มาแล้ว วันนี้จะโกหกไรดีหว่า

แอร๊ยยยส์เค้าเริ่มกันแล้วค่า

======================================
ตอนที่ 15นาฬิกาดิจิตอลแบบคลาสสิคติดผนัง บอกให้รู้ว่าวันใหม่ได้ล่วงเลยมานานจนใกล้เที่ยงแล้ว
เสียงนกร้องยังมีให้ได้ยินอยู่บ้างประปราย
แต่แสงแดดไม่ได้แทรกเข้ามาทำลายบรรยากาศการนอนได้เลย
ในเมื่อมีผ้าม่านอย่างดีที่มีแบคเอาท์กรองแสง ไว้ได้แทบจะทั้งหมด
ผมกับไอ้ฉานกลับบ้านมาตั้งแต่เย็นของเมื่อวานหลังจากส่งโปรเจคสอบไฟนอลอันมหาโหดเสร็จ
สอบไฟนอลของคณะผมและไอ้ฉาน มีวิชาหลักไม่กี่วิชา จึงไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ในการสอบ
แต่สิ่งที่สูบพลังวิญญาณของท่านเมฆและไอ้ฉาน จนต้องรีบหอบสังขารกลับบ้านทันที ที่ภาระกิจเสร็จ
คือโปรเจคของแต่ละคนที่ต้องส่งก่อนปิดเทอมนี่แหละครับ ต้องใช้ไอเดียล้วนๆ ในการปั้นงานขึ้นมา
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า เวลาผมกับไอ้ฉานกลับบ้าน เราจะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครกล้ารบกวน
แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ พี่เมฆนอนจนเกินพอแล้ว ความหิวเริ่มเข้ามาทำลายเนื้อเยื่อบางส่วนของกระเพาะอาหาร
ให้พี่เมฆต้องทรมาน เดินหัวฟู ออกจากห้องเพื่อลงไปหาอะไรกินสักที ป่านนี้แม่นิ่มคงเตรียมไว้จนเอามาอุ่นเพื่อให้มันเย็นชืดไปรอบเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ก้าวกระโดดลงบันไดมาด้วยความเร็ว สองขั้นต่อหนึ่งวินาที
และขาข้างหนึ่งกำลังจะแตะพื้น แล้วนั้น ก้ต้องผงะไปกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
และผมก็คิดว่า ต้นเสียงเองก็ไม่ได้ต้องการให้ผมได้ยินเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนี้ มันเป็นความบังเอิญของผมเอง
“ฉานจะลงใต้ วันไหนเหรอลูก” เสี้ยงนี้ผมคุ้นเคยดีครับ แม่นิ่มนั่นเอง
“วันเสาร์ที่จะถึงนี้แหละครับแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงนี้ผมก็โครตจะคุ้นเคยดีเหมือนกันครับ
ฉานแสง สามีในนามของผมเอง
ไม่สิ ผมกับมันจูบกันแล้ว
แบบนี้เรียกว่าผมตกเป็นของมันได้หรือยัง
“ดีเลยๆ แล้วฉานไปกี่วัน แม่จะได้เคลียร์ทางนี้ให้จบก่อนฉานกลับมา” เอ๊ะ แม่นิ่มมีอะไรจะต้องเคลียร์ครับเนี่ย
“ผมกลับจากจากแม่เคลียร์เรื่องจบก่อนก้ได้ครับ ผมไม่ได้บอกเมฆไว้ ว่าเราจะไปกันกี่วัน” เอ๋ เรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับผมรึเปล่านะ
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันฉาน ว่าครั้งนี้แม่จะต้านทานไว้ได้แค่ไหน แต่ฉานเข้าใจแม่ใช่มั้ย ถึงเค้าบอกแม่ว่า เค้าแค่ฝากแม่ไว้
แต่แม่เลี้ยงของแม่มาตั้ง 15 ปีนะฉาน ถึงเค้าจะอุ้มท้องของเค้ามา แต่แม่หนะเลี้ยงของแม่มามากกว่าที่เค้าอุ้มท้องแล้วเลี้ยงมาอีกนะ “
“แม่นิ่มใจเย็นๆนะครับ ผมเชื่อว่า คราวนี้เราก็ต้องผ่านมันไปได้ เหมือนทุกครั้งที่เราผ่านมาได้ ผมรู้ว่าแม่ไม่อยากเสียเมฆไป
ผมเองก้ไม่อยากเสียมันไป ไกลขนาดนั้น “
“ฉาน ฉานพาเมฆเที่ยวให้สบายใจนะลูก เรียนหนักกันมาทั้งเทอม ทางนี้ แม่จะเคลียร์ไว้ รอลูกกลับมา เรียนต่อในเทอมหน้านะฉาน แม่ฝากฉานด้วยนะ เข้าใจแม่ใช่มั้ยฉาน ฉานเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่คนนี้ ที่มีเค้าเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจเพียงสิ่งเดียวด้วยเถอะนะ ฉานจะโทษจะที่แม่เห็นแก่ตัวที่จะเก็บเมฆไว้เป็นของแม่คนเดียวก็ได้ แต่ขออย่างเดียว ถ้าเมฆยังอยู่กับแม่
แม่ก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต่อให้เค้าจะตัดน้ำหล่อเลี้ยงแม่ แม่ก็จะหาของแม่เอง “
“ไม่เลยครับแม่ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เพราะถ้านั่นคือการเห็นแก่ตัว ผมเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแม่เลย”
ขาข้างที่กำลังจะส่งถึงตัวพื้น ถูกดึงกลับมาทันที เรี่ยวแรงที่มากมายมหาศาลเมื่อกี้หายไปไหนหมดไม่รู้
ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอาปั้นจั่นขนาดใหญ่ดึงสูงขึ้นไปเสียดฟ้าแล้วปล่อยลงมากระแทกใส่หัว
มันเจ็บก่อนในตอนแรก แล้วค่อยๆกลายเป็นความรู้สึกชา เล่นริ้วไปทั่วร่างกาย
หัวใจของผมปวดหนึบไปหมด จนผมต้องกำมือจนเล็บจิกผ่านเนื้อเข้าไป
เพื่อผ่อนคลายอาหารบีบรัดของก้อนเนื้อก้อนนั้น
สมองของผมว่างเปล่า กำแพงหนาของบ้านกลายเป็นสิ่งๆ เดียวที่รับร่างที่อ่อนล้าของผมได้ในตอนนี้
ผมหอบหายใจหนัก ถี่ เพื่อให้อากาศไหลเวียนในร่างกายให้ใกล้เคียงปกติอย่างที่สุด
แต่มันยากเหลือเกินครับ กับสิ่งที่ผ่านหูผมไปเมื่อครู่นี้
กระบอกตามันร้อนผ่าวของมันเอง และน้ำตาบ้าๆนี่มันไหลออกมาเองตอนไหนผมก้ไม่รู้ได้
ร่างกายและความรู้สึกนี้ เป็นของผม แต่ ผมควบคุมมันไม่ได้เลย
มันน่าดีใจไม่ใช่เหรอครับ ที่บทสนนาเมื่อครู่นี้ บอกชัดเจนว่า ทุกคนกำลังวางแผนเพื่อเก็บผมเอาไว้
มันชัดเจนทุกคำพูดว่าผมเป็นที่ต้องการของทุกคน
แล้วไอ้อาการปวดหนึบจนแทบอยากจะหยุดหายใจนี่หมายความว่าอะไร
แล้วไอ้ที่สมองกลวงๆของผม มันประมวลได้ว่า
ผมกำลังถูกปิดบังและหลอกลวง
มันคืออะไร ใครจะอธิบายผมได้
“เมฆ ๆ เป็นอะไรเมฆ มึงไม่สบายรึเปล่า มึงเป็นอะไร ลุกไหวไหม”
ผมไม่มีแรงจะตอบคำถามไหนสักหนึ่งคำถามหรอกครับ
แค่ให้ตัวเองยังมีลมหายใจต่อไปยังลำบาก
ไอ้ฉานพยายามพยุงผมขึ้นมาถึงห้องอย่างทุกลักทุเลเต็มที
จะเรียกว่าพยุงคงไม่ถูก เรียกว่ามันคงอยากจะอุ้มผมขึ้นมานั่นแหละ
ถึงแม้ผมจะตัวไม่โตเท่ามัน แต่ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กอะไรมากมาย
ถึงแม้ผมไม่ได้กำยำล่ำสันอย่างชายไทยหุ่นนักกีฬาที่ไหน
แต่ด้วยสรีระของผู้ชาย มันก็ไม่ได้ง่ายกับการอุ้มเท่าไหร่นัก
เรียกว่าไอ้ฉานมันกึ่งลากกึ่งถูผมมาได้ โดยที่ร่างกายผมไม่ได้สนองตอบอะไรมันเลยสักนิดเดียว
“เมฆ ร้องไห้ทำไมเมฆ มึงเป็นอะไร บอกกูสิเมฆ “ ผมเองก็ไม่รู้ว่า สภาพร่างกายของผมที่แสดงออกมาในสายตามันตอนนี้เป็นยังงัย
แต่มันพยายามตบแก้มผม พร้อมร้องเรียกอยู่อย่างนั้น ด้วยแววตาที่เรียกได้ว่ามากกว่าความตกใจ
“มึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ยฉาน” ผมพยายามได้มากสุดก็แค่เอ่ยประโยคนี้ออกไป
แล้วเสียงที่ผมคิดว่าได้ตะโกนออกไป มันคงดังกว่าการกระซิบแค่นิดเดียว
“ได้สิเมฆ มึงใจเย็นๆนะ มึงสงบสติก่อน กูอธิบายได้ทุกอย่างเมฆ” ผมคิดว่า ผมกำลังคลี่ยิ้มออกมาท่ามกลางม่านน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย สองมือผมปะป่ายดึงรั้งไอ้ฉานเข้ามาใกล้
เวลานี้ถึงแม้ผมจะรู้สึกอ้างว้างและสับสนอย่างที่สุดขนาดไหน
แต่ผมก็ยังอยากมีใครสักคนอย่างข้างๆกายผมอยู่ดี
ถึงแม้ว่า คน คนนั้นจะเป็นหนึ่งคนที่ทำให้หัวใจของผมอ่อนล้าอยู่ในขณะนี้ก็ตาม
สองมือผมคว้าร่างของไอ้ฉานเอาไว้ได้ พร้อมๆกับที่มันวาดแขนมาโอบกอดผมไว้
สองมือมันพยามลูบหลังผมไปมา สลับกับถอยห่างออกมามองหน้าผม
สองมือมันประคองใบหน้าผม ให้หันมาประจันหน้ามัน ก่อนที่จะค่อยๆโน้มหน้าผมเข้ามาใกล้ๆ
มันเอาปลายจมูกมันไล้ไปมาที่ข้างแก้ม ปัดเป่าไปมาเบาๆที่ขมับทั้งสองข้าง
มันใช้มือข้างนึงเกลี่ยปอยผมที่เริ่มหลุดมาปรกหน้าเหน็บไว้กับใบหู
ชายเสื้อข้างนึงของมันโดนแปรสภาพเป็นทั้งผ้าเช็ดน้ำตาและน้ำมูกไปพร้อมกัน
ชั่วระยะเวลานึงที่ร่างกายและจิตใจผมสงบลงบ้างแล้ว
“เค้ากำลังจะกลับมาใช่มั้ย ไม่ใช่สิ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มึงและแม่รู้ใช่มั้ยว่าเค้าไม่ได้ไปไหนไกลกูเลย”
มันไม่ได้ตอบอะไร แต่มันดึงผมกลับเข้าไปกอดพร้อมกับที่มือมันกดหัวผมไว้กับไหล่ ของมัน ผมยอมที่จะซบหน้าไว้อย่างนั้น
ผมรู้ว่ามันพยักหน้าแทนคำถามที่ผมอยากรู้ เพราะปลายคางมันกระทบกับหัวผม
“แล้วทำไมทุกคนต้องปิดบังกู เรื่องนี้เป็นเรื่องของกูไม่ใช่เหรอ เรื่องของกู กูตัดสินใจเองได้”
ผมรับรู้ถึงแรงรัดที่รัดตัวผมแน่นขึ้น ความรู้สึกเจ็บมันหายไปจนชาแล้วครับ
แรงกอดรัดในครั้งนี้ มันจึงรู้สึกว่าร้อนวูบวาบเข้ามาแทนที่ ไอ้ฉานรัดผมจนแน่น
มันกดจมูกลงมาบนหัวผม สูดลมหายใจอย่างแรง จนผมคิดว่า
หัวผมเป็นบ่อแห่งพลังงานเรียกความมั่นใจหรืออย่างไร มันถึงได้สูดเอาๆแบบนั้น
ก่อนที่มันจะผละออกมาสบตากับผม ผมเองก็สบตาตอบมัน เราอ่านความจริงทุกสิ่งอย่างกันทางสายตาอีกครั้ง
“พวกเราไม่มีใครอยากเสียมึงไปงัยเมฆ ขอโทษนะ ที่เห็นแก่ตัวแบบนี้”
“มึงรู้ได้งัยว่ากูจะไป มึงดูถูกน้ำใจกูได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
“กูขอโทษเมฆ กูขอโทษนะ” มันเอ่ยคำว่าขอโทษกับผมทั้งทางวาจาและทางสายตา
ผมค่อยๆกอดรัดมันกลับไปบ้าง มือผมที่ขยำชายเสื้อมันไว้ในตอนแรก ตอนนี้ได้คลายลงไปโอบหลังมันไว้แทน
หน้าผมซบอยู่กับอกมันสักพัก จนคิดว่าหัวใจตัวเองพร้อมแล้วตอนนี้ที่จะบอกมันว่า
“ไม่ว่ามึงหรือแม่ กุก็ไม่มีวันทิ้งใครหรอกฉาน ไม่มีวันจริงๆ” ผมไม่รู้ว่าคำพูดผมจะเป็นที่เชื่อถือของมันได้มั้ย
ผมผละตัวออกมองมองหน้ามันนิดนึง มันนิ่งไปเมื่อได้ฟังประโยคนั้นกับผม
และนั่นก็ทำให้ผมอึดอัดใจอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าประโยคที่ผมพูดออกไปนั้น มีปฎิกริยาอย่างไรกับจิตใจมันบ้าง
ผมไม่อยากให้มันเงียบ จึงเสือกร่างเข้าไปเข้าใกล้มันอีกครั้ง ผมพยามแหงนหน้าเพื่อหาคำตอบในสายตามัน
ก่อนที่จะได้คำตอบจากสายตาคู่นั้นกลับมา ริมฝีปากผมก็ถูกครอบครองจากกลีบปากของมันซะแล้ว
กำลังจะอ้าปากประท้วงเค้นเอาคำตอบที่อยากได้ กลายเป็นเปิดทางให้ลิ้นมันเข้าควานหาปลายลิ้นของผม
ดวงตาที่เบิกโพรงกับสิ่งที่รุกล้ำเข้ามาในตอนแรก กลายเป็นต้องหรี่ปรือลงทันที่ ที่ปลายลิ้นของมันควานหาปลายลิ้นผมเจอ
มันดุดกลืนรสชาติจากลิ้นผมจนพอใจ ก่อนที่จะตวัดหารสชาติต่อไปรอบๆโพรงปากผม ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มถูกลืมเลือน
กลายเป้นความอยากรู้อยากลอง
จากตอนแรกที่แผ่วเบา อ่อนหวาน
โดนกระตุ้นจากบางอย่างภายในร่างกายที่มันเริ่มโหมกระพือขึ้น กลายเป็นความเร่าร้อน สองมือของมันเริ่มปะป่ายเข้ามาทางชายเสื้อของผม ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง เร่งเร้าให้ผมต้องทำแบบนั้นกลับไป เพื่อบรรเทาความร้อนรุ่มข้างในกายผมบ้าง
ไม่รู้ว่าต้องเรียกว่าสัญชาตญาณ หรือสันดานดิบภายใน ที่เริ่มสั่งสอนให้ผมส่งปลายลิ้นเข้าไปสำรวจในปากมันบ้าง
นั่นกลายเป็นว่าผมไปกระตุ้นให้มันกลายเป็นจูบที่รุนแรงยิ่งขึ้น ลิ้นร้อนชื้นของไอ้ฉานถึงได้ดูดกลืน บดเบียด และรุกรานโพรงปากผมได้อย่างเอาแต่ใจ
เมื่อผมขยับปลายลิ้นหนี มันก็ตวัดรุกไร่ตามมา ลิ้นต่อลิ้นแลกกันอย่างเร่าร้อน
ปากของเราสองคนแลกจูบกันแบบไม่รู้จักอิ่ม เหมือนบางที่สิ่งเราซ่อนมันไว้นานแสนนาน เมื่อตามหากันจนเจอ
สิ่งนั้นจึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่เราต้องตักตวงไว้ให้มากที่สุด สองแขนของผมตวัดรอบคอไอ้ฉานเมื่อไหร่ไม่รู้
และตัวผมขึ้นมาอยู่บนตักไอ้ฉานด้วยตัวของผมเองหรือว่าด้วยมือมารของมันนั่นก้ไม่ทราบได้
ในเมื่อร่งกายของผมมันวูบโหวงไปขนาดนี้ และมือไอ้ฉานเริ่มรุกรานส่วนอื่นในร่างกายให้ผมต้องหวั่นไหวเบียดกายเข้ารับความรู้สึกแปลกใหม่มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนกระตุ้นพายุที่มันพร้อมจะโหมออกมาได้ทุกเมื่อ
ก่อนที่อะไรๆ มันจะล่วงเลยมากไปกว่าวันวานนี้
ก่อนที่สมองและหัวใจผมจะต้องทำงานหนักมากไปกว่านี้
และก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งยากมากขึ้น
“ฉานพอเถอะนะ”
“ฮือออออออออ” มันเหมือนเสียงสัตว์ร้ายที่ถูกนายพรานยิงธนูเข้าใส่ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ปวดร้าว ทรมาน ไปทั้งร่างกาย
==========================================

อายมากมาย
ฉาน อย่าาา อย่าช้า
