ผิดนัดประจำ ฆ่ามันเลยๆ หุหุ ให้เวลาคนแก่พิมพ์หน่อยนะครับ
เสียงจากวากดิษ
สวัสดีครับผมดิษครับ เดิมทีผมไม่อยากเข้ามาพูดคุย เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบพิมพ์สักเท่าไหร่ แต่ระยะหลังนี้ ผมได้เข้ามาอ่านความเห็นของผู้อ่าน เกิดความรู้สึกว่าอยากจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจสักหน่อย ถือซะว่าเป็นคำบรรยายความรู้สึก ในรอบสามปีที่คิมลงมือพิมพ์แล้วกันนะครับ
ผมรู้มานานแล้วว่าคิมต้องมีบันทึกส่วนตัว วิธีที่ใช้กับคิม เป็นวิธีที่อาของคิมซึ่งเป็นจิตแพทย์แนะนำมา ตอนนั้นคิมมีปัญหาทางสมอง เข้าขั้นน่ากลัวเลยทีเดียว คงเป็นเพราะบุญเก่าของคิมที่ทำให้เขากลับมามีวันนี้ได้ คิมเล่าให้ผมฟังว่า ตอนเริ่มเขียนใหม่ๆ คิมเบื่อมากๆเลยไม่อยากเขียน แต่ก็เกิดเหตุว่าคิมจำเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบวันไม่ได้ ทำให้คิมไม่มีทางเลือกต้องเขียนบันทึกต่อ คิมจะพกสมุดเล่มหนึ่งไปไหนมาไหนตลอดเวลา ผมก็ถามอีกว่า คิมยังมีอาการหลงๆลืมๆ หรือปล่าว เขาตอบผมว่าไม่มีแล้ว แต่อยากเขียน สรุปทุกวันนี้ก็ยังเขียนอยู่
เรื่องบันทึกประจำวันหรือบันทึกชีวิตนี่ ผมเคยลองทำเหมือนกัน แต่ไม่ชินครับ ทำได้ติดกันไม่ถึงสามวันก็เลิก แต่ผมเคยถามจากอาของคิมว่าเป็นเพราะอะไร ได้คำตอบว่า การจดบันทึกอะไรสักอย่างต้องใช้สมาธิและความตั้งใจ ถ้าตัวเราเองมีปมในอดีต เวลาเขียนจะทำให้นึกถึงเรื่องเก่าๆจนเขียนเรื่องไม่ได้
คิมเก็บบันทึกไว้ไม่ให้ใครอ่านครับ ความจริงก็ไม่มีใครสนใจอ่านบันทึกของเขาหรอก จนมีวันหนึ่งประมาณน่าจะสามปีที่แล้ว คิมเดินมาบอกผมว่า ตัวเขาเอาบันทึกไปพิมพ์ลงเน็ตนะ ผมแปลกใจมาก ใจหนึ่งก็นึกเคืองๆ เพราะรู้ว่าในบันทึกของคิม มีเรื่องของผมอยู่ด้วยและผมเดาไม่ออกว่าคิมจะพิมพ์บันทึกของเขาลงไปได้ยังไง ตอนนั้นผมคิดในใจว่า เดี๋ยวพอโดนวิจารณ์เอามากๆก็คงเลิกไปเอง
จากนั้นทุกคืนก่อนนอน คิมจะเอาสมุดเก่าๆที่เต็มแล้วมานั่งอ่านซ้ำ เดิมผมไม่แปลกใจเพราะรู้ว่าคิมชอบอ่านหนังสือคงจะอ่านเล่นสนุกๆ แต่ทุกๆวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ หรือช่วงที่ว่าง คิมจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ก่อนจะลงมือพิมพ์ ผมเอามาอ่านถึงรู้ว่า คิมย่อบันทึกบางตอนมานั่งพิมพ์เป็นเรื่องราว ผมบอกตรงๆว่าช็อคเลย ไม่คิดว่าคิมของผมจะจริงจังขนาดนี้ ผมถามว่าทำไมต้องนั่งอ่านแล้วย่อให้เหนื่อยทำไม คุ้มเหรอ คิมก็จะทำหน้าหงุดหงิดแล้วชกผมเล่นๆแต่ไม่ยอมตอบ
ตลอดช่วงที่คิมพิมพ์บันทึกเป็นเรื่องราวขึ้นมา ไม่ใช่ว่าผมกับคิมจะอยู่อย่างสุขสบายนะครับ การอยู่เป็นคู่มันต้องมีกระทบกระทั่ง แต่ที่ผมยังไม่เข้าใจจนถึงวันนี้ก็คือ คิมไม่เคยหยุดเขียนบันทึกและพิมพ์เรื่องราวลงเน็ต ในที่สุดน่าจะช่วงที่แม่ของคิมป่วย คิมต้องไปนอนเฝ้าแล้วฝากให้ผมมาส่งข่าวที่นี่ ผมรับมาส่งๆ คิดไปว่าจะอะไรหนักหนากับเรื่องของโลกคอมพิวเตอร์ แต่ผมมาเห็นว่าคิมพิมพ์สุทธิไปหลายร้อยหน้า ที่นี่ก็มีคนเข้ามาติดตามเป็นสิบๆคน นาทีที่เห็นผมเหมือนคนแปลกหน้ายังไงไม่รู้ ผมไล่อ่านความเห็น ได้รับรู้หลายอย่างที่สะท้านกลับมาหาผมในฐานะผู้ชายที่รักผู้ชายคนหนึ่งว่าเป็นอย่างไร
ในส่วนที่เกี่ยวกับผม ผมยอมรับว่าคิมพิมพ์ได้ตรงกับชีวิตจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 อีกร้อยละ 5 มีบ้างที่ตัวของคิมต้องคิดแทนผม เพราะคิมเป็นคนบันทึก สิ่งที่หลายๆคน พูดคล้ายๆว่าพูดกับผมว่า ผมกับคิมต้องเป็นอย่างไร หมายถึงว่า ช่วงที่ผมทะเลาะกันหนักๆ จนถึงขนาดใกล้เคียงกับคำว่าเลิกกันนั้น เราน่าจะใจเย็น เราควรจะปรึกษา หรือช่วงที่แม่ของคิมไม่ยอมรับในตัวผมนั้น เราน่าจะเป็นอย่างไร เริ่มทำให้ผมคิดได้ว่า ทำไมคิมต้องบันทึกและทำไมต้องพิมพ์ลงเน็ตให้ที่นี่ได้แสดงความเห็นหรือติดตาม ผมมองว่า ความเห็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมสามารถรักษาความรักความห่วงใยไว้ได้ เพราะเราสนทนากันผ่านตัวอักษร ไม่มีโอกาสเห็นหน้ากันย่อมไม่มีความจำเป็นต้องโกหกกัน
ผมขอยกตัวอย่างเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นขณะที่คิมพิมพ์บันทึกลงเน็ต คือ เรื่องของเพื่อนผู้หญิงของผมที่คิมใช้ชื่อว่าแจง ความจริงคนๆนี้ไม่ได้ชื่อแจงครับ แต่ผมจะขอใช้ชื่อนี้ ตอนนั้นเรามีปัญหากันจริง คิมพยายามย้ายหนีผมไปและผมไม่มีโอกาสติดตามไปหา นาทีนั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมน่าจะมาอ่านบันทึกเผื่อว่าจะเข้าใจความคิดบ้าง ผมอ่านจนไปเจอว่าครั้งหนึ่งคิมเคยทำแบบนี้มาก่อน นั่นก็คือตอนที่พ่อของผมบอกคิมว่าให้ห่างกับผม คิมหนีผมไปทำงานและหาที่อยู่ใหม่ ผมเลยเดาได้ว่าคิมคงจะไปหาที่ทำงานใหม่และต้องหาที่อยู่เพื่อหลบผม ผมถึงค่อยๆติดตามแล้วจัดการปัญหาไปได้ เวลานั้นยอมรับว่าถ้าคุยกันตรงๆ อาจจะแย่กว่าที่ผ่านมาก็ได้
ส่วนเรื่องสำคัญมากที่ผมอยากจะพูดในฐานะคนที่เป็นอย่างนั้น ก็คือความรัก อดีตผมเคยถูกหลายคนตราหน้าไว้ว่าไม่มีวันสมหวังกับความรักแบบนี้ ผมก็ไม่เคยโกรธที่ถูกว่าแบบนั้น เพราะความจริงก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ชายกับชายจะรักกันยั่งยืนได้อย่างไร ใช่ ผมรู้ว่ายาก แต่เพราะผมเชื่อของผมแบบนี้ไง ผมเชื่อในคนที่ผมให้ความรักแลผมเชื่อในความรักของผม ผมไม่เชื่อขี้ปากคนครับ เราจะก้าวหน้าได้อย่างไรถ้ามัวแต่สนใจคำคนอื่น ถ้ามั่นใจแล้วขอให้ไปให้ถึงที่สุด แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วมันไม่สำเร็จ ขอให้กลับมาคิดนะครับว่า เราให้ความรักผิดคนหรือปล่าวและคนที่เรารักเขาน่ะ คุ้มค่าที่จะมอบความรักให้หรือไม่ ถ้ามั่นใจก็เดินไปตามใจ ความรักไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสี่ยงทายหรอกครับ กล้าหน่อย ส่วนเมื่อความรักเกิดขึ้นมาแล้ว ขอให้นึกเสมอๆว่า กว่าจะรักกันได้นั้น ยากแค่ไหน เชื่อคนที่รักให้มาก ให้อภัยกันได้ในทุกเรื่องและไม่อย่าคิดว่าการให้อภัยทำให้เกิดพระคุณนะครับ อภัยก็คืออภัย เราจะรักกัน ไม่ใช่เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กัน ผมเชื่อว่าความรักจะเป็นแรงหนุนให้ชีวิตของทุกๆคนมีความสุขได้ครับ
คิมคงกำลังตั้งรหัสบางอย่างเพื่อสื่อให้คนที่อ่านบันทึกส่วนนี้ของเขาอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะคิมไม่ยอมพูดให้กระจ่าง บังคับก็ยังไม่พูดเลย แต่ที่รู้ก็คือเราคุยกันมากขึ้น บางครั้งเราคุยกันจนหมดคืนก็มี
สุดท้าย ผมขอบคุณทุกคนที่เคยให้ความเห็นและติดตามมาโดยตลอด ผมหวังว่านอกจะทำให้ทุกคนได้อ่านเพลินๆแล้ว อาจจะช่วยให้หลายคนได้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นในมุมมองด้านบวกของความรักบ้าง ขอบคุณครับ พบกันใหม่โอกาสหน้า โชคดี สมหวังในความรัก
ดิษ
************************************
เออ เพิ่งรู้ว่า พิมพ์มา 3 ปีแล้ว แฮะๆๆๆ
เรื่องต่อ ผมมาต่อพรุ่งนี้นะครับ แวบๆว่าเป็นเรื่องของเด็กโข่ง (เจ้าเก่า) สองคน หุหุหุ