สามเดือนให้หลังนับจากวันที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ต บลิสเซ่นฮาว์นเสียชีวิต อีธานก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะดูแลอลิเซียภรรยาของผู้เป็นอาจารย์และพ่อของเขา และเขาก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ทว่าความเจ็บปวดในหัวใจก็ยังอยู่ แทบทุกอาทิตย์ทีเดียวที่เขาจะไปที่หลุมศพของศาสตราจารย์และเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟังและก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ การเรียน เพื่อน อนาคต สุขภาพของอลิเซีย ฯลฯ
อีธานลงนั่งข้างๆแผ่นป้ายหลุมศพแล้วเอนพิงอย่างสบายๆ เขาเหม่อมองท้องฟ้าสีฟ้าใส ก้อนเมฆขาวลอยละล่องเหมือนภาพฝันแล้วถอนหายใจ
“พ่อครับ…ผมยังไม่เจอคนๆ นั้นของผมเลย…” เขารำพึงกึ่งพูดกับตัวเองกึ่งบอกชายแก่ที่นอนหลับอยู่ใต้ผืนดิน นับตั้งแต่วันที่ศาสตราจารย์ตายเขาก็ไม่เคยเรียกศาสตราจารย์ว่าอย่างอื่นเลยนอกจาก ‘พ่อ’
“เมื่อไรจะได้เจอล่ะเนี่ย…บอกผมหน่อยสิ” ส่วนอันนี้บ่นกับตัวเอง “บางทีพ่ออาจจะไม่ได้ยินผม…บางทีอาจจะกำลังจู๋จี๋กับเนทอยู่สินะ…ขี้โกง! หาให้ผมบ้างสักคนเซ่!” เขาล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้านุ่มเขียวขจีและผลอยหลับไป แต่จะเป็นอุปทานหรือไม่ก็ตามหูเขาก็แว่วๆ เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอที่เขาเคยคุ้น…
อีธานหลับไปนานเท่าไรก็ไม่ทราบได้แต่เขาต้องตื่นขึ้นมาก็เพราะมีใครคนหนึ่งเดินสะดุดขาของเขาและล้มลงดังป้าบ!
“โอ๊ย!” คนๆ นั้นร้อง อีธานตกใจตื่นและลุกพรวดขึ้นมานั่งทันที
“อะไร!” อีธานร้องลั่น ชายที่กุมจมูกตัวเองและนั่งคุกเข่าอยู่นั้นตวาดกลับ
“ก็จะอะไรซะอีกล่ะ นายเล่นมานอนขวางจนฉันเดินสะดุดหน้าคว่ำอย่างที่เห็นเนี่ย!”
“ก็แล้วทำไมไม่หัดดูทางซะบ้างเล่า!”
“อ๋อ! ตกลงนี่ฉันผิดเหรอ? ใครจะไปตรัสรู้ได้ล่ะว่าจะมีคนนอนอยู่ในสุสานทั้งที่ยังมีชีวิตและก็ไม่ได้ฝังไว้น่ะ ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะนี่หว่า”
อีธานเริ่มนึกได้ว่าฝ่ายผิดเป็นเขาเอง… “ขอโทษ…ฉันลืมไป…” ชายคนนั้นคลำจมูกป้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองมาอย่างโมโหๆ ผมสีเดียวกับดวงตานั้นยุ่งเหยิงเล็กน้อยและมีเศษหญ้าติดอยู่นิดหน่อยเพราะการล้มเมื่อกี้
“ช่างเหอะ!” ชายคนนั้นตอบสะบัดๆ อีธานยิ้มแหยๆ มองชุดสูทราคาแพงของคนตรงหน้าที่เปื้อนดินเพราะเขาพลางคิด…จะเอาเรื่องเราไหมนะ?
“ว่าแต่เจ้าหนู…”
“เฮ้! อย่ามาเรียกกันว่าเจ้าหนูนะ! ฉันอายุ 20 แล้ว!”
“ก็ยังเป็นเจ้าหนูสำหรับฉันอยู่ดี ฉันแก่กว่าเธอตั้งแปดปีแน่ะ” อีธานทำหน้าบอกบุญไม่รับ “นายพอจะรู้รึเปล่าล่ะว่าหลุมศพของศาสตราจารย์โรเบิร์ต บลิสเซ่นฮาว์นอยู่ที่ไหน?”
ดวงตาของอีธานกระตุกวูบ “แล้วใครอยากจะรู้ล่ะ?” ชายคนนั้นส่ายหัวระอากับความยียวนกวนประสาทของคนตรงหน้า
“ฉันชื่อ ดไวท์ ปีเตอร์สัน…ทีนี้จะบอกได้รึยัง?”
“แล้วอยากจะรู้ทำไม?”
“ฉันเป็นศิษย์เก่าของเขา เพิ่งรู้ว่าเขาเสียชีวิตและจะมาเยี่ยม ทีนี้กรุณา…”
“นี่ไง!” อีธานพูดขึ้นทันควันแล้วชี้ที่หลุมศพที่เขาพิงอยู่
“อ่า…ขอบใจ” ดไวท์รู้สึกเสียหน้านิดหน่อยอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับมองไม่เห็น
“ช่วยหลบไปได้ไหม?” ชายหนุ่มบอกกับเด็กผมแดงแต่เจ้าตัวส่ายหน้า
“นี่เธอคิดจะกวนประสาทฉันหรือไงกัน?”
“เปล่า…แต่ว่าเขาเป็นพ่อผมนี่…”
“ฉันไม่เคยรู้ว่าศาสตราจารย์มีลูกซะหน่อย”
“เขารับผมเป็นลูก” อีธานพูดอย่างภูมิใจ
“…งั้นเหรอ?” ดไวท์มองป้ายหลุมศพอย่างเศร้าสร้อย เขารู้สึกผิดที่ไม่เคยมาเยี่ยมอาจารย์คนโปรดคนนี้ทั้งที่สัญญาเอาไว้ เขาเอาแต่บอกตัวเองว่าเอาไว้คราวหน้าๆ แต่มันก็สายเกินไป เขาหันมามองอีธานแล้วถาม
“เขาตายยังไง?” อีธานนิ่งคิดนิดนึงแล้วเอ่ย
“นั่งลงสิ…เพราะต้องเล่ากันยาวเลย” ดไวท์เลิกคิ้วแล้วมองอีธานแบบงงๆ
“เอ้า! ไม่เชื่ออีกนั่งลงสิ” ถึงจะสงสัยแต่เขาก็ยอมนั่ง
“เวลาคนเขาจะตายกันเนี่ยมันใช้เวลานานนักหรือไงกัน?”
“คุณก็รู้ว่าพ่อ…ศาสตราจารย์น่ะไม่เหมือนคนอื่นเขา…”
“จริงสินะ…” อีธานยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดที่ดไวท์เคยเห็น…เขามองอย่างตะลึง เด็กคนนี้เวลายิ้มแล้วช่างน่ามองเอามากๆ
“เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนนั้นพ่อเขาอายุครบ 21 พอดิบพอดี…”
สายลมเย็นๆ พัดมาคอยปัดเป่าความร้อนให้คนทั้งสอง เขาทั้งคู่ยิ้มให้กันและร้องไห้ให้ชายที่ทั้งคู่เคารพรัก ท้องฟ้ายังคงมีสีฟ้าสดใสเช่นเดิมแต่ชีวิตของทั้งคู่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะพวกเขาได้พบกันและกันแล้ว เสียงของศาสตราจารย์ยังคงดังแว่วมาเบาๆ และถ้าเธอเงี่ยหูฟังดีๆ ก็จะได้ยินว่า
“เมื่อเธอมีคนที่เธอรัก…อย่าปล่อยเขาไป จำไว้นะอีธาน อย่าปล่อยเขาไป…”
~END~
จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะคะ
