The journey of nergal
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่รักของเรา อิอิ
มีข่าวมาฝากค่า ว่าเรื่องหนูนากัล อาจจะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์จ้า แต่รายละเอียดยังไงบอกอีกทีนะคะ ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็น เพราะนักเขียนเองก็ยังแต่งไม่จบ จะมาแจ้งให้ทราบหลังคอนเฟิร์มแล้วอีกทีค่า ขอบพระคุณผู้อ่านที่ติดตามมาทุกๆคนมาก ทุกความคิดเห็นช่วยแนะนำนักเขียนมากๆเลย รักผู้อ่านจริงจังเลยค่ะ
ตอนที่ 36 ท่านเซอซัสปลุกผมตอนเช้ามืด เช้ามากๆชนิดที่ไอน้ำค้างทำให้ผมเย็นร้าวเข้าไปในปอด ผมไอแค่กอีก
“เอ่า ชูมือขึ้น” ยักษหยิบเสื้อขนสัตว์บนพื้น เขาสวมให้ผม
“หนาวจนสั่นหงึกเชียว ” ผมสูดน้ำมูกฟืด ตาปรือใส่ท่านเซอซัส ผมง่วงจังเลยงา..
ผมซบหัวลงบนใหล่ท่านเซอซัส คราบเหงื่อที่เราเพิ่งมีอะไรกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงยังชื้นๆบนซอกคอของท่านอยู่เลย ผมสูดกลิ่นมัน ก่อนจะถูกท่านอุ้มออกจากรถม้า ผมโอบขารอบเอวท่านเซอซัส เป็นท่านอนที่สบายมากๆเลยฮะ
“แค่กๆ” ผมไอใส่ซอกคอท่าน
ท่านเซอซัสลูบหลังถี่ๆ เร่งจังหวะเดิน คบเพลิงวูบไหว ไม่มี่วี่แววพวกแม่บ้านเลย ทหารเฝ้ายามนั่งพูดกันเบาๆอยู่บนแนวกำแพง ผมซบน้ำหนักของศีรษะทั้งหมดลงบนใหล่ท่าน ได้ยินเสียงหายใจตัวเองเบาๆ จนหลับไป
+++++++++++ + + + +
ยามสายที่น่าเบื่อหน่าย และไม่มีเพื่อนเล่น ที่แย่ที่สุดคือผมไม่มีอะไรทำ ท่านบาลิธยกกองทหารไปตรวจสอบบริเวณหุบเขาโดยรอบ ส่งสัญญาณให้พวกโจรซ่องซุ่ม รู้ว่าผู้มีอำนาจได้มาประกาศศึกแล้ว
ค่ายที่ไม่มีคนเหลืออยู่เลย เว้นแต่พวกทหารเฝ้ายามไม่กี่นาย และพวกผู้หญฺิงรับใช้ ซึ่งตอนนี้ท่านเมยากำลังอธิบายให้พวกทาสไพร่ฟัง เรื่องการอพยพลงเรือไป หลังเริ่มใช้ยุทธการไฟแล้ว ผมนั่งพิงเสาจะหลับอยู่ในเพิงไม้
“ เสบียงต้องเร่งทำและเก็บตุนไว้หลังถ้ำให้ได้มากที่สุด เนื้อนกกระจอกเทศตากไว้ใกล้จะเน่าแล้วเพราะไม่มีแดด”
เสียงของเมยาฟังดูเหมือนพรายกระซิบที่ ห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อยๆ
..
.
“นากัลๆ นากัล… นากัล”
ผมสะดุ้งตื่น
กิลยืนโน้มตัวดึงแขนผมขึ้นไป ผมลุกอย่างงุนงง “ประชุมเลิกแล้ว เขาให้พวกเราไปหาที่ตากแดดจ้าๆ น่ะ ” กลิ่นสาปของเนื้อนกกระจอกเทศบนถาดทำให้ผมได้สติ กิลยื่นถาดสองอันให้ผม แล้วเราก็เดินออกจากเพิงไม้
“แล้วเราจะไปหาจากไหน”
“เดินลงเนินไปในป่าน่ะแหละ เดี๋ยวข้านำไปเอง”
“เจ้านี่ก็ไม่กลัวตายนะ”
“สงครามเขาไม่มีใครกลัวตายกันทั้งนั้นแหละ นากัล”
“เจ้าจะลงเรือไปกับพวกผู้หญิงสนมรึเปล่า?”
กิลส่ายหน้า
“ทำใมล่ะ”
“ข้าต้องอยู่เฝ้าสมรภูมิ ตามเสด็จไปจนกว่าข้าจะตายนั่นล่ะ ข้าเป็นทาส ไม่ใช่สนม” กิลพูดเสียงขึ้นจมูก เหมือนคนอารมณ์เสีย
แล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ กิลฟันกิ่งไม้อย่างกระฉับกระเฉง เท้าผมจมโคลนตมไปครึ่งน่อง ดูเหมือนดินจะเหลวขึ้น
“ข้าได้ยินเสียงน้ำ” ผมเอ่ย กิลหยุดกึกแล้วเงี่ยหูฟัง
เขาหันมาทำหน้าทึ่ง “ไม่น่าเชื่อ เจ้าหูดีกว่าข้าอีกแหน่ะ นากัล” ผมหัวเราะในคอ พวกเราเดินลงไปตามทางที่ดินแฉะมากฮะ เสียงน้ำดังขึ้น รอดพุ่มไม้ไป ผมเห็นสายน้ำเชี่ยวๆ
“นั่นไง! ตามข้ามา นากัล” กิลร้อง
“รู้แล้วล่ะหน่า! เจ้านี่ชอบทำเหมือนข้าไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ข้าได้ยินเสียงน้ำก่อนเจ้าอีก แบร่~” ผมเดินฉับๆหน้าบึ้ง กิลขำคิกคัก
ผมลื่นพรวดตรงทางคดเคี้ยว โชคดีที่กิลเกร็งตัวไว้ทัน เราเลยไม่กลิ้งม้วนลงคลองไปทั้งคู่ เรามายืนอยู่ริมแม่น้ำแล้ว สายน้ำเชี่ยวกรากใหลไปทางขวา ตรงสุดมุมแม่น้ำเป็นละอองกระเด็นฟุ้งขาวตลบ
“มันไหลไปตรงหน้าผา นั่นคือน้ำตก!”
“ข้ารู้แล้วล่ะหน่า ” ไม่ต้องบอกก็รู้ ถ้าเห็นแม่น้ำขาดตรงหน้าผา มันก็ต้องคือน้ำตกสิฮะ ผมเงยหน้ามองร่มไม้รอบๆ
“เราต้องหาแดดนะ กิล”
“อืม ” กิลเดินไปทางน้ำตก “ตรงโขดหินก่อนถึงน้ำตกเป็นไง ข้าแสบตาไปหมดแล้ว” อย่างที่กิลว่า โขดหินตรงนั้นถูกแดดสะท้อนเป็นสีเหลืองไปหมด
พวกเราจัดแจง วางถาดเนื้อนกกระจอกเทศ ตรงที่แดดส่องแรงๆ อธิฐานไม่ให้มันเน่าไปซะก่อน กิลกับผมช่วยกันหาก้อนหินมาทับขอบถาดเอาไว้ กิลเทศนาเรื่องภูมิอากาศแบบลมกรรโชกของเอคบาทาน่า เจ้านั้นดูภาคภูมิใจกับความรู้จนผมอดขำในความซื่อของกิลไม่ได้
“ข้าขอโทษนะ” ผมพูดเบาๆ เรากำลังย่ำโคลนกลับขึ้นมาฮะ
“หือ” กิลขมวดคิ้ว เขาช่วยดันหลังผมตรงเนินสูง
“เรื่องที่ท่านเซอซัสมาเจอตอนเราเข้าไปในป่า”
“เจ้ามีอะไรต้องขอโทษข้าด้วย หึ๊” นิ้วมือกิลยุ่งย่ามกับเรือนผมสกปรก
กิลขี้อายชะมัดเลยฮะ “ไว้เรา…. ”
ผมกำลังจะบอกว่า เราแอบมาเล่นกันบ้างก็ได้ เพราะผมก็เหงามาเลยง่ะ ฮือๆๆๆ ท่านเซอซัสจะดุมั๊ยนะ ถ้ารู้ว่าผมแอบมาเล่นกับกิล แต่ไม่รู้นี่ฮะ… ผมไม่ชอบว่างนี่หน่า
“ระวัง!”
กิลปัดแมลงทับที่กำลังจะหล่นลงมาบนหัวผม
ดูเหมือนผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จนเราเดินออกมาพ้นแนวป่า
“ไว้เจ้าแอบมาเล่นกับข้าบ้างก็ได้ ถ้าเจ้าอยากน่ะนะ” กิลพูดเสียงแห้งติดคอ ไม่สบตาผม เขารีบเดินนำเข้าประตูหน้าค่ายไป
================================
ยามหัวค่ำ อุณภูมิลดลงอีก น้ำค้างเกาะบนขอบหน้าต่างห้องท่านบาลิธ ผมนั่งคัดตัวอักษรเล่น เหม่อมองลงไปทางหน้าต่างชั้นสี่ ท่านบาลิธและกองพลควบม้ากลับมาราวสองทุ่ม แสงคบเพลิงในมือของพวกทหารเรียงต่อกันยาวเป็นพรวนเข้ามาทางปากประตูค่าย
ดูเหมือนว่า จะมีคนถูกมัดกับขาม้า และลากไปตามพื้น ผมมองอยู่ไกลๆ …หยึย น่ากลัวจังเลยอะฮะ สภาพผมยาวรกรุงรัง เขานอนแผ่หายใจพงาบที่พื้น ก่อนที่ผมจะเพิ่งสังเกตุว่า ท่านบาลิธลงจากหลังม้า และฉุดลากเขาขึ้นมา ท่านเอาดาบสั้นจ่อคอ
…
ผมเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองน่ะฮะ … ผมไม่อยากคิดเลยว่าเขาจะตายใหม ? ที่แน่ๆ ภาพท่านบาลิธยามต่อสู้ ผมช่างไม่ชินเอาเสียเลย ท่านบาลิธที่แสนอ่อนโยน ผมคิด แววตายามที่มองศึกศัตรูของท่านจะเป็นยังไงน๊า? ยังจะมีความอบอุ่นแบบที่ให้ผมรึเปล่า…
ผมแอบเหลือบมองเล็กๆ พวกทหารกลุ่มหนึ่ง จับลากเขาไปที่กลางลานทราย แล้วก็พิงเขากับเสาหิน
“พวกโจรเปอร์เซีย” เมยาโผล่หัวมาข้างหลังอย่างเงียบๆ ทำให้ผมกระโดดโหยง
“ท่านบาลิธคงไปเจอพวกลูกกระจ้อกระหว่างลาดตระเวณกระมัง”
“ท่านบาลิธจะทำอะไรเขาหรอฮะ ” ผมชะโงกดูต่อ
“คงรีดข้อมูลของถิ่นฐานน่ะจ้ะ ข้าเองก็ไม่รู้หรอก นากัลเอย เจ้าอยากเช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนท่านบาลิธเสด็จขึ้นมาใหมจ้ะ?”
ผมถอดเสื้อผ้า ยืนเช็ดตัวด้วยน้ำร้อนๆจากหม้อของเมยา ท่านบาลิธคงต้องการพักผ่อนเต็มที่ก่อนสงคราม ผมควรจะผ่อนคลายท่านคืนนี้บ้าง เห็นท่านพูดตั้งแต่อยู่ในรถม้าแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้ทำอะไรซะที เพราะผมป่วยนี่หน่า…
‘แต่นายไปมีอะไรกับท่านเซอซัส’ เสียงเล็กๆในหัวผมร้อง งือออ…ทำยังไงดีอะ ความรู้สึกผิดต่อท่านบาลิธ ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆจริงๆนะฮะ ผมไม่ชอบมันเลย ไม่ชอบความรู้สึกนี่เลยล่ะฮะ
ผมถูตัวแรงจนรู้สึกแสบ
บางทีผมอาจจะทำเรื่องแย่ๆลงไปจริงๆ ท่านเซอซัสถึงกับใช้คำว่า ‘ยาพิษ’
ท่านเซอซัสพูดว่า มันสายไปแล้ว…
..
.. . …. ภาพที่ผมแอบมีอะไรกับท่านเซอซัสพลอยผุดตามๆกันมาหมด
‘ สายไปแล้วล่ะ นากัลน้อย’
ผมวักน้ำมาลูบหน้าตัวเองแรงๆ แล้วผมก็ถอนใจ…อย่างไม่เคยทำมาก่อน
ผมถอนใจเหมือนคนแก่ๆ เหมือนลูกค้าแก่ๆตอนยื่นเงินให้มาดาม บางทีผมอาจจะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปมากกว่าลูกค้าพวกนั้น แล้วก็ได้
___________________________________
ทว่าท่านบาลิธก็ไม่ได้กลับขึ้นมาเลย จนถึงเช้า พอผมลงไปก็เห็นว่าทหารสองนายกำลังหามศพชายที่คาดว่าคือโจรเปอร์เซียคนนั้นออกไป
ท่านบาลิธยืนชี้กระดาษอยู่กับพวก หัวหน้าทหาร หกนาย แน่นอนว่ามีท่านเซอซัสด้วย ท่านกำลังชี้ๆอะไรในแผนที่ อธิบายยุทธการณ์รบละมั๊ง ผมก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจหรอกฮะ
ผมเดินเข้าไปยืนรอใต้เพิง จนกว่าท่านจะคุยธุระเสร็จ ท่านถึงเดินออกมา
“ท่านบาลิธไม่ยอมกลับขึ้นไปนอน” ผมทักท่านอย่างยิ้มแย้ม ท่านบาลิธอ้าปากดีใจ ตอนเห็นผม
“ท่านไม่ง่วงหรอฮะ?”
ท่านเสยเส้นผมนุ่มสีน้ำตาล “ไม่เลย ดูหน้าข้าสิ ฮะๆๆๆ”
ท่านบาลิธดูสดใสดีด้วยซ้ำ ท่านย่อตัวลงมา ช้อนคางผม “เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน เจ้าต้องลงเรือกลับไปพร้อมพวกรับใช้นะ นากัล เจ้าจะปลอดภัย แต่คืนนี้ ได้ฤกธิ์เจ้าแสดงแล้วล่ะ เดี๋ยวพวกทหารจะเหี่ยวกันไปซะก่อน ต้องได้ดูอะไรสวยงามก่อน พวกเขาถึงจะยอมลุยตายได้น่ะ ” ท่านพูดแกมขำ จูบจมูกผม แล้วท่านก็เขยื้นมาที่ริมฝีปาก จูบผม.. ผมดูดริมฝีปากล่างท่านเบาๆ ตอบ
“แบบนี้น่ะ…ข้าพร้อมแล้ว” ท่านบาลิธยืดตัวตรงอย่าสง่า เราหัวเราะร่วนไปพร้อมกัน
ท่านเซอซัสเดินผ่านไปทางกำแพง ท่านปีนขึ้นป้อมไป แต่ผมเห็นว่าท่านบาลิธกับท่านเซอซัสสบตากันแวบหนึ่ง หลังจากท่านบาลิธจูบผมด้วย
…
.
“นากัล เรียนธนูเป็นยังไงบ้าง?”
===================
จะรีบปั่นค่า~