ผมสะดุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่เอ่ยขออนุญาตขอที่นั่งและทันทีที่เห็นหน้าคนคนนั้นผมต้องเบิกตาด้วยความตกใจแปลกใจที่เจอมันที่นี่
“คลื่น”“หึหึ นึกว่าร้องไห้น้ำตาปิดตาจนจำหน้ากูไม่ได้ซะอีก” เสียงนุ่มๆมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นแบบเดิมที่มันมีให้ผมเหมือนทุกครั้งก่อนจะนั่งลงข้างๆผมที่ยังมึนงงกับการปรากฏตัวของมันในครั้งนี้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบโผล่มาในเวลาที่ผมไม่มีใครทำไมมันมักจะมาหาในเวลาที่ผมกำลังร้องไห้
“มึง มึงมาทำอะไรที่นี่คลื่น ไม่ใช่สิมึงมาที่นี่ได้ยังไง”
“ใจเย็นๆก็ได้พีม กูก็ขับรถมาไง” ผมรู้ตัวเลยว่ากำลังทำหน้าตาแบบไหนคิ้วผมคงขมวดจนเป็นปมไปแล้วไม่งั้นไอ้คลื่นไม่ยื่นมือมาจิ้มหัวคิ้วให้ผมหรอก
“แล้วบังเอิญมาเจอกูว่างั้น”
“ประมานนั้น” มันไหวไหล่และยังคงจับจ้องมองใบหน้าของผมนิ่งจนผมต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อแก้บรรยากาศเงียบๆระหว่างเรา
“มึง มึงไม่ต้องมากวนตีนเลยบอกมาว่ามึงมาที่นี่ได้ยังไง” ผมยังคงซักเอาความจริงจากมัน
“ขอโทษนะพีมที่กูบอกมึงไม่ได้ กูไม่เคยคิดที่จะมีความลับกับมึงแต่ขอแค่ครั้งนี้ได้ไหมพีม” น้ำเสียงของไอ้คลื่นจริงจังต่างจากทุกครั้ง ผมถอนหายใจและพยักหน้าในเมื่อมันไม่อยากบอกผมก็ไม่อยากคาดคั้นผมเชื่อว่ามันก็คงมีเหตุผลของมัน
และไม่ว่าไอ้คลื่นจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรไม่ว่ามันจะหาผมเจอด้วยวิธีไหนมันก็คงไม่มีผลต่อเรื่องราวที่ผมกำลังเผชิญ ผมหันกลับไปมองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้งส่วนคนข้างตัวก็ยังคงมองผมอยู่เช่นเดิม
“ผอมลงไปเยอะเลยตาโบ๋ด้วยไม่น่ารักเลยว่ะ” หลังจากที่เราทั้งคู่เงียบไปนานไอ้คลื่นก็เอ่ยทำลายความเงียบ มันทำลายความเงียบด้วยความกวนตีน
“แล้วกูน่ารักซะที่ไหนวะ”
“ทุกที่”
“ไอ้……..” ผมตกใจที่อยู่ๆก็ถูกดึงตัวไปกอดคลื่นจับหัวผมให้พิงลงที่อกของมันอ้อมกอดของคลื่นอ่อนโยนตัวมันมีกลิ่นหอมเย็นๆ มันกอดผมแน่นขึ้นผมเองก็วางหน้าผากลงบนอกคลื่นอย่างเหนื่อยอ่อน เวลามีคนปลอบน้ำตาก็พร้อมจะไหลได้ทุกเมื่อจนผมนึกรำคาญ
“เจ็บมากไหม” เสียงทุ้มๆเอ่ยถามและลูบหัวผมอย่างเบามือ
“……..มาก”
“เจ็บก็ร้องไม่ต้องทำเหมือนเข้มแข็งหรอกพีม”
“กูร้องบ่อยแล้วคลื่นร้องจนกูยังสงสัยเลยว่าทำไมต่อมน้ำตาคนเรามันผลิตน้ำตาได้เยอะขนาดนี้”
“เดี๋ยวมันก็หยุดเองแล้วพอร้องเสร็จก็กลับมาเป็นพีมคนเดิมที่กูชอบ คนที่เคยยิ้มได้กับทุกเรื่องกูชอบพีมคนนั้น……..แล้วเลิกกับแฟนทั้งทีไม่คิดจะบอกกันบ้างเลยเหรอ” ท้ายเสียงมันพูดติดจะกวนๆเหมือนจะแกล้งให้ผมอารมณ์ดีขึ้นแต่ว่า ผมยิ้มไม่ไหวแล้วจริงๆ
“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องป่าวประกาศนี่หว่า……..คลื่น….ถ้ากูเป็นแฟนกับมึง พ่อกับแม่มึงจะอนุญาตให้เรารักกันไหม”
“หึหึ ถามแบบนี้กูมีความหวังนะ”
“ขอโทษ”
“เลิกพูดคำนี้ได้ไหมพีม” ผมพยักหน้าหงึกงักรับปากอยู่กับอกของคลื่นน้ำตาของผมซึมผ่านเสื้อของมันตรงตำแหน่งหัวใจพอดี “พีม……มึงรู้ไหมบางครั้งกูเคยแอบคิดว่าถ้าสมมุติวันนึงมึงกับ….มันเลิกกันบางทีกูอาจจะมีโอกาสได้ดูแลมึง หึ กูเลวเนอะ……แต่พอเอาเข้าจริงๆพอเห็นมึงเจ็บเห็นมึงร้องไห้กูว่ากูเจ็บยิ่งกว่าตอนที่แอบรักมึงอีกว่ะ”
“…………………………..” ผมได้แต่รับฟังอย่างไม่รู้จะพูดอะไรก็เลยเงียบคลื่นมันก็เงียบตามมีเพียงเสียงคลื่นลมที่ยังพัดผ่าน เวลาค่อยๆคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆและคลื่นยังคงกอดผมเอาไว้แต่แม้ว่าอ้อมกอดของคลื่นจะอบอุ่นสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังอยากได้กอดของภูมิอยู่ดี
“พวกมึงไม่ลองคุยกันอีกซักครั้งเหรอพีมกูว่าถ้าอยู่ด้วยกันมันน่าจะดีกว่านะ…….อยู่คนเดียวก็เจ็บก็ร้องไห้งั้นไปร้องไห้ตอนอยู่กับมันจะไม่ดีกว่าเหรอ” ถ้าอยู่ด้วยกันได้กูก็คงไม่หนีมาแบบนี้หรอกคลื่น “ว่าไงกลับไหมเดี๋ยวพาไปส่ง”
“………………………….”
“งั้นถ้าไม่อยากกลับเราไปเดินเล่นกันไหม มึงพักนานแล้วนะถึงเวลาที่ต้องเดินต่อแล้ว….กูจะเดินอยู่ข้างๆจะดูแลมึงเอง”ผมดันตัวออกจากคลื่นแต่ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ผมคิดว่าเข้าใจความหมายลึกๆของคำพูดไอ้คลื่น ถ้าทำแบบนั้นถ้าผมเดินข้างมันทั้งที่มันก็รู้ว่าในใจผมมีแต่ภูมิคนที่จะเจ็บคือมึงไม่ใช่เหรอคลื่น เมื่อคลื่นไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษผมคงทำได้เพียงส่ายหน้าเท่านั้น
คลื่นลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือมารอให้ผมจับผมเงยหน้าขึ้นมองมือเรียวขาวที่ยื่นมาหา ผมมองเลยไปยังใบหน้าเจ้าของมือข้างนั้น คลื่นกำลังยิ้มอ่อนโยนให้ผมยิ้มของมันยังสดใสเหมือนเดิมแม้ว่าตอนนี้มันจะร้องไห้อยู่ก็ตาม ยิ้มของมันสวยดีมันงดงามจริงใจจนทำให้ผมยิ้มตามได้แม้น้ำตากำลังไหล ผมค่อยๆยืนขึ้นเผชิญหน้ากับคลื่น
ผมยืนด้วยตัวของผมเองผมไม่ได้ยื่นมือไปจับมือของมัน ผมไม่อาจจับมือนั้นได้ไม่ใช่ไม่พร้อมที่จะกุมมือใครแต่ผมไม่อาจจับมือกับใครอื่นได้อีกแล้ว ผมไม่อาจจูงมือเดินเคียงข้างคนอื่นที่ไม่ใช่ภูมิผมทำไม่ได้จริงๆ
ผมก้มลงมองมือของคลื่นมือข้างนั้นยังคงยื่นมารอมือของผมให้วางลงบนมือของมัน แต่สิ่งเดียวที่ผมให้คลื่นคือหยดน้ำตาที่ร่วงไหลจากหัวใจของผม ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นแสนอ่อนแอและได้แต่มองหยดน้ำตาตัวเองที่อยู่บนฝ่ามือของคลื่นผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมันแม้จะเห็นไม่ชัดแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน เราไม่ต่างกันคลื่นเราทุกคนต่างก็เจ็บเท่าๆกัน
คลื่นมันจะรู้ไหมว่าผมสื่อคำว่าขอบคุณผ่านดวงตาคู่นี้จะรู้ไหมว่าผมได้ฝากคำขอโทษไปกับน้ำตาหยดนั้น มันยิ้มกว้างเป็นยิ้มที่อ่อนโยนและสวยงามคล้ายกับจะบอกผมว่ามันเข้าใจ มันค่อยๆกำมือตัวเองข้างที่มีหยดน้ำตาของผมไว้อย่างทะนุถนอม
“มึงไม่ ฮึก ไม่โกรธกูใช่ไหมคลื่น…..ถ้ามึงเลิกรักกู มึงคงมีความสุขกว่านี้” ทำไมนะทำไมผมถึงไม่รักคลื่น ทำไมผมถึงไม่รักผู้ชายคนนี้ให้ได้ซักเสี้ยวที่รักภูมิ ถ้าผมรักคลื่นอย่างน้อยก็จะมีคนเจ็บแค่สองคน ไม่ต้องมาเจ็บกันแบบนี้
หรือการพยายามรักใครซักคนมันยากกว่าการเลิกรักใครบางคน
“ความสุขของกูคือการได้รักมึง”“………………………….”
“เลิกห่วงคนอื่นได้แล้วน่ากูไม่เป็นไร……” คลื่นเคยบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ต้องขอโทษเพราะมันมารักผมเองแต่ผมก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี มันเจ็บก็เพราะรักผมมันเสียใจก็เพราะรักผมถ้าจะไม่ให้ผมรู้สึกอะไรมันก็คงใจร้ายเกินไป
“พีม”
“อื้ม”
“กูเองก็…….ไม่รู้หรอกนะว่าในชีวิตคนๆนึงจะมีความรักได้ซักกี่ครั้งแต่กูคิดว่ามึงจะเป็นความรักที่กูจะจดจำไปทั้งชีวิต……..และกูอยากให้มึงช่วยจำไว้ด้วยว่า….
หากวันไหนที่มึงไม่เหลือใครขอแค่มึงหันกลับมาจะเห็นกูยืนอยู่ตรงนี้และจะคอยรับความเจ็บปวดให้มึงเสมอนะพีม” ผมสะอื้นจนหายใจไม่ทันผมเปล่งเสียงตอบคลื่นไม่ได้เลยทำได้แค่พยักหน้ารัวๆพูดออกไปแทบไม่เป็นภาษา
“อื้ม ขอบ คุณ ขอบคุณว่ะคลื่น ขอบคุณมึงจริงๆ”
จดหมายจาก “ฟองคลื่น”
ช่วงชีวิตก่อนที่ผมจะรู้จักกับพีมผมเคยมีแฟนมาหลายคนเคยคิดว่าที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้คำว่ารักจากพวกเธอเหล่านั้นแต่ผมกลับไม่เคยรู้จักมันจริงๆ จนได้มารู้จักกับพีมผู้ชายตัวเล็กๆใจดียิ้มง่ายและที่สำคัญ
“มีเจ้าของแล้ว”
ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆอยากดูแลอยากมองแม้จะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์แต่ก็แอบคิดแอบหวังขอแค่ได้ทำดีๆให้มันบ้างผมก็มีความสุข พีมทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่ารักคืออะไรและมันมีค่ามากแค่ไหน คุณค่าของความรักคือการที่เรามีความสุขที่ได้แม้ไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ความรักมันอาจจะไม่ได้จบลงด้วยความสมหวังเสมอไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความสุข ไม่ได้แปลว่าไม่มีความรักอยู่ในตอนจบ
ผมเองก็ไม่ใช่คนดีมากมายไม่ใช่พระเอกละครที่แสนดีผู้เสียสละทำเพื่อความรัก ผมก็แค่คนธรรมดาที่รู้จักหัวใจตัวเองแค่นั้นเอง แม้ว่าผมจะไม่ได้ยืนเคียงข้างคนที่ผมรักแต่ผมก็ยังโชคดีกว่าใครหลายๆคนที่อย่างน้อยก็มีโอกาสได้บอกคำว่ารักให้เขาได้รับรู้แม้เขาจะไม่ได้รักผมแต่เขาก็ใจดีให้ผมได้เป็นเพื่อนเป็นคนพิเศษได้อยู่ใกล้ๆได้คอยดูแล
จากนี้ไปผมก็คงต้องเริ่มเปิดใจให้กับคนใหม่ๆที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต วันหนึ่งข้างหน้าผมกับพีมคงเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้หรือบางทีผมอาจโชคดีได้คบกับมัน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผู้ชายที่ชื่อคลื่นคนนี้จะมีที่เล็กๆในมุมหนึ่งของหัวใจไว้ให้ไอ้พีมเสมอและมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
“คลื่น”http://www.youtube.com/watch?v=IQcUClxLO48คลื่นพาผมไปกินข้าวแล้วก็มาส่งผมที่รีสอร์ทตอนแรกมันพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมกลับไปพร้อมกันแต่ผมก็ยืนยันหนักแน่นว่าอยากอยู่ต่ออีกสักสองสามวันมันถึงยอมฟังไอ้คลื่นกลับไปแล้วผมก็อยู่คนเดียวอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จผมตั้งใจว่าจะรีบนอนเพราะพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่หมู่บ้านช้างเลยอยากรีบนอนแต่หัวค่ำเก็บแรงไว้เดินทางในตอนเช้า
แต่มันก็เหมือนทุกคืนที่ผ่านมาคือผมนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาหรือว่านอนนิ่งๆมันก็ไม่หลับเลยลุกออกมานั่งดูดาวรับลมฟังเสียงคลื่นที่ระเบียงกลับยิ่งทำให้เหงาขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้ภูมิจะเป็นยังไงบ้าง มันจะนอนรึยังหรือว่ามันกำลังอ่านหนังสือเตรียมจะสอบหรือว่ามันดูการ์ตูนอยู่ แล้วมันจะคิดถึงผมบ้างรึเปล่านะ
ผมนั่งกดโทรศัพท์ดูรูปภูมิเพื่อให้ช่วยคลายคิดถึงแต่ยิ่งดูก็ยิ่งเจ็บ ผมถอนหายใจยาวแหงนหน้ามองดาวบนฟากฟ้าไกลอยากให้ภูมิมาอยู่ตรงนี้ด้วยกันจัง ผมก้มดูมือถืออีกครั้งมีข้อความจากพวกไอ้คิวที่พยายามติดต่อผมเกือบร้อยๆครั้งมีข้อความจากพวกมันทุกคน
“กูขอโทษนะ” ผมได้แต่ถอนหายใจและบอกขอโทษผ่านลมผ่านฟ้าไปหาเพื่อน ผมรู้ว่าพวกมันเป็นห่วง ผมรู้ว่าผมทำตัวไม่ดีที่หนีมาแบบนี้ กลับไปก็ไม่รู้จะโดนพวกมันฆ่ารึเปล่ายิ่งมีแต่ไอ้พวกป่าเถื่อนอยู่ด้วยแค่ลองนึกหน้าพวกมันก็ทำให้ผมยิ้ม กูขอเวลาหน่อยนะอีกไม่นานกูจะกลับไปว่ะเพื่อน
อุ่นใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขน
อ้อมกอดแม่ตระกอง รักเจ้าจึงปลูกรักลูกแม่ย่อมห่วงใย
ไม่อยากจากไปไกลแม้เพียงครึ่งวัน ให้กายเราใกล้กัน
ให้ดวงตาใกล้ตาให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพันผมสะดุ้งที่โทรศัพท์ในมือสั่นพร้อมกับเสียงเพลงเรียกเข้าและหน้าจอก็โชว์คำๆหนึ่งที่ผมให้ผมอยากร้องไห้
“แม่” ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากผมปล่อยให้เพลงดังอยู่อย่างนั้นเพื่อขอเวลาทำใจทำเสียงตัวเองให้เป็นปกติ ความรู้สึกผิดความกลัวของผมที่มันเริ่มผสมปนเปไปหมดแล้วในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมือสั่นมากกว่าจะพยายามกดรับได้
“………..แม่”
(ฮัลโหลพีม พีมได้ยินแม่ไหมลูก) เสียงของแม่ร้อนรนต่างจากทุกครั้งที่แม่มักจะทักทายผมด้วยเสียงสดใส
(ครับ….แม่ ได้ยิน)
พีมอยู่ไหนรู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงมากแค่ไหน ทำไมหายไปแบบนี้ทำไมทำแบบนี้ละลูกไม่คิดถึงหัวอกแม่บ้างเหรอ ถ้าคิวไม่โทรหาแม่แม่ก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าลูกตัวเองหายไป) แม่ระเบิดอารมณ์เสียงของแม่สั่นเพราะแม่ร้องไห้ ผมกำเสื้อตัวเองแน่นกลัวว่าจะส่งเสียงสะอื้นออกไป
มันเป็นความรู้สึกผิดที่อัดอั้นอยู่ในอกผมเกลียดตัวเองที่ทำให้แม่ร้องไห้ทำให้แม่เสียใจความรู้สึกผิดไหนก็เทียบไม่ได้ผมมันเป็นลูกแย่ๆที่ทำให้แม่เสียน้ำตาทั้งที่ท่านรักท่านเป็นห่วงมากขนาดนี้กี่คำขอโทษถึงจะลบล้างความผิดได้
“แม่ ฮึกพีม พีมขอ ฮึก ขอโทษนะแม่” หมดลงแล้วความพยายามที่จะกักกลั้นน้ำตาผมร้องอย่างไม่อาย เสียงร้องไห้ของแม่ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดถาโถมใส่ใจของผมจนปวดปร่าไปทั้งใจ
(อย่าทำแบบนี้อีกนะพีมอย่าทำแบบนี้อีกนะลูก แม่ใจจะขาดรู้ไหม)
“ครับ แม่ แม่พีมขอโทษ ขอโทษ” เราสองแม่ลูกร้องไห้แข่งกันอยู่นานแม่เริ่มหยุดร้องแล้วแต่ผมยังสะอึกสะอื้นเหมือนจะตายเลย
(เฮ้อออลูกชายฉันนี่มันจริงๆเลยไอ้พวกอาร์ตติสท์อารมณ์ศิลปินเนี่ย ถ้าพีมยังไม่รับโทรศัพท์รู้ไหมพ่อจะให้คนตามหาแล้ว) แม่กลับมาเป็นปกติน้ำเสียงเริ่มเหมือนจะบ่นแล้ว
“ขอโทษนะแม่ที่พีมทำให้เป็นห่วง พีมขอโทษ”
(รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้วแม่ไม่โกรธหรอกแค่รู้ว่าพีมปลอดภัยแม่ก็ดีใจแล้ว คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกพีมมีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกไม่เล่าให้แม่ฟังล่ะลูก เราไม่มีความลับต่อกันไม่ใช่เหรอ หื้ม แล้วตอนนี้พีมอยู่ไหน)
“อ อยู่ทะเล”
(แล้วไปทำอะไรคนเดียวที่ทะเล)
“…………………………”
(แกอกหักเหรอพีม) บางทีก็แม่นไปนะแม่
“…………………………” ผมเงียบแล้วได้ยินเสียงแม่หัวเราะก่อนจะถอนหายใจเหมือนขำอะไรซักอย่าง ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว
(พีม พีมรักแม่ไหม)
“รักครับ”
(แกเลิกพูดครับได้ไหมห๊ะ) แล้วแม่ก็แว๊ดๆเปลี่ยนโหมดอารมณ์ไปแล้วถึงแม้ว่าเสียงจะขึ้นจมูก ผมหัวเราะทั้งน้ำตา
“เออๆรักดิ พอใจไหมคุณนาย” จนตอนนี้น้ำตาผมก็ยังไหลมันเป็นความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกผมมัวแต่เศร้าและเสียใจจนเกือบจะลืมไปว่าผมยังมีพ่อกับแม่ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ
(เออ ค่อยฟังรู้เรื่องหน่อยแล้วก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว แม่ไม่โกรธพีมแล้วฉันก็แค่เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแค่นั้นเอง…………..พีมแม่พอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว)
“………….แม่” ที่จริงผมก็ไม่ค่อยกังวนกับเรื่องครอบครัวผมเท่าไรเพราะผมกับพ่อแม่เราเหมือนเป็นเพื่อนกันเราสนิทกันมากผมคุยกับแม่ทุกเรื่องส่วนพ่อก็จะรับรู้เรื่องของผมผ่านแม่ หนวดน่ะชอบทำตัวขรึมๆแต่กับเมียนี่แทบจิกหัวกัน ตั้งแต่เล็กจนโตผมได้รับอิสระในการเลือกใช้ชีวิตมาตลอดอยากทำอะไรอยากเรียนที่ไหนพ่อกับแม่ก็ตามใจขอแค่สิ่งที่ผมทำมันอยู่ในกรอบของความถูกต้องแต่ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้พ่อกับแม่จะเข้าใจไหม
(ที่จริงตอนแรกแม่แค่สงสัยน่ะแล้วอาปุ้ยมันก็ถามแม่ทีเล่นทีจริงบ่อยๆว่าถ้าลูกชายไม่มีลูกสะใภ้ไปเป็นสะใภ้คนอื่นจะว่ายังไง แม่ก็เลยคิดว่าพีมกับภูมิคงไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน)
“……………………….”
(พอคิวโทรหาแม่ว่าพีมหายไปแม่ก็เลยถามว่าเกี่ยวกับภูมิไหมแต่กว่าคิวจะยอมเล่าแถมให้เชนเป็นคนพูดอีกแม่ก็เลยรู้)
“ไอ้คิวมันบอกละเอียดเลยเหรอแม่ แม่รู้ถึงขั้นไหนอ่ะ”
(ขั้นที่ว่าลูกชายฉันย้ายขึ้นไปอยู่คนโดกับผู้ชายน่ะค่ะลูกขา) น้ำเสียงอย่างนี้ทำให้ผมเริ่มยิ้มได้
“แม่……..โกรธพีมป่าว” ถึงผมจะพยายามถามด้วยเสียงที่คิดว่าน่าจะดูเหมือนเล่นๆแต่ใจผมก็กลัวกับคำตอบของแม่มากเหมือนกัน
(แม่ยอมรับนะว่าตกใจเพราะภูมิหล่อมากฉันเสียดาย)
“ชิบหายละกู ต้องเสียดายลูกตัวเองเด้คุณนาย” ผมยิ้มและรู้สึกอยากจะกอดแม่แน่นๆ
(ฮะๆ)
“แม่ พีมถามจริงๆนะ……แม่ไม่โกรธไม่เสียใจเหรอที่พีม……” ผมได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจก่อนจะตอบ
(จะว่าเสียใจมันก็ไม่เชิงแต่ไม่โกรธแน่นอนอันนี้คอนเฟิร์ม เฮ้ออ มันก็อธิบายยากนะลูกแม่คนไหนที่มีลูกชายก็หวังจะมีลูกสะใภ้อยากเป็นย่าอยากอุ้มหลาน แม่เสียใจที่ไม่ได้ในสิ่งเหล่านั้นก็แค่นั้นแต่ไม่ได้เสียใจที่พีมมีความรักแบบนี้เพราะพีมไม่ได้ทำอะไรผิด พีมจะเป็นยังไงจะรักใครพีมก็ยังเป็นลูกของแม่พีมอย่าคิดมากนะ อ่อ ถ้าจะโกรธก็จะโกรธเรื่องที่ไม่บอกฉันนี่แหละ)
“แม่…….ขอบคุณนะ พีมรักแม่ว่ะโคตรรักเลย” ในความโชคร้ายผมก็มีครอบครัวที่แสดดีอยู่เสมอ ผมเช็ดน้ำตาจากหน้าตัวเองก่อนที่มันจะไหลไปเปื้อนหน้าจอ
(แม่ก็รักพีม ก็แหมน้องภูมิออกจะหล่อขนาดนั้นรักกันก็ดีซะอีกแม่จะได้มีลูกชายเพิ่มอีกคน ใครจะว่ายังไงพีมไม่ต้องไปสนใจไม่ต้องคิดมากนะ แค่ลูกแม่เป็นคนดีก็พอนะลูกนะแม่จะเอาไปอวดพวกคุณนายตำรวจว่าแม่มีลูกชายคนใหม่หล่อเหมือนพระเอก) ผมยิ้มไปกับความคิดของแม่ แม่ครับแต่ตอนนี้พีมกับภูมิเราเป็นแค่เพื่อนกันแล้วครับ