“เรื่องพิเศษ ในเล่มพิเศษ”
“คุณคนเดียวแต่เราสองคน”
เพราะพ่อของผมเป็นต้นเหตุ..............ครอบครัวของเขาถึงต้องล่มสลาย
เพราะพ่อของผมเป็นต้นเหตุ...............แม่ของใครคนนั้นถึงต้องตาย
มันไม่ใช่ความผิดของใคร....................ผมรู้
เมื่อไหร่.............ที่คุณคนเดียวจะเข้าใจว่าความรักไม่ใช่ความผิดของใคร
ผลพวงจากความสูญเสียทั้งหลาย ไม่มีใครทำ
.....แต่มันเป็นวิบากกรรมที่เราทำร่วมกันมา
......จะมีวันไหนที่คุณคนเดียวจะเข้าใจบ้างมั้ยนะ
ขลุ่ย.....ต้องทำแบบไหน ต้องทำยังไง....ถึงจะได้คุณคนเดียวคนเดิมกลับมา
ปัง !!!!!!........โครม!!!!
เสียงดังตึงตังโครมครามมันเกิดขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เสียงที่เกิดจากอารมณ์เกรี้ยวกราดของลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน
เจ้านายตัวน้อยเพียงคนเดียวที่เรียกรอยยิ้มให้ทุกคน
บ้านหลังใหญ่ของครอบครัวเล็กๆ สามคนพ่อแม่ลูก
บ้านที่มีคนรับใช้มากกว่าเจ้านาย
บ้านที่เคยอบอุ่นยิ่งกว่าบ้านไหนๆ คุณคนเดียวที่อ่อนโยนยิ่งกว่าใครๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลือนรางจางหายไปนานแค่ไหนแล้ว
โอ๊ยยยย!!
เสียงร้องเพียงคำเดียวสั้นๆ แต่กรีดความรู้สึกของคนที่ได้ยินจนต้องห่อไหล่ด้วยรู้สึกใจหาย
สงสาร เป็นห่วง แต่ช่วยอะไรไม่ได้
ในเมื่อมันเป็นวิบากกรรม แม่บ้านวัยกลางคนจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะโบกมือไล่ให้เหล่าแม่บ้านภายใต้การควบคุมไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน
“เรื่องของเจ้านาย” เพียงแค่ประโยคสั้นๆ กลุ่มเด็กทำงานบ้านถึงได้แยกย้ายจากไปด้วยความเสียดาย
“อดทนนะคะคุณขลุ่ย ป้าเชื่อว่า สักวันคุณคนเดียวต้องเข้าใจ” ชายเสื้อยกขึ้นซับน้ำตา ถอนหายใจทอดอาลัยด้วยความจนใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลา
ร่างเด็กผู้ชายที่ลอยหวือไปกระแทกผนัง แรงปะทะที่ไม่ทันได้เตรียมตัวทำให้ฟันกระแทกริมฝีปากจนเลือดไหล มือทั้งสองข้างยกขึ้นขยำตามเนื้อตัว บรรเทาอาการเจ็บปวดจากบานประตูที่กระแทกเข้าไปเต็มแรง ตั่วสั่นเทาเพียงเพราะเดาไม่ได้ว่าต่อจากนี้จะเจออะไรที่ต้องเจ็บปวดกว่านี้อีกบ้าง รู้ว่าคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้กำลังโกรธ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ถามมีหรือที่เขาจะกล้าอธิบาย แม้แต่สายตายังต้องกดต่ำมองพื้น อย่าว่าแต่จะโวยวายเลย แต่เพียงจะหายกล้าช้อนตาขึ้นสบกับอีกสายตา ขลุ่ยเองยังไม่กล้าคิดที่จะทำเลย
“ทำไมมาช้า” คำถามที่เป็นเหมือนเหตุของการกระทำที่ผ่านมา ถ้ามันถูกใช้ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์แบบเมื่อกี้จะเกิดขึ้นมั้ยนะ หรือว่าโอกาสมันไม่ได้มีตั้งแต่ต้นแล้ว ที่ถามไปเพราะต้องการลดกระแสความแรงของอารมณ์คนถามเท่านั้นก็ไม่รู้
“ทำรายงานครับ ผมต้องทำรายงานก่อน เพราะต้องส่งก่อนแปดโมงเช้า”
“แล้วทำไมไม่ให้ใครมาบอก หรือว่าหน้าที่ตรงนี้มันไม่สำคัญ”
“ตอนแรกผมคิดว่ามันจะเสร็จก่อนที่จะต้องขึ้นมาบนนี้ ไม่คิดว่ามันจะยากจนเลยเวลามาแบบนี้” ตอบความจริงทั้งๆที่หลบตาอยู่นั่นหละ ไม่กล้าสบตาคนตรงหน้าหรอก คนอย่างขลุ่ยไม่ชินกับการมองหน้าคุณคนเดียวตอนเกรี้ยวกราดแบบนี้ คุณคนเดียวที่ขลุ่ยเคยมองมีแต่รอยยิ้มของเพื่อนหรือพี่ชายที่ใจดี แต่เรื่องที่มันผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ เวลามันย้อนกลับไม่ได้เหมือนสายน้ำนั่นแหละ
ไม่มีเสียงใดๆ หลังจากคุณคนเดียวได้คำตอบแล้ว ไม่รู้เป็นคำตอบที่น่าพอใจแค่ไหน สายตาที่ถูกบังคับให้มองแต่พื้นห้องจึงค่อย กวาดมองไปรอบๆ ไม่มีปลายขาที่ยังมองเห็นผ่านกรอบสายตาอีกแล้ว ไม่นานคำตอบที่กำลังสงสัยก็เผยออกมาผ่านเสียงของสายน้ำจากฝักบัว
เสียงพรูลมหายใจดังออกมาพร้อมเสียงซี๊ดปากด้วยความเจ็บปวด ปลายนิ้วที่ไล้ไปรอบๆบริเวณที่รู้สึกเจ็บมีเลือดสีสดติดออกมาเป็นคำตอบ
“อาาาาาาาา อูยยยยยย” ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่รู้ว่าเจ็บแต่ก็ยังจะขยับปากตอกย้ำความเจ็บให้รู้ว่ามันคือเรื่องจริงไม่ใช่แค่ฝันไป เหมือนที่ใจอยากให้เป็น รู้สึกตึงๆตั้งแต่ขอบปากจนลามไปทั่วทั้งหน้า ทำอะไรไม่ได้นอกจากขยับทุกส่วนของใบหน้าให้น้อยที่สุด ถึงแม้ร่องรอยความเจ็บปวดยังเล่นริ้วทุกครั้งที่ขยับตัวก็เถอะ
เจ็บจนชิน !!! จิตใต้สำนึกบอกแบบนั้น แต่ปฎิกริยาของร่างกายกลับตรงกันข้าม
เจ็บตามเนื้อตามตัวทุกวัน จนลืมความรู้สึกของร่างกายที่ปกติเหมือนคนอื่นๆเค้าไปแล้ว
ขลุ่ยเป็นผู้ชาย ที่โตตามวัยเหมือนผู้ชายทั่วไป ไม่ได้บอบบางเก้งก้าง แต่ก็ไม่ได้บึกบึนมีมัดกล้ามเหมือนผู้ชายที่เล่นกีฬา เตะต่อยต่อสู้ได้ ช่วยเหลือตัวเองได้
แต่กับคุณคนเดียว......ขลุ่ยไม่คิดจะทำ
ยอมเจ็บ.....ถ้ามันช่วยให้คุณคนเดียวรู้สึกดีขึ้นกับความรู้สึกโกรธแค้นที่มีต่อเขา
ยอมถูกด่า........ขอเพียงแค่ไม่ก้าวล้ำไปถึงบุพการีเพียงคนเดียวที่ขลุ่ยเคยเห็นหน้า
ต่อให้ใครๆตอกย้ำว่าพ่อของขลุ่ยชั่วช้า.....แต่ในสายตาขลุ่ยแล้วพ่อก็คือทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ
เสียงสายน้ำที่กระทบพื้นกระเบื้องเงียบลง เหมือนเรียกสติให้กลับมาอีกครั้ง
สลัดความเจ็บปวดที่เริ่มรุนแรงขึ้นทุกเวลาออกไปก่อน ถ้าไม่อยากเจ็บซ้ำที่เดิมมากไปกว่านี้
เสื้อผ้าที่คุณคนเดียวถอดทิ้งไว้เรี่ยราดตามพื้น ถูกเก็บเข้าที่ของมันตามหน้าที่
ชุดนอนอย่างดีถูกหยิบออกมาวางไว้ให้ที่ปลายเตียง เสื้อและกางเกงทั้งแบบแขนขาสั้นและยาวถูกวางเอาไว้เผื่อคนหยิบใช้จะเลือก ผ้าคลุมที่นอนถูกดึงออก พร้อมทั้งดึงผ้าปูให้เรียบตึง ทั้งๆที่มันก็ตึงอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำเหมือนเป็นขั้นตอนที่บันทึกเอาไว้จนกลายเป็นความเคยชิน
ประตูห้องน้ำถูกเปิดพร้อมไอความร้อนที่ลอยตามตัวออกมา กลิ่นหอมสดชื่นของเครื่องอาบน้ำลอยกระทบจมูกทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยตามขั้นตอน ที่เหลือคือรอ ถ้าคุณคนเดียวเลือกชุดนอนแขนสั้นก็หมายความว่าอุณหภูมิห้องเย็นสบายพอดีแล้ว แต่ถ้าเป็นชุดแขนยาว ขลุ่ยต้องปรับอุณหภูมิของแอร์ขึ้น แล้วก็รอจนกว่าจะมีคำสั่งอีกครั้ง
คุณคนเดียวเลือกใส่แขนสั้น
อาการพรูลมถอนหายใจถูกใช้เมื่อรู้สึกว่าโล่งอกจนกลายเป็นนิสัยไปแล้วสินะ ไอ้ขลุ่ย!!
“อาบน้ำหรือยัง”
“ยังครับ”
“สกปรก ทำไมไม่อาบ”
“ผมกลัวจะช้าไปกว่านี้ ทำงานเสร็จก็เลยรีบขึ้นมาเลยครับ” ไม่กล้ามองหน้าอีกแล้ว ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ทีไร ขี้ขึ้นหัวทุกทีไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“ทั้งๆที่รู้ว่าจะไม่ได้ลงไปจนกว่าจะเช้าอะนะ มีแผนอะไรหรือเปล่า”
“คะ ครับ แผนอะไรครับ”
“ช่างมันเหอะ ยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี เอ้า..นี่” ผ้าขนหนูเปียกชื้น ลอยผ่านอากาศมาตกที่หัวขลุ่ยแบบพอดิบพอดีเหมือนจับวาง
คลี่มันออกมาพร้อมกับสะบัด ก่อนจะเดินไปที่ที่มันควรจะต้องอยู่
“ทำอะไร”
“เอาผ้าขนหนูไปตากครับ” อากาศข้างนอกระเบียงกับอากาศข้างในห้องให้ความรู้สึกเย็นจนสั่นพอกัน ถึงจะเย็นคนละแบบ แต่ก็รู้สึกปวดตามเนื้อตัวมากขึ้นกว่าเดิมพอๆกัน
“ตากทำไม ชั้นหมายถึงให้นายเข้าไปอาบน้ำ หรือว่าชั้นสื่อสารผิด นายเลยไม่เข้าใจ” ทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่ใครจะกล้าพูดออกไปหละ ถึงแม้ทุกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จ คุณคนเดียวจะไม่ได้เหวี่ยงผ้าอย่างที่ทำวันนี้ นอกจากเสร็จตรงไหนก็วางไว้ตรงนั้น แล้วขลุ่ยก็จะตามเก็บไปตากให้ ใครจะไปตรัสรู้ว่าอาการแบบนี้คือคำสั่งให้ขลุ่ยเข้าไปอาบน้ำกันหละ ก็ในเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ขลุ่ยขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่อาบน้ำ
“ผมคิดว่า ถ้าทำตรงนี้เสร็จแล้วขออนุญาตกลับไปบ้านนู้นอะครับ”
“เดี๋ยวนี้เริ่มมีข้อเรียกร้องเหรอ ชั้นใจดีกับนายมากไปหรือเปล่า ถึงได้ลืมว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไร”
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเถียงไปก็เท่านั้น มันแพ้ตั้งแต่ขยับปากออกไปแล้ว
ริมฝีปากที่เตรียมจะยกเพื่อพูดประโยคถัดไปถึงถูกเม้มกลับไปที่เดิม ปิดประตูระเบียงเหมือนเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้น ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปแบบเสียไม่ได้
รู้สึกผ่อนคลายตั้งแต่โดนสายน้ำอุ่น ย้ำลงตรงหัวไหล่และแนวกล้ามเนื้อที่ปวดตุบๆ ถึงได้ลืมตัวอาบน้ำยาวนานไปหน่อย กลับออกมาอีกที คุณคนเดียวก็หลับปุ๋ยเฝ้าพระอินทร์ไปแล้วเรียบร้อย
ระเบียงถูกเลื่อนเปิดให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลับเข้ามาในห้องก็ต้องหันรีหันขวางว่าจะเอายังไงต่อไประหว่างไปหยิบฟูกมาวางแล้วนอนอยู่ด้านล่างของเตียง หรือหลบกลับออกไปเงียบๆดี สมองกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างสองทางเลือก มันตัดสินใจยากมากทั้งสองทางเพราะไม่รู้อย่างไหนจะทำให้คนที่หลับไปแล้วพอใจมากกว่ากัน เพราะทั้งสองทางเลือกเป็นทางที่ขลุ่ยไม่เคยทำเลยทั้งสองทาง
เพราะที่ผ่านมา มันไม่เคยมีทางให้เลือก นอกจากคำสั่ง
“หมุนตัวไปมาทำไม มานี่สิ”
ยกเลิกทั้งสองทางเลือก คำสั่งเกิดขึ้นแล้วตอนนี้
“บอกว่าให้มานี่ มันจะอะไรนักหนาห๊ะ ตัวสั่นทำไม ทำเป็นไม่เคยไปได้ “
ถึงไม่ใช่ผู้หญิง แต่มันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไรที่ไม่อยากเจอมากที่สุด ไม่ได้อยากจะยอม แต่มันขัดขืนไม่ได้ มันฝังใจเพราะครั้งแรกที่เจอมันเลวร้ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดมารวมกัน
แรงกระชากมากพอที่จะทำให้ร่างผู้ชายวัยสิบเก้าปีคนนึงลอยมานั่งลงบนตักแบบพอดีๆ แต่แรงกระแทกนั้นทำให้อาการปวดที่เพิ่งบรรเทาเบาบางกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง
“โอ้ย” เสียงร้องถูกเก็บกลืนเอาไว้เพียงเพราะกลัวไปกระตุ้นอารมณ์ให้ใครบางคนต้องโหดร้ายอีก
แค่นี้ก็สั่นจนควบคุมอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ทุกอย่างเป็นเหมือนทุกวันที่เคยพบเจอ ไปเรียน กลับบ้าน ทำงานรับใช้คุณคนเดียว
แล้วก็เป็นตัวอะไรก็ได้ที่คุณคนเดียวใช้ระบายอารมณ์..........บนเตียง
ซอกคอถูกฟันคมขบย้ำ ถึงแม้ไม่เกิดรอย แต่มันก็เจ็บแสบมากพอจนต้องซี๊ดปากระบายความเจ็บ
จมูกที่ฝังและลากผ่านไปมาตามใบหน้า ซอกคอและลำตัว ไม่มีส่วนไหนได้รับความอ่อนโยนทะนุถนอม มีแต่ทำตามอารมณ์ดิบเถื่อนของตัณหาที่มันพาไปเท่านั้น มันเกิดจากความใคร่ ไม่มีอะไรที่บ่งบอกขลุ่ยได้ว่ามีส่วนไหนที่รู้สึกได้ถึงความรัก น้ำตามันไม่ได้ไหลเพราะมารยาหรือความอ่อนแออะไร แต่มันไหลเพราะสมเพชตัวเอง เจ็บแต่ทำอะไรไม่ได้ อยากจะสะบัดตัวให้หลุดจากพันธนาการป่าเถื่อนดุร้าย แต่นั่นก็ได้แต่คิด ในเมื่อร่างทั้งร่างยังนิ่งให้คนตรงหน้าทำตามความพอใจ เสียงครางที่ประสานคลอกันไป มาจากความพอใจของห้วงอารมณ์ของคุณคนเดียวและมาจากความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจใครอีกคน แต่แปลก มันดันกลายเป็นเสียงเดียวกัน เพียงแค่ต่างความรู้สึกกันก็เท่านั้น
ทุกอย่างยาวนานในความรู้สึก
ร่างเปล่าเปลือยปวดหนึบทุกครั้งที่ขยับ คราบขาวขุ่นหลังจากกิจกรรมนั่นเริ่มใส และเริ่มเหนียวเกรอะกรัง แต่จะให้จัดการอะไรในตอนนี้นั้น มันก็เพลียเกินกว่าจะลุกขึ้นไปจัดการไหว
เหนื่อยและกดดันมาทั้งวัน มันยิ่งกว่าวิ่งรอบประเทศไทยอีกมั้งเนี่ย
ในเมื่ออะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ในเมื่อเจ็บปวดมาจนชาและเริ่มชิน
หากตื่นขึ้นมาแล้วต้องเจอกับอะไร ขลุ่ยก็ขอให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
เป็นผู้ชายจะร้องไห้กับทุกเรื่องจนแยกไม่ได้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน มันก็ไม่ใช่ผู้ชายอย่างขลุ่ย
ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องมาอ่อนแอเอาตอนนี้
ในเมื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ขลุ่ยก็ใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายกับพ่อมาตลอด
ถูกสอนให้เข้มแข็งตั้งแต่รู้ว่าไม่มีแม่แล้ว
ต่อสู้กับความสูญเสียและคำครหาตั้งแต่ พ่อตาย
แล้วการที่ขลุ่ยจะต่อสู้ เพื่อผู้ชายแสนดีอีกคนหนึ่งในชีวิตของขลุ่ยให้กลับมา
จะกลัวอะไร ในเมื่อในชีวิตที่เหลือ ขลุ่ยมีเพียงแค่ “คุณคนเดียว” คนนี้
ถึงแม้สิ่งที่ทำอยู่จะเป็นวิธี โง่ๆ ในสายตาใครๆ
แต่เรื่องแบบนี้ มันจะพิสูจน์ความจริงได้ ก็ต่อเมื่อใช้ ความรักเท่านั้นหละ
.
.
.
.
.
.
.
.
“ ทำไมครับพ่อ เขาดีกว่าแม่ตรงไหนครับ พ่อถึงกล้าบอกว่ารักเขา ทั้งๆที่พ่อยังมีแม่ มีผม จนวันนี้ แม่ต้องมาตายเพราะเขา แต่พ่อก็ยังบอกว่า เขาคือคนที่พ่อรัก ทั้งๆที่เขาเป็นผู้ชาย ทั้งๆที่เราเข้าใจว่าเค้าคือเพื่อนตายของพ่อ ผมกับแม่โง่มากใช่มั้ยครับ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้เกินกว่าคำว่าเพื่อน พ่อนอนกับแม่จนมีผม เค้านอนกับใครจนมีขลุ่ยออกมา แต่ว่าพวกผมไม่ได้เกิดมาด้วยความรัก ผมเกิดมาเพราะว่าหน้าที่ใช่มั้ยครับพ่อ”
“ไม่ใช่ คุณคนเดียวเป็นลูก เป็นลูกที่พ่อรัก แล้วขลุ่ยก็เป็นลูก เป็นลูกที่ลุงกรณ์รัก “
“แล้วแม่ละครับ พ่อรักแม่มั้ย พ่อรักแม่รึเปล่า”
“แม่เป็นคู่ชีวิตของพ่อ”
“แต่ไม่ใช่คนรักใช่มั้ยครับ ใช่มั้ยครับพ่อ อะไรครับที่แม่ไม่มีให้ เซ็กส์แบบถึงใจพ่อเหรอครับ เพราะผูชายด้วยกันถึงจะรู้ใช่มั้ยครับว่าต้องการอะไร เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยครับ พ่อถึงให้เค้าอยู่ในตำแหน่ง คนรัก ใช่มั้ยพ่อ”
“ไม่ใช่ เซ็กส์ต่างจากรักนะ ลูกไม่เข้าใจ”
“ใช่ ผมไม่เข้าใจหรอก ไม่มีวันจะเข้าใจ แต่พ่อไม่ต้องกลัวหรอกนะ อีกไม่นานผมจะเข้าใจ ผมจะพิสูจน์เองว่ามันต่างกันยังไง รักระหว่างผู้หญิง และผู้ชาย”
“คุณคนเดียว ลูกอย่าทำแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องมาหาคำตอบ ถึงลูกหามันก็ไม่เจอถ้าลูกให้อารมณ์โกรธตามหา ให้ทุกอย่างมันเป็นอดีตเถอะนะ ในเมื่อคุณกรณ์ก็ตายไปแล้ว แม่ก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เรามีกันแค่สามคน เราเดินไปข้างหน้าได้มั้ย “
“ผมจะไม่เดินไปไหน ถ้าผมพิสูจน์ไม่ได้ ว่าเพราะอะไรพ่อถึงรักเค้า แม่ต้องตายเพราะทนกับความอัปยศนี้ไม่ได้ ใครที่มันมีส่วนก็ต้องชดใช้”
“แล้วคุณคนเดียวจะเสียใจ”
“ผมยอมเสียใจ”
“คุณคนเดียวจะไม่มีวันรู้หรอกว่า ทำไมพ่อถึงกล้าบอกว่ารักคุณกรณ์ คุณคนเดียวจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงรักผู้ชายด้วยกัน ความแค้นมันพิสูจน์ความจริงไม่ได้หรอกลูก”
“แล้วผมต้องใช้อะไรพิสูจน์หละ เซ็กส์เหรอ ผมจะลองฝืนใจทำแบบนั้นก็ได้ ในเมื่อพ่อทำได้ ผมก็ทำได้เหมือนกัน”
“ไม่ใช่เซ็กส์ คุณคนเดียวจะไม่มีวันรู้ ถ้าคุณคนเดียวไม่ได้รัก ถ้าคุณคนเดียวรักผู้ชายด้วยกันขึ้นมาวันไหน วันนั้นคุณคนเดียวจะเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงได้รักคุณกรณ์”
ไม่รู้ว่าวันนั้นที่พ่อบอกมันจะมีมั้ย
แต่คนที่จะพิสูจน์ ผมบอกได้คำเดียวว่ามีแล้ว
ตัวแทนของใครคนนั้น ไม่ใกล้ไม่ไกล และเขาจะไม่มีวันไปจากผม
ถ้าไม่ใช่คำสั่ง........ขลุ่ยต้องรับผิดชอบทุกอย่างแทนเค้าคนนั้น
คนที่ได้ความรักของพ่อไปจากแม่ คนที่ทำให้แม่ผมตาย[/color]
สวัสดีค่ะ
เรื่อง “คุณคนเดียว....แต่เราสองคน” เป็นเรื่องสั้น (ที่ไม่รู้จะเรียกว่าเรื่องสั้นได้มั้ย) ตั้งใจแถมให้ในรวมเล่ม
“เมื่อแหงนมองจันทร์.....ผมเห็นตะวัน” เป็นเรื่องที่เหมือนจะปวดใจ แต่ตามนิสัยแล้วไม่แต่งอะไรที่จบแบบเศร้าๆหรอกนะค่ะ โปรยให้อ่านกันตอนเดียวเท่านั้นนะ ถ้าใครสนใจก็รออ่านต่อในเล่มนะคะ ส่วนใครที่ไม่ได้ซื้อเมฆกับฉานเก็บไว้ ก็รออ่านหลังเสร็จเรื่องงานรวมเล่มหนังสือนะค่ะ ที่เล้าเป็ดนี่แหละค่ะ
ส่วนเรื่องเมื่อแหงนมองจันทร์ ผมเห็นตะวัน ตอนพิเศษมันจะเยอะไปแล้วมั้ย.....(ยัดลงไปหมดรึเปล่ายังไม่รู้เล้ยย)
จริงๆมีตอนดราม่าอยู่หนึ่งตอนที่ไม่รู้ว่าจะลงดีมั้ย เคยบอกนุ้งเซมากูเตะว่า ถ้ามีคนสงสัยจะลงให้ แต่ไม่มีใครสงสัยเลยว่า แม่นิ่มไม่ได้สนิทจริงๆกับแม่ของเมฆสักเท่าไหร่ ทำไมถึงได้เลี้ยงเมฆแล้วเมฆมันเป็นหนอนไม้ไผ่เหรอ ทำไมมันไม่มีพ่อ จริงๆมีแค่พล็อตนะ ยังไม่ได้แต่ง ขอให้ไม่สงสัยกันต่อไป ส่วนไอ้คนที่เมฆมันบอกว่าจูบกันนั้น เชื่อเมฆได้แน่เหรอ 5555