิพับผ้า มีผัวแล้วนะแจ๊ะ

ถ้วยฟู ถึงกับ หึง อิพี่ธัน จริงจัง :laugh:
ชอบถ้วยฟูพาตะลุยกินมากกกกก  :hao6: หิววววววว

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
 :katai4: อ่านแล้วหิววววว  อยากกินไก่คาราอาเกะขึ้นมาเลยทันที555

ถ้วยฟูน่ารักขนาดนี้ มือที่3ก็เงิบน่ะสิคะ

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
หิวตามน้องฟูเลยอ่ะ หิวววววววววววววววว :กอด1: :hao6:

ออฟไลน์ sirikanda28

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +117/-3
ทำให้อยากไปเที่ยว
แต่ไม่มีเงิน  :hao5:

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
โอย แสบท้อง อยากกินตามถ้วยฟูเลย :katai1:
อยากเห็นพี่ธันนัดเจ๊ก้อยไปกินข้าวร้านเตาถ่านจัง
อยากเห็นถ้วยฟูต้อนรับขับสู้เจ๊ก้อยแบบเต็มที่ :laugh:

ออฟไลน์ grimace

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
อยากดีดหน้าผากนายถ้วยฟูมากกกกกกก
หมั่นไส้อีกตามเคย ฮ่าๆๆ จะไม่บอกหรอกว่าริษยา ก๊ากก

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................

5.2



เจ้ารปปงงิ ฮิลล์นี้คือหมู่ตึกน้อยใหญ่ที่อยู่ในละแวกเดียวกัน เชื่อมด้วยลานกว้าง ทางเดิน สวนต้นไม้ใบหญ้า จนแทบจะกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ จุดที่น่าสนใจของที่นี่คือแมงมุมตัวใหญ่มากกกกก...ตั้งอยู่ในส่วนของลานกว้างใกล้กับโมริ ทาวเวอร์ อาคารแห่งหนึ่งของรปปงงิ ฮิลล์นั่นเอง ที่สำคัญสุดก็คือเราสามารถเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาเจ้าหุ่นแมงมุมนี้ได้ฟรี! ไม่มีเสียเงินครับ!!



   “ถ่ายรูปๆ” และแน่นอนว่ามาเจอแมงมุมตัวใหญ่ราวสองเมตรแบบนี้ก็ต้องถ่ายสักหน่อย ครั้นจะถ่ายมันตัวเดียว แล้วนักท่องเที่ยวอย่างผมจะแต่งหล่อมาทำไมล่ะ จริงป่ะครับ?



   ผมรีบวางถุงข้าวของลงกับพื้นแล้วถลาไปเกาะขามันข้างหนึ่ง ให้ไอ้หล่อทำหน้าที่ตากล้องจำเป็นเช่นเคย กดไป 3 แชะพอดิบพอดีไม่มีเกิน มันก็เอากล้องลง ผมก็เลยเงยหน้าสำรวจท้องแมงมุมที่อยู่เหนือหัวผมสักหน่อย



   แมงมุมตัวนี้ไม่ได้สร้างมาเหมือนจริงทุกกระเบียดนิ้วนะครับ ใครกลัวแมงมุมตัวเป็นๆ อาจจะไม่กลัวเจ้าตัวนี้ก็ได้เพราะมันเป็นรูปปั้นที่ปั้นออกมาแบบไม่มีขนหยึบหยับอะไรทำนองนั้น คือมองไกลๆก็รู้ว่ามันเป็นรูปปั้นน่ะครับ



   “แมงมุมพันธุ์อะไร” ไอ้หล่อเดินเข้ามาถาม มันคงเห็นผมสำรวจท้องแมงมุมมากเกินไปนั่นเอง



   “ไม่รู้อ่ะ รู้แต่ประวัติของมัน...” ด้วยแสงสลัวๆของยามเย็นแบบนี้และแสงไฟที่เริ่มเปิดก็พอจะทำให้มันกลายเป็นแมงมุมน่ากลัวได้ไม่ยาก แต่ประวัติของมันที่ผมศึกษามา(จากไอ้โจเช่นเคย)นั้นช่างแสนน่าซาบซึ้งไม่แพ้เจ้ารูปปั้นหมาที่ชิบุยะเลยครับ


   “คนปั้นเขาปั้นแมงมุมตัวนี้มาเพื่อสื่อถึงแม่ตัวเอง เพราะว่าเขาอยู่กับแม่แค่สองคน ไม่มีพ่อ แล้วแม่เขาก็ทำงานอยู่ในโรงงานทอผ้า แมงมุมตัวนี้ก็เลยเปรียบถึงแม่เขาที่เลี้ยงดูเขามา ฟูมฟักชักใยเขา...” ผมอ้าปากบรรยายองค์ความรู้ตามประสาไกด์กิตติมศักดิ์ แต่ปรากฏว่าไอ้นักท่องเที่ยววีไอพีอย่างนายธันวาดูเหมือนจะไม่ได้สนใจความรู้ที่ผมมอบให้มันเลยสักนิด เพราะมันเอาแต่จับจ้องผมด้วยสายตาที่...เอ่อ...หมายจะกลืนกิน...


   “พ...พี่ธัน...ฟ...ฟังอยู่เปล่าอ่ะ” ...นี่มึงสนใจสิ่งที่กูเล่าป่ะเนี่ย ไม่ใช่ฟังแต่เสียงหัวใจตัวเองนะมึง...


แต่ไอ้หล่อไม่หือไม่อือผมเลยสักนิด เอาแต่มองผมจนชื่อแซ่แมงมุมตัวโตแห่งรปปงงิ ฮิลล์ลอยปิ้วออกจากหัวผมเรียบร้อย

   “ฟังอยู่ พูดต่อสิ...” มันก้มลงมาพูดเบาๆ ในขณะที่สายตายังไม่ละไปไหน...มึงเล่นจ้องกันแบบนี้ แล้วกูจะพูดอะไรออกม้ายยยยย?!!!!...



   “ม...ไม่...ไม่พูดแล้ว...” ผมก้มหน้าหนี วิญญาณนางเอกขี้อายเข้าสิงอย่างห้ามไม่ได้ ก็แม่งเล่นก้มลงมาจ้องซะใกล้ ใครมันจะไปมีอารมณ์สปีช คอนเทสต์ต่อวะครับ?!!!



   “ถ้าไม่พูด...งั้น...” ไอ้หล่อทิ้งประโยคไว้แค่นี้ให้คิดเอาเอง แล้วคิดว่าคนอย่างผมรู้มั้ยครับว่ามันจะทำอะไร บอกเลยว่ารู้!!! เป็นผัวเมียกันมาตั้งกี่ปี ทำไมจะไม่รู้ว่านายธันวาคนนี้มันรักผมปานจะแหกตูดดมแค่ไหน และก่อนที่มันจะได้ทำอะไรอวดชาวโลกใต้เงาแมงมุมยักษ์ที่คนปั้นเขาอุตส่าห์ปั้นเพื่ออุทิศแด่แม่ แต่ไอ้คนมาชมรายนี้ดันจะเอามาเป็นรักรังไว้เล้าโลมเมีย ผมก็รีบยกมือตะครุบปากมันไว้ซะก่อน

   

   “ถ้าจะจูบช่วยหาสถานที่ที่มันดูดีกว่าใต้ท้องแมงมุมได้มั้ย” ...ที่สำคัญใต้ท้องแมงมุมแห่งรักระหว่างแม่ลูกด้วยนะเว้ย!! ถึงไม่ให้เกียรติสถานที่ มึงก็ควรให้เกียรติความหมายของรูปปั้นแมงมุมก็ยังดี!!!...



ไอ้พี่ธันหัวเราะพรืดอยู่ใต้อุ้งมือผม ก่อนจะจับมือผมออก แล้วยื่นข้อเสนอแบบหน้าตาย



   “ถ้างั้นไว้จูบที่ห้องก็แล้วกัน...”



   “เออ!”


   ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังเบาใจว่าไม่ต้องแสดงพลังรักให้โตเกียวประจักษ์ ไอ้พี่ธันก็พูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว



“แต่ต้องมัดจำก่อน...” แล้วกดริมฝีปากลงจูบกลางฝ่ามือผมที่มันยังจับอยู่ ก่อนจะจับมือผมลงซุกในกระเป๋าเสื้อมัน ทิ้งให้สัมผัสอุ่นๆที่กลางฝ่ามือวิ่งมาถึงกลางใจแบบไม่มีอะไรขวาง ทำเอาตัวร้อนวูบวาบยิ่งกว่าถูกจูบแบบดีฟคิสแลกเปลี่ยนเอนไซม์ดีเอ็นเอซะอีก!!


   ...บ้าเอ้ย!! ถ้าจะมัดจำกันแบบนี้ ให้กูจ่ายทั้งหมดตอนนี้เลยก็ได้นะ! กูพร้อม!!!...


   “อะไร แค่นี้หน้าแดง อายเหรอ?”


   “หน้าแดงที่ไหน?!! ลมหนาวมันกัด! ไม่ได้อายเอยอะไรสักหน่อย!!!!” ตามสูตรนายถ้วยฟู ปากแข็งแล้วหันหน้าหนี อย่าให้มันจับได้เด็ดขาดว่ากำลังเขินมัน  ทั้งที่จริงๆแล้วเขินฉิบหายวายป่วง แถมมือข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อของไอ้พี่ธันงี้กำแน่นจนแทบไม่มีอากาศเล็ดรอดเข้าไป ไม่ใช่อะไรครับ...กลัวความอุ่นของสัมผัสจากริมฝีปากของมันที่อยู่กลางมือผมจะจางน่ะสิ!! ฮิ้วววววววว...


   
   หลังจากจูบหวานๆระหว่างปากมันกับฝ่ามือของผม เราสองคนเดินถ่ายรูปบริเวณลานกว้างของรปปงงิ ฮิลล์ที่มีไฟประดับกันต่อ บรรยากาศดีจนแทบลืมหายใจไปเลยล่ะ ถึงแม่งจะโคตรหนาวก็ตาม



   “ถ้วยฟู ตึกนี้มันเปิดให้ชมวิวจากชั้นบนด้วยนี่” ไอ้หล่อหันมาบอกผมเมื่อเราเดินไปเจอป้ายบอกทางที่ชี้ชวนให้เราขึ้นไปแตะขอบฟ้า



   “เสียตังค์” ผมรีบแย้ง เพราะพี่ตูน บอดี้สแลมบอกมาว่าถ้าอยากแตะขอบฟ้าให้ออกไปแตะได้เลย ไม่ต้องจ่ายตังค์ ผมก็เลยนับถือพี่ตูนเป็นไอดอลแห่งการแตะขอบฟ้าฟรีๆนับตั้งแต่นั้นมา



   หลังจากเชยชมลมหนาวกันที่ลานเพียงพอแล้ว เราก็หลบไอหนาวไปหาไออุ่นของฮีตเตอร์ในตึกกันบ้าง ซึ่งนอกจากจะเป็นอาคารสำนักงานแล้ว ก็เป็นอาคารห้างสรรพสินค้าด้วยครับ มีร้านชื่อดังมากมายแน่นอาคารกันทีเดียว ซึ่งราคาแบบคิดเรทเจแปนนีสเยนนั้น ก็ทำเอาผมนับเลขศูนย์แทบไม่ทัน สุดท้ายหลังจากแวะเวียนเข้าไปชื่นชมได้ 2 ร้าน ผมก็มากระซิบสุดที่เลิฟ



   “ไปเดินเล่นทีอื่นกันมั้ย” คือมันดูได้แต่ตาควักตังค์จ่ายไม่ได้นี่อึดอัดโคตรครับ ผมควักแผนที่สายรถไฟของโตเกียวขึ้นมาดูเพื่อหาตัวเลือกว่าเราควรจะไปลัลล้าที่ไหนกันดี หวยมาออกที่อากิฮาบาระเนื่องจากรถไฟใต้ดินสายฮิบิยะที่จะวิ่งออกจากรปปงงินั้น สามารถไปถึงอากิฮาบาระโดยไม่ต้องเปลี่ยนรถไฟให้ยุ่งยากครับ



   จากนั้น เราก็โบกมือบ๊ายบายแมงมุมเพื่อนยากแล้วมุดลงรถไฟใต้ดินอีกครั้ง ไปยังที่ที่เราน่าจะเดินได้สบายตาสบายกายหายใจคล่องกว่าที่นี่



อากิฮาบาระ...ดินแดนแห่งเมด คาเฟ่!!



...อะฮิ อะฮิ อะฮิ ผมไม่ได้หวังอะไรจากคำว่าเมดคาเฟ่จริงจริ๊ง!!...



..........................................



   เนื่องจากสถานีอากิฮาบาระของรถไฟสายฮิบิยะนั้นค่อนข้างอยู่ในเหลือบเล็กน้อย แถมเจ้าสายฮิบิยะยังไม่สามารถพาเรากลับโรงแรมได้อีกต่างหาก ดังนั้นหากเราจะเริ่มต้นเที่ยวให้สนุก เราก็ต้องตั้งจุดเริ่มต้นก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นที่ดีก็ควรจะเป็นจุดที่สามารถพาเราไปยังที่ต่อไปได้โดยง่ายด้วยครับ



   “เดี๋ยวเราหาสถานีอากิฮาบาระของสายยามาโนเตะก่อนดีกว่า เพราะขากลับไปโรงแรมเราต้องกลับทางนั้น” ผมบอกมันอย่างเชี่ยวชาญทาง อยู่ที่นี่มาหลายวัน เริ่มจะคุ้นกับชื่อสายรถไฟที่มีแต่โนะๆโตะๆแล้วล่ะครับ เราสองคนเริ่มเดินหา ซึ่งไม่ยากเลยเพราะแค่เสนอหน้าไปถามคนญี่ปุ่นสักคนแถวนั้นด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษดีเลิศของผมว่า



   “ยามาโนเตะ ไลน์ อากิฮาบาระ สเตชั่น!!” สาวญี่ปุ่นรายหนึ่งก็มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อผมและสามีด้วยการพาเดินไปส่งถึงหน้าสถานีด้วยซ้ำ



   ...นอกจากจะเป็นสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักแล้ว ยังน้ำใจประเสริฐอีกต่างหาก ถ้าไม่ติดว่าผมมีผัวแล้ว ผมจะจีบให้ดู!...



   ผมยืนโค้งแต้งกิ๊วทรีไทม์ เอ้ย โค้งขอบคุณไปสามทีให้แก่สาวญี่ปุ่นหัวใจนางงามอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟอากิฮาบาระของสายยามาโนเตะ แล้วพลันนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เลือดรักกันดั้มในกายผมลุกฮือ



   …กันดั้ม คาเฟ่!!!!...ร้านอาหารสำหรับคนรักกันดั้ม!! ถ้าชาตินี้ผมไม่ได้กิน ผมคงตายไม่สงบเป็นแน่แท้!!!...



   ไวเท่าความคิด มือผมกระตุกแขนไอ้หล่อเร็วๆ



   “อยากกินล่ะสิ” ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอก สุดที่รักก็เหมือนจะรู้จักรู้ใจผมเป็นอย่างดี



   “ขอเข้าไปสูดอากาศข้างในนั้นก็ยังดี นะ...นะ...” ให้กูทรุดกายลงแทบเท้ามึงตรงนี้ก็ได้ แต่ขอให้กูได้เข้าไปข้างในนั้นเถ้ออออออ...



   “คาราอาเกะไม่อิ่มรึไง”



   “ฮูยยยย ย่อยหมดแล้ว” ผมเถียงทันควัน ตาจับจ้องไปที่เจ้าหุ่นกันดั้มขนาดจำลองที่สูงไม่เกินเมตรครึ่งซึ่งวางตั้งเด่อยู่หน้าร้านแล้วเหมือนถูกอาคมครับ รู้สึกอยากถลาไปหาใจจะขาดรอนๆ



   “นะนะ เข้าเหอะ เข้าไปเดินดูสักรอบก็ได้” ผมยื่นข้อเสนอไปงั้น คิดเรอะว่าคนอย่างผมจะดูแต่ตาปากไม่แดก ไม่มีทาง!! แต่ต้องตะล่อมให้มันวางใจก่อนครับ เกิดเผยไต๋ความโลภไปซะหมด ก็อดน่ะซี่!!!



   “ก็ได้” แล้วทันทีที่คำอนุญาตหลุดจากปากมัน ผมก็ผละห่างจากมายเลิฟแล้ววิ่งไปหาสิ่งที่เป็นดั่งหัวใจของชีวิต



   ...กันด้ามมมมมมมมม...



........................................






   “อร่อยมั้ย” ผมถามไอ้แสบที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังตักข้าวผัดซึ่งถูกตกแต่งเป็นหัวกันดั้มเข้าปากด้วยหน้าตามีความสุขเหลือประมาณ ตอนแรกมันบอกผมใช่มั้ยว่าขอเข้ามาเดินดูสักรอบก็ได้ ไม่กินก็ได้ แต่คนอย่างมันได้คืบจะเอาศอกตลอดล่ะครับ ผมรู้ดี



   “เฉยๆอ่ะ แต่มันอิ่มจายยยย” มันเงยหน้าจากจานขึ้นมายิ้มตาแทบปิดจนผมต้องหัวเราะ มันไม่ได้พูดโอเว่อร์ไปหรอกครับ เพราะนอกจากอาหารที่แม้จะเป็นอาหารพื้นๆอย่างข้าวผัดแต่ถูกตกแต่งให้กลายเป็นหัวกันดั้มแล้ว ในร้านกันดั้มคาเฟ่แห่งนี้ยังตกแต่งคล้ายอยู่ในยานอวกาศ มีจอมอนิเตอร์เปิดเรื่องกันดั้มให้ดู ส่วนพนักงานสาวๆในร้านนี้ก็แต่งตัวตามคาแรกเตอร์ที่อยู่ในการ์ตูน เล่นเอาไอ้แสบตาเยิ้มตั้งแต่ตอนสั่งอาหารแล้ว



   ถ้วยฟูส่งช้อนมาให้ผมลองชิมบ้าง ก่อนที่มันจะมองไปรอบร้านซึ่งมีข้าวของพรีเมี่ยมของกันดั้มวางขายแทบทุกมุม ในร้านมีลูกค้าค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ ตอนแรกผมคิดว่ากลุ่มลูกค้าหลักน่าจะเป็นเด็ก แต่เอาเข้าจริงแล้ว ลูกค้าเกือบ 2 ใน 3 เป็นผู้ใหญ่วัยทำงานที่นั่งกินอาหารหน้าตากันดั้มอย่างไม่เคอะเขิน



   “ผู้ใหญ่มากินเยอะเหมือนกันเนอะ” ไอ้แสบชวนคุยหลังจากรับช้อนคืนจากผม



   “นั่นสิ ตอนแรกคิดว่าจะมีแต่เด็กๆซะอีก”



   “เหมือนตอนเราไปกินบุฟเฟ่ต์เค้กไง ตอนแรกคิดว่าน่าจะมีแต่ผู้หญิงกิน แต่กลับมีลูกค้าผู้ชายเพียบเลย ญี่ปุ่นนี่เป็นประเทศที่แปลกจริงๆเนอะ” ใช่ครับ ตอนเราไปกินบุฟเฟ่ต์เค้ก ผมค่อนข้างตกใจที่เห็นลูกค้าผู้ชายมีมากพอๆกับลูกค้าผู้หญิง ซึ่งลูกค้าผู้ชายที่มาไม่ได้มากับแฟน แต่มากับเพื่อนผู้ชายทั้งกลุ่มด้วยซ้ำ



   “ทาเก็ตกรุ๊ปของประเทศนึ้คาดคะเนไม่ได้” มันพูดจามีหลักการจนผมขำ ถ้วยฟูเงยหน้ามองผมงงๆแล้วถามด้วยความสงสัย



   “หัวเราะไร” ผมไม่อยากบอกมันเลยว่าแค่เห็นมันมีความสุขผมก็อารมณ์ดีมากแล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้มันไม่พูดอะไร แล้วนั่งอยู่เฉยๆหน้าตายิ้มแย้ม ผมก็หัวเราะได้



   ...เสียงหัวเราะของผมขึ้นอยู่กับความสุขของมัน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้มันมีความสุขคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม...



   “พี่ธันประหลาดว่ะ” มันบ่นผมเล็กน้อยที่ผมไม่ยอมบอกว่าขำอะไรมัน



   “อยู่กันมาตั้งนานเพิ่งรู้เหรอว่าประหลาด” ถ้าไม่ประหลาดจะมารักมาชอบคนอย่างมันได้ยังไง ผมอยากถามมันอยู่หรอก แต่กลัวมันงอนผมซะก่อน เดี๋ยวต้องง้อด้วยทริปโตเกียวอีก 7 วัน งานการไม่ต้องทำกันพอดี



   “ไม่รู้หร้อกกกก ขนาดเรื่องเจ๊ก้อยยังไม่รู้เล้ยยยย” มันตอบแล้วตะครุบปากตัวเองทำตาเหลือกเหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่น่ารื้อฟื้น ถ้วยฟูไม่ใช่คนเก็บเรื่องเก่ามาคิดหรอกครับ ผมรู้จักมันดี แต่บางทีมันก็ปากไวกว่าสิ่งที่คิด มันมองผมตาโตแล้วยิ้มแหย



   “ง่า...ไม่ได้คิดจะพูดเรื่องเจ๊คนนั้น...”



   “พี่คิดว่าเรื่องเขาไม่สำคัญก็เลยไม่ได้พูด ไม่ได้คิดจะปิดเป็นความลับหรอก” ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงสบายๆ อยากให้มันเลิกกังวลกับเรื่องในอดีต หรือต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเข้ามาในอนาคต ผมก็ไม่คิดจะไปคบใครอยู่ดี ในเมื่อมีคนที่ผมรู้สึกว่าเขาเป็นทั้งชีวิตอยู่ตรงหน้านี้แล้ว แล้วผมจะไปหาคนอื่นทำไม



   “ฟูก็ไม่ได้อะไร...แบบ...ไม่ได้คิดว่าพี่ธันจะกลับไปรักเจ๊คนนั้น แต่...เอ่อ...มัน...มันก็...กังวลเล็กๆมั้ง...” หน้าตามันดูวุ่นวายและสับสน ตลอดเวลาที่เราคบกัน ผมไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามาข้องแวะ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเข้ามาเกาะแกะจนทำให้มันไม่มั่นใจในความรู้สึกของเราสองคนมาก่อน พอวันนี้มาเจอแบบนี้เข้า มันก็คงคิดมาก



   “ถ้วยฟู...” ผมเรียกชื่อมัน สายตามันเหลือบกลับมาสบกับสายตาผม สายตาที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข มาบัดนี้มันกลับมีแวววูบไหวประหลาดของความหวั่นไหว



“ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะพี่รักใครไม่ได้อีกแล้ว...”



   “พี่รักถ้วยฟูคนเดียว” ผมย้ำกับมันให้มันมั่นใจ ไม่อยากให้มันเป็นกังวล อยากให้มันมีแต่ความสุข อยากให้มันมีแต่เสียงหัวเราะ อยากให้มันรับรู้ความรักของผมทั้งหมด ถึงสุดท้ายแล้วจะทำให้มันหลงตัวเองหาว่าผมตายรังไปไหนไม่ได้ แต่...ผมก็อยากให้มันมั่นใจกับความรักของผม



   “อืม...” มันรับคำผมพร้อมรอยยิ้มบาง ก่อนจะก้มหน้าลงมองจานข้าว ผมรู้ว่ามันเขิน จริงๆแล้วมันเป็นคนค่อนข้างขี้อาย และไม่ถนัดกับการรับรู้ความรักจากใคร ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนชอบพูดเรื่องพวกนี้ เลยกลายเป็นว่าเราสองคนแทบไม่เคยบอกรักกันเลย แต่เพราะครั้งนี้...อะไรสักอย่างในใจผมบอกให้พูดออกไปว่าผมรักมัน...รักมันคนเดียว


   
   “...เข้าใจคิดนะ...” มันเอ่ยปากขึ้นมาท่ามกลางความเงียบระหว่างเราสองคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าว ในสายตาของมัน ณ ตอนนี้ไม่มีอีกแล้วไอ้ความหวั่นไหว ไม่มั่นคง ไม่เชื่อมั่นอะไรนั่น...



ในนั้น...มีแต่...


   ...ความกวนตีน...



   “...บอกรักสาวกกันดั้มในร้านกันดั้ม คาเฟ่ นี่ถ้าทำคลิปแล้วอัปโหลดลงเน็ต รับรองว่ายอดวิวทะลุล้าน!!!” ว่าแล้วมันก็หัวเราะลั่นอย่างสะใจ ก่อนจะตบอกตัวเองป้าบๆเหมือนภาคภูมิใจอย่างน่าเตะ



   “แหม้!! นายปวินคนนี้ทำบุญมาด้วยอะไร้?!!! อยู่ดีๆก็มีผู้ชายมาบอกรักโดยมีกันดั้มเป็นสักขีพยาน ยิ่งกว่าถูกหวยสิบงวดติดกันซะอี๊ก!!! วะฮ่าฮ่า!!!”


...คนอย่างมันนี่...ไม่น่าเลย...ไม่น่าบอกรักมันเลยจริงๆ!!!...



   “รีบกิน!! จะได้ไปที่อื่นต่อ!!” ผมรีบทำเสียงเข้มขัดคอมันเป็นการกลบเกลื่อน เพราะรู้ดีว่างานนี้ตัวเองเป็นคนไม่ดูสถานที่เอง



   “โถ โถ โถ!!! รักเค้าแน่นอกจนต้องรีบบอกในร้านกันดั้มเลยนะตัวเอง อดใจนิดอดใจหน่อย เอากลับไปบอกกันในห้องก็ไม่ได้ จะเอาโทระโข่งมะ ให้เขาได้ยินกันทั้งอากิฮาบาระ แต่ต้องพูดแบบเมื่อกี้นะ ‘...อย่ากังวลอีกเลย ยอดรัก พี่รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากคนดีของพี่คนนี้ พี่รักถ้วยฟูคนเดียว ถ้วยฟูคือฮันนี่นัมเบอร์วันของพี่…’ โอ๊ย!!” ผมเขกหน้าผากมันเข้าให้ ไอ้ถ้วยฟูเลยหุบปากเงียบไม่แซวอะไรอีก แต่สายตาขี้เล่นของมันก็ยังจับจ้องผมไม่วาง



   “ไม่กินแล้วใช่มั้ย จะได้ไป ลุก!!” ผมถามมันเสียงเข้มมากกว่าเดิมให้รู้ว่าเอาจริง


“กินจ้ะกิน โธ่ เราอ่านใจออกก็ทำเป็นดุ จริงๆแล้วอยากได้โทระโข่งมาบอกรักใช่มั้ยล่ะ” ไอ้แสบทำเป็นรีบก้มหน้าก้มตากิน แต่ปากยังแซวผมไม่เลิก จนผมต้องถลึงตาใส่มันไปที มันถึงยอมเงียบ แต่...ขอโทษเถอะครับ ถ้าใครคิดว่ามันจะหยุด ปากมันเคี้ยว ตามันจ้องอยู่แต่จานข้าว แต่เท้ามันใต้โต๊ะเตะขาผมยิกๆ รู้เลยว่าแซวทางไหนไม่ได้ ขอแซวด้วยเท้าก็ยังดี!



   “ถ้วยฟู!”



   “ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!!! ไม่ได้พูดเรื่องบอกรักในกันดั้มคาเฟ่ หรือเรื่องที่พี่ธันอยากได้โทระโข่งแล้วด้วย!!” นี่คือมึงไม่พูดแล้วใช่มั้ย?...



   “แล้วเตะขาพี่ทำไม?”



   “ก็!...” มันอ้าปากจะหาข้ออ้าง แต่พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็เลยยอมตักข้าวเข้าปากแล้วไม่พูดอะไรอีก แต่เชื่อเถอะครับ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวมันก็กวนตีนผมใหม่



   ...ไม่ประหลาดจริง รักมันไม่ได้หรอก ผมบอกเลย...


つづく
พุธหน้าค่ะ


เริ่มรู้สึกว่าเหมือนพี่ธันพาลูกมาเที่ยวเมืองนอกยังไงไม่รู้ ฮ่าฮ่า ยอมๆลูกคนนี้ไปหน่อยแล้วกันเนอะ ลูกแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว ถือเป็นเมียแรร์ ไอเทมของแท้ พี่ธันนี่มีบุญยิ่งกว่าถ้วยฟูอีกอ่ะ

แต่เหมือนสองคนนี้ไม่ค่อยได้สวีทกันเนอะ ตอนหลักก็ไม่ได้บอกรักกันแบบหวานหยดๆ เนื่องด้วยนิสัยของถ้วยฟูเป็นตัวขัดขวางหลายประการในการทำเรื่องโรแมนติก ดังเช่นตอนนี้เป็นต้น ฮ่าฮ่า

ไปพิมพ์ตอน 6 ก่อน (ทั้งๆที่เป็นสเปแท้ๆ แต่มาถึงตอน 6 ได้ยังไงเนี่ยยยยย) แล้วเจอกันใหม่พุธหน้า

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ และพื้นที่บอร์ดนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2014 22:15:11 โดย Dezair »

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
555 ฟูมันเขินแล้วกวนตีนพี่ธัน อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ก็บอกตั้งแต่แรกแล้ว ว่า นายปวิน คนนี้มัน limited edition หุหุ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ก็ต้องตามใจมาก ๆ หน่อยให้สมกับที่พี่ธันใช้งาน(ร่างกาย)ถ้วยฟูอย่างหนักเลยนิ

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ถ้วยฟูนี่ก็มุกเดิมตลอด เบี่ยงความเขิลเป็นความกวนตีนตล๊อดตลอดอ่ะ 555 ขำอีกรอบ ขอให้พี่ธันโชคดี :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
คู่นี้ยังน่ารักเหมือนเดิม  :-[

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ใกล้จะจบทริปแล้ว  ไม่จัดเต็มวันสุดท้ายให้หน่อยเหรอ แบบ ขี้เกียจไปนอนรออยู่ใต้เตียงแล้วอ่ะ   เอิ๊กๆๆๆ
ขอแบบ  ถ้วยฟูมาบรรยายะองได้มะ อิๆ
ปล   ตอนนี้หวานเวอร์   มดไต่เต็มร้านกันดั้มแล้วววว

ออฟไลน์ Bejae

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-2
โหยยยย มดกัด!!!
จะหวานกันเกินไปละ :z2:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
พี่ธัน ดีมากกกก โชคดีของถ้วยฟู ที่ได้พี่ธันเป็นสามี

ชอบที่พี่ธันบอกว่า ผมจะบอกรักมัน ถึงมันจะเห็นผมเป็นของตาย ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ถ้วยฟูมีความสุข :-[

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
น่าร๊ากกกกอ่าาาาาา. ทั้งธัน. ทั้งถ้วยฟู เลย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
ถ้วยฟูพาฮาตันหลอดดดดดด
55555555555
เขินอะไรก็ฮาไว้ก่อน 5555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด