เอาตอนพิเศษมาฝากให้หายคิดถึงจ่ะ
_______________________-________________________--
หนาว.... ช่วงนี้ผมมักพูดคำนี้บ่อยๆ จนยอร์ชบอกว่ารู้สึกแปลกถ้าวันไหนผมไม่บ่น ยิ่งสองสามวันมานี่ยิ่งแล้วใหญ่ ปลายเดือนธันวาคมแบบนี้แม้จะเป็นประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าร้อนชนะเลิศประเทศหนึ่งในแถบเอเชียก็ยังอุตส่าห์ได้มีโอกาสสัมผัสฤดูหนาวกับเขาเหมือนกัน แต่มันคงจะดีกว่านี้มากถ้าหากว่าอยู่ๆ ไม่ตื่นมาแล้วหนาวปุบปับอะไรแบบนี้
ผมมักได้ยินคนพูดว่าฤดูหนาวมักทำให้คนเหงาใจ เหงาหรือ? อาจจะจริง บางทีตอนนี้ผมอาจจะรู้สึกเหงาอยู่ก็ได้...
“ยอร์ชล่ะตั้งทัพ?”ผมถามเมื่อเห็นตั้งทัพกำลังยกข้าวของของแม่เข้ามาในบ้าน วันนี้เขาก็ใช้ให้ตั้งทัพขับรถไปรับผมอีกตามเคย ถ้าเดาไม่ผิดก็คงต้องออกไปทำอะไรสักอย่างแล้วก็กลับมาดึกๆ เหมือนสามวันที่ผ่านมา
“คุณชายมีสังสรรค์กับเพื่อนเก่าครับ เห็นว่าคุยเรื่องงานกับลูกค้าเสร็จแล้วก็ไปต่อเลย”ตั้งทัพหยุดรอคำตอบจากผม
“หรือ? แล้วทำไมเขาไม่บอกกับฉัน ทำไมต้องโทรบอกนาย?”ผมถามสิ่งที่ค้างคาใจ ตลอด 3 วันที่ผ่านมานี่ยอร์ชมักจะหายตัวไปบ่อยๆ ในช่วงเย็น กลับมาบ้านอีกทีก็ประมาณห้าทุ่ม เหตุผลก็มีนัดกับลูกค้าบ้าง อยู่ๆ เกิดอยากเอารถไปเช็คสภาพเองบ้าง(ศูนย์ที่ไหนมันเปิดตอนกลางคืน?) มีนัดกับเพื่อนบ้าง สาเหตุที่ต้องไปโน่นมานี่นั้นเขามักจะบอกผ่านตั้งทัพมาถึงผมเสมอ ซึ่งก็ให้การตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง พอกลับมาก็ไม่ยอมตอบคำถาม บ่ายเบี่ยงไปเรื่อย เป็นใครใครก็ดูออกละครับว่ามันไม่ชอบมาพากล
“เอ่อ......”นั่นไง ลูกสมุนชักจะแก้เกมไม่ทันแล้ว ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีอะไรปิดบัง
“ไม่เป็นไร....นี่เพิ่งสามทุ่ม”ผมบอกแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่
“เดี๋ยวห้าทุ่มเขาก็คงกลับมาเอง.....ถูกไหม?”ผมยิงคำถามอย่างหมั่นไส้ เห็นพ่อตัวดีทำหน้าเลิ่กลั่กแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจึงเดินเลี่ยงไปนั่งดูทีวีเงียบๆ อยู่คนเดียวที่ส่วนรับแขกแทน
เหงา? ใช่...ผมเหงาจริงๆ ด้วย เวลานี้พ่อกับแม่ขึ้นนอนกันเรียบร้อยแล้ว เฮียยอร์คก็ยังไม่กลับ น้องเยลก็ยังอยู่ที่คอนโดของเพื่อน ส่วนคนที่ผมอยากพบมากที่สุด.....ก็กลับหายหน้าไปเหมือนเคย บ้านหลังใหญ่โตสวยงามที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของที่ผมกำลังอาศัยอยู่ตอนนี้ไม่ได้ให้ความสุขกับผมเลย มันกลับดูเหมือนพื้นที่ที่ว่างเปล่า ใหญ่โต แต่ไม่มีความอบอุ่น เมื่อคิดถึงบ้านของตัวเองที่นครนายกก็น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่อายุ 26 แล้วเชียว แต่โรคคิดถึงบ้านกลับไม่หายสักที
เสียงรถยนต์ดังแว่วเข้ามาจากประตูใหญ่ ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงรถของใคร ผมอยู่ที่นี่นานจนสามารถจำเสียงเครื่องยนต์ของรถทุกคันและความเร็วในการเหยียบของคนในบ้านนี้ได้แล้ว ไอ้นิสัยซิ่งปาดหน้าชาวบ้านเอี๊ยดอ๊าดแบบนี้ไม่ต้องให้เดาผมก็มั่นใจว่าต้องเป็นเขา
“ชื่นใจจัง”สันจมูกคมๆ กดลงที่แก้มผมหนักๆ หลังจากเสียงรถเงียบหายไปในโรงจอดได้ไม่นาน แขนแข็งแกร่งที่ผมคุ้นชินโอบกอดมาจากทางด้านหลังโซฟาตัวใหญ่
“ไปเที่ยวกับเพื่อนเก่าสนุกไหม?”ผมถามโดยที่ไม่ได้หันไปมอง สายตายังคงจับจ้องที่จอทีวี หากแต่มันว่างเปล่า ผมแทบมองไม่เห็นเลยว่าบนจอนั้นฉายภาพอะไรบ้าง
“หือ? อ๋อ ก็สนุกดี”เขาว่าพลางเดินอ้อมมานั่งข้างๆ ผม
“ภามเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่เห็นมองหน้าพี่เลย”เขาชะโงกหน้าที่ตอนนี้มีไรเคราสีเขียวจางๆ เข้ามาหา ใบหน้าคมเข้มนั้นแทบไม่ได้ต่างจากเดิมเลย ใบหน้าที่ผมต้องพบและอยากจะพบเจอในทุกๆ วัน หากแต่ตอนนี้ความโกรธที่แม้จะไม่ได้มากมายแต่ก็กลับทำให้ผมไม่อยากมองหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น
“เปล่า....ที่งานท่าทางจะมีเพื่อนเยอะนะ”ผมยังคงนั่งมองหน้าจอทีวีไปเรื่อยๆ
“ก็มีไอ้เอก ไอ้วิน ไอ้เอ ไอ้พร้าว แล้วก็ไอ้พิท”เขาตอบ
“อืม แป้งเลอะเสื้อแน่ะ คราวหลังถ้าเพื่อนจะทาแป้งกันก็บอกให้ระวังๆ หน่อยแล้วกัน”ผมหันไปชี้รอยเปื้อนสีขาววงใหญ่บนเสื้อเชิ้ตของเขาก่อนจะลุกขึ้นห้อง เสียงรถของน้องเยลขับเข้ามาพอดี อย่างน้อยคืนนี้ก็คงมีเพื่อนนอน ไม่ต้องเหงาเพิ่มไปอีกคืน
“อา เฮ้ย! เพื่อนพี่มีแต่ผู้ชายนะภาม มันไม่ทาแป้งกันหรอก”นายยอร์ชทำท่าจะรับปากแต่ก็เพิ่งรู้สึกได้กับคำพูดของผม
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไปอาบน้ำได้แล้วไป”ผมบอกแค่นั้นก็กลับขึ้นห้อง ช่วงเสี้ยวนาทีพ่อตัวดีก็วิ่งตุบตับๆ ตามขึ้นมาจากข้างล่าง ผมนั่งรออยู่บนเตียงใหญ่กลางห้อง เห็นเขาทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด จนสุดท้ายก็ดูล้มเลิกความตั้งใจแล้วยืนถอดเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก
“วันนี้ไม่เห็นมาช่วยปลดกระดุมเลย”เขาพูดขึ้นในที่สุด
“วันนี้เหนื่อย ก็ทำเองสักวันสิ”ผมว่านิ่งๆ ปกติเวลาเขาจะอาบน้ำ เขามักจะยืนถอดเสื้อผ้าอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเลย ผมเคยบ่นอยู่หลายครั้งแต่เขาก็มักจะบอกว่าเป็นสามีภรรยากันไม่เห็นต้องอาย(ที่จริงเขาไม่ได้พูดเพราะแบบนี้หรอก) จนหลังๆ ผมเริ่มชินและมักจะช่วยถอดไทด์ให้เขาเสมอ
“ภาม....”เขาครางเบาๆ
“อะไรอีกล่ะ”
“..........เปล่า”นายยอร์ชดูหงอยลง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก เขายืนถอดเสื้อผ้าอยู่เงียบๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ผมหยิบหมอนและผ้าห่มอีกผืนในตู้ติดผนังออกมาหลังจากอีกคนเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นานนัก เพียงครู่เดียวผมก็แบกของทั้งหมดมาถึงหน้าประตูห้องที่อยู่ถัดไปอีกสามห้อง ผมเคาะประตูเบาๆ รออยู่ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้
“อ้าว? พี่ภาม?”น้องเยลดูงงๆ เมื่ออยู่ๆ ผมก็โผล่มายืนหน้าห้องในเวลาดึกแบบนี้ นอกจากจะมีน้ำเสียงสงสัยแล้ว สายตายังมองมาที่ของในอ้อมกอดผมอย่างต้องการคำตอบ
“พี่ขอนอนด้วยคนสิ”
“หา?”
“ไม่ต้องหาหรอก ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ นะ”
“แล้วเฮียล่ะครับ?”เขาบุ้ยใบ้ไปทางห้องที่ผมเพิ่งจากมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขานอนคนเดียวได้”ผมว่านิ่งๆ อารมณ์น้อยใจอีกคนที่ถูกพูดถึง ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจเขา แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้ที่หลายวันมานี้เขาต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ จะพูดจะบอกกันสักนิดก็ไม่มี โอ๊ย พูดแล้วก็อยากจะหนีกลับบ้านตัวเอง
“ทะเลาะกันหรือครับ?”น้องเยลยังคงถามต่อแต่ก็เปิดประตูกว้างขึ้นให้ผมเข้าไป ซ้ำยังดึงผ้านวมในมือผมไปถือซะเองก่อนจะเดินนำไปที่เตียง อืม เตียงห้องนี้ก็ไม่ได้เล็กกว่าห้องโน้นสักเท่าไรนี่นะ
“ไม่หรอก แค่พี่อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ”ผมจัดหมอนให้เข้าที่ก่อนจะล้มตัวลงนอน
“ราตรีสวัสดิ์นะ”ผมบอกน้องเยลแล้วหลับตาลง
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
............................................
.....................................
...........................
................
“น้องเยล......”
“ห๊ะ! ครับๆ”
“วางโทรศัพท์แล้วนอนดีกว่านะพี่ว่า”ผมบอกทั้งๆ ที่ยังหลับตา แค่ได้ยินเสียงกดปุ่มมือถือผมก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอะไร
“แล้วไม่ต้องเปิดประตูให้ใครทั้งนั้นนะ ไม่งั้นพี่โกรธ”ผมสำทับอีกครั้งก่อนจะหลับไปด้วยความง่วง
“ภาม.....”
“ภาม....................”
“เฮ้ย ไปไหนวะ”ผมสบถกับตัวเองเบาๆ เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วไม่เห็นคนที่อยากกอดบนเตียงนุ่ม ว่าจะแกล้งกอดทั้งๆ ที่ยังคาดผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบนี้เสียหน่อย ผมมักทำแบบนี้บ่อยๆ และภามก็มักจะบ่นแบบไม่ได้จริงจังทุกครั้ง แต่ผมชอบมองหน้าภามเวลาเขินเมื่อโดนผมกระโดดกอดตอนไม่ใส่เสื้อผ้าจริงๆ
“ไปไหนของเขานะ”ผมถามตัวเองเบาๆ ก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปเดินหานอกห้อง ถ้าจะดื่มน้ำตู้เย็นเล็กในห้องนอนก็มี ทีวีในห้องก็มี แล้วจะออกไปไหนอีก? สงสัยไปเข้าห้องน้ำที่ห้องอื่นละมั้ง?
................................
...................
...............
“โว้ยยยยยยยย!”
“ไอ้ทัพ! แกไปดูห้องโน้นซิ อะไรวะ เมียฉันหายทั้งคนทำไมไม่มีใครรู้!”ผมตวาดลั่นอย่างสุดจะทนเมื่ออีกสิบหน้านาทีให้หลังผมก็ยังหาภามไม่พบ แรกๆ ก็เดินหาเองก่อน พอไม่เจอชักใจไม่ดีเดินไปปลุกไอ้ทัพให้ลุกขึ้นมาช่วยกันหาด้วย พอไม่เจออีกชักจะเครียดแล้วครับ รถก็อยู่ทุกคัน แต่ภามไม่รู้หายไปไหน จนตอนนี้ผมต้องให้คนงานเอาสปอร์ตไลท์ออกส่องหาที่สวนและสนามรอบๆ บ้าน
“ใจเย็นๆ ครับคุณชาย ผมว่าคุณภามไม่ได้หายไปไหนหรอก”ไอ้ทัพบอก แต่ดูท่าทางมันก็เป็นห่วงภามไม่แพ้กัน
“ไม่หายแล้วทำไมไม่เห็นวะ! คนบ้านนี้มันไม่ได้ดังใจเลยโว้ย! ไล่ออกให้หมดเลยดีมั้ย!”
“โธ่......คุณชาย”
“แกขึ้นไปเอามือถือที่ห้องฉันมาซิ เร็วๆ ด้วย ฉันจะโทรหาไอ้กร”
“คุณชายจะโทรหาสารวัตรมกรทำไมครับ?”ไอ้ทัพถามหน้าซื่อ
“ถ้าฉันนับหนึ่งถึงสิบเมื่อไหร่แล้วยังไม่ได้มือถือล่ะก็ แกโดนไล่ออก!”
“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ!”ไอ้ทัพวิ่งเลิ่กลั่กขึ้นไปบนชั้นสอง ไม่นานนักมือถือของผมก็มาอยู่ในมือทันใจ
“หือ?”หน้าจอโทรศัพท์ของผมมีเบอร์ของตี๋เล็กค้างอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ก็อยู่ห้องใกล้ๆ กัน ถ้ามีอะไรทำไมไม่เดินมาหา หรือว่า?”
“เออว่าไง”
“เฮีย....เฮียไปทำอะไรให้พี่ภามโกรธเนี่ย”เสียงน้องชายคนเล็กกระซิบกระซาบดังมาจากเครื่องมือสื่อสาร
“ภามอยู่กับตี๋เล็กหรือ?”ผมยิงคำถามทันที
“อื้อ เฮียเอาไงต่อเนี่ย”อีกฝ่ายยังคงกระซิบตามเดิม
“เออๆ เดี๋ยวเฮียไปรับภามเอง”
“เดี๋ยว เฮีย....”ดูเหมือนปลายสายจะพูดอะไรอีกแต่ผมไม่ได้ฟังแล้ว ผมกดวางโทรศัพท์แล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนทันที ใจนึงก็นึกดีใจที่ภามปลอดภัยดี แต่อีกใจนึงก็ชักจะงอนภามขึ้นมาตงิดๆ โกรธกันแค่นี้ไม่เห็นต้องแยกห้องกันนอนเลย ผัวเมียกันถึงโกรธกันก็ต้องนอนห้องเดียวกันสิ
“เฮ้ย! ตี๋เล็ก!”ผมตะโกนเรียกเมื่อพบว่าก้านกดทองเหลืองไม่สามารถกดเพื่อเปิดประตูได้
“ชู่ววว... เบาๆ เฮีย เดี๋ยวพี่ภามตื่น”อีกฝ่ายทำเสียงกระซิบกระซาบมาจากอีกฟากของบานประตู
“เปิดประตูสิวะ”ผมเริ่มพาลแล้วครับ กับน้องกับนุ่งก็ไม่เว้น
“เปิดไม่ได้อ่ะเฮีย พี่ภามสั่งไว้”
“วะ! แล้วเฮียจะเอาเมียกลับห้องยังไงวะ!”เรื่องมากนักเดี๋ยวก็พังประตูซะเลยโว้ย!
“ใจเย็นๆ เฮีย พี่ภามห้ามเยลเปิดประตูให้คนอื่นอะ แต่เฮียเปิดเข้ามาเองคงได้ เดี๋ยวเยลโยนกุญแจออกทางหน้าต่างให้นะ แล้วเฮียไปเอามาเปิดเข้ามาเอง”ไอ้คนเจ้าแผนการว่า
ภายในไม่เกินหนึ่งนาที กุญแจสีเงินก็เข้ามาอยู่ในมือผมด้วยฝีเท้าการวิ่งของไอ้ทัพ ผมไขประตูเข้าไปในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ ตี๋เล็กยืนทำหน้ามีคำถามอยู่ใกล้ๆ ภาม แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะตอบคำถามอะไรใคร ผมช้อนตัวภามอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเจ้าตัวจะตื่นก่อนจะพามานอนที่เดิมบนเตียงในห้องของเรา
ผมเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากของภามออกเบาๆ แล้วประทับจูบลงไป ภามขยับตัวยุกยิกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตื่น ผมถอนหายใจเบาๆ กับเหตุการณ์ในวันนี้ เป็นเรื่องจริงที่ผมมีเรื่องที่บอกภามไม่ได้ ผมรู้ว่าภามอาจจะรู้ว่าผมโกหกและรอคอยให้ผมพูดความจริง แต่มันยังไม่ถึงเวลา ผมกดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของอีกคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง หวังว่าภามคงอดทนได้จนกว่าจะถึงวันนั้น.....วันที่ผมพร้อมจะพูดความจริง
“เดี๋ยวพี่ต้องออกไปก่อนนะภาม สักสองทุ่มคงกลับ แล้วเราค่อยไปฉลองกัน”นายยอร์ชบอก วันนี้เป็นวันสิ้นปี เขาพาผมกลับจากบริษัทด้วยตัวเอง ผมออกจะแปลกใจนิดๆ ที่เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้ากลับพบว่าผมนอนอยู่ที่เตียงของตัวเองโดยมีเจ้าของหน้าคมๆ นอนกอดอยู่ข้างๆ วันนี้เขาทำให้ผมใจชื้นขึ้นเพราะตั้งแต่เช้าเขาก็ตามประกบผมตลอดทั้งวัน คอยเอาใจผมสารพัดจนผมเกือบจะหายโกรธ ถ้าหากว่าเขาไม่มาขอไปรับเพื่อนที่สุวรรณภูมิแล้วขอกลับค่ำเสียก่อน
“วันนี้ห้ามไปนอนห้องคนอื่นอีกนะ”เขาเลิกคิ้วเข้มๆ เป็นเชิงดุให้ผมก่อนสั่งเสียจริงจัง
“ถ้าไปแล้วจะทำไม?”ผมถามกวนๆ ทีเขายังไม่ยอมบอกสักทีว่าที่หายๆ ไปนี่ไปทำอะไรนักหนา
“พี่ไม่ทำภามหรอก แต่ถ้ามีคนสมรู้ร่วมคิดพี่เอาตาย อย่านึกว่าเป็นตี๋เล็กพี่จะละเว้นให้นะ”เอาอีกแล้วสิ ไอ้คำพูดเอาแต่ใจนี่แก้ไม่หายสำหรับนายคนนี้จริงๆ
“ก็ต้องดูก่อนว่าคนสัญญาจะกลับตรงเวลาไหม”
“ตรงแน่นอน งั้นพี่ไปก่อนนะ”เขาบอกแล้ววนรถอกไปเสียงดังเอี๊ยด ไอ้นิสัยนี้ก็เหมือนกัน ขับรถใจร้อนเป็นที่หนึ่ง เพราะความเป็นห่วงผมจึงต้องนั่งควบคุมเขาอยู่ข้างๆ เกือบทุกครั้งเวลาเขาไปไหน
“ตั้งทัพ”ผมหันไปเรียกตั้งทัพที่รดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ๆ
“ครับ?”
“ไปเดินตลาดเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม? วันนี้ว่าจะลองทำอาหารเองน่ะ เผื่อยอร์ชจะชอบ”
“ได้ครับๆ งั้นคุณภามรอตรงนี้ครู่นึงนะครับ เดี๋ยวผมไปเอารถออกมารับ”ตั้งทัพรีบปิดน้ำแล้วเข้าไปเอารถที่โรงจอด ไม่นานนักเราก็มาถึงตลาดสดที่อยู่ไม่ไกลบ้านเท่าไร ตามกำหนดการแล้วคืนนี้เราจะอยู่ฉลองปีใหม่กันที่กรุงเทพ แล้วพรุ่งนี้ยอร์ชจะพาผมกลับไปกินข้าวกับพ่อแม่ที่นครนายก
“อันนี้มันสดหรือไม่สดอะตั้งทัพ?”ผมยกหัวกะหล่ำปลีในมือให้ตั้งทัพดู แต่จะว่าไปมันก็คงสด....มั้ง เพราะผมดูไม่เป็นหรอก อันที่จริงที่จะทำกับข้าววันนี้ก็กะให้แม่ครัวที่บ้านสอน
“หือ?”ยังไม่ทันที่ตั้งทัพจะตอบผมก็มองเลยไปเห็นคนคุ้นตาเข้าเสียก่อน คุ้นมากเสียด้วยแหละ ก็ในเมื่อไอ้บ้านี่เพิ่งบอกว่าจะไปสุวรรณภูมิเมื่อกี้ไง!
“ซวยแล้ว!”ตั้งทัพอุทานเหมือนไม่ได้ตั้งใจเมื่อมองตามสายตาผมไปพบกับเจ้านายตัวเองที่ยืนถือถุงข้าวของพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้หญิงอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ
“อะไรซวย หือ?”ผมหันกลับมาเค้นถามคนข้างๆ อย่างเอาเรื่องในเมื่อตัวปัญหามองไม่เห็นผมและก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็น
“เอ่อ.....”
“ไม่เป็นไร ตอบมาแค่ว่าตกลงแล้ววันนี้มีเพื่อนยอร์ชลงเครื่องที่สุวรรณภูมิไหม?”
“อ่า......”
“รักกันเข้าไปนะคุณชายของนายน่ะ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาโกหกฉันยังจะเข้าข้างกันอีกนะ”ผมบอกนิ่งๆ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าผมโมโหจริงๆ แล้ว
“คุณชายไม่ได้มีคนอื่นหรอกนะครับคุณภาม เชื่อผมเถอะ”ตั้งทัพส่งเสียงครางหงิงๆ เพื่อช่วยเจ้านาย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมสงบลงมากเท่าใดนักกับคำตอบของเขา ก็เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีใครอื่นนอกจากผม แต่..........
“ใช่ เขาไม่มีใครหรอก ฉันเชื่อนายและก็เชื่อใจเขาด้วย แต่ฉันแค่ต้องการความจริง ทีนี้จะตอบคำถามฉันได้หรือยัง”
“เอ่อ......”
“มีหรือไม่มี?”
“อา....ไม่มีครับ”
“โอเค เรากลับบ้านกัน”
“หา?”
“ไม่ต้องหา กลับบ้านกันได้แล้ว”ผมเดินนำตั้งทัพไปที่รถทันที ซึ่งเขาก็วิ่งตามผมมาติดๆ เช่นกัน
ผมใช้เวลาครู่เดียวก็จัดของลงกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยโดยมีเสียงห้ามปรามหงอยๆ ดังอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ยังไงก็ต้องกลับอยู่แล้ว กลับนครนายกก่อนกำหนดสักวันนึงคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“ถ้าคุณชายของนายกลับมาก็บอกเขาด้วยแล้วกันว่าให้ไปอธิบายที่บ้านฉัน”ผมหันไปบอกลูกสมุนปิศาจที่ยังคงอธิบายคุณความดีของเจ้านายอยู่ข้างๆ
“คุณภามอย่าใจร้ายกับคุณชายมากนักสิครับ ใครๆ ก็รู้ว่าคุณชายรักคุณภามมากแค่ไหน”
“ฉันฟังมาหลายสิบรอบแล้วตั้งทัพ เอาเป็นว่าถ้าเขากลับมาก็บอกเขาตามนี้แล้วกัน ฉันกลับบ้านก่อนนะ บาย”ผมยกกระเป๋าที่มีข้าวของไม่กี่อย่างลงไปด้านล่างแล้วขับรถออกไปอย่างไม่คิดจะรอฟังอะไรจากตั้งทัพอีก ภามเชื่อใจยอร์ชนะ....แต่ไว้ไปอธิบายให้ฟังตอนภามใจเย็นแล้วก็แล้วกัน.......
“ภามๆ นี่ๆ ร้องเพลงนี้กัน”ภีมคะยั้นคะยอผมเมื่อเลือกเพลงคาราโอเกะในคอมพิวเตอร์เสร็จ วันนี้ที่บ้านผมก็มีงานเลี้ยงฉลองเหมือนกัน ทุกคนดีใจมากที่ผมกลับมาร่วมงานกับที่บ้านได้โดยไม่เอะใจสักนิดที่ผมบอกว่ายอร์ชจะตามมาทีหลัง แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่จับสังเกตได้......หลังจากเพลงที่แล้วจบลง พ่อก็เข้าไปเอาปืนลูกซองในบ้านมานั่งขัดซะเงาวับทั้งๆ ที่มันก็เงาอยู่แล้ว....
“พี่ภาม คนชื่อตั้งทัพจะคุยกับพี่อะ”ยายภา น้องสาวของผมเดินเอามือถือที่ผมวางทิ้งไว้ในบ้านออกมาให้ ผมรับมาไว้ในมือก่อนจะตอบ
“มีอะไรหรือ?”ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์
“คุณภามครับคุณภาม!”
“อืม ทำไม ก็ฉันไง”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ คุณชาย!”
“อะไร? ตกลงจะฉันหรือนายยอร์ชกันแน่?”
“คุณชายครับ! คุณชายรถชนครับ!”
“อืม...หา! อะไรนะ ยอร์ชอยู่ที่ไหน?”ผมอุทานอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ตอนนี้รอประกันอยู่ที่แยก จปร.ครับ คุณชายไม่ได้เป็นอะไรมาก สั่งห้ามไม่ให้ผมบอกคุณภาม แต่คุณภามออกไปรับทีได้ไหมครับ?”ตั้งทัพที่ดูจะตั้งสติได้แล้วเริ่มพูดจารู้เรื่องมากขึ้น
“โอเคได้ ฉันจะออกไปรับเดี๋ยวนี้”ผมวางโทรศัพท์แล้วก็พรวดพราดออกจากบ้านแต่ภีมดันดึงแขนไว้เสียก่อน
“ไปไหนภาม?”
“ไปรับยอร์ช ยอร์ชรถชนอยู่แถวแยก จปร.”ผมบอกภีม
“อือ ภามไม่ต้องไป เดี๋ยวพี่ไปเอง ตอนนี้ภามยังตกใจอยู่ ขับรถจะอันตราย”ภีมสั่งผม
“แต่.....”
“เอาน่า ตามนี้”ภีมว่าก่อนจะขับรถของตัวเองออกไป
ผมเฝ้ารอด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย ยอร์ชจะเป็นยังไงบ้างนะ จะเจ็บไม่มากเหมือนที่ตั้งทัพบอกหรือเปล่า หรือตั้งทัพพูดแค่ให้ผมสบายใจ? โอย...ไม่นะ ทำไมผมถึงไม่ขอตามภีมไปด้วย
เกือบอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังรถของภีมก็แล่นมาจอดหน้าบ้าน ผมรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงอีกคนที่นั่งมาในรถ ภีมเปิดประตูลงมาก่อนตามด้วยนายยอร์ชที่ดูเป็นปกติดี แต่ใครจะรู้ว่าถึงไม่มีแผลแต่ภายในเขาเป็นอะไรหรือเปล่า? ผมโผเข้ากอดนายยอร์ชพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วผมจะอยู่ยังไง ทุกวันนี้อุบัติเหตุตามเทศกาลมักทำให้ผมหวั่นใจเสมอ ภีมเดินเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปรวมกับคนอื่นๆ ในบ้าน ปล่อยให้เราได้คุยกันสองคน
“ร้องไห้ทำไม?”ยอร์ชจับไหล่ทั้งสองข้างของผมแล้วดันออกเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกให้
“เจ็บไหม?”ผมถามทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดร้องไห้
“ไม่เห็นเจ็บตรงไหนเลย”ยอร์ชว่าขำๆ
“แต่ถ้าภามยังไม่หายโกรธพี่ คงจะเจ็บตรงนี้”เขาว่าแล้วเอามือของผมไปทาบไว้ตรงตำแหน่งของหัวใจ
“ไม่โกรธ ไม่โกรธ ภามไม่โกรธยอร์ชแล้วนะ ขอแค่ยอร์ชไม่เป็นอะไรก็พอ”ผมบอกความจริงในใจ ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่สำคัญกว่าเขา แม้ว่าเขาจะปิดบังเรื่องอะไรไว้อีกก็ตาม ผมไม่ต้องการจะรู้อีกแล้ว ขอแค่เขาปลอดภัยเท่านั้น
“พี่ไม่เป็นอะไรเลย แค่รถตัดหน้านิดหน่อยเอง แต่ดูเหมือนอย่างอื่นจะเป็นนะ”
“อะไร?”
นายยอร์ชยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูด้านหลังรถของภีม กล่องสีสันสดใสทว่าบุบบี้เล็กน้อยถูกประคองอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ภามจำได้ไหมว่าพี่มีเพื่อนที่เปิดร้านเบเกอรี่ด้วย”เขาถามยิ้มๆ
“อื้ม ที่ว่าชื่อไพลิน?”ผมหยุดร้องไห้แล้ว แต่ตายังคงชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา แล้วเขาถามผมเรื่องนี้ทำไม?
“ช่วงที่พี่ไม่ค่อยมีเวลาให้ภาม ทุกวันหลังจากเลิกงานพี่ขอให้ไพลินช่วยสอนทำเค้กให้”เขาบอก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกอยู่ดี
“ดูสิ บุบหมดเลย”นายยอร์ชว่าพลางก้มลงไปขมวดคิ้วใส่กล่องปริศนา
“ไม่รู้ว่าภามจะชอบไหม แต่....”เขาเปิดฝากล่องบุบๆ นั้นออกเผยให้เห็นเค้กช็อกโกแล็ตสีน้ำตาลไหม้ก้อนโตที่เสียรูปทรงไปเล็กน้อยด้านใน
“สุขสันต์วันปีใหม่นะครับ น้องภามของพี่”
จบคำพูดของเขาผมกระโดดเข้ากอดเขาไว้แน่นโดยไม่ได้คิดอะไรอีก น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเป็นทางยาว ช่วงเวลาที่ผมมัวแต่น้อยใจ แต่ผู้ชายที่รักผมเท่าชีวิตคนหนึ่งกลับทุ่มเททำในสิ่งที่ผมชอบให้....จะมีใครอีกไหมที่ผมจะรักได้เท่าเขา
“ฮ่าๆๆ เบาๆ สิ เดี๋ยวเค้กเละอดกินนะ”นายยอร์ชหัวเราะอารมณ์ดี มือข้างหนึ่งยังคงถือกล่องเค้กไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็โอบกอดผมเบาๆ
“ขอโทษนะยอร์ช ภามขอโทษจริงๆ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกภาม พี่เข้าใจ ภามจะโกรธหรืองอนพี่พี่ยอมทั้งนั้น แต่พี่ดีใจมากที่ถึงยังไงภามก็ยังเชื่อใจพี่....”
“เราเคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจกันมาครั้งหนึ่งแล้ว พี่ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นอีก และพี่ก็ดีใจที่ภามยังคงไว้ใจพี่เสมอมา”นายยอร์ชพูดกับผมเบาๆ
“ก็เพราะแบบนี้น่ะสิ....”ผมบอก เงยหน้ามองเขา ตอนนี้ไรเคราเขียวๆ ที่เคยมีถูกโกนออกหมดแล้ว เหลือเพียงกลิ่นอาฟเตอร์เชฟบางๆ
“หือ?”
“ก็เพราะแบบนี้ไง ถึงได้หยุดรักไม่ได้สักที”ผมพูดต่อจนจบ เห็นเขาแย้มยิ้มขึ้นน้อยๆ
“แล้วรักมากไหม?”เขาถามยิ้มๆ
“มากกกกกกกกก”ผมลากเสียงยาว
“มากเท่าไหน?”เขายังคงถามต่อ
“อืมมมม... เอาเท่าไหนดี?”
“เท่าฟ้าดีไหม?”ผมแกล้งถามเบาๆ
“เท่าฟ้าน้อยไป”เขาว่า แล้วทำท่านึก
“เอาเท่าอวกาศแล้วกัน”เขาก้มลงมาบอกเมื่อทำท่านึกได้
“ไม่เอาหรอก...”
“หือ? ทำไมล่ะ?”นายยอร์ชถามผมหน้าตาสงสัย
“อวกาศก็ยังไม่กว้างพอ ความรักที่ภามให้ยอร์ช อะไรก็เทียบไม่ได้หรอก”ผมบอกพลางเอานิ้วชี้จิ้มที่แก้มเขาเบาๆ เห็นเขาอมยิ้มน่ารัก
“ดีจัง บังเอิญเราคิดเหมือนกันเลย...”
“กินได้หรือยัง?”ผมชี้ไปที่กล่องเค้กที่ตอนนี้เขาวางไว้หลังรถ ไหนๆ เขาก็ตั้งใจทำมาให้ ต้องลองชิมให้รู้ แต่ถึงมันจะอร่อยสู้ร้านดังๆ ไม่ได้ ผมก็มั่นใจว่ามันจะเป็นเค้กที่ผมมีความสุขที่สุดที่ได้กิน...ในเมื่อมันเกิดจากฝีมือของผู้ชายที่ผมรัก
“ยัง....”เขาว่า
“กินนี่ก่อน”
“เฮ้...!”ยังไม่ทันที่ผมจะอุทานได้จบคำ ริมฝีปากของคนตัวโตก็ประทับลงมาเสียก่อน ก็ปากไม่ว่างแล้วนี่นะ จะไปกินอะไรได้ ก็คงได้แต่ยอมๆ เขาไป.....
--- สวัสดีปีใหม่ครับ ---