ไปต่อกันครับ
*************************************************************************************************
๒๕
พอเจ้าคุณพายเรือลับตาไปแล้ว มั่นก็พาเส็งไปยังเรือนไม้หลังเล็กที่อยู่ลึกเข้าไปในสวน
เส็งไม่เคยรู้ว่ามีเรือนหลังนี้ อยู่ในอาณาเขตของหลวงพินิจราชอักษรด้วย เพราะเขาไม่เคยเข้ามาในสวนลึกถึงเพียงนี้ จากตรงนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจะเห็นคุณหลวงเลย แม้แต่เรือนเทาเส็งก็ไม่อาจมองเห็นได้อีก ต้นไม้สูงลิ่วแผ่กิ่งก้านใบปกคลุมศีรษะไว้ทำให้ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่อาจเห็นอะไรได้นอกจากต้นไม้ และฟ้าครึ้มดำที่ส่งเสียงคำราม และโปรยปรายสายฝนลงมาไม่ขาด
บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเล็กๆ ปลูกแบบเพิงไม้ธรรมดาไม่ได้สวยงามหรือยิ่งใหญ่เท่าเรือนเทาที่หลวงพินิจอาศัยอยู่ รอบๆบ้าน มีเล้าไก่ที่บัดนี้ไม่มีไก่อยู่แล้ว วางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ มีแคร่ไม้วางอยู่ใกล้ๆกันเต็มไปด้วยข้าวของที่เก่าเก็บแทบไม่ใช้ แม้ตอนมั่นเปิดประตู ก็แทบจะต้องพังประตูเข้าไปเสียด้วยซ้ำ ด้วยความที่ฝืดอย่างที่ไม่ได้เปิดใช้มานานแล้ว
เส็งเดินเข้าบ้านไปอย่างหมดอาลัย แม้ฝุ่นจะเยอะ และกลิ่นจะอับอย่างไรหนุ่มน้อยก็แทบจะไม่ได้สนใจ เดินเข้าไปหาตั่งไม้เล็กๆพอนอนทอดกายได้คนเดียว แล้วหย่อนก้นนั่งอย่างหมดอาลัย เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ได้ยินเสียงฝนตกซู่อยู่ข้างนอกดังอยู่ไม่ขาดสาย มั่นจะพูดอะไรเขาก็จับใจความได้กระท่อนกระแท่น ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง สนใจบ้างไม่สนใจบ้าง เพราะมัวแต่เป็นห่วงคุณหลวงของเขาสุดหัวใจ
“ตอนยังไม่มีเรือนเทา สวนแห่งนี้ก็เป็นของเจ้าคุณไพรัชกิจอยู่แล้ว แกสร้างบ้านหลังนี้ไว้ให้คนสวนอยู่ คอยส่งผลไม้ขาย พอคุณหลวงมาสร้างเรือนเทา สร้างเรือนบ่าวไว้ก็ให้พวกเราที่เป็นบ่าวดูแลสวน คนสวนเก่าก็เลยกลับไปอยู่บ้านกับลูกเมียที่หัวเมือง พอบ้านไม่มีคนอยู่ก็ปิดเอาไว้อย่างนี้ ไม่ได้ทุบทิ้ง”
มั่นว่า พลางหาผ้าโยนมาให้เส็งเช็ดเลือดที่จมูก และเช็ดตัวให้แห้ง หนุ่มน้อยรับผ้ามาไว้ก็จริงแต่รับมาถือไว้เฉยๆ ไม่ได้เช็ดตัวอย่างที่บ่าวหนุ่มรุ่นพี่ตั้งใจ เขานั่งแหงนหน้าพิงเสาไม้ตรงนั้น ปล่อยสายตาเหม่อลอยอย่างหมดอาลัย
“จะมานั่งเสียใจก็ไม่ทันแล้วละเส็ง” มั่นกล่าวอย่างตำหนิ พลางยอบตัวนั่ง เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม ผู้ฟังได้ยินประโยคนั้นก็ข้องใจ ขมวดคิ้วด้วยไม่เข้าใจคำพูดของบ่าวรุ่นพี่สักนิด “ข้าเตือนเอ็งแล้วหรือไม่ใช่ ว่าให้เลิกเสียก่อนที่เจ้าคุณจะรู้”
เงียบ ไม่มีใครว่าอะไร กระทั่งเส็งถอนใจออกมานั่นละ มั่นจึงพูดต่อ
“แต่เอาเถิด ในเมื่อเรื่องมันก็เป็นเช่นนี้ไปแล้วจะแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ เสียแล้ว” มั่นกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากเรือน ปิดประตูไม่ถึงนาที ก็เปิดกลับเข้ามาใหม่ “เย็นนี้จะยกกับข้าวมาเอง อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
เส็งไม่ตอบ ไม่พยักหน้า หรือส่ายหน้าอย่างที่คุณหลวงชอบทำตามธรรมเนียมฝรั่ง เพียงแต่นั่งนิ่งไม่สนใจมั่นอีกต่อไปแล้ว บ่าวหนุ่มรุ่นพี่จึงถอนใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะออกมาจากบ้านไม้หลังเล็กนั้น
มั่นเดินออกมาจากบ้านก็พบว่าฝนเริ่มจะหยุดตก กระนั้นก็ยังปรอยๆอยู่ให้ตัวเปียกอีกครั้ง มองไปเบื้องหน้าฟ้าก็มืดเสียเหลือเกินแล้ว ไม่รู้ว่าเย็นค่ำอย่างไร ก็รีบเดินกลับเรือนบ่าว เผื่อว่าเย็นแล้วได้ช่วยบ่าวคนอื่นๆทำงานให้เสร็จก่อนมืดค่ำ พอโผล่พ้นออกมาจากสวนก็เห็นแก้วลงจากเรือนกำลังจะตรงสวนมาทางเดียวกับเขา มั่นจึงออกมาขวางไว้ ขมวดคิ้วเข้าอย่างสงสัย
“เอ็งจะไปไหน”
แก้วไม่เห็นมั่น แต่เมื่อได้ยินก็สะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขึ้นมาเห็นบ่าวหนุ่มร่างใหญ่ ก็ยืนนิ่ง รวบรวมสติ เอ่ยเบาๆว่า
“จะไปหาอ้ายเส็ง”
“ไปทำไม” มั่นก้าวเข้าไปหาบ่าวสาวน้อยอย่างหาเรื่อง เพราะคิดว่าหล่อนคงจะไปเพื่อหาเรื่องเส็งเป็นแน่ หากแต่เมื่อเข้าไปใกล้ และเห็นสายตาของหล่อนแล้วเขาก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
ไม่มีเปลวไฟแห่งความริษยาอยู่ในแววตาของแก้วอีกแล้ว หล่อนจ้องหน้าเขาด้วยแววตาอย่าง “ผู้แพ้” เพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ทำไปทั้งหมด นั้นเป็นความโง่เขลาของหล่อนเองแท้ๆ สุดท้ายเมื่อหลวงพินิจถูกแยกกับเส็งจริง หล่อนกลับต้องมาเสียใจแทนที่จะสะใจว่าแยกหลวงพินิจกับเส็งได้แล้วในที่สุด หล่อนเป็นคนชอบเอาชนะ ชอบกลั่นแกล้งก็จริง แต่จะอยากทำร้ายให้ถึงชีวิตหรือเจ็บจนหมดสติแบบนี้หล่อนไม่เห็นชอบด้วย เมื่อรู้ว่าทั้งคุณหลวงและเส็งต้องทุกข์ร้อนอย่างนี้ หล่อนก็กลัวบาปขึ้นมาทันตา จะพูดอธิบายก็กลัวมั่นไม่เข้าใจ จะไม่ตอบก็เดี๋ยวจะถูกมองว่าร้ายเกินไปอีก หล่อนจึงตัดสินใจพูดตามแนวหล่อนว่า
“ฉันจะไปคุยกับมันเรื่องวันนี้” หล่อนกระแทกเสียง แต่ทำได้ไม่แข็งกร้าวเท่าที่ผ่านมานัก “ให้มันรู้ว่าฉันไม่ได้ฟ้อง ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดอะไรอย่างนี้ขึ้น”
มั่นมองหน้าขาวเหลืองจิ้มลิ้มอย่างสาวพระนครที่กำลังโตเป็นสาวรุ่นเต็มที่ หญิงสาวตรงหน้าเขาสวยเหลือเกิน หากเพียงแต่ใจของหล่อนจะสวยได้เท่ารูปกายละก็ แก้วจะเป็นคนที่ชายหลายๆคนหมายปองทีเดียว
อยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้กลัวเสียฟอร์มจึงพูดเสียงแข็งตามเดิมว่า
“จะไปพูดซ้ำเติมมันอีกทำไม คนมันเจ็บพอแล้ว ไม่ต้องไปว่าอะไรกับมันดอก ให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ ข้าสงสารมัน”
แก้วหลบตามั่น คำว่า “เจ็บพอแล้ว” ของเขานั้นดูเหมือนหล่อนจะมีส่วนร่วม มีส่วนรู้เห็นอยู่เหมือนกัน จึงรู้สึกผิดพอจะสบตาบ่าวหนุ่มตรงหน้าหล่อนตรงๆ
“ฉันรู้นะพี่ว่าฉันผิด” หล่อนเอ่ยอย่างไม่อยากยอมรับนัก “อยากให้มันเข้าใจว่าฉันไม่ได้ตั้งใจให้ทั้งคุณหลวง ทั้งมันต้องมาเจ็บถึงเพียงนี้ ฉันจะแกล้งเพราะไม่ชอบ เพราะหมั่นไส้ก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องจะทำร้ายจะฆ่าจะแกงกันนั้นไม่มี”
มั่นได้ยินก็คลายสีหน้าบึ้งตึง เกือบจะเป็นยิ้มเป็นครั้งแรกที่คุยกับหล่อน
“คิดได้ก็ดีแล้ว แต่เส็งคงไม่อยากเจอเอ็งตอนนี้ ข้าจะไปบอกให้เอง”
แก้วยิ้มเจื่อนๆ อยากยิ้มอย่างสวยงามและสดใสก็ทำไม่ได้ด้วยรู้ตัวว่ามีความผิดติดอยู่ยังไม่คลายไป
“แล้วก็อยากจะบอกมันว่า ไม่มีใครไปดูคุณหลวงเลย ทุกคนกลัวพี่เทิดจะไปฟ้องเจ้าคุณ” หล่อนกระซิบเบาๆ “คุณหยาดเธอก็คงเสียใจ ปิดประตูลงกลอนอยู่ในห้องยังไม่ออกมา ฉันจะตามเส็งไปหาคุณหลวง คุณหลวงเธอคงอยากเจอมัน”
มั่นเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ ยังไม่ทันที่จะถามอย่างไม่ไว้ใจ แก้วก็เป็นฝ่ายกล่าวแก้ตัวเสียเอง
“ไม่ได้มีแผนอะไร หรือจงใจจะแกล้ง ฉันผิดฉันก็อยากแก้ไข แล้วคุณหลวงก็คงจะไม่ได้เจอมันอีกเพราะพี่เทิดจะมาอยู่ที่เรือนเทาเสียเองนับจากนี้” หล่อนว่า “แต่ป่านนี้พี่เทิดคงกลับแล้วพี่มั่นไปตามเส็งเถอะ”
มั่นรับคำอย่างเข้าใจก่อนที่แก้วจะเดินกลับไปเรือนบ่าว เขาก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้า โพล่งออกไปจนได้ทั้งที่ห้ามใจแล้ว ว่าอย่าพูดออกไปเทียว
“แก้ว เอ็งคิดได้ก็ดีแล้ว หวังว่าเอ็งจะตัดใจจากคุณหลวงได้ แล้วสนใจคนรอบข้างเอ็งบ้างสักทีนะ” เขาว่าเสร็จก็เงียบรอฟังคำจากอีกฝ่าย
“สนใจไปก็เท่านั้น คงไม่มีใครอยากได้ฉันดอกพี่มั่น” หล่อนว่า “ฉันคงถูกมองไม่ดีเสียแล้ว”
“สำหรับข้าคนที่ผิดและกลับใจ ประเสริฐกว่าคนถูกอย่างไม่เคยผิดมากนัก” พูดไปแล้วจะเอาคำพูดกลับมาก็ไม่ได้จึงได้แต่ยืนหลบตา แก้วยิ้มให้อย่างเศร้าสร้อย แล้วจากไปในที่สุด ส่วนมั่นเองพอหล่อนเดินไปลับตาแล้วก็หันกลับจะไปตามเส็ง… เขาไม่แน่ใจว่าเห็นเทิดเดินลงมาจากเรือนเทาหรือไม่ ชั่วขณะที่หมุนตัวจะเดินกลับไปบ้านในสวนนั้นเอง พอมานึกย้อนไปอีกทีก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าร่างดำๆตะคุ่มๆนั้นใช่เทิดหรือไม่ แต่เขาเห็นจริงหรือ เทิดบอกว่าจะมาอยู่ที่เรือนเทาก็จริง แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่วันนี้ แล้วทนายหนุ่มจะมีธุระอะไรที่ต้องขึ้นไปบนเรือนเทาด้วยเล่า ในเมื่อหลวงพินิจก็ไม่อยู่ ซ้ำคุณหยาดเธอก็อยู่ของเธอคนเดียวทั้งบ้าน
เส็งมือสั่นไปหมด เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของหลวงพินิจราชอักษรพยายามประคองให้นายหนุ่มลุกขึ้นนั่งแต่ด้วยแรงเท่าที่มีเส็งทำได้เพียงย้ายหลวงพินิจจากที่พื้นขึ้นมาอยู่บนตัวเขาเท่านั้น ทั้งคู่ยังคงอยู่ติดพื้นจะประคองให้ลุกยืนให้ได้ก็ไม่สามารถ เนื้อตัวทั้งคู่เปียกฝน และเปื้อนโคลนไปหมด สภาพดูน่าสมเพชไม่ต่างจากสัตว์สี่เท้าน้อยใหญ่ที่คลุกดินคุลกฝุ่นให้ตัวเปื้อนแล้วก็ไม่รู้จักอาบน้ำ อย่างไรอย่างนั้น
บ่าวหนุ่มไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่าจะมีคนใจร้ายพอที่จะไม่เข้ามาช่วยหลวงพินิจ ทั้งที่เขาก็เป็นนายซ้ำยังเลี้ยงดูบ่าวทุกคนในบ้างเป็นอย่างดี พอมาถึงเวลาจริงๆกลับไม่มีใครกล้าตอบแทนบุญคุณ เพียงแค่เข้ามาช่วยพยุงให้พ้นไปจากฝนเท่านั้น แต่คิดๆไปบ่าวไพร่คนอื่นก็คงทำถูกแล้ว เพราะต่อให้หลวงพินิจมีอำนาจใหญ่โตเพียงใดในบ้าน แต่เจ้าคุณไพรัชกิจย่อมมีอำนาจมากกว่า ด้วยเจ้าคุณเป็นพ่อแท้ๆของคุณหลวง เมื่อสั่งอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น จะฝ่าฝืนไม่ได้เด็ดขาด
ดวงหน้าของหลวงพินิจราชอักษรยังคงนอนนิ่งดูซีดเซียว อ่อนเพลียเพราะถูกเฆี่ยนเจ็บไปหมด จนไร้สตินอนสลบเพราะทนความเจ็บปวดที่แผลไม่ไหว เจ้าคุณโบยคุณหลวงหนุ่มไปกี่ครั้งก็ไม่มีใครนับ รู้แต่เป็นสิบๆครั้ง เผลอๆจะถึงร้อยก็เป็นได้ อย่างนี้แหละที่เขาว่า ยิ่งรัก ก็ยิ่งแค้น
เส็งปัดเศษดินออกจากดวงหน้าของหลวงพินิจ ดวงตาของบ่าวหนุ่มแดงก่ำหากแต่ไม่ได้ร้องไห้ ส่วนหนึ่งเพราะร้องมานานมากจนหมดน้ำตาแล้ว แต่อีกส่วนคือเขายังมีความอุ่นใจแฝงอยู่แม้เพียงน้อยก็พูดได้ว่าอุ่นใจ ... อุ่นใจที่เขายังมีคุณหลวงอยู่ในอ้อมอก ได้กอดตระกองคุณหลวงไว้อีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
“คุณหลวงของบ่าว” เส็งกระซิบก่อนจะแนบหน้าของเขาลงบนหน้าของคุณหลวงแนบสนิทหลับตาพริ้มด้วยความรัก หากหยุดเวลาได้ เขาก็จะหยุดไว้เสียตอนนี้ เพราะจะย้อนอดีตไปในตอนที่รักกันนั้นย่อมไม่ได้แล้ว แต่อนาคตก็น่ากลัว มืดมนจนเดาอะไรไม่ออก เส็งจึงไม่อยากไปเผชิญ เขาอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ ให้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างนี้ตราบนิรันดร์
ฝนยังไม่หยุดตก ลมก็กระหน่ำพัด แรงขึ้นแรงขึ้นจนเส็งรู้สึกตัว ร้องหามั่น
“พี่มั่น พี่มั่นมาช่วยกันหน่อย พยุงคุณหลวงขึ้นเรือนที”
มั่นไม่รอให้เรียกซ้ำ แม้เขาจะเบือนหน้าไม่มองเส็งกอดหลวงพินิจไว้อย่างนั้น แต่พอบ่าวรุ่นน้องเรียก เขาก็ตัดสินใจตรงเข้าไปหิ้วปีกหลวงพินิจกึ่งลากกึ่งประคองขึ้นเรือนเทาไป... เรือนเทาที่เส็งจะไม่ได้มาเหยียบอีก เส็งนึกในตอนนั้น สถานที่แห่งความทรงจำ บัดนี้เขาได้มาเหยียบมันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกหรือไม่
ทันทีที่ลากหลวงพินิจเข้าบ้านไป เส็งก็พบกับหยาด ยืนอยู่ที่หัวบันได
หล่อนมองเส็ง มองอย่างไม่เหมือนนายเก่าพึงมองบ่าวที่เคยชอบใจหนักหนา หากแต่มองด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับว่าเส็งเป็นเพียงหนอนแมลง น่าเกลียดที่มาคลานอยู่ในบ้านของหล่อนเท่านั้น แม้เสียงที่ผ่านลำคอของหล่อนก็เรียบเฉย เย็นชาจนเส็งไม่แน่ใจว่า ใช่เสียงของนายเก่าเขาจริงๆหรือ
“เอ็งเข้ามาอีกทำไม” หล่อนเดินตรงเข้ามา “พยุงคุณหลวงมาทำไม เจ้าคุณไพรัชกิจสั่งไว้อย่างไรก็ได้ยิน ยังจะหน้าด้านพาเข้ามาอีกหรือ”
เส็งขี้เกียจตอบ จึงเดินเลยตัวหล่อนไปอย่างไม่ใยดี ประคองหลวงพินิจขึ้นบันไดไปชั้นบน แต่หยาดก็ยังจะเดินแซงมา ยืนขวางอยู่ข้างหน้า ถามเส็งด้วยน้ำเสียงเดิมที่ทำให้เส็งเริ่มรู้สึกน้อยใจ รำคาญใจอยู่กลายๆ
“ว่าอย่างไร เจ้าคุณสั่งแล้วมิใช่หรือ ว่าไม่ให้ใครช่วย...”
“เจ้าคุณเธอไม่ได้เห็นลูกชายจับไข้ตายต่อหน้านี่ขอรับ แล้วคุณหยาดเองต่อให้เห็นสามีเป็นอย่างนั้นก็คงทนได้กระมัง แต่บ่าวเห็นคุณหลวงของบ่าวเป็นอะไรไปไม่ได้ดอกขอรับ” เส็งเด็ดเดี่ยวเดินผ่านหยาดไปอย่างไม่สนใจหล่อนนัก ลากหลวงพินิจเข้าห้องนอน พาเข้าไปถึงห้องน้ำแล้วก็หันมาพูดกับมั่น “ฉัน จะเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าให้คุณหลวง”
“อย่างนั้น ข้ากลับเรือนบ่าวก็แล้วกัน” บ่าวหนุ่มรุ่นพี่ว่าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป คนที่ยังทู่ซี้ไม่ไปไหนคือหยาด ที่ยืนพิงประตูมองดูเส็ง ค่อยๆถอดผ้าม่วงที่เปียกแฉะออกจากร่างของหลวงพินิจ หยาดเห็นเส็งปลดผ้าคุณหลวงก็หันหน้าไปทางอื่นในใจนึกรังเกียจแต่ก็ขี้เกียจพูด อย่างไรก็คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เส็งจะได้อยู่กับคนที่เขารัก หยาดรู้ดีเรื่องเกี่ยวกับความรักและความผิดหวังจึงไม่ได้ว่าอะไร
หล่อนเพียงเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
“เอ็งคงสนิทกับคุณหลวงมากกระมัง ถึงทำกับเธอได้ขนาดนี้”
“ขอรับ” เส็งตอบแบบขอไปที ลูบผ้าแห้งไปตามตัวหลวงพินิจให้ตัวแห้งจากการเปียกฝน พอมาถึงบริเวณแผลก็ค่อยๆซับเลือด ความเจ็บปวดที่ริมแผลทำให้หลวงพินิจสั่นไหวเล็กน้อยหากยังไม่รู้ตัว เขาเพ้อออกมาเพรียกหาคนที่กำลังเช็ดตัวให้เขาด้วยความรัก
“เส็ง... เส็ง”
“บ่าวอยู่นี่ขอรับ” เขากระซิบเบาๆ ตารื้นด้วยน้ำตา ปิ้มว่าจะร้องไห้อีกครั้ง
เช็ดตัวไปก็เช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาไปด้วย พอเปลี่ยนผ้าให้คุณหลวงเสร็จ เส็งก็ค่อยๆ พยุงหลวงพินิจออกมาจากห้องน้ำ หยาดเห็นเส็งไม่ถนัดก็เข้ามาช่วยพยุงพาหลวงพินิจมาถึงเตียงสี่เสา
“ข้าก็เห็นใจเอ็งนะ” หล่อนว่าเบาๆ ยืนห่างออกมาจากเส็งที่ลูบผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดหน้าเช็ดตาให้หลวงพินิจ “แต่เอ็งเป็นผู้ชายอย่างไรก็คงอยู่กับคุณหลวงไม่ได้ หากเอ็งเป็นผู้หญิงข้าก็คงจะเปิดทางให้ ขอโทษด้วยเถอะนะที่ต้องพูดตรงๆ”
เส็งเงยหน้ามองหยาด ดวงตาบอกได้ยากว่ารู้สึกอย่างไรแน่
“วันนี้มีคนพูดตรงๆเยอะแล้วขอรับ” เขาว่าเบาๆ
หยาดหัวเราะหึๆเบาๆเท่านั้นแล้วก็ว่าต่อไป
“เอ็งมันโชคดีมากแล้วที่ได้มาเจอคุณหลวง ได้เป็นคนโปรดได้รับใช้ใกล้ชิด อนาคตเอ็งคงจะยาวไกลกว่านี้มากนัก หากเอ็งรู้จักห้ามใจระงับกามตัณหาระหว่างเพศเดียวกันเสียก็คงไม่เป็นอย่างนี้” เส็งขี้เกียจจะเถียงก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวหลวงพินิจต่อไป “เอ็งไม่ควรเข้ามาในเรือนเทาอีก เท่าที่อยู่มานานเพียงนี้ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว เช็ดตัวเสร็จแล้วก็รีบออกไปเสีย แล้วอย่ากลับมาอีก พรุ่งนี้เป็นต้นไปเทิดจะมาอยู่ที่เรือนเทาหากมันเห็นเอ็งละก็ ได้โดนเจ้าคุณเฉดหัวออกจากเรือนเป็นแน่ ถ้าเอ็งฉลาดเอ็งจะไม่กลับออกมาจากบ้านสวนอีกเลย”
เส็งไม่ว่าอะไรอีก พอเช็ดตัวเสร็จก็ไม่สนใจว่าหยาดจะมองหรือไม่ ก้มลงหอมแก้มหลวงพินิจ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาว่า “บ่าวรักคุณหลวงนะขอรับ”
ก่อนจะออกจากเรือนเทา กลับเข้าสวนไปในที่สุด เส็งรู้ว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มาเจอหลวงพินิจอีก แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆว่า เขาจะไม่มีวันได้เห็นหน้าหลวงพินิจราชอักษรอย่างใกล้ชิดอย่างนี้อีกเลยนับแต่นั้น