รักจัง ตอนพิเศษ 4
"โอ้ละหนอ ความรัก"
By คุณ Meae
เนื่องจากอารมณ์มา ปัญญาเกิด + คิดถึงคนอ่านเช่นกัน วันนี้เลยเอารักจังตอนพิเศษมาฝากแบบไล่เลี่ยกับตอนที่แล้ว ขอบคุณทุกคอมเมนท์และแม้ไม่ได้เมนท์แค่เข้ามาอ่านคนแต่งก็ชื่นใจแล้วค่ะ
_______________________________
รักจัง ตอนพิเศษ 4 โอ้ละหนอ ความรัก
บ้านคุณเจอวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่หรือเปล่าครับ บ้านผมที่ต่างจังหวัดยังแห้งดีอยู่ ส่วนหอพักในเมืองกรุงก็ยังพอจะเรียกได้ว่าอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย บ้านใหญ่ไอ้มิคกับคอนโดยังเป็นปกติ ส่วนบ้านไอ้จั๋วโดนไปแล้วครึ่งแข้ง บ้านไอ้อ่อนโดนไปกลางลำตัว บ้านไอ้บีนี่แย่หน่อยเหลือแต่สันหลังคา
ถ้าคุณเจอภัยน้ำท่วมร่วมกับคนอีกครึ่งประเทศก็อย่าไปคิดมาก ถึงจะได้ชื่อนำหน้ามาว่าเป็นผู้ประสบภัยก็อย่าแสดงสีหน้าท่าทางให้สมกับชื่อ อย่าทำตัวประหนึ่งตกเป็นเหยื่อ คิดเสียว่ายังมีคนอีกมากที่แย่ยิ่งกว่า หรือให้ดีก็ให้ดูคนที่ไม่คิดอะไร เช่นไอ้จั๋วไอ้อ่อนและไอ้บี ที่แม้จะโดนน้ำท่วมบ้านจนต้องอัปเปหิไปนอนโรงแรม วันนี้มันก็ยังพายเรือต่อรถทหารมาขึ้นรถเมล์ออกมานั่งตักทรายใส่ถุง เป็นอาสาสมัครด้วยจิตอาสาประหนึ่งว่าบ้านตัวเองยังอยู่ดีไม่เดือดร้อน ซ้ำคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีชักชวนเพื่อนมาร่วมลงแรงยังเป็นคนที่บ้านเหลือแต่สันหลังคาอย่างไอ้บี มันว่าไหนๆบ้านก็ไปแล้ว มาช่วยกรอกทรายช่วยชาวบ้านสะสมบุญไว้ เผื่อรอบหน้าเผื่อเหลือเผื่อขาดยังไงจะได้รอด
หลังพยักหน้าให้กันคนละหงึก กลุ่มชายฉกรรจ์หุ่นไม่ไล่เลี่ยนับได้เจ็ดแรงกรรมกร ไอ้บี ไอ้จั๋ว ไอ้อ่อน ไอ้โอ้ ไอ้โยม ไอ้เดย์ และไอ้กิม ก็เลยได้มานั่งเก้าอี้พลาสติกเตี้ยๆล้อมวงกันอยู่หน้าภูเขาทรายลูกไม่ย่อม ณ ศูนย์อาสาสมัครไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัยตัวเอง ส่วนอีกหนึ่งสมาชิกที่ขาดหายไป ไม่ได้มานั่งหล่อฉายแสงจนอาสาสมัครจากส่วนอื่นไม่เป็นอันทำงาน ตอนนี้คาดว่าคงกำลังนั่งเครื่องมาได้ครึ่งทางจากบ้านเกิด เนื่องจากสามวันก่อนโดนโทรศัพท์จากอีกฟากโลกโทรมาตามตัวกันกลางดึก หลังรัวซาวว์แทร็คให้ผมที่นอนอยู่ร่วมใต้โปงผ้าได้สลึมสลือตื่นมาเป็นพยาน คนที่หัวยุ่งได้สุดแสนจะเซ็กซี่ก็โยนมือถือทิ้งไปทางแล้วหันมาคว้าไอ้กิมเข้าไปกกเป็นแม่ไก่ ปากแดงๆในแสงสลัวพึมพำงึมงำเล่าธุระมาสองสามประโยคก่อนตวัดโปงผ้าให้รู้ว่าหมดเวลานอน ผมที่เหลือกตาทันไปมองเข็มนาฬิกาตอนโดนซุกมาใต้รักแร้ เห็นรางๆว่าขณะนั้นเป็นเวลาตีสี่กับอีกสิบนาที
แล้วคนที่จับผมพลิกคว่ำพลิกหงายพลิกตะแคงตั้งแต่ตีสี่กับอีกสิบนาทีจนฟ้าสว่างกันคาตา ก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนออกจากห้องคนที่หล่อเด้งจนไอ้กิมต้องหยีตามองยังไม่ลืมเดินมาลูบๆคลำๆเหมือนต้องการความขลังติดตัว ลูบไปคลำไปจนเกือบจะเลยเถิด ไอ้มิคสบถสองภาษาแล้วก้มมาสูบวิญญาณผมให้หลุดออกทางปากส่งท้าย แล้วบึ่งรถไปสนามบินตั้งแต่ยังไม่ได้ร้องเพลงชาติ นั่นเป็นเรื่องเมื่อสามวันที่แล้ว
“พวกมึงรู้รึเปล่าว่าการนั่งนานๆทำงานซ้ำๆจะมีผลทำให้เซลล์สมองฝ่อฟีบหีบเหี่ยว” ไอ้โอ้เริ่มเปิดปากหลังจากนั่งอมน้ำลายมานาน ในมือมีถุงใส่ทรายและกระบอกตักจากขวดพลาสติกตัดครึ่ง ตรงหน้ามีภูเขาทรายลูกไม่ย่อมรอให้จ้วงมาใส่กระสอบ
“กูเคยอ่านหนังสือมา เขาว่าสมองคนเราสามารถฝ่อได้โตได้ตามวิธีใช้ชีวิต ถ้าทำงานซ้ำๆนั่งนานๆถือว่าแย่ จะมีผลให้เซลล์สมองถดถอยถึงสิบแปดเปอร์เซ็นต์” คนพูดขยับลุกแล้วนั่ง นั่งแล้วลุกอยู่ห้าหกที โดยอุ้มถุงทรายที่กรอกเสร็จแล้วขึ้นยกไปด้วยประหนึ่งจะเปิดฟอร์ออกกำลังกาย ก่อนทิ้งก้นลงบนเก้าอี้พลาสติกเตี้ยๆแล้วคว้าถุงใบใหม่มาจ้วงทรายใส่ เป็นการกระทำที่สมกับเป็นไอ้โอ้จนไม่มีใครสนใจจะมองนอกจากอาสาสมัครอื่นที่ไม่ได้มาด้วยกัน
“หนังสือเล่มเดียวกับที่เขียนว่าให้ยืนจ้องตาเสือรึเปล่าวะ” ไอ้โยมยังคงฝังใจ แม้การวิ่งหนีเสือหนีหมูป่าจะผ่านมาแล้วหลายเดือน “ถ้าใช่กูจะได้ฟังหูซ้ายแล้วบังคับให้มันตีโค้งแนบกระโหลกแบบไม่ต้องผ่านสมองแล้วออกหูขวาไปซะ”
“ถ้าอย่างนั้นกูถามปัญหาให้พวกมึงได้ใช้สมองเอาเปล่า” ไอ้อ่อนที่นั่งอยู่ข้างไอ้โอ้รีบฉวยโอกาสจะเปิดวงตอบปัญหาทันใด รีบร้อนเนื้อตัวสั่นถึงกับชะงักงานในมือ เนื่องจากหลังๆโดนเพื่อนขัดจนไม่ได้ตั้งปัญหากลางวงข้าวมานาน
“ได้โปรดเห็นใจพวกกูเหอะไอ้อ่อน” ไอ้จั๋วรีบพูดก่อนไอ้อ่อนจะได้พ่นคำถาม “อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แต่หลังๆกูชักจะสงสัยแบบจริงจังแล้วว่ามึงไปคัดลอกสำเนาปัญหาชวนตีนพวกนี้มาจากไหน มันถึงได้เทพเหี้ยๆจนสมองปกติอย่างพวกกูตอบไม่เคยถูก”
“ปัญหากูไม่ได้ยากขนาดนั้นซะหน่อย พวกมึงมันอ่อนด้อยจินตนาการเองต่างหาก” ไอ้อ่อนที่โดนขัดไม่ย่อท้อ เงยหน้าจากกองทรายขึ้นเสนอทางเลือก “งั้นเอางี้ ไม่ทายปัญหาแต่เล่มเกมส์ดีมะ เกมส์ซ้ำคำกู เป็นเกมส์ฝึกฝนความจำที่นาซ่าใช้เชียวนะมึง”
“โห ฟังแหล่งที่มาแล้วแทบไม่กล้าเล่น ดีนะที่ชื่อเกมส์มันยังเป็นภาษาไทย ไหนเล่นยังไงชนะแล้วได้อะไรวานบอก” ไอ้โยมยกมือถาม
“เล่นยังไงไม่รู้ แต่กูขอเสนอชาบูชิฟรีหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที” ไอ้โอ้รีบยกมือตอบ
“ถ้าไม่มีของรางวัลแล้วจะไม่เล่นกันหรือไง สาด ทำเป็นพวกบ้าการพนัน เสียยี่ห้อหมด” ไอ้จั๋วพูดได้ไม่อายปาก ทั้งที่ปกติไม่เคยมีใครยกมือทันมัน
“ปากเหม็นจริงไอ้จั๋ว เขาเรียกว่ามีเป้าหมายโว้ยมีเป้าหมาย” ไอ้โยมว่าพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มย้อยจากงานตรงหน้า แล้วหันมาหาพวกเอากับคนข้างๆที่เริ่มสเต็ปการลุกนั่งเป็นครั้งที่สิบ “ไม่ได้งกของรางวัลนะโว้ย แค่ไม่ชอบเป็นคนหลักลอย ทำอะไรไม่มีเป้าหมาย ใช่ไหมไอ้โอ้”
“ตกลงให้กูอธิบายได้ยัง” ไอ้อ่อนยกมือถาม “เกมส์นี้เล่นไม่ยาก แค่พูดอะไรก็ได้ออกมาหนึ่งอย่าง แต่ต้องทวนคำคนก่อนหน้าให้ได้ พูดทวนต่อๆกันไป คนไหนทวนไม่ครบโดนตัดออก จนเหลือคนสุดท้ายที่จำได้มากสุด จับแจกไปเลยชาบูชิฟรีหนึ่งมื้อ”
“อ๋อ เกมส์นี้กูเคยเล่นตอนเด็กๆ ไม่อยากจะคุยว่าแชมป์ครับแชมป์ เสร็จกูแน่พวกมึง” ไอ้จั๋วกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วรีบผันตัวไปเป็นคนเปิดเกมส์ พ่นคำแรกออกมาก่อนใคร
“วัวสองตัวไม่มีหาง” ไอ้จั๋วว่า
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู” ไอ้โยมรีบต่อ
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน” ไอ้โอ้บวกสัตว์พิการเข้าขบวน
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทองบ้านกูสมบูรณ์ดี” ไอ้อ่อนว่าตามประสาคนรักสัตว์
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทองบ้านกูสมบูรณ์ดี ปวดขี้” ผมต่อ
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทองบ้านกูสมบูรณ์ดี ปวดขี้ ห้าร้อยยี่สิบบาทที่ยืมกูไปใครรู้ตัวเอามาคืนด่วน” ไอ้เดย์ได้โอกาสประกาศทวงหนี้ทันที
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทองบ้านกูสมบูรณ์ดี ปวดขี้ ห้าร้อยยี่สิบบาทที่ยืมกูไปใครรู้ตัวเอามาคืนด่วน อยากไปสวนทานตะวัน” ไอ้บีว่ามาซะหน่อมแน้ม
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทองบ้านกูสมบูรณ์ดี ปวดขี้ ห้าร้อยยี่สิบบาทที่ยืมกูไปใครรู้ตัวเอามาคืนด่วน อยากไปสวนทานตะวัน… สองห้าเจ็ดสี่สามแปดหกศูนย์ศูนย์” ไอ้จั๋วท่องเลขออกมากะเผด็จศึก เล่นเอาเพื่อนต้องเงยหน้าจากกระบอกทรายในมือมองมันกันตาปริบๆ
“วัวสองตัวไม่มีหาง หมูสามตัวไม่มีหู ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทองบ้านกูสมบูรณ์ดี ปวดขี้ ห้าร้อยยี่สิบบาทที่ยืมกูไปใครรู้ตัวเอามาคืนด่วน อยากไปสวนทานตะวัน สองห้าเจ็ดสี่สามแปดหกศูนย์ศูนย์ ได้แดกของฟรีอร่อยที่ซู้ด” ไอ้โยมคนมีเป้าหมายยิ้มเพล่ แสดงสุดยอมความจำมาทวนเลขไอ้จั๋วได้
“วัวสองตัวไม่มีหู หมูสามตัวไม่มีหาง ไก่สองคู่ไม่มีหงอน ปลาทูบ้านกูสมบูรณ์ดี ปวดขี้ ห้าร้อยยี่…” ไอ้โอ้ต้องหุบปากลงกลางคันเพราะเสียงโห่ของเพื่อนฝูง โดนอัปเปหิเด้งออกจากเกมส์ไปเป็นรายแรกจากวัวไม่มีหู หมูไม่มีหาง และปลาทองที่กลายเป็นปลาทู
แล้วเกมส์ซ้ำคำกูที่เริ่มแบบชิวๆก็ทวีความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเพื่อนพ้องที่ปกติมักทำหน้าเอ๋อสมองเบลอกลับงัดความสามารถแฝงมาสู้กันชนิดจริงจังจดจ่อจนถึงกับกรอกทรายไม่เข้าถุง พูดทวนพูดซ้ำกันไปวนได้เกือบสามรอบแล้วก็เหลือตัวเล่นอยู่สามสมอง หนึ่งคือไอ้จั๋วอดีตแชมป์เด็ก สองคือไอ้โยมคนมีเป้าหมาย สามคือไอ้บีม้ามืดที่มีพรายกระซิบลักษณะคล้ายไอ้อ่อนนั่งเยื้องอยู่ด้านหลัง คาดว่าสองคนนี้จะฮั้วการประมูล ไอ้โอ้ที่เห็นไอ้บีมีตัวช่วยรีบย้ายก้นพร้อมเก้าอี้เข้าไปเป็นฝ่ายหนุนไอ้โยม แต่กลับโดนดีดออกมาเพราะมัวแต่จะเปลี่ยนปลาทองเป็นปลาทูมันอยู่นั่น กลายเป็นว่าไอ้โอ้ ไอ้เดย์และไอ้กิมที่ตกรอบกันมาถ้วนหน้าก็ได้แต่ผันตัวมาเป็นกรรมกรกรรมการ มีหน้าที่คอยทำหูกระดิกจับผิดเพื่อน
เล่นกันไปครึ่งค่อนวันจนในที่สุดไอ้จั๋วแชมป์เด็กก็ลุกพรวดขึ้นกำหมัดชกอากาศ แสดงอาการดีใจออกนอกหน้าที่ป้องกันแชมป์จากไอ้โยมไว้ได้ ไม่มีแคร์สายตาคนอื่นๆที่นั่งอยู่ร่วมวง ส่วนไอ้โยมที่แพ้ไปอย่างฉิวเฉียดก็ออกแอ็กติ้งชนิดโอเวอร์ไม่ให้น้อยหน้า ถึงกับท่องไอ้ที่เล่นกันมาทั้งหมดเป็นบทสวด ท่องไปตักทรายใส่ถุงไปด้วยปากขมุบขมิบ เรียกความเห็นใจปนหวั่นใจจากเพื่อนฝูงจนโดนจับแจกรางวัลปลอบใจเป็นข้าวมันไก่เจ็กจีนฟรีหนึ่งมื้อ
นั่งทะลวงภูเขาทรายกันมาตั้งแต่รถเมล์เที่ยวแรกพึ่งออกวิ่งจนพ้นเวลาอาหารเที่ยงก็ได้ฤกษ์ยกก้นจากเก้าอี้ ลุกขึ้นมาเป็นกรรมกรเต็มตัว ยืนเรียงแถวห่างกันคนละหนึ่งช่วงแขนเพื่อทำหน้าที่สายพานแรงมนุษย์ โยนถุงทรายส่งต่อๆกันจากจุดบรรจุไปให้ถึงรถหกล้อ งานนี้ดูไอ้โอ้จะทำได้ดีกว่าใครเพื่อน กล้ามเปล่งเป็นป็อปอายส์หลังอัดผักโขมแสดงผลงานได้สมราคาคุย หันรับหันส่งได้รวดเร็วว่องไวจนโดนจับเปลี่ยนตัวสับแถวไปอยู่กับทหาร เนื่องจากแถวชาวบ้านแถวนี้รับและส่งถุงทรายให้มันไม่ทัน
กว่าจะลำเลียงทรายขึ้นหกล้อได้เต็มห้าคันรถเวลาก็ย่ำค่ำ ฟ้าเริ่มมืดพอๆกับสภาพอาสาสมัครที่เริ่มหม่น แต่ละคนหน้ามัน หัวหูเต็มไปด้วยผงฝุ่น ท่าทิ้งแขนลงข้างตัวคล้ายๆกันบอกให้รู้ว่าไม่ได้มีแต่ไอ้กิมที่ไม่ฟิต จะมีก็แต่ไอ้ป็อปอายส์ที่เหมือนว่าฤทธิ์ผักโขมจะยังไม่หมด ไอ้โอ้อึดชนิดว่าทหารหลายนายต้องเดินมาตบบ่าพลางส่ายหน้ายอมแพ้ เห็นแล้วก็ให้เกิดความคิดต้องไปขอเคล็ดลับการฝึกกล้ามเนื้อจากเพื่อนไว้สักหน่อย เผื่อวันไหนจะได้งัดเอาไปใช้กับคนที่ชอบตวัดกันขึ้นบ่าเวลาไม่ยินยอม
แล้วเหล่าอาสาสมัครกว่าห้าสิบชีวิตที่มารวมตัวกันวันนี้ก็ได้เวลาตบฝุ่นออกจากตัวแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านตอนนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มสิบนาที พวกผมเจ็ดคนลงความเห็นว่ารางวัลที่หนึ่งและรางวัลปลอบใจขอผลัดกันไปก่อน เอาเป็นอาทิตย์หน้าอาทิตย์อื่นที่จะสามารถจับช้อนจับตะเกียบได้แบบมือไม่สั่นแล้วค่อยยกขบวน ไอ้จั๋วเจ้าของรางวัลพยักหน้าหงึกหงักพลางบีบนวดแขนตัวเองแล้วตบเท้ากลับไปพร้อมไอ้บีไอ้อ่อนและไอ้เดย์ วันนี้เหล่าผู้ประสบภัยน้ำท่วมสามหน่อจะพากันไปค้างบ้านไอ้เดย์ ส่วนผมกับไอ้โอ้แยกออกมาขึ้นรถเมล์คนละสาย ก่อนกระโดดขึ้นปอออแปดไอ้โอ้ยังมีแรงหันมาช่วยแม้ค้าที่ยืนจ่ออยู่ด้านหลังยกถุงสัมภาระสามห่อเบ้งขึ้นรถด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ผ่านการยกถุงทรายแปดกิโลติดต่อกันมากว่าสี่ชั่วโมง
ไอ้โอ้โบกมือบ๊ายบายแล้วผลุบหายไปในปอออแปด ปล่อยผมยืนรูดลูกชิ้นปิ้งออกจากไม้ด้วยมืออันสั่นเทาอยู่หน้าป้ายรถ ผมเคี้ยวลูกชิ้นที่ซื้อมาจากรถเข็นห่างออกไปไม่เกินสิบก้าวพลางซึมซับบรรยากาศตรงหน้าที่ห่างหายไปเสียนาน กลิ่นควันรถจากท่อไอเสีย เสียงบีบแตรไล่มอเตอร์ไซค์วิน ภาพสาวออฟฟิสในส้นสูงแหลมปริ๊ดกระโดดขึ้นรถเมล์ แม่ค้าหอบข้าวของวิ่งตามรถที่ทำท่าว่าจะไม่จอด สีหน้าต่างๆกันไปของผู้คน เคี้ยวไปมองไปความคิดก็เริ่มไพล่ไปถึงใครอีกคน คนที่โผล่มาอยู่ข้างกันเมื่อสี่ปีก่อน ไอ้มิคที่พาตัวเองกลับมาเจอไอ้กิมอีกครั้งแล้วแทรกตัวเข้ามาอยู่ในความคิด ในใจ ไอ้มิคที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลแจ็กพอตอยู่ทุกวี่วัน ไอ้มิคที่ทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่ค่อนคืนเพียงเพราะไม่มีมันร่วมแชร์โปงผ้า
เจ้กุ่ยพี่สาวผมที่แต่งงานไปแล้วสองครั้งครั้งละสองปี เคยมาบ่นกลางวงข้าวให้ฟังว่าช่วงข้าวใหม่ปลามันมีเวลาเท่ากับช่วงทดลองงานคือสามเดือน สามเดือนแห่งการชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ตื่นเช้าก่อนออกจากบ้านต้องจูบปาก ตกเย็นก่อนปิดตาหลับต้องมีการหลับนอน เป็นช่วงเวลาชื่นมื่นที่เข้าขั้นหน้ามืดตาบอดของคนสองคน แต่หลังจากผ่านระยะทดลองใช้กันไปแล้วความรักคับอกจะเข้าสู่ภาวะความเป็นจริง อาการสิเน่หาที่พาลให้อยากกระซิบคำหวานใส่หูอีกฝ่ายทุกเช้าค่ำเริ่มเปลี่ยนจากนมข้นเป็นนมจืด อารมณ์พิศวงพิศวาสที่พาให้อยากสำรวจร่างกายอีกฝ่ายทุกทีที่เวลาและกำลังวังชาอำนวยเริ่มหดหาย เรียกว่าพอผ่านช่วงระยะรับประกันกันไปแล้ว คู่ไหนต่อคู่ไหนก็จะเริ่มมีความไม่ชอบใจเล็กๆน้อยๆต่อพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามตามมา
หลังจากผมสารภาพรับรักไอ้มิคไปกลางตลาดหัวหิน ตลอดจนผ่านการจับมือกันมีชัยไปในครั้งแรก นับเวลาจากวันนั้นถึงวันนี้ก็เรียกได้ว่าผ่านระยะทดลองใช้มาแล้วนานนม ให้ระบุชัดเจนลงไปก็ต้องว่าผ่านเข้าไตรมาสที่สามตามปฏิทินมาแล้ว แต่อาการสิเน่หาของไอ้มิคที่คอยแต่จะจับจังหวะหยอดคำหวานใส่ไอ้กิมยังเรียกได้ว่าคงที่ไม่มีตก จนหลังๆปากผมก็ชักจะหวานเป็นพระเอกยี่เกตามอีกฝ่ายไปติดๆ อารมณ์พิศวงพิศวาสก็ยังกระหน่ำตีแสกหน้าไอ้มิคแล้วลามมาถึงไอ้กิมจนไม่มีวันไหนที่ผ้าผ่อนไม่หลุดหากได้อยู่สองต่อสองในห้องในหับ
แม้จะมีบางช่วงแถวๆเทศกาลลอยกระทงที่ความรักเหมือนจะตกหลุม แต่พอได้เปิดปากเผยความในใจใส่กันซึ่งๆหน้าก็กลายเป็นว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด ผมที่คิดว่าไอ้มิคเริ่มเบื่อก็เก็บมาเศร้า ไอ้มิคที่คิดว่าไอ้กิมไม่รักก็เก็บไปซึม กว่าจะดันอารมณ์ตกร่องให้กลับเข้าที่เข้าทางเข้าใจกันให้ถูกก็กินเวลาอยู่เป็นอาทิตย์ แต่หลังจากนั้นดอกรักก็ยิ่งผลิบานจนจะล้นทุ่ง เหมือนมีใครเอาพลุมายิงฉลองให้อยู่ทุกวี่วัน
เรียกว่าแม้จะรับรักกันมาแล้วถึงสามไตรมาส คำนวณเวลาได้เก้าเดือนกับอีกสิบสองวัน เก้าเดือนสิบสองวันที่ตกดึกเมื่อไหร่เป็นได้คึก ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของห้อง ไม่เกี่ยงว่านั่งกระดิกตีนดูทีวีหรือยืนตากผ้าอยู่ริมระเบียง ไอ้มิคจะมีอารมณ์จับผมคลุกวงในได้ทุกสถานการณ์ แม้เพื่อนจะยอมผ่อนหนักเป็นเบาเอาแค่ลูบๆคลำๆ ไม่เอะอะกางเกงหลุดติดกันสองคืนซ้อนให้เดินกันไม่เป็น แต่ผมที่โดนนวดตั้งแต่หัวถึงหางอยู่แทบจะทุกเช้าค่ำก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นก้อนแป้งที่โดนปั้นจนจะขึ้นรูป พาให้คิดไปว่าทฤษฏีข้าวใหม่ปลามันของเจ้กุ่ยนั้นไม่ถูกต้อง หรือคิดอีกทีอาจเป็นที่ผมกับไอ้มิคเองที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง มีช่วงเวลาหน้ามืดตาบอด เอาแต่จะหลงอีกฝ่ายจนโงหัวกันไม่ขึ้นเกินลิมิตคนอื่นเขา
คิดมาถึงตรงนี้ก็ให้คิดถึงคนที่อยู่ในความคิดเป็นกำลัง แม้ไอ้กิมจะไม่ค่อยได้แสดงออกเหมือนไอ้มิคเนื่องจากมักโดนขโมยซีน แต่เอาเข้าจริงผมเองก็หลงมันหัวทิ่มหัวตำไม่แพ้ใคร ดูเอาว่าแค่ไม่ได้เห็นหน้าสามวันกว่าๆก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาจับใจ ถามว่าไอ้มิคที่อยู่อีกฟากโลกจะคิดถึงไอ้กิมไหม ตอบแทนได้ว่าคิดถึง แต่จะถึงขนาดหลับไม่ค่อยสนิทอยู่ใต้โปงผ้าเหมือนผมไหมอันนี้เดี๋ยวต้องถามกับเจ้าตัว คาดว่าพรุ่งนี้ค่ำๆคงได้เห็นหน้าเห็นตาให้ได้ชื่นใจ
คิดไปคิดมารถเมล์แอร์ยี่สิบสามป้ายสิบหกบาทก็ปาดหน้าแท็กซี่เข้าจอดป้ายให้ได้กระโดดลง ผมก้าวลงจากรถพร้อมอาการชะงักตามผู้โดยสารอีกหลายคน สาเหตุอาการชะงักเท้าของทั้งสาวทั้งหนุ่มหน้าป้ายรถเมล์คือคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อลูมิเนียมยาว ร่างกายสูงใหญ่ทำให้ที่นั่งเตี้ยๆของป้ายรถเมล์ดูเหมือนเก้าอี้เด็ก เสี้ยวหน้าขาวๆที่ก้มจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ในมือหล่อจัดจนคนเดินผ่านพากันหยุดมอง แม้จะอยู่ในเสื้อยืดคอปาดแบบดูออกว่าปาดเองกับมือกับยีนส์ซีดๆแถมหนีบรองเท้าแตะ คนที่พาให้ใครต่อใครต้องชะงักเท้าก็เหมือนหลุดออกมาจากหน้าหนังสือโฆษณาเสื้อผ้าแบรด์ดัง มากกว่าจะเป็นคนจริงๆที่มาโผล่อยู่แถวป้ายรถเมล์
ไอ้มิคยกมือถือขึ้นแนบหูในจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋าผมสั่น แล้วคนที่โทรมาก็เงยหน้าสแกนสายตาไปแถวบริการขนส่งมวลชนที่พึ่งปาดเข้าป้าย เล่นเอาไทยมุงที่แอบมองพากันหลบตา ประหม่าไปตามๆกัน ผมที่ยังชะงักอยู่ริมฟุตบาทเห็นคนแอบมารอทำเซอร์ไพรส์ข้ามวันแล้วบอกตรงๆว่าอยากโผนเข้าไปลูบหน้าลูบตาลูบตัวให้หายคิดถึง แต่เนื่องจากสถานที่และสถานการณ์ไม่อำนวย ยังมีพยานรู้เห็นแถวนี้แถวโน้นอีกเป็นสิบ ไอ้กิมเลยต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งแล้วรีบสาวเท้าหลบฉากไปยืนแอบกดรับโทรศัพท์ ช่วยกันแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าแฟนแอบมานั่งหล่อรอรับที่ป้ายรถเมล์
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงไปตามสัญญานไร้สายพลางแอบมองข้ามหลายหัวไปยังไอ้มิคที่ยังกวาดสายตาอยู่กับกลุ่มคนที่ทยอยกันลงจากรถ
“ฮัลโหล ขอสายแฟนมิคหน่อยครับ” เสียงทุ้มๆตอบมาอารมณ์ดี
“แฟนมิคพูดอยู่ครับ นั่นใช่แฟนกิมหรือเปล่า” ต้องจัดไปให้เท่าเทียม
“ใช่ครับ คิดถึงแฟนจัง” คนพูดก้มหน้าแอบยิ้ม ลักษณะท่าทางดูดียังกับอยู่ในมิวสิควีดีโอ “กิมอยู่ไหน เสร็จงานหรือยัง”
“เสร็จแล้วๆ กำลังจะกลับ แล้วมึงอยู่ไหน เสียงเหมือนอยู่ข้างนอก” ถามแล้วแอบขำตัวเอง เล่นอะไรกันอยู่วะ
“ก็อยู่ข้างนอก นั่งคิดถึงกิมอยู่ อยากเห็นหน้าเร็วๆ” ยอดยาหยีของผมตอบได้ไม่มีอาย เล่นเอาสาวที่นั่งรอรถเมล์อยู่ใกล้เคียงแอบหน้าแดง
“เดี๋ยวรีบไปเข้าฝันเลย เร็วพอไหมวะ” ผมตอบพลางชะโงกมองคนที่ส่งเสียงหัวเราะหล่อๆมาตามสายที่กำลังกวาดสายตาอยู่กับกลุ่มคนโดยสาร เห็นอาการตั้งอกตั้งใจมองหาแล้วอยากวิ่งไปชูป้ายแสดงตัว จะได้จูงมือพากันกลับห้องแล้วแสดงความคิดถึงกันเสียให้หนำใจ
“พอไหว แต่ทำไมรู้สึกเหมือนคิดไปอยู่ฝ่ายเดียว ยังไม่ได้ยินแฟนเราบอกสักคำว่าคิดถึง” สมเป็นไอ้มิคของไอ้กิมจริงๆครับ เรื่องหน้าด้านหวานจนเลี่ยนอย่างนี้ไม่มีใครเกิน
“คิดไม่คิดไม่รู้ แต่วันนี้เห็นฉลากบนถุงทรายเป็นหน้ามึงเลย เงยมาเจอไอ้บีนี่ก็เห็นเป็นหน้ามึงเหมือนกัน หันไปเห็นไอ้โอ้ โห แม่งหล่อล่ำกลายเป็นลูกครึ่งซะงั้น” ผมหยุดจังหวะก่อนหยอด “อย่างนี้เรียกคิดถึงเปล่าวะ”
คนที่ผมยืนหลบเสาแอบมองเปิดยิ้มจาง หล่อแทบฉายแสง ปากอิ่มๆที่ตาไอ้กิมเหล่ไหลไปมองขยับพูดอะไรบางอย่างตอบมา แต่ยังไม่ทันที่จะฟังได้ศัพท์ก็มีอันต้องสะดุ้งกับมือหนักๆที่ตบมาบนไหล่พร้อมเสียงดังปานฟ้าฝ่าของไอ้อ่ำที่ชะโงกเข้ามาทักแทบจะติดกระบอกหู
“ไอ้กิม! มายืนทำอะไรลับๆล่อๆข้างเสาไฟ ดักรอกูอยู่หรือไง” ไอ้อ่ำหน้าเกลี้ยงเกลายกขวดเซปเป้บิวตี้ดริ้งค์ขึ้นดูดเหมือนสูบ ก่อนเหลือบข้ามไหล่มาเห็นว่าผมมีโทรศัพท์แนบอยู่ติดหู “อ้าว คุยกับใครอยู่”
ผมกลับหลังหันมากระพริบตามองไอ้สำอางอ่ำกับขวดน้ำในมือไล่ไปถึงถุงเซเว่นที่เพื่อนหิ้วอยู่ ในหูได้ยินเสียงแห่งความเงียบชนิดเงียบกริบมาจากมือถือที่แนบอีกกระบอกหูอยู่ รู้โดยไม่ต้องเดา คนที่เงียบไปได้ยินแน่ๆ
“วันนี้มึงอยู่คนเดียวใช่ปะ ดีเลย กูจะได้ไปเล่นเกมส์ที่ห้องมึง พึ่งยืมไอ้โก๋มา” ไอ้อ่ำที่โผล่มาเปิดเผยที่ซุ่มซ่อนผมยังพูดไปเรื่อยพลางยกถุงเซเว่นขึ้นจิ้มไส้กรอกกิน ไม่ได้สนใจเลยว่าไอ้กิมไม่หือไม่อือตอบ
ผมแนบหูฟังความเงียบในโทรศัพท์แล้วรีบส่ายหน้าส่งสัญญาณให้ไอ้อ่ำที่กำลังจะยกมือขึ้นพาดไหล่กันได้เอะใจ ยกอีกมือที่ยังว่างปิดปลายมือถือแล้วกระซิบไล่เพื่อนซึ่งๆหน้า ไอ้อ่ำที่ปกติรู้ตัวรอดเป็นยอดมนุษย์ เห็นไอ้กิมขยิบตาถี่ๆใส่เมื่อไหร่เป็นต้องเดินฉีกไปอีกทาง วันนี้ต่อมรับสัญญาณกลับไม่ทำงาน ท่าทางเพื่อนคงนอนใจว่าคนที่มักทำให้ผมตากระตุกยังอยู่อีกฝากโลก ไม่มีทางโผล่มาแผ่รัศมีคุกคามมันแถวป้ายรถเมล์กรุงเทพ มันก็เลยไม่ยอมจับสัญญาณการส่ายหน้าไล่ของผมแล้วเอื้อมมือมาตบหัวที่กำลังส่ายไล่ของไอ้กิมดังป๊าบ ก่อนออกปากถามไถ่เสียงไม่เบา
“เป็นอะไรของมึง ส่ายหัวเป็นพระเอกอินเดียเชียว หน้าไม่ให้โว้ยหน้าไม่ให้” ไอ้อ่ำยกแขนขึ้นพาดไหล่ผมแล้วดันให้ออกเดินพลางต่อ “รีบกลับไปเล่นเกมส์กันดีกว่า คืนนี้ไม่มีก้างขวางคอ บอกเลยไม่เช้าไม่เลิ!...”
คนที่พยายามดันไอ้กิมออกจากมุมมืดที่ซุ่มซ่อนพูดได้ไม่จบประโยค หน้าขาวๆอ้าปากค้างอยู่ครึ่งๆ ไอ้อ่ำชะงักเหมือนสวิตช์โดนกดปิด มือที่พาดไหล่ผมอยู่กระตุกหลุดในจังหวะเดียวกับที่เจ้าของมือก้าวถอยห่างไปหลายช่วงตัว รู้โดยไม่ต้องเดาเป็นครั้งที่สองของวัน พระเอกโผล่มาเข้าฉากเข้าให้แล้ว
หน้าตื่นๆกับระยะที่ถอยหนีไปเป็นโยชน์ของไอ้อ่ำเกือบทำให้ผมที่ยังมีโทรศัทพ์อยู่แนบหูหลุดขำ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยเป็นพยานชนิดประชิดตัวมาก่อนผมต้องว่าไอ้อ่ำมันโอเวอร์แอ็คติ้งค์ แต่เนื่องจากประสบการณ์ตรงหลายต่อหลายงานทำให้ขำไม่ออก ได้แต่พยักหน้าหลายๆหงึกให้กำลังใจส่งไปแล้วเปิดปากเปิดทางหนีทีไล่ให้เพื่อน
“เดี๋ยวกูแวะเซเว่นก่อน มึ…”
“ได้ๆ แล้วเจอกันที่มอเว้ย กูไปล่ะ” ไอ้อ่ำรัวลิ้นตัดประโยค ยกมือโบกแล้วกลับหลังหันเดินหนีไปไวปานวอก
ผมเองก็กลับหลังหันแล้วยื่นมือไปคว้าแขนคนที่ยืนอยู่แทบชิดติดหลังให้ออกเดินไปทางร้านสะดวกซื้อ คนที่ยอมให้จับจูงไม่ยอมก้าวตาม ไอ้มิคยื่นมือมาคว้าคอผมเข้าไปหาแล้วก้มมากระซิบซะติดขมับ
“เดี๋ยวเถอะ”
ปากอุ่นๆขยับพูดอยู่ชิดขมับก่อนก้มมาฉกจูบหนักๆไปที มือที่อยู่แถวท้ายทอยเริ่มคลึงนิ้วเรียกความสยิวจนต้องตีปีกเข้าสีข้างเจ้าของปากเจ้าของมือไปทีบ่งบอกสถานที่ แม้จะเป็นมุมมืดข้างเสาไฟใกล้พงหญ้าแต่ก็ยังอยู่แถวป้ายรถเมล์
“เดี๋ยวเถอะอะไร มานั่งรอใครที่ป้ายรถหา” ผมทำเสียงหาเรื่องแต่ปากดันหุบยิ้มไม่ลง “ไหนว่ากลับพรุ่งนี้”
ไอ้มิคที่ไม่เคยจะแคร์สถานที่ไม่ยอมให้ปีกผมขัดขวางอาการสิเน่หา ก้มมาสูดจมูกอยู่กับกกหูผมไปฟืดใหญ่ก่อนเงยมาถอนหายใจยาว
“อยู่ไม่รอด คิดถึงกิม”
“…………….”
“คิดถึงมากๆ”
ได้ยินคำบอกคิดถึงจากคนขี้คิดถึงปากผมก็พาลจะกระตุกตอบเป็นมุกไปให้ขำ แต่ตาสีจางที่จ้องตรงมาทำให้ปากต้องหุบฉับ อะไรบางอย่างในตาอีกคู่ทำให้ผมไม่รู้จะตอบยังไง เสียงที่เอ่ยบอกคำคิดถึงติดจะแผ่วเกินกว่าทุกทีกับสีหน้าจริงจังที่เกินกว่าสีหน้าของการบอกคำคิดถึงทำให้ผมหาคำพูดมาต่อบท มาตอบรับไม่ได้ แม้ว่าคำคิดถึงจะเป็นคำที่ไอ้มิคพูดกับผมเสมอ แล้วผมก็เข้าใจอาการคิดถึงที่อีกฝ่ายบอกออกมา แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่คำคิดถึงของคนตรงหน้าจะส่งผ่านความรู้สึกที่หนักหน่วงเข้าขั้นหนักอึ้งจนแค่ได้ยินก็เจ็บในหัวใจอย่างครั้งนี้ ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะเข้าใจอาการทรมานของความคิดถึง เข้าใจได้ เพียงแค่ได้ยินเท่าครั้งนี้