บทที่ 3 : คู่ปรับตัวจริง
‘อย่างนี้นี่เอง ลูกคนเดียว เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมคน... ดีล่ะไอ้ไผ่ก็ไม่ยอมคนเสียด้วยสิ ถึงจะไม่ใช่ลูกคนเดียวก็เถอะมีอะไรให้เล่นสนุกๆ คลายเครียดแล้วว่ะเรา สร้างวีรกรรมปราบพยศเจ้าถิ่นให้ขึ้นชื่อลือชาไปทั้งโรงเรียน คงจะสนุกพิลึก’ แผนการต่าง ๆ หลั่งไหลโลดแล่นเข้ามาในหัวสมองของทิวไผ่
‘สายฟ้าจะเป็นกุญแจสำคัญให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วง’
“กรี๊ดดด! ...” เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูของเพื่อนสาวในห้องคนหนึ่ง ดังมาจากมุมหลังห้อง เธอวิ่งด้วยอาการตื่นตระหนกตกใจและกระโดดเข้าสวมกอดทิวไผ่ที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก อย่างลืมตัว ทุกสายตาในห้องนั้น ต่างจับจ้องมาที่เด็กสาวที่กอดทิวไผ่อยู่ รวมทั้งสายฟ้า และต้นข้าวด้วย สายฟ้าที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ จับจ้องใบหน้าคมเข้มของทิวไผ่ และแม่สาวคนนั้นอย่างงงงวย ทิวไผ่ได้แต่ยิ้มแหยง ๆ
“เกิดอะไรขึ้น เหรอ” ทิวไผ่ถามออกไปเมื่อเพื่อนสาวคลายอาการหวาดวิตกลงไป
“งู ๆ งูมันอยู่หลังห้องในซอกถังขยะนั่น เรากำลังจะเอาขยะไปทิ้งมันชูคอออกมาจากถังขยะเลย ฮือ ๆ น่ากลัวที่สุดเลย” เธอละล่ำละลักออกมาเสียงสั่น
“เอ่อ...งูเหรอ” ทิวไผ่หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ถูกกับงูนัก เพราะสมัยเด็ก ๆ ทิวไผ่โดนงูกัดมาแล้ว และกลัวงูจนฝังใจมาตลอด แต่จะให้บอกไปตามตรงก็ใช่ที่ เสียฟอร์มหมด แถมซ้ำเดี๋ยวจะกลายเป็นจุดอ่อนให้ต้นข้าวเอามาเล่นงานเขาอีก และจะโดนเพื่อน ๆ ล้อว่า ตัวใหญ่ซะเปล่า กลับกลัวงูซะนี่
“เอ่อ ปล่อย...เราได้แล้ว” ทิวไผ่พูดเสียงเนือย ๆ และสะกิดตัวเพื่อนสาวเบา ๆ เธอคลายวงแขนออกทันทีที่ตื่นจากภวังค์เมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แล้วหน้าแดงก่ำเขินอายอย่างสุดขีด
ต้นข้าวซึ่งจับตาดูเหตุการณ์มาตลอด ก็จับสีหน้าของทิวไผ่ได้ทันที
“โธ่เอ๊ย...กะอีแค่งูก็กลัว ตัวโตซะเปล่า” พูดเสียดสี ออกไปอย่างสะใจ พลางหัวเราะเย้ยหยัน
“ใคร... ใครกลัว ไม่ทราบ” ทิวไผ่ตอบโต้ออกไปอย่างเสียฟอร์ม
“ไม่กลัวแล้วนั่งทึ่มอยู่ทำไม ดูทำหน้าเข้าสิ ยังกับเห็นผีงั้นแหละ หมั่นไส้ว่ะ กกสาวอยู่ได้ ทุเรศ มานี่ฉันจัดการเองกะอีแค่งู ไหน มันอยู่ไหน” ต้นข้าวคว้าได้ด้ามไม้กวาดแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปยังถังขยะต้นเหตุ
“เออ... ทำเป็นเก่ง... เดี๋ยวโดนงูกัดตายขึ้นมาคนเขาคงสรรเสริญเป็นวีรบุรุษหรอกนะคุณต้นข้าว” ทิวไผ่แดกดันกลับอย่างฉุน ๆ ‘พลาดท่าให้ไอ้หน้าใสนี่แล้วมั้ยล่ะเรา แสบชะมัดยาด คอยดูนะจะเก่งได้ซักกี่น้ำ’
“ค้าบ...คุณทิวไผ่ แค่งูเขียวธรรมดาตัวเท่านิ้วก้อยเอง ไม่มีพิษด้วยจ้างให้ก็กัดไม่ตายหรอก สงสัยเข้ามาตามกิ่งไม้ที่พาดเข้ามาในระเบียงตึกมั้ง ช่วงนี้ฝนตกบ่อยมันคงมาหลบฝน”
ต้นข้าวตอบกลับ พลางเอาด้ามไม้กวาดเขี่ยเจ้างูน้อยตัวนั้นโยนออกไปทางระเบียงด้านหลังอาคารเรียน
ยิ่งรู้ว่าเป็นแค่งูเขียวยิ่งทำให้ทิวไผ่รู้สึกเสียหน้าหนักเข้าไปอีก มาเรียนที่นี่ได้ไม่ถึงสองวัน กลับโดนเจ้าถิ่นตัวร้ายจับไต๋ได้ซะแล้ว ‘แค้นนี้ต้องชำระ นายต้องโดนเอาคืนแน่ไอ้คุณต้นข้าว โทษฐานที่บังอาจหักหน้าคนอย่างทิวไผ่’
“ต๊ายตาย น่าอิจฉาแม่นั่นจัง ได้กอดสุดหล่อของห้องด้วย แต่เสียดายจัง เป็นชั้นหน่อยไม่ได้ จะทั้งกอดทั้งหอมแก้มไม่ปล่อยเลยล่ะย่ะหล่อน” มีเสียงผู้หญิงและสาวเทียมจับกลุ่มกันทั้งแซว ทั้งนินทาให้ได้ยินอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้ว ทิวไผ่ได้แต่ทำหน้าแหย ๆ
“ฟ้าครับ ต้นข้าวเค้าเก่งจังเนาะ เห็นตัวผอม ๆ บาง ๆ อย่างนั้น ไม่กลัวงูด้วย”
“ไม่รู้มันสิครับไผ่ ไอ้เจ้านี่มันแปลก ๆ ฟ้าคบกับต้นมาหลายปีก็ไม่เข้าใจอ่ะ” สายฟ้าตอบอย่างพาซื่อ
“ยังไงหรอครับ” ทิวไผ่ทำเสียงอย่างอยากรู้ ท่าทางสนอกสนใจ
“ก็ แบบว่า... ต้นมันจะกลัวในสิ่งที่ชาวบ้านเค้าไม่ค่อยจะกลัวกันน่ะ อย่างพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอ พวกแมลงแปลกๆ แมลงสาบ หนอนบุ้ง อะไรนี่ มันไม่กลัวหรอกครับ”
“เหรอครับ แล้วเค้ากลัวอะไรหรอ” ทิวไผ่รุกต่อ
“อืมน่าจะเป็นจิ้งจกอ่ะ ต้นมันบอกไม่ค่อยชอบ เห็นแล้วแหยง ๆ จั๊กจี้” สายฟ้าตอบไปตามตรงอย่างไม่ระแคะระคายว่า ทำไมทิวไผ่ถึงสนใจในสิ่งที่ต้นข้าวกลัวนัก
‘หึหึ เจ้านั่นกลัวจิ้งจกหรอกเหรอ ดีล่ะ นายต้นข้าวเอ๋ย อยากจะรู้นัก นายจะทำหน้ายังไงเมื่อเจอคู่ปรับสี่ขาของนาย’ ทิวไผ่แสยะยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ กระหยิ่มยิ้มย่องกับแผนการเอาคืนเจ้าถิ่นของตนเอง
“แล้วไผ่ถามทำไมหรอครับ” สายฟ้า ถามกลับทิวไผ่ด้วยความสงสัย
“อ้อ...เปล่าหรอกครับ เห็นต้นเค้าไม่กลัวงู แล้วฟ้าเปรยว่าต้นไม่ค่อยกลัวอะไร เลยนึกว่าจะกลัวอะไรไม่เป็นเหมือนชาวบ้านเค้า”
“อืม...แล้วไผ่ไม่ชอบงูหรอครับ” สายฟ้าถามกลับ เพื่อยืนยันความเข้าใจของเขาในสิ่งที่เห็นจากสีหน้าท่าทางและอาการของทิวไผ่ที่แสดงออกก่อนหน้านี้
“อ่า... ใช่ครับ” ทิวไผ่ตอบหน้าเจื่อน ๆ อย่างจนมุม เพราะจำนนต่อหลักฐาน พลางโทษตัวเองที่เก็บอาการไม่อยู่เพราะความกลัวที่ฝังใจ
“คือตอนเด็ก ๆ สมัยผมอยู่ชั้นอนุบาลกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนามหญ้าแถวสนามเด็กเล่น เผอิญวิ่งไปเหยียบเอาหางงูเข้ามันเลยแว้งมากัดเข้าที่น่องน่ะครับ ผมตกใจมากร้องไห้ลั่นเลย ถึงหมอจะว่าไม่ใช่งูผิดแต่มันก็กัดเจ็บมาก ๆ เลยนะ เลยกลัวมาจนถึงทุกวันนี้ล่ะครับ แถมโดนฉีดยากันบาดทะยักอีก ทั้งงู ทั้งเข็มเลย” ทิวไผ่พูดเจือหัวเราะอย่างอาย ๆ
“เฮ้อ...เดี๋ยวนี้ได้เพื่อนใหม่แล้วนี่ เพื่อนคนนี้ก็คงหมดความหมายแล้วซินะ คุยกันสนิทสนมกันจ๊าง... เมื่อวานยังไม่จ้อเก่งขนาดนี้นี่นา” ตาทำเป็นอ่านหนังสือ แต่ปากยังส่งเสียงแดกดันแกมตัดพ้อดังมาจากโต๊ะอีกมุมหนึ่งของห้อง หารู้ไม่ว่าความลับของตัวเองโดนเพื่อนรักเปิดเผยไปโดยไม่ตั้งใจไปซะแล้ว
“อีกแล้วนายต้น นายนี่จะไม่ให้เราคบเพื่อนคนอื่นนอกจากนายคนเดียวเลยหรือไงนะ เราแค่นั่งคุยกับไผ่เท่านั้นเองนะ” สายฟ้าแหวเพื่อนอย่างเอือม ๆ
“จ๊า...พ่อเพื่อนยาก เราไปจำกัดสิทธิของนายเมื่อไหร่ไม่ทราบ ไปก็ได้วะ ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอแล้ว เชิญตามสบายเหอะ จะทำอะไรกันก็เชิญ”
ต้นข้าวพูดจบ ลุกจากเก้าอี้พร้อมหนังสือเล่มที่ถืออยู่ในมือเดินออกจากห้องไปอย่างขัดใจ
“เฮ้ย...ไอ้ต้น พูดอะไรของนายวะ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงไม่ทราบ เฮ่ย... อย่างพึ่งไปสิ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” สายฟ้าตะโกนตามหลังเพื่อนไปอย่างเคือง ๆ และคาใจในสิ่งที่ต้นข้าวพูดทิ้งท้าย
สายฟ้าหันมาสบตากับทิวไผ่ซึ่งทำหน้างง ๆ จ้องมองตัวเขาอยู่ พอดี จนสายฟ้า ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาแหลมคมจากดวงตาเรียวสวยภายใต้แนวคิ้วโก่งได้รูปบนใบหน้าคมเข้ม คู่นั้น
“มีอะไรหรอครับไผ่ จ้องฟ้าทำไมอ่ะ”
สายฟ้าพูดออกไปอย่างพยายามสะกดน้ำเสียงให้ดูเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หันหน้าออกไปด้านข้าง มือไม้เริ่มที่จับนู่นจับนี่ทำแก้เขิน เลือดฝาดสูบฉีดบนใบหน้าจนตึงไปหมด
“คือ... ผมงงอ่ะครับ นายต้นนี่แปลก ๆ นะ อารมณ์แปรปรวน ได้ตลอดเวลา” ทิวไผ่ตอบเลี่ยง ๆ อย่างไม่ตรงคำถาม
“เอ่อ...ไผ่ครับ อย่าไปถือสาคำพูดไร้สาระของต้นมันเลยนะครับ มันก็บ้า ๆบอ ๆ แบบนี้แหละ” สายฟ้าแก้เก้อ และเบี่ยงเบนประเด็นให้ออกห่างตัวเอง
“ครับผมไปถือคนบ้า ไม่ว่าคนบ๊องหรอก” ทิวไผ่ตอบ แล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย จนสายฟ้าได้แต่ยิ้มตอบมาอย่างหน้าเจื่อน ๆ
‘เพื่อนรักคู่นี้แปลก ๆ แฮะ คนหนึ่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี อีกคน เอาแต่ใจ ท่าทางร้ายกาจ...แล้วเมื่อกี้นายนั่นพูดอะไรของเขา มันหมายความว่าไง หนุ่มหน้าหวาน ตัวเล็กนี่คิดอะไรกับเรางั้นหรือ...บ้าน่า เป็นไปได้ไง’ ทิวไผ่ตั้งคำถามกลับตัวเอง แต่ใจเจ้ากรรมก็เกิดขัดแย้งกันขึ้นซะนี่
‘แต่เมื่อกี้หนุ่มน้อยหน้าหวานนั่น ทำท่าทางเขินเรานะ’
………………………………………………………………………………………………………..