ร้านแห่งใหม่ที่รามินทร์ตัดสินใจเปิดนั้นไม่แตกต่างจากร้านเดิมที่อยู่ซักเท่าไร เจ้าของร้านทุ่มเงินกันไปไม่น้อยเพื่อนที่จะหาตึกว่างที่พอจะปรับแต่งชั้นบนให้เป็นห้องหับพอสำหรับที่จะให้คนนอนเฝ่าได้เหมือนอย่างที่ร้านเก่าในขณะที่ชั้นสองเปิดเป็นห้องออฟฟิศและสต็อคเก็บของและห้องเก็บของของพนักงาน ด้านล่างให้บบรากาศสบายๆ แม้จะไม่มีที่มากพอให้ใส่ต้นไม้ประดับใหญ่ๆลงไปได้เหมือนอย่างที่ร้านเดิม แต่ก็เน้นโทนสี เขียวและของตกตแต่งผนังที่ให้ความรู้สึกสอดคล้องกันกับร้านหลัก ครัวด้านหลังก็มีอุปกรณ์เพียบพร้อมพอจะรับออเดอร์ทั้งอาหารกลางวัน และ ขนมหวานได้ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
"คุณมินจะให้ผมอยู่ที่นี่จริงๆเหรอครับ" เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเดินลงมาจากไปสำรวจที่ชั้นสาม ห้องนอนมีทุกอย่างครบครัน ดูจะดูดีสวยงามกว่าที่ร้านเก่าเสียด้วยซ้ำ
"แน่ซิ่ นายเป็นผู้จัดการ เป็นคนเฝ้าร้าน เป็นทุกอย่างก็ต้องเฝ้าร้านซิ่ " รามินทร์ว่าพลางหัวเราะเมื่อเห็หน้าเหวอๆของเด็กหนุ่ม
"ไม่ต้องห่วง...ขึ้นเงินเดือนให้อยู่แล้ว...อ้าว พี่แมนมาแล้วเหรอ ไหนล่ะเชฟใหม่" รามินทร์ร้องทักเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาตามมาด้วยชายร่างใหญ่อีกคน
" มาแล้วครับๆ หมี นี่ มิน เจ้าของร้าน ส่วนนี่ก็น้อย .. เป็นน้องเรานะ อายุมันเพิ่งจะสิบแปด " กตัญญุแนะนำคนทั้งสองให้ชายร่างใหญ่สมชื่อนั้นรู้จัก
"เฮียอ่ะ...ไม่เห็นต้องบอกระเอียดปานนั้นเลย " สมปองประท้วงเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้คนร่างใหญ่ ที่สมชื่อ
"สวัสดีครับพี่หมี"
" อ่า สวัสดีครับ คุณมิน .. แล้วก็ น้อย .. ผม หมี ครับ จะเรียก พี่หมี ไอ้หมี หมีควาย อะไรก็ได้นะครับ แหะ แหะ "ดวงตาเล็กของหนุ่มร่างอ้วนมองเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งจะได้ยินว่าอายุเพิ่งจะ 18 แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะมองซ้าย ขวา
" แล้วไหนอะพี่ ผู้จัดการร้านอะ "
"นี่ไงครับ ผู้จัดการร้าน..." รามินทร์ดันตัวสมปองให้ก้าวออกมาอยู่ข้างหน้า
"ไม่ต้องห่วงนะครับ ประสบการณ์ร้านกาแฟโชกเลือด"
" โห จริงดี่! น้อยตัวแค่นี้ เป็นเจ้านายพี่แล้วเหรอเนี่ย? "ตาเล็กๆ นั่นพยายามทำตาโต มองคนตัวเล็กข้างหน้า
"อ่า...ไม่ขนาดนั้นครับ ก็...ผมก็เป็นลูกจ้างของคุณมินน่ะครับ..."สมปองว่าพลางก้มหัวลงเล็กน้อย
"เอาเป็นว่าก็ช่วยงานกันนั่นล่ะ "รามินทร์ว่า
"เดี๋ยวเราไปนั่งคุยกันดีกว่า จะได้รู้ว่าจะต้องทำอะไรกันบ้างนะ...ส่วนคุณหมี..."พูดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย
"วันนี้คิดเมนูเอาไว้แล้วหรือยังครับ "
" อ้อๆ นี่ครับ คุณมิน " มือใหญ่ๆ ล้วงแฟ้มพลาสติกออกมาจากกระเป๋าเป้ เป็นรูปของอาหารที่เขาคิดไว้สำหรับร้านนี้ ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะร้านไปเลย
"หน้าตาน่ากินดีนะครับ ยังไงก่อนร้านเปิด เอาเป็นว่าซักวันมะรืนนี้จะใหคุณหมีมาลองทำให้ผมชิมด้วย แล้วลองขายหน้าร้านเอาพอสนุกดีไหมครับ ...แล้วน้อยก็มาทำหน้าที่ผู้จัดการ ที่ดีรับออเดอร์ลูกค้าจัดการเรื่องร้าน เหมือนอย่างที่ทำที่ร้านเดิมนั่นล่ะ เพียงแต่อยู่หน้าร้านมากกว่าไปขัดหม้อเท่านั้น โอเคไหม " ว่าพลางก็หันมาหาสมปองที่ยังดูตื่นๆ อยู่กับคำว่าผู้จัดการ
"อ่ะ..ครับ... " สมปองรับคำเสียงสั่นๆ เขาไม่นึกว่า ถึงจะไม่ได้เจอพศวัตแล้วยังจะมีคนให้โอกาสเขาทำงานดีๆแบบนี้อยู่ด้วย
"โอเค งั้นวันนี้เดี๋ยวข้าพาเอ็งไปดูในครัวก่อน อยากได้อะไรก็บอกแล้วกัน ปะ ไอ้หมี" กตัญญูว่าพลางเดินนำรุ่นน้องไปที่หลังร้าน แต่อีกฝ่ายก็มัวแต่มองเด็กหนุ่มร่างเล็กคนนั้น ไม่ยอมตามมาจนต้องหันมาตวาดใส่
" ไอ้หมีควาย! กูบอกให้ตามมา "
สมปองหันไปมองตามเสียงเรียก ของกตัญญูก่อนจะหันไปมองหน้าของชายร่างใหญ่ที่ยังยิ้มกว้างใส่เขา
"พี่หมีฮะ...เฮียเรียกแล้ว" ว่าพลางก็ชี้นิ้วไปทางกตัญญูที่ยืนหน้ายักษ์พอๆกับรูปร่างสูงใหญ่นั่น
" อ้อ ครับๆ ไปแล้วครับๆ "เขาพยักหน้าแรงๆ แล้วแทบจะวิ่งตามกตัญญูไปทันที เห็นร่างใหญ่ๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปแบบนั้นก็ทำเอาทั้งรามินทร์และสมปองอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
++++++++++++++++++
"พี่เขาตลกดีนะครับ" สมปองหัวเราะออกมา
"เออ นั่นซิ่ แปลกคน" รามินทร์รับคำพลางส่ายหน้า
"โอเค เราที่นี่ก็ตาเราแล้วนะ....เดี๋ยวพี่จะสอนวิธีทำบัญชี กับเช็คของให้ ตอนอยู่ที่ร้านยังเห็นลงผิดๆถูกๆอยู่เลย..."ว่าพลางก็ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ
"อีกสองอาทิตย์เปิดร้าน พี่จะเคี่ยวให้ข้นเลย เข้าใจไหม"
"ครับ...ผมจะตั้งใจเรียนครับ" เด็กหนุ่มรับคำ...เห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่เอาจริงเอาจังแบบนี้เขาเองก็คงต้องเอาจริงเอาจังเช่นกันในเมื่อนี่เป็นโอกาสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้
...ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นแค่คนอื่น...สำหรับรามินทร์แท้ๆ...เมื่อคิดขึ้นมาได้แบบนี้ ความรู้สึกเจ็บปลาบก็วิ่งเข้ามาในอก
....และผมก็คงจะเป็นคนอื่นของคุณเหมือนกันใช่ไหมครับ คุณแมกซ์.....++++++++++++++++++
ดูเหมือนว่าสมปองจะเริ่มทำงานด้วยความรู้สึกที่ขุ่นมัว การกระทำของพศวัตที่เงียบหายไปทิ้งเพียงเงินเอาไว้ให้เขาในบัญชีทำให้เขานึกอะไรไม่ออกมันเหมือนกับถูกทุบด้วยค้อนที่หัว หรือ เจอจระเข้ฟาดหางใส่เข้าที่ต้นคอ ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นคิดยังไงกับเขากันแน่ เขาเป็นเพียงแค่คนที่พอมีความสัมพันธ์ด้วยแล้วก็วางเงินทิ้งไว้ให้แบบนั้น? คำรักที่ได้ยินในคืนนั้นเป็นเพราะความสงสารเหมือนอย่างละครหลังข่าวหรือยังไง แบบนี้มันก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายไม่เคยมองเห็นเขาเป็นคนที่เท่าเทียมกันเลยใช่ไหม เป็นเหมือนกับคนที่ต้องคอยรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายไปตลอด?....จนนานเข้าจึงเหนื่อยหน่ายแล้วถึงได้เงียบหายไปเช่นนี้?
คิดแบบนั้นไปก็ยิ่งเจ็บปวด เด็กหนุ่มผันแปลความรู้สึกขุ่นมัวนั้นให้เป็นพลังงานในการตั้งใจเรียนตั้งใจทำงาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าซักวันตนเองจะยืนได้ด้วยขาของตัวเอง แม้ตอนนี้จะยังเป็นเพียงแค่ลูกจ้าง แต่เขาก็อยากจะเป็นลูกจ้างที่สมศักดิ์ศรี ทำงานได้เต็มที่ให้เหมาะสมกับตำแหน่งและความไว้วางใจ ที่รามินทร์ เจ้านายของเขาในตอนนี้เป็นคนมอบให้...และท้ายที่สุดจะได้ก้าวผ่านความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองนี่ไปซักที....เพราะอย่างไรแล้ว...เขาก็คงจะไม่มีทางลืมชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นไปได้ง่ายๆหรอก....เพราะทุกครั้งที่มองหน้าของรามินทร์ก็เป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนถึง “พี่ชาย” ของเจ้านายคนนั้นอยู่ทุกวัน
++++++++++++++++++
สามเดือนผ่านไป....
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ต้องการเดินทางได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย หลายต่อหลายคนกำลังมองซ้ายมองขวาด้วยว่าไม่ทราบว่าจะต้องเดินไปทางใด กับการมาเมืองไทยครั้งแรก ส่วนบางคนก็เดินเข้าออกที่นี่ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นบ้านหลังที่สอง เช่นเดียวกับ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่สวมสูทลำลองลงมาจากเที่ยวบินจากฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
ชายหนุ่มลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกจากช่องทางผู้โดยสารขาเข้าในประเทศ มือแกร่งล้วงโทรศัพท์มือถือมาเปิดขณะที่เข้าแถวตรวจพาสปอร์ตที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหัวใจเต้นแรงอย่างประหลาดขณะที่กดโทรศัพท์หาใครบางคน
...รับสิวะ ...แต่กลับได้ยินเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติจากระบบเท่านั้น คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ก่อนจะต้องยื่นพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ ตาเล็กคนขับรถเก่าแก่ของตระกูลนำรถมาจอดเทียบที่ประตูด้านหน้าของสนามบิน ทันทีที่พศวัตออกมา ชายหนุ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับ แต่ก็ยกมือไหว้ตาเล็ก
"กลับมาแล้วหรือครับ คุณชาย เชิญครับ เดี๋ยวผมเก็บกระเป๋าให้ คุณหญิงท่านกำลังรอที่บ้านแล้วครับ นี่ก็ให้แม่ใหญ่เขาทำของโปรดคุณชายไว้เต็มโต๊ะ "ตาเล็กรีบไหว้ตอบแล้วกุลีกุจอมาช่วยผู้เป็นนายถือของ ส่วนพศวัตในตอนแรกก็หมายจะขับรถคันนี้ไปขอนแก่นเสียตอนนี้ ก็ต้องเปลี่ยนใจ
" เอาเถอะ..เณรอาจจะยังไม่สึกมั๊ง "เขาพึมพำกับตนเอง แล้วจึงเข้าไปนั่งในรถ
++++++++++++++++++
เมื่อกลับมาถึงที่บ้านก็พบกับการต้อนรับอันอบอุ่นของนมใหญ่ และร่างอวบอ้วนที่โผเข้ามากอดเสียเต็มรัก
"คุณหนูของป้า กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ....มาเถิดค่ะ นี่ป้าทำของโปรดเอาไว้เต็มเลย แล้วนี่คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง คุณมินกับคุณแมนก็รออยู่พร้อมแล้วนะคะ "ว่าพลางก็กึ่งดันกึ่งดึงให้ร่างสูงเดินตามด้วยความตื่นเต้น
"อะไรนะ นม? .. เดี๋ยวนี้ไอ้แมนมานี่บ่อยเลยล่ะสิ? "พอพูดถึงอีกคน พศวัตก็รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมาเฉยๆ จู่ๆคุณหญิงจิตตราแม่ของเขาก็แค่โทรศัพท์มาบอกว่ารับกตัญญูเป็นลูกเขย ด้วยการยอมรับการขอขมา และรับสินสอดแค่ทองห้าบาทเท่านั้น ค่าตัวน้องชายเขามันแค่นี้เองหรือยังไง?
"ไม่มาบ่อยล่ะค่ะมาอยู่เลย" นมใหญ่หัวเราะคิกคัก น่าแปลกใจที่เธอรับเรื่องนี้ได้แทบจะในทันที เพราะทั้งสองคนเธอก็เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก แถมยังเข้ากันได้ดีเหมาะสมกันมากเสียด้วย
"อยู่ห้องบน ข้างบน? "คิ้วหนาขมวดอีกรอบ
"ค่า...จะให้ไปอยู่ที่ไหนล่ะค่ะ คนเขาก็....แหม คุณแมกซ์นี่ล่ะก็ นมใหญ่เขินเลยนะนี่"ไม่ว่าเปล่ามืออวบๆตบเข้าดังอัก มืออวบๆที่เลี้ยงเขามา เวลาเผลอตีที่ไรก็ทำเอาไหล่ทรุดได้เหมือนทุกที พศวัตยิ้มแห้งๆ เลิกพูดแล้วสาวเท้าเร็วๆไปยังห้องทานอาหารทันที
"ตาแมกซ์กลับมาแล้วเหรอลูก แม่กับน้องกำลังรอกินข้าวพอดีเลย "คุณหญิงจิตราเอ่ยทักลูกชายที่เธอให้ไปศึกษางานที่ฟลอริดาเป็นเวลาสามเดือน พศวัตไม่ตอบอะไร ดวงตาคู่คมสบตากตัญญูที่นั่งข้างๆน้องชายของเขานิ่ง แล้วหันไปมองหน้าน้องชายตัวเอง
"ไง กิจการครอบครัวดีไหมช่วงนี้? "
"แน่นอนอยู่แล้ว" รามินทร์เอ่ย เห็นท่าทางแบบนั้นก็พอจะรู้ว่าเพิ่งจะรู้ข่าวอะไรมา และไอ้ที่เคยขุ่นมัวเมื่อครั้งก่อนก็ยังไม่หายดีดวย
"นั่งสิครับ พี่แมกซ์ วันนี้ผมทำน้ำพริกลงเรือที่พี่ชอบมาด้วยนะครับ "เมื่อเห็นสองพี่น้องเริ่มจะไม่ลงรอยกัน น้องเขยที่ดีอย่างกตัญญูจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
"มึงไม่ต้องมาประจบกูเลย ไอ้แมน .. ทำอะไรลับหลังกูนะมึง"ว่าไปแบบนั้นก็ต้องนั่งลงตรงที่นั่งข้างๆ ผู้เป็นแม่เมื่อถูกดึงมือจนได้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น เว้นเสียแต่จะมีถ้อยคำประชดประชันกันระหว่างพี่น้องบ้าง แต่สำหรับคุณหญิงจิตราแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่กลับมาสร้างสีสันได้ที่ลูกชายทั้งสามคนอยู่กันพร้อมหน้า เพียงแค่ทำใจได้แล้วความสุขที่ได้มีเห็นลูกๆอยู่กันพร้อมหน้าและมีความสุขก็คงไม่หนีไปไหน จนกระทั่งทานอาหารเย็นและของหวานเรียบร้อย พศวัตก็พูดขึ้นมา
" แม่ครับ เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกนะ คืนนี้อาจจะไม่กลับครับ "
"อ้าวจะไปไหนล่ะเรา ไม่ได้นะ เพิ่งบินกลับมา เจ็ทแลคขึ้นมา เอารถไปชนจะทำยังไง"คุณหญิงจิตราเอ่ยห้าม ตั้งแต่ตอนที่ทานข้าวแล้วที่ลูกชายเธอดูเร่งรีบแปลกๆ
"พี่แมกซ์จะไปไหน" รามินทร์เอ่ยถาม
"ไปเที่ยวเหรอ? ไปด้วยซิ่?"
"ไปต่างจังหวัด "คำตอบสั้นๆ แต่ก็ทำให้รามินทร์กับกตัญญูรู้ได้ทันที
"ขอนแก่นเหรอ?" รามินทร์เอ่ยถามพลางหยักยิ้มเหมือนจะรู้ทันว่าที่พี่ชายเร่งรีบจะบึ่งรถไปต่างจังหวัดวันนี้เพราะเหตุใด
จังหวัดที่ถูกเอ่ยถึง ทำให้คุณหญิงจิตราต้องหันไปมองหน้าลูกชาย
"ไปทำอะไรถึงขอนแก่นน่ะ ตาแมกซ์? "
"ผมมีธุระต้องจัดการครับ "คำตอบนิ่งและจริงจังเหลือเกิน
"ผมว่าน้า...."รามินทร์ไม่วายกวนพี่ชาย
"พี่ไม่ลองแวะไปดูที่ร้านใหม่ของพวกเราก่อนล่ะ พี่ต้องชอบแน่เลย...เนี่ยพรุ่งนี้เช้าก็ไป แล้วค่อยขับไปขอนแก่นก็น่าจะยังทันนี่น้า..."
"ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ มินเรานี่ก็กวนพี่เขาตลอดเลยนะ ... แมกซ์ วันนี้งดเที่ยวซักวันนะลูก พักผ่อนเถอะ แม่ให้เราพักซักสอง สามวัน จันทร์หน้าค่อยเข้าบริษัทก็แล้วกัน " คุณหญิงจิตราออกคำสั่ง แล้วลุกจากโต๊ะอาหารกลับไปทำงานที่ห้องหนังสือเช่นเดิม
"เออ แกก็ทำตามแม่เขาว่าเถอะ...เพิ่งกลับมาถึงแท้ๆ ก็เพลาๆหน่อยเรื่องเที่ยวน่ะ " คนเป็นพ่อเองก็ปรามลูกชาย เขาเห็นมาโดยตลอดว่าลูกชายคนโตเที่ยวเก่งแค่ไหน แต่ก็ได้แค่ปรามอยู่ห่างๆ โดยที่ไม่วายจะคิดว่า ช่างได้พ่อมาเสียเหลือเกิน
"ไม่ได้ไปเที่ยวครับพ่อ ผมมีธุระ "พศวัตเถียงผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเดินขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอกแต่การแต่งตัวของเขา เพียงแค่ใส่เชิ๊ตพับแขนกับกางเกงยีนส์สบายๆเท่านั้น ไม่ได้พิถีพิถันในการแต่งตัวเมือนตอนที่ไปเที่ยวกลางคืนเหมือนอย่างทุกที อันที่จริงเขาเป็นแบบนี้มาได้พักหนึ่งแล้ว
"จะไปขอนแก่นจริงด้วยซิ่นะ..." รามินทร์ที่เดินถือสมุดบัญชีมาจากห้องหนังสือทักพี่ชายที่เพิ่งเดินลงมาตามบันได
"หาเด็กนั่นใช่ไหมล่ะ...ทำไม...โทรไม่ติด? "
"น้อยมันมีชื่อ .. ทำไมเรียกแบบนั้น? "ผู้เป็นพี่หันมาถามขณะที่กำลังสวมรองเท้า
"โอ๊ะ ไปหาน้อยจริงๆด้วยซิ่นะ...นี่เดาสุ่มนะนี่..." รามินทร์ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกแต่กลับทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร
"เออ .. ไปล่ะ "พูดจบก็เดินออกไปแล้วเพียงไม่นาน รถสปอร์ตสีแดงก็ถูกขับออกไปจากบริเวณกว้างขวางบ้านหลังใหญ่