มาแว๊วววว ปายต่อกันเลยยย อิอิ
***********************************************************************************************************
๑๐
เจ้าคุณและคุณหญิง ไพศาลเสนีย์ จำเส็งได้เมื่อเขาลงไปต้อนรับที่ท่าน้ำ คุณหยาดอยู่ด้านหลังเจ้าคุณพ่อและคุณหญิงแม่ของหล่อน มองเส็งอย่างเอ็นดูแสดงว่าวันนี้อารมณ์ดี ทั้งบ้านแต่งตัวกันเต็มยศ คือเสื้อราชปะแตนกระดุมห้าเม็ด โจงกระเบนผ้าม่วง เจ้าคุณสวมหมวกกลม และถือไม้เท้าเดินอย่างคนมีอายุแล้ว ส่วนคุณหญิงไพศาลเสนีย์และลูกสาวมาใน เสื้อแพรไหมลายลูกไม้ แขนทรงหมูแฮม มีผ้าแพรพาด ประดับด้วยเข็มกลัดรูป ประจำตระกูล คนแม่สวมเสื้อสีขาวสะอาด โจงกระเบนสีนวลเดินเส้นทองสวย ส่วนลูกสาวมาในสีฟ้าอ่อน โจงกระเบนสีออกน้ำทะเล ดูสวยงามหากก็ไม่หรูหรามากนักเมื่อเทียบกับเวลาต้องรับแขกบ้านแขกเมือง หากเป็นอย่างนั้นทั้งสองแม่ลูกต้องประโคมเครื่องเพชรออกมาอวดสายตาชาวบ้านทุกครั้งไป
พอขึ้นจากท่า เส็งและ เทิดทนายหน้าหอที่รออยู่แล้วก็ยกมือไหว้อย่างงดงาม ทั้งสามรับไหว้ก็ทักทายปราศรัยกันอย่างเป็นกันเอง
“เรือนเทาของหลวงพินิจงามนัก เป็นบ้านทรงยุโรปแบบที่กำลังนิยมในหมู่พวกชาววัง ได้มาเห็นกับตาก็ปลื้มใจ”
“จริงเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ เรือนของคุณหลวงงามมาก ยิ่งด้านในนะเจ้าคะ แต่งเสียสวยเทียว” หล่อนเออออกับแม่ ก่อนจะหันมาพูดกับเส็ง “อ้ายเส็งมิได้เจอเสียนาน สุขสบายดีหรือเอ็ง”
“ขอรับ” เส็งรับคำ “คุณหลวงเมตตาบ่าวมากขอรับ”
เส็งไม่ได้เล่าให้ใครฟังว่า ทุกคืน หนุ่มน้อยต้องอยู่ข้างเตียงหลวงพินิจ คอยขับเสภาบ้าง อ่านหนังสือต่างๆให้คุณหลวงฟัง หลายครั้งคุณหลวงหลับเสียก่อนเส็งจึงกลับเรือนบ่าว บางครั้งคุณหลวงไม่หลับก็ชวนคุยอยู่เกือบเช้า ก่อนจะมาส่งบ่าวหนุ่มหน้าประตูเหมือนคราวแรก
ที่ต่างไปจากคราวแรกคือ คุณหลวงและเส็งมิได้แตะเนื้อต้องตัวกันอีกเลย คุณหลวงให้เกียรติเส็งมาก แม้สรรพนามยังเปลี่ยนจาก “ข้า” มาเป็น “เรา” อย่างสนิทปาก
“เราหลับฝันดีทุกคืนเพราะเส็ง”
บ่าวหนุ่มมีความสุขมากเหลือเกิน มากจนไม่อาจเทียบกับตอนที่อยู่บ้านไพศาลเสนีย์ ไม่แม้แต่จะเทียบกับเมื่อครั้งอยู่บ้านของตนแถววัดสามปลื้ม คุณหลวงเอ็นดูเส็งจริงๆ นอกจากจะพูดคุยกันสนุกแล้ว เส็งยังได้เรียนภาษาฝรั่งกับคุณหลวง จนทุกวันนี้เจอหน้ากันต้องทักเป็นภาษาฝรั่งเสียก่อน แต่เส็งก็เรียนไปไม่ได้ไกลกว่านั้น เพราะภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ยาก และไม่ใกล้เคียงกับภาษาสยามเลยแม้แต่น้อย
เสียงของคุณหยาด ปลุกเส็งกลับออกมาจากความคิดที่ไปถึงคุณหลวงเสียแล้ว “ดีแล้วล่ะ อยู่สบายดีข้าก็อุ่นใจ”
“ให้อยู่ที่นี่ จะลำบากได้อย่างไร” หลวงพินิจราชอักษร เดินออกมาต้อนรับเจ้าคุณ และ คุณหญิงด้วยตัวเอง ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ข้างหนุ่มตี๋ ก่อนจะยกมือไหว้ทักทาย ผู้ใหญ่ทั้งสองคน “เจ้าคุณไพศาลเสนีย์ คุณหญิง สบายดีหรือขอรับ”
“สบายดี” เจ้าคุณตอบ “พ่อแม่เจ้ามาหรือยังเล่า คุณหลวง”
“มาแล้วขอรับกำลังจะตามออกมาต้อนรับขอรับ” หลวงพินิจว่า “อ้าวนั่นอย่างไร มาพอดีเลยขอรับ”
“เจ้าคุณไพศาล สบายดีหรือ” พระยาไพรัชกิจ เดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเอง ห้าหกคนพูดคุยกันจนสนุกแล้ว คุณหญิงไพรัชกิจก็เป็นคนกล่าวเชิญทั้งหมดไปชมเรือน แล้วค่อยไปยังโต๊ะอาหารเพื่อร่วมรับประทานอาหารกันตอนนั้น
ไม่นาน ทั้งหกคนก็นั่งอยู่ในห้องอาหารของหลวงพินิจ เส็งเพิ่งได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้นานๆ เป็นครั้งแรก เพราะโดยมากหลวงพินิจจะรับอาหารเช้าที่ศาลาริมสระบัว หากเป็นสำรับกลางวันหรือเย็น ก็จะรับที่เฉลียงหน้าบ้านมากกว่า ไม่ค่อยรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร นานๆจะเปิดใช้เมื่อมีแขกสำคัญมา อย่างในวันนี้
หัวโต๊ะเป็นพระยาไพรัชกิจ ถัดมาทางซ้าย คือเจ้าคุณไพศาลเสนีย์ คุณหญิงภรรยา และคุณหยาด ด้านขวาของพระยาไพรัชกิจ คือ คุณหญิงไพรัชกิจภรรยา ถัดมาคือลูกชาย มีหกคนบนโต๊ะอาหารเท่านั้น เส็ง แก้ว และ เทิด นั่งพับเพียบอยู่ไกลๆ คอยรับใช้
นั่งคุยกันเรื่องสารทุกข์สุขดิบ ญาติพี่น้องฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ หลวงพินิจก็พยักเพยิดให้เส็งออกไปนำสำรับกับข้าวเข้ามา
อาหารวันนี้ เป็นอาหารไทยเพราะมีเพียงคุณหลวงคนเดียวบนโต๊ะที่ชอบอาหารฝรั่ง เมื่อต้องการให้คนส่วนใหญ่พึงพอใจ จึงต้องจัดสำรับให้เอื้อต่อคนที่เหลือ แขกแต่ละคนจะมีจานข้าว ของตัวเองแลมีจานกับตรงหน้าเพื่อแบ่งกันกิน อาหารวันนี้มีหลากหลายไปตั้งแต่ ผัดผัก ยำใหญ่ น้ำพริกแมงดา ผักแนม แกงคั่วหมูใส่ระกำ แกงไก่ และ สุดท้ายคือแกงฟักที่เส็งอุตส่าห์ตั้งใจแกะสลักมาเป็นของดีของวันนี้เลยทีเดียว ของทุกอย่างคนในโรงครัวยกมาให้ที่หลังบ้าน แก้ว มะลิ และชิดจะเป็นคนยกมาที่โต๊ะ เว้นแต่อย่างสุดท้าย คือแกงฟักใส่ไก่ที่ เส็งเป็นคนยกมาให้เอง
“อ้ายเส็งขอรับเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ อ้ายนี่เห็นเหลาะแหละไม่เป็นท่า แต่ทำกับข้าวได้เก่งเทียวขอรับ” หลวงพินิจออกปากชม “วันนี้ ก็แกะฟักมาให้อย่างสุดฝีมือเทียวขอรับ”
“ดีจริง” คุณหญิงไพรัชกิจว่า “เห็นแต่ผู้หญิง เดี๋ยวนี้บ่าวชายก็แกะเป็นแล้วด้วย เอ็งเรียนแกะฟักที่ใดอ้ายเส็ง”
“แม่ของบ่าวสอนให้ขอรับ” เส็งตอบ “แม่เป็นนางข้าหลวงเก่าขอรับ”
“อ้อ มิน่า”
“เส็งมิใช่บ่าวไพร่ทั่วไปนะเจ้าคะ” คราวนี้แม่หยาดเป็นคนพูดขึ้นบ้าง “เส็งมันลูกเจาสัว แถมแม่เป็นนางข้าหลวงเก่า ที่มาเป็นบ่าวเพราะที่บ้านมันตายหมดเพราะไฟไหม้ ที่ลูกเคยเลี้ยงอยู่ที่บ้านไงเจ้าคะ”
“อ้ออ้ายนี่เองหรือ” เจ้าคุณไพศาลว่า “สมัยอยู่เรือนโน้นก็แกะผลไม้ มาให้รับกันเสมอ มีแขกเหรื่อมาที่บ้านก็ให้มัน ช่วยดูแล”
“เก่งขนาดนี้เทียวหรือ” คุณหญิงไพรัช ยิ้มอย่างเอ็นดู “น่าจะเอาไปไว้เรือนใหญ่นะแสง”
แสงคงเป็นชื่อเก่าคุณหลวงกระมังเส็งมองผู้พูดอย่างฉงน พอเห็นคุณหลวงตอบก็เข้าใจว่าใช่อย่างนั้นจริงๆ
“แล้วไปคุณหญิงแม่ ให้ลูกไว้ใช้เถิดครับ ที่บ้านโน้นคุณหญิงแม่คงยังพอดีบริวารเก่งๆบ้าง ที่นี่ถ้าไม่ใช่ยายนอมก็มีแต่เส็ง”
แก้วส่งเสียง ฮึดฮัด เบาๆในคอเมื่อหลวงพินิจ ไม่เอ่ยชื่อหล่อน
“แม่ก็พูดไปอย่างนั้น เอ็งก็เลี้ยงไว้เถิด เป็นคนสนิทได้ใช้งานคล่องๆ” คุณหญิงแม่ของคุณหลวงขำท่าทีหวงบ่าวของลูกชาย “เอ้า แล้วแกะลายอะไรมาหรือ อ้ายเส็ง”
“เรื่องสังข์ทองขอรับ” บ่าวหนุ่มรูปจีนตอบ
“รู้เรื่องนิทานของเราด้วยหรืออ้ายคนนี้”
“น้อยไปซีขอรับ อ้ายเส็งอ่านหนังสือสยามออกด้วย ลูกเอามาฝึกมาสอนอยู่ ฉลาดนักขอรับ” หลวงพินิจยิ้มแก้มบานเมื่อได้พูดถึงเส็ง
“เอ้าไหนขอดูหน่อยว่างแกะเป็นอย่างไรบ้าง” คุณหญิงว่า พลางตักชิ้นฟักในชามขึ้นมาไว้ที่จานแบ่ง “ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ สวยเชียว อ้ายนี่มีฝีมือจริงละ คุณพี่ดูซีคะ”
“สวยเสียจริงด้วย” เจ้าคุณไพรัชกิจพยักหน้า “ชิ้นสองต้องขับเคี่ยวเซซัง อุ้มลูกมายังพนาลัย เห็นแล้วไม่อยากกิน กลัวจะเสียของ”
จากนั้นก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนาน ของคนทั้งโต๊ะ ต่างคนต่างก็ตักชิ้นฟักขึ้นดู ท่องเนื้อความที่มักท่องจำกันขึ้นใจ เจ้าคุณไพศาลได้ “ชิ้นสามอยู่ด้วยยายตา ลูกยาออกช่วยขับไก่” คุณหยาด “ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน” คุณหญิงไพศาลได้ “ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์ ให้รับตัวลูกรักมาจากบ้าน” ส่วนหลวงพินิจราชอักษรก็ตัก “ชิ้นหกจองจำทำประจาน ให้ประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย” มาไว้ที่ถ้วยแบ่งของตน
“เหลืออีกชิ้น ใครจะกินละทีนี้” เจ้าคุณไพศาลพูดขึ้นอย่างสนุกสนาน “เอาเป็นว่าใครท่องได้ก็ให้รับไป”
“ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรทัย ใครใครไม่ทันจะสงกา นั่นหรือขอรับ” เส็งเผลอพูดขึ้น
“เอ้า คนแกะตอบเองเสียแล้ว เอาไปกินเถิดเส็งข้ายกให้” เจ้าคุณไพรัชกิจหัวเราะถูกใจ “ได้ชื่นใจกินฝีมือของตัวเอง”
“มิได้ขอรับ บ่าวแกะมาให้นายกิน มิบังอาจกินของนายดอกขอรับ”
ทั้งโต๊ะหัวเราะกันสนุกสนาน
“อ้ายนี่เข้าใจพูดนะ เอาเถิดให้ตาแสงกินก็แล้วกัน บ่าวคนสนิทมิใช่หรือ” คุณหญิงไพรัชว่า
เส็งเขินจนต้องก้มหน้าเมื่อหลวงพินิจส่งสายตาอบอุ่นมาให้
“ลูกจะอ้วนตายเพราะเส็งคนนี้แล้วขอรับ ทำอะไรมาให้แต่ละมื้อไม่เคยซ้ำกันเลย น่ากิน และอร่อยทุกครั้ง” หลวงพินิจว่า ก่อนจะตักฟักอีกชิ้นมาไว้ที่ชามของตน “และทุกครั้งก็จะกินไปเสียดายไป ด้วยมันสวยเสียเหลือเกินขอรับ”
“นั่นซี แม่ก็ชักจะไม่อยากกินเหมือนกัน” คุณหญิงว่า แต่แล้วทุกคนก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย และสนุกสนานในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะแกงฟักที่หมดเสียก่อนเป็นอย่างแรก
พอถึงเวลาของหวาน เส็งก็ยกเงาะลอยแก้วออกมาให้บรรดาแขกทุกคน เงาะของเส็งนั้นคว้านไว้อย่างดี จึงไม่มีเปลือกเมล็ดติดมาด้วย กระนั้นก็ยังคงได้เนื้อเต็มเม็ด ไม่เหมือนเวลาแก้วทำที่มักจะไม่กว้านเนื้อทิ้งเกือบหมด ก็ติดเปลือกสากๆมาด้วย
“เงาะลอยแก้วของเอ็งก็อร่อยดีไม่หวานแสบไส้เหมือนที่เคยกินคราวที่แล้ว” เจ้าคุณพ่อของคุณหลวงกล่าว
ที่เคยกินคราวที่แล้ว เป็นฝีมือแก้ว หล่อนจึงนั่งตาขวางทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ อันที่จริง แก้วก็นั่งฮึดฮัดมาตลอดเวลาอาหารวันนี้ ด้วยความอิจฉาริษยาที่ไม่มีใครพูดถึงหล่อนเลยนั่นละ เส็งรู้ดีว่าแก้วทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้านาย แต่พอกลับไปเรือนบ่าวละก็ได้มีอาละวาดแน่ๆ
พอนายรับประทานอาหารเสร็จ บรรดาบ่าวก็ยกจานชามสำรับไปล้าง ไปเก็บที่เรือนบ่าว คุณหลวงส่งสายตาให้เส็งบุ้ยใบ้ไปทางห้องหนังสือ หมายความเป็นทำนองให้ไปรอที่ห้องหนังสือก่อน เส็งก็ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ก่อนจะออกจากห้องไป แก้วก็ส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ จนหนุ่มน้อยไม่อยากกลับไปเรือนบ่าวเลย กลัวจะถูกแก้วแกล้งอะไรเอาอีก
คุณหลวงตามเข้ามาหาเส็งในห้องหนังสือในที่สุดเมื่อส่งเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ และ คนบ้านไพศาลเสนีย์ กลับไปแล้ว เวลานั้นท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินแก่แกมม่วงแล้ว บ่งบอกว่ารถพระอาทิตย์วิ่งพ้นขอบฟ้าไปเรียบร้อย บ่าวไพร่ผู้ชายเริ่มลงอาบน้ำอาบท่าที่คลองข้างๆนี้แล้ว หากเส็งยังนั่งรอคุณหลวงอยู่กับพื้นไม่ได้ไปอาบน้ำร่วมกับคนอื่นๆ ส่วนบ่าวผู้หญิงก็ออกจากตัวตึกใหญ่กลับไปยังเรือนบ่าวกันหมดเพราะถือว่าหมดเวลางานแล้ว ยามค่ำ คือยามที่หลวงพินิจต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่มีบ่าวคนไหนจะเหลืออยู่บนเรือนเทาได้สักคน
แน่นอนว่าเส็งอยู่เหนือไปจากกฏข้อนี้
ทันทีที่หลวงพินิจก้าวเข้าห้องมา เส็งก็สังเกตได้ถึงสีหน้าทุกข์ใจของนาย หากแต่บ่าวหนุ่มไม่กล้าเอ่ยปากถาม ผู้เป็นนายก็เหนื่อยใจเกินกว่าจะเอ่ยปากบอก หลวงพินิจทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆเส็งแทนที่จะนั่งบนตั่งไม้ นั่งใกล้จนเส็งสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวของผู้เป็นนาย
บ่าวหนุ่มกระถดตัวหนี ไม่อยากนั่งให้ชิดกับนายมากเกินไป จะหาว่ายกตนเสมอท่านได้
“เส็ง อยู่ใกล้ๆเราก่อนได้ไหม” น้ำเสียงของหลวงพินิจแผ่วเบา เหนื่อยอ่อนอย่างคนมีเรื่องในใจ หากแต่เขาไม่อาจบอกใครได้ เพื่อนฝูงหรือก็ไปหาไม่ได้แล้วในเวลาค่ำขนาดนี้ เทิดก็กลับไปแล้ว มีเพียงเส็งเท่านั้นที่พอจะเป็นที่พึ่งทางใจของคุณหลวงหนุ่มได้
*******************************************************************************************************
ตอนหน้าก็หวานมากกก กว่านี้อีกครับ 555 อย่าเพิ่งเบื่อนะถ้าเลี่ยนเกินไป