ตอนที่ 8 เข้าทาง
เช้าของวันทำงานกับการจราจรที่ติดขัดแบบนี้เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่เคยออก และมันก็เป็นเรื่องปกติที่คนในเมืองอย่างผมจะต้องเจอ โดยเฉพาะวันแรกของสัปดาห์แบบนี้รถยิ่งติดมากกว่าวันอื่นๆ ถึงออฟฟิศจะอยู่ไม่ไกลจากคอนโดฯ แต่ก็ยังใช้เวลาในการขับรถไม่ต่ำกว่าสี่สิบนาที แต่ช่วงเวลาที่อยู่บนรถติดๆ แบบนี้ มักจะเป็นเวลาที่ทำให้ผมคิดอะไรใหม่ๆ ได้เสมอไม่แพ้เวลาที่ผมยืนอยู่ที่ระเบียง เพราะมันเป็นเวลาที่ผมได้สังเกต และมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัว
แล้วตอนนี้ผมก็ได้ไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวตอนเช้าเข้าไปหาข้อมูลอะไรอีกนิดหน่อย น่าจะสรุปได้ทันเอาเข้าที่ประชุมช่วงบ่ายของวันนี้
ปกติช่วงวันจันทร์ถึงวันพุธในสัปดาห์แรกของเดือนผมจะมีประชุมเพื่อฟังการสรุปงานของส่วนต่างๆ โดยวันจันทร์ผมจะประชุมกับทีมงานในส่วนที่ดูแลนิตยสารที่ออฟฟิศที่ผมกำลังจะไป ส่วนวันอังคารและวันพุธผมจะเข้าไปประชุมกับส่วนของโรงพิมพ์และสำนักพิมพ์ที่โรงพิมพ์แถวบางนา
กิจการของครอบครัวผมเริ่มมาตั้งแต่สมัยของคุณปู่ตอนนั้นมีเฉพาะโรงพิมพ์ รับพิมพ์งานทั่วไป ต่อมารุ่นคุณพ่อก็เพิ่มในส่วนของสำนักพิมพ์ และจนปัจจุบันมาถึงผมที่รับช่วงต่อก็เพิ่มในส่วนของนิตยสาร โดยผมคิดรูปแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดไม่ได้ซื้อหัวหนังสือจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ยังมีเพียงหัวเดียวคือ “INDEED” ที่เปิดตัวและวางแผนไปเมื่อตอนต้นปี และก็ได้รับการตอบรับดีกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว
.............................................................
ตอนนี้ผมมาถึงออฟฟิศแล้ว และกำลังเริ่มต้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเพิ่งคิดขึ้นมาได้เพื่อที่จะสรุปให้ทันเอาเข้าที่ประชุมในช่วงบ่าย
.
.
.
หลังจากฟังสรุปยอดขาย และผลตอบรับโดยรวมของนิตยสารตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ก็มาถึงช่วงที่ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมเพิ่งคิดไว้เมื่อเช้า
“ตอนนี้ผมมีแผนว่าจะเพิ่มคอลัมน์อีกหนึ่งคอลัมน์”
“แล้วคอลัมน์ที่จะเพิ่มเข้ามาจะนำเสนอเกี่ยวกับอะไรคะ” เสียงของแอมที่เป็นบรรณาธิการ
“ผมตั้งใจว่าจะนำเสนอเรื่องของงานดีไซน์ที่มีลักษณะเฉพาะหรือแสดงถึงบุคลิกของคนออกแบบ ที่กำลังได้รับความสนใจ ซึ่งในคอลัมน์นี้เราก็จะแบ่งการนำเสนอออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกเป็นชิ้นงานที่ออกแบบโดยนักออกแบบที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว และส่วนที่สองผมอยากเปิดโอกาสให้นักออกแบบหน้าใหม่นำเสนอผลงาน โดยเราจะเป็นผู้เลือกชิ้นงานที่น่าสนใจมาลง แล้วผมก็คิดเอาไว้ว่าจะให้เจ้าของผลงานเป็นคนวางรูปแบบการนำเสนอเองเพราะฉะนั้นแต่ละเดือนก็จะมีแนวทางที่แตกต่างกันไป”
“แล้วเน้นงานดีไซน์หรืองานออกแบบทางด้านไหนที่เฉพาะเจาะจงหรือเปล่าครับ” เสียงของต้นหัวหน้าทีมที่ดูแลเรื่องข้อมูลที่นำมาลงในแต่ละคอลัมน์
“ผมจะไม่จำกัดว่าเป็นชิ้นงานแบบไหน จะเป็นของใช้ เสื้อผ้า งานกราฟฟิคดีไซน์รูปแบบใหม่ๆ หรืออะไรก็ได้ แม้แต่ของเล่นก็ยังได้ แต่ดูแล้วเป็นงานที่ดูแล้วมีเอกลักษณ์ มันอาจจะฟังแล้วเข้าใจยากในตอนนี้ แต่เดี๋ยวผมจะหาตัวอย่างมาให้ดูกันก่อน”
“แล้วทีมไหนจะรับผิดชอบคอลัมน์นี้คะ” แอมถามขึ้น
“ให้ทีมของพีทแล้วกัน แค่หาผลงานที่จะมาลงแล้วก็ติดต่อเจ้าของ ส่วนการจัดวางรูปแบบคอลัมน์ผมตั้งใจให้เจ้าของผลงานเป็นผู้ดูแลเองถ้าเป็นไปได้ คล้ายๆ กับเราจ้างฟรีแลนซ์มาทำเป็นงานๆ ไปนั่นแหละ ให้เขากำหนดรูปแบบเอง เพื่อจะได้รูปแบบที่เฉพาะตัวจริงๆ ผมขอให้คุณบีดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย”
“แล้วจะลงคอลัมน์นี้เมื่อไหร่คะ”
“เดือนหน้านี้เลย ส่วนผลงานที่จะเอามาลงผมก็คิดเอาไว้แล้ว เรื่องของความคืบหน้า ผมจะนัดประชุมกันอีกครั้งในวันจันทร์หน้า ไม่ทราบว่าใครมีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า” หลังจากนั้นก็คุยเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพื่อให้เข้าใจตรงกันจริงๆ
.
.
.
“............”
“ถ้าพอเข้าใจกันแล้ว ผมขอปิดการประชุมไว้เท่านี้ ขอบคุณทุกคนมากนะครับ”
.............................................................
นี่แหละครับเรื่องที่ผมคิดได้เมื่อเช้า พอดีจังหวะที่รถติดหันไปเจอป้ายโปสเตอร์โปรโมทอัลบั้มของนักร้องคนนึงที่แปะอยู่หน้าร้านขายซีดี ผมว่าคนออกแบบเขาออกมาทำได้น่าสนใจดี เลยคิดเรื่องคอลัมน์ใหม่ขึ้นมาได้
ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่า ผมคิดเรื่องผลงานที่จะเอามาลงไว้แล้ว อันที่จริงก็ยังไม่ได้คิดเป็นเรื่องเป็นราวหรอก แค่คิดไว้ว่าจะเป็นผลงานของใครมากกว่าแล้วงานนี้ผมคงต้องพึ่งไอ้อาร์มันหน่อยล่ะ ว่าแล้วก็โทรไปหามันเลย
.
.
.
“ตื๊ด... ตื๊ด...”
“ดีครับพี่”
“ช่วงนี้พอมีเวลาบ้างหรือเปล่า พอดีพี่มีอะไรจะให้อาร์ช่วยหน่อย”
“ได้เลยพี่ ว่ามาได้เลยจะให้ผมช่วยอะไร”
“พี่จะทำคอลัมน์ใหม่ลงหนังสือ เป็นคอลัมน์ที่นำเสนอเรื่องงานออกแบบ พี่เลยตั้งใจว่าจะเปิดคอลัมน์ด้วยงานออกแบบสถานที่ กะว่าจะเอาร้านของมึงมาลงด้วย เดี๋ยวรายละเอียดพี่จะเข้าไปคุยด้วยอีกที” ผมเล่าเรื่องให้อาร์มันฟังคร่าวๆ ก่อน ร้านนี้ไอ้อาร์มันออกแบบเองถือเป็นผลงานของมันจริงๆ แล้วมันก็ทำออกมาดีทีเดียว ไม่เสียแรงที่จบสถาปัตย์กันมา ส่วนผมเองก็ไม่ได้ทิ้งที่เรียนมาไปซะทีเดียว ผมว่ามันก็ได้เอามาประยุกต์ใช้อยู่บ่อยๆ กับหนังสือของผมนี่ล่ะ
“จะเอาจริงหรอพี่” มันถามแบบไม่ค่อยแน่ใจ
“ก็เออสิวะ เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะเข้าไปคุยด้วยที่ร้าน”
“ครับ แล้วเจอกันพี่”
.............................................................
………………………………
……………….
ผมออกจากออฟฟิสก่อนเวลาเลิกงานประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้ไปดูร้านของไอ้อาร์มันตอนที่ยังพอมีแดดอยู่ พอไปถึงก็เดินดูรอบๆ ร้าน แล้วผมก็คิดว่าผมตัดสินใจเลือกไม่ผิด หลังจากนั้นก็เข้าไปนั่งคุยกันถึงรายละเอียดตามที่ผมอยากได้ ว่าอยากให้คอลัมน์นี้ออกมาเป็นแบบไหน จุดของการนำเสนอคืออะไร ส่วนผลงานของนักออกแบบที่มีชื่ออยู่แล้วจะเป็นใคร ซึ่งผมก็มีอยู่แล้วในใจเหมือนกัน และสุดท้ายก็ในส่วนของไอ้อาร์ว่ามันต้องทำอะไรบ้าง
.
.
.
“ถ้าเป็นเรื่องร้านไม่มีปัญหาเลยพี่ ส่วนเรื่องวางรูปแบบการนำเสนอผมว่า เดี๋ยวผมขอให้ไอ้เดย์กับเพื่อนมาช่วยดีกว่า พวกมันเรียนกราฟฟิคดีไซน์ น่าจะทำออกมาได้น่าสนใจ แต่แนวทางหลักๆ ผมคงคิดเอง”
“ก็แล้วแต่มึง เออ งานนี่พี่มีค่าเหนื่อยให้ด้วย”
“ไม่ต้องก็ได้พี่ จริงๆ แล้วมันเหมือนพี่ช่วยโปรโมทร้านไปด้วย ผมต้องขอบคุณพี่มากกว่า”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร มันก็เหมือนมึงมาทำงานให้พี่”
“เออ... ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมรีบคุยกับไอ้เดย์แล้วก็เพื่อนมันเลยให้เลยดีกว่าพี่ โดยเฉพาะกร รายนั้นไอเดียกับฝีมือดีเลยพี่ ผมเคยเห็นงานที่มันทำมาบ้าง”
“ถ้างานมันออกมาดีจริง ครั้งต่อไปพี่จะได้เอามาลงในคอลัมน์” พอผมได้ยินชื่อของกร ก็รู้สึกเหมือนว่าอะไรๆ มันจะเข้าทางผมนะเนี่ย
“แล้วพี่อยากเข้ามาคุยกับพวกมันเองด้วยหรือเปล่า ผมได้บอกพวกมัน”
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นมึงก็ไปตกลงกับพวกน้องมันก่อน ได้เรื่องยังไงก็โทรไปบอกพี่อีกที แล้วค่อยนัดคุยกัน”
“ครับพี่ เดี๋ยวผมรีบจัดการให้”
“ขอบใจมึงมากว่ะ เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”
“ไม่ดื่มอะไรหน่อยหรอพี่”
“ไม่ดีกว่าว่ะ พรุ่งนี้ประชุม”
“ครับๆ”
ออกจากร้านของไอ้อาร์มันแล้วก็ตรงกลับคอนโดฯ เลย เผื่อถึงเร็วจะได้ไปว่ายน้ำออกกำลังกายเสียหน่อย ช่วงที่ขับรถไปก็ยังคงคิดเรื่องงานอยู่บ้าง เพราะไม่มั่นใจว่ามันจะออกมาอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า ผมเองก็ยอมรับเหมือนกันว่าตัดสินใจและลงมือทำค่อนข้างเร็ว คิดแล้วลงมือทำเลยแบบนี้ มันก็ทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ตอนนี้ผมเริ่มมองเห็นแล้วว่ามันมีข้อดีมากกว่า
ผมคิดแล้วว่าจะลองเปิดโอกาสให้อีกคน มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะผมว่า ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนผมก็เถอะ แต่บางครั้งคนเรามันก็เลือกไม่ได้หรอกว่า ในชีวิตจะได้พบเจอกับอะไรหรือใครบ้าง แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้สิ่งนั้นหรือคนนั้นเข้ามาในชีวิตเราได้หรือไม่ ส่วนเข้ามาแล้วจะอยู่ในชีวิตของเราไปได้นานแค่ไหนมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมเองก็ไม่เคยคิดนะว่าจะมีวันหนึ่งที่ผมเกิดความรู้สึกดีๆ กับผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่ผมได้พบเขาครั้งแรก เขาถึงว่ากันว่า ชีวิตคนเรามักจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เสมอ แล้วผมก็เป็นคนที่ไม่ชอบปิดโอกาสทั้งของตัวเองและของคนอื่น เพราะฉะนั้นมันคงไม่แปลกอะไรที่ครั้งนี้ผมจะเปิดรับอีกคนเข้ามา
บางทีผมอาจะเจอคำตอบก็ได้ว่า “อะไรคือสิ่งที่ผมกำลังตามหา”
แล้วในเมื่อผมเลือกที่จะเปิดโอกาสนั้นให้กับตัวเองและอีกคนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะรออยู่เฉยๆ แล้วให้อีกฝ่ายเข้ามาหาหรอกนะ มันไม่ใช่ผมแน่นอน ผมชอบที่จะคว้าโอกาสที่มองเห็นและใช้มันให้เป็นประโยชน์เสมอ ยิ่งรู้ว่าเขาเองก็ชอบผมอยู่แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะได้รู้จักกันมากกว่านี้
ถ้าผมรอให้เขาเข้ามา ผมว่าผมคงต้องรออีกนาน ป่านนี้อาจจะกำลังคิดอยู่ล่ะมั้งว่าจะเข้ามาหาผมด้วยวิธีไหน หึหึ รู้เขารู้เราแบบนี้ รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง
แล้วเริ่มก่อนมันมักจะได้เปรียบเสมอ
-----------------------------------------------------