ไปต่อกันเลยนะคร้าบบบบ
**********************************************************************************************************
๑๒
เรื่องน่าแปลกใจอย่างหนึ่งที่มนุษย์เป็นกันทุกคนคือ หากวันรุ่งขึ้นเป็นวันสำคัญ เป็นวันที่จะต้องไปทำอะไรสักอย่างที่เฝ้ารอ หรือไปกับใครที่ต้องการ หรือจะได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ หรือต้องมีใครจากไป เราทุกคนก็มักจะนอนไม่หลับกันเสมอในคืนก่อนที่จะถึงวันนั้น
คืนก่อนกำหนดเดินทางไปหัวหินของหลวงพินิจ มีคนนอนไม่หลับพร้อมกันในคืนเดียวถึงสามคน
คนแรกคือคุณหลวงพินิจราชอักษรเอง คุณหลวงหนุ่มนอนอยู่บนเตียงสี่เสากลางห้องนอนของเขานั้น หากแต่ใจยังไม่ยอมหลับแม้จะดับไฟทุกดวงแล้วก็ตาม คุณหลวงสวมเสื้อคอกลมสีขาวบาง กางเกงแพรจีนสวมสบาย นอนตะแคงหันหลังให้กับห้องน้ำที่อยู่ทางซ้ายของเขา มองไปยังที่ที่ มักมีคนมานั่งเป็นเพื่อนยามค่ำ อ่านกลอน หรือ กาพย์ โคลงให้ฟังทุกคืน ป่านนี้ หนุ่มน้อยผู้นั้นคงหลับสบายอยู่ที่เรือนบ่าว คงไม่ได้รู้เลยว่า นายหนุ่มจะนอนไม่หลับ ด้วยคิดถึงคะนึงหาเขาเพียงใด
พรุ่งนี้แล้วที่หลวงพินิจราชอักษรจะต้องเดินทางไปหัวหินกับเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ และ บ้านไพศาลเสนีย์ คุณหลวงหนุ่มไม่ได้ตื่นเต้นหรอกที่จะได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา หรือว่าจะได้ไปติดตามรับใช้ฝรั่งมังค่า เขากำลังครุ่นคิด และกังวลอยู่เต็มหัวใจ ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าของเส็ง ก่อนจะเดินทางออกหัวเมือง และจะไม่ได้พบกันอีกไปหลายวัน
วันนี้เจ้าคุณ และ คุณหญิงไพรัชกิจเดินทางมาพักอยู่กับเขาที่ห้องข้างๆนี้เอง ลูกชายจึงไม่กล้าให้บ่าวหนุ่มมารับใช้ปรนนิบัติถึงบนตึก ด้วยกลัวว่าใครจะล่วงรู้ความจริงในใจของเขาขึ้นมา
หลวงพินิจมั่นใจว่าเขารักเส็ง
เขาอาจรู้สึกเพียงสนใจ และเอ็นดูหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มของหนุ่มน้อยเมื่อครั้งแรกพบก็จริง แต่เมื่อยิ่งอยู่ด้วย ยิ่งรู้จัก ยิ่งได้ใกล้ชิดพอจะรู้นิสัยใจคอกันแล้วอย่างนี้ หลวงพินิจก็ยิ่งรู้สึกผูกพัน มากขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาเป็นความรัก และรักอย่างแรงกล้าจนไม่อาจอยู่ห่างบ่าวหนุ่มได้แม้สักวันเดียว
ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เส็ง หลวงพินิจจะรู้สึกอบอุ่น เหมือนเขาเป็นผู้ดูแล ปกป้องเลี้ยงดูบ่าวหนุ่มได้ เขาชอบที่จะเห็นดวงตามีความสุขเป็นประกายของหนุ่มน้อย เวลาเขาสอนทำอาหารฝรั่ง หรือ พาไปเดินเปิดหูเปิดตาที่ตลาดบางรักเมื่อไม่กี่วันมานี้ ชายหนุ่มชอบที่เส็งเป็นคนน่ารัก ง่ายๆ ไม่จองหองพองขนอย่างแก้วเมื่อเขาให้ความสนิทสนมด้วย เขาชอบที่เส็งเป็นคนซื่อๆคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ขยัน ใฝ่เรียนรู้ สอนอะไรก็จำได้ขึ้นใจ เข้าใจได้ตลอดลึกซึ้ง แถมยังฉลาด ทะเยอทะยานอยากได้ใคร่ดี หากแต่ไม่ก้าวร้าวจนดูไม่น่ารัก เขาชอบความสามารถของเส็ง ชอบความจริงที่ว่าเส็งเป็นคนเก่ง ทำงานฝีมือได้ ทำอาหารได้อร่อยถูกปาก ทำงานบ้านได้เรียบร้อย อ่านออกเขียนได้จะพัฒนาให้โตไปเป็นคนรับใช้สนิทกัน เป็นทนายหน้าหอของเขาก็คงเป็นไปได้สักวัน
เขาชอบน้ำเสียงอ่อนนุ่มราวเสียงดนตรี ยามเส็งขับเสภา หรือเอื้อนเอ่ยอ่านทำนองเสนาะให้เขาฟังทุกคืน ชอบที่เส็งรับฟังความทุกข์และปัญหาของเขา อย่างเพื่อน อย่างคนที่ห่วงใย ไม่ใช่ทำตามหน้าที่แบบเทิด หรือประจบประแจงแบบแก้ว หลวงพินิจชอบเส็งไปเสียทุกอย่าง
และที่ชอบมากที่สุด คือรอยยิ้มที่ใสซื่อ สะอาด จริงใจ ที่น่ารัก สวยงามราวกับภาพวาด แม้เส็งจะไม่ใช่คนหล่อเหลาแบบเขา แต่ยามพูดจา หรือยามยิ้ม จะดูน่ารักไปหมด จนหาที่ติไม่ได้ และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เอง ทำให้หลวงพินิจรู้แน่ว่า เขาไม่อาจขาดสิ่งเหล่านี้ไปได้สักวันในชีวิต
เพราะเขาตื่น เมื่อคิดว่าจะได้ตื่นมาเจอเส็ง
เขาอิ่ม เมื่อมีเส็งนั่งใกล้ๆ เวลากินอาหาร
เขาสนุก เมื่อได้สอนอะไรใหม่ๆ เมื่อได้พาเส็งไปดูโน่นดูนี่
เขามีความสุข เมื่อเห็นเส็งมีความสุข ได้หัวเราะ ได้ยิ้ม ไปกับเขา
เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อมีเส็งคอยปรนนิบัติพัดวี
เขาอุ่นใจ เมื่อมีเส็งอยู่ข้างๆ
เขาหลับได้เต็มอิ่ม เมื่อรู้ว่าหลับตาลงก็จะฝันถึงเส็ง
กิจกรรมทุกอย่างในชีวิตของเขาบัดนี้ หากไม่มีเส็งเป็นแรงผลักดัน ก็มีเส็งคอยทำให้ หรือทำไปด้วยกัน จนเคยชินเสียแล้วว่า เมื่อตื่นก็ต้องเจอเส็ง ก่อนนอนก็ต้องเจอเส็ง หันไปทางไหนก็ต้องเห็นเส็งตลอดเวลา ยังไม่มีสักวันที่เขาไม่ได้อยู่กับหนุ่มน้อยตั้งแต่รู้จักกันมา กระทั่งวันนี้
เขาจะพร้อมหรือเปล่า หากต้องไปอยู่ในที่อีกที่หนึ่งที่ไม่มีเส็งอยู่ด้วย แล้วเขาจะอยู่ได้หรือวันใดที่ข้างเตียงของเขาไม่ใช่เส็งที่นั่งอ่านเรื่องขุนช้างขุนแผนให้ฟัง หากแต่เป็น “ภรรยา” ของเขาที่นอนอยู่ร่วมกันแทน
คิดถึงแม่หยาดทีไรหลวงพินิจก็ไม่อาจทำใจให้เป็นสุขได้เลย เขาไม่อยากแต่งงานกับหล่อน เขาไม่ได้รักหล่อน เส็งต่างหากที่เขารักหมดใจ และหากทำได้ก็เป็นเส็งอีกนั่นละ ที่เขาอยากแต่งงานด้วย อยู่ด้วยไปตลอดชีวิต
แต่หลวงพินิจราชอักษรคนนี้จะทำอะไรได้ เขาไม่อาจฝืนใจพระยาไพรัชกิจ เขาต้องสืบสกุลนี้ต่อไป และไม่อาจนำความเสื่อมเสียมาสู่ตระกูลของเขาได้เลย การที่ชายรักชายในสยามนั้นเป็นเรื่องวิปริตเสียมากไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ แม้ในฝรั่งเศสก็ยังมีให้เห็นน้อยนัก ทำให้เขาไม่อาจอยู่กินกับเส็งได้อย่างออกหน้า ออกตา ทำได้ก็เพียงรักกันแบบหลบซ่อนไปวันๆเท่านั้น
แล้วเส็งมีใจให้เขาบ้างหรือไม่
เขาตอบไม่ได้เต็มปากว่าไม่ แต่ให้พูดว่าเส็งรักใคร่ผูกพันกับเขา หลวงพินิจก็พูดไม่ได้เช่นกัน เส็งมีท่าทีโอนอ่อนนอบน้อมภักดีกับเขาก็จริง แต่จะรักใคร่แบบชู้สาวด้วยหรือ เขาก็ไม่รู้ รู้แต่เส็งไม่ได้สนใจบ่าวผู้หญิงคนใดในบ้านหลังนี้เลยแม้สักคนเดียว แต่นั่นก็ไม่อาจใช้เป็นหลักประกันได้ว่า หากเขาบอกรักบ่าวหนุ่มคนนี้ เส็งจะรับรักเขาตอบด้วย
แต่อย่างน้อยได้ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายมิใช่หรือ
ก่อนไปหัวหิน หากได้บอกรัก ได้แนบอิงกับคนที่เขามีใจ ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย แต่เขาจะลุกไปหาเส็งถึงเรือนบ่าว เรียกให้ลงมาหาแล้วบอกรักหรือ บ่าวไพร่คนอื่นก็ต้องรู้เรื่อง แล้วถ้ารอถึงพรุ่งนี้เช้าเล่า เจ้าคุณพ่อ กับคุณหญิงแม่ก็ต้องรู้เรื่องเช่นกัน ... ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า
หลวงพินิจลุกขึ้นจากเตียง จินตนาการว่า เส็งอยู่ตรงหน้า
“เส็งรู้ว่าเราไม่อยากแต่งงานกับแม่หยาด รู้ว่าเรามีคนที่รักอยู่แล้ว เส็งยังเคยถามด้วยว่าคนคนนั้นเป็นใคร วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะบอก พร้อมแล้วที่จะให้เส็งรู้เรื่องทุกอย่างว่า... เรารักเส็งมากเหลือเกิน รักสุดหัวใจเท่าที่จะรักใครได้” คุณหลวงหนุ่มรำพึง
ทำอะไรอยู่ อ้ายแสง เอ็งจะบอกรักเขาดื้อๆอย่างนี้เทียวหรือ แล้วจะบอกเมื่อไหร่ อย่างไร มีเวลาหรือที่จะอยู่กับเส็งสองคน
หลวงพินิจส่ายหัว ไม่ไหว ทำอย่างนี้ไม่ได้
เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มองออกนอกหน้าต่างดูพระจันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงน้อยนิดราวจะบอกเขาว่า ความหวังที่เขาจะได้รักกับเส็งนั้นมีน้อยเหลือเกิน คุณหลวงหนุ่มลูบเตียง มองไปยังที่ที่เส็งมักนั่งอ่านหนังสือให้เขาฟัง หากเพียงแต่คืนนี้เส็งมาอ่านหนังสือที่นี่อย่างที่ทำทุกครั้งก็คงดี เขาคงได้บอกทุกอย่างที่เขามีในใจ
แล้วหลวงพินิจราชอักษรนึกขึ้นได้ในที่สุด... บ่าวไพร่อ่านหนังสือไม่ออก มีเส็งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อ่านหนังสือได้ หากไม่มีโอกาสบอกก็เขียนหนังสือให้ซี เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่องแล้วนอกจากเส็ง
ไวเท่าความคิด หลวงพินิจย่องออกจากห้องนอนไปยังห้องหนังสือที่อยู่ถัดจากห้องที่เจ้าคุณ และคุณหญิงไพรัชกิจนอนอยู่ เดินไปเปิดประตู และปิดอย่างเบาที่สุดไม่ให้เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ได้ยิน เขาหยิบกระดาษที่วางกองๆไว้อย่างไม่ใส่ใจบนโต๊ะ มาไว้ตรงหน้า หยิบปากกาขึ้นจรดหน้ากระดาษ แล้วเริ่มเขียนกลอนเพลงยาวให้เส็ง ขึ้นด้วยวรรครับตามขนบวรรณคดี
“กายจำต้องห่างแล้วแก้วตาพี่...”
เมื่อต้องนอนพลิกไป พลิกมาอยู่หลายรอบจะทำอย่างไรก็หลับไม่ลงสักที เส็งก็เลิกมุ้งมุดออกมาในที่สุด บ่าวหนุ่มคลำทางในความมืด เดินออกจากหอนอนมายังนอกชาน ด้วยความที่อุดอู้เหลือทน ไม่อาจอยู่ในหอนอนแคบๆรวมกับบ่าวอีกนับสิบโดยไม่อาจข่มใจให้หลับได้อีกต่อไป
หนุ่มน้อยลูกจีน เดินปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย ลงจากเรือนบ่าวมายังพื้นสนามหญ้า ลากเท้าผ่านต้นหญ้าที่ตัดไว้สั้นเตียนอย่างไม่กลัวงูเงี้ยว แม้จันทร์คืนนี้จะมืดเหลือเกิน แต่บ่าวหนุ่มก็กำลังว้าวุ่นในใจเกินกว่าจะมัวคิดระแวง ระวัง เขาเดินช้าๆไปที่ท่าน้ำริมคลอง นั่งหย่อนขาลงแม่น้ำอย่างสบายอารมณ์ แกว่งเท้าไปในน้ำอย่างที่คุณหลวงเคยแนะนำว่า ทำอย่างนี้แล้ว “สบายดี”
สบายน่ะคงสบายอยู่ เพราะน้ำในคลองเย็นสดชื่น อากาศคืนนี้ค่อนข้างอ้าวอยู่แล้ว จึงทำให้ยิ่งสบายใหญ่ หากแต่ใจของบ่าวหนุ่มน้อยไม่ได้สบายเลยแม้สักนิด
วันนี้เขาไม่ได้เข้ารับใช้ใกล้ชิดคุณหลวงอย่างที่ทำอยู่ทุกวันเลย เพราะคุณหลวงไปบางรักแต่เช้ากลับมาอีกทีก็เกือบบ่าย ซ้ำยังมาพร้อมเจ้าคุณ และ คุณหญิงไพรัชกิจอีกด้วย พอกลับมาถึงแล้วก็ขึ้นตึกอยู่กับเจ้าคุณพ่อคุณหญิงแม่ทั้งวัน เส็งพบคุณหลวงเพียงตอนยกอาหารเย็นไปให้เท่านั้น คุณหลวงพูดจากับเขาเพียงว่า “ขอบใจเส็ง อาหารน่ากินเหลือเกิน” ประโยคเดียว แล้วไม่ได้สนใจเขาอีกเลยจนเส็งต้องออกมานั่งรอที่ห้องหนังสือเหมือนเคย
แต่หลวงพินิจไม่ได้มาที่ห้องหนังสือ บ่าวหนุ่มจึงกลับเรือนบ่าว พอใกล้ค่ำ เส็งกลับมาที่เรือนเทา บ่าวที่เฝ้าอยู่ที่ประตูก็ว่า “คุณหลวงคุยกับเจ้าคุณ ไม่ให้ใครกวน” เส็งจึงเดินคอตกกลับมา นั่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ จะทำอะไรก็ไม่มีกะใจ จะคุยกับใครก็ไม่สนุกเท่าคุยกับคุณหลวง
คุยเรื่องส่วนตัวของกันและกันบ้าง ไม่อย่างนั้นก็คุยเรื่องวรรณคดี หรือความเป็นไปของบ้านเมือง เส็งได้ยินคุณหลวงเปรยๆอยู่วันหนึ่งว่า “ฝรั่งมังค่าเยอะเหลือเกิน เอาเงินเขามาแลกเงินสยาม เงินเหลือในท้องพระคลังน้อยเต็มที เห็นว่าพระพุทธเจ้าหลวงจะผลิตเงินกระดาษใช้แบบฝรั่ง แล้วให้ยกเลิกเงินเบี้ย เงินพดด้วง เพราะปลอมแปลงกันง่าย และไม่มีพอใช้จ่ายในประเทศ”
บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน มีโบสถ์มีวัดฝรั่งเต็มไปหมด ที่บางรักก็มีการทำทางลาดยางดูแปลกตาอย่างที่บ่าวหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนั้นก็ยังมีรถราง รถไฟอะไรไม่รู้เยอะแยะ คนเริ่มเดินทางทางเรือน้อยลงแล้ว เรือจ้าง เรือแจวก็ผ่านมานานๆครั้ง เส็งจะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก คุณหลวงเคยบ่นๆกับเส็งว่า
“ฝรั่งเศสมายึดจันทบุรีอยู่เป็นสิบกว่าปี เพิ่งยกทัพออกเมื่อวันที่ 8 มกราคม กลัวเหลือเกินว่าจะกลับมาอีก กลัวเสียเมืองให้ฝรั่งมังค่ามาปกครอง”
“เราทำอะไรไม่ได้เลยหรือขอรับ” เส็งถามอย่างอยากรู้ ด้วยเป็นห่วงบ้านเกิดเมืองนอน
“ทำซี ทำอยู่ พระพุทธเจ้าหลวงถึงได้ทรงพัฒนา เปลี่ยนแปลงประเทศเรา ให้ศิวิไลซ์ อย่างฝรั่งเขา จะได้มองว่าเราเจริญแล้ว ไม่ต้องมายึกครองเอาไป อย่างเมืองลาว เมืองเขมร” คุณหลวงตอบ “แปลก เส็งสนใจการบ้านการเมือง เราบ่นกับเทิด เห็นเทิดว่าแต่ อย่าวิตกไปขอรับ หรือไม่ก็ เดี๋ยวก็ดีเองขอรับ เราพูดด้วยไม่ได้อีก เดี๋ยวหาว่าวิตกเกินว่าเหตุ”
เส็งคิดถึงเวลาที่หลวงพินิจเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง และพาเขาไปเปิดหูเปิดตาที่โน่นที่นี่ เส็งอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้หลวงพินิจ
บ่าวลูกจีนเข้าใจว่า ชายไม่สมควรจะรักชายด้วยกัน แต่เขารู้สึกรักและผูกพันกับคุณหลวงเหลือเกิน การได้ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดกับคุณหลวงกลายเป็นสิ่งที่สนุกสนาน เพลิดเพลินไปเสียแล้ว มิใช่เป็นเพียงสิ่งที่บ่าวพึงปฏิบัติต่อนายตามหน้าที่อีกต่อไป
เส็งรู้สึกดี ภูมิใจทุกครั้งที่ได้ดูแล ปรนนิบัติคุณหลวง รู้สึกปลื้มใจเมื่อคุณหลวงกินอาหารที่เขาทำให้อย่างเอร็ดอร่อย จนต้องออกปากชมทุกครั้ง กระนั้นคุณหลวงก็ไม่ได้เป็นฝ่ายให้เขาดูแลอยู่ตลอด กลับคอยช่วยเหลือดูแลเส็งเป็นครั้งคราว อย่างไม่จำเป็นเลย ก็อย่างวันนั้นที่ห่มผ้าให้เขานั่นก็คราวหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็ยังพาเขาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา คอยประคองเวลาขึ้นเรือ ลงเรือ หลายครั้ง จูงมือเขาเดินเวลาอยู่ในสวนที่บ่าวไพร่คนอื่นไม่เห็น เมื่อเห็นว่าเขาเดินไม่สะดวกนัก
มีครั้งหนึ่งตอนเข้าสวนไปดูผลไม้ หลวงพินิจถึงกับเอื้อมมือปลดมะม่วงลงมาปอกเฉือนให้เส็งกิน ทำเอาบ่าวหนุ่มขวยเขินไปหมด นั่งกินกันอยู่ในสวนสองคนราวกับว่าเป็นสวนสวรรค์ของทั้งคู่ก็ไม่ปาน อีกครั้งก็ตอนเดินชมสวนดอกไม้ เส็งรำพึงว่าดอกจำปาลาว หรือดอกลั่นทมนั้นสวยเหลือเกินไม่น่าชื่อลั่นทมให้ไม่เป็นมงคลเลย หลวงพินิจก็เด็ดดอกลั่นทมมาให้เส็ง
“มันอัปมงคลก็แค่ชื่อเท่านั้น ถ้าชอบจะเด็ดให้ทุกวัน”
เพราะคุณหลวงไปอยู่ต่างประเทศมาเสียนานกระมังถึงได้ปฏิบัติตนเป็นสุภาพบุรุษเหมือนฝรั่งมังค่า ผิดจากนิสัยคนสยาม ที่เชื่อว่าผู้ชายเกิดมาเป็นนาย นั่งสบายให้ผู้หญิงดูแล ถึงอยู่ในฐานะนายจริงๆ คุณหลวงก็ยังอุตส่าห์มีใจดูแลเส็งบ้างเป็นอย่างดี บ่าวหนุ่มแทบจะอยู่อย่างสบายเกินไปเสียเอง
วันพรุ่งนี้แล้วอ้ายเส็ง วันพรุ่งนี้แล้วที่คุณหลวงของเอ็ง จะออกหัวเมือง ไปหลายวันจะกลับเมื่อไรก็ไม่รู้ เอ็งจะทนได้หรือ อยู่โดยไม่มีคุณหลวงได้หรืออ้ายเส็ง เขานึกในใจ
เส็งรักคุณหลวง เหลือเกิน อยากอยู่รับใช้ดูแลคุณหลวงไปตลอดชีวิต แม้อยู่ในฐานะบ่าว อ้ายเส็งคนนี้ก็ยอม คุณหลวงใจดี ดีกว่าใครที่เส็งรู้จัก เส็งจึงทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งภักดีจนไม่อาจทำอะไรล่วงเกินให้คุณหลวงเสียใจ และผิดหวังในตัวเขาได้
มีหลายครั้งเวลาถูกเนื้อต้องตัวกัน เส็งอยากจะอิงแอบแนบชิดคุณหลวงไว้อย่างนั้นทั้งวัน แต่ก็ยังเกรงว่าคุณหลวงจะหาว่าตีตนเสมอท่าน หรือหากคุณหลวงจะไม่คิดแบบเดียวกับเขา คุณหลวงจะพาลรังเกียจแล้วไล่ออกจากบ้านไปเสียจะเข้าไปบอกรัก อ้ายเส็งจะกล้าหรือ หากทำจริงๆแล้วไม่เป็นดังใจหวัง ได้ถูกเรียกว่าบัณเฑาะก์ ถูกตีตราว่าเป็นผู้วิปริตไปตลอดชีวิตเป็นแน่อ้ายเส็ง
เส็งจะรู้ไหมว่า หลวงพินิจก็คิดอย่างเดียวกันนี้ อยู่เช่นเดียวกันไม่ใกล้ ไม่ไกลเท่าไรเลย
บ่าวหนุ่มถอนใจ ลุกขึ้นจากท่าเรือหมุนตัวจะกลับเรือนบ่าว ก็เผอิญเห็นไฟบนห้องหนังสือยังเปิดอยู่ มันเพิ่งเปิดแน่ละ เพราะตอนเส็งลงจากเรือนบ่าว ตึกใหญ่ยังปิดไฟอยู่เงียบสนิท หนุ่มน้อยนึกขึ้นได้ว่าคุณหลวงเคยบอกว่า
“เวลานอนไม่หลับ จะมาอ่านหนังสือที่นี่”
คุณหลวงนอนไม่หลับเพราะเสียดายที่จะไม่เจอเขาจะเป็นไปได้หรือ หรือว่าตื่นเต้นเพราะจะได้ไปเที่ยวกับคู่หมั้น เส็งรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนเดินมาอยู่ตรงหน้าต่างห้องหนังสือเสียแล้ว เขาไม่ได้คิด ไม่ได้หวังแม้แต่น้อยว่าจะเห็นสิ่งที่ เขากำลังเห็นอยู่
หลวงพินิจราชอักษร มองจ้องไปยังเรือนบ่าว ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์เป็นที่สุด หากเส็งจะไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหลวงพินิจก็คิดถึงเขาอยู่เหมือนกัน จะเป็นเพราะเส็งเดินเสียงดัง หรือเพราะหลวงพินิจเห็นเขาจากหางตาก็ไม่อาจรู้ได้ คุณหลวงก้มลงมาพบกับเส็งที่ยืนแหงนหน้ามองเขาอยู่พอดี