๑๕
บ้านของจิตรา เกือบอยู่ในสภาพที่เหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรจากที่พาทิศเคยมาครั้งแรก หากจะต่างก็คงต่างที่พาทิศไม่ได้รู้สึกกลัวบรรยากาศวังเวงเงียบเชียบอย่างน่าประหลาดของที่นี่อีกแล้ว แม้การถือศีลแปดเพียง หนึ่ง อาทิตย์จะไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนสงบเยือกเย็นอย่างป้าจิตราได้ แต่อย่างน้อยก็สงบลงกว่าแต่ก่อนมาก ไม่รู้สึกบวก หรือลบมากเกินไปกับอะไรอีกแล้ว
ถึงจะบอกว่า หลังจากวันที่มาที่นี่ครั้งแรก ชายหนุ่มจะเริ่มถือศีลแปดเลยก็ตามแต่พอถึงเวลาจริงๆแล้ว พาทิศก็ทำไม่ได้ มาเริ่มทำเอาจริงๆก็เพิ่ง สามสี่ วันหลังจากนั้นมา เวลานัดกับจิตราจึงคลาดเคลื่อนมาเป็นวันนี้ทั้งที่ควรเป็นตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว
หลายๆข้อสำหรับพาทิศไม่ใช่เรื่องลำบากนัก ฆ่าสัตว์ พาทิศไม่ฆ่าอยู่แล้วหากแต่ต้องระมัดระวังมากขึ้นเวลายุงกัดจะตบก็ไม่ได้ เห็นมดจะเอามือบี้อย่างเคยชินก็ไม่ได้ ข้อสองลักทรัพย์พาทิศก็ไม่เคยขโมยของใครอยู่แล้วผ่านไปได้สบาย ข้อสามเป็นไปได้ลำบากหน่อย เพราะสำหรับศีล แปด ข้อสามไม่ใช่แค่ไม่ผิดลูกเมียคนอื่น แต่ต้องเว้นจากการเสพเมถุนโดยสิ้นเชิง เมื่อมาอยู่กับณัฐก็ยิ่งทำได้ยาก พาทิศไม่ใช่พระอิฐ พระปูน เวลาถูกเนื้อต้องตัวณัฐหลายครั้งที่เขาเกิดความต้องการทางเพศ แต่ก็ต้องระงับเอาไว้อย่างนั้น จริงๆก็ไม่ถือว่าทำยากเท่าไหร่ ข้อพูดปดยากหน่อยแต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้สบายๆ ข้อสุดท้ายเว้นจากเหล้าบุหรี่ ข้อนี้ยิ่งง่ายที่สุดเพราะเหล้าบุหรี่เป็นเพียงของที่พาทิศเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเรื่องสังคมไม่ได้ติดอย่างที่หลายๆคนมักจะเป็น ดังนั้นเมื่อตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก
แต่พูดว่าไม่ลำบากก็ไม่ได้หมายความว่าทำได้ดีสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ โดยเฉพาะ ข้อสาม ข้อสี่ ข้อห้า ที่มักมาพร้อมกันหากมีเรื่องของเพื่อนมาเกี่ยวข้อง เพราะนั่นหมายถึงงานสังสรรค์ การพูดคุยหยาบคาย ลามก เหล้าบุหรี่ และจบลงบนเตียง อย่างเมื่อวันแรกๆที่คิดจะถือศีล พวก วรวิทย์ พิพัฒน์ และ เลมอน ก็มาเยี่ยมพาทิศถึงบ้านเมื่อรู้ข่าวกันว่าพาทิศกลับมาแล้ว จะรู้จากไหนไม่รู้แต่มาถึงบ้านในเช้าวันหนึ่งพร้อมของสำหรับงานเลี้ยง แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงอาหารอย่างเดียว แต่หมายถึงเหล้า เบียร์ ของเมาทั้งหมดทั้งสิ้นด้วย
พาทิศ เล่าให้ณัฐฟังเรื่องที่เขาคุยกับป้าจิตราแล้ว เพื่อนหนุ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็เห็นใจมากกว่าจะคัดค้าน พาทิศจึงตกลงกับณัฐไว้ว่า จะไม่บอกใครเรื่องนี้อีก ให้คนที่รู้มีเพียง จิตรา สร้อยฟ้า และ ณัฐ สามคนเท่านั้น เมื่อเพื่อนๆคนอื่นมาเยี่ยมพาทิศจึงบอกแค่ว่า
“ไปเที่ยวมา ตอนนี้กลับมาแล้ว” เท่านั้น
พาทิศพาเพื่อนๆ เดินดูบริเวณรอบๆบ้าน มีเลมอน และ พิพัฒน์เท่านั้นที่รู้สึกชอบบ้านหลังนี้ ส่วนวรวิทย์บอกว่าคร่ำครึไม่น่าอยู่ แต่ไม่มีใครกลัว เหมือนอย่างตอนที่พาทิศมาอยู่ใหม่ๆ
วันนั้น เพื่อนๆ ทำบาร์บีคิวกินกันที่ลานสนามหน้าบ้านนั้น พาทิศยืนมองห่างๆ เห็นเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่เสียบไม้ปิ้งกับสับปะรด พริกหวาน มะเขือเทศก็น้ำลายสอ พิพัฒน์ทำบาร์บีคิวอร่อยกว่าทุกคนที่พาทิศรู้จัก ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย อยากกินก็กินไม่ได้เพราะต้องกินมังสวิรัติ
จริงๆแล้วอาหารมังสวิรัติไม่ลำบากสำหรับพาทิศ เพราะ มังสะ คือเนื้อหนัง วิรัติ คืองด กินมังสวิรัติ ก็คืองดกินเนื้อหนังเท่านั้น นม ไข่ เนย พาทิศยังกินได้ปกติ เขายังไม่รู้สึกแปลกหรือขาดนัก เมื่อณัฐทำ ขนมปัง ไข่ดาวให้กินทุกวันตอนเช้า กลางวันพาทิศกินเบเกอรี่ได้ทุกอย่างรวมไปถึงพวกพาสต้าหรือก๋วยเตี๋ยว แค่เอาเนื้อสัตว์ออกก็ไม่เป็นปัญหาอะไรแล้ว เห็นได้ว่า พาทิศไม่กินผักเลยสักมื้อ มีปนมาได้ แต่ไม่กินเป็นอาหารหลักอย่างป้าจิตราที่กินแต่ผัดผักหรือ สลัดผักอย่างนั้น
พอเห็นเพื่อนๆทำบาร์บีคิวกินกัน พาทิศก็อยากกินบ้าง พอชายหนุ่มหยิบเนื้อย่างมาไม้หนึ่งไม่ทันจะกิน ณัฐก็ส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้แทน
“ไอ้ทิศกินมังโว๊ย ไม่ต้องให้มันแดกเนื้อนะ ใครเห็นมันกินเนื้อ ถีบมันได้มันบอกกูว่าอนุญาต”
ด้วยเหตุนี้ พาทิศจึงกินได้แต่สับปะรดย่างกับซอสบาร์บีคิว ชายหนุ่มส่งค้อนให้ณัฐ ฝ่ายนั้นก็ขยับปากเป็นคำว่า “แล้วแต่ จะกินก็ได้นะ” แบบพ่อแง่แม่งอน พาทิศจึงอดเซ็งไม่ได้
พอหมดมื้ออาหาร ห้าหนุ่มก็เข้าบ้านนั่งคุยกันเรื่องต่างๆ เลมอนอาสาชงเหล้าให้เพื่อนๆ พอส่งให้พาทิศณัฐก็แย่งออกไปจากมือ
“เอ้า ทำไมล่ะเหล้าไม่มีเนื้อสัตว์”
“สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ศีลข้อห้างดเหล้า และของมึนเมาทุกชนิด” ณัฐว่า เพื่อนๆคนอื่นเริ่มรู้สึกงานกร่อย โดยเฉพาะวรวิทย์เพื่อนสนิทที่สุดของพาทิศที่เป็นคนรักสนุกชอบเที่ยวชอบเล่น ถึงกับนั่งหน้าหงิกไม่พูดไม่คุยกับใคร
“ไอ้ทิศ เป็นเหี้ยไรวะ” พิพัฒน์เอ่ยปากถาม “ไม่แดกเนื้อ ไม่แดกเหล้า... ท้องเหรอมึง”
“ท้องเหี้ยไร” พาทิศตอกกลับ แต่ณัฐก็มองตาขวางมาอีก ทำนองว่า ศีลข้อสี่ ห้ามพูดปด หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ทำให้ชายหนุ่มต้องนับ หนึ่งถึงสิบในใจ ตอบโต้ด้วยเสียงเรียบ ไร้อารมณ์ใดๆ “ผมถือศีลแปดอยู่ครับ”
ทั้งโต๊ะหัวเราะกันครืน
“ถือทำไม คนอย่างมึงเข้าไปถ่ายรูปในวัดยังไม่เข้า มาถือศีลหาอะไรที่บ้าน” เลมอน ถามแกมส่อเสียดถากถางด้วยคำพูด
พาทิศจะอ้าปากตอบ ณัฐก็รีบแย่งพูดเพียงว่า “แก้บน” กลัวเลมอนจะถามว่าบนอะไรอีก ณัฐก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยอะไรสัพเพเหระเองสุดท้ายเพื่อนก็ไม่ใส่ใจ และ ลากลับบ้านกันทีละคน โดยไม่กลับมาอีกเลย เหมือนคำทำนายเซียมซี ที่พาทิศลืมทิ้งที่วัด แต่เก็บมาด้วยอยู่ในกระเป๋ากางเกงไม่มีผิด “ถามเพื่อนฝูงจะห่างหายไม่เห็นหัว”
ชายหนุ่มยังไม่ได้บอกณัฐว่าใบเซียมซีที่เก็บมาจากวัดยังนอนอยู่ในลิ้นชักห้องนอนอย่างลืมเอาไปทิ้ง
ตอนกลางคืน เป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดสำหรับพาทิศ หนึ่งเพราะเขากินข้าวเย็นไม่ได้ สองเขาต้องนอนพื้นจะนอนบนเตียงกับณัฐก็ไม่ได้ สุดท้ายดูหนังฟังเพลงพักผ่อนหย่อนใจก็ไม่ได้ พาทิศบ่น ไม่อยากทำเริ่มเหนื่อยกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่พอณัฐถามว่า “แล้วถ้าหลับฝันไปอีก อยากตายไปเลยหรือไง” ชายหนุ่มก็เงียบ เขายังกลัวข้อนี้อยู่มากที่สุดจึงยังมุ่งมั่น ถือศีลแปดอย่างเคร่งครัดเท่าที่จะทำได้รอวันไปฝึกกรรมฐานกับป้าจิตรา
พาทิศไปหาพ่อแม่ หลังจากวันที่ไปหาป้าจิตรามาแล้ว พ่อแม่เขาตกใจมากที่เห็นลูก พอๆกับที่รู้ว่าลูกหายไป แต่จะร้องไห้เสียใจตัดพ้อต่อว่า พาทิศก็รู้ดีว่าคุณนาย เพลงพิณ ดีใจเหลือล้นที่ได้เห็นหน้าลูกชายอีกครั้ง
“คุณแม่ตกใจแทบแย่ค่ะ ตอนที่ติดต่อคุณลูกไม่ได้ ตัดใจไปแล้วเสียอีกว่าชาตินี้ ก็คงไม่เจอ” พาทิศบอกแม่ว่าไปถือศีลกับป้าจิตรา และก็กำลังถืออยู่ คนเป็นแม่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย
“แล้วทำไมไม่บวชเสียเลยล่ะคะคุณลูก คุณพ่อ คุณแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์”
“ผมยังบาปเยอะอยู่ครับ อยากให้มันน้อยลงกว่านี้ ฝึกสมาธิอะไรไปกับป้าจิตราก่อนแล้วว่าจะบวชครับ” ตอบไปอย่างนั้นไม่ได้คิดว่าจะบวชจริงๆ แต่คุณนายเพลงพิณได้ยินแล้วก็ได้ปลื้ม จะลอยขึ้นสวรรค์ตามไปจริงๆ
“ช่วงนี้ผมจะไปถือศีลที่บ้านป้าจิตราอีก แล้วก็ผมจะตัดขาดจากการติดต่อกับโลกภายนอก อาจจะสักเดือนหนึ่ง คุณแม่อย่าเป็นห่วงนะครับ ถ้าจะโทร โทรถามณัฐก็ได้ ผมอยู่กับณัฐตลอดเวลา”
“คุณแม่ได้ยินก็ดีใจ คุณลูกตัดทางโลกได้ก็ดีแล้ว คุณแม่ไม่เห็นด้วยแต่แรกที่ไปกินเหล้า สังสรรค์อะไรกับเจ้าวรวิทย์น่ะ” คุณนายเพลงพิณ ทำเสียงสะบัด ราวกับเล่นละครวิทยุอยู่ “ทำแบบนี้ก็ดี ยังไงแม่ฝากตาชายไว้กับลูกณัฐด้วยนะลูก”
“ครับ คุณน้า”
“อู๊ยยย เรียกแม่เถอะจ้ะ คุณแม่ไม่ถือ” เพลงพิณส่งตาแบบรู้ทันให้ณัฐทำนองว่า หล่อนสนับสนุนให้คบกันไปแบบนี้ได้ ไม่เป็นไร แต่พ่อของพาทิศที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างหลังก็กระแอมอย่างหมั่นไส้ ราวจะต่อว่า ว่าส่งเสริมลูกเกินไป คุณนายเพลงพิณก็ทำหน้าเบ้
“ผมลาล่ะครับคุณแม่” พาทิศกราบแม่ จนคุณนายต้องหันไปมองหน้าสามีอย่างประหลาดใจที่ลูกเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ “หากผมทำอะไรให้คุณพ่อ คุณแม่ต้องเคยทุกข์ใจ เสียใจมาก่อน ผมต้องขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ผมด้วย”
“ตายแล้ว พูดอะไรอย่างนั้น ทำอย่างกับจะตายจากกันไปไหนงั้นล่ะค่ะคุณลูก” หล่อนวี๊ดว๊าย “... แต่เอาเถอะ แม่อโหสิกรรมให้”
“อโหสิกรรมให้ผมนะครับ คุณพ่อ”
ผู้เป็นพ่อลอบถอนใจเบาๆ เพราะคิดว่านี่คงเป็นอีกนิสัยศิลปินของลูกชาย เดี๋ยวถือศีลจนเบื่อแล้ว ก็จะเปลี่ยนไปสนใจ ไปทำอย่างอื่นแทน หลังจากเป็นอย่างนี้มาตลอด แต่เขาก็ลูบหัวลูกเบาๆก่อนจะบอกว่า “พ่ออโหสิกรรมให้”