“วันนี้เป็นวันสงกรานต์
หนุ่มสาวชาวบ้านเบิกบานจิตใจจริงเอย
ตอนเช้าทำบุญ ทำบุญตักบาตร
ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันเอย
เข้าวัดแต่งตัว แต่งตัวสวยสะ
ไปสรงน้ำพระ ณ วันสงกรานต์กันเอย” เสียงเพลงของวงสุนทราภรณ์ดังคลอไปกับบรรยากาศโดยรอบของซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ สมปองเดินเข็นรถเข็นไปพลางเดินมองของสดที่จะเอากลับไปทำอาหารที่คอนโดความจริงแล้วเขาอยากไปเดินตลาดมากกว่าในซุปเปอร์ฯแบบนี้ ข้าวของหรือก็ถูกกว่ามีให้เลือกมิหนำซ้ำยังต่อราคาได้อีกด้วย ติดก็แต่พศวัตที่เอาแต่ใจกำชับนักหนาให้เขามาซื้อของสดของใช้ที่ห้าง ด้วยเหตุผลตามแบบคุณชายที่ว่าของมันดูสะอาดกว่า สมปองก็ได้แต่ยอมทำตามเพราะไม่อย่างนั้นแล้วพศวัตก็คงจะบ่นเรื่องนี้ไปอีกสามสี่วัน เด็กหนุ่มเดินเลือกผักไปพลางเข็นรถเข็นไปพลางปลายนิ้วขยับตามจังหวะที่ชวนให้รู้สึกรื่นเริงของเพลงประจำเทศกาล
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสงกรานต์แล้วหากเป็นปีก่อนหน้านี้เขาคงกำลังนั่งนับเงินเตรียมเอาไปซื้อตั๋วรถเตรียมกลับบ้านที่ขอนแก่นอยู่เป็นแน่ แต่ปีที่ผ่านมานี้...เขาไม่มีเหตุให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว แม้จะยังรู้สึกใจหายระคนเศร้าใจอยู่แต่ก็ยังนับว่าตัวเองทำใจได้มากแล้วตั้งแต่วันที่แม่ซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาจากไป นับแต่นั้นน้าเพ็ญซึ่งเคยนับถือมาตลอดก็พยายามจะติดต่อเขาหลายครั้งแต่พศวัตก็สั่งห้ามแล้วห้ามอีกว่าไม่ต้องติดต่อกลับไปอีกแล้ว...และเขาเองก็เชื่อคำพูดของพศวัตเช่นกัน บางครั้งท่ามกลางความโศกเศร้าและความสูญเสียดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นก็ทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจนมากขึ้นว่าใครที่ดูแลกันเพียงเพราะหน้าที่ กับใครที่ดูแลกันจากหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักจริงๆ
เด็กหนุ่มย้ายมาอยู่กับพศวัตที่คอนโดพยายามที่จะทดแทนในส่วนของความรักความเมตตาที่พศวัตและครอบครัวมอบให้ด้วยการพยายามทำงานในฐานะผู้จัดการร้านกาแฟให้เต็มที่ในทุกๆวัน ตั้งใจเรียนตามที่คุณหญิงจิตราปรารถนาจะให้พศวัตส่งเสียให้เขาได้เรียนหนังสือ และใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในแต่ละมื้ออาหารที่ทำให้พศวัตทาน รวมไปจนถึงมอบความสบายใจและความรักให้กับคนรักในเวลาที่มีเพียงกันและกันในยามค่ำคืน
...อันที่จริง..ก็อยากจะทำอะไรให้มันพิเศษสักหน่อย.. สมปองคิดในใจ ช่วงใกล้เทศกาลแบบนี้มีเรื่องที่ต้องตระเตรียมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเคลียร์ค่าใช้จ่ายและเตรียมแจกเงินพิเศษให้กับลูกจ้างที่ร้าน และเรื่องของใช้ทีคอนโดที่ต้องซื้อไปเตรียมไว้เพราะช่วงสงกรานต์คงไม่ได้ออกไปไหนมากนัก เพราะดูท่าแล้วพศวัตคงไม่ใช่คนที่ชอบออกไปตะลอนเล่นน้ำแบบคนทั่วไปเขาเป็นแน่ เด็กหนุ่มมองลงไปในรถเข็นนับและตรวจเช็คกับรายการที่จดมากันลืมถึงสามรอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นไปจากรายการ เขาคิดรายการอาหารสำหรับคืนนี้เอาไว้แล้ว แต่ในเมื่อใกล้จะถึงวันสงกรานต์แล้วเขาก็อยากจะทำอะไรให้มันพิเศษขึ้นมาอีกหน่อย เขาเตรียมบางอย่างเอาไว้แล้วแต่ที่มาเดินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่ก็เพราะคิดว่าอาจจะหาสิ่งที่อยากได้เจอ ร่างเล็กของเด็กหนุ่มเข็นรถเข็นไปยังโซนขายเสื้อผ้าซึ่งจะมีเสื้อลายดอกสีสันแสบตาแขวนเรียงรายอยู่กับราวให้เลือกหลากไซส์หลายสีหลายลายตามความชอบซึ่งเป็นภาพที่เห็นอยู่เป็นประจำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มหยักเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเลือกเสื้อจากราวนั้นมาสองสามตัว เขาพยายามจะมองหาไซส์ใหญ่ที่สุดแต่พอลองมองดูขนาดแล้วกลับต้องถอนหายใจออกมา
....เล็กไปแฮะ..... เด็กหนุ่มเบ้ปากลงเล็กน้อยเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เสื้อสงกรานต์ที่ขนาดพอเหมาะไปฝากคนสามสี่คนที่ตั้งใจเอาไว้ คิดได้แบบนั้นก็รีบเข็นรถเข็นไปซื้อของที่จำเป็นอีกสองสามอย่างก่อนจะนำทุกอย่างไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทันที
+++++++++++++++++++++
ร่างเล็กหอบหิ้วถุงใส่ของที่ซื้อมากระโดดขึ้นรถเมล์กลับไปยังคอนโด แม้อากาศจะร้อนกว่าการนั่งตากแอร์เย็นๆบนรถไฟฟ้า หรือ นั่งรถแท็กซี่แถมไปถึงอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า แต่สมปองก็พอใจที่จะนั่งรถเมล์ สำหรับเขามันสะดวกตัวสะดวกใจที่สุดแล้วมิหนำซ้ำยังช่วยประหยัดรายจ่ายในแต่ละเดือนได้ไม่น้อย
....พี่มีเงินตั้งเยอะ แล้วจะให้เมียพี่มาใช้ชีวิตแบบนี้มันก็อายเขานะ...
พศวัตมักจะพูดเช่นนั้น พร้อมกับมือใหญ่ที่จับไหล่ของเขาไว้ทั้งสองข้างราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเองว่ามันไม่เป็นไรหากเขาจะใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการบ้าง และสมปองก็ยอมรับในส่วนหนึ่ง เด็กหนุ่มพอใจกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากจะฟุ่มเฟือยมากจนเกินไปนักกับอะไรที่ส่วนตัวคิดว่าไม่จำเป็น และบางครั้งก็ทำให้พศวัตบ่นเขาเหมือนกัน
…ที่คุณแมกซ์บ่นว่านั่งรถเมล์มันลำบาก เพราะคุณแมกซ์ไม่เคยนั่งมันมากกว่า...
...แค่ไม่ชิน ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดีหรอกนะครับ...
...อีกอย่าง ถ้าผมประหยัดบางเรื่องได้คุณแมกซ์ก็จะได้มีเงินเหลือเพิ่มไปทำอย่างอื่น...ที่คุณแมกซ์ อยากทำ ทั้งที่ร้าน หรือคิดเสียว่าเป็นของขวัญให้ผมก็ได้นี่ครับ...
พอเขาพูดออกไปแบบนั้นพศวัตก็ยิ้มน้อยๆ พลางขยี้ผมของเขาเล่นทุกครั้งไป แล้วหัวข้อการสนทนานั้นก็จะตกไปสักพักใหญ่ แต่พอรู้ว่าสมปองนั่งรถเมล์กลับไปที่คอนโดอีก พศวัตก็จะบ่นอีกรอบ...เหมือนเป็นวงจรอะไรสักอย่าง...แต่สมปองรู้ดีว่าที่พศวัตบ่นแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงเขานั่นเอง
+++++++++++++++++++++
ร่างเล็กของสมปองหอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินกลับมายังคอนโดกว่าจะขึ้นมาถึงห้องได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เด็กหนุ่มเสียบคีย์การ์ดเปิดประตูห้องเข้าไปด้านใน ห้องกว้างที่สว่างด้วยมีหน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวง สมปองยิ้มเพราะดูท่าแล้วพศวัตยังไม่กลับมาจากที่บริษัท เขาเดินเอาของทั้งหมดเข้าไปไว้ในห้องครัวแยกของที่ไม่ใช่ของสดไปใส่ไว้ในตู้ที่รู้ดีว่าพศวัตจะไม่มาเปิดดู เขาแค่อยากจะให้คนรักของตัวเองแปลกใจ...ที่สำคัญเขายังต้องไปเดินหาเสื้อลายดอกไซส์ใหญ่พอสำหรับคนสำคัญอีกด้วย…
ร่างเล็กลงมือเตรียมอาหารเย็น วันนี้เป็นวันหยุดของที่ร้านที่ในหนึ่งอาทิตย์จะมีสักครั้งที่เขาจะได้มีเวลาค่อยๆเตรียมข้าวเย็นให้พศวัตทาน ปรกติแล้วกว่าจะได้กลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกันก็ปาไปเกือบสี่ทุ่ม บางครั้งถ้าพศวัตไปรับเขาออกมาจากที่ร้านก่อนแล้วฝากให้ใครที่ร้านทำบัญชีให้ ก็จะเป็นการไปทานข้าวนอกบ้านกันเสียส่วนใหญ่ซึ่งสมปองไม่ค่อยชอบสักเท่าไรนัก เพราะตั้งแต่ได้เชฟหมีมาช่วยดูแลเรื่องอาหารที่ร้านเขาก็ได้ฝึกฝีมือของตัวเองไปด้วย และพอลองทำอะไรได้แล้วก็ไม่อยากจะไปทานฝีมือใครอีก ...ถึงบางอย่างจะไม่ได้อร่อยเลิศเลอนักก็ตาม...แต่ก็ยังได้รับคำชมจากพศวัตอยู่เรื่อยๆ
“วันนี้เป็นวันสงกรานต์
หนุ่มสาวชาวบ้านเบิกบานจิตใจจริงเอย
ตอนเช้าทำบุญ ทำบุญตักบาตร
ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันเอย
เข้าวัดแต่งตัว แต่งตัวสวยสะ
ไปสรงน้ำพระ ณ วันสงกรานต์กันเอย…” สมปองร้องเพลงไปพลางลงมือโขลกพริกแกงสำหรับแกงเขียวหวานด้วยตัวเอง เขาไม่ชอบใช้เครื่องบดเพราะรู้สึกว่ามันไม่หอม เด็กหนุ่มลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ไม่ลืมทีจะรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก่อน เสียงโขลกพริกแกงดังก้องห้องในคอนโดสุดหรูกลางเมือง
“ทำอะไรกินละเย็นนี้...” อยู่ๆเสียงทุ้มก็ดังขึ้นจากเหนือเคาน์เตอร์ในครัวทำเอาคนที่นั่งโขลกพริกแกงถึงกับสะดุ้งโหยง
“คุณแมกซ์ ...โธ่ อย่ามาเงียบๆสิครับ ผมตกใจหมดเลย”
“พี่น่ะมาดังแล้ว แต่ใครล่ะมัวแต่โขลกพริกอยู่...” พศวัตว่าพลางวางกระเป๋าเอกสารลงกับเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินมานั่งยองๆตรงหน้าของอีกฝ่าย “หืม...แกงเขียวหวานเหรอ จะเผ็ดไหมเนี่ย”
“ไม่เผ็ดหรอกครับ ขืนทำเผ็ดคุณแมกซ์ได้ไปนอนโรงพยาบาลอีก...” สมปองหัวเราะออกมาเบาๆเมือพูดถึงเรื่องเก่าที่เขาเคยแกล้งอีกฝ่ายเอาไว้ พศวัตยกมือขึ้นขยี้ผมของเด็กหนุ่มเล็กน้อย
“ดีจังมีคนรู้ใจ... “ ไม่พูดเปล่ามือแกร่งดึงใบหน้าเล็กของสมปองให้เข้าไปใกล้ก่อนขโมยความหวานจากริมฝีปากบาง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นสอดผ่านริมฝีปากที่เผยอรับ ปลายลิ้นของพศวัตลิ้มรสเขาอย่างแผ่วเบารวดเร็วก่อนจะขยับถอยออกไป
“อืม...มีใครแอบชิมกะทิก่อนมาโขลกน้ำพริกสินะ” พศวัตเอ่ยแซว
“คุณ...แมกซ์อ่ะ แกล้งผมอีกแล้ว ...” ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำเมื่อพศวัตทายถูกทุกประการ แต่ก็ต้องหยุดโวยวายเมืออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้อีกดวงตาคมที่จ้องมองมานั้นเป็นประกาย “อะ...อะไรครับ”
“กะทิหวานจนอยากกินของหวาน....แต่ต้องกินข้าวก่อนสินะถึงจะกินของหวานได้....” พศวัตว่าพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย เสียงทุ้มดังเพียงกระซิบทำเอาสมปองขนลุกเกรียวอย่างช่วยไม่ได้ ร่างเล็กยักไหล่เอียงหลบปลายนิ้วของพศวัตที่ยังไล้เล่นอยู่ที่ข้างแก้ม ดวงตากลมหลุบลงต่ำ ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันมาก็นานพอสมควรแล้วแต่เขาก็ยังไม่ชินกับคำพูดและสายตารวมไปจนถึงกลิ่นหอมจากร่างของพศวัตเสียที
“กลับมาเหนื่อยๆก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ...เดี๋ยวผมทำกับข้าวจัดโต๊ะเสร็จผมจะไปเรียกนะครับ”
“ก็ได้...แล้วพี่จะไปจัดเตียงรอนะ” ไม่พูดเปล่าขโมยหอมแก้มแดงเรื่อของสมปองไปอีกหนึ่งฟอดใหญ่ก่อนที่ร่างสูงของจอมขโมยจูบจะลุกเดินออกไปจากห้องครัว เสียงโขลกน้ำพริกที่ดังเป็นจังหวะมาโดยตลอดเหมือนจะขาดช่วงเพราะพ่อครัวร่างเล็กดูท่าจะมือไม้อ่อนไร้เรี่ยวแรงไปเสียอย่างนั้น
+++++++++++++++++++++
มื้อเย็นวันนี้มีแกงเขียวหวานไก่รสชาตกลมกล่อมไม่เผ็ดจัดจ้านจนเกินไปนักกับผัดผักรวมมิตร และไข่เจียวง่ายๆ กับข้าวสามอย่างทานกันสองคน
“ใกล้จะสงกรานต์แล้ว...เดี๋ยวที่ร้านก็จะปิดสินะ อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษไหม พี่จะพาไป ไปเมืองนอกดีไหม ญี่ปุ่นก็ดีนะ ไม่รู้จะทันดูซากุระหรือเปล่า”
“ญี่ปุ่น?...ต้องไปไกลแบบนั้นเลยเหรอครับ” สมปองเลิกคิ้วเพราะปรกติแล้วในช่วงสงกรานต์เขาก็มีแต่ความคิดที่จะกลับบ้านการไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวแบบที่อีกฝ่ายอาจจะกำลังวางแผนอยู่นั้นไม่ค่อยจะอยู่ในหัวของเขาสักเท่าไรนัก
“หรือเราอยากไปเที่ยวที่ไหนล่ะ พี่จะได้พาไป” พศวัตว่าพลางเท้าคางมองหน้าของอีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเอ็นดูเหมือนทุกครั้ง
“ปรกติคุณแมกซ์ไปเที่ยวเมืองนอกช่วงสงกรานต์ตลอดเลยเหรอครับ” สมปองถามกลับ
“อื้ม บางปีก็ไปญี่ปุ่น บางปีก็ไปฮ่องกงน่ะ” พศวัตพยักหน้า ก่อนตักกับข้าวเข้าปากไปอีกคำใหญ่
“ผมเองก็อยากไปญี่ปุ่นสักครั้งนะครับ...” สมปองวางช้อนส้อมลง
“อยากไปก็ไปกันไหม....” พศวัตถามพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “พี่จะได้พาเราไปทำพาสปอร์ต ไปทำวีซ่า จัดการเรื่องตั๋วแล้วเราไปเที่ยวกันสองคน” ชายหนุ่มพูดออกมาเหมือนกันมันไม่ใช่เรื่องยากนักหนาที่จะเดินไปทางข้ามทะเลไปห้าถึงหกชั่วโมงเพื่อไปยังดินแดนอาทิตย์อุทัย เพราะเขาก็เดินทางข้ามมหาสมุทรจนชินเสียแล้ว เพราะอย่างอาทิตย์ก่อนก็เพิ่งเดินทางไปเจรจาธุรกิจที่ฮ่องกงมา
“ แล้วคุณแมกซ์ไม่ไปรดน้ำขอพรคุณท่านกับคุณหญิงเหรอครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางเอียงคอด้วยความสงสัย เพราะสำหรับเขาแล้วสงกรานต์ปรกติคือการกลับบ้านไปขอพรญาติผู้ใหญ่ ให้ทั้งปีใหม่ไทยมีแต่ความโชคดี
“ หะ?......” พศวัตอุทานออกมาเบาๆ ดวงตาคมมองใบหน้าเล็กของคนรักที่ถามออกมาอย่างจริงจังแบบนั้นก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่ะๆ...น้อย เรานี่ทำให้พี่แปลกใจได้เรื่อยๆจริงๆ ...”
“แปลกใจ? ทำไมล่ะครับ สงกรานต์ก็ต้องไปขอพรจากญาติผู้ใหญ่ถึงจะถูกสิฮะ”
“เออ...เรื่องนั้นพี่ก็รู้แค่...คิดว่ามันน่ารักดีน่ะ...”
“พูดเหมือนผมทำอะไรแปลก ...คุณแมกซ์คงไปอยู่เมืองนอกมานานเกินไปแน่เลย...” สมปองยกมือขึ้นลูบผมตัวเองแก้เขิน
“ผมก็แค่คิดว่า...ผมเป็นเด็ก มันคงไม่งามนักถ้าผมจะไม่ไปรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ที่เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลาน ยอมให้ผมเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน แล้วหนีไปเที่ยวเมืองนอกน่ะครับ...”
พศวัตนิ่งมองหน้าของสมปองอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากหนาหยักเป็นรอยยิ้มพึงใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ต่อความคิดของสมปอง
“ได้ งั้นปีนี้เราจะไปรดน้ำขอพรจากพ่อกับแม่กัน...” “จริงนะครับ!?” สมปองดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ครับ จริงครับ... “พศวัตรับคำ ชายหนุ่มอ้าปากคล้ายอยากจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ ก่อนที่ริมฝีปากจะเปลี่ยนเป็นหยักยิ้มอย่างมีเลศนัย
“พี่ตามใจแล้วต้องทำยังไงน้า...” ว่าพลางหันไปยื่นแก้มให้อีกฝ่าย สมปองเห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางลุกจากเก้าอี้เดินมาแตะริมฝีปากกับข้างแก้มของชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ...” แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวถอยกลับออกมาเอวบางก็โดนมือแกร่งรวบให้ลงมานั่งอยู่บนตัก สองแขนของพศวัตเท้ากับขอบโต๊ะทานข้าวราวกับจะขังสมปองเอาไว้ในอ้อมแขน ปลายจมูกโด่งขยับเข้าประชิดใบหูบาง ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยประกายที่ฉายแววออกมานั้นบ่งบอกได้ถึงความปรารถนาที่ไม่อาจเติมเต็มได้ด้วยเพียงอาหารเย็นเพียงแค่หนึ่งมื้อ ริมฝีปากหนาหยักยิ้มก่อนเอ่ยถ้อยคำเอาฟังดูเอาแต่ใจไม่ต่างจากทุกครั้ง
“ขอบคุณแล้วก็ช่วยเตรียม
ของหวานให้ด้วยได้ไหม...พี่อุตส่าห์จัดเตียงรอ”
to be con...
talk : หายไปซะนานมากกกกกกกกกก กลับมาอัพภาคพิเศษอีกทีก็พบว่าซีรี่ส์นี้ได้โพสต์ตอนจบไปเกือบครบรอบ 1 ปีแล้วาสินะคะ ตอนนี้ถึงจะเป็นนิยายที่โพสต์จบไปแล้ว แต่ก็ยังมีนักอ่านหลายท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านอยู่ ในฐานะคนเขียนคนหนึ่ง(ในสองคน)รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ ที่ยังไม่ลืมกัน แล้วก็ต้องขอบคุรกับทุกเสียงโหวดที่มีให้เจ้าน้อยคนซื่อคนนี้ด้วยนะคะ
เอาล่ะ พูดถึงภาคพิเศษกันดีกว่า..จะว่าไปมาโพสต์ ณ วันนี้ ทั้งๆที่ช่วงเวลาในเรื่องควรจะเป็นช่วงสงกรานต์ก็คงจะล่วงเลยไปซะนานเลยค่ะ แต่ลองมาคิดๆดูแล้ว ถ้าเอาไปโพสต์สงกรานต์ปีหน้าเลย มันก็คงจะยาวไปอีกสินะ เลยตัดสินใจเอาลงตอนนี้ล่ะค่ะ
ยังไงก็ติดตามได้ที่นี่..เหมือนเดิมนะคะ
และ คนอ่านทุกคนเลยค่ะ!!
kuruma