คนละปลายทาง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คนละปลายทาง  (อ่าน 166679 ครั้ง)

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #30 เมื่อ21-05-2007 09:03:36 »

                ที่นั่งสำหรับกินข้าวถูกจัดขึ้นอย่างง่ายๆแบบไทยแท้ นั่นก็คือนั่งกินกับพื้นห้อง ตีวงล้อมรอบกับข้าวที่วางอยู่เรียงราย....เต้นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับผม.....เรายังไม่ได้คุยกัน เนื่องจากมีบุคคลอื่นอยู่ในวงสนทนาด้วย....ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจเต้.....คอยสังเกตดูท่าทีว่าเค้าจะทำอย่างไร.....
                นี่เป็นนิสัยประจำตัวผมอีกอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายสักที....นั่นก็คือ ถึงแม้ว่าในใจจะชื่นชอบเค้ามากสักแค่ไหน...เรื่องที่จะให้ยอมเสียหน้าเป็นฝ่ายเข้าไปคุยก่อนนั้น ไม่มีวันเสียหรอก.....ผมไม่อยากให้เค้ามองว่าผมแร่ด....ทั้งๆที่ในใจผมนั้นแทบจะอยากถลาเข้าไปมอบกายถวายตัวให้เค้า ณ เดี๋ยวนั้น...ถ้าทำได้นะ....ผมจึงได้แต่พยายามสงบสำรวมกิริยาเอาไว้....อยากให้เค้ามองว่าผมมีความพิเศษกว่าคนอื่นๆ....เค้าต้องรู้สึกว่าผมดูไม่ง่ายแต่ก็ไม่น่าจะยาก......ถึงจะยังไงผมก็ไม่ได้นั่งเป็นบ้าใบ้อยู่เฉยๆหรอกนะ...ผมก็มีวิธีการของผมเอง...นั่นก็คือการคอยส่งสัญญาณให้เค้ารู้อยู่เนืองๆ ว่าตอนนี้ผมกำลังสนใจเค้าอยู่...ส่วนจะทำอย่างไรนั้นขออุบเอาไว้เป็นความลับต่อไปก่อนก็แล้วกัน....

                ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “เรามาตำถั่วฝักยาวกินกันเถอะ เครื่องก็มีครบอยู่ตรงหน้านี้แล้ว จะมัวรออะไรอยู่อีกเล่า”
                เต้ถือโอกาสขยับตัวข้ามานั่งใกล้ๆผม เค้าทำท่าเก้ๆกังๆสักพัก สุดท้ายก็ยื่นครกกับสากมาให้
                “ให้กั้งตำก็แล้วกัน ผมทำคงไม่อร่อยหรอก”
                เค้ารู้จักชื่อผมด้วย......ไปสืบมาจากไหนเนี่ย.....ปลื้มมมมมมมมมมมม
                ผมรับครกกะสากมาด้วยหัวใจที่สั่นระรัว........ใส่อะไรก่อนหลังดีวะ....งงไปหมดแล้ว..สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะตำเฉพาะถั่วฝักยาวก่อน....จากนั้นตักถั่วออกมา พักใส่จานไว้....แล้วจึงลงมือตำพริกกระเทียมเพื่อปรุงน้ำส้มตำ...สุดท้ายจึงใส่ถั่วฝักยาวที่ตำเอาไว้แล้วลงไป..คลุกๆให้เข้ากัน.....งามหน้าจริงๆ เค้าคงจะสงสัยว่าทำไมผมมีวิธีตำถั่วฝักยาวที่พิสดารเช่นนี้...ผมทนหน้าด้านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตำต่อไปเรื่อยๆ....ทั้งที่ในใจนั้นแสนอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี....เค้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าตำถั่วฝักยาวนั้นต้องทำอย่างไร.....สุดท้ายผมจึงข่มใจตักใส่จานยื่นให้เต้ชิมเป็นคนแรก....ผมรู้ว่ารสชาติมันก็งั้นๆแหล่ะแต่เค้าก็ยังมีแก่ใจชมว่าอร่อยมาก....ยังไม่ทันได้โต้ตอบว่าอย่างไร....คนอื่นๆก็พากันมาแย่งเอาครกกับสากไปเพื่อจะลองตำเองมั่ง....ไม่นาน มหกรรมการเล่นขายของก็บังเกิดขึ้นอย่างโกลาหล...เฮ้อ....รอดตัวไปที..

               หลังจากที่ทุกคนเฮโลไปสนใจกับการตำถั่วฝักยาวกันอย่างสนุกสนาน....ผมจึงมีโอกาสนั่งอยู่กับเต้ตามลำพังเป็นครั้งแรก.......กล้าเข้าไว้....ผมพยายามบอกตัวเอง....ผมเพิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกับเต้เป็นครั้งแรก......นี่ถ้ามีโอกาสได้นอนมองดูใบหน้าหล่อๆของเค้าจากหมอนใบเดียวกันบนเตียงยามเช้าก่อนตื่นนอน ผมจะมีความสุขมากแค่ไหนนะ...เค้าเป็นคนไม่หล่อมาก แต่ก็ยังจัดว่าหล่ออยู่ดีในสายตาผม บุคลิคนุ่มนวลน่ามอง ที่สำคัญเค้าเป็นคนสุภาพอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด....ฐานะก็ดี....การศึกษาก็ดี...โอย....ดีไปหมด...เห็นแล้วก็พาลอยากเห็นหน้าพ่อแม่เค้า....อยากจะไปถามว่าเค้าเลี้ยงลูกมาอย่างไรจึงได้ออกมาเพอร์เฟคขนาดนี้

                  ผมรู้สึกชื่นชมเต้เป็นอย่างมาก อย่างที่ไม่เคยชื่นชมผู้ชายคนไหนมาก่อน...ผู้ชายในแบบเค้าคงหาไม่ได้ง่ายๆทั่วไป...ใครๆก็คงชื่นชม...สังเกตุได้จากนักเรียนไทยหลายคนในกลุ่มของเราต่างแสดงท่าทีว่าสนใจเต้อยู่เช่นกัน.....ถึงยังไงก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง ไอ้เรื่องจะให้ยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ทันได้ลงสนามแข่ง ผมเองก็ยังไม่เคยทำสักที.......
                  “เต้จบที่ไหนมาครับ” ผมเปิดฉากถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันขวยเขินระหว่างเรา
                 เค้าเอ่ยชื่อสถาบันเลือดสีชมพูชื่อดังที่เพิ่งจบมาจากเมืองไทย....สบช่องผมแล้ว...ฉวยโอกาสนี้ ใช้ความเป็นเด็กสถาบันเดียวกันสานสัมพันธ์เห็นจะไม่น่าเกลียด...ถึงแม้ผมจะไม่ใช่เด็กลูกหม้ออย่างเค้าก็เถอะ...
                “ทำไมพี่ไม่เคยเจอเต้เลยนะ ทั้งๆที่พี่ก็ไปแถวคณะเต้ออกบ่อย” ผมถือโอกาสเรียกตัวเองว่าพี่ เพราะดูจากประวัติการเรียนแล้วเค้าน่าจะเป็นรุ่นน้องผมอยู่หลายปี
                “กั้งเป็นรุ่นพี่ผมเหรอครับ ผมนึกว่าเรารุ่นเดียวกัน” ท่าทางเค้าดูจะไม่อยากเป็นน้องผมสักเท่าไหร่....เอหรือว่านี่เป็นวิธีจะชมอ้อมๆว่าผมหน้าอ่อน
                เราไล่อายุและก็ลำดับรุ่นในการศึกษากันสักพัก...สุดท้ายเค้าก็ยอมปรับข้อมูลในหน่วยความจำใหม่ว่า ผมเป็นรุ่นพี่เค้าหลายปี...แก่กว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม...ปกติผมมักมีใจโน้มเอียงไปในทางเอ็นดูเด็กๆมากกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว...บางทีวันนึงข้างหน้าผมอาจจะได้ถือไม้เรียวไว้อันนึง เอาไว้คอยหวดเวลาที่เต้แกล้งลืมเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะ...จะเรียกว่าพี่มั้ย....นี่แน่ะๆๆๆๆเพี้ยะๆๆๆ....อิอิ

                 “จะมีใครอาสาไปรับพี่ไก่ที่ป้ายรถเมล์ให้หน่อยได้มั้ยจ้ะ พี่เค้ามาถึงแล้ว และเค้ายังไม่เคยมาที่ห้องพี่เลย” เสียงพี่เจ้าของงานวันเกิดประกาศหาอาสาสมัครจำเป็น ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง
                “เดี๋ยวผมไปให้เองครับ” เต้ขันอาสาทันที พลางหันมายิ้มให้ผมเป็นเชิงขอตัว ก่อนจะขยับลุกออกไป
โธ่...หมูกำลังจะหามแท้ๆ....ผมนึกเสียดายอยู่ครามครัน...แต่ก็ฝืนยิ้มตอบให้เต้อย่างเสียไม่ได้...ทำไมนายถึงได้เป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้นะ....อากาศข้างนอกนั้นหนาวจะตาย...ยังมีแก่ใจอาสาออกไปรับคนอื่นอีก...ใจอยากผมจะขอตามเค้าไป แต่เกรงว่าจะกลายเป็นที่ครหาก็เท่านั้น....

                 เต้หายไปร่วมชั่วโมง....แม้ใบหน้าของผมจะยิ้มระรื่นอยู่ในกลุ่มสนทนากับคนอื่นๆ...แต่ในใจนั้นคอยพะวงว่าเมื่อไหร่พ่อยอดดวงใจของผมจะกลับมาสักที....ไม่มีเต้สักคนงานปาร์ตี้นี้ก็หมดความรื่นรมย์ไปเสียสิ้น....
                เค้ากลับเข้ามาพร้อมกับพี่ไก่..ได้ยินเค้าอธิบายถึงสาเหตุของการมาช้าเนื่องจากจักรยานยางแบน จึงต้องจูงโต้ลมหนาวกันมาทั้งคู่...โถน่าสงสาร...จากป้ายรถเมล์มาที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆคงจะหนาวแย่สินะ.....ในสถานการณ์แบบนี้ผมทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากคอยชำเลืองมองเค้าอยู่ห่างๆ....
                 เราสองคนถูกแยกออกจากกันโดยกลุ่มสนทนาที่เริ่มตั้งเป็นวงย่อยๆ...เค้าไปจับกลุ่มคุยเรื่องสโนว์บอร์ดกับพวกผู้ชาย...ในขณะที่ผมถูกแยกให้มาคุยเรื่องไร้สาระในกลุ่มสาวๆ...หมดกัน...

                 งานปาร์ตี้ดำเนินมาจนใกล้จะถึงจุดจบ...ในขณะที่ความหวังที่จะได้คุยกับเต้ของผมก็กำลังจะถึงจุดจบเช่นเดียวกัน....
                “ทุกคนมาถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยจ้า” พี่เจ้าภาพประกาศขึ้น เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแยกย้ายแล้ว
เราขยับมารวมตัวกันที่ด้านหนึ่งของห้อง...ผมไม่อยากจะอยู่แถวหน้า จึงถอยมายืนอยู่ด้านหลัง พลางสอดส่ายสายตามองหาเต้...ไม่มีแม้เงาของเค้า...เฮ้ย...มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่...ผมหันไปมองเจอดวงหน้าเปี่ยมยิ้มละไม.......ใจผมเต้นระทึกอีกครั้ง...ชอบความรู้สึกแบบนี้จัง...เวลาที่เราชอบใครสักคน ใจเราจะเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งยามเมื่อได้อยู่ใกล้...ผมเป็นบ่อยๆ...อิอิ
               เราสบตากันแวบหนึ่ง...เต้ชี้ให้ผมมองไปที่กล้อง พลางเอื้อมมือมาโอบที่ไหล่ผมเบาๆ...สัมผัสที่แผ่วเบาของเค้าทำเอาผมเคลิ้มจนอยากจะหยุดหายใจลงไป ณ ตรงนั้น...อยากจะเอียงศรีษะไปซบที่ไหล่เค้าจัง แต่เกรงว่าจะไม่งาม..จึงทนทำใจแข็งทำคอตั้ง หน้าตรง และก็ฉีกยิ้มแบบแห้งๆ....แชะๆๆและก็แชะ

              หลังจากถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้ว...เราจึงหันมาแบ่งสันปันส่วนอาหารเพื่อกลับไปกินที่บ้าน...ผมไม่เอาอะไรสักอย่างเพราะขี้เกียจหิ้ว...เต้ก็ไม่เอาอะไรเหมือนกัน (ผมว่าเค้าน่าจะห่อกับข้าวที่ผมทำกลับไปกินต่างหน้ายามคิดถึงมั่งนะ)
“คราวหน้าไปทำที่บ้านเรามั่ง” เพื่อนนักเรียนไทยชื่อนาเอ่ยปากชวน
             ทุกคนลงความเห็นว่าจะไปตามคำเชิญในช่วงสุดสัปดาห์หน้า....จากข้อมูลที่ผมมีคือ นาเรียนปริญญาเอกด้านทันตแพทย์ที่นี่......ที่บ้านเช่าราคาแพงของเธอมีสมาชิกคือสามีของเธอเอง ซึ่งก็เรียนปริญญาเอกเช่นเดียวกัน (ผัวเมียดอกเตอร์) รวมทั้งหวานใจของผมก็คือเต้
             ผมรีบอาสาไปทำกับข้าวอีกทันที....อืม...ผมจะรีบไปแต่วันเลยคอยดู....เต้น่าจะอยู่รอรับรองแขก เพราะว่าเป็นบ้านของเค้า...ผมคงจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเค้ามากยิ่งขึ้น....เค้าจะเป็นเกย์หรือไม่ก็ตาม...แต่ผมมั่นใจว่าถ้าผมได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆกับเค้า....ผมจะต้องสามารถหาหนทางเบิกเนตรเค้าได้ไม่ยาก...

             พวกเราแบ่งสายว่า ใครจะกลับรถเมล์สายอะไรกับใคร...จากนั้นจึงไปเปิดเวปเพื่อเช็คตารางเวลาเข้าป้ายของรถเมล์....ขนส่งมวลชนที่นี่จะมีเวปไชต์บอกสายรถเมล์และตารางเวลาที่จะเข้าจอดในแต่ละป้าย....เราจึงไม่ต้องเสียเวลาไปยืนรอ...เนื่องจากอากาศข้างนอกหนาวเย็นมาก....ดังนั้นเราจึงควรเช็คเวลาเข้าป้ายของรถเมล์ที่ต้องการขึ้นก่อนเสมอ...จากนั้นก็คะเนเวลาที่จะเดินไปถึงที่ป้ายให้ทันกันพอดี...ไม่ต้องมายืนชะเง้อคอยเหมือนอย่างที่เมืองไทย....ซึ่งก็แน่นอน เต้กับผมไปคนละทางกัน...ผมกลับไปกับพวกสาวๆ.....
             ผมซมซานฝ่าอากาศหนาวกลับมาถึงห้องด้วยความรู้สึกหลากใจเหลือประมาณ...ใจหนึ่งอิ่มเอมจากการได้พบคนที่เราพึงพอใจ...ส่วนอีกใจนั้นรู้สึกเศร้าจนสุดประมาณ...ก็นี่มันเหลือเวลาอีกแค่เพียงเดือนเดียว ผมก็จะกลับเมืองไทยแล้ว....แล้วผมจะทำยังไง....ชอบเค้า แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านให้ได้อายเสียเปล่าๆ......แม้ใจหนึ่งอยากจะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ....แต่อีกใจก็คอยเตือนอยู่เสมอว่า หนทางข้างหน้ามันช่างแสนมืดมนเหลือเกิน....ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้คงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว....แต่คนท่ามากแบบผม คงไม่แคล้วต้องกินแห้วอีกเช่นเคย...เฮ้อ...นอนเอาแรงดีกว่า...เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดกันอีกที.....
   
                พี่ดุ๊กกลับมาพร้อมกับเมลของเค้า
                “พี่ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อมา พอดีช่วงนี้ที่บ้านมีเรื่องยุ่งหลายอย่าง”
                นี่คือคำอธิบายที่แสนสั้น ต่อคำตัดพ้อทั้งหลายแหล่ที่ผมได้กระหน่ำส่งไปต่อว่าเค้าในช่วงที่ผ่านมา ถึงความเหินห่าง...และเงียบหาย...
                ความน่าเชื่อถือของเค้าในสายตาของผมแห้งเหือดไปนานแล้ว....ผมเริ่มไม่ไว้ใจในสิ่งที่เค้าพูด และคอยจ้องจะจับผิดตลอดเวลา....
                ผมเป็นคนที่ประทับใจอะไรใครได้ง่ายๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เสื่อมศรัทธาในตัวเค้าได้ง่ายๆเช่นกัน ถ้าหากผมพบว่าเค้าไม่เต็มที่กับความสัมพันธ์ของเรา
                ผมเมลไปปลอบพี่ดุ๊กไม่ให้กังวลถึงสิ่งที่ผมได้ต่อว่าเค้าไป แน่ล่ะ...ผมทำไปตามมารยาทที่สุภาพชนทั้งหลายพึงกระทำ แต่ในใจผมนั้นเล่า...มีข้อสงสัยในตัวเค้ามากมายเหลือคณา

                เค้าคงจะสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากถ้อยคำ และข้อความทางเมลที่ตอบไป ผมจึงได้รับโทรศัพท์จากเมืองไทยในเย็นวันหนึ่ง
                “กั้งจะกลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ครับ พี่จะพาเจ้าลูซี่ กับ โบโบ้ไปคอยรับที่สนามบิน”
เค้าดึงเอาเจ้าหมาทั้งสองตัวของเค้าเข้ามาเรียกคะแนนสงสาร เพราะรู้ว่าผมเป็นคนรักหมา ย่อมไม่อาจทำแข็งใจเย็นชาได้อีกต่อไป
   “ยี่สิบ ตุลา ตีสาม” ผมบอกวันที่ เวลาและเที่ยวบินให้เค้ารู้ แต่ในใจนั้นไม่คิดว่าเค้าจะมารอรับผมจริงอย่างที่เค้าได้เสนอตัวเอาไว้
   “จะมานอนค้างที่บ้านพี่ หรือจะให้พี่เปิดโรงแรมให้ก็ได้นะ” เค้ายื่นข้อเสนออย่างกระตือรือร้นจนดูเหมือนพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง.....
                 “ไม่เป็นไรครับ กั้งจะนอนที่ห้องเพื่อน” ผมปฏิเสธไป เนื่องจากการนอนค้างอ้างแรมกับคนที่เรายังไม่ทันได้ปลงใจ เห็นทีจะเป็นภัยแก่ตัวมากกว่าจะเป็นผลดี.....
                “ถ้ายังงั้น พี่จะไปรับที่สนามบินและก็พากั้งไปส่งที่ห้องเพื่อนนะครับ”
อยากจะทำอะไรก็ช่างเถิด....จะมาหรือไม่มา ผมคร้านจะใส่ใจแล้ว....แต่ยังไงผมก็จะคอยดูว่าเค้าจะทำได้จริงอย่างที่พูดเอาไว้ได้หรือไม่......
                บางคนอาจมองพฤติกรรมของผมว่าทำเสมือนคนมักมาก หลายใจ แต่ผมกลับคิดว่านี่เป็นสิ่งสามัญที่คนทั่วไปกระทำ....ในเมื่อผมยังไม่ได้ตกลงปลงใจกับใคร ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะปล่อยหัวใจให้ชื่นชอบใครก็ได้ตามแต่อารมณ์ปราถนาจะพาให้เป็นไป....สัมพันธ์ทางใจแต่ไม่สัมพันธ์ทางกาย....นี่เป็นหลักที่ผมยึดมั่นเอาไว้ในใจมาตลอด......ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องมานั่งจริงจัง....แต่หากได้ตัดสินใจตกลงคบกับใครแล้ว......ถึงตอนนั้นผมก็พร้อมที่จะเต็มที่กับมันเสมอ.....

                ระยะหลังผมพยายามหาโอกาสออกไปเที่ยวชมบ้านเมืองบ่อยมากขึ้น เนื่องจากรู้ว่าจะต้องระหกระเหินกลับบ้านเกิดเมืองนอนในไม่ช้านี้.....ผมอาจได้กลับมาหรือไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้.....ที่นี่มีหลายๆอย่างที่บ้านเราเทียบไม่ได้เลย เช่น....ความสะอาด.....ทันสมัย....เป็นระเบียบ....แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากกลับบ้านอยู่ดี....
               ใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ.....จากสีเขียวขจีกลายเป็นสีเหลืองอร่าม บ้างส้ม บ้างแดง กระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง...ใบเมเปิ้ลแสนสวย....สีแดงจัดจ้า.....สวยเพราะว่ามันสวย.....หรือสวยเพราะว่ามันเป็นของใหม่.....ผมก็ไม่อาจจะคาดเดา....ไม่แน่ว่าถ้าอยู่ที่นี่ไปนานเข้า ความสวยของมันอาจกลายป็นของธรรมดา จนผมแทบจะนึกไม่ออกว่า ความประทับใจครั้งแรกที่ได้เห็นความสวยของมันเป็นอย่างไร....เสมือนความประทับใจในตัวผู้ชาย.....เพราะไม่นานจากที่เห็นว่าสวย มันก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแก่เหมือนเป็นโรค....จากนั้นก็ร่วง....เน่า....แล้วก็ส่งกลิ่นอันน่ารังเกียจออกมาในที่สุด....แต่คนเราก็มักเลือกที่จะประทับใจเฉพาะความสวยในครั้งแรกที่ได้เห็น....ส่วนสิ่งเน่าเหม็นที่จะตามมาอีกไม่นานในภายหลัง ก็ต่างพากันทำเป็นวางเฉย ปลดปลงกับมันซะ.....

                “พี่กั้งจะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่” นัทถามผมในเย็นวันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังคุยกันในเอ็มเอสเอ็น....พักหลังนี้ผมไม่ค่อยได้คุยกับเขามากนัก เนื่องจากเขามักจะห่วงแต่เล่นเกมส์ ผมเองก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะเรียกร้องอะไร.....เราคุยกันน้อยลง....แต่ก็ยังคุย
               “น่าจะปลายๆเดือนตุลา เพราะพี่คงอยู่ที่กรุงเทพก่อน และก็จะกลับบ้านสักระยะ หลังจากนั้นถึงจะไปเชียงใหม่”
               “ขอเบอร์หน่อยสิ ถ้าพี่กั้งมาเมืองไทยแล้วนัทจะโทรหา”
ผมให้เบอร์เค้าไป โดยที่ในใจไม่ได้คาดหวังเลยแม้แต่น้อย ว่าเราจะได้พบกัน
              “เดือนธันวา นัท ก็จะไปฝึกงาน เราคงจะมีโอกาสได้เจอกันแค่หนึ่งเดือน”
หึ....

               ระยะหลังมานี้ผมเริ่มรู้สึกถึงความไร้แก่นสารของนัท....เค้าเป็นเด็ก....ยังสนุกกับชีวิตไปได้อีกนาน....แต่ผมถึงพร้อมแล้วในทุกๆด้าน....ผมต้องการคนที่จริงจังในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรามากกว่านี้....ณ ตอนนี้ก็คงจะมีพี่ดุ๊กเพียงคนเดียวที่เข้าข่ายดังกล่าว ถึงแม้ว่าเค้าจะมีเงื่อนงำในหลายๆอย่าง อีกทั้งผมเองก็ไม่ได้ชอบเค้าก็ตาม...อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักกันไปเองมั้ง...เค้าเป็นคนมีฐานะ...ผมคงจะกลายเป็นนกน้อยในกรงทองถ้าหากเราเป็นแฟนกัน....นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆน่ะหรือ....ในเมื่อเราเองก็จัดว่าเป็นคนที่มีการศึกษาอยู่ในระดับที่จะสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ดีพอใช้.....แล้วทำไมเราจึงจะต้องไปอยากได้ใคร่ดีในของของคนอื่น.....มันก็ดีอยู่หรอกถ้าจะมีแฟนแล้วได้ความรวยของเค้ามาเป็นของแถม....แต่ความรักความพอใจต้องมาก่อนทุกๆเรื่อง....ผมไม่ได้รักพี่ดุ๊ก....แต่ผมจะลองคบกับเค้าดู ถ้าไม่เป็นการฝืนใจตัวเองจนเกินไป......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2007 15:25:03 โดย moody »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #31 เมื่อ21-05-2007 09:27:32 »

ความรักบางทีก็ต้องเป็นฝ่ายให้ดูบ้าง
ถ้ามัวแต่กลัวที่จะต้องเจ็บ
และเริ่มหันหน้าหนีความจริง
คุณจะไม่มีทางได้เข้าถึงใครซึ่งบางทีเขาคนนั้นอาจเป็นคนที่คุณรอคอย
 o16

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #32 เมื่อ21-05-2007 09:42:47 »

จ้างก็ไม่เชื่อ...หุหุ

jammy

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #33 เมื่อ21-05-2007 10:32:09 »

เรื่องความรักมันเเล้วเเต่ศรัทธาของเเต่ละคนอ่ะนะ  o18

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #34 เมื่อ21-05-2007 11:40:06 »

เรื่องมันเศร้า . . . เฮ้ย

ความรัก

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #35 เมื่อ21-05-2007 14:15:37 »

หุหุ  ลุ้นแทบแย่กว่าจะได้คุยกาน อิอิ  o14


แต่ก็ดีนะ วางตัวดี จะได้ดูมีค่าเข้าไว้....ทั้งๆที่ในใจผมนั้นแทบจะอยากถลาเข้าไปมอบกายถวายตัวให้เค้า ณ เดี๋ยวนั้น.... อิอิ o3

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #36 เมื่อ21-05-2007 15:08:47 »


..........บางทีสิ่งที่ใจเราต้องการ.....กับสิ่งที่ต้องทำ......

..........มันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน.......... :dont2: :dont2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #37 เมื่อ21-05-2007 19:41:11 »

รู้สึกกั้งจะเป็นคนที่ไม่ให้ใจใครเต็มร้อยนะ (อันนี้อาจจะเป็นการอ่านแล้วคิดไปเองก็ได้)
จะเผื่อใจไว้ตลอด อาจจะเป็นเพราะกลัวที่จะเจ็บมั๊งแบบที่เรย์ว่า

เป็นกำลังใจให้นะคะ  :teach:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #38 เมื่อ22-05-2007 10:41:52 »

รู้สึกว่าคุณเรย์นี่จะมองผมซะทะลุ ปรุโปร่ง เลยนะ...อิอิ

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #39 เมื่อ22-05-2007 10:49:49 »

                เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน กำหนดการณ์กลับเมืองไทยของผมกำลังจะใกล้เข้ามาถึงทุกที ในขณะที่การทำแลปก็ทวีความกดดันมากขึ้นทุกขณะ...ตอนนี้ใจของผมแน่วแน่อยู่ที่การทำงานเพื่อให้ทันแก่เวลา เนื่องจากไม่อยากกลับไปทำต่อที่เมืองไทยเพราะมีข้อจำกัดในหลายๆด้าน....ดังนั้นเมื่อมีโอกาสมาทำงานในแลปที่มีความพร้อมสูงเช่นนี้แล้ว ผมจึงต้องพยายามจบมันให้ได้.....

                อนึ่งสถานการณ์ผู้ชายทั้งสามของผม ก็พลอยซบเซาไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกัน พี่ดุ๊กก็มาๆหายๆ ส่อถึงสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ......นัทก็ลุ่มๆดอนๆ...พักหลังแทบไม่ได้คุยกันเลย เพราะเค้ามัวแต่ติดเล่นเกมส์ ส่วนเต้นั้น ยังห่างไกลความจริงยิ่งกว่าสองคนข้างต้น เนื่องจากว่า จีบกันก็ยังไม่ทันได้จีบ แม้แต่ความในใจของผมก็ยังไม่ทันได้บอกเค้าเลย.....ถึงแม้ว่าจะบอกไปแล้วทางสายตาก็ตาม....

               “ตาของกั้งนี่สวยนะ ดูเศร้าดี เวลามองแล้วเหมือนกับว่ากำลังพูดแม้ไม่ได้พูดอะไร”
               มีคนเคยบอกผมแบบนี้บ่อยๆ ผมเป็นคนไม่เคยเก็บความรู้สึก เวลารู้สึกอะไรจะแสดงออกทางสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน
               ผมเคยถามเพื่อนเวลาที่ผมไปแอบชอบใครสักคน ว่าเค้าจะรู้ตัวมั้ยว่าผมชอบเค้า เนื่องจากผมไม่ใช่ประเภทเข้าไปจีบตรงๆ ถนัดแต่ดูอยู่ห่างๆ
              “ขนาดหมามันยังดูออกเลย” นี่คือคำตอบที่สามารถจบทุกคำถามที่จะตามมาได้อย่างชะงัด
              เมื่อนำมาใคร่ครวญว่า ถ้าขนาดหมายังดูออก แล้วเต้เป็นคนที่ฉลาดกว่าหมาอย่างเปรียบไม่ได้ เค้าจะรู้มั้ยว่าผมปลื้มเค้าขนาดไหน......แล้วถ้าเค้ารู้ ทำไมเค้าไม่เห็นจะทำอะไรเลย ทั้งที่ผมเปิดโอกาสขนาดนั้น....หรือว่าเค้าจะไม่ได้คิดอะไร....ผมเป็นบ้าไปเอง...

             “พี่กั้ง ตีแบดที่เก่าเวลาเดิมนะ” เมลจากแพท เพื่อนรุ่นน้องนักเรียนไทย ที่คอยแวะเวียนมาเป็นเพื่อนตีแบดอยู่เสมอๆ พอให้ผมได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยหน่ายทั้งหลาย
             เรามาเจอกันที่โรงยิมในตอนเย็น ผมจ่ายค่าเล่นแบดไปสามเหรียญ เนื่องจากไม่ใช่นักศึกษาของที่นี่....สนามแบดที่นี่จะเปิดให้บริการบางวัน...เราจึงต้องตรวจสอบตารางเวลาการให้บริการในเนตเสียก่อน....ในการเล่นก็จะเวียนกันเข้าหรือออกไม่มีกฎตายตัว แต่เป็นที่รู้กันว่าเราควรจะแบ่งสนามให้คนอื่นที่นั่งรออยู่ได้เล่นบ้าง....ซึ่งทุกคนก็ปฏิบัติตามกฎโดยดี ไม่เห็นมีใครแย่งสนามกันสักคน... หลังได้เหงื่อจนเป็นที่พอใจแล้ว เราสองคนจึงหามุมมานั่งพักคุยกันเพื่อพักเหนื่อย
               “แพทจะไปงานที่บ้านเต้มั้ย” ผมถามถึงแผนการของแพทในสุดสัปดาห์นี้
               “ไม่แน่ค่ะ แต่จะพยายามไป แล้วพี่กั้งไปกับใครคะ”
               “อ๋อ มีเพื่อนอีกสองสามคน ไม่ต้องห่วง มีลูกมือทำกับข้าวเพียบ” ผมพยายามหาจังหวะเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อสืบข้อมูลของเต้...
               “เต้เค้าดูเป็นคนดีจังเนาะ ทั้งหล่อ นิสัยดี พี่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีผู้ชายดีๆแบบนี้อยู่จริงในโลก สาวๆคงติดเกรียว”
              “ได้ยินมาว่าเค้ามีแฟนแล้วนะคะ ตั้งแต่สมัยเรียนที่เมืองไทย ตอนนี้แฟนเค้าเรียนอยู่ที่อเมริกา เห็นว่าพี่เต้ไปเยี่ยมเค้าบ่อยๆ”
              “แพทเคยเจอแฟนเค้ามั้ย” ผมยิงคำถามต่ออย่างใคร่รู้
              “ยังไม่เคยเลยค่ะ แต่เค้าว่าไม่สวยนะ ดูธรรมดา”
              “เค้าคงเป็นคนดีมั้ง” ผมสรุป แล้วรีบชวนแพท ไปเล่นแบดต่อ....เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดหวังที่อาจจะฉายออกมาทางแววตาให้แพทจับได้....
              แม้จะรู้สึกเสียใจที่ได้รู้ข่าวว่าเต้มีแฟนอยู่แล้ว แต่มันเป็นความเสียใจที่ตื้นเขินมาก เนื่องจากโดยเปรียบเทียบแล้ว ผมเพียงแต่รู้สึกชื่นชมเต้เท่านั้น ไม่ใช่คนรัก เต้ก็เป็นเสมือนดาราที่มีแฟนคลับมาคอยชื่นชม....เมื่อแฟนคลับรู้ว่าดาราที่ตนชื่นชอบอยู่ มีแฟนแล้ว....บรรดาแฟนคลับก็จะพากันต่อต้าน.....เนื่องจากอยากให้ดาราคนโปรดเป็นโสดอยู่ให้เราชื่นชมอย่างนี้ตลอดไป....ถึงแม้ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะเอื้อมมือคว้าเอามาครองในชีวิตจริงก็ตาม.....

               ผมกลับมาที่ห้องด้วยความหมดหวังกับทุกๆเรื่อง......งาน.......ความรัก.....ตอนนี้ผมเหมือนคนกลับเข้ามาสู่สภาพความเป็นจริงภายหลังที่ตื่นจากฝันหวานแล้ว......ทำงานให้เสร็จ....กลับไปหาเพื่อนๆที่เชียงใหม่.....อยู่แบบโสดๆเหงาๆเหมือนเดิมต่อไป.....นี่คือบทสรุป ณ ตอนนั้น สำหรับคนที่ชอบฝันเฟื่องอย่างผม....

               วันสุดสัปดาห์มาถึงในที่สุด.....ผมนัดกับเพื่อนอีกสามคนไปที่บ้านเต้.......เราเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึงที่บ้านก่อนใครๆ...เนื่องจากเราต้องไปช่วยทำกับข้าวเพื่อเลี้ยงแขก........แม้ว่าความหวังที่มีในตัวเต้จะริบรี่...แต่ผมก็ยังอยากจะเจอเค้า....อยากเห็นดวงหน้าที่อ่อนละมุน..รอยยิ้มละไม...อยากได้ยินคำพูดเพราะๆของเค้า...รวมทั้งท่าทางที่นุ่มนวลสบายตา...ในใจผมอยากจะเชื่อว่าเค้าเองก็มีใจให้ผมอยู่เช่นกัน...มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า คนเรามักจะคอยคิดเข้าข้างตัวเองเสมอเวลาที่เราไปชอบใครสักคน...ผมเองก็เป็น แถมยังเป็นประเภทเข้าข้างตัวเองอย่างร้ายกาจอีกด้วย.......

              หลังจากที่เดินวนหาบ้านอยู่สักพัก ในที่สุดเราก็เจอบ้านที่เต้อยู่.....แม้ผมจะเช่าห้องที่จัดว่าแพงและดูดีแล้ว....แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับบ้านที่เต้อยู่....มันทั้งสวย...หรู....โอ่อา....ผมอิจฉาในความเพียบพร้อมที่เค้ามีจัง....
              เต้ออกมารับเราที่หน้าบ้าน เค้าอยู่ในชุดลำลองดูสบายตา....น่ารัก......เราเข้าไปนั่งพักที่ห้องรับแขก เพื่อเรียกความอบอุ่นคืนมาหลังจากผ่านความหนาวเย็นมาจากภายนอก.....เต้เดินกลับไปนั่งทำงานที่แลปทอปของเค้าต่อ ปล่อยให้พวกเรารื้อข้าวของที่เตรียมจะทำกับข้าว.....วันนี้เค้าดูเก๊กๆพิกล ไม่เป็นธรรมชาติเลย

             ขณะที่คนอื่นๆกำลังสาละวนกับการรื้อข้าวของอยู่....ผมจึงปลีกตัวมาเตรียมความพร้อมข้าวของในครัว.....เต้เดินตามมาเมียงๆมองๆอยู่ใกล้ๆ....
             “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ” เต้ถามพลางยิ้มแป้นเข้ามา.....หวานเยิ้มซะจนใจผมแทบจะขาดรอนๆ.....อยากจะรู้จริงๆว่าเค้าใช้วิธียิ้มแบบนี้กับคนอื่นๆหรือเปล่านะ....
             “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำเอง เต้ยืนดูอยู่เฉยๆก็พอ” เค้ายิ้มพลางเดินเข้ามาประชิด....ใจผมเต้นระทึกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง.....
            “ตรงนี้เก็บหม้อ....ตรงนี้เครื่องปรุง.....นี่เป็นถ้วยชาม....ส่วนลิ้นชักตรงนี้ใส่มีดช้อนส้อม” เค้าอธิบาย พลางเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแต่ละชั้นให้ผมดูที่เก็บเครื่องครัวต่างๆ
            “ปกติเต้ทำกับข้าวเองบ่อยมั้ย” ผมแกล้งเสไปคุยเรื่องอื่น ไม่อยากให้เค้าเห็นว่าผมประหม่าอีกทั้งผมเองก็สงสัยว่าเค้าไม่น่าจะทำกับข้าวทานบ่อย......ก็เค้าเป็นผู้ชายนี่นา
            “ไม่เลยครับ ผมทำเองไม่อร่อย นานๆถึงจะทำที”
            แบบนี้ก็ไม่ค่อยได้กินอะไรอร่อยๆเลยน่ะสิ......น่าสงสาร.....อยากมาทำกับข้าวให้เค้ากินทุกวันจัง.....เวลาที่เต้ไปเรียนหนังสือ.....ผมจะอยู่บ้านคอยทำกับข้าว ทำงานบ้าน และคอยดูแลเค้าหลังจากเลิกเรียนกลับมา........อยู่เมืองนอกไม่มีใครรู้จักเรา มีแค่เราสองคน คงมีความสุขน่าดู.....ผมจะทำกับข้าวอร่อยๆให้เค้ากินทุกวันเลย...ขุนให้อ้วนเป็นหมู....ชอบ...อิอิ
           “อยากให้พี่ทำอะไรให้กินเป็นพิเศษมั้ย” ผมถามสิ่งที่เต้อยากจะทานเป็นพิเศษ พลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ก่อนที่จะจินตนาการลุกลามไปใหญ่โต
           เต้เดินไปรื้ออะไรบางอย่างจากตู้เย็น แล้วยื่นมาให้ผม
            “ผมมีหมู แต่ไม่รู้จะทำอะไร พี่กั้งช่วยคิดหน่อยสิ”
            “หมูมะนาวเป็นไง พี่ทำอร่อยนะ” ผมเสนอเมนูเก่งของผมเพื่อเอาใจเค้า
            “ดีเลยครับ ผมไม่ได้กินนานแล้ว” เต้สนับสนุน
            เราคุยต่อพักหนึ่ง เต้ก็ขอตัวออกไปข้างนอก เค้าบอกว่าต้องไปส่งงานอาจารย์......แล้วถึงจะกลับมาอีกทีในตอนเย็น.....ผมมองตามเค้าเดินลับประตูออกไปตาละห้อย......เรี่ยวแรงที่มีอยู่ในกายหายไปเสียสิ้น...ทำไมอะไรต่ออะไรไม่เคยจะลงตัวสักทีนะ...ผมพยายมสลัดอารมณ์ขุ่นมัวทิ้งไป....ถึงยังไงเย็นนี้ก็ยังมีอีกยาวนาน...เรายังมีเวลาเจอกันอีกเยอะ....คิดได้ดังนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวต่อไป...โดยที่ลืมคิดไปว่า แขกก็จะต้องมากันอีกเยอะกว่านี้หลายเท่า...แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาคุยกันล่ะ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2007 10:56:52 โดย moody »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #39 เมื่อ: 22-05-2007 10:49:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #40 เมื่อ22-05-2007 12:22:24 »


.............ของบางอย่าง......เราก็ไม่ควรจะเอื้อมมาเป็นของเรา..... o7 o7

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #41 เมื่อ22-05-2007 13:31:24 »


.....เข้ามาแย้งกะรีบนเคอะ..... o4

ปล. ตาบลูก็เป็นอย่างงี้แหละคุณพี่คนเขียนเคอะ  เม้นต์แต่ละทีแสบไปถึงทรวงใน

ทำใจเถอะคุฯพี่ ก็คนมันแก่แล้ว :laugh:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #42 เมื่อ22-05-2007 15:10:28 »

ผมอ่ะ เก่งทฤษฎี แต่ปฎิบัติคงสู้ไม่ได้
 o3

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #43 เมื่อ22-05-2007 16:08:57 »

ขี้โม้......อุอุ

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #44 เมื่อ22-05-2007 16:14:36 »

              เมนูสำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้มี ขนมจีน (ไม่ใช่เส้นขนมจีนจริงๆ แต่เป็นเส้นบะหมี่ชนิดหนึ่งจากเมืองจีน ที่พอเอามาลวกแล้วจะเหมือนเส้นขนมจีนเป๊ะ) แกงเขียวหวานไก่ (ผมใส่มะเขือม่วงแทนมะเขือเปราะเนื่องจากไม่มีขาย ซึ่งพอทำแล้วกลับไม่เวิร์กเหมือนดังที่ตั้งใจเอาไว้) แกงส้ม เมี่ยงญวน ต้มยำไก่ สาคูใส่ข้าวโพด และก็หมูมะนาว....ที่เหลือก็เป็นอาหารที่แขกคนอื่นๆนำมาสมทบ
             ใครๆต่างก็พากันชมว่าผมทำหมูมะนาวอร่อยมาก.......พวกนี้มักจะมีวิธีหลอกกินฟรี ได้อย่างแยบยลเสมอ....แต่ก็ช่างเถอะ ก็ผมทำอร่อยจริงๆนี่...
              “พี่กั้งทำเหมือนง่ายๆ เห็นปรุงๆและก็คลุกๆทำไมออกมาอร่อยอ่ะ”
ผมนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ....ก็มันเป็นเมนูกับแกล้มจานโปรดนี่นา...ทำบ่อยจะตาย เวลาตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนสมัยอยู่เมืองไทย...
            ทุกคนพากันแย่งชิมหมูมะนาวของเต้.....ตายล่ะ ผมนึกในใจ....เต้ก็ยังไม่กลับมา...แล้วมันจะเหลือมั้ยเนี่ย...ก็ผมอยากเหลือเอาไว้ให้เต้ได้กินมั่งนี่....แต่จะแสดงอะไรออกนอกหน้าก็ไม่ได้....โอ้ย..กลุ้ม..เมื่อไหร่จะกลับมาซะทีตาบ๊องเอ้ย...

             เราตั้งวงเล่นเกมเพื่อสร้างบรรยากาศครื้นเครง.....เกมแย่งดินสอ....ปัญญาอ่อนเนอะ...แต่ผมกลับหัวเราะเสียงดังกว่าใครเพื่อน....ก็มันสนุกง่ะ...
            ผมหัวเราะซะจนลืมมาดอันเสงี่ยมที่พึงกระทำ..... พลันผมก็เหลือบไปสบกับสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองอยู่....เต้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่.....ผมไม่ทันได้สังเกตเลย...ตายแล้ว...นี่ผมเผลอหัวเราะปากกว้างไปหรือเปล่าเนี่ย.....เค้าหลิ่วตาให้ผมเป็นเชิงล้อเลียน.....ผมหลบตาลงต่ำ ทำทีว่าไม่สนใจ หันมาเล่นเกมกับคนอื่นๆต่อ.......ระหว่างนั้นผมคอยลอบมองเต้เป็นระยะๆ เพื่อจะดูว่าเค้าทำอะไรอยู่บ้าง.....เค้าไม่ได้มาร่วมเล่นเกมกับเรา คงจะคิดว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ ไม่เหมาะกับเค้า...ชิ.....เต้จับกลุ่มคุยอยู่กับพวกผู้ชายอีกแล้ว.....เค้าแทบจะไม่ได้มองมาทางผมเลย....ดีล่ะ ผมจะเรียกร้องความสนใจจากเค้าดูบ้าง.....
            ผมพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน...คุยเสียงดัง...และหัวเราะเสียงดัง....เพื่อดึงความสนใจจากเต้....สุดท้ายก็ได้ผล.....คนอื่นๆหันเข้ามารวมกลุ่มกับพวกเรา รวมทั้งเต้....แต่เค้าก็เพียงแค่อมยิ้มนั่งดูอยู่รอบนอก ไม่ได้เข้ามาร่วมวงแต่อย่างใด....ผมรู้สึกสิ้นหวัง....เมื่อมองย้อนกลับไป ณ ตอนนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าพฤติกรรมของผมดังกล่าว ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ มันไม่ใช่ตัวผมเลย...ผมรู้สึกละอายที่ทำตัวปัญญาอ่อนได้ขนาดนั้น เพียงเพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากเค้า.....นี่ผมยอมสูญเสียความเป็นตัวตน เพียงเพราะอยากให้ใครคนหนึ่งมาสนใจงั้นหรือ...ทำได้แม้กระทั่ง การทำตัวงี่เง่า....เต้จะมองว่าผมไร้สาระมั้ยนะ...
         
           เราไม่ได้คุยกันอีกเลยตลอดงาน....จนกระทั่งตอนขากลับ หลังจากที่ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว....ผมกลับออกมากับกลุ่มสุดท้าย.....เต้เดินออกมาส่งพวกเราที่ป้ายรถเมล์....ผมแสร้งเดินทอดน่องให้ช้าลง เพื่อหาจังหวะอยู่กับเค้าสองคน....กระทั่งเราเดินตามอยู่ท้ายกลุ่ม..
          “ได้ข่าวว่าพี่กั้งไปตีแบดบ่อยเหรอครับ” เต้ถามทำลายความเงียบระหว่างเรา
          “อืม ไปกับแพทสองคน อยากไปตีด้วยกันมั้ยล่ะ” ผมถามเปิดทางให้เต้ พลางนึกในใจว่า...ตะครุบเหยื่อซะทีสิ ตาบื้อ....
          “ดีเหมือนกัน ผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ ช่วงนี้มีเรียนเยอะด้วย” เสร็จผมล่ะ...
          “เอาไว้พี่จะเมลมาบอก” หัวใจของผมพองโตด้วยความหวัง....เป็นความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่..ผมอยากให้เค้าได้มีโอกาสใกล้ชิดกับผมบ้าง....ถ้าเค้าได้รู้จักผมมากกว่านี้...บางทีเค้าอาจจะมองเห็นในสิ่งที่ผมอยากให้เค้าเห็นก็ได้....ผมคิดว่าผมมีดีพอ...
           “ครับ ไปแน่นอน แต่ผมเล่นไม่เก่งนะ” เค้ารับคำ พลางออกตัวไว้ก่อน
           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะสอนให้” จะสอนแบบตัวต่อตัวเลย ผมคิดต่อในใจ
            เราร่ำลากันที่ป้ายรถเมล์ ผมมีความรู้สึกอยู่สองอย่าง ณ เวลานั้น.....อย่างแรกเป็นความรู้สึกสุขใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง อย่างที่สองเป็นความรู้สึกกลัว...กลัวว่าจะไม่ได้อย่างที่หวัง....และกลัวว่า ถึงแม้จะได้อย่างที่หวัง เราก็กำลังจะจากกันในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้านี้แล้ว.....พระเจ้าจะเล่นตลกอะไรกับผมอีกล่ะ..

           “เรามีแพลนจะไปตีแบดวันพุธนี้ ตอนห้าโมงเย็น ถ้าเต้ว่างเมลมาบอกพี่หน่อยนะครับ”
           ผมเมลไปแจ้งเต้เรื่องกำหนดการตีแบดของเรา ในสัปดาห์ต่อมา..........
           “ผมไปได้แน่นอนครับ แล้วเจอกันนะครับ” เค้าตอบกลับมาในค่ำวันนั้น......

            ผมเฝ้ารอวันพุธที่จะมาถึงด้วยใจระทึก....ถ้าเค้าอยู่ในชุดกีฬา จะดูเท่ห์ขนาดไหนนะ....แล้วเค้าจะตีแบดเก่งหรือเปล่า ถึงจะตีไม่เก่งยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดีนั่นแหละ....ตีแบดเสร็จต้องชวนไปกินข้าวต่อ จะไม่ปล่อยให้กลับบ้านไปง่ายๆหรอก....ผมจินตนาการไปต่างๆนานาตามประสาคนชอบเพ้อฝัน......
            จนกระทั่งวันที่ผมเฝ้ารอมาถึง.....ผมเตรียมชุดกีฬาที่ดูดีที่สุดติดกระเป๋าไปที่แลปด้วย ทั้งยังวางแผนจะทำแลปให้เสร็จแต่วัน....เพราะอย่างน้อยๆผมต้องมีเวลาเหลือในการเตรียมความพร้อมก่อนจะเจอเค้า....
ตกบ่าย หลังจาก ว่างจากการทำแลป.....ผมเข้าตรวจเช็คเมลตามปกติ....มีเมลมาจากเต้ด้วย...
            “พี่กั้ง ผมขอโทษนะครับ วันนี้คงจะไปไม่ได้แล้ว อาจารย์เพิ่งนัดสอนเพิ่มตอนบ่าย เอาไว้โอกาสหน้านะครับ”
ความหวังของผมดับวูบทันที.....นึกอยู่แล้วเชียว...คนอย่างผมไม่มีวันได้ยิ้มกับใครเค้านานหรอก....ถ้าสมหวังต้องไม่ใช่กั้งตัวจริง......เพราะกั้งตัวจริงมักจะมาคู่กับความผิดหวังและน้ำตาเสมอ......
           “ไม่เป็นไรเต้ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะ” ผมข่มใจตอบเมลเต้ ด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว......ผมลืมบอกเค้าไปว่า....ผมจะไม่ไปตีแบดอีกแล้ว.....


           ผมไม่ได้ข่าวคราวจากเต้อีกเลย.....จนกระทั่งวันสุดท้ายของงานเลี้ยงอำลาเพื่อกลับเมืองไทยของผม....แม้ความรักผมมักจะล้มเหลวเสมอ......แต่สำหรับเรื่องเพื่อนพ้อง ผมกลับจัดว่ามีความโชคดีมากเสมอ.....ทั้งๆที่มาอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่ห้าเดือน แต่ผมสามารถเข้าถึงใจนักเรียนไทยที่นี่ได้ทุกคน....นักเรียนที่มาอยู่ระยะสั้นแบบผม มีน้อยรายนักที่จะถูกจัดเลี้ยงอำลาโดยนักเรียนไทยเจ้าถิ่นเช่นนี้....แถมยังมีการแย่งกันเป็นเจ้าภาพอีกด้วยนะ.....จนสุดท้าย ผมต้องออกโรงมาสงบศึก โดยการเลือกผู้ที่เสนอตัวไว้ก่อนใครให้เป็นเจ้าภาพ.........เป็นอันยุติข้อพิพาษทั้งปวง......เฮ้อ.....ทำไมทีผู้ชายไม่มารุมแย่งกันอย่างนี้มั่งนะ.....คนเรามักจะได้อย่างเสียอย่างเสมอ......มีเพื่อนแต่อับแฟน....มีแฟนแต่ขาดเพื่อน.....จะเลือกเอาอย่างไหนล่ะกั้ง....

           งานเลี้ยงจัดขึ้นที่หอพักของปุ๊ก ซึ่งเป็นผู้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอำลาให้ผมเป็นคนแรก ทั้งยังมีความอุตสาหะในการเก็บคูปองอาหารในมื้อเย็นที่เธอไม่ได้ไปกินเอาไว้ จนได้จำนวนพอกับนักเรียนไทยทุกคน.....เราไปรวมตัวที่หอของปุ๊กในค่ำวันสุดท้ายก่อนการเดินทางกลับของผม......ปุ๊กแจกคูปองแลกอาหารให้กับทุกคน......อาหารที่นี่มีอยู่อย่างเหลือเฟือราวกับอาหารตามโรงแรม......
           เมื่อตักอาหารจนพอใจ....ทุกคนจึงมานั่งรับประทานอาหารรวมกันที่โต๊ะใหญ่......เพื่อนๆทำขนมมาให้ผมด้วย.....โดยมีข้อความที่ขนมว่า “งานเลี้ยงอำลาแด่เชฟกระทะเหล็ก...กั้ง” ผมตื้นตันกับน้ำใจของทุกคนจนพูดไม่ออก.......ในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่นี้ ผมได้รับความรักและอาทรจากทุกคนมากขนาดนี้ นับว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ......
           เต้นั่งอยู่ตรงข้ามกับผม (อีกแล้ว ทำไมเราไม่ค่อยได้นั่งใกล้กันเลยนะ) เพื่อนๆรุมแย่งกันคุยกับผมเพื่อเป็นการทิ้งท้าย จนผมไม่มีโอกาสได้คุยกับเต้เลย.....ผมเห็นเค้านั่งมองดูอยู่ห่างๆด้วยยิ้มละไมเช่นเดิม.....ทำไมมันช่างยากเย็นขนาดนี้นะ กับการที่จะรักใครสักคน ที่เขาไม่ได้รักเรา.....

           “ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยดีมั้ย” ผมเสนอความคิด ก่อนจะวานพี่คนหนึ่งเป็นตากล้องจำเป็นให้
ผมเดินไปประกบถ่ายภาพกับเพื่อนๆทีละกลุ่ม....จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่กลุ่มของเต้..ผมเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของเค้าในขณะที่เค้านั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้.....
           “ยิ้มนะครับ หนึ่ง สอง สาม” พี่ตากล้องให้สัญญาณ แก่พวกเราก่อนจะกดชัตเตอร์
ใจผมอยากจะเอื้อมมือไปโอบไหล่เค้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราจะจากกัน...แต่ก็กระดากเกินกว่าที่จะทำ....ลาก่อนนะเต้...ผมลอบถอนหายใจก่อนที่จะเดินจากไปเพื่อถ่ายภาพร่วมกับคนอื่นๆ......

            หลังจากถ่ายภาพและร่ำลากันจนเป็นที่พอใจแล้ว....พวกเราจึงแยกย้ายกันที่หน้าโรงอาหาร.....ผมเดินจากมาเงียบๆ........
            “พี่กั้ง เดี๋ยวก่อนครับ” เสียงเต้ตะโกนมาจากด้านหลัง...ผมหันกลับไปมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ.....เค้าเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า.....ผมรู้สึกเหมือนฝันไป....
            “พี่กั้งอย่าลืมแอดผมในเอ็มเอสเอ็นนะครับ” เค้าพูดพลางส่งเมลที่ใช้เล่นเอ็มเอสเอ็นให้ผมพร้อมรอยยิ้มละไมเช่นเคย.......ผมพยามจะจดจำร้อยยิ้มสุดท้ายของเค้าไว้ในใจ....
           “ได้สิ ถ้าพี่กลับเมืองไทยแล้วพี่จะรีบแอดเต้ทันที” เสียงผมรับคำแผ่วเบา
           “ผมคงไม่ได้ไปส่งที่สนามบิน ยังไงก็ขอให้พี่โชคดีนะครับ” เค้ายื่นมือมากุมมือผมกระชับเอาไว้ชั่วขณะ ก่อนจะปล่อยกลับคืนเช่นเดิม
          “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าว่างอย่าลืมไปเที่ยวเชียงใหม่บ้างนะ พี่จะคอย” ผมกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะเดินจากมาด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว......วาสนาผมคงมีได้แค่นี้....จากนี้ไปเราคงไม่ได้พบกันอีก....คนบางคนอาจจะเกิดมาเพียงเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้ใครสักคน......แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเคียงคู่กับเรา.....ผมจำเป็นต้องตัดใจ....ปล่อยวางเค้าไป......เมลที่เค้าให้ผมมาเพื่อใช้ติดต่อทางเอ็มเอสเอ็นนั้น...ไม่ใช่คำสัญญาใดๆระหว่างเรา....มันคงจบแต่เพียงเท่านี้.....ผมจะเก็บเค้าเอาไว้ในใจอย่างไม่มีวันลืม..........


           “พี่จะไปรอรับกั้งที่สนามบิน ยังไงเอาไว้เจอกันที่นั่นเลยนะครับ”
            พี่ดุ๊กเมลมารอบสุดท้าย ก่อนการเดินทางกลับของผม......ถึงตั้งตีสาม.....ผมไม่คิดว่าเค้าจะมา........เวลาแห่งการเผชิญหน้ากำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้......ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง.....จำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรกับเค้าไว้มั่ง.....ที่แน่ๆก็คือให้ความหวังเค้าไปค่อนข้างมากพอดู.....ถึงยังไงเราต่างก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า ถ้าเจอกันแล้วไม่คลิ๊ก ทุกอย่างก็คนจะจบลง ณ ตรงนั้น......ไม่มีการติดใจเอาความ......อะไรที่เคยพูดกันเอาไว้ที่ผ่านมาก็ทำเป็นลืมๆมันไปซะเถอะ......ผมนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพด้วยความกังวลถึงสิ่งที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ในอดีต....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2007 17:54:16 โดย moody »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #45 เมื่อ22-05-2007 16:21:53 »

นั่งกันตูดบานเลยอะ  คุณพี่มาต่อเครื่องที่ไหนเคอะ 

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

ตื้นเต้นชะมัดเลยที่จะได้เจอกลับตาดุ๊กแล้ว  :oak:

แล้วไอ้เด็กนัทนั้นอะคุณพี่

ปล.  มีแฟนแต่อับเพื่อน  มีเพื่อนแต่อับแฟน  โอ้วววววววววววววววววววววววววส์  ความเป็นจริงที่ทรมาน  :dont2:

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #46 เมื่อ22-05-2007 16:27:08 »

เข้ามารออ่านชีวิตในต่างแดน

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #47 เมื่อ22-05-2007 16:38:42 »

อ้างถึง
เมื่อตักอาหารจนพอใจ....ทุกคนจึงมานั่งรับประทานอาหารรวมกันที่โต๊ะใหญ่......เพื่อนๆทำขนมมาให้ผมด้วย.....โดยมีข้อความที่ขนมว่า “งานเลี้ยงอำลาแด่เชฟกระทะเหล็ก...กั้ง” ผมตื้นตันกับน้ำใจของทุกคนจนพูดไม่ออก.......ในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่นี้ ผมได้รับความรักและอาทรจากทุกคนมากขนาดนี้ นับว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ......

มีเพื่อนดี บางทีก็มีความสุขดีอยู่แล้วนะครับ
 o4

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #48 เมื่อ22-05-2007 18:01:02 »

ความรักจากเพื่อน กับความรักจากแฟน ถ้าจะเปรียบไปแล้ว คงเหมือนการกินข้าวและก็การดื่มน้ำ หากขาดอันใดอันหนึ่งไป การรับประทานอาหารมื้อนั้นคงจะไม่สมบูรณ์ จริงมั้ยครับคุณ Blue...... :o8:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #49 เมื่อ22-05-2007 18:23:08 »

หุหุ กลับมาลุ้นพี่ดุ๊กดีกว่า  :teach:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #49 เมื่อ: 22-05-2007 18:23:08 »





ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #50 เมื่อ22-05-2007 19:00:25 »

เพิ่งตามอ่านทัน  หนุกๆๆๆ   เขียนดีเชียว o13

แสดงว่าคุณ Moody เป็นเชฟกระทะเหล็กที่น่ารักของเพื่อนๆ จริงๆ นะเนี่ย  เพราะว่ามีน้อยมากจริงๆ แหละที่จะเลี้ยงให้คนที่มาอยู่แค่ระยะสั้นๆ อะ  นอกจากจะถูกชะตาแล้วก็น่าเอ็นดูจริงๆ  ดีใจด้วย  อย่างน้อยก็ได้เพื่อนอะนะ  เป็นเราดีใจมั่กๆ แล้วละ  เรื่องเต้นะ  เอาไว้อ่อยทาง MSN เอา 55 

ตอนนี้กลับมาเมืองไทยแล้ว  มาดูเป้าหมายที่เหลือดีกว่า พี่ดุ๊กกับน้องนัท :laugh3:  :laugh3:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #51 เมื่อ23-05-2007 11:47:46 »

                                                                                     ตอนที่ 2
                                                                                   I am in love

                 เครื่องบินลงจอดที่สนามบินดอนเมืองเป็นเวลาตีสามพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน.......ความรู้สึกของผมเสมือนตายแล้วเกิดใหม่......ไม่ใช่เพราะว่ากลัวการนั่งเครื่องบิน......แต่มันเป็นความรู้สึกโล่งใจเนื่องจากภารกิจที่แสนจะเหนื่อยหนักทั้งหลายทั้งปวงได้หลุดพ้นออกไปจากอกจนหมดสิ้นแล้ว....พอกันทีสำหรับความเดียวดาย....ความอดอยาก......ความเหนื่อยล้า....รวมทั้งความตึงเครียดทั้งหลาย.....นี่คงเป็นเพราะอานุภาพของแผ่นดินเกิดโดยแท้.....เพียงแค่ได้ย่างเท้าลงสัมผัสกับพื้นดินเป็นครั้งแรก พลังแห่งชีวิตก็ดูเหมือนจะกลับมาโลดแล่นในกายอีกครั้ง.....เพราะฉะนั้นโปรดอย่าได้ค่อนแคะคนบางคน ที่ถึงกับก้มลงจูบแผ่นดินเมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเลย.....มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เกินจริงไปหรอก.....ถึงยังไงคุณก็ไม่มีทางได้ล่วงรู้ว่า คนผู้นั้นต้องเผชิญกับอะไรบ้างตลอดระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน....การกล่าวเปรียบเปรยว่าเสมือนตายแล้วเกิดใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวจนเกินความจริงไปแต่อย่างใด......

                หลังจากจัดการธุระเรื่องสัมภาระทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ผมจึงลากกระเป๋าขนาดเขื่องสองใบ พร้อมด้วยเป้บนหลังอีกหนึ่งใบเดินตรงไปยังห้องผู้โดยสารขาเข้าอย่างทุลักทุเล......เวลาของการหลับนอนแบบนี้ จะมีใคร มีแก่ใจถ่อสังขารออกมารอรับผมที่สนามบินบ้างไหมหนอ......ระหว่างทางเดิน ใจผมคิดไปถึงสิ่งที่พี่ดุ๊กได้เคยให้สัจจะวาจาเอาไว้ว่า จะมารอรับ...แต่ผมไม่ใช่เด็กอมมือที่จะมานั่งเชื่ออะไรโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน.....แม้ผมจะให้เบอร์เค้าไว้แล้ว แต่เบอร์ดังกล่าวยังอยู่ในช่วงระงับการใช้งานอยู่ เพราะฉะนั้นเค้าคงติดต่อผมไม่ได้ในตอนนี้.....ประการที่สอง ถึงแม้ว่าเราจะเคยเห็นรูปซึ่งกันและกันแล้ว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเค้าได้อยู่ดี ถ้าเค้าคิดจะมารอรับโดยที่ไม่โทรมาคุยกับผมเสียก่อน (เสี่ยงต่อการหน้าแตกเหมือนกันนะ ถ้าหากผมไม่พึงพอใจเค้า เมื่อเราเจอกันแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก)....และประการสุดท้าย ผมไม่เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด......

                   เค้าไม่มาจริงๆอย่างที่ผมคิด.....ไม่มีแม้เงาของหมาสักตัว (เค้าเคยบอกว่าจะพาหมาสองตัวของเค้ามารับผมด้วย) ผมนึกอยู่แล้ว เพราะระยะหลังเค้ามีท่าทีแปลกๆ ดูเหมือนจะคลายความเสน่หาผมลงไปมาก....ผมก็คิดอยู่แล้วว่าคนยังไม่เคยเจอกันจะมาพร่ำเพ้อรำพันว่ารักนักรักหนาได้อย่างไร......มันจะไม่ดูใจง่ายไปหน่อยเหรอ......แต่ก็เล่นเอาผมเคลิ้มไปได้พักหนึ่งเหมือนกันนะ......หรือว่าเค้าจะมีคนอื่น...ใช่แล้ว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าช่วงที่เค้าหายไปเค้าคงไปมีคนอื่น....เค้าเคยให้เบอร์ผมเอาไว้ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจจำ....อยากโทรมาก็โทรมาเองก็แล้วกัน....
                  ผมนั่งแทกซี่กลับมาที่ห้องของเพื่อนเพียงลำพัง.......ในสถานการณ์เดียวกันนี้ ถ้าอยู่เมืองนอกผมคงรู้สึกเวทนาตัวเองน่าดู.....แต่นี่มันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผมเอง......เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้เป็นเรื่องจ้อย.....


                    วันรุ่งขึ้น ผมไปดำเนินการเปิดบริการใช้โทรศัพท์หมายเลขเดิม.....เพื่อนๆโทรมาถามข่าวคราวทั้งวัน ราวกับว่าผมเพิ่งกลับมาจากการรบที่สงครามเวียดนามกระนั้น.....ผมยังมีอาการเจ็ตแลกซ์ (ปรับตัวเรื่องเวลายังไม่ได้เนื่องจากบินข้ามไทม์โซนมา) แต่ด้วยสปิริตอันแรงกล้า คืนนั้นผมจึงแข็งใจแต่งตัวออกไปร่วมท่องราตรีตามคำเรียกร้องของเพื่อนๆ......อยู่เมืองนอกไม่ได้กินเหล้าเลย ตอนนี้รู้สึกอยากกินอยู่เหมือนกัน คิดแล้วก็เปรี้ยวปาก...อิอิ
                   เรามาถึงร้านประจำแถว อตก. ร้านนี้เคยมีประวัติคู่กับผมมายาวนาน....ใช่แล้ว....ผมเคยพบรักกับใครคนหนึ่งที่นี่....และก็เลิกกันที่นี่.....ตอนนี้ผมก็ยังชอบเค้าอยู่.....แต่เค้าคงไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้ผมแล้ว........ดนตรีสนุก...เหล้าก็หวานดี....บรรยากาศท่ามกลางเพื่อนๆช่างอบอุ่น....จะมีอะไรสุขไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย...
                  “กั้ง นั่นใช่ไอ้เก้งหรือเปล่า” เพื่อนผมกระซิบ พลางพยักเพยิดไปที่โต้ะตรงมุมร้าน
                 “ใช่จริงๆด้วย แกทำเฉยๆไว้ก่อน ไม่ต้องไปสนใจ” ผมกระซิบตอบ รู้สึกถึงความร้อนวูบที่ใบหน้า.....หัวใจเต้นระส่ำ
                 เสมือนปู่กระสันถึงไก่ในไพรพฤกษ์ นึกถึงไก่ไก่ก็มาดังกระสัน....แค่คิดถึงก็ได้เจอ.....ผมทำทีไม่เห็น คอยดูว่าเค้าจะทำอย่างไร....เค้ามากับน้องคนนั้นด้วย......แฟนของเค้า...ยังคบกันอยู่อีกเหรอ......ใจของผมพลุ่งพล่านด้วยไฟริษยา........การได้พบเค้าทำให้ผมหวนนึกถึงอดีต.....อดีตอันแสนเจ็บปวด....

                   ผมกับเก้งเจอกันเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนั้นผมลงมาทำแลปที่กรุงเทพเป็นเวลาสองเดือน....และผมก็ได้มานั่งที่ร้านนี้...เรารู้จักกันโดยการแนะนำของเพื่อน....จากนั้นเค้าก็เริ่มจีบผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.....เค้าเป็นสเป็คของผม....สูง....ขาว.....ตี๋....ใส่แว่น...ใส่เหล็กดัดฟันด้วย.....(ผมชอบคนใส่เหล็กดัดฟันเป็นพิเศษ) นอกจากนี้ยังดูสุภาพมาก....เราเริ่มออกเดทกันบ่อยขึ้น...กินข้าว....ดูหนัง....ร้องคาราโอเกะ.....ผมหลงเค้ามาก............
                   จนมาวันหนึ่ง.....เค้าเริ่มพาน้องคนนั้นเข้ามาในชีวิตของเรา โดยบอกว่าเป็นน้องที่อยู่แถวบ้าน....แต่สัมผัสของผมบอกว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นมากกว่าน้องแน่นอน..ระยะหลังของการออกเดท เก้งจะพาน้องคนนั้นมาด้วยเสมอ.....เราเริ่มมีปากเสียงกัน....เค้ายืนยันว่าเด็กนั่นคือน้อง.......ผมไม่เชื่อแต่ก็ต้องยอม เนื่องจากไม่มีหลักฐาน และไม่อยากให้เค้ามองว่าเป็นคนใจแคบ ไม่มีเหตุผล........จนครั้งสุดท้ายของการออกเดทของเรา ก็มาจบลงที่ร้านเดิมร้านนี้เช่นกัน.....ผมมากับเก้ง น้องคนนั้น รวมทั้งเพื่อนของเค้าอีกสองคน.....ท่าทางเก้งไม่อยากจะแสดงตัวว่าเป็นแฟนผมเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องคนนั้น... ในขณะที่เพื่อนของเก้งคอยเชียร์ให้ผมแสดงตัวว่าเป็นแฟนของเค้าอยู่ตลอดเวลา......ผมซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนเค้า แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นวิธีที่พึงกระทำ.....ผมจะไม่แย่งในสิ่งที่เป็นของผมอยู่แล้ว......อยากเอาก็เอาไปเถิด...ถ้าไม่เห็นคุณค่าของกันและกันแล้ว จะยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์.....ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......
                      หลังร้านเหล้าปิด.....เก้งยืนกรานว่าจะไปส่งน้องคนนั้น.....โดยไม่ได้สนใจว่าผมกำลังยืนนิ่งฟังอยู่ดั่งบุคคลที่ไร้ตัวตน....ผมได้พบคำตอบสำหรับข้อสงสัยในทุกอย่างที่ผ่านมาแล้ว.......พอกันที...........ผมนั่งแทกซี่กลับห้องด้วยหัวใจร้าวราน.......กระหน่ำส่งข้อความไปต่อว่าเค้าสารพัด...
                      “ทำไมต้องทำแบบนี้กับพี่ ไหนบอกว่าเค้าเป็นแค่น้อง จะโกหกกันไปทำไม”

                      ข่าวคราวจากเก้งยังคงเงียบสนิท......ไม่มีคำอธิบายใดๆจากเขา......ผมนอนซม ไม่กินข้าวอยู่สามวัน...อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออกเลยซักนิดเดียว.......ผมตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับเชียงใหม่ ขืนอยู่ไปก็เป็นการทำร้ายตัวเองเปล่าๆ.....กลับไปที่นั่นเพื่อจะได้ลืมทุกๆอย่าง.....
                     “พี่กั้ง ผมขอโทษ ผมไม่ได้มีอะไรกับน้องเค้าจริงๆ” เก้งโทรมาอธิบายในค่ำวันที่ผมกำลังจะเดินทางกลับเชียงใหม่
                    “พี่ทนไม่ไหวหรอกเก้ง พี่จะกลับเชียงใหม่แล้ว” เค้าดูมีท่าทีตกใจเมื่อรู้ว่าผมตัดสินใจที่จะกลับเชียงใหม่โดยไม่ได้บอกกล่าว...
                    “พี่กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะตามขึ้นไปหาทีหลัง” นี่เป็นคำสัญญาจากเค้า แต่ผมไม่เอาอีกแล้ว.....ถึงแม้จะรักแต่ผมทนไม่ได้ถ้าต้องเผชิญกับปัญหาการนอกใจซึ่งๆหน้าแบบนี้....ผมไม่ชอบคนเจ้าชู้...เราจึงจบกันตั้งแต่นั้นมา แต่เค้าก็ยังคงติดต่อกับผมบ้าง ตามโอกาส....และผมมารู้ทีหลังจากปากของคนเองว่าเค้าหันไปคบกับน้องคนนั้นเป็นแฟนแล้ว.....

                      “หวัดดีครับพี่กั้ง กลับจากเมืองนอกตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงของเก้งปลุกผมตื่นจากภวังค์....เขาเข้ามาทักจริงๆด้วย
                      “กลับมาได้สองสามวันแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะขึ้นเชียงใหม่” ผมตอบ ขณะที่เหลือบตามองดูแฟนของเก้ง ซึ่งจ้องมองมาที่ผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ.....ดีล่ะ
                      “ดื่มเหล้ากับพี่หน่อยสิ” ผมยกแก้วให้เก้งดื่ม เค้ารับเอาไปอย่างว่าง่าย.....เราเต้นรำคลอเคลียกันไปตามจังหวะเพลง.....สายตาหึงหวงคู่นั้นจ้องมองมาอีกแล้ว.......ผมกอดที่เอวเก้งกระชับให้แน่นยิ่งขึ้น.......แฟนของเค้าเดินออกออกไปนอกร้าน หายลับไปกับตา....
                      เก้งไม่ได้สนใจว่าแฟนของเค้าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เค้ายังคงสนใจกับการเต้นรำคลอเคลียอยู่กับแฟนเก่าอย่างผม.....ผมค่อยๆใช้มือลูบไล้จากเอวของเค้าลงมาหยุดอยู่บริเวณต้นขา....เกาะกุมเอาไว้แผ่วเบาแต่แน่นกระชับ.....ผมรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋าของเก้ง.......โทรศัพท์ ผมคิด.....เก้งยังคงปล่อยให้มันสั่นสะเทือนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน......จนในที่สุด
                      “กลับไปเถอะเก้ง มีคนโทรมาตามแล้ว” ผมตัดบท ก่อนจะผละออกจากการเกาะเกี่ยว
เก้งกล่าวคำอำลาอย่างร้อนรน ก่อนเดินออกจากร้านไป.........ผมเผลอยิ้มออกมาที่มุมปาก.....กินเหล้าต่อดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะได้กลับเชียงใหม่แล้ว......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2007 12:04:09 โดย moody »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #52 เมื่อ23-05-2007 12:40:21 »

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วันไหนกันยะ  ทำไมชั้นพลาดซีนสำคัญนี้ไปได้  โอ๊ะลืมไป! ชั้นไม่ได้อยู่ประเทศไทยนี้หว่าตอนนั้น  เอ!! หรือว่าอยู่อะ

ชิส์  ไอ้เก้งสารเลว  :angry2:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #53 เมื่อ23-05-2007 13:57:36 »

...........ผมจะไม่แย่งในสิ่งที่เป็นของผมอยู่แล้ว......อยากเอาก็เอาไปเถิด...
ถ้าไม่เห็นคุณค่าของกันและกันแล้ว จะยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์.....
ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......

..............ชอบประโยคนี้จังเลย......... o13 o13

..............เพราะต่อหั้ยรัก...แต่กรูก็มีศักดิ์ศรี......... :laugh: :laugh:

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #54 เมื่อ23-05-2007 15:38:40 »

...........ผมจะไม่แย่งในสิ่งที่เป็นของผมอยู่แล้ว......อยากเอาก็เอาไปเถิด...
ถ้าไม่เห็นคุณค่าของกันและกันแล้ว จะยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์.....
ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......


จดยิกๆ แล้วบันทึกลงพจนานุกรมหัวใจตัวเอง...เมื่อไม่เห็นค่ากันแล้ว ยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์

If you don't feel being loved, so fuck it off  :angry2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #55 เมื่อ23-05-2007 19:37:12 »

ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......  o7
ได้ใจมั่ก ๆ   o7

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #56 เมื่อ23-05-2007 23:51:49 »

สิ่งยั่วยวนมันก็เยอะนะ
ยิ่งถ้าพวกใจไม่เข้มแข็ง

อย่าเปิดโอกาสให้มันเกิดดีที่สุด
 :o12:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #57 เมื่อ24-05-2007 08:54:01 »

เอะอะอะไรก็โทษแต่สิ่งยั่วยวนหรือยังไง พวกผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทุกคน....หุหุ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #58 เมื่อ24-05-2007 09:21:22 »

เอะอะอะไรก็โทษแต่สิ่งยั่วยวนหรือยังไง พวกผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทุกคน....หุหุ
:sad3: :sad3: :sad3:
ผมไม่เกี่ยวน้า
 o21 o21 o21
ก็น่าคิดอีกกรณีหนึ่ง ถ้าเขาไม่รักเรา ฝืนไปก็เท่านั้น จะให้ไปเหมือนชายจริงหญิงแท้ ที่ต้องผูกพันกัน มันเกิดขึ้นได้น้อยมาก
พวกเรามักไขว่คว้าสิ่งที่เหนือกว่าตัวเองไปเรื่อยๆไม่รู้จักพอ อย่าไปโทษคนอื่นเลย มันเป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย
จึงเกิดคำว่าไม่รู้จักพอ
 :dont2:

ถ้าทุกคนพอใจในสิ่งที่มีอยู่ มันคงไม่เกิดเรื่องเศร้า ให้เห็นกัน
 :o7:

ดังนั้นถ้าเขาไม่รักเรา ก็หันมามองตัวเองด้วย ว่าทำตัวให้มีค่าเหมาะสมกับคนที่เรารอคอยหรือยัง
 o1

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #59 เมื่อ24-05-2007 09:54:42 »

แค่แซวเล่นแค่นี้เอง แต่ตอบกลับมาเป็นคุ้งเป็นแควเชียว....สงสัยจะร้อนตัว.....อิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด