Boy's Story ให้รักนำทางใจ ( พิเศษ ) ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ หน้า ๓๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ชอบเรื่องนี้หรือเปล่า

เฉยๆๆ
18 (5.9%)
ชอบ
280 (92.1%)
ไม่ชอบ
6 (2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 181

ผู้เขียน หัวข้อ: Boy's Story ให้รักนำทางใจ ( พิเศษ ) ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ หน้า ๓๔  (อ่าน 305971 ครั้ง)

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5. ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้ แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยาย ในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็น เวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





 :monkeysad: :monkeysad:



                                       ตอนแรก

ผมตัดสินใจอยู่นานกว่าจะกดกริ่งประตูไม้สีน้ำตาลเกือบดำสนิทนี้ บ้านเลขที่ก็หล่นหายไปตัวเลขหนึ่ง เพราะมีแค่เลขต้นกับเลขท้าย ส่วนตรงกลางหล่นหายไปแล้วเหลือเพียงร่องรอยให้เดาว่าเป็นเลขอะไร ผมมาที่นี่เพื่อสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษ ให้กับเด็กนักเรียนมัธยมห้า ที่ผมรับสอนพิเศษด้วยแม่ของผมกับแม่ของเด็กคนนี้สอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แม่จึงเสนอความช่วยเหลือ ผมเองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เหลือเล่มสุดท้ายก็จบแล้ว ความจริงผมไม่มีงานค้าง ฝึกงานก็เสร็จแล้ว รอแค่รับใบปริญญาบัตรอย่างเดียว เพราะวิชาที่เหลือ โครงงานก็ทำไว้ก่อนแล้ว เหลือแค่ส่ง ผมจึงไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ วันปกติถ้าไม่มีเรียนผมก็ไปทำงานที่บริษัทรับตกแต่งภายในของพี่สาวของพล พลคือเพื่อนสนิทของผม อีกคนหนึ่งคือจ๋า ผมกับจ๋าเรียนมัธยมมาด้วยกัน จนเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนพลมาสนิทกันเรียนอยู่ปีหนึ่งเทอมสอง เพราะเทอมแรกมัวแต่เขม่นกันอยู่ ที่จริงผมเรียน มนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่สาวพลรับเข้าทำงาน คงเป็นเพราะผมเป็นเพื่อนของพล ส่วนหน้าที่ในบริษัทก็จัดเอกสาร ตรวจสัญญาภาษาอังกฤษ เตรียมแผนงานเสนอลูกค้า สรุปคือถ้าทำอะไรได้ก็ทำไป

ผมอยู่กับแม่สองคน แม่ผมชื่ออรอนงค์ แม่เป็นครูสอนภาษาไทยอยู่โรงเรียนประถมแถวพระโขนง ส่วนผมชื่อ ยศภาค หรือ โย พ่อผมเสียไปตั้งแต่ผมเรียนอยู่ประถมต้น จำได้ว่าพ่อเสียเพราะโดนยิง พ่อผมเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ยศชั้นตรีที่เพิ่งได้ตำแหน่งมา พ่อผมเสียชีวิตในเขตชายแดนภาคใต้ ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียใจมากร้องไห้กับแม่สองคน แต่ที่จริงผมเพิ่งรู้ว่าวันนั้นไม่ใช่วันที่ผมเสียใจที่สุด เพราะแต่ละวันกับการใช้ชีวิตอยู่แบบไม่มีพ่อมันแสนจะปวดร้าวเสียใจ จนความเสียใจนั้นมันรางเลือนไปตามกาลเวลา แม่เองก็เสียใจมาก แต่ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ตอนที่ไม่มีพ่ออยู่ เว้นจากวันที่เรารู้ข่าว กับวันที่รับศพพ่อมาทำพิธีทางพุทธศาสนา แค่นั้นจริงๆที่ผมเห็นแม่ร้องไห้ แต่แม่เองก็จะเว้นจากการพูดถึงพ่อ ผมก็เข้าใจแม่คงจะยังเสียใจอยู่มาก แต่ผมก็นับถือความอดทนของแม่มากเพราะแม่เองไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผมเห็นสักครั้ง แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ และคอยบอกผมอยู่เสมอว่า

 “ถึงแม้เราจะไม่มีพ่อ ก็ใช่ว่าเราจะทำตัวเหมือนไม่มีใครเคยอบรมสั่งสอน”

แม่คอยสั่งสอนในสิ่งที่ถูกพร้อมทั้งชี้ให้เห็นความแตกต่างของสิ่งที่ไม่ควรทำและสิ่งที่ควรทำ ผมภูมิใจในตัวแม่มาก ถึงแม้ผมจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเป็นคนดี ถึงแม้จะจำหน้าพ่อได้รางเลือนแต่ผมก็รักพ่อมาก เท่าที่จำได้พ่อมักให้ผมซ้อนจักรยานแล้วปั่นออกไปรอบหมู่บ้านตอนเย็นๆ เสื้อผ้าทหารยังมีอยู่เต็มตู้ มันไม่เคยเก่าไปเลย เพราะแม่เก็บมาซักรีดอยู่เป็นประจำ แม่บอกว่าเวลาแม่คิดถึงพ่อก็เอาเสื้อผ้าของพ่อนี่ล่ะออกมาซัก เพราะแม่รู้ว่าพ่ออยู่กับเราตลอดเวลา พ่อคอยจ้องมองเราอยู่ คอยให้กำลังใจคอยเป็นแสงนำทางให้แม่และผมทำในสิ่งที่ดีนั่นล่ะครับ

 ผมใช้ชีวิตวัยรุ่นไม่หวือหวาอะไรนัก ส่วนมากก็ใช้เวลาอยู่กับแม่ ช่วยแม่ทำงานบ้านทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนชิน จะออกไปเที่ยวบ้างก็เป็นวันพิเศษจริงๆ อย่างวันเกิดของจ๋า หรือไม่ก็พล เพื่อนทั้งสองก็เข้าใจจนพักหลัง บ้านผมเองกลายเป็นที่รวมตัวของบรรดาเพื่อนๆ

ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนที่จะมีคนมาเปิดประตู ผมกดกริ่งไปนานพอสมควรจนจากประหม่าจนเริ่มจะสงสัย เสียงประตูบ้านเปิดออก มีเด็กชายตัวเล็กยืนมองหน้าผมอยู่

“มาหาใครครับ”

 เขาถามพลางเอาตัวออกมาจากประตูครึ่งตัว

“เอ่อ คือพี่มาสอนพิเศษ ที่นี่คือบ้านอาจารย์ปริศนาใช่ไหมครับ”

 ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องพูดสุภาพขนาดนี้กับเด็กตัวกระเปี๊ยกที่ยืนอยู่ตรงหน้า

 “อ้อ ครับ เชิญครับ พี่โยใช่ไหม”

เขาเปิดประตูกว้างขึ้น เพื่อให้ผมเข้าไปในบ้านแล้วยกมือไหว้ผม เออเด็กคนนี้มันน่ารักดีนะ

 “ครับ เราล่ะ ชื่ออะไรครับ”

 “ผมชื่อโอ ครับ พี่ไม่ได้มาสอนผมหรอกนะ แต่มาสอนพี่เอ”  “อ้อครับ”

เขาปิดประตูบ้านหลังจากที่ผมเข้าไปในบริเวณบ้านแล้ว ขวามือเป็นที่จอดรถ ซ้ายมือเป็นผนังกำแพงซึ่งติดกับบ้านหลังอื่น ทาง เข้าบ้านมีชั้นรองเท้าที่มีรองเท้าอยู่หลายคู่วางระเกะระกะล้นออกมาจากชั้น ประตูไม้บานใหญ่ดูแข็งแรงเปิดทิ้งไว้ ผมได้ยินเสียงของอาจารย์ปริศนาดังแว่วออกมา โอวิ่งเข้าไปในบ้านก่อน ผมก็ยืนลังเลอยู่แล้วจึงถอดรองเท้าเดินตามเข้าไป

“แม่ๆ ครูสอนพี่เอมาแล้ว”

 โอวิ่งไปเกาะแขนแม่ที่กำลังง่วนอยู่กับการจับนั่นจับนี่ ความจริงผมคุ้นหน้ากับอาจารย์ปริศนาเป็นอย่างดี เพราะเคยไปรับแม่ที่โรงเรียนบ่อยๆ เคยคุยกันบ้างแต่ก็ไม่มาก บางทีอาจารย์ปริศนาเองก็เคยมาที่บ้านมานั่งคุยกับแม่ ผมยกมือไหว้อาจารย์ปริศนา

“อ้าวโย มาแล้วเหรอลูก มาๆ นั่งก่อน”

 อาจารย์ปริศนารับไหว้พลางเดินไปนั่งที่โซฟา ผมเดินค้อมตัวไปนั่งตรงข้าม โอนั่งลงข้างๆแม่ของเขา

“ตาโอ ไปตามพี่มาหน่อยซิ นี่คงจะเล่นเกมอยู่แน่ๆ”

อาจารย์ปริศนาหันหน้าไปทางลูกชายคนเล็ก แล้วบุ้ยปากไปข้างบนบ้าน ดูเหมือนโอจะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี

“วันนี้ แม่ว่าจะพาตาโอไปเรียนว่ายน้ำเดี๋ยวโย อยู่สอนน้องที่บ้านนะลูก แม่คงกลับสักสี่โมง เดี๋ยวกลับมาทำกับข้าวให้กิน เด็กเดี๋ยวนี้สอนยาก แม่ล่ะเหนื่อย ลูกตัวเองก็จะทำลมจับอยู่แล้วต้องสอนลูกคนอื่นอีก โอยนั่นยิ่งลิงทโมน อรเขาไม่บ่นให้ฟังบ้างเหรอลูก”

“ก็นิดหน่อยครับ แต่แม่ชอบสอนเด็กๆ เลยไม่ค่อยบ่นเท่าไหร่” ผมยกย่องแม่

 “เห็นแม่บอกว่าตอนอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนเด็กก็รักมากนี่ครับ เพราะใจดี” ผมรีบหักล้างคำพูดของตัวเองเพราะกลัวแกน้อยใจ

 “โอ๊ย อรเขาก็พูดเกินไป ก็เรามีลูกแล้วนี่ เลยเข้าใจว่าเด็กๆมันต้องการอะไร จะบังคับมันมากเดี๋ยวก็พาลโกรธ เกลียดเราเปล่าๆ ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ มีอะไรก็ค่อยๆบอกค่อยๆสอนไป อย่างตาเอ มันติดเกมส์ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แม่ก็ไม่ว่ามัน แต่ก็คอยแนะว่าต้องดูหนังสือบ้าง แต่ดูเหมือนกรรมของแม่ มันไม่เอาไหนเลย”

“แต่เห็นแม่บอกว่าน้องเขาเก่งเลขไม่ใช่เหรอครับ คงจะไม่ถนัดเรื่องภาษาเท่าไร ผมเองเลขก็ไม่เอาไหนเหมือนกันครับ”

”อาจจะจริง ยังไงก็ช่วยน้องหน่อยนะลูกแม่ฝากล่ะ อย่าให้เขาว่าได้เลยว่าลูกครูสอนภาษาอังกฤษแต่ลูกตัวเองติดศูนย์ทุกเทอม มันคิดยังไงของมันไม่รู้อยากสอบเข้าเรียนวิศวฯ ไอ้เรียนเลขเก่งน่ะ อย่างเดียวมันพอที่ไหน ภาษาอังกฤษมันไม่กระดิกเลย แม่ล่ะกลุ้มใจ ดีนะที่อรเขายอมให้หนูมาช่วย”

อาจารย์ปริศนาพูดพลางหัวเราะ ทำให้ผมหัวเราะไปด้วย พอดีกับที่โอเดินกึ่งวิ่งลงมาจากชั้นบน

“พี่เอเล่นเกมอยู่จริงๆแหล่ะแม่ โอขอเล่นก็ไม่ยอม”

เขาวิ่งเข้ามากอดแขนแม่

 “ไม่ต้องเล่นหรอกลูกเดี๋ยวแม่พาไปว่ายน้ำ กลับมาค่อยเล่น หนูไปอาบน้ำไป”

ผมอมยิ้มกับการที่แม่ลูกคลอเคลียกัน อาจารย์ปริศนาพูดพลางลูบหัวโอ เสียงเดินลงส้นเท้าหนักลงมาตามบันได

 “อ้าวเอ นี่พี่โย ไหว้พี่เขาเสียสิ พี่เขาจะมาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้”

 ผมหันไปตามสายตาของอาจารย์ปริศนา ผมผงะเล็กน้อย เพราะคนที่เดินลงมาดูเหมือนจะไม่ใช่นักเรียนมัธยมปลายเสียเลย เขาตัวสูงใหญ่ตัวหนาๆ หนวดเครายังเป็นไรอ่อนๆ เขายกมือไหว้ผมด้วยสีหน้าปกติเฉยชาเสียจนผมเสียวสันหลังวาบ จะรอดไหมเนี่ย ผมคิดในใจ

 “แม่จะไปไหนครับ”

”แม่จะพาโอไปเรียนว่ายน้ำ เดี๋ยวแม่กลับตอนเย็นๆ ตั้งใจเรียนล่ะลูก”

 เสียงเขาทุ้มต่ำดูดุทีเดียว ผมต้องหลบหน้ามองกลับมาทางอาจารย์ปริศนา

“อะไรโย หน้าซีดเชียว กลัวน้องมันเหรอ”

 ตายล่ะสิ พูดแทงใจดำผมทีเดียว พูดเสร็จก็หัวเราะ

 “น้องมันตัวโตอย่างนี้แหล่ะลูก พ่อมันตัวโต น้องมันว่าง่ายมีอะไรก็ดุได้เลยแม่อนุญาต”

ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เขามานั่งข้างๆแม่ แล้วจ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า อะไรกันเด็กคนนี้เสียมารยาทจัง ผมคิดในใจ

 “พี่เรียนอยู่เหรอครับ”

เขาถามผมสูดหายใจเข้าลูกๆเบาๆ เพราะกลัวเขาจะสังเกตเห็น

 “ครับ อยู่ปีสุดท้ายแล้ว”

”ผมบอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่รู้เรื่องเลยนะภาษาอังกฤษน่ะ” เขาออกตัว

“พี่เขาเก่ง เอไม่ต้องกลัวหรอก”

อึดอัดจริงแฮะ

“เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อนนะลูก นี่จะเรียนกันตรงนี้หรือเปล่าแม่จะได้เคลียร์ของแม่ออกจากโต๊ะ”

”ไม่เอา ไปเรียนบนห้องผมดีกว่า ของแม่เยอะจะตาย ผมง่วงจะได้นอนเลย”

”อ้าว ไอ้ลูกคนนี้นี่ พี่เขาเสียเวลามานะ”

”ก็ได้ตังค์ไม่ใช่เหรอฮะ”

”เอ” เสียงอาจารย์ปริศนาขุ่นขึ้นทันที

“ไม่เป็นไรครับ มันก็จริง งั้นเราขึ้นไปเลยไหม”

ผมรีบตัดบทเพราะเห็นสีหน้าของเอจะเจื่อนลงทันที อาจารย์ปริศนายังค้อนลูกชายอยู่วงใหญ่ เอลุกขึ้นก่อน

 “มีอะไรกินน่ะแม่ หิวข้าวแล้ว”

 เอพูดพลางเดินเข้าไปในครัวที่อยู่ติดกับห้องรับแขกที่เรานั่งอยู่

 “มีต้มจืด เออ โย กินข้าวมารึยังล่ะลูก ไปกินกับน้องมันไป”

 “อ้อ เรียบร้อยมาแล้วครับ” ผมตอบ

 “รีบไปกินสิเอ อย่าให้พี่เขารอนาน เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ เดี๋ยวสาย”

 อาจารย์ปริศนาลุกขึ้นไปชั้นบน ส่วนเอก็เข้าไปในครัว ผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงเอาตำราเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายกับที่เตรียมมาอีกสองสามเล่มออกมาเปิดดู ไม่รู้จะเริ่มสอนเขาจากตรงไหนดี คงต้องลองวัดพื้นดูก่อน เอเดินถือจานข้าวมานั่งข้างๆผมแล้วหยิบรีโมทย์โทรทัศน์มาเปลี่ยนช่องดู

“พี่เรียนจะจบแล้วจริงเหรอ”

เขาถามแต่หน้ายังมองโทรทัศน์อยู่ ส่วนปากก็เคี้ยวข้าวหมุบหมับอยู่

“ครับ” ผมรู้สึกประหม่า แปลกจังทั้งที่ตัวเองก็เคยเรียนมัธยมมาก่อน แต่ทำไมต้องประหม่าได้ขนาดนี้ด้วย

“ตัวเล็กกระเปี๊ยกเนี่ยนะ เรียนมหาฯลัย ผมว่าพี่หน้าเด็กกว่าผมอีกนะ”

 เอหันหน้ามาทางผม ตามองสำรวจแล้วอมยิ้ม ผมรู้สึกว่ากำลังโดนเด็กล้อเลียนอยู่

“พี่คงตัวเล็กน่ะครับ ดูไม่น่าเชื่อถือเหรอ” ผมเน้นเสียงคำสุดท้าย เขาอมยิ้ม

“พี่จะสอนผมไหวเร้อ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะ”

 “ก็ยังไม่ลองนี่ครับ ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก ถ้าเราไม่พยายาม”

 “อ่ะนะ”

 ผมคุยกับเขาอีกครู่ใหญ่ โอกับอาจารย์ปริศนาก็พร้อมที่จะออกจากบ้าน ผมล่ำลากับทั้งสองแล้วจึงเดินเข้ามาในบ้าน เอยืนเป็นยักษ์รออยู่ตรงบันไดขึ้นชั้นสอง

“พี่ขึ้นไปก่อนนะครับ ห้องขวามือ ผมปิดบ้านก่อน”

เขาบอก ผมจึงเดินไปหยิบเป้แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง หน้าห้องเขามีรูปการ์ตูน น่าจะปริ๊นออกมาจากคอมพิวเตอร์ ติดอยู่เกือบครึ่งประตู ส่วนอีกห้องน่าจะเป็นห้องของอาจารย์ปริศนา เป็นประตูไม้เรียบๆ ไม่มีอะไรปิดทับด้านหน้า ห้องที่ติดกับห้องน้ำน่าจะเป็นห้องของน้องโอ พระเป็นรูปโดราเอมอน การ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ใช่กระดาษแต่เป็นพลาสติก ผมเดินเข้าไปในห้องที่เปิดประทิ้งไว้ ห้องนอนของเอ ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆอยู่หลายรอบกว่าจะก้าวเข้าในห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะประหม่าหรือตื่นเต้นอะไรมากมาย แค่เด็กมัธยมปลายคนหนึ่งที่ตัวโตเหมือนกับนักบาสฯทีมชาติ นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาหน้ายังอ่อนใสกับมีไรหนวดเขียวๆอยู่ เขาคงดูเหมือนหนุ่มวัยรุ่นเลยทีเดียว พอก้าวเข้าไปในห้อง กลิ่นของชายหนุ่มปะทะเข้าเต็มหน้า เป็นกลิ่นของห้องที่ไม่ได้เปิดหน้าต่างระบายอากาศเลย กลิ่นกายของเจ้าของห้องมันยังระคนลอยไปทั่วห้อง ที่บอกกลิ่นกายนี่ไม่ใช่กลิ่นแบบที่ไม่อาบน้ำ แต่เป็นกลิ่นของเนื้อตัวของคนที่ไม่ได้ใช้น้ำหอม หรือเครื่องหอมใดๆ ผมเองก็เพิ่งได้กลิ่นชัดเจนตอนนี้เอง ห้องนอนของเอทาด้วยสีเขียวกรมท่าแก่ ด้านขวามือเป็นเตียงนอนที่ผ้าห่มยังกองอยู่ที่ปลายเตียง ส่วนซ้ายมือเป็นโต๊ะอ่านหนังสือ มีโคมไฟสีดำยื่นออกมา บนโต๊ะมีหนังสือเรียนกองกระจัดกระจายอยู่ บนพื้นก็มีเสื้อผ้าใส่นอนวางอยู่คนละทิศละทาง ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ให้เห็นเสื้อผ้าที่ล้นตู้จนเกินจะปิดประตูได้ ผมถอนหายใจคงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ไม่มีอะไรโย ไม่มีอะไร ผมปลอบใจตัวเอง

 “ไงพี่ ห้องรกเหรอ”

เขาทักจนผมสะดุ้ง เอไม่ได้สนใจเขาปิดประตู แล้วเดินมาเอาเท้าเขี่ยเสื้อผ้าใส่นอนบนพื้นให้ไปเสียอีกทางหนึ่ง

“พี่จะสอนตรงไหนเนี่ย”

 เอพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรง

 “น้องเอ อยากนั่งเก้าอี้หรือนั่งกับพื้นดีครับ”

 ผมพยายามไม่สนใจกับอากัปกริยาของเขา ที่จริงผมเองก็ถามออกไปได้ ว่านั่งเรียนตรงไหนดี แทนที่จะระบุไปเลยว่าให้นั่งเรียนกับพื้น เซ็งตัวเองเหมือนกัน

“นอน”

เอพูดพลางเอาเท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวครึ่งล่าง ว่าแล้วเชียว

“มีโต๊ะญี่ปุ่นไหมครับ เรามานั่งเรียนบนพื้นดีกว่า จะได้ไม่ง่วง”

 ผมพยายามไถไป

 “ปวดหลัง พี่นั่งไปดิผมจะนอน”

กรรมแท้ๆ ผมคิดไว้แล้วไม่มีผิด

“เอาใกล้ๆเตียงก็ดีเหมือนกันเนอะ เมื่อยจะได้พิง”

 ผมยังไม่ละความพยายาม แต่ในใจเริ่มท่องนะโมๆ ใจเย็นๆนะโย น้องเขายังเด็กอยู่มาก ไม่ใจร้อนๆ ผมเตือนตัวเองอยู่ในใจ

 “พี่ ถามจริงๆเถอะ พี่เป็นตุ๊ดป่าวเนี่ย”

เอกึ่งนั่งกึ่งลุกขึ้นจากเตียง ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง จากที่ประหม่าอยู่แล้วเป็นทุน ยิ่งไปกันใหญ่ ใจเต้นระรัว ทั้งไม่ได้เตรียมคำตอบมา ทั้งรู้สึกอายที่เด็กถามยัดเข้ามาไม่ให้ตั้งตัว

 “ทำไมครับ”

ผมถามเสียงสั่น

 “ก็พี่ดูขาวๆ บางๆ ดูท่าเหมือนกับตุ๊ดเลย น่าใสๆอย่างนี้อ่ะ เป็นตุ๊ด ชัวร์”

 อยากจะตะคอกใส่หูมัน เขาเรียกเรียบร้อยเฟ้ยไอ้บ้า

“แล้วไงครับ”

ผมยังดึงดันที่จะพูดออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าสีหน้าตอนนี้เป็นยังไง แต่ข้างในเหมือนโดนแกล้ง อายเหมือนนักเรียนโดนทำโทษโดยการแก้ผ้าหน้าเสาธง

 “แค่ลักษณะภายนอกนี่เราก็สรุปแล้วเหรอครับ ว่าพี่เป็นอะไร”

ผมจ้องเขาเขม็ง พยายามจะบีบเสียงให้แข็งข่มความสั่น

 “เฮ้ย พี่ ทำท่าซีเรียสไปได้ ผมแค่ล้อเล่น แต่พี่อย่ามาแอบชอบผมนา ผมไม่นิยม”

เอากับมันสิ พูดจบก็หัวเราะอย่างสบายใจ น่าถีบจริงๆนะแก

“แล้วจะเรียนได้รึยังครับ จะสงสัยอีกนานไหม”

ผมเริ่มโมโห

“เรียนดิพี่ สอนมาดิ”

เขายังอยู่ในท่าเดิม

 “นี่ จะเรียนแบบนี้น่ะเหรอ พี่ไม่สอนหรอกนะ นอนเรียนน่ะ ไปเอาโต๊ะญี่ปุ่นมา”

ผมขึ้นเสียง เขาดูตกใจเล็กน้อย

“โห ดุเว้ย เห็นน่าใสๆนี่เอาเรื่องเหมือนกันนะพี่เนี่ย”

 เขายังยียวน ก่อนที่จะลุกออกไปข้างนอก ปล่อยให้ผมยืนเคว้งอยู่ในห้อง สูดหายใจเข้าปอดใหม่ เรียกกำลังใจขึ้นมาใหม่ ไม่ได้นะโย จะยอมกับเด็กกวนประสาทง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ เอกลับเข้ามาพร้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ที่น่าจะวางหนังสือได้แค่สองเล่ม ตายล่ะสิจะนั่งสอนมันยังไงล่ะนี่

“เอ้า นั่งตรงนี้นะ”

 เขาวางโต๊ะลงใกล้ๆเตียง แล้วก็นั่งลงหลังพิงเตียงทันที

“แล้วหนังสือเรียน สมุด ปากกาล่ะครับ”

 “โหพี่ หยิบให้หน่อยดิ นะนะ โน่นแน่ะอยู่บนโต๊ะ”

“เอ”

 ผมขึ้นเสียง ทำไมมันถึงได้ลามปามแบบนี้นะ

 “เออๆ ไม่หยิบก็ไม่หยิบ โหอย่างกะแม่เลยเว้ย”

กรรมนี่ขนาดผมยังไม่ได้พูดอะไรกับมัน อยากจะต่อยหน้ามันเหลือเกิน แต่คงจะสู้ไม่ไหวเพราะมันตัวโตเหลือเกิน ท่องไว้ๆโย อดทนๆ น้องมันยังเด็ก มันยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ค่อยๆสอน เด็กมันก็เด็กวันยังค่ำ ไม่มีพิษมีภัยหรอก

 “พี่ตัวหอมจังเลย ใส่น้ำหอมอะไรเนี่ย”

เขาเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดอยู่ข้างๆหู ผมรู้สึกใจเต้นออกมานอกตัว ผมรีบถอยออกทันที แล้วจ้องหน้าเขาอย่างไม่พอใจ

“ทำอะไรน่ะ”

ผมแว้ดเสียงขึ้น

 “โห แค่นี้ก็หน้าแดงด้วย ไหนบอกไม่ใช่ตุ๊ด”

เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มันแกล้งผมนี่ ไอ้เด็กบ้า

 “อย่าทำแบบนี้นะเอ พี่ไม่ชอบ”

ผมพูดไปทั้งที่ใจยังเต้นอยู่โครมคราม

 “พี่เป็นตุ๊ดแน่ๆ แค่นี้ก็อาย”

 คุณพระคุณเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดประทานความอดทนให้ลูกด้วยเถิด อดทนกับมารตัวนี้ให้อยู่รอดข้ามวันไปทีเถิด

 “แล้วไง เป็นตุ๊ดแล้วจะสอนเราไม่ได้เหรอ”

 ผมพูดด้วยความโกรธ

 “ก็สอนได้อ่ะนะ แต่อย่าล่วงเกินผมนะผมฟ้องแม่จริงๆด้วย”

 โหเด็กเวร ล่วงเกินน่ะล่วงแน่ แต่จะถีบยอดอกแกนี่ล่ะ ผมสั่นไปทั้งตัวไม่คิดว่าจะเจอกับเด็กแบบนี้ ผมกลั้นหายใจอยู่หายทีเพื่อให้มีสติ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเขา พอนั่งลง เงยหน้าขึ้นเขาก็เอาหน้ามาจ่อเกือบติดหน้าผม ด้วยความตกใจผมผงะออกอย่างแรง

 “ฮ่าๆ พี่กลัวผมเหรอ”

 ดูมันทำเสียง โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว

“นี่ จะเรียนหรือไม่เรียน ทำไมทำตัวแบบนี้ พี่เป็นรุ่นพี่เธอนะ จะเล่นอะไรน่ะเกรงใจกันบ้าง ถ้าไม่อยากเรียนจะได้บอกแม่เรา ว่าพี่เองล่ะที่ไม่มีปัญญาสอนเรา และเราถ้ารังเกียจพี่นัก ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ บอกกันดีๆก็ได้”

ผมเม้มปากกัดฟันพูด ด้วยความโมโห เขาหน้าสลดลงทันที ผมพูดเสร็จก็เตรียมจะลุกขึ้น ไม่ไหวแล้ว เด็กอะไรไม่มีมารยาทเอาเสียเลย

“โห พี่ ผมขอโทษ นะนะ อย่าไปเลยนะ ผมล้อเล่น ถ้าพี่ไป แม่เอาผมตายแน่ๆ นะนะพี่โย ผมจะตั้งใจเรียนไม่แกล้งพี่แล้ว นะนะ อย่าไปเลยนะครับ”

เขารั้งมือผมเอาไว้ ผมจ้องเขาตาเขม็ง แหมทีอย่างนี้นะมาทำเสียงอ่อน ไอ้เด็กบ้า ผมด่ามันด้วยสายตา

“นะนะ พี่ ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่างนะครับ สอนผมเถอะนะ”

มันยังรบเร้า ผมถอนหายใจอย่างระอา เอาวะ ถึงยังไงเขาก็ต้องการคนสอน ถ้าเขาไม่มีคนสอนก็ไม่ผิดหรอกที่เขาจะจาบจ้วงคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ ยอมก็ยอมวะ  ผมเถียงกับตัวเองในใจ

“อย่าทำแบบนี้อีก ไม่งั้นพี่ไม่สอนเราแน่ๆ”

 ผมขู่ก่อนจะนั่งลงที่เดิม

 “คร้าบบบ”

เขาลากเสียงแล้วอมยิ้มเห็นไหม มันจะรอดไหมเนี่ย :m20:


*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2012 20:58:06 โดย eiky »

NUKWUN

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #1 เมื่อ10-03-2010 10:49:25 »

เรื่องใหม่ อย่าลืม ลงกฏ ก่อนขึ้นเรื่องนะ

น่าสนุกดีนะ จะรออ่านตอนต่อไป
 :mc4: :mc4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2010 10:55:55 โดย @aOoM&jAe@ »

jadezii

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #2 เมื่อ10-03-2010 12:10:14 »

น่าติดตามมากเลย  o13
รีบๆมาต่อนะคะ :o8:

แค่เริ่มก็น่าสนุกแล้ว :z2: :z2:

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #3 เมื่อ10-03-2010 15:12:11 »

ลงกฎยังไงอ่ะคับ ผมทำมะเป็น ช่วยสอนหน่อย มือใหม่ๆๆๆ ขอโทษที รบกวนด้วยน้าาา

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #4 เมื่อ10-03-2010 15:19:33 »

ตอน สอง ค้าบบบบ

กว่าจะสอนมันเสร็จกว่าแทบแย่ ผมรู้สึกประสาทกินไปเลย มันคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา ปากก็บอกขอโทษ ทำหน้ารู้สึกผิดแค่ไม่กี่นาที แล้วมันก็เริ่มอีก ผมอยากจะบ้าตาย พอก้าวออกจากบ้านอาจารย์ปริศนาได้ ตอนห้าโมงกว่าๆ เพราะสอนเสร็จตอนสี่โมง กว่าจะต่อปากต่อคำกับมันเสร็จก็เกือบห้าโมงแล้ว ผมรีบโทรหาพลทันที

“แกอยู่ไหนเนี่ยพล มีเรื่องจะเมาท์ เอออย่าเพิ่งถามแก เจอกันที่เดิม เรียกจ๋ามาด้วยนะ เออๆ ค่อยคุยกันแก จะบ้าตายอยู่แล้ว”

พอวางสายผมก็รีบเดินออกไปหน้าถนนเอกมัยทันที จากเอกมัยซอยเจ็ดเดินออกไปไม่นานก็ถึงรถไฟฟ้า ผมนั่งรถไฟไปอีกสถานีเดียวก็ถึง เพราะร้านประจำของเรา อยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้าพระโขนง ยึดเป็นร้านประจำตั้งแต่เรียนปีสองจนจะจบ เป็นร้านกาแฟ รวมถึงขนมเค้กต่างๆ พลทำธุระให้แม่อยู่แถวราชเทวี ส่วนจ๋า พอไปถึงร้านแล้วผมค่อยโทรไปบอก เพราะจ๋าอยู่แค่กล้วยน้ำไทเอง ใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง พอไปถึงร้านผมก็โทรหาจ๋า
 
“เออแก ว่างป่ะ ออกมาเจอกันหน่อยสิ เนี่ยรอไอ้พลอยู่ ร้านเดิม มีเรื่องจะเมาท์แก ก็เรื่องเด็กที่ฉันไปสอนพิเศษนั่นล่ะ ไม่เอาๆ เมาท์ทางโทรศัพท์ไม่มัน เออๆ เจอกัน”

ผมสั่งคาปูชิโนปั่นเหมือนเดิม แล้วก็ไปซื้อคุกกี้อีกถุงเล็กถุงหนึ่ง ที่นั่งประจำที่อยู่มุมในสุดยังไม่มีคนนั่งผมจึงรีบเอากระเป๋าไปวางก่อน พอดีมีโทรศัพท์เข้า
 
“สวัสดีครับ พี่ตั้ม”

พี่ตั้มคือคนที่ผมคบอยู่ เจอกันตอนผมอยู่ปีสองเทอมแรก เพราะปีหนึ่งผมเรียนอยู่ที่องครักษ์ ไม่ได้เรียนที่นี่ เป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยที่อยู่ในตัวเมือง ที่พวกรุ่นน้องปีหนึ่งจะไปเรียนที่วิทยาเขตเสียส่วนใหญ่ นอกจากบางเอกเท่านั้นที่จะได้เรียนอยู่ในเมือง ตอนนี้พี่ตั้มเรียนจบแล้ว ทำงานเกี่ยวกับการสร้างโปรแกรม คอมพิวเตอร์หรืออะไรเทือกนี้ ผมไม่ได้ถามเขามาก เพราะแม้จะถามมาก เวลาเขาเล่าให้ฟังผมก็ทำหน้างง เพราะไม่รู้เรื่องอยู่ดี

“โย สอนหนังสือเสร็จยังครับ ดูหนังกับพี่ไหม”  เสียงพี่ตั้ม

 “แล้วพี่ตั้มอยู่ไหนครับ”

 “พี่อยู่สวนจตุจักรครับ พอดีพาแม่มาซื้อของ เดี๋ยวเสร็จล่ะกำลังจะกลับไปส่งแม่ที่บ้าน แล้วเราอยู่ไหนครับ”

 “โย อยู่พระโขนงครับ ร้านเดิม นัดพลกับจ๋าเอาไว้”

“อืม งั้นเจอกันค่ำๆก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ เราใกล้เสร็จแล้วโทรหาพี่ละกัน”

 “ได้ครับ"

  พอวางสายจากพี่ตั้ม ผมก็หันมาดูดกาแฟเย็นในแก้ว พี่ตั้มเคยไปที่บ้าน แม่ก็ชอบพอกับพี่ตั้มมาก เพราะเขาอัธยาศัยดี แม่ก็รู้ว่าผมคบกับพี่เขาในฐานะอะไร แม่ก็ไม่เคยว่า ผมเองก็เกรงใจแม่ เพราะกลัวแม่เสียใจ เคยถามเหมือนกันว่าเสียใจไหมที่ผมเป็นแบบนี้ แม่ตอบว่า

 “บอกตามความจริงนะโย แม่ก็เสียใจนะ แต่จะทำยังไงได้ แม่เลี้ยงลูกมา ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีวันไหนที่โยทำให้แม่ทุกข์ใจเลยนี่ลูก เป็นอย่างนี้แล้วโยมีความสุข แม่เองก็มีความสุข ไม่ต้องห่วงแม่หรอกลูก แม่เชื่อใจว่าโยเป็นคนดี และจะทำแต่สิ่งดีๆ”

ผมปลื้มใจมาก รักแม่ที่สุด ผมเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่มีแม่ประเสริฐอย่างนี้ ถึงแม้ผมจะเสียพ่อไป หรือหากว่าพ่อยังอยู่ พ่อก็คงพูดเหมือนกับแม่ ผมเชื่ออย่างนั้น
 
“ไอ้โย ไอ้พลมันยังไม่ถึงอีกเหรอ”

เสียงจ๋าแปร๋นมาแต่ไกล

“ยัง แกโทรไปหามันแล้วเหรอ”

“ก็ เออสิ เพิ่งโทรก่อนออกจากบ้าน แหม บอกอีกนิดเดียวถึงแล้ว ตอแหลตลอดนะนังนี่”

จ๋าบ่นแล้วทรุดลงนั่งอย่างแรง

 “แกไปสั่งอะไรมากินก่อนสิ”

“เออ ไปสั่งน้ำก่อนนะ ร้อนเป็นบ้า นี่มันเดือนอะไรเนี่ย ร้อนตั้งแต่เช้ายันเย็น”

จ๋าบ่นก่อนจะสะบัดก้นออกจากเก้าอี้ เดือนกันยายน เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ปีนี้รู้สึกจะมีแต่ฝน กับร้อน ความหนาว หรือฤดูที่ว่าหนาว เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีให้เห็น หนาวแค่วันสองวันก็หายไป

“ไหนเล่ามาซิ มีอะไรจะเห็นโทรจิกเรียกชั้นออกมาเนี่ย”

 “ก็เรื่องเด็กที่ไปสอนพิเศษนั่นล่ะ มหัศจรรย์มาก”

 “จริงเหรอ ว่ามาแก”

 จ๋าทำหน้าอยากรู้อยากเห็นมาก

 “เดี๋ยวรอเล่าพร้อมกัน ขี้เกียจเล่าหลายรอบ”

 “อะไรยะ ทำให้อยากนะแก”

 จ๋าทำหน้าผิดหวังพลางดูดน้ำในแก้ว

“แล้วนังพลมันถึงไหนแล้วเนี่ย ชักช้าตลอด ทำยังกะสวย”  จ๋าเริ่มพาล

 “เออน่ะแก รอมันหน่อยเถอะ เล่าเสร็จเราก็ไม่มีอะไรจะพูด กับมันสิ”

 “เออ” จ๋างอนใส่ แล้วเดินไปหยิบนิตยาสารมาดู

“เออ ว่าแต่ เดทแกเป็นไง กับหมอสัตว์ น่ะ”

 “สัตวแพทย์ ย่ะ กรุณาเรียกให้เต็ม พี่ป้อมก็ดีนะแก ดูเรียบร้อยดี ตอนอยู่ในโรงหนังนะแก ฉันน่ะอยากให้เขาจับมือใจจะขาดแต่ดีนะที่ยังมีความเป็นกุลสตรีไทยอยู่”

 “นับเป็นบุญ”

ผมเหน็บจ๋าไปแต่เหมือนว่ามันไม่รู้สึกตัว

 “แต่ตอนเดินด้วยกันแล้วดูดีว่ะแก ก็พี่ป้อมเขาตัวสูง หล่ออีกต่างหาก ฉันเลยดูเด่นขึ้นมาเชียว”
 
“แล้วคิดจะคบกับพี่เขาจริงๆ รึเปล่าล่ะ หรือว่าแค่ขำๆ”

ผมซักไปเรื่อย เพราะถ้าปล่อยให้เงียบเดี๋ยววกมาเรื่องของผมอีก

“ก็ต้องลองดูสักตั้ง แล้วแกว่าเขาเป็นไงบ้าง”

“ก็ดีนะแก ดูเป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ มีแต่แกนี่ล่ะ กลัวจะไปทำให้เขาเสียใจ”

 “อ้าวแก ฉันก็เป็นคนดีนะยะ ผิดเหรอที่เกิดมาสวย แล้วมีคนมารุมจีบน่ะ ช่วยไม่ได้นะยะ”

 “จ้า แม่คนสวย ระวังเถอะแก จะโดนดีเข้าสักวัน”

เราหัวเราะอย่างอารมณ์ดี การอยู่กับเพื่อนที่เราสนิท บางทีก็ทำให้ลืมเรื่องที่เพิ่งเจอมาได้เหมือนกัน ว่าไปแล้วพี่ป้อมไม่ใช่หมอสัตว์หรอกแต่เรียนอยู่อีกที่ ใจกลางเมือง อีกสองปีถึงจบ ยังจำวันที่เขาเดินเข้ามาในกลุ่มเราที่ร้านตำนัว ในสยามได้ดี ตอนแรกพลบอกว่าเขาเดินมาหามันเอง ทำท่าระริกระรี้ แต่พี่ป้อมกลับขอเดทกับจ๋าแทน เอ๋อไปตามๆกัน ไม่คิดว่าคนหน้าตาดี ใส่แว่นดูเอ๋อๆ เงียบๆขรึมๆ ที่นั่งมองอยู่โต๊ะตรงข้ามจะมาชอบแม่เสือสาวอย่างจ๋า รายนี้แม้จะอยู่กับที่บ้าน ซึ่งเป็นครอบครัวคนจีน แต่ความเปรี้ยวซ่าก็ไม่ได้ลดน้อยหรือเกรงกลัวใคร พลเองก็กัดจ๋าเวลาที่รู้ว่าออกเดทกัน

"ต๊าย พบรักในร้านส้มตำ ชื่อร้านอะไรนะโย ตำนัว คงจะตำเก่งเนอะ ไอ้พี่ป้อมเนี่ย"

จ๋าเองก็งอนหัวฟัดหัวเหวี่ยงไป เราคุยกันสักพักพลก็มาถึง

“ไหนๆแก เด็กมันน่ากินไหม”

พลถามทั้งที่ยังไม่ได้นั่งลงเก้าอี้เลย

“แหม นังนี่ มาถึงก็ถามเรื่องใต้สะดือเลยนะ ไม่คิดจะทักทายกันเลยนะ” จ๋าสัพยอก

“โอ๊ยแก เจอกันเกือบทุกวันจะมาพิธีรีตองอะไรยะ เล่ามาเร็วแก”

พลนั่งลงข้างๆ จ๋า “แกไม่ไปสั่งน้ำมากินก่อนเหรอ ท่าทางเหงื่อโทรมมาเชียว”

ผมบอกเพราะเห็นพลมันเหงื่อไหลไคลย้อย

 “เออ งั้นรอแป๊บ เดี๋ยวมา”

ว่าแล้วก็ลุกไปที่เคาท์เตอร์ ผมกับจ๋ามองหน้ากัน เพราะรู้ว่าพลเป็นคนแบบนี้ พอพลกลับมา ก็มุ่งเข้าสู่ประเด็น

“มันต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะอย่างนั้นแกน่าจะเล่าตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์แล้ว เล่ามาแก”

“เออ นั่นสิ ทำเป็นมีความลับ”

 “เอ๊ะ หรือว่าแก มีอะไรกับเด็กนั่น ต๊าย”

 “นี่ พอเลย”

 ผมต้องหยุดพลก่อนที่มันจะพูดไปมากกว่านี้ ผมเริ่มเล่าถึงความทะลึ่งของเอ ระบายควาในใจเสียส่วนใหญ่ ส่วนจ๋ากับพลก็นั่งฟังตาปริบๆ พอเล่าจบ

“ทำไมแกไม่กินมันเลยวะ ถ้าเป็นชั้นนะ ฉันกินมันตั้งแต่ตอนแรกที่มันยั่วแล้วล่ะ”

“อีนี่ มันน่ะมีจรรยาบรรณนะยะ ใครจะเหมือนหล่อน เป็นผีตายอดตายอยาก”

”อ้าว นังจ๋า แล้วจะปล่อยไว้ทำพ่อเหรอ ยั่วมาก็จัดไปอย่าให้เสีย”

“มันมีแฟนแล้วนะอีนี่ คนเขารักกันดีๆ นี่ก็ไปยุให้เขาแตกกัน”

 “อ้าว ใครจะไปรู้ ฉันน่ะไม่ทนเป็นฤาษีหรอก เด็กมันยั่วมา ก็ว่ากันไป”

ทั้งสองทะเลาะกันอย่างเคย เพราะสองคนนี้ไม่เคยคุยกันดีๆสักที

“ไม่หรอกแก ฉันถือว่าเป็นครูสอนมันนะ อีกอย่างแม่ชั้นก็สอนหนังสืออยู่โรงเรียนเดียวกันกับแม่มัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นน่ะ เสียผู้ใหญ่นะ”

“เออเห็นมั้ย เขาไม่ได้คิดเลวๆ เหมือนแกนะนังพล”
 
“อ้าว นังนี่ ชั้นเลวตรงไหนวะ ก็แค่พูดในสิ่งที่ใจต้องการ”
 
“ก็อย่างนี้ล่ะ ถึงได้ทำอนาจารลูกพี่ลูกน้อง คนอาร้าย” จ๋าล้อ

“นี่ นังจ๋า”

“ นี่แกสองคนน่ะ จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย คนยิ่งกลุ้มๆ อยู่ รู้งี้ไม่เล่าให้ฟังเสียก็ดี”

ผมรีบตัดบท ทั้งที่รู้ว่าสองคนนี้ชอบกัดจิกกันเป็นประจำ

“เห็นไหม นังพลเพราะแกคนเดียว”

“อ้าว นัง”

“พอๆ แล้วเรื่องโครงงานที่ให้ไปแก้น่ะ ถึงไหนแล้วแก”

ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะท่าจะไม่ลงง่ายๆ

“ของชั้นเสร็จแล้ว”

พลพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด แล้วหยิบคุกกี้ในถุงไปเคี้ยว จ๋าหน้าม่อยลงทันที

“ก็ดูอยู่แก พรุ่งนี้ว่าจะไปห้องสมุด ดูตัวอย่างเก่าน่ะ”

“อ้าวหล่อน ส่งสิ้นเดือนนะยะ ไม่ใช่สิ้นปี มัวแต่หลงระเริงอยู่กับหมอสัตว์นั่นล่ะ”

“นี่นังพล น้อยๆหน่อย พวกแกจะทะเลาะกันเพื่อ แกเสร็จแล้วก็ช่วยมันดูสิ จะได้รวบรวมเอาไปตรวจเสียที ไม่อยากดองแล้ว จะได้ทำเรื่องขอจบ”

ผมเริ่มรำคาญพลเพราะเผลอไม่ได้ กัดกันตลอด

“เออแก วันจันทร์น่ะ เดี๋ยวชั้นมารับนะ”
 
พลพูดถึงการไปทำงานของผม เพราะปกติจะนั่งรถไฟฟ้าไปลงหมอชิตแล้วต่อรถเมล์อีกต่อหนึ่ง ค่อยถึงบริษัท ส่วนบ้านพลก็อยู่รังสิต มันมีรถขับมาบริษัทที่ดอนเมืองไม่กี่นาที

“ทำไมวะ”

ผมถาม เพราะปกติมันไม่เคยที่จะมารับ ยกเว้นแต่มันมาเที่ยวคืนวันอาทิตย์แล้วมานอนค้างที่บ้านผม แล้วค่อยไปทำงานด้วยกันวันจันทร์

“พอดีมาหาเด็กน่ะ อิอิ เดี๋ยวค่อยเล่า”

“โหคนเรานะ ถ้าไม่ติดเป้ง มึงก็ไม่คิดจะมารับมันว่างั้น” จ๋าได้ที

“อ้าวก็เป็นเรื่องธรรมดา ก็ต้องเอาเด็กก่อนสิ เพื่อนยังไงก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว”

 “แหวะ อีบ้า ติดสัดนะมึง”

 “ชั้นไม่ใช่หมานะยะ จะได้ติดสัด”

ทั้งสองทะเลาะกันอยู่นานจนผมเบื่อที่จะห้าม ได้แต่นั่งฟังแล้วก็หัวเราะ เวลาสองคนกัดกันมันก็สนุกดีไปอีกแบบพอ เราแยกย้ายกันก็เกือบหกโมงครึ่ง ผมโทรหาพี่ตั้ม หลังจากที่เพื่อนทั้งสองกลับไปแล้ว

"พี่ตั้มครับ เสร็จแล้วครับ"

"เราอยู่ไหนครับโยเดี๋ยวพี่ไปรับ"

"ไม่เป็นไรครับพี่ตั้ม เดี๋ยวโยไปรอที่เมเจอร์ก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลาพี่ตั้ม"

หลังจากวางหูโทรศัพท์ ผมก็ข้ามฝั่งไปนั่งรถเมล์ รถเมล์ทุกสายที่ผ่านสามารถขึ้นได้ทุกสาย เพราะอีกสองป้ายก็ถึงเมเจอร์เอกมัยแล้ว อีกอย่างผมต้องเป็นฝ่ายไปนั่งรอพี่ตั้ม เพราะกว่าที่เขาจะมาก็คงอีกนานพอสมควร ผมนั่งรถเมล์สาย 38 ไปลงหน้าท้องฟ้าจำลองแล้วข้ามฝั่งไปเมเจอร์ เย็นวันเสาร์ที่หน้าเมเจอร์เอกมัย มีผู้คนพลุกพล่านพอสมควร มีทั้งนั่งรอรถเมล์เพราะตรงหน้าเมเจอร์เป็นป้ายรถเมล์พอดี ทั้งนั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ผมเดินเข้าไปในเมเจอร์แล้วตรงไปที่ร้านบูทส์ ไม่คิดว่าจะซื้ออะไรแต่เผื่อมีของที่อยากได้ ผมเดินดูพวกครีมอาบน้ำ ยาสระผม พอดีกับพี่ตั้มโทรเข้ามาพอดี

"โย พี่ถึงแล้วนะ เดี๋ยวขอจอดรถแป๊บ เราอยู่ตรงไหนครับ"

เสียงพี่ตั้มดังไม่ค่อยชัดคิดว่าน่าจะใส่หูฟัง คงจะอยู่ที่จอดรถ เร็วจังแฮะ

"โยอยู่ร้านบูทส์ครับ ทำไมเร็วจังล่ะครับพี่ตั้ม"

"พอดีพี่ออกมาก่อนแล้ว กะจะมารอที่เมเจอร์พอดี ก็โยโทรมาพอดีล่ะ พี่ก็เกือบถึงแล้ว รอพี่พี่แป๊บนะ"

"ได้ครับ เดี๋ยวโยรออยู่ตรงนี้ ครับ ครับ"

ผมวางสายไป แล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ ผมตัดสินใจซื้อ ครีมอาบน้ำกลิ่นส้ม เพราะจำได้ว่าแม่ชอบ ขวดเก่าซื้อไปนานละ พอจ่ายตังค์เสร็จ พี่ตั้มก็ยืนอยู่ข้างหลังแล้ว

"ไง โย ซื้ออะไรครับ"

พี่ตั้มวางมือบนบ่าของผมอย่างคุ้นเคย กลิ่นน้ำหอมกลิ่นเดิมกระทบจมูก พี่ตั้มใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ตั้งแต่รู้จักกัน ไม่เคยเปลี่ยน กลิ่น Extreme ของ Blvgari พี่ตั้มตัวสูงกว่าผมพอสมควร จำได้ว่าสูงน่าจะ 180 เซนต์ ส่วนผมสูงแค่ 171 เซนต์ ตัด ผมรองทรงสูงจนเห็นหนังศรีษะสีขาวรับกับคอที่ดูยาวแข็งแรง พี่ตั้มจัดเป้นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง ผมคบกับเขายังไงไม่รู้ เพราะคิดเสมอว่าผมเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะมาชอบ ไม่ตามแฟชั่น ไม่ตามสมัยนิยม เสื้อผ้าก็ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ คอนเวิร์สเก่าๆ สะพายเป้หนังสือที่มาจากการสอนพิเศษไอ้ตัวดี เคยถามเขาเหมือนกัน คำตอบที่ได้คือ เขาลูบหัวอย่างเอ็นดู

"โยคิดว่าโยไม่น่ารักเหรอ พี่ดีใจนะที่ได้คบกับโย เพื่อนๆพี่อิจฉากันจะตาย อีกอย่างโยนิสัยดีด้วย ไม่แรด"

เหมือนชมหรือด่าผมยังไม่แน่ใจจนถึงทุกวันนี้ ตกลงเขาชอบผมเพราะ ผมไม่แรด หรือเพราะผมเป็นคนดี แต่รู้ว่าพอได้ยินแบบนั้น ก็เอ๋อไปเลย

"ซื้อครีมอาบน้ำไปให้แม่ครับ จำได้ว่าแม่ชอบกลิ่นนี้"

 "หิวมั้ยครับ ไปหาอะไรกินก่อนดีไหม พี่ชักหิวแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลย พอดีมัวจัดของให้แม่อยู่ ซื้ออะไรก็ไม่รู้เต็มรถไปหมด"

พี่ตั้มเล่าอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือดันหลังผมออกจากร้านบูทส์

"ไม่ดูรอบหนังก่อนเหรอครับ"

ผมพูดอายๆ ไม่รู้ทำไมไม่เคยชินกับการเดินกับเขาสักที คงเป็นเพราะผู้คนที่ขวักไขว่อยู่ ก็ไม่ใช่น้อย บางคนมอง บางคนทำเป็นไม่สนใจ แต่ผมกลับอาย

"เออ จริงสิ ไปซื้อตั๋วไว้ดีกว่า วันนี้วันเสาร์"

 พี่ตั้มยังเกาะบ่าผมอยู่ดันหลังให้ขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสอง ที่ซื้อตั๋วหนัง พี่ตั้มตั้งใจชวนมาดู transformers โรงหนังทุกโรงที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายเกือบเต็มทุกที่นั่ง ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมข้างนอกคนเยอะ พี่ตั้มซื้อตั๋วชั้นบนสุดซึ่งแพง จึงไม่ได้ไปแย่งกับใคร รอบหนังฉายตอน 19.30 มีเวลาเหลือประมาณ ยี่สิบนาที

"พี่ตั้ม งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนไหมครับ เห็นบอกหิว"

ผมบอกหลังจากได้ตั๋วหนังมาแล้ว

"อืม กินอะไรดี เหลือเวลาไม่มากนี่นะ งั้นกินง่ายๆละกัน"

ที่บอกกินง่ายๆ ผมเข้าใจได้ทันทีว่าพี่ตั้มจะกินขนมปัง หรือไม่ก็ อะไรง่ายๆ พี่ตั้มเองก็รู้ว่าถ้ามีเวลาไม่มาก เราจะกินอะไรรองท้องไปก่อน ยกเว้นพวกเบอร์เกอร์ ผมไม่กิน พี่ตั้มก็พลอยไม่กินไปด้วย เราขึ้นไปชั้นสาม ร้าน Bread and Spread สั่งขนมปังทาสังขยากับ แยมส้ม ยำลูกชิ้นอีกจาน ส่วนน้ำก้เป็นกาแฟเย็นสำหรับพี่ตั้ม ผมสั่งชามะนาว พี่ตั้มเป็นคนทานข้าวเร็วมาก ผมกินขนมปังได้แค่สองชิ้น เขากินหมดแผ่นแล้ว พอกินเสร็จก็ได้เวลาที่เขาประกาศให้เข้าโรงหนังพอดี

"พี่ไปซื้อปีอบคอร์นดีกว่า"

 "ไปซื้อข้างบนก็ได้นี่พี่ตั้ม"

"เออ แฮะ"

ข้างบนคือชั้นที่มีโรงหนัง รู้สึกจะเป็นเรงที่ 1-4 ประมาณนี้ มีเคาท์เตอร์เล็กๆขายน้ำกับป๊อบคอร์น ระหว่างที่ขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นโรงหนัง

"เออ แล้ว สอนพิเศษเป็นไงบ้าง เด็กสอนง่ายไหม"

พี่ตั้มยังเกาะบ่าผมอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยอายแล้วเพราะทางขึ้นโรงหนังไม่ค่อยมีคน

"โห สอนยากเหมือนกันครับ เด็กมันทะลึ่ง" ผมระบาย

"ใจเย็นๆ พี่เชื่อว่าเราทำได้ ขนาดพี่ เกเรๆ เรายังเอาอยู่เลย"

"อ้าว เหมือนกันที่ไหน"

ดีนะที่ถึงชั้นโรงหนังก่อน เพราะไม่อยากพูดเรื่องนี้ พี่ตั้มคงวกเข้าหาเรื่องของเราได้ตลอด ที่พี่ตั้มบอกว่าเคยเกเร เพราะก่อนที่จะมาคบกัน เขาเคยเป็นคนเจ้าชู้มาก เที่ยวแทบทุกคืน มีแฟน ทั้งหญิงทั้งชาย ตอนคบกับผมเดือนแรกๆ เคยมีคนมาระรานผมด้วย ก็แฟนคลับเก่าๆ ของเขานั่นล่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะ เพราะเที่ยวน้อยลง แล้วก็ไม่ค่อยเจ้าชู้ เวลาที่อยู่กับผมนะ แต่เวลาอื่น ไม่รู้เหมือนกัน แต่เอาน่ะ เชื่อใจเขา หนังเรื่องนี้สนุกดี ตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งเรื่อง เขาก็เข้าใจสร้างหนัง ชอบตอนรถยนต์แปลงร่าง พี่ตั้มเองก็ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะเล่าตลอดทางที่ขับรถไปส่งผมที่บ้าน หนังจบเกือบห้าทุ่ม ดึกเหมือนกัน พอถึงหน้าบ้านผมเห็นไฟยังเปิดอยู่ แม่คงยังไม่นอน

"พี่ตั้มเข้าบ้านก่อนไหมครับ แม่น่าจะยังไม่นอน" ผมชวน

"อืม เอาสิไปไหว้แม่สักหน่อย"

พี่ตั้มจอดรถไว้หน้าบ้าน แล้วเดินตามผมเข้าบ้าน แม่นั่งพับดอกบัวอยู่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน

"หวัดดีครับแม่" พี่ตั้มทักทายก่อน

"อ้าวไปไหนกันมาลูกกลับมาเสียค่ำมืด กินข้าวกินปลากันมาหรือยัง"

แม่ละสายตาจากดอกบัว

"ยังเลยครับ พาน้องไปดูหนัง ไม่คิดว่ามันจะฉายนานขนาดนี้ หิวข้าวเหมือนกัน แม่มีอะไรให้ทานไหมครับ"

พี่ตั้มไปนั่งตรงข้ามแม่ ผมไหว้แม่เสร็จก็เดินเข้าไปในครัว หาน้ำมาให้พี่ตั้ม

"พรุ่งนี้วันพระเหรอครับแม่" พี่ตั้มยังคงถาม

"จ๊ะ กะจะเตรียมเอาไว้ใส่บาตรน่ะจ๊ะ โยๆ ลูก พาพี่เขาไปกินข้าวก่อนไป แม่ทำแกงส้มดอกแคไว้ อุ่นเสียหน่อย ไปกินข้าวก่อนเถอะลูก"

ผมเอาน้ำมะตูมที่แม่ต้มไว้ ใส่น้ำแข็งมาให้พี่ตั้มแก้วหนึ่ง ให้แม่อีกแก้วหนึ่ง

"ไปกินข้าวดีกว่าครับพี่ตั้ม เดี๋ยวค่อยออกมาคุยกับแม่"

ผมชวนพี่ตั้มจึงยอมลุกตามผมมา ผมกินข้าวกับพี่ตั้มแป๊บเดียวเพราะพี่ตั้มเขากินข้าวเร็ว ส่วนผมกินไม่เยอะ เพราะดึกแล้ว พี่ตั้มออกไปคุยกับแม่ ส่วนผมก็เก็บกวาด พี่ตั้มขอตัวกลับบ้านเกือบเที่ยงคืน ผมออกไปส่งหน้าบ้านแล้วจึงกลับเข้ามาคุยกับแม่

"แล้วพรุ่งนี้จะตื่นทันเหรอครับแม่ นอนดึกเชียว"

ผมถามพลางเก็บดอกบัวที่พับเสร็จแล้วให้

"ก็นอนเวลานี้ประจำนี่ลูก เราล่ะเป็นไงบ้างสอนน้องน่ะ" แม่ถาม

ผมไม่รู้จะตอบว่าไงดี

"ก็ดีครับ แม่เดี๋ยวโยไปอาบน้ำก่อนนะเดี๋ยวลงมาปิดบ้านให้ แม่ขึ้นนอนได้เลย"

ผมบ่ายเบี่ยง สรุปกว่าผมจะได้นอนก็เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2010 15:43:11 โดย eiky »

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #5 เมื่อ10-03-2010 19:32:51 »

+ ให้กำลังใจเรื่องใหม่ค่ะ พลอตน่าสนใจดี

สู้ๆ จ้า รออ่านต่อ

jadezii

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #6 เมื่อ10-03-2010 20:43:11 »

อยากอ่านๆๆ เดี๋ยวกลับมาอ่านพรุ่งนี้  :impress2:
 :z3: :z3:

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #7 เมื่อ10-03-2010 20:55:31 »

เด๋วอ่านก่อนนะคะ

ไอ่เจ้าเอ...กวนประสาทเป็นที่สุด น่าเอาหนังสือยัดปากนะ จะได้เงียบๆ เกรียนจริงๆ
เห็นโยภาพลักษณ์รูปร่างหน้าตาน่าแกล้งอ่ะดิเลยปากดี ไอ่เดะนี่ โยก็ใจร่มๆนะ
ลงมาสอนมันข้างล่างก็ดีนะจะได้ไม่อันตราย....ที่มันบอกว่าของแม่แยะไม่อยากเรียนข้างล่าง
แล้วลากโยขึ้นไปห้องมันที่รกกว่าอ่ะนะ  เหอะๆ..ไอ่เดะขี้เกียจฟังไม่ขึ้น


ปล. สู้ๆนะคะ จะเป็นกำลังใจให้ +1
ปล.2 ถ้าอยากแก้หัวเรื่องเพื่ออัพเดทวันและตอนที่เราจะอัพ
ทำได้โดย กดตรงคำว่า modify ตรงหัวมุมขวาของเม้นแรกนะคะ
เราก็จะสามารถอัพเดท วันและตอนเราลงได้คะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2010 21:12:32 โดย mecon »

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #8 เมื่อ10-03-2010 21:09:59 »

                                           ตอนสาม ค้าบบบบ


ผมตื่นตอนหกโมง ด้วยเคยตื่นเช้าจนชิน ถึงจะนอนดึกแค่ไหน พอหกโมงร่างกายมันก็ปลุกให้ตื่นเอง ผมเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมาที่ครัวทำอาหารดีกว่า ว่าแล้วก็เปิดดูตู้เย็น เห็นเนื้อปลากะพงอยู่ในแพ็ค วันนี้ทำข้าวต้มปลาดีกว่า ทำไปนานเท่าไหร่ไม่รู้จนได้ยินเสียงแม่เดินลงมาจากบนบ้าน

 “ตื่นแล้วเหรอครับแม่ วันนี้โยทำข้าวต้มปลา แม่จะทานเลยไหม กำลังร้อนๆเชียว”

แม่ใส่กางกางขาสั้นกับเสื้อยืดสีปูนตัวโคร่ง ผมเผ้าจัดเรียบร้อยแล้ว

“ตื่นนานแล้วลูก ใส่บาตรเสร็จล่ะ แต่แม่กลับขึ้นไปไหว้พระ ยังไม่กินหรอกลูก แม่จะไปรดน้ำต้นไม้สักหน่อย เมื่อวานเห็นกุหลาบกำลังตูมเชียว”

ว่าแล้วแม่ก็เดินออกไปหน้าบ้านรดน้ำต้นไม้


หน้าบ้านของเราแม้จะไม่กว้างใหญ่นัก แต่แม่ก็ปลูกไม่ดอกไว้เต็ม มีทั้งมะลิที่ปลูกไว้ริมรั้วข้างบ้านน้าสา ยาวจากกำแพงหน้าบ้านจรดตัวบ้าน อีกฝั่งที่มีต้นจำปี ข้างๆก็มีกุหลาบอยู่สามสี่กอ ปกติผมเป็นคนรดน้ำต้นไม้ตอนเช้าๆ ส่วนแม่จะคอยมาเก็บผลผลิต เพราะแม่นอนดึกกว่าผม ปกติผมจะตื่นช้ากว่านิดหน่อย แต่เมื่อคืนคงนอนดึกไปหน่อย ผมเทน้ำส้มสำเร็จใส่แก้วแล้วเดินเอาออกไปให้แม่ ผมนั่งลงตรงม้าหินอ่อนดูแม่รดน้ำอย่างสบายใจ

“เออ สอนน้องเป็นไงบ้างลูก”

แม่ถามคำถามเมื่อคืน โดยที่สายตายังคงมองกอกุหลาบอยู่

“อ้อ ก็ดีครับ” ผมตอบแบบไม่ค่อยเต็มเสียง ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ

“น้องเขาดื้อล่ะสิ เห็นพี่ปริศนาก็บอกอยู่เหมือนกัน กลัวว่าโยจะทนไม่ได้ เพราะตาเอค่อนข้างจะเกเรอยู่สักหน่อย คงจะดื้อเงียบ ยังไงก็อดทนเอานะลูก เราโตกว่าน้องมัน เห็นอะไรไม่ดีก็คอยบอกคอยเตือนน้องมัน อย่าเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่”
แม่หันมาผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง แม่คงรู้ เพราะผมปิดแม่ไม่ได้สักเรื่อง

“น้องเอ ก็ดีนี่ครับแม่ เห็นตั้งใจเรียนดี”

ผมตอบแก้เก้อไป แต่ความจริงเอก็หัวไว เพราะเท่าที่สอนเบื้องต้นไปเมื่อวาน เวลาถามเขาตอบได้ และดูเหมือนที่เขาไม่เก่งวิชานี้เพราะเขาไม่ใส่ใจเองไม่ใช่ว่าเป็นคนหัวทึบ ทั้งที่จริงเป็นคนฉลาดมาก นับว่าฉลาดเป็นกรดเลยทีเดียว

 “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ นัดน้องไว้เก้าโมงเดี๋ยวสาย ข้าวต้มอยู่ในครัวนะครับแม่”

ผมต้องรีบเลี่ยงตัวออกมา แต่ความจริงแม่ก็คงไม่ซักหรอกเพราะแม่เองก็รู้เหมือนกัน ว่าผมเองก็ปากแข็ง

พออาบน้ำเสร็จก็ออกจากบ้าน เดินออกมาจากซอยอ่อนนุช ๒๔ แล้วก็นั่งรถสองแถวออกมาลงตรงคาร์ฟูล แล้วเดินไปข้ามสะพานลอยไปนั่งรถเมล์ วันอาทิตย์รถไม่ติด คงไปถึงที่เอกมัยรวมเดินเข้าซอยน่าจะแปดโมงกว่าๆ ผมกดกริ่งคราวนี้เริ่มไม่ประหม่า แต่พอคิดว่าวันนี้ มันจะมาไม้ไหนกับผมอีก ก็ชักจะหวั่นๆ ความจริงเงินค่าจ้างก็ไม่มากมายนัก แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางแม่กับอาจารย์ปริศนา ทั้งตัวอาจารย์ปริศนาเองเป็นคนเข้าไปขอร้องผมถึงบ้าน จะบอกปัดไปก็จะเสียทางแม่ ผมจึงรับสอน ไม่คิดเลยว่าเด็กมัธยมปลายคนที่ตัวใหญ่กว่าเด็กธรรมดาจะทำให้ผมหวั่นใจได้เพียงนี้

“หวัดดีครับ ครู”

เสียงโอทัก ผมยกมือไหว้ตอบ แหมทีคนเป็นน้องนี่น่ารักอย่างกะคนละท้องแม่
 
“หวัดดีครับ น้องโอ ตื่นแต่เช้าเชียว ไม่ไปว่ายน้ำเหรอครับ”

“กำลังจะไปครับ เมื่อวานโอว่ายน้ำเป็นแล้ว ง่ายมาก วันนี้จะไปว่ายท่าใหม่”

 “เก่งจังครับโอ” ผมชม

โออยู่ชั้นประถมสี่ ตัวโตกว่าเด็กประถมสี่ ถ้าจะให้คาดคงเป็นเพราะพันธุกรรม อย่างที่อาจารย์ปริศนาบอก

“แม่กำลังเตรียมของอยู่ครับ ส่วนพี่เอยังไม่ตื่น ครูกินข้าวมาแล้วเหรอครับ”

โอยังคงพูดจ้อยๆ นำหน้าผมเข้าบ้าน

“น้องโอ ทำไมเรียกพี่ว่าครูล่ะครับ พี่แค่มาสอนพิเศษเสาร์อาทิตย์เองนะ”

 ที่จริงผมรู้สึกซาบซ่านต่างหาก ไม่เคยได้ยินเคยได้ยินแต่เด็กๆเรียกแม่ ว่าครู แต่พอมาได้ยินเอง หัวใจพองโตเชียว ความรู้สึกดีมากๆ

“ก็ครูเป็นคนสอนพี่เอนี่ครับ แม่บอกว่าคนที่สอนเราเป็นครูได้ทั้งนั้น ครูไม่ชอบเหรอครับ”

ผมอมยิ้มรู้สึกเขิน เด็กสองคนนี่เหมือนกันอยู่อย่างคือเวลาพูด บางทีก็ไม่เหมือนเด็ก อีกอย่าง นี่ล่ะนะลูกครู

“เปล่าครับ พี่ชอบ”

“อ้าวโย มาแล้วเหรอลูก มาๆ กินข้าวกับโอ แม่ทำแกงจืดหมูตำลึง ร้อนๆเชียวลูก”

อาจารย์ปริศนาร้องทักมาจากในบ้าน เมื่อเห็นผมก้มถอดรองเท้า ผมต้องรีบเด้งตัวขึ้นยกมือไหว้เป็นพัลวัน

“วันนี้ ก็ยุ๊งยุ่ง ตาโอก็ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ คงจะชอบว่ายน้ำ เมื่อวานว่ายไม่ยอมขึ้น จนครูฝึกต้องขู่เอาถึงยอม เราก็กลัวมันจะเป็นไข้ กลับมาไปแย่งเล่นเกมกับพี่อีก แม่ล่ะปวดหัว ส่วนรายนั้นตื่นหรือยังไม่รู้แม่ยังไม่ได้ปลุก อย่าว่าแม่เลยนะลูกโย ลำพังลูกคนเดียวนี่ก็กระเตงไปนั่นมานี่ ดันมามีสองคน ไปกันใหญ่เลย”

ว่าแล้วอาจารย์ปริศนาก็หัวเราะ บ่นแต่ขำผมก็งง แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เครียด โอนั่งกินข้าวอย่างตั้งใจ คงอยากจะไปว่ายน้ำเต็มที ส่วนผมขอตัวมานั่งที่โซฟา เตรียมเอกสารที่จะสอนเจ้าตัวดี

“โอๆ กินเสร็จไปปลุกพี่เอด้วยนะลุก พี่โยเขามารอแล้ว เวรกรรม คนสอนมาตรงเวลา คนเรียนมันไม่เอาไหนเลย”

“ไม่เอาหรอก โอไปปลุกมากินข้าวแล้ว พี่เอไม่ยอมตื่น”   โอพูดพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ

“งั้น กินเสร็จเอาของไปเก็บที่รถนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ไปปลุกพี่เขาก่อน โทษทีนะลูกโย น้องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ วันหยุดทีไรตื่นสายทุกที โยนั่งเล่นไปก่อนนะลูก ของกิน น้ำเนิ้มอยู่ในตู้เย็นนะลูก ถือว่าเป็นบ้านของตัวเอง”

 อาจารย์ปริศนาหันมาทางผม น้ำเสียงแกดูอบอุ่นเหมือนแม่ ถึงจะบ่นให้ลูก แต่เสียงบ่นนั้นก็เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทร อาจารย์ปริศนาขึ้นไปชั้นบน ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจ มองดูจอโทรทัศน์

“น้องเขาตื่นแล้วนะลูก ให้อาบน้ำแป๊บเดียว งั้นแม่ฝากด้วยนะ แม่ต้องไปก่อนละ ตาโอนั่งรอในรถแล้ว ขอบใจมากนะโย”

อาจารย์ปริศนาเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ผมลุกขึ้นเดินออกไปส่ง โอดูร่าเริงมาก โบกไม่โบกมือให้ พอรถเลี้ยวออกไปจากบ้านผมก็ไปปิดประตูหน้าบ้าน แล้วก็เข้ามาในบ้าน นั่งดูโทรทัศน์รอเออาบน้ำ ดูไปนานจนจะสิบโมงไม่เห็นทีท่าว่ามันจะลงมา หรือเรียกผมสักคำ ยังคงเงียบกริบ ผมตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบน ผ่านประตูห้องน้ำเห็นเปิดอยู่ แสดงว่าออกมาแล้ว ผมจึงเคาะประตู

“เอๆ เสร็จหรือยัง” เงียบ “เอๆ พี่เข้าไปนะ”

ผมพูดกึ่งตะโกน ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไป ไม่เห็นมีแสงใดเล็ดลอดออกมาจากห้อง ผมเปิดประตูเข้าไปเต็มที่ แสงจากภายนอกสาดเข้ามา เขายังนอนอุตุอยู่ที่เดิม รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ผมปราดเข้าไปข้างๆเตียง

“นี่เอ ทำไมยังไม่ตื่น” ผมพูดเสียงดัง

“อือ อือ”

 เขาครางอยู่ในคอแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

“อือ อือ อะไร จะเที่ยงอยู่แล้วเนี่ย พี่มารอตั้งนานรู้ไหม”

ผมตะโกนดังกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่กระดิก ผมเม้มปากอย่างแค้นใจ เอากูอีกแล้ว ไอ้เด็กบ้า ผมวางเป้ลงแล้วเดินไปเปิดผ้าม่านปิดแอร์ เปิดหน้าต่างทุกบาน

 “โว้ย อะไรนักหนาวะ คนจะนอน”

เขาดีดตัวขึ้นทันที ตะโกนใส่ผม ตกใจเหมือนกัน ผมทำเป็นไม่ได้ยินเดินมาเปิดไฟ

 “อะไรวะ แม่งกวนตีน คนจะนอน”

เขาตะโกน หน้าตาดูเอาเรื่อง แล้วก็เอาผ้าห่มคลุมโปงเหมือนเดิม ผมยืนนิ่งอยู่นาน นี่ไม่ทันได้สอนกันเลย จะอารมณ์เสียแล้ว ทนวะทน เพื่อแม่เอ้าอย่างน้อย ผมบอกตัวเอง

“เอ มันสายมากแล้วนะ”

ผมพูดเสียงเครียด เพราะรู้สึกโกรธเหมือนกัน ผมเดินไปห่างเตียงพอสมควรเพราะกลัวโดนลูกหลงมัน มีคนเคยบอกเวลาคนนอนอย่าไปกวน เพราะถ้าเจอพวกโมโหร้ายอาจจะซวยได้

“โว้ย จะนอนโว้ย”

เขาตะโกนในผ้าห่ม ผมหมดความอดทนเพื่ออะไรผมถามตัวเอง

 “งั้นพี่ขอโทษนะที่มารบกวน”

ผมพูดเน้นคำ ไม่คิดว่าจะยอมเขาง่ายๆแบบนี้ ทั้งที่เมื่อคืนบอกกับตัวเองว่าจะทน ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน จะยอมทน แต่เจอเข้าแบบนี้ เขาเดายากเหลือเกิน ปกติผมไม่เคยโดนใครตะคอกใส่ เว้นแต่ตอนรับน้อง อันนั้นก็ยกไปเพราะเรารู้และเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอมาใช้ชีวิตปกติประจำวันแบบนี้ ไม่ได้คาดหวัง ผมก้มลงหยิบเป้อย่างห่อเหี่ยว ท้อใจ ในใจก็เต้นโครมคราม ทั้งโกรธทั้งโมโห เขาลุกพรวดพราดขึ้นมา ตายังปรือๆอยู่ เขามองผมเหมือนคนที่มากวนเวลาอันเป็นส่วนตัวของเขาจริงๆ

“นอนต่อเถอะ พี่ขอโทษที่กวน พี่คงกลับล่ะ”

ผมก็จ้องเขาเขม็งเหมือนกัน ผมหันหลังเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยว” เขาตะคอก

 ผมชะงักเพราะตกใจ

“อะไรวะ ขี้น้อยใจเหมือนผู้หญิงเลย ไหนบอกไม่ใช่ตุ๊ดวะ”

 เหมือนโดนเขากระโดดถีบข้างหลังหัวคะมำไปข้างหน้า ผมหันหน้าไปทันที

“นี่ มันจะมากไปแล้วนะ ฉันเป็นเพื่อนเล่นเธอเหรอ ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน แล้วก็ขอโทษ ที่เสนอหน้าเข้ามาเอง”

 ผมตวาดไปด้วยความโมโห สะบัดหน้ากลับทันที ไม่เอาแล้วเด็กแบบนี้ ใครสอนก็คงเอามันไม่อยู่หรอก ผมเดินออกจากห้อง แต่เขากระโดดมาคว้ามือไว้

“เฮ้ยพี่โย ผมขอโทษ นะนะ ยกโทษให้ผมนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมง่วงน่ะพี่ นะนะ อย่าโกรธเลยนะ ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว”

เขาอ้วนวอนรั้งข้อมือผมไว้ ผมก็สะบัดออก รู้สึกรังเกียจยังไงพิกล

“เอไม่พร้อมที่จะเรียน ก็ไม่ต้องเรียน”

ผมยังเน้นเสียง แต่เสียงเบากว่าเมื่อครู่ เพราะรู้สึกว่าเวลาออกมาจากห้องเสียงมันสะท้อนดังกว่าเดิมอีก

“เฮ้ยพี่ ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

เขาพูดคำเดิม เสียงออดอ้อน ท่าว่ามันแสดงละครเก่ง ก็น่าจะใช่ ถ้าคนอื่นมาเห็นตอนนี้คงเหมือนผมกำลังรังแกเด็ก ม.ปลาย

“ไม่เป็นไรหรอก เอไม่ได้ทำอะไรผิด มันเป็นชีวิตประจำวันของเธอ พี่ไม่ถือ เรื่องแม่ของเธอก็ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวพี่จะบอกท่านเอง ว่าพี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะสอนเธอเอง ไม่ใช่เป็นเพราะเธอ”

ผมหยุดเพราะรำคาญที่เขาเขย่ามือ ที่จริงผมแกะไม่ออก ผมยังโมโหอยู่ แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย นี่หรือที่เขาบอกโกรธจนลมออกหู

“โธ่พี่ ผมขอโทษ พี่จะให้ผมทำยังไงล่ะเนี่ย พี่ถึงจะยอม”

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่อายไม่แอบ ทำให้เขาเห็นว่าผมกำลังรวบรวมสมาธิ เขาคงคิดได้ว่าถ้าผมไม่สอนจริงๆแล้ว อาจารย์ปริศนาคงมีมาตรการที่จะจัดการกับเขาเป็นแน่ คิดแล้วก็แอบสะใจ แต่นะเราเองก็จะยอมเพราะเด็กมันเป็นแบบนี้ก็ใช่เรื่อง

“ทำไม ถึงทำแบบนี้ล่ะ พี่รู้ว่าเธอไม่อยากเรียน หรือไม่ชอบให้ใครมากวนใจเธอ รู้ไว้นะ ถ้าไม่ใช่ว่าอาจารย์ปริศนาอยากเห็นเธอสอบเข้าเรียนวิศวะ ตามที่เธออยากเรียน พี่ก็จะไม่ช่วย เงินมันไม่ได้สำคัญหรอก แต่พี่สงสารคนที่เป็นแม่ ผู้หญิงคนเดียวอุตส่าห์อดทนต่อความยากลำบากเพื่อที่จะทำให้ฝันของลูกชายเป็นจริง ถึงแม้ลูกชายจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม”

ผมเน้นคำสุดท้าย จ้องหน้าเขาเขม็ง หน้าเขาสลดลงทันที แววตาดูน่าสงสารขึ้นมา ในใจผมเองก็ตกใจ พูดแรงไปหรือเปล่า เขาก้มหน้านิ่ง แต่ยังกุมข้อมือผมอยู่ แต่ด้วยความที่เขาตัวสูงกว่าผมถึงแม้ว่าเขาจะก้มหน้า กริยาอาการต่างๆ ก็ใช่ว่าผมจะไม่เห็น เขาก้มหน้าเพื่อที่จะอมยิ้ม พระแม่ลักษมี มือข้างที่เว้นจากการเกาะกุมของเขา ฟาดไปเต็มแรงที่บ่า

“โอ๊ย พี่ตีผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ”

เขาร้องพร้อมกับกระโดดหนี

“หนอย เลว ไอ้เราก็คิดว่าสลดใจ เหลือขอที่สุด”

ผมกะตามเข้าไปฟาดอีกที เพราะโมโหน็อตหลุดไปแล้ว

“ตลกมากเหรอ ห๊า ที่ฉันพูดแล้วมันตลกมากนักเหรอ”

คราวนี้ผมไม่ได้สนใจว่าเสียงจะก้องบ้านแล้ว ตวาดเสียงดังลั่น คิดว่าถ้าเขาสำนึกได้ประโยค

“เอาเถอะ”

ก็กำลังจะตามมา แต่เวรแท้

“เปล่า ไม่ตลก”

เขายังมีหน้ามาพูด สีหน้าไม่มีความเศร้าสลดเหมือนเมื่อครู่เลย กับดูร่าเริงกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่

“เปล่า แล้วยิ้มอะไรหา นิสัยเสีย”

ผมตวาดไล่กวดเขาให้จนมุม

“เปล่าพี่ แต่เวลาพี่โกรธแล้วแก้มแดงๆ น่ารักดี”

 เหมือนโดนน้ำเย็นสาดตอนเล่นน้ำสงกรานต์ เขาพูดหน้าตาเฉยขณะที่ผมรู้สึกเหมือนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

“ไอ้บ้า”

ทำไมไม่เข้าใจ ผมเขินมัน เขินมาก รู้สึกอาย เหมือนโดนล้อ

“โหยิ่งอาย ยิ่งหน้าแดง น่ารักนะเราเนี่ย”

กรรมของยศภาคที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ผมอายครับ อายโดยไม่รู้สาเหตุ จากที่เราเป็นต่อมัน โดนหักมุมให้เราเป็นรอง ตายแล้วเพิ่งรู้ว่าผมแพ้คำเยินยอ ไม่ใช่สิ เคยโดนคนพูดแบบนี้มาก็เยอะ ทำไมไม่อายขนาดนี้ โอ๊ย อะไรกัน ผมด่าทอตัวเองอยู่ในใจ


“ผมขอโทษจริงๆนะพี่ ผมขออาบน้ำแป๊บเดียว นะนะ”


เขา เข้ามาเขย่าแขนให้ผมตื่นจากภวังค์ แล้วก็วิ่งกลับเข้าไปในห้อง ผมสิ ยืนหน้าแดงอยู่ เพราะโกรธผมเชื่อว่าโกรธเยอะกว่าอาย ไม่มีทางผมไม่อายมันหรอก นี่ถ้ามันรู้ว่าผมอ่อนให้กับเรื่องง่ายๆ แบบนี้แล้ววันหลังมันก็จะเอาใหญ่อีกสิ ไม่ได้ๆ ผมยังยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลม ไม่มีร่าง ยืนเอ๋ออยู่จนมันวิ่งออกมาจากห้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2010 15:58:10 โดย eiky »

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #9 เมื่อ10-03-2010 21:16:24 »

แง่มๆ คำก็ตุ๊ด สองคำก็ตุ๊ด แบบนี้ต้องวีนนนน :m31: :m31:
อีกอย่างนะคะ ถ้าใจอ่อนก็จะเสียคน..เรียนไม่เป็นอันเรียน
ต้องให้ครูสอนพิเศษมาปลุก เฮ้อไอ่เดะนี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
« ตอบ #9 เมื่อ: 10-03-2010 21:16:24 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #10 เมื่อ10-03-2010 22:33:51 »

แหย่ให้โกรธแล้วขอคืนดี  ตบหัวแล้วลูบหลังนี่ อย่าไปยอมมานนนน

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #11 เมื่อ11-03-2010 02:13:12 »

 :L2: รับเรื่องใหม่
สนุกมาก



+1

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #12 เมื่อ11-03-2010 07:34:35 »

ขอบคุณ ทุกเมนต์นะค้าบบบ มีกำลังใจเขียนขึ้นเยอะเลย ต่อด้วย ตอน สี่เลยนะค้าบบบ




                                        ตอนสี่ค้าบบบบ



เอนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดิมแต่ไม่ใส่เสื้อ มีผ้าเช็ดตัวคล้องคอ ผมจ้องเขาอย่างไม่ตั้งใจ

 “ทำไมจ้องจังล่ะพี่ อยากดูของผมเหรอ”

“ไอ้บ้า น่าดูตายล่ะ”

รู้สึกเขินเหมือนกัน แต่ผมเองก็ไม่หลบสายตา เพราะท่าทำเกินจริตเดี๋ยวมันก็เข้าใจเป็นอย่างอื่นอีก ขี้เกียจจะต่อความยาว สาวความยืดกับมัน ในใจก็พยายามดึงสติเถียงกับตัวเองว่าจะอยู่หรือกลับบ้านดี

“โห ดูใหญ่เลยโว้ย จะเข้ามาถูหลังให้ผมไหมล่ะพี่ เผื่ออยากจะดูมากกว่านี้”

“รีบๆอาบเข้าเถอะ เสียเวลา”

ผมตัดรำคาญ เพราะรู้ว่ามันคงถนัดเรื่องกวนใจคนอื่นอยู่แล้ว ขืนไปโต้คารมด้วยมีหวังยาว สรุปอยู่ต่อก็อยู่ ไหนๆมันก็มาขั้นนี้แล้ว ผมวุฒิภาวะเยอะกว่ามัน อย่าปล่อยให้ใจวอกแวก มันจะมาไม้ไหนก็ต้องอดทน เข้มแข็งไว้นะโยๆ ผมปลอบตัวเองเหมือนเด็ก แล้วรีบเดินเข้าไปในห้อง ตอนแรกกะว่าจะเก็บผ้าห่มให้ แต่ถ้าทำมันคงพูดไม่หยุดเลยไปเตรียมหนังสือที่จะสอนมัน แล้วก็นั่งอยู่เก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ เข้มแข็งไว้ๆ ไม่ฟุ้งซ่านๆ จะสอนมันเรื่องไหนดี เรื่อง Tense มันก็ยังไม่ได้ แต่การใช้ Verb ก็ยังอ่อน จะเอาจากตรงไหนดี กรรมแท้ๆ ผมคิดวกไปเวียนมา ไม่เข้าไม่ออก พยายามดึงสติ และจิตวิญญาณกลับมาไม่ให้ลอยไปตามคารมที่ผ่านมาของมัน ไม่คิดๆ

“คิดอะไรอยู่เหรอพี่ ใจลอยเชียว”

ผมสะดุ้งเพราะมันมายืนอยู่ข้างหลังแล้วคร่อมผมไว้ หน้าแทบจะติดกันจนได้กลิ่นสบู่

“โอ๊ะ ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า”

ผมไม่รู้จะพูดอะไร

“ก็กำลังจะใส่อยู่นี่ไง ตัวหอมนะเนี่ย ยิ่งอยู่ใกล้ๆยิ่งหอม”

ว่าแล้วมันก็สูดหายใจเข้าแรงๆ มันแกล้งผม ผมยังสั่นอยู่เพราะตกใจ ไม่ใช่ไม่เคยเจอแบบนี้ แต่ไม่ได้คาดหวังอีกแล้วว่าจะเจอ มันเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ส่วนผมทั้งโมโหทั้งตกใจ รู้ทั้งรู้ว่ามันจงใจแกล้ง แต่ในใจก็กระเจิดกระเจิง เหมือนคนวิ่งหนี วัวบ้าในทุ่งกว้าง ยิ่งหนี มันยิ่งตาม

“เฮ้ย”

 ผมอุทานด้วยความตกใจ เพราะมันคลี่ผ้าเช็ดตัวลงมากองที่พื้น โดยที่ตัวล่อนจ้อน ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า

“ทำไมพี่ หน้าตาตกใจเชียว เฮ้ย อย่ามองผมแบบนั้นดิ ไหนบอกไม่ใช่ตุ๊ด”

มันรีบนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อยืดทันที

“เอ่อ”

ผมพูดไม่ออก ไม่ได้อยากจะมอง แต่มันเหมือนใครจับหน้าไว้ไม่ให้หันหนี ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำได้มากขนาดนี้ หรือมันอาจจะไม่คิดอะไร ไม่นะ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร โอย วันนี้มันอะไรกันนี่ โมโหก็โมโห อยากจะเตะมันสักที กวนดีนัก มันทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเดินมาที่โต๊ะแล้วไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นมากาง เดินมาหยิบสมุดกับปากกา

“จะเริ่มกันยังล่ะพี่ ผมไม่อยากเสียเวลา”

แหมไอ้เวร ดูมันพูด ผมได้แต่ถอนหายใจ มันทำให้ความคิดที่กระเจิดกระเจิงเตลิดเปิดเปิงกลับมาทันที

“อ่ะนะ”

ผมพูดไม่ออก เหมือนว่ามันผลักความผิด ความอัปยศอดสูมาใส่ผมโดยสิ้นเชิง ผมต้องจำใจเดินไปนั่งลงตรงข้ามมัน อย่างเคยมันอมยิ้ม ยิ้มเหมือนคนที่ถือไพ่เหนือกว่า เป็นยิ้มที่อยากจะต่อยปากมันสักที

“วันนี้เราจะเรียนเรื่อง tense ละกัน พี่ขอเทสต์หน่อยนะ ว่าเราพื้นฐานเป็นยังไงบ้าง อ่ะ ประโยคนี้เป็นประโยคอะไรครับ”

ผมเขียนประโยคขึ้นมาแล้วยื่นให้เขาดู

“ลายมือไม่สวยอ่ะ อ่านไม่ออก”

เฮ้อ กูจะรอดไหมเนี่ย ชั้นเนี่ยนะลายมือไม่สวยไม่อยากจะคุย ตอนเรียนอยู่ชั้นเดียวกับแก ชั้นก็เป็นตัวแทนคัดไทยนะเว้ย ผมด่ามันอยู่ในใจ ต้องดึงกลับมาเขียนใหม่

“อ่ะอ่านได้ไหม”

ผมพยายามควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด เท่าที่จะทำได้ ไม่อยากเล่นเกมกับมันแล้ว เหนื่อย

“อะไรล่ะพี่ เอ่อ มันน่าจะเป็น simple tense ป่ะ”

เขาตอบอย่างลังเล ไม่รู้ว่าแกล้งหรือลองภูมิ

“ I was sick. ประโยคนี้เป็น past tense โดยเราจะดูจากกริยา หรือ verb ซึ่งกริยา หรือ verb นี้เป็นตัวระบุการกระทำว่าเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต วิธีง่ายๆ ที่เราจะสังเกตว่าประโยคนั้นๆ เป็นประโยคอะไร ตัวอย่าง I was in Chaingmai last week with my girlfriend. ซึ่งนอกจากจะมีกริยาเป็นตัวบอกว่า เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว คือได้อยู่มาแล้ว เป็นตัวระบุ ยังมี last week เป็น adverb ขยายว่าได้เกิดขึ้นเมื่อไหร่”

ผมเอาดินสอวงกลมให้มันดู วันนี้มันดูสนใจกว่าวันแรก แต่ก็มีบ่อยครั้งที่มันจ้องหน้าผมแล้วก็ยิ้มๆ ตอนแรกผมก็เขม่นใส่มัน แต่คิดๆดูแล้วมันน่าจะกำลังยั่วโมโหผมอยู่ จึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนบ้าง ผมสอนเรื่อง tense จนถึงเที่ยง มันหัวเร็วกว่าที่คิด นี่ถ้ามันเอาหัวเร็วๆของมันมาคิดเรื่องการเรียน ผมว่ามันน่าจะเป็นนักเรียนเรียนดีคนหนึ่ง แต่นี่ดันเอาสมองส่วนดีมาใช้งานในทางที่ผิด กรรมของอาจารย์ปริศนา ผมพอรู้แล้วว่าทำไมมันถึงเรียนวิชานี้ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมันเองนั่นล่ะที่ทำท่าไม่ใส่ใจเอง ทั้งที่พื้นฐานเป็นคนหัวไว

“ไปกินข้าวกันเถอะ”

ผมชวนมันก็พยักหน้าไม่ยักพูดอะไรแฮะ มันเดินนำหน้าลงมาจากห้อง ผมเดินตามลงมา มันเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว

“มีอะไรกินไม่รู้ หิวแล้วเนี่ย”

เหมือนจะพูดให้ผมสนใจ แต่ผมคิดว่ามันพูดกับตัวเองมากกว่า ผมเปิดดูในหม้อมีแกงจืดเมื่อเช้า รู้สึกเมื่อวานอาจารย์ปริศนาก็ทำแกงจืดนี่

“แกงจืด”

ผมพูดขึ้นลอยๆ

“อะไรวะ แม่ทำเป็นแต่แกงจืดเหรอ วันก่อนก็แกงจืด กินทุกวันเลย”

 มันบ่น ผมไม่อยากพูดอะไรมาก จึงไปเปิดตู้เย็นดูของว่ามีอะไรที่จะพอทำให้ไอ้คุณชายมันยัดได้ไหม ผมเอาไก่ออกมา กับพริกหยวก ทำอย่างเดียวนี่ล่ะ ไม่ต้องหลายอย่าง ผมจะผัดไก่ใส่พริกหยวกให้มันกิน แล้วก็อุ่นแกงจืดนั่นล่ะ

“เปิดแก๊ส ตรงไหน”

ผมถาม แล้วหันไปหามัน

“ตรงโน้น”

มันใช้ปากบุ้ยชี้ทาง

“สบายจังนะ มาช่วยหั่นพริก”

 ผมออกคำสั่ง

“ไม่เอาอ่ะ ทำไม่เป็น พี่นั่นล่ะทำ”

 “ทำไม่เป็นก็กินแกงจืดนี่ล่ะง่ายดี” ผมชักรำคาญ

“ไม่เอา ไม่กินแกงจืด”

“ไม่กินก็มาหั่น อย่ามากความ”

 ผมหันหลังเอาไก่ออกจากล่องแล้วไปแช่น้ำ ไม่สนใจมันอีก สรุปมันก็ต้องเดินลากเท้ามาล้างพริก โฮะๆ รู้สึกสะใจ

“นี่คุณ หั่นกินนะไม่ใช่หั่นให้หมู นี่ หั่นแบบนี้”

ผมทนดูมันทำไม่ได้ เพราะเอามีดสับๆ ชิ้นใหญ่โต

“บอกแล้วทำไม่เป็น ก็ยังจะให้ทำอยู่นั่นล่ะ”

 “ทำไม่เป็นแล้วไม่ฝึก ไม่หัด เมื่อไหร่จะเป็น อย่ามาทำเป็นคุณหนู ไม่ทำก็ไม่ต้องกิน”

ผมขึ้นเสียง พูดแล้วก็น่าเห็นใจอาจารย์ปริศนา ลำพังลูกชายคนเล็กคงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เจ้าตัวปัญหานี่ ท่าจะทำกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย แม่เล่าว่าแต่ก่อน อาจารย์ปริศนาเคยจ้างแม่บ้าน แต่พอสามีเสียเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ แกก็เลิกจ้างเพราะค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องทำเองทุกอย่าง น่าเห็นใจ แต่ลูกชายมันจะรู้ไหมว่าแม่มันลำบากแค่ไหน ทำตัวเป็นคุณชายจับอะไรก็ร้อง

“ว่าแต่พี่ทำเป็นเหรอ”

 มันถามเมื่อหั่นพริกเสร็จ

“เป็นไม่เป็นก็กินได้ละกัน กลัวก็กินแกงจืด” ผมขู่

“โห ขู่ได้ขู่ดี จำไว้นะ”

มันย้อน จำไว้นะ ตายล่ะสิมันจะเอาคืนไม้ไหนอีกหนอ ผมหน้าซีดไป ทำไมต้องเกรงกลัวมันด้วยนะ ผมด่าตัวเองในใจ ผมเลยสั่งมันทำโน่นทำนี่แก้อาการของตัวเอง แม้มันจะบ่น แต่ก็ทำ พอเสร็จผมก็ตักข้าวใส่จานให้มัน

“เจียวไข่อีกดีกว่า”

 ผมพูดเพราะดูท่า ยักษ์คงเข้าสิงมัน แค่วางจานกับข้าวลงมันก็จ้ำก่อนแล้ว ผมเดินไปเจียวไข่อีกสามฟอง เดินกลับมาผัดพริกไก่ผมพร่องไปครึ่งจานแล้ว

 “โห เบาๆ พ่อคุณ ทีเมื่อเช้าไม่รู้จักลงมากิน”

 ผมเหน็บแต่ดูเหมือนมันไม่สนใจ ระหว่างกินข้าวมันไม่พูดสักคำ ตั้งหน้าตั้งตากิน คงจะหิวจัดเพราะกินข้าวสองจานพูนๆ

“อิ่มจัง”

 มันพูดอกมาแล้วเอาหลังเอนพนักพิง อย่างสบายใจ ผมอิ่มตั้งนานนั่งมองดูมันอยู่

“กินเสร็จก็ไปล้างจาน” ผมออกคำสั่ง

“โอ๊ย ไม่เอาหรอก ไม่เคยทำ” มันพูดหน้าตาเฉย

“กินเสร็จก็ต้องล้างจานสิ เราไม่ล้างแล้วใครจะล้าง”

 “ก็เดี๋ยวแม่กลับมาล้างเองล่ะ ขึ้นไปงีบก่อนดีกว่า” ดูมัน

“ไม่ได้ ไม่รู้เหรอว่าแม่ เขาเหนื่อยแค่ไหน แค่ล้างจาน ทำไมจะทำไม่ได้ มันยากเย็นนักเหรอ”

ผมทำเสียงดุ

“ทำไมต้องทำเสียงดุอย่างนี้ด้วยวะ”

 “วะ กับใคร เราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะเอ พี่เป็นพี่เธอนะ ที่บอกอยู่เนี่ย ก็เพราะเห็นใจแม่ของเธอ แค่เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ยังไง”

ผมได้ที สวดไปอีกชุดใหญ่

“ผมยังไม่คิดที่จะมีครอบครัว มีแต่แฟนแต่เดี๋ยวก็คงเบื่อ”

มันยังดันทุรังไปได้อีก

“ นี่ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ เธอเป็นลูกคนโตนะ ตอนนี้ก็จะ ๑๘ อยู่แล้ว น่าจะเป็นที่พึ่งให้กับ แม่และน้องได้ แต่นี่อะไร กลับเป็นคนที่ไม่เอาไหนที่สุด” ผมพูดลอยๆ

“พี่” มันโมโห ตบโต๊ะเสียงดัง จนผมเองสะดุ้ง มันจ้องผมเขม็ง

“พี่มาสอนแค่ ภาษาอังกฤษผมนะ ไม่ใช่มาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวผม”

มันลุกขึ้นยืน ตัวที่ใหญ่อยู่แล้วเวลามันลุกนี่ยังกับยักษ์ ผมใจแป้วไปเหมือนกัน มันโกรธหน้าแดง กว่าตอนที่ปลุกมันเสียอีก

“ขอโทษ ก็แค่เตือนๆ”

ผมเสียงอ่อย ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเสียงอ่อยให้มัน

“งั้น เราขึ้นไปรอข้างบน อ้อ เธอไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้หรอกนะ สิ่งที่พี่พูดไป ถ้าไม่ใช่แม่เธอบอกให้ช่วยสอน ช่วยเตือน ฉันก็คงไม่พูด เพราะในชีวิตของพี่ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีเด็กคนไหนมาตวาดใส่พี่แบบนี้เหมือนกัน”

ผมเอาอาจารย์ปริศนามาเป็นข้ออ้าง มันเงียบเสียงลง ทำหน้าคิดเล็กน้อย เกลียดจังเลยเวลามันทำหน้าตาแบบนี้ อยากเข้าไปถีบมันสักที ผมพูดเสียงเรียบต่ำ มันดูหน้าเจื่อนไป แล้วก็สะบัดก้นเดินขึ้นบ้านไป พร้อมกับสบถเบาๆ ผมไม่อยากจะเล่า นับเป็นกรรมของผมเถอะที่ต้องเจอเด็กแบบนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2010 16:12:05 โดย eiky »

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #13 เมื่อ11-03-2010 08:09:06 »

รออ่านตอนต่อไป
สนุก น่าติดตาม :L2:



+1

ออฟไลน์ aorta999

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #14 เมื่อ11-03-2010 09:51:56 »

เขียนได้ดีัมากๆเลย อ่านแล้วไหลดี

jadezii

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #15 เมื่อ11-03-2010 12:07:17 »

สนุกมากขึ้นเรื่อยๆ  o13
รีบมาต่อนะคะ อยากอ่านต่อ ^^ :z2:
 :z3: :z3:

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #16 เมื่อ11-03-2010 14:21:34 »

ถามเพื่อนๆ หน่อยคับ ถ้าอยากทำให้มันเป็น หน้าถัดไปนี่ ต้อง อัพเรื่องลงตรงไหน ทำไมของเรามันเป็น หน้าแรก ตลอด อ่าา ช่วยด้วยๆๆ

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #17 เมื่อ11-03-2010 17:40:29 »

                                               ตอนห้า ค้าบบบบบ



ผมล้างจานเก็บครัว เสร็จก็โทรศัพท์หาจ๋า อยากจะปรึกษาสักหน่อย เพราะรู้สึกว่าศึกวันนี้คงยังไม่จบแค่นี้
“แก มันเอาใหญ่เลยนะ ยั่วโมโหตลอดเวลาเลย ฉันจะทำไงดี”
ผมพูดเสียงเบา เพราะกลัวมันได้ยิน
“อะไรโย แกกลัวเด็ก ม.๕ ด้วยเหรอ ไม่ยักรู้ ยั่วมาก็ด่ามันไปสิ อย่าให้มันกำเริบ”
“โอยทำไปหมดแล้วแก ทั้งด่าแบบผู้ดี ด่าแบบผู้ร้าย มันสนที่ไหนล่ะ ฉันคนด่านี่สิจะบ้าตาย”
“แกก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนสิแก ตีมึนเข้าไว้ แอ๊บแบ๊วใส่มันเลย”
“นะ ถ้าเป็นพลก็ดีสิ จะให้มันรู้ไปเลย”
ผม วางสายจากจ๋า โดยไม่รู้สึกว่าช่วยอะไรได้มากนัก แต่ก็ยังดีที่ได้ระบายออก เมื่อครู่เหมือนมันโกรธจริงๆ หรือว่าผมวุ่นวายกับมันมากเกินไป เจ้ากี้เจ้าการ ขี้บ่น มันคงจะรำคาญ ผมคิดพลางย่องขึ้นไปข้างบน ประตูห้องปิดสนิท ผมเงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา หรือว่ามันโกรธจริงๆ หว่า ผมคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูเบาๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ผมเลื่อนมือไปบิดลูกบิดช้าๆ เขานั่งพิงเตียงอยู่ เตรียมตัวเรียนเต็มที่ ผมเองที่เป็นฝ่ายประหม่า เอาละสิ มันคงโกรธจริงๆ ชิ ดีเหมือนกันจะได้สอนอย่างเดียว ไม่ต้องออกนอกเรื่อง

“ช้าจังเลยพี่ เดี๋ยวผมก็ง่วงก่อนหรอก”  

มันเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ส่วนผมก็งงสิครับ อะไรของมันนี่ หรือว่ามันอาจจะคิดได้ ที่ผมบอกไป

“พอดี พี่เก็บของอยู่น่ะ พักก่อนได้นะจะได้ไม่เครียด”

ผม พูดไปแก้เก้อ เพราะไม่รู้ว่าพูดอะไรกับมันดี มันนับเป็นคนที่เก่งมากในเรื่องปั้นหน้า ตอนอยู่ข้างล่าง หน้ายังบูดอยู่เลย แต่ถ้ามันไม่ได้ปั้นหน้า ทำไมมันเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้ ผมคิดอยู่ในใจ พอดีกับโทรศัพท์มันดัง

“เฮ้ย กูเรียนอยู่ ไอ้สัตว์ กูก็ขอมีความรู้บ้างดิ ไอ้เหี้ย มึงทำห่าอะไรอยู่วะ”
มัน คงคุยกับเพื่อน แต่อย่างนี้ไม่น่าเรียกว่าคุย น่าจะเป็นการบริภาษกันเสียมากกว่า ผมตกใจเหมือนกันเพราะมันคุยเสียงดัง แต่ผมก็ทำท่าเปิดหนังสือ ไปเรื่อยเปื่อย ไม่สนใจ ไม่ได้ยินที่มันคุยกัน


“แค้นี้นะไอ้เหี้ย กูจะเรียน มึงจะไปก็ไปไอ้สัตว์ แม่งยั่วฉิบหาย”

มัน วางแล้วแล้วหันมามองผม ซึ่งนั่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ที่จริงมันก็เป็นปกติของเด็กที่คุยกับเพื่อน เพียงแต่ผมไม่ค่อยพูด จะหนักสุด ก็แก กับ ฉัน มึงกูบ้าง ถ้าโกรธจริงๆ น้อยมาก จะด่า ก็อีบ้า ขุดเผือกขุดมันมาด่า

“ฟังเพลงไหมพี่”

มัน ถามขึ้นคงอึดอัดที่ผมไม่ยอมพูดอะไร ผมไม่ตอบได้แต่พยักหน้า ที่จริงกลัวมันจะแจกไอ้ตัวที่มันเพิ่งจะคุยกับเพื่อนเมื่อครู่ให้ผม คงไม่ไหวจะรับ มันลุกขึ้นไปเปิดเครื่องเสียง พอเครื่องเสียงทำงาน ผมก็เป็นอันสติแตก เพราะเพลงที่มันฟังจะออกร็อค รวมทั้งมันแหกปากไปตามเพลง เปิดก็เสียงดัง

“นี่ เปิดเบาๆ ไม่ได้เหรอ หนวกหู” ผมตะโกน

มันมองแบบไม่พอใจ แล้วก็ปิดเพลงเสีย แต่แวบหนึ่งผมเห็นมันอมยิ้ม รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มันกลับมานั่งที่เดิม แล้วมองหน้าผม

“เจี้ยวแข็งว่ะพี่”

ไอ้ บ้า แล้วแกมาบอกฉันทำไมล่ะ ผมด่ามันในใจ เอากูอีกแล้ว แต่ผมก็ทำเป็นนิ่ง ไม่สนใจมัน แต่มันกลับเอาครึ่งตัวพาดมาที่โต๊ะ จมูกเกือบชนกับจมูกของผมเหลือช่องว่างอยู่ไม่กี่เซ็นต์ ผมเด้งตัวออก

“มันแข็งจริงๆนะพี่ จับดูดิ”

มันยังมีหน้ามาพูด อย่างลอยหน้าลอยตา แถมยังอมยิ้มคงเห็นว่าผมหน้าแดงเพราะอายหรืออะไรก็ไม่ทราบ

“เรามาเรียนต่อเถอะ ในเมื่อเธอจะไม่พัก”

ผมพยายามทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกเหมือนเคย

“เรียน เรืองบนเตียงดีกว่าไหมพี่ เนี่ยมันไม่ยอมลงเลยอ่ะ”

โอ๊ย ไอ้เวร กวนประสาท อยากจะเหยียบให้มันหักไปเลยดีไหม จะได้เงียบสักที ผมเม้มปากกัดกราม ด่ามันในใจ พุทโธ พุทโธ  ผมพยายามเรียกสติกลับคืนมา

“นะนะ พี่จับให้หน่อย อยากให้พี่จับจริงๆนะ”

น้ำเสียงของมันตอนนี้ มันทำให้ผมรู้ว่ามันจงใจที่จะกวนประสาท อย่างนี้มันต้องเกลือจิ้มเกลือ ผมคิด

 “ไม่อยากจับครับ ไม่ถนัดน่ะ ถนัดแต่ทำอย่างอื่น อยากลองไหมล่ะ”

ผมเหลือบตาลงต่ำไปยังเป้าหมายที่ต้องการ เขากระเด้งตัวกลับทันที

 “เฮ้ย ไหนบอกไม่ใช่ตุ๊ด อะไรวะ”
”อ้าว แล้วทำอย่างนี้ทำไมล่ะ อย่ายั่วให้มากเดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน อย่างเธอน่ะไม่ใช่แนวพี่หรอกอย่าพยายามเลย” ผมเบะปาก
 “ทำไมผมไม่ดีตรงไหน”

อ้าวไอ้นี่อุตส่าห์พูดให้เสียกำลังใจ

“เอาเถอะ เอ ถือว่าพี่จะไม่มองเธอในเรื่องแบบนั้นหรอก ไม่ต้องกลัว เราจะเริ่มเรียนจากตรงไหนดี”

ว่าแล้วผมก็เปิดหนังสือ รู้สึกสะใจที่ทำให้มันหายบ้าได้

 “พี่ถามจริงๆเถอะ เขาทำกันยังไงเหรอ ผู้ชายกับผู้ชายเนี่ย” เขายังยื่นหน้ามาถาม

“นี่ จะอยากรู้ไปทำไม หรืออยากจะเป็นเหรอ ทำไมไม่คิดจะถามเรื่องที่ว่าพี่จะสอนยังไง สอนอะไรไม่ดีกว่าเหรอ”
”บ้าดิ ก็แค่อยากรู้ใครจะอยากเป็นตุ๊ด วิปริต”

ผมอยากจะด่ามันนักแต่ก็ห้ามใจเพราะถ้าโต้คารมคงจะยาว

“ไหนลองบอกพี่ซิ ประโยคนี้หมายถึงอะไร”
ผมเขียนประโยคสั้นๆให้เขาดู
 “ไม่รู้ อ่านออกอย่างเดียว”
มันเกาหัวแกรกๆ
”แล้วแปลไม่ออกเหรอ”
”ก็ไม่เชิง แต่ไม่รู้ว่ามันยังไง”
”อะไร ยังไง” ผมเริ่มงง
 “ลองเขียนประโยคสั้นๆ ซิ เอา ผมอยากจะดูหนังเรื่อง transformers”

ผมตั้งประโยคให้ มันหยิบปากกาขึ้นแล้วลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยเขียน แล้วก็ยื่นให้ผมดู

 “เอาล่ะ ไหนลองแยกว่าอันไหนเป็นกริยา อันไหนเป็นกรรมให้พี่ดูหน่อยซิ”
ผม ยื่นกลับคืน มันเกาหัวแกรกๆ ถ้ามีเหาอยู่บนหัวนี่ เหาคงได้แช่งชักหักกระดูก เพราะมันเกาแรงเหลือเกิน มันลังเลสักพักจึงวงกลมตัวหนังสือ
“พี่รู้แล้วล่ะว่าเราจะเริ่มจากตรงไหนดี”
 ผมพยายามเอาวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา ถ่ายทอดให้มัน แต่ดูเหมือนจะยากสักหน่อย เพราะมันสับสนกับรูปประโยค กับการใช้กริยา

“พี่วันหลังทำให้ผมบ้างดิ”

มันโพล่งขึ้น หลังจากที่ทำตามตัวอย่างที่ผมสอนไป

”ทำอะไรครับ”

ผมยังก้มหน้าดูหนังสือที่มันเขียนเพื่อดูความถูกต้อง

“ก็ทำอย่างที่พี่ทำกับผู้ชายคนอื่นน่ะ”

ไอ้นี่ ผมเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขาทันที
“เอ” ผมแว้ดใส่
 “จะทำตอนนี้เลยไหมล่ะ หา จะได้หมดเรื่องกันเสียที อยากรู้มากนักเหรอ”
”ก็แค่อยากรู้” มันยิ้มอย่างพอใจ
“มีเรื่องอื่นตั้งมากมายให้เรียนรู้ คิดบ้างสิ ไม่ใช่คิดแต่เรื่องแบบนี้”

ผมรู้สึกว่าโกรธ เหมือนคนเอาเข็มมาทิ่ม หรือกำลังนอนสบายๆแล้วมีมดคันไฟมากัด แต่ก็ไม่ได้ๆ จะให้มันเบนความตั้งใจของผมไม่ได้


“ไหนลองออกเสียงประโยคที่เขียนซิ “

ผมวกกลับเข้าตำรา มันก็ทำเป็นไม่ใส่ใจในสิ่งที่เพิ่งพูดออกมา แล้วออกเสียงเหมือนเด็กอนุบาล

“เคยดูหนังฝรั่งหรือเปล่าเอ”
”เคยดิพี่”
”ดูเขาพากย์เสียงหรือซาวด์แทรก”
”แหมพี่ อย่างผมต้องดูพากย์ไทยสิ ขี้เกียจอ่าน” อ้าว กรรมแท้ๆ
“วันหลังเดี๋ยวพี่เอาหนังมาให้ดู”
”ไม่เอาหนังโป๊นะพี่ ของผมมีอยู่เยอะแล้ว”

ผมได้แต่ส่ายหัว มันจะยั่วไปถึงไหนเนี่ย

“เวลาเราพูดภาษาอังกฤษ เราต้องออกเสียงให้ถูกนะ แล้วก็คำบางคำไม่จำเป็นต้องลากเสียงเหมือนเด็กท่องสูตรคูณอย่างนั้นก็ได้”
”พี่พูดให้ฟังหน่อยดิ”

ผมพูดประโยคง่ายๆให้เขาฟัง

 “โห อย่างนี้เพื่อนผมต้องว่ากระแดะแน่ๆ ออกเสียงซะเหมือนฝรั่งเลย”
อ้าว กรรมอีกแล้วอีกแล้วกู ทีพูดที่โรงเรียน หรือมหาฯลัย มีแต่คนชม

“แล้วเราคิดว่ามันดูเหมือนได้เรียนมากว่าที่เราพูดเมื่อตะกี้รึเปล่าล่ะ อันไหนมันดูน่าฟังกว่า” ผมย้อนเขาทันที

“ไม่ มีใครจะว่าเรากระแดะหรอกนะเอ คนที่เขาว่าอย่างนั้นเพราะว่าเขาทำไม่ได้ แล้วเราก็ไม่ต้องไปใส่ใจเขา เราเสียเงินเรียนแม่เราเป็นคนจ่ายค่าเทอม เราเรียนไม่เก่งไอ้คนที่ว่าเรากระแดะน่ะ เขาช่วยติวเราสอนเรารึเปล่าล่ะ มันมีแต่จะเหยียดหยัน เพราะฉะนั้น ทำในสิ่งที่คิดว่าดีและถูกต้องไม่ต้องไปสนใจคนอื่น”
”โหเทศน์เป็นชุดเลยโว้ย”
”ไม่ได้เทศน์ แค่บอกให้ฟัง”
”นั่นล่ะเทศน์ เหมือนแม่เลย”  โอ๊ย กูเซ็ง จะต่อปากต่อคำกับมัน ผมร้องในใจ
“เอาเถอะ ไหนเราลองพูดซิ” ผมตัดรำคาญ
“ไม่ คำนี้ต้องพูดอย่างนี้” ผมออกเสียงให้เขาดู
“ถ้าเราไม่อยากขยับปากมาก เราก็พูดอย่างนี้ก็ได้ แต่มันจะเหนื่อยเพราะจะใช้พลังจากคอมากกว่าปกติ ไหนลองใหม่ซิ”

มัน ยังทำท่าล้อเรียนผมอย่างสนุกสนาน แต่ผมก็พยายามเอานะโม เข้าข่ม มันเป็นมารชั้นเยี่ยมทีเดียว ถ้าไม่ติดแม่ผมรู้จักกับอาจารย์ปริศนานะ ผมเขกกบาลมันไปหลายทีแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2011 02:14:32 โดย eiky »

ออฟไลน์ aorta999

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #18 เมื่อ11-03-2010 19:46:39 »

มาต่อไวไว นะคับ เนื้อเรื่องน่ารักดี

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #19 เมื่อ12-03-2010 01:24:41 »

ขอบคุณค่า..

นักเรียนแบบนี้ :angry2:ทำเอาปวดประสาทเหลือเกิ๊น :serius2:

ถามเพื่อนๆ หน่อยคับ ถ้าอยากทำให้มันเป็น หน้าถัดไปนี่ ต้อง อัพเรื่องลงตรงไหน ทำไมของเรามันเป็น หน้าแรก ตลอด อ่าา ช่วยด้วยๆๆ

อัพไปเรื่อยๆ ค่ะ หน้านี้มี 19 รีพลายนะ(เท่าที่สังเกตุ) พอรีพลายที่ 20 ก็จะขึ้นหน้า 2 ให้เองจ้า..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2010 01:36:19 โดย IRIS »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-03-2010 01:24:41 »





ออฟไลน์ bvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #20 เมื่อ12-03-2010 01:55:48 »

 :mc4: to be continuation.

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #21 เมื่อ12-03-2010 02:26:35 »

ชอบ รออ่าน :z2:




+1

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #22 เมื่อ12-03-2010 02:27:30 »

ปวดหัวกับเอแทนโยจริงๆ
 :m31:
ขอบคุณนะคะ
รออ่านต่อนะ

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #23 เมื่อ12-03-2010 02:46:01 »

อ่านรวดเดียวจบเลย   บอกได้คำเดียวว่า....ไม่ผิดหรอกถ้านายเอกเราจะหลวมตัว....ก็เด็กมันยั่วนี่ค่า 55555+

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะค่ะ สู้ๆ  :L2:

ออฟไลน์ Vesi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +204/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #24 เมื่อ12-03-2010 03:10:42 »

"ก็เด็กมันยั่ว" วาจานี้มันใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ
น่าต่อยปากจริงๆ เอะอะก็ตุ๊ด อะไรก็ตุ๊ด  :m31:

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #25 เมื่อ12-03-2010 03:29:20 »

 :mc4: :mc4: :mc4:
+1 เจิมเรื่องใหม่ อิอิ พึ่งว่างเข้ามาอ่าน
อ่านแล้วแบบสนุกอ่ะชวนติดตามดีเจ้า เอ ก็กวนได้ตลอดเวลาแบบคนไม่รู้กาลเทศะเลย
หวังว่าตอนหน้าเจ้าเอจะกวนให้ได้ใจเหมือนตอนล่าสุึดนี้นะแล้วจะรออ่านต่อ
นิว(ยิ้มๆ)

jadezii

  • บุคคลทั่วไป
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #26 เมื่อ12-03-2010 10:26:02 »

น่าเห็นใจโย  :o12:
เอ นี่กวนได้ใจจริงๆ :angry2:

 :z6: :z6: :z6: :z6:

มาต่อด่วนค่า ~ :a11:

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #27 เมื่อ12-03-2010 16:42:03 »

ดีใจมากที่ทุกคนชอบ ผมมีกำลังใจเขียนขึ้นเยอะเลย ขอบคุณมากๆๆ นะค้าบบ ต่อไป เลยค้าบบ


                                    ตอน หก ค้าบบบบบ





ผม กลับถึงบ้าน ก็ขึ้นไปล้มตัวลงเตียงทันที ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ เวียนหัวไปหมดเลย เหมือนเอาตัวเองเข้าไปฝึกให้อดทน ต่อสิ่งยุยง โอย จะไหวไหมนี่ ผมเผลอหลับไป จนแม่มาปลุกไปกินข้าว ผมคุยกับแม่สักพักก็ขอตัว เข้าห้อง กะจะไม่อาบน้ำ แต่ก็เหนียว เหนื่อยตัวเหลือเกิน อาบน้ำเสร็จ โทรหาพล ดันปิดเครื่อง คงอยู่กับเด็กจริงๆ โทรหาจ๋าก็ได้


"แกจะนอนยัง จ๋า" ผมถาม
"ยัง แก เป็นไงยะ เสียงเหมือนคนเพิ่งไปออกรบมาเลย"
"เออสิแก เหนื่อยเป็นบ้า เวียนหัวเลย"
"เอาน่ะแก เดี๋ยวก็ชิน มันหน้าตาเป็นไงวะ ไอ้เด็กคนนี้"
"ก็กวนตีนไง แม้แต่หน้าตามัน ก็กวนตีน นี่ถ้าไม่ได้เกี่ยวพันกัน ฉันคงไม่แม้แต่จะคุยกับมัน"
"โห ขนาดนั้นเชียว"


ผม ระบายออก จ๋าก็ไม่พูดอะไรมาก เพราะมันแค่อาทิตย์แรก ไม่รู้ว่าต่อไป ผมจะทนได้ไหม หรือบางทีอาจจะชิน อย่างที่จ๋าว่า ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตื่นมาตอนเกือบหกโมง พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกไปรดน้ำต้นไม้ แล้วก็มาทำข้าวต้ม ขี้เกียจหุงข้าว แม่ตื่นเกือบเจ็ดโมง แต่ลงมาในสภาพที่พร้อมจะออกไปโรงเรียน


"โย ไปอาบน้ำก่อนเถอะลูก เดี๋ยวไปทำงานสาย"
"อ้อ วันนี้พลมารับครับ"
"อ้าว พลมาทำธุระแถวนี้หรือ ไม่เป็นไรลูกเดี๋ยวแม่จัดการเอง โยไปอาบน้ำเถอะ"


แม่เข้ามาตักข้าวต้มใส่ถ้วย ผมจึงขึ้นไปอาบน้ำ พออาบเสร็จ พลก็โทรมา
"แก เสร็จยัง ทำไรกินวะ"
"ข้าวต้ม แกอยู่ไหนแล้วล่ะ ถ้ามาถึงแล้ว แม่อยู่ข้างล่าง ขอแต่งตัวก่อนแป๊บนึง"


ผมรีบแต่งตัว เตรียมกระเป๋า แล้วลงมาข้างล่าง แม่กินข้าวเสร็จแล้ว


"แม่เสร็จแล้วเหรอครับ พลยังไม่มาอีกเหรอครับแม่ เห็นบอกอยู่หน้าปากซอยแล้ว"
"จ๊ะ ยังเลยนี่ลูก เอ๊ะ นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี แม่ต้องรีบไปนะ วันนี้แม่มีประชุม"


ผมเดินออกไปส่งแม่ที่รถ พอดีกับพลลงมาจากรถ


"หวัดดีครับแม่ จะไปแล้วเหรอครับ"
"จ๊ะลูก กินข้าวมายังจ๊ะพล มีข้าวต้มนะ วันนี้แม่รีบ แล้วไปยังไงมายังไงถึงมารับกันได้ล่ะ"


แม่ถามพลางง่วนอยู่กับการจัดของในรถ


"อ้อ ผมมาธุระแถวนี้น่ะครับ เลยแวะมารับโย"


ผมเดินไปเปิดประตูบ้านให้แม่ พลเดินมากระซิบ


"เด็ดมากแก มีเรื่องจะเมาท์"


คงหมายถึงเด็กที่ มันไปค้างด้วยเมื่อคืน พอแม่ขับรถออกไปจากบ้านแล้ว ผมก็ปิดประตู


"ไปกินข้าวก่อนเถอะแก เดี๋ยวสาย พี่ภาเอาตายแน่"


ผมเร่ง แล้วเดินนำหน้าเข้าบ้าน ไปก่อน พลเดินตามมา


"น่ารักมากแก น้อง ดาม โดนใจอย่างแรง ตัวจริง น่ากินมาก อร่อยมาก"
"นะ กินข้าวก่อนเถอะ แล้วค่อยเล่าบนรถ เดี๋ยวฉันกินข้าวไม่ลง"


ผมต้องห้ามมันก่อน เพราะถ้าปล่อยให้เล่า มาเป็นฉากๆ เห็นถึงไส้ถึงพุง


"ขึ้นทางด่วนละกันแก ฉันจ่ายค่าทางด่วนให้"


ผมบอกเพราะออกจากบ้านช้าเกือบ ๘ โมง


"โห แกไม่ต้องรีบหรอก เจ๊เขาไม่ว่าหรอก ยิ่งมีแกมาด้วย ผ่านชัวร์"
"ไม่อยากมีปะวัติ เดี๋ยวภาพติดลบ เจ๊แกยิ่งไว้ใจอยู่"
"เออ เล่าต่อ น้องดาม น่ะ แก เรียนอยู่ ปีสองเอง ที่ฉันบอกวันก่อนเจอใน เอ็ม น่ะ ดูรูปก็น่ารักแล้วนะ ตัวจริง อยากจะกรี๊ด"
มันเหมือนความสุขจะล้นออกมาทางปาก แสดงท่าทางเหมือนเพิ่งได้รถคันใหม่


"เอาแบบ คร่าวๆก็ได้นะแก ไม่ต้องรายละเอียดมาก จะเอียนซะก่อน"
" ไม่ได้แก มันต้องถึง น้องดามอยู่ตรงลุมพินีนี่เอง ที่บ้านเขาซื้อคอนโดไว้ เป็นคนแรกที่เจอนะ ที่รูปสู้ตัวจริงไม่ได้ คนก่อนหน้านี้ รูปอย่างกับเทพ คงจบตกแต่งรูปมา ตัวจริงยังกับ จรกา ตอนน้องดามลงมารับนะ ใจฉันบอกแล้วล่ะว่า ใช่ น้องคนนี้แน่ๆ ขาวเนียน อมชมพู"
"เวอร์ คนอะไรจะขาวเนียน อมชมพู" ผมกัด
" พอไปถึงห้องนะแก อยากจะโถมเข้าหาทันที แต่ก็ต้องคุยกันก่อน พอเป็นพิธี ฉันก็ขอนอนค้างเลย บอกดึกแล้วไม่อยากกลับ อิอิ น้องเขาก็ไม่ว่าอะไร ฉันจึงไปอาบน้ำ แก น้องเขาขออาบน้ำด้วย ถอดกางเกงออก อกอีแป้นจะแตก เยส มันใช่น่ะแก มันใช่ สิ่งที่หามานาน"


พลทำท่าทาง ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ


"ทำไม ใหญ่มาก ว่างั้น"
"ไม่อยากจะเชื่อแก ตัวก็ไม่ใหญ่กว่าฉันมากมาย แต่ เป้าเลิศ ฉันก็เลย ถวายบัวให้เลย"
"โห ไม่ลงไม่ล้างมันก่อนเหรอ"
"ล้างทำไมเสียเวลา น้องเขาชอบมาก โอ๊ย ยังคิดถึงสีหน้า ที่เซ็กซี่อยู่เลย ไฮ มาก"


ผมเริ่มไม่อยากจะฟังแล้ว เพราะรู้สึกมันคงล้วงลึกถึงไส้ใน เพราะปกติ มันจะเล่าแม้แต่ ตอนใส่ถุงยาง เอาทุกรายละเอียด


"แก ฟังเพลง หน่อยเถอะ อยากฟัง วันก่อนไปได้ยินมา มาดอนน่า ซิงเกิ้ลใหม่ แกเคยฟัง หรือยัง Isaac"
"แกมีแผ่นเหรอ" มันยอมคล้อยตาม
"เออ ไร้ท์มาแล้ว"


ผมรีบเปิดกระเป๋าเอาซีดีที่ไรท์มาสอดเข้าไปในเครื่องเล่น


"ต๊าย ป้าแกจะหอนอะไร ขนาดนั้นยะ"
"คนที่หอนไม่ใช่ ป้าแก เสียงก็ผู้ชายขนาดนั้น นี่มีเวอร์ชั้น มิกซ์ด้วยนะ แกน่าจะชอบ"


ผมกดเลื่อนเพลง


"ต๊าย เลิศ นี่แก วันเกิดฉันน่ะ อย่าลืมนะ จะพาไปแดนซ์ เดี๋ยวจะพาน้องดามไปด้วย"


วันเกิดพล คือวันที่ ๑๒ ตุลาคม ปีนี้ ตรงกับวันศุกร์พอดี


"แต่อยู่ได้ไม่นานนะแก เพราะแกก็รู้ ฉันต้องไปสอน ไอ้นั่น"
"เออ แล้วเมื่อวานมันแผลงฤทธิ์ อีกป่ะ"


ผม เปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จ แต่ก็ต้องยอมเล่าเรื่องตัวเองแลก เพราะไม่อย่างนั้น มันคงวกเข้าเรื่อง ใต้สะดือมันอีกเป็นแน่ ผมเล่าให้พลฟัง แต่ตอนนี้ไม่เครียดเหมือนเมื่อวานแล้ว


"มันต้องเจอชั้น เด็กแบบนี้ ชอบ อิอิ จะเอาให้เงยหัวไม่ขึ้นเลย แล้วทำไมมันตัวใหญ่ล่ะแก กรรมพันธ์เหรอ"
"อืม พ่อมันตัวใหญ่ น้องมันก็ตัวใหญ่ แต่มันเล่นบาสด้วยล่ะ เลยสูงกว่าปกติ"


เรา คุยกันจน ถึงที่ทำงาน เกือบ ๙โมง เฉียดฉิว พี่ภายังไม่มา ผมเลยออกไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋มาเผื่อพล งานผมก็เป็นปกติ ทำทุกอย่างเหมือนเคย พยายามจะเรียนรู้งานให้มากที่สุด เอาไปเอามา ผมจะผันตัวเองไปเป็นเหมือนเลขาฯพี่ภาไปเสีย ปกติแกไม่มีเลขาฯ เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน แต่ผมจัดคิวงานให้แก นัดลูกค้า สรุป แกให้ผมทำเลขาฯเป็นหลัก ว่างๆ ค่อยไปช่วยคนอื่น พลเองก็ทำเหมือนผม แต่จะคอยดูรายได้กับรายจ่ายเสียมากกว่า คนในครอบครัว ย่อมไว้ใจกันมากกว่าคนนอกเป็นเรื่องธรรมดา


"เออ โย วันพุธ มีเรียนนี่ แกไปหน่อยสิ ฉันจะมาทำงาน"
"แล้วแก โดดกี่รอบแล้วล่ะ"


ถ้า มีเรียน เราจะผลัดกันไปเรียน เพราะที่เหลืออีกวิชาเดียว เป็น ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ไม่ยากเท่าไหร่ อาจารยืก็ไม่เข้มงวดมากนัก เพราะเข้าใจว่าเราติดวิชาแกอยู่เล่มเดียว เพราะบางคนก็ได้งานทำแล้ว บางคนก็ทำอย่างอื่น
สรุปผมต้องเป็นคนไปเรียน มีจ๋าอีกคนหนึ่ง เพราะรายนั้น ไม่ทำงาน ช่วยที่บ้าน ขายวัสดุก่อสร้าง แล้วก็ออกเดทกับพี่ป้อม


วันอังคาร


ผม ตื่นเช้ากว่าเมื่อวานเพราะได้นอนแต่หัวค่ำ กิจวัตรประจำวันยังคงเป็นปกติ แม่ออกจากบ้านเช้ากว่าเดิมเพราะมีเวรยืนหน้าโรงเรียน ผมออกจากบ้าน ๗ โมงครึ่ง เพราะเผื่อรถติดในซอยอ่อนนุช ถ้าออกสายกว่า ๗ โมงครึ่งมีหวังไปถึงที่ทำงานสาย วันนี้ พี่ภา นัดลูกค้าไว้ที่ เซ็นทัลลาดพร้าว แกพาผมไปด้วย ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเจอลูกค้า ก็ไปคอยเดินตามหลังพี่ภาล่ะครับ ทำท่าจดนั่นจดนี่ หยิบตัวอย่างให้พี่ภา เอาให้ลูกค้าดู กว่าจะกลับเข้าบริษัทกว่าเย็นพอดี สรุปวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะชีวิตตามปกติของผมจะเป็นไปในลักษณะนี้ ยกเว้นทุกเสาร์อาทิตย์ นับจากนี้ ต้องคอยเวียนหัวกับ ความทะลึ่งของเด็ก อย่าง ไอ้เอ

ออฟไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #28 เมื่อ12-03-2010 16:45:08 »

 แทนคำขอบคุณ ต่อไปอีกตอนค้าบบบ



ตอน เจ็ด ค้าบบบบ



ผม ถึงมหาฯลัยตอนเก้าโมงกว่า เดินไปม้านั่งที่ประจำประจำหน้าคณะ เห็นกบนั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อนแล้ว กบเป็นเพื่อนร่วมคณะ ที่สนิทกันพอสมควร อีกคนคือกาย ผมกับจ๋ารู้จักสองคนนี้และสนิทกันเพราะพล ทั้งสามคนนี้เป็นขาเที่ยวกลางคืน มักจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังอยู่เสมอ กบเป็นเด็กต่างจังหวัด ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น นครราชสีมา ส่วนกาย เป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานะ เพราะที่บ้านทำธุรกิจส่งออก อัญญมณี มีรีสอร์ท อยู่เกาะช้างสองแห่ง แต่กายมักจะไม่ค่อยอวดตัวเองนัก เว้นแต่ของใช้ส่วนตัว เพราะ กายถือเป็นเจ้าแม่แบรนด์เนม แข่งกับพล กบนั่งหน้ามุ่ย ก้มอ่านหนังสืออยู่


"อ้าว กบ มานานแล้วเหรอ แล้วกายล่ะ"


ผมทัก แล้วนั่งลงตรงข้าม


"มันไปแรดที่โรงอาหาร นี่แก วันเกิดอีพลน่ะ ไปหลังสวนกันนะแก เดี๋ยวชั้นจะกรีดตาไปให้แกดู ได้ตัวใหม่มา"

กบเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เล่าอย่างเบิกบาน


"แกซื้อเองเหรอ ยี่ห้ออะไรล่ะ"


"เปล่าหรอก ของอีกายมัน"


กบตอบ หน้าเผือดลง นิดเดียวแล้วก็ ตีสีหน้าขึ้นมาใหม่


"ก็ของมันเยอะแก ของแมค มันไม่ใช้แล้ว ชั้นก็เลยจุ๊บมา นี่แกดู ยังใหม่ๆ อยู่เลย"


กบ ล้วงเอา อายไลน์เนอร์ในกระเป๋าออกมาอวด ผมก็มองดูโดยไม่มีความรู้อันใดจะไปคุยกับมัน ได้แต่พยักหน้า แปลกที่สองคนนี้มันชอบซื้อของแบบนี้ ทั้งที่กายเอง หน้าตาก็จัดว่าดี ดีกว่าใครในกลุ่มเสียอีก ส่วนกบ แต่งหน่อยก็ดี

"อ้าว โย มานานยัง"


เสียงกายทักมาจากข้างหลัง จ๋าเดินมากับกายด้วย


"นี่ แก วันนี้ไปกินหมูกระทะกัน เดี๋ยวชั้นโทรนัด นังพลให้"


จ๋าบอก พลางนั่งลงข้างผม


"อีกบ แกทำอะไรน่ะ ต๊าย ยังกะผีกระสือ"

จ๋าร้องเสียงหลง แล้วล้มตัวลงใส่ผมหัวเราะเสียงดัง


"อีบ้า แกทำอะไร อีกบ ต๊าย เป็นตุ๊ดซะเปล่า กรีดตาก็ไม่เป็น"

กาย เสริม เราสามคนหัวเราะ ที่กบ กรีดขอบตาดำปี๋เหมือนหมีแพนด้า ผมก็นึกว่ามันก้มหน้าทำอะไร กรีดตานี่เอง กบวิ่งหนีไปเข้าห้องน้ำ กว่าที่เราสามคนจะหยุดหัวเราะ ก็เล่นเอาปวดท้อง น้ำหูน้ำตาไหล พอสิบโมงครึ่งก็เข้าเรียน สรุปนั่งเรียนทั้งคาบ เต็มไปด้วยความทรมาน เพราะกลั้นหัวเราะ เพราะถึงแม้กบจะลบออก แต่ลอยดำก็ยังไม่จางเท่าไหร่ ผมว่ายิ่งไปกระจายความดำให้มันกว้างขึ้น เป็นหมีแพนด้าไปจริงๆ อาจารย์ก็แซว กบต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอีกรอบ อาจารย์เองก็หัวเราะ จนไม่สอน แต่เป็นสั่งงานแทน กว่าจะหมดคาบเรียนเล่นเอาเกือบตาย เพราะกลั้นขำจนปวดท้อง เราลงมานั่งที่เดิม แต่ก็ต้องลดความสนุกสนานลงทันที เพราะโต๊ะข้างๆ มีเด็กคณะออกแบบ นั่งอยู่สี่คน หนึ่งในนั้นคือนัท เพื่อนของกายสมัยปีหนึ่ง เคยเที่ยวด้วยกันอยู่พักใหญ่ แต่ก็ทะเลาะกัน เพราะนัทขี้โอ่เกินไป กายเลยไม่ชอบ จากเพื่อนกัน ก็กลายเป็นไม่ถูกกันไปเลย ฐานะทางบ้านของนัทถือว่าร่ำรวยเพราะพ่อของนัททำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริม ทรัพย์ สร้างคอนโด นัทไม่เหมือนกับกายตรงที่ โอ้อวดสุดจะบรรยาย ของใช้ก็ต้องนำเข้า รถก็ต้องขับเบนซ์ อะไรมาใหม่ มันต้องเอามาอวดเพื่อนก่อนใคร อีกสามคนเป็นเบ้ให้มัน ผมไม่ค่อยสนใจ รู้สึกจะชื่อ แดน เก่ง หนุ่ม เห็นกายเคยบอกว่า เป็นกระเทยปลายแถว ไม่มีใครเอา ไม่มีรสนิยม พูดจาไม่เข้าหูคน ทำตัวต่ำทราม ประมาณนี้ ที่ยอมคบกับนัท เพราะ นัทเองก็ไม่มีคนคบ เอาเงินซื้อกันไว้ ผมไม่ได้ใส่ใจนักเพราะไม่เคยเสวนาด้วยสักครั้ง

"ต๊าย อี หนุ่ม แกได้กลิ่นอะไร มั้ยแก เหม็นๆ"


เสียงของ แดน แปร๋นขึ้นมา


"เออ นั่นสิ อีเก่ง แกไปเหยียบขี้มารึปล่าววะ"


หนุ่ม เสริม


"นี่พวกแก กลิ่นนี้น่ะ มันเป็นกลิ่นคนจน เหม็นสาปคนจนไงแก"


ตัวแม่มันสรุปให้ เราสี่คนยืนมองหน้ากัน ไม่รู้มันเจาะจงว่าใคร แต่เห็นกายหน้าแดง

"นี่กบ พวกที่เพิ่งรวยน่ะ เขาเรียกว่าอะไรนะแก"


กายพูดเน้นเสียง สายตาจ้องมองหน้า นัทอย่างกับจะกินเลือด กินเนื้อ


"พวกเศรษฐีใหม่ไงแก อุ๊ยต๊าย ไม่อยากจะสมาคมหรอกนะ พวกมีแต่เงิน แต่ไม่มีมารยาท"


กบจีบปากจีบคอ

"อีดอก มึงว่าใคร"


นัทเด้งตัวลุกขึ้นยืน ชี้หน้ามาที่เรา เพราะมันดูไม่ออกว่าชี้ใครจริงๆ


"เห็นจะจริงว่ะกบ ดูสิ สำเนียงส่อภาษา กริยา ส่อสกุล จริงๆ"


กบเบะปาก


"อี เหี้ย มึงว่าใคร"


หนุ่มลุกขึ้น ชี้หน้ากาย


"อุ๊ย คุณขา มีเยอะเหรอคะที่บ้าน ถึงเอามาแจกชาวบ้านเขาไปทั่วแบบนี้ อีชั้นไม่รับหรอกนะคะ ตัวเหี้ยน่ะ"


กบเน้นเสียงคำสุดท้ายแล้วถลนตาใส่ เสียงกรี๊ดกร๊าดดังกว่าเดิม ผมจับแขนกายไว้


"พอๆ แก อายคนเขา ไปข้างนอกกัน"


" จะอายทำไมแก ทีมันยังไม่อาย หน้าหนา หน้าทน มาว่าชาวบ้านเขาจนอย่างนั้น จนอย่างนี้ ถ้าพ่อมึงรวยจริง เอาไปแจกคนจนโน่น อีควาย อย่าดีแต่ปาก แม่งขอเอาตีนลูบปากมันสักหน่อย"


กาย ถลกแขนเสื้อขึ้น พร้อมเดินหน้าเต็มที่ ผมต้องรั้งมันไว้สุดกำลัง


"มึงมาสิ แล้วกูพูดไม่ถูกไง จนแล้วไม่เสือกยอมรับวะ แข่งอะไรมันแข่งได้ แต่บุญวาสนาน่ะนะมึง คงไม่มีหวังหรอกชาตินี้"


"ดู เพื่อนแต่ละคนของมันสิ นัท กุ๊ยทั้งนั้น ต๊าย คงสูบกันเลือดซิบๆ"


เสียงหลุดออกจากปาก นังแดน


"โอ๊ย ต๊าย พูดไม่หัดมองดูตัวเอง อีห่า คนที่เป็นปลิง น่ะพวกมึง แล้วคนที่เป็นคนในร่างควายให้สูบน่ะ อีนัท"


กบวี๊ดใส่


"อีสัตว์ ขอตบปากเน่าๆของมึงหน่อยเถอะ"


หนุ่มกับนัท ทำท่าจะโผมาพร้อมกัน กายเข้าไปกันกบไว้ กบเองก็ไม่ยอมถอย ผมเองก็มือติดแขนมันเข้าไปด้วย จ๋าเองก็รั้งแขนกบอยู่


"พอๆ แก ไปได้แล้ว จะทะเลาะกันทำไม"


ผมพูดกึ่งตะโกน


"มึงอย่าเสือก ลูกอีครูบ้านนอก เดี๋ยวปากแตกหรอกมึง"


อี นัทมันโพล่งออกมา ผมเหมือนคนเอาโคลนสาดใส่ ในวันที่แต่งตัวอย่างดี จะไปงานแต่งงานเพื่อนประมาณนั้น รู้สึกหูร้อน ใจสั่น ร้อนหน้าไปหมด ผม แย่งเอาหนังสือมาจากกบ ที่มันอาสาถือให้เพื่อนๆ ปาลงไปตรงกลางระหว่างกลุ่ม ที่กำลังจะวิวาทกัน ผมตรงเข้าไปจะผลักอกมัน แต่กาย อุ้มตัวผมไว้ ตัวลอยเลย กลับกันกับที่ผมเคยห้ามมัน


"มึงว่าไงนะ"


ผมพูดเสียงแข็งกึ่งตะโกน ตาขวางมองหน้ามัน


"มึงเป็นใคร มึงรู้จักกูดีแค่ไหน มึงถึงกล้าว่าถึงแม่กู พ่อมึงรวยแล้วมึงตายไม่เป็นใช่มั้ย"


"มึงรีบพาเพื่อนมึงไปไหนก็ไปเลย ก่อนที่เพื่อนกูจะฆ่ามันตาย"


จ๋า ตะโกนบอก พวกมันด่าทออะไรอีกไม่รู้ ผมหูอื้อตาลายไปหมด สติหลุด นี่หรือที่เขาบอกโกรธจนควันออกหู พอพวกมันไป กายก็ดึงผม รีบเดินผ่านคนที่เริ่มมามุงดูไปที่มันจอดรถ พอเริ่มมีสติ ก็รู้สึกเสียใจ เพราะถ้ามีเรื่องกัน ทีนี้คงไม่ต้องเอามันล่ะ ใบปริญญา ที่จริงด่าทอกันมากมายกว่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ไม่มีในพจนานุกรมไทย รู้สึกอายคนเหมือนกัน เหมือนจะมีแต่รุ่นน้อง ที่นั่งอยู่หน้าคณะ คงไม่เคยเห็นผมในรูปแบบนี้ อีกทั้งรุ่นพี่เกย์กลุ่มใหญ่ ทะเลาะกันกลางมหาฯลัย เรารีบออกมาจากมหาฯลัย ทันทีก่อนที่เรื่องจะแดงไปมากกว่านี้

"ต๊าย น่ากลัวนะแก ไม่เคยเห็นแกโกรธ"


กบ นั่งอยู่ข้างหลังกับจ๋า เกาะเบาะของกายแล้ว ยื่นหน้ามาพูด


"เออ พวกแก รู้น้อยไป อย่าไปว่าแม่ของมันเชียว จะเข้าโรงบาลไม่รู้ตัว"


จ๋า เสริม ที่จริง ผมก็ไม่มีปมอะไรนะ แค่ไม่มีพ่อ แต่ทำไมไม่รู้ เวลาใครพูดถึงแม่ในแง่ร้ายผมจะเหมือนโดนปีศาจเข้าสิง เพราะผมรู้ว่าแม่ผมเป็นคนดี ดีที่สุด


"เออ นั่นสิ แรงฉิบหาย เพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย แกเห็นหน้าอีนัทป่ะล่ะ หน้าซีดยังกะไก่ต้ม ปากดีนัก"


"เกือบไม่ได้ใบปริญญาแล้วเชียว"


ผมพูดออกมา


"เห็นนิ่งๆ เวลาโกรธ น่ากลัวนะแก ต๊ายชั้นกลัว"


"หล่อนกลัวตัวเองเถอะ นังกบ แหม เบ้าตายังดำอยู่เลยนะยะ"


จ๋า กัด ผมเองก็อดหัวเราะไม่ได้ สรุป เราทั้งหมดก็หัวเราะออกมาจนได้ บางทีเวลาเราอยู่ในสภานการณ์คับขัน เรื่องที่ตลกๆ ก็เปลี่ยนสถานการณ์นั้นได้เหมือนกัน

ออฟไลน์ Vesi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +204/-3
Re: Boy's Story ให้รักนำทางใจ
«ตอบ #29 เมื่อ12-03-2010 17:11:40 »

อยากเจอน้องแล้วครับ  :laugh:
ชอบโยตอนโกรธจัง สะจิตดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด