[เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค2 :+:
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค2 :+:  (อ่าน 66668 ครั้ง)

abcd

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยบาสคงต้องร้องเพลงว่า "ไปเสม็ด ฉ้านไม่เสร็จซ้ากกกที   o3  "

มะนาว

  • บุคคลทั่วไป

พี่นิวคร้าบบ........มะนาวตามอ่านเรื่องของพี่ทันแล้วน้า....
ชอบมากคร้าบบบ....อยากอ่านเยอะๆอ่ะคร้าบ...

รักพี่นิวมากคร้าบบบบบบบบ.....จุ๊บบบๆๆๆ....

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
หวัดดีครับน้องมะนาว ขอบคุณมากนะที่แวะมาอ่าน พี่อ่านเรื่องของมะนาวไปได้ไม่ถึงครึ่งเลย
แต่สัญญาว่าจะพยายามตามอ่านอย่างต่อเนื่อง จะได้ทันตอนล่าสุดที่มะนาวลงไว้
รักน้องมะนาวมากเหมือนกัน (อ้อนเก่งแบบนี้นี่เองใครๆถึงได้ร้ากกกรักน้องมะนาว)


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่9
เพลง หัวใจผูกกัน

วันเวลาดี ๆ เหล่านั้น เธอยังคงจำมันได้ไหม วันที่เคยร่วมทุกข์และสุขจนล้นหัวใจ วันที่เราได้ผ่านมาด้วยกัน
แต่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป อาจจะทำให้ใจของใครลืมสิ่งนั้น อยากจะมีเพลง เพลงนึง ถ่ายทอดเรื่องราวเป็นพันๆ ให้เธอรู้

ให้ทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ ที่แห่งนี้นั้นยังมีรักอยู่ เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ จะไม่มีเปลี่ยนไป
และทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ไม่ว่าจะนาน เท่าไหร่
เราจะมีกันและกัน เป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน

วันที่เราไม่เคย ย่อท้อ วันที่เราต่างมีความฝัน และทำทุก ๆ สิ่งด้วยหัวใจเดียวกัน เธอยังคงจำมันได้ใช่ไหม
แต่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป อาจจะทำให้ใจของใครลืมสิ่งนี้ อยากจะมีเพลงเพลงนึงตอบเรื่องราวที่ดีดีเตือนให้รู้

ให้ทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ ที่แห่งนี้นั้นยังมีรักอยู่ เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ ว่าจะไม่มีเปลี่ยนไป
และทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ไม่ว่าจะนาน เท่าไหร่
เราจะมีกันและกัน เป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน

ให้ทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ ที่แห่งนี้นั้นยังมีรักอยู่ เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ ว่าจะไม่มีเปลี่ยนไป
และทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ไม่ว่าจะนาน เท่าไหร่
เราจะมีกันและกัน เป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน
เราจะมีกันและกัน เป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน

เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายดีมาก โดยส่วนตัวแล้วผมเคยได้ยินออกจะบ่อยๆก่อนที่เพลงนี้จะกลายเป็นเพลงของเรา
แต่ เทค เพิ่งจะเคยได้ยินเพลงนี้ก็ตอนไปงานมีตติ้งกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่มี party กันที่มุมหนึ่งของหาดที่เรามาพัก
เทค ถามผมว่า “เพลงอะไรน่ะนิวความหมายดีจังเลย ขอให้เพลงนี้เป็นเพลงของเราสองคนได้ป่ะ” ว่าแล้วก็ยิ้มประจบ

“ทำไมต้องเป็นเพลงของเราด้วยอ่ะ แกชอบก็เก็บไว้เป็นเพลงประจำตัวแกดิเทค”
ผมยังกวนประสาท เทค เหมือนอย่างทุกที
“ก็เรารู้ว่านิวชอบ”
“รู้ได้ไง นั่งทางในเหรอ”
“เปล่า แต่เราสังเกตุดวงตาของนิวตอนฟังเพลงนี้มันเคลิ้มๆชอบกล”

เทค แกล้งทำยักคิ้วหลิ่วตา และกระพริบตาปริบๆยังกับว่าสายตานั้นหวานซึ้งเต็มประดา
“ไอ้บ้า ถึงเราจะเคลิ้มนะเราก็ไม่ทำตาปลิ้นตาถนแบบแกหรอ”
“แต่นิวชอบเพลงนี้ใช่มั้ย เราก็ชอบ น่านะมีอะไรที่เป็นของกันและกันซักอย่างแล้วกันนะ”

ผมได้แต่ยืนนิ่งฟังสิ่งทีเทคพูด มองดูสิ่งที่เทคทำ ช่างหมือนเด็กๆได้ของเล่นใหม่ซะจริง
“ฮั่นแน่…ไม่คัดค้านเอาเป็นว่าตกลงแล้วนะ ฮี่ๆๆๆ”
เทค ชี้หน้าผมเชิงล้อเลียนอีกครั้งแล้วเค้าก็กระโดดโลดโผนไปตามทางเดินที่กลับบ้านพักของเรา ผมซึ่งเดินตามไปก็พลอยสนุกไปด้วย
รู้สึกว่าเวลานี้ เทค เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา แล้วผมก็มาคิดถึง “เพลงของเรา” อืม…ก็ไม่เลวนี่นา
การที่เราจะมีอะไรเป็นตัวแทนให้จดจำเรื่องราวดีๆ ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆที่นี่ ก็ดีกว่าผ่านเลยโดยไม่มีอะไรให้จดจำ
ผมกำลังคิดถึงเรื่องดีๆที่ผ่านมาจนใกล้ถึงวันเวลาสุดท้ายแล้วก็ใจหายนิดๆ แต่ทำไงได้ชีวิตเราคือโลกข้างนอกไม่ใช่ที่นี่ซักหน่อย
แม้จะกลับสู่สังคมที่มีคนและภาระหน้าที่มากมายรายล้อมอยู่ผมก็ยังหวังว่า “จะไม่มีเพลงไหนมาแทนที่เพลงของเรานะครับ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2007 22:20:29 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่10
อดีตแสนบอบช้ำของเทค

ทานข้าวเสร็จแล้วเรากลับมาที่บ้านพัก นั่งดูทีวีด้วยกัน แล้วผมก็เกิดจะอยากรู้ความเป็นมาในเส้นทางเกย์ของ เทค จึงถามว่า

“เทค รู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่ม.4 แล้วล่ะตอนนั้นมีพี่ม.6คนนึงมาชอบเรา เราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก
แต่พี่เค้าเอาใจใส่เรามากเลยนะอย่างเวลาที่เราไปแข่งบาสทีมโรงเรียนเงี้ย
พี่เค้าจะตามไปเชียร์ด้วยทั้งที่เค้าไม่ได้ชอบดูกีฬาเลยนะนิว แต่เค้าก็ตามไปดุเราทำของว่างไปให้ด้วย”

ระหว่างที่ เทค เล่าไปผมสังเกตุดูว่าทั้งสีหน้า แววตา ของเทคช่างเต็มไปด้วยความทรงจำที่แสนดี
“แล้วก็เป็นแฟนกันเหรอ” ผมถามแทรกขึ้น “ไม่หรอกก็แค่จิ๊จ๊ะไปเรื่อยแต่เราก็ชอบพี่เค้าจริงๆนะ” เทค ตอบ
“ทำไมอ่ะก็ในเมื่อชอบเค้าจริงๆทำไมไม่เป็นแฟนกันไปเลยล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิ พี่เค้าออกแนวหวานๆเรียบร้อยคงอายถ้าจะมีคนแซวว่าจีบเด็กอย่างเรามั้ง”
“แล้วไงต่อ”
นาทีนี้ผมชกอยากจะรู้แล้วว่าความรักของ เทค จะไปลงเอยแบบไหนกันแน่
“พี่เค้าเอนท์ติดม.เชียงใหม่ ก่อนจะไปรายงานตัวเค้าบอกเราว่าถ้าเค้าเรียนมหาวิทยาลัยเค้าจะเปิดตัวว่าเป็นเกย์”
“แล้ว…”
  ผมรีบถามเพราะกำลังลุ้นเลยครับ “แล้วพี่เค้าก็โดนรถชนตายก่อนจะจะถึงม.เชียงใหม่นิดเดียว” เทค พูดต่อ
“เฮ้ยยยยย เสียใจด้วยนะเทค แย่จังเลยเนอะ พี่เค้ากำลังจะมีอนาคตอีกไกลมากเลยอ่ะ”
“เราถึงบอกไงว่าทำไมคนที่เรารักมักจะทิ้งเราไปเสมอ แม้แต่ผู้ชายคนแรกที่เราชอบ”

ตอนนี้สีหน้า แววตา รวมทั้งน้ำเสียงของ เทค ไม่เหลือความสุขอย่างตอนแรกแลวมีแต่ความสั่นไหวในอารมณ์เศร้า
เมื่อ เทค เล่าเรื่องเส้นทางความเป็นเกย์ของเค้ามาจนถึงขณะนี้ ทั้งผมและเค้าต่างก็นิ่งเงียบไปหลายอึดใจด้วยความเศร้า
ไม่แปลกเลยว่าทำไม เทค ถึงมีปมในใจว่าคนที่เค้ารักมักจะไม่ได้อยู่กับเค้าเพราะ พ่อ แม่ ก็ทิ้งเค้าไปคนละทาง
เมื่อเริ่มโตจนรู้จักที่จะรักชอบใครซักคน คนๆนั้นก็มีอันเป้นไปถึงตายซะอีก ถ้าเป็นผมก็คงอดโทษโชคชะตาของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
สำหรับเรื่องที่ผมอยากรู้เมื่อเจอทางตันแบบนี้ผมก็ไม่พยายามซักถามอกต่อไป ก็เลยหยุดพูดเรื่องนี้แล้วหันมาดูโทรทัศน์กันต่อ

ผมกำลังจะนอนอยู่แล้วครับ เทค มาเคาะประตูห้องนอนผม บอกว่ายังมีอีกเรื่องที่อยากให้ผมได้รู้เกี่ยวกับตัวเค้าผมก็โอเคแหล่ะ

“นิวไม่สงสัยเหรอว่าเราเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงรึเปล่า”
เทค เปิดฉากเรื่องที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน แต่เออ จะว่าไปก็น่าสงสัยแฮะ
“ก็ไม่เห็นเทคเล่าเราก็ไม่อยากถามอ่ะ กลัวเจอเรื่องเศร้า”
ผมก็บอกไปตรงๆ
“เราเคยจีบสาวอยู่คนนึงตอนเรียนม.6แล้วตอนนั้นไม่มีใครรู้เรื่องเรากับพี่คนนั้น เราคิดว่าเราก็กลับมาเป็นชายแท้ดีกว่า”
“แล้วมันกลับไปกลับมาได้ด้วยเหรอ”
“ได้ดิ ก็เราไม่เคยมีไรกับพี่คนนั้นนี่นา ที่ผ่านมาก็มีอะไรกับผู้หญิงมาตลอด”
“เออๆ” ผมตอบรับไปแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “แล้วคบกันไปขั้นไหนล่ะ”
“ก็เป็นแฟนกันเลยแหล่ะ แล้วก็มีอะไรกันด้วย”
“ก็น่าจะโอเคนี่หว่าทำไมแกกลับมาเป็นอย่างเก่าอีกล่ะเทค”
“เรามีอะไรกับแฟนคนนี้ครั้งเดียวเอง แต่ครั้งเดียวนี้ทำให้เราเสียความมั่นใจไปเลยนะ หลังจากมีอะไรกันแล้วรู้มั้ยเค้าว่าไง”
“ร้องไห้มั้งแบบในละครไง”
ผมตอบยิ้มๆ
“ไม่ใช่เลยเค้าบอกว่าเราน่าเบื่อ ไม่เก่ง แย่กว่าแฟนคนก่อนของเค้า เราเสียเซลฟ์ไปเลยรู้มั้ย
ตั้งแต่นั้นเราตั้งใจไว้เลยว่าจะไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว และมันก็พาลทำให้เราหมดอารมณ์กับผู้หญิงทั้งหลายไปเลยว่ะ”

อืม…มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ผมเพิ่งรู้ว่าชีวิตของ เทค นี่มันช่างโชกโชนเหลือประมาณจริงๆเลยแฮะ ไม่รู้จะสงสารดีมั้ย
แต่เรื่องปมในใจที่ว่าคนที่เค้ารักมักจากเค้าไปก่อนเนี่ย ทำยังไงดีนะเค้าถึงจะเลิกคิดแบบนี้ซะที เฮ้อ เทค เอ๋ยยย น่าสงสารจัง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2007 23:05:08 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่11
คำบอกรักในวันพักร้อน

วันพรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ผมกับเทค จะต้องกลับจากเกาะเสม็ด หลายวันที่อยู่ที่นี่ผมรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกนึงเลยก็ว่าได้ ประมาณว่า
อยากกินก็เดินไปกิน อยากว่ายน้ำก็ลงทะเลไปเลย อยากนอนตื่นสายก็ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะหมดเวลานี้แล้ว
ความสุขผ่านไปเร็วเสมอ แล้วใครล่ะเป็นคนกำหนดเวลาเหล่านี้ให้สั้นก็ตัวเราเองแหล่ะครับ ผมเองก็ต้องกลับไปอยู่กับแม่
ต้องไปดุแลคุณป้าใหญ่เรื่องไปตรวจเชคความดันในสัปดาห์หน้า เทคเองก็ต้องไปเจอพ่อเค้าที่กรุงเทพฯเห็นมั้ยว่าเราแต่ละคน
มีหน้าที่ที่ต้องทำ มีคนแวดล้อมที่เราจะละเลยไม่ได้ ผมตระหนักตลอดเวลาว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่ผมหรือเทคแค่นั้น จริงมั้ยครับ
และเพราะผมคิดแบบนี้แหล่ะ ผมถึงต้องพิจรณาคำขอร้องของเทคครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ผมเองก็สับสนไม่แพ้กัน

วันนี้เราสั่งอาหารมากินที่ห้อง เพราะไม่อยากเดินไปหาร้านที่ไหนแล้ว คงเพราะเหนื่อยจากที่เล่นน้ำมาทั้งวันก็เป็นได้
ตลอดวันนี้ฝนตกปรอยๆ หยุดบ้าง ตกบ้างสลับกันไปทั้งวัน แต่ด้วยความที่ไม่มีแดดผมก็เลยเล่นน้ำซะเต็มที่เลยทีเดียว
ตอนค่ำหลังจากทานอาหารแล้ว เทค บอกว่าอยากชวนผมไปเดินเล่นที่ชายหาดครับ ผมเองก็ว่าดีเดินให้อาหารย่อยจะได้ไม่อ้วน
เราเดินในระยะห่างๆกัน แต่ก็ใกล้กันพอให้ได้ยินสิ่งที่เราคุยกันโดยไม่มีขึ้นต้น ลงท้าย นึกเรื่องไหนได้ก็คุยกันไปตามใจเรา
บางเรื่องเราขำกันจะเป็นจะตาย บางเรื่องเราก็เงียบๆกันไปทั้งคู่ บางคนที่เราพูดถึงก็ทำให้เรายิ้มด้วยกัน แต่บางคนเราก็ยิ้มไม่ออก

“นิว ยังจำเรื่องที่เราบอกได้มั้ยเรื่องของคนที่เรารัก”
เทค ถามขึ้นเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดทุกคำ
“ทำไมเหรอเทค”
ผมไม่แน่ใจว่า เทค ต้องการสื่อสารอะไร
“เรารู้สึกว่าคนที่เรารักมักทิ้งเราไปเสมอ”
เทค หยุดเดิน ยืนตรงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีแต่ดวงดาวใส
“คนที่เรารักก็ต้องอยู่ในใจเราสิ ถ้าเราเก็บเค้าไว้ในใจเค้าจะไม่ไปไหนหรอก”
ผมยังคงเดินล้ำหน้า เทค ไปนิดหน่อย แล้วหันกลับมาพุดกับเค้า
“งั้นเราคงมีคนเก็บไว้ในใจเต็มไปหมด แต่ในชีวิตจริง เราไม่มีใครเลย”
“แล้วเทคต้องการอะไร ความรัก หรือ คนรัก บางครั้งการมีความรักโดยไม่ได้ครอบครองคนรักมันก็ดีกว่านะ”

ผม เดินไปใกล้ๆเทค มองหน้าเค้าให้ชัดเต็มตาอีกครั้ง
“เราต้องการทั้งสองอย่าง”
เทค ก้มหน้ามาใกล้ๆผม ผมเบี่ยงหน้าหลบแล้วถามเค้าว่า
“แล้วถ้าต้องเลือก ให้คนที่เทครักอยู่ด้วยแต่เค้าไม่รักเทค กับการที่คนที่เทครักรักเทคตลอดไปแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“เราเลือกอย่างหลังเพราะเรารู้ดีว่าอยู่ใกล้คนที่ไม่รักเรามันเจ็บกว่า สู้ให้คิดถึงคนที่รักเราอย่างมีความสุขไม่ได้”

ผมรู้สึกร้อนๆเหมือนจะเป็นไข้ บรรยากาศเต็มไปด่วยความสับสน ไม่แน่ใจ ทั้งใจของผมเองและใจของเทค
“นิวล่ะ จะเป็นคนรัก หรือจะเป็นแค่ความรักของเรา”
เสียงที่ถามออกมามั่นคงจริงจังจนผมต้องระวังคำตอบที่ผมจะพูดต่อไป
“เทคยังไม่เลิกคิดแบบนี้อีกเหรอ เราขอรักเทคแบบเพื่อนไปก่อนได้มั้ย ตอนนี้เราให้ได้แค่นี้”
“ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”

เทค ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาหาผม เรายืนมองหน้ากันอยู่นานมาก ผมไม่รู้ว่าความโกรธ
ความขยะแขยงที่เคยเกิดขึ้นอย่างเมื่อก่อนนี้หายไปไหนหมด ทำไมผมไม่เกรี้ยวกราด
ทำไมผมยอมรับเงื่อนไขความรักผิดปกตินี้ได้ ผมรู้แต่ว่าผมอุ่นใจจริงๆอย่างน้อยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้
ก็ไม่ทำให้ ผมกับเทค ต้องผิดใจกันเหมือนเมื่อครั้งก่อน และผมก็ไม่รู้สึกถูกคุกคามจากเทค
มันเกิดความมั่นใจลึกๆว่าอย่างน้อยๆผมจะมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนนึงชื่อว่า เทค เพื่อนที่จะไม่มีวันทำร้ายผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม
เทค ก้มหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นสีหน้าอ่อนโยนกับดวงตาหวานลึกซึ้งที่เทคมองเข้ามา ‘เค้ากำลังจะจูบผมครับ’


:+: โปรดติดตามตอนต่อไป :+:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
‘เค้ากำลังจะจูบผมครับ’
^
^
^
ก็ปล่อยให้เค้าจูบไปเลยสิจ๊ะ
 :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: :haun5:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
โอ้วววววววว 3ตอนนี้ได้ใจมากเลยจ้าพี่นิว  o13  พึ่งรู้นะว่าผู้หญิงก็ทำให้เสียselfกะเรื่องอย่างว่าได้เหมียนกานนน  o18

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ยังวนเวียนอยู่ในเล้ารู้ว่ามีน้องๆมาทัก ก็เลยเข้ามาทักทายครับ

krappom > "ก็ปล่อยให้เค้าจูบไปเลยสิจ๊ะ" : แล้วผมขัดขืนซะที่ไหนล่ะครับ

๑۩ n★ew ۩๑ > กรณีเสีย self ในเรื่องอย่างว่าเพราะผู้หญิงเนี่ย พี่ก็เพิ่งเคยได้ยินจากเทคเหมือนกันครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2007 02:16:51 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
 :fox2: :fox2:  ตกลงยอมให้เทคจูบจริงๆชะมะคับ o17 o17

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

..........ยอมหั้ยเทคจูบไปเถอะ....  :o9: :o9:

..........เด๋วจาติดใจ........ :laugh: :laugh: :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
หุหุหุ

ถูกใจ FC ที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 :like6:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
จะ... จูบกันแล้ว ...  :like6: (เอ่อ  :try2: ยัง ๆ เขาจบตอนก่อน)  o22  o22

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

krappom > "ก็ปล่อยให้เค้าจูบไปเลยสิจ๊ะ" : แล้วผมขัดขืนซะที่ไหนล่ะครับ


^
^
ก็แสดงว่าพี่ยอมให้จูบจริงๆ อ่ะดิ่
วิ้ววววววววววววววววววววว
 :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: :haun5:

มะนาว

  • บุคคลทั่วไป

พี่นิวคร้าบบบบบบบ....

มะนาวอยากอ่านต่อแย้วอ่ะคร้าบบบบ.....
รักพี่นิวเหมือนเดิมน้าคร้าบบบบบบ....จุ๊บบบบๆๆๆๆๆ......

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
สวัสดียามดึกครับ

รู้สึกว่าเพื่อนๆจะถูกใจกันเหลือเกินนะกับตอนล่าสุดนี้
ไอ้เรื่องจูบเนี่ยจูบจริง เหอ เหอ เหอ แต่อย่าอิมเมจิ้นไปไกล
เพราะตลอดหลายวันที่ เกาะเสม็ด เทค ได้มากสุดแค่จูบนี่ล่ะ
ปล,รู้สึกเหมือนกับว่ามีการปรับปรุงบอร์ดใหม่ ใช่รึเปล่าครับ

จาก ผมเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2007 22:35:57 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ สาวตัวกลม

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
 :o8: :o8: :o8:
เข้ามาให้กำลังใจเพื่อนเลิฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ANA

  • บุคคลทั่วไป
กว่าจะอ่านจบ หลบเจ้านายแทบตาย  :try2:

เฮ่อ..สงสารเทคจัง   :monkeysad2:

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
# ช่วงสนทนา #

สาวตัวกลม > เข้ามารับกำลังใจจากเพื่อนเลิฟฟฟฟฟ
ANA > โฮ่ๆๆ ดีจังที่อ่านจบก่อนเจ้านายจับได้ เนอะ

kryo_lover

  • บุคคลทั่วไป
พี่นิวอ่ะ

ทำมายจบค้างอย่างนี้ละคร้าบ

มาต่อเร็วๆนะ

 o14

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่12
กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ผมกลับมาจากเกาะเสม็ดได้หลายเดือนแล้ว ช่วงที่ผ่านมาผมได้ใช้เวลาไปกับการเที่ยวอย่างเต็มที่เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคย
มีโอกาสไปไหนๆเหมือนกับเพื่อนๆในวัยเดียวกัน ขอเล่าย้อนความนิดนึงนะครับ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายมาเรียนหนังสือ
ที่กรุงเทพฯโดยมาอาศัยบ้าน คุณหญิงน้า อยู่ตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่6 และก็อยู่บ้านน้าเรื่อยมาจนเรียนจบมัธยมปีที่6เลยครับ
การดูแลของน้าสาวผมค่อนข้างเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบจนตัวผมซึ่งยังเป็นเด็กรู้สึกอึดอัด เบื่อหน่าย และอคติกับน้าสาว
เรื่องการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่กับน้าสาวก็เป็นอีกเรื่องที่ผมไม่เคยชิน ไม่เคยต้องทำ แต่กลับต้องมาถูกฝึกฝนที่บ้านน้าสาวนี่เอง
ต้องลองนึกภาพนะครับว่าเด็กป.6ที่ไม่เคยต้องทำอะไรเลย กลับต้องมาหัดซักผ้า หัดล้างจาน หัดงานบ้านสารพัด สุดเซ็งเลย
เอ๊ะ…นอกเรื่องซะเกือบลืมว่าจะเล่าเรื่องการเที่ยวเตร่ในวัยเด็กตะหากไม่ใช่เรื่องทำงานบ้านที่แสนจะจุกจิกจู้จี้สารพัด
ก็เพราะที่บ้านน้าสาวผมมีระเบียบมากมายน่ะสิครับทำให้ผมไม่เคยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลยโชคดีที่ผมเองก็ไม่ชอบเที่ยวด้วย
เมื่ออยู่กับน้าสาวตอนเย็นต้องกลับพร้อมกัน ห้ามกลับค่ำเกิน1ทุ่ม ห้ามไปค้างบ้านเพื่อน และ ห้ามเอาเพื่อนมาค้างที่บ้านน้าสาว
ต้องขอย้ำก่อนนะครับว่ากฏระเบียบเข้มงวดแบบนี้ถูกบังคับใช้แค่ช่วงที่ผมยังเป็นเด็กนักเรียนใส่กางเกงขาสั้นไปเรียนอยู่เท่านั้น
ปัจจุบันนี้ผมไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏอัยการศึกของ “คุณหญิงน้า” อีกต่อไปเพราะผมเป็นผู้ใหญ่รับผิดชอบตัวเองได้แล้วน่ะสิครับ

ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวเนี่ยก็เพื่อจะบอกว่า การได้ไปเที่ยวเสม็ดกับ เทค ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการได้เที่ยวตามใจตัวเองอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะอยากทำอะไร อยากกินอะไร อยากได้อะไร  ก็สามารถตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องรอถามใครเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา
ผมจำช่วงเวลานั้นได้ดี ผมจำความตื่นเต้นตอนไปต่อเรือ จำความสงบสบายใจของที่พัก และจำเรื่องของผมกับเทคได้แม่นยำ
มีเพียงอย่างเดียวที่ผมลืมทำและไม่ได้นึกมาก่อนเลยจนกระทั่งกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วนั่นคือ การถ่ายรูปตอนที่ผมกับเทคไปเที่ยว
เพื่อนๆเชื่อมั้ยว่าจนถึงทุกวันนี้รูปถ่ายที่ผมกับเทคถ่ายด้วยกันก็มีเพียง1ใบที่ถ่ายเมื่อครั้งไปทานข้าวกับพ่อของเทคนั่นล่ะครับ
ตอนไปเที่ยวที่เกาะเสม็ดนั้นผมเห็น เทค จดอะไรๆที่เค้าสนใจลงในกระดาษA4 ก็ปึกหนาๆที่ผมเห็นนั่นแหล่ะครับ
ผมถามเค้าว่าทำไมไม่เขียนในสมุดให้เป็นเรื่องเป็นราว เทค ก็ให้เหตุผลกำปั้นทุบดินจนผมอยากจะทุบเค้าว่า “ขี้เกียจว่ะ”
จะว่าไปแล้ว เทค เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากเลียนแบบเรื่องการเขียนไดอารี่และตอนนี้ผมก็เริ่มเขียนบันทึกแล้วครับ
เมื่อกลับมาถึงบ้านใหม่ๆผมก็ไปหาสมุดที่ยังไม่ได้ใช้มาลองเขียนไดอารี่ดูแรกๆก็เบื่อๆขี้เกียจเขียนแต่ก็อยากเอาชนะตัวเองดูมั่ง
พอผ่านไปนานวันเข้าก็เริ่มเคยชินจนเป็นสิ่งที่ผมต้องทำเป็นประจำทุกวันนับจากตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้เลยครับ

โลกแห่งความเป็นจริง  กำลังหมุนรอบตัวผมอย่างที่มันควรจะเป็น เมื่อโลกหมุนทำหน้าที่ของมันผมก็ต้องทำหน้าที่ของผม
เวลาแห่งการพักผ่อน การใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันหนึ่งๆอย่างสุขสบายก็ใกล้จะหมดลงทุกที เพราะผมกำลังจะต้องกลับไปเรียน
หนังสือในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง ออกจะรู้สึกเขินๆและรู้สึกแปลกเหมือนกันที่ต้องกลับไปเป็นน้องปี1ทั้งที่ผมอายุ21
ตอนนี้ผมเริ่มค้นชุดนักศึกษากลับมาลองใส่ดูว่ายังใส่ได้รึเปล่า เก่าไปมั้ย ต้องซ่อมรึว่าต้องซื้อใหม่ ก็จะได้มีเวลาจัดการไป
ผมไม่ได้เจอ เทค หลายเดือนแล้วครับ เทค เองก็สาละวนกับการลงทะเบียนเรียน ลงทะเบียนซ่อม ลงทะเบียนซัมเมอร์
ผมเองก็รู้สึกแปลกๆที่ไม่ได้รับรู้ข่าวของ เทค เลยไม่ว่าจะมาจากเพื่อนในมหาวิทยาลัยหรือมาจากแก๊งแซนวิชที่หายเงียบไป
แต่ด้วยเรื่องของผมเองก็มีภาระที่ต้องจัดการอีกหลายอย่างทั้งเรืองเรียน และเรื่องจิปาถะของทุกคนในครอบครัวที่ยิ่งนานวัน
ก็ยิ่งดูเหมือนว่าการตัดสินใจทุกเรื่องต้องเกี่ยวพันกับผมไม่ทางตรงคื่อให้ผมตัดสินใจให้ก็ต้องมาถามความเห็นอยู่เรื่อยๆ
ช่วงเวลานี้ผมไม่รุ้ว่า เทค ต้องเผชิญกับอะไรบ้างและยิ่งไม่รู้ว่า เทค เผชิญเรื่องต่างๆนั้นได้อย่างแข็งแกร่งสักเพียงใด
ผมได้แต่ขอให้ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้เจอ เทค จะทำให้ผมได้รับข่าวดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตอาภัพของเค้าบ้าง
อย่างน้อยมันก็เป็นความคาดหวังที่ทำให้ผมสบายใจได้ว่าตราบใดที่ยังไม่ได้ข่าวอะไรของ เทค ก็น่าจะแปลว่าเค้ายังสบายดี
ในช่วงเวลานี้คนที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมและญาติๆของผมโดยที่ผมก็จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเค้าเข้ามาต้งแต่เมื่อไหร่
คนๆนั้นก็คือ “พี่อาร์ท” หลายครั้งเค้าอาสาขี่รถพาผมไปดูสถานที่ตั้งของมหาวิทาลัยท้งที่หนทางแสนยาวไกลเค้าก็ยังมีน้ำใจ
มีบางครั้งที่ผมจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพี่อาร์ทให้พาคุณป้าใหญ่ไปหาหมอ นี่ยังไม่นับไปถึงความเอื้อเฟื้อที่เค้ามีให้ผม
มาอย่างสม่ำเสมอในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น เลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง ไปซื้อของเป็นเพื่อนทั้งยังช่วยถือของอีกด้วยนะครับ พี่เค้าก็ดีเนอะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2007 00:50:07 โดย :+:So Much In L »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่13
Freshly Again

วันพุธกลางสัปดาห์ เดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ.2545 เป็นฤกษ์งามยามดีในการเริ่มต้นชีวิตนักศึกษารามคำแหงของผมอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้จะไม่ล้มเหลวเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกแล้วครับ เพราะผมโตขึ้นและเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมาตลอด3ปี
การเลือกคณะในครั้งนี้ผมไม่ได้เลือกเพื่อเอาใจแม่ ไม่ได้เลือกเพื่อจะได้เรียนในคณะที่โดดเด่นของมหาวิทยาลัยอย่างที่ผ่านมา
แต่ในการตัดสินใจครั้งนี้ผมใช้ความพอใจของตัวเองเป็นหลัก และศึกษารายละเอียดของกระบวนวิชาในแต่ละคณะที่ผมสนใจ
ซึ่งในการเลือกคณะครั้งนี้ผมได้ดูรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ ซึ่งในครั้งนี้ผมเลือกเรียน “คณะมนุษยศาสตร์”

เนื่องจากมหาวิยาลัยตั้งอยู่ไกลจากตัวเมืองพอสมควร การเดินทางจึงไม่สะดวกนัก ผมจึงต้องให้ที่บ้านเอารถมาคอยรับ-ส่งทุกวัน
คิดดูสิครับ แค่เรื่องเดินทางไปเรียนและเดินทางกลับบ้านก็แตกต่างจากเมื่อครั้งที่ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯมากแล้ว
วันแรกของการเปิดเทอมจะว่าไปมันก็เหมือนๆกับที่ผ่านมานั่นแหล่ะ แต่สิ่งที่ไม่มีทางเหมือนกันก็คือผมไม่มีเพื่อนใหม่ชื่อ เทค
แล้วก็ไม่รู้ว่าเพื่อนใหม่ที่ผมจะได้เจอในวันนี้จะเป็นคนอย่างไร ผมจะดูแก่กว่าคนอื่นๆที่ต้องมาเรียนรุ่นเดียวกันรึเปล่า(แย่แน่เลย)
สำหรับผมการที่ต้องเริ่มทำอะไรใหม่ก็ค่อนข้างเกร็งๆและขาดความมั่นใจอยู่แล้วยิ่งเจอคนที่ไม่รู้จักยิ่งวางตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

ผมก้าวเท้าลงจากรถ มองเห็นอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างอย่างวิจิตร ให้เป็นไปตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมยุโรปยุคกลาง
คาดว่าทางผู้สร้างอาคารหลังนี้คงประทับใจสถานที่เก่าแก่ของพระราชวังโบราณในประเทศแถบตะวันตกอย่างมากทีเดียว
ถนนสายเล็กนี้โรยด้วยกรวดก้อนเล็กๆที่ตัดจากถนนด้านหน้าที่รถของผมจอดเมื่อครู่นี้สองข้างทางปลูกต้นเข็มไว้เป็นแนว
ผมเดินมองดูรายละอียดรอบๆสถานที่ซึ่งผมจะต้องมาเรียนอยู่ที่นี่ สัปดาห์ละ5วัน เป็นเวลาอย่างน้อย4ปีนับจากวันนี้
ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลยเพิ่งจะ 7.30 น. ยิ่งเดินใกล้อาคารทรงยุโรปโบราณเข้าไปมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นสวนขนาดใหญ่
ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังอาคารหลังนี้ สิ่งแรกที่เด่นสะดุดตาผมคือ ต้นลั่นทม หลายสิบต้นที่ปลูกอยู่เป็นแถวเป็นแนวสวยงาม
แม้ว่าทางด้านหน้าของมหาวิทยาลัยจะมีสนามหญ้าและต้นไม้หลากหลายพันธุ์อวดโฉมต้อนรับนักศึกษาใหม่อย่างผม
แต่ผมกลับติดใจสวนกว้างด้านหลังอาคารที่มองไปตามแนวต้นลั่นทมสุดปลายสายตา มีดอกลั่นทมสีขาวแกมเหลืองร่วงหล่น
ลงมาที่โคนต้นเสมือนเป็นดอกไม้ประดับประดาให้พื้นหญ้าสีเขียวนั้นยิ่งดูสวยสดขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าทีเดียว
แน่นอนว่าผมเลือกใช้เวลาที่ยังมีอยู่ในเช้าวันแรกที่เปิดเทอมไปกับการชื่นชมต้นลั่นทมด้านหลังอาคารทรงยุโรปโบราณ

แล้วเมื่อใกล้เวลาที่ต้องเข้าเรียนวิชาแรก็เริ่มขึ้น ผมเดินผ่านห้องบรรยายแต่ละห้องจนไปถึงอีกฟากของอาคารหลังใหญ่นั้น
ที่หน้าห้องบรรยายที่ผมจะต้องเข้าเรียนในเช้านี้มีนักศึกษาปี1 (ที่เป็นปี1จริงๆ) นั่งรอกันอยู่หน้าห้องเต็มไปหมดเลยล่ะ

“พี่คะ วิชาแรกเรียนห้องนี้รึเปล่าคะ”
เสียงใสๆของผู้หญิงถามขึ้นจากด้านหลังของผม ขณะที่ผมกำลังจดๆจ้องๆว่าจะเข้าไปนั่งรอเวลาเลยดีมั้ย
“ไม่ต้องเรียกพี่หรอกครับ รุ่นเดียวกันเพราะเราก็มาเรียนปี1”
เอาล่ะสิ คนแรกที่มาทักก็ทำเอาใจเสียซะแล้ว โอว…ความแก่ไม่อาจปกปิดได้จริงๆแต่ผมก็พยายามเนียนๆไว้ก่อน
“เธอชื่ออะไร เราชื่อสุ เรียนคณะมนุษย์ฯสื่อสาร”
เพื่อนใหม่แนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
“เราชื่อนิวนะ เรียนคณะสาขาเดียวกับสุแหล่ะ”
ผมยิ้มตอบกลับไปพร้อมแนะนำตัว
ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรกันมากไปกว่านี้ก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี ผมและสุจึงเข้าไปนังเรียนด้วยกัน โดยเลือกแถวๆกลางๆไว้
เพื่อว่าถ้ามีเพื่อนใหม่คนไหนเข้ามาก็จะได้ทักทายกันได้ อย่างน้อยได้ยิ้มให้กันก็ยังดี ตอนนี้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมากเลยครับ
คิดถึงเมื่อก่อนตอนเรียนที่กรุงเทพฯมีเพื่อนเต็มไปหมดตอนี้ผมต้องเริ่มใหม่แม้แต่การหาเพื่อนก็ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยเช่นกัน
จู่ๆผมก็คิดถึงเทคขึ้นมาตอนนั้นเค้าก็คงรู้สึกแบบนี้เลยพยายามหาเรื่องพูดคุยกับผมเพื่อจะได้มีเพื่อนใหม่ซักคนก็ยังดีสินะ


ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่14
เพื่อนซี้…ไม่มีซั้ว

ในวันแรกที่เปิดเทอมผมแทบจะถอดใจไม่อยากไปเรียนอีกเพราะความรู้สึกโดดเดี่ยว มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่เค้ามีเพื่อนๆ
มาเรียนด้วยกัน อย่างบางคนที่ได้ทักทายกันก็แค่ผ่านๆส่วนใหญ่เค้าจะบอกว่ามากับเพื่อนโรงเรียนเก่าก็คงเหมือนผมเมื่อก่อนนี้
ผมบอกได้เลยว่าการมีเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญมากในการเรียนหนังสือ ไม่ใช่ว่าจะให้เพื่อนมีอิทธิพลกับชีวิตเราไปซะทั้งหมด
แต่อย่างน้อยๆการมีเพื่อนก็เป็นแรงจูงใจอย่างนึงที่ทำให้เราอยากตื่นไปเรียนในตอนเช้า ได้พูดคุย สรวลเส เฮฮากับเพื่อนๆ
ในทางกลับกันการมีเพื่อนน้อย ไม่ค่อยรู้จักใคร ไม่รู้ว่าจะไปเข้ากลุ่มไหน ย่อมมีผลทำให้ไม่อยากมาเรียนหนังสือด้วย
กรณีที่ว่านี้กำลังเกิดขึ้นกับผมในช่วงสัปดาห์แรกๆ เพราะผมรู้สึกเบื่อ ไม่อยากไปเรียนแค่คิดว่าต้องไปนั่งเรียนคนเดียวก็เซ็งแล้ว
ถึงจะเบื่อและเซ็งแค่ไหน ผมก็ตั้งใจว่าครั้งนี้จะต้องเรียนให้จบให้ได้ ผมจึงยังคงไปนั่งฟังบรรยายอยู่เสมอแม้รู้สึกโดดเดี่ยวเต็มที

สัปดาห์ที่2 ผมเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกหลายคน จำชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง เมื่อต้องกลับทางเดียวกันผมก็กลับพร้อมเพื่อนๆ
แทนที่จะให้รถมารับเพราะผมอยากใช้ช่วงเวลานอกเหนือการเรียนในการพูดคุยทำความรู้จักกับเพื่อนให้สนิทสนมกันเร็วๆ
ที่มหาวิทยาลัยวิทยาเขตนี้เพิ่งเปิดให้มีนักศึกษาปริญาตรี2ปี จึงมีรุ่นพี่ปี2 กับรุ่นพวกผมเป็นปี1 จะว่าไปคนก็ไม่ได้มากมายนัก
คิดว่าคงไม่ยากเกินไปที่จะค่อยๆรู้จักคนต่างๆให้ทั่วทั้งรุ่นพี่และเพื่อนๆปี1 เริ่มจากเวลาลงรถตอนเช้าเจอเพื่อนก็ทักเค้าก่อนครับ
เพื่อนคนไหนที่จำชื่อได้ก็เรียกชื่อ เพื่อนคนไหนที่ผมจำชื่อไม่ได้ก็ยิ้มๆไปก่อน เวลาเห็นเพื่อนเค้ายกมือไหว้รุ่นพี่ผมก็ไหว้ด้วย
(โปรดจำไว้เสมอว่าความจริงผมอายุมากกว่ารุ่นพี่ซะอีก) พวกรุ่นพี่ก็ดูไม่ออกหรอกครับว่าผมเป็นเด็กซิ่วแถมซิ่วตั้ง3ปีแน่ะ
เค้าก็รับไหว้แล้วก็จะคอยเข้ามาแนะนำเรื่องการเรียนให้กับผมเหมือนที่แนะนำให้กับเพื่อนๆผมที่เป็นน้องปี1เหมือนกัน

1เดือนแล้วครับ สำหรับการย้ายมาเรียนที่นี่  มาเป็นน้องปี1ให้รุ่นพี่ที่เกิดทีหลังผมคอยแนะนำตึกเรียน แนะนำร้านข้าวใกล้ๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเริ่มมีเพื่อนมากขึ้นอาจไม่ใช่กลุ่มใหญ่เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็เป็นกลุ่มที่ผูกพันกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ตอนนี้ผมไม่เบื่อที่จะไปเรียนแล้วครับ เพราะทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมาผมรู้ว่าผมจะได้ไปเจอเพื่อน ได้ไปเจอรุ่นพี่ที่ไม่บ้าอำนาจ
เพื่อนแต่ละคนในกลุ่มที่ผมมีอยู่ตอนนี้มาจากหลายทิศหลายทาง เริ่มจากคนนั้นรู้จักคนนี้ แล้วก็มารู้จักกับเพื่อนคนใหม่ไปเรื่อยๆ
อย่างผมเองตอนแรกก็รู้จักับเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อสุ แล้วสุก็เช่าห้องพักอยู่ที่เดียวกับหญิง ส่วนหญิงก็เป็นเพื่อนเก่าของนิ่ม แล้วนิ่มเอง
ก็นั่งรถมล์มาทางเดียวกันกับโอ๋ โอ๋ก็นั่งเรียนติดกันกับเป้ย เป้ยเรียนคณะเดียวกันกับผม ก็โยงใยกันไปเป็นลูกโซ่แบบน่ะครับ
อาจจะดูงงๆซักหน่อยนะครับ แต่ก็เพราะได้รู้จักกันแบบงงๆเนี่ยแหล่ะที่ทำให้ผมมีเพื่อนซี้ ที่นับวันก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ

บรรดาเพื่อนซี้ของผมแต่ละคนฮาๆทั้งนั้นและก็มีความสนใจกันไปคนละทิศละทางเวลารวมกลุ่มคุยกันแต่ละทีเสียงดังลั่นไปทั่ว
ผมว่ามารู้จักเพื่อนๆของผมหน่อยเป็นไร แล้วบางทีคุณอาจจะคิดเหมือนเพื่อนกลุ่มอื่นว่า “พวกมันพูดเรื่องเดียวกันรึเปล่าวะ”
สุ - สาวซึม ยิ้มง่าย เรียกได้ว่ายิ้มมากกว่าพูด แต่ถ้าไม่พูดไม่ยิ้มหน้าเธอจะเศร้าตลอดเวลา
หญิง - เพื่อนสาวสุดห้าว แต่งตัวบ้านๆพร้อมเป้สีเขียวตัดกับสีผิวเข้มๆ ใส่รองเท้าผ้าใบสีตุ่นๆตลอด4ปี
นิ่ม - สาวท้วมที่ห้าวไม่แพ้กัน แต่ออกจะทะโมนน้อยกว่าหญิง เป็นคนจิตใจดีรักเพื่อน
โอ๋ - ชายหนุ่มอารมณ์ศิลป์ ชอบอ่านการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ ฝันว่าอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนใด้ได้
เป้ย - สาวร่างโย่ง มาในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้า เรียนเก่งโคดๆ ผมว่าเธอเหมาะจะเป็นนางแบบนะ
จิม - เพื่อนเกย์คณะนิติศาสตร์ ไม่ออกสาวแต่เห็นผู้ชายไม่ได้ เหล่จนตากลับ มีศัพท์ใหม่ๆมานำเสนอตลอด
พี่แมน - เป็นรุ่นพี่ผมปีนึงเรียนจบป,ตรีแล้ว1ใบแต่อยากเรียนอีกใบเลยมาลงเรียนที่รามปีเดียวกันนี้
แอ๊บ - ช่างกล้องประจำกลุ่ม ถ้าไปเที่ยวกันทั้งกลุ่มนายนี่จะต้องแบกขาตั้งกล้องไปด้วยเสมอ
นาง - สาวสวยแทบจะที่สุดก็ว่าได้ เพราะตัวเล็กน่ารัก แล้วก็ขายออก เอ๊ย…เป็นแฟนกับรุ่นพี่ตั้งแต่ปี1เลยเชียว

นอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ก็ใช่ว่าผมไม่สนิทกับคนอื่นนะครับ แต่ความสนิทสนมก็มีมากมีน้อยลดหลั่นกันไปตามความใกล้ชิด
โดยเพื่อนกลุ่มที่ผมเอามาแนะนำตัวให้คุณๆรู้จักกันถือว่าเจอกันบ่อยทั้งเวลาเรียน ตอนกลับบ้าน และนัดกันไปเที่ยวเป็นกลุ่มๆ
แต่อย่างที่บอกล่ะครับว่าเราแต่ละคนมีสนใจต่างกันไปดังนั้นเมื่อรวมตัวกันจึงเหมือนแย่งกันพูดคนละเรื่องแต่ก็เข้าใจกันนะครับ


ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่15
กีฬาสานสัมพันธ์

อย่างที่ผมบอกไปเมื่อตอนที่แล้วว่าในมหาวิทยาลัยของผมมีนักศึกษาเพียงแค่2ชั้นปีเท่านั้น จึงทำให้พวกเรารู้จักันได้รวดเร็ว
อีกทั้งพวกรุ่นพี่ก็ไม่บ้าอำนาจแบบต้องให้ทำนู่น ทำนี่ หรือคอยเอาความเป็นซีเนียร์มาบังคับให้เกิดความอึดอัดใจเหมือนที่อื่นๆ
รุ่นพี่ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นแนว ชวนกิน ชวนคุย แล้วก็คอยเอาหนังสือ sheetสรุป มาให้น้องๆ รวมทั้งช่วยติวให้กับพวกปี1ด้วย
คงเพราะความใกล้ชิดที่พวกเราเจอกันอยู่ทุกวัน ทำให้เมื่อเรียนด้วยกันไป1เทอม ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องก็เลยรวมหัวกันจัดกิจกรรมขึ้น
ตอนแรกๆโปรแกรมท่เสนอขึ้นมาก็มีทั้ง ไปทัศนาจร ไปเที่ยวทะเล ไปปีนภูเขา ไปเข้าถ้ำ เล่นน้ำตก ไปสวนสัตว์ ฯลฯ
แต่อุปสรรคเล็กๆน้อยๆที่คนนั้นไปต่างจังหวัดไม่ได้ คนนี้ไม่ชอบทะเล คนโน้นกลัวความสูงไม่กล้าปีนเขา อีกคนเบื่อสวนสัตว์
เป็นอันว่าโครงการต่างๆที่คิดกันมาซะบานตะไทก็ยุบไปก่อน แล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่ารุ่นพี่รุ่นน้องที่มีกันอยู่แค่2ชั้นปีนี่แหล่ะ

จนกระทั่งวันที่มาฟังบรรยายวันสุดท้ายก่อนสอบนั่นละครับ ก่อนพวกปี1จะเริ่มเรียนรุ่นพี่ก็เข้ามาบอกว่าจะเรียกประชุมวันนี้
ขอให้น้องๆอยู่รอเจอรุ่นพี่ก่อนที่ห้องบรรยายนั่นแหล่ะ พวกผมก็เป็นพวกว่านอนสอนง่ายซะด้วย เค้าบอกให้รอก็นั่งรอเต็มห้อง
แล้วพอรุ่นพี่ยกโขยงกันเข้ามาในห้องบรรยายก็เปิดประเด็นเรื่องกิจกรรมที่รุ่นพี่รุ่นน้องอยากจัดขึ้นเป็นการกระชับมิตรยิ่งขึ้น
ตอนนี้กิจกรรมที่ถูกเสนอขึ้นมาและเป็นที่สนใจของพวกเราทั้งหมดก็คือ กีฬาสี แต่พวกเราเรียกว่างาน “กีฬาสัมพันธ์”
โดยจัดให้มีการแข่งขัน บาสเกตบอล ในตอนเช้า และ ฟุตบอล ในช่วงบ่าย ซึ่งนักกีฬาก็คือรุ่นพี่รุ่นน้องผู้ชายท้งปี1ปี2
เนื่องจากนักศึกษาก็ไม่ได้เยอะมากทำให้พวกที่ลงแข่งบาสฯตอนเช้า ต้องไปลงแข่งบอลตอนบ่ายด้วย แต่ทุกคนก็เต็มใจสุดๆ
ส่วนรุ่นพี่รุ่นน้องผู้หญิงก้ไปลงแข่งพวกสันทนาการต่างๆเช่น วิ่งเปี้ยว กินวิบาก วิ่งสามขา ชักกะเย่อ ซึ่งก็แบ่งงานได้ลงตัวดี
การแข่งขันครั้งนี้แบ่งอย่างง่ายๆเป็น2ฝ่ายก็คือ ปี1 แข่งกับ ปี2 ทั้งประเภทกีฬาหลักและการแข่งสันทนาการ จะว่าไปก็ง่ายดี

วันแข่งขันกีฬา

เช้าวันเสาร์ที่พวกเราแอบคิดว่าถ้าเป็นไปได้อยากอยู่บ้านมากกว่า เพราะเรียนกันมาทั้ง5วันแล้ววันนี้ยังต้องออกจากบ้านมาอีก
แต่ถึงยังงั้นพวกเราก็เต็มใจหอบสังขารกันมาตั้งแต่เช้า ใครมีรถก็ไปขนอุปกรณ์มาเตรียมไว้ที่สนามกีฬาซึ่งเราไปขอใช้พื้นที่ของ
โรงเรียนใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยของเรานั่นล่ะครับ เช้าผมให้รถที่บ้านมาส่งโดยนัดเพื่อนให้มารอจุดที่รถวิ่งผ่านเพื่อรับไปด้วยกัน
หลังจากผมกับเพื่อนๆไปถึงสนามกีฬาแล้วก็ได้อาศัยรถที่บ้านอีกแห่ะในการไปช่วยขนอุปกรณ์ที่ยังตกค้างอยู่ที่มหาวิทยาลัย
เมื่อการเตรียมงานพร้อมแล้ว ทางรุ่นพี่ก็ได้เชิญท่านรอง ซึ่งเป็นตัวแทนอธิการบดีในการมาดูแลนึกศึกษาภูมิภาคในจังหวัดนี้
ขึ้นมากล่าวเปิดงานแล้วหลังจากนั้นการแข่งขันกีฬาก็เริ่มขึ้น แม้ว่าผมจะไม่ใช่คอกีฬาเทาไหร่นักแต่ผมก็เชียร์อย่างออกรส
เพราะฝ่ายนึงก็รุ่นพี่ อีกฝ่ายก็เป็นเพื่อน แล้วยิ่งถ้าเพื่อนๆชนะก็เท่ากับว่าปี1ทุกคนพลอยได้หน้าไปด้วย ก็เลยเฮกันดังลั่นสนาม
ผลการแข่งขันบาสในรอบเช้า รุ่นน้องปี1 ชนะไปก่อน ซึ่งก็มีการคั่นเวลาให้นักีฬาชายเหล่านั้นไปพักให้หายกันเหนื่อยซะก่อน

ช่วงนี้ก็เป็นช่วงการแข่งขันพวกสันทนาการต่างๆของฝ่ายหญิงกันบ้าง ซึ่งผมรับหน้าที่พิธีกร ทั้งพากษ์ ทั้งแซว สนุกสุดๆเลย
แต่ละเกมส์ที่หามาให้ตะลุยไปทีละดานนั้น ทั้งรุ่นพี่ ทั้งรุ่นน้อง สะบักสะบอมกันชนิดที่ไม่มีใครห่วงสวยหือกลัวเจ็บซักคน
แต่ละคนทำหน้าที่เพื่อให้ทีมผ่านไปด่านต่างๆได้อย่างว่องไวและเก็บแต้มตะแนนไว้ให้มากที่สุด ผมเองยังขำจนพากษ์ต่อไม่ไหว
แล้วที่เห็นความแตกต่างของการแข่งขันกีฬาหลักของผู้ชายกับกีฬาสันทนาการของผู้หญิงก็คือเสียงกรี๊ดนี่แหล่ะครับ
ไม่ใช่กองเชียร์ที่คอยกรี๊ดให้นักีฬาหรอกนะ แต่เป็นนักีฬาหญิงของเราน่ะสิกรี๊ดกันเอง ทำได้ก็กรี๊ด ทำพลาดก็กรี๊ด กรี๊ดได้ตลอด
ในขณะที่เมื่อเช้านี้การแข่งบาสของผู้ชายเป็นการเชียร์แบบเฮกันเป้นพักๆฝ่ายไหนชู๊ตลงก็เฮกันซักทีนึงไม่ได้พร่ำเพรื่อแบบนี้
ทำให้ผมหันไปคุยกับเพื่อนที่เป็นพิธีกรคู่กันว่า “ผู้หญิงเล่นไม่หนักแต่กรี๊ดเยอะ เหมือนจะเหนื่อยมากแต่เปล่ากรี๊ดเพราะลุ้น”
ช่วงบ่ายมีการแข่งขันบอลกันต่อคราวนี้ฝ่ายรุ่นพี่ปี2คว้าชัยชนะไปได้อย่างสวยงามทีเดียวแล้วก็มาถึงการปิดการแข่งขันซะที
เลิกกิจกรรมกันแล้วก็รวมตัวกันถ่ายรูป เก็บของ แล้วโปรแกรมต่อไปก็คือการกินเลี้ยงของรุ่นพี่รุ่นน้องที่ร้านอาหารในเมืองครับ
คืนนั้นพวกเรากินกันจนอิ่มพูดคุยกันอย่างออกรส ผมว่าความผูกันจากกีฬาสัมพันธ์ครั้งนี้ได้ผลตรงตามที่ตั้งใจไว้จริงๆด้วยครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2007 01:09:04 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
คอนที่16
มหาวิทยาลัยไกลปืนเที่ยง

มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่นี้เป็นส่วนภูมิภาค ทั้งยังเป็นยุคบุกเบิกที่เพิ่งเปิดรับนักศึกษาเพียง2ปี ทำให้เรายังไม่มีอาคารเรียน
เป็นของตัวเองแต่การที่มหาวิทยาลัยจะไปใช้อาคารพานิชย์ ที่เปิดให้เช่าในตัวเมืองก็ต้องเสียงบประมาณไม่ใช่น้อยจึงต้องเลี่ยง
ไปทางนอกเมืองซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยิ่งอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองเท่าไหร่ก็ยิ่งราคาถูกลงเท่านั้น
มหาวิทยาลัยของผมก็เช่นกันครับ ถึงจะอยู่ไกลไปซักหน่อยแต่ก็ทำให้พวกเราได้ใช้ชีวิตนักศึกษาส่วนภูมิภาคอย่างคุ้มค่าสุดๆ
แต่ยังไงล่ะที่เรียกว่า “ไกลปืนเที่ยง” ก็คือ ไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มีเซเว่นฯ บางครั้งถึงกับไม่มีสัญญาณมือถือก็เคยมาแล้วครับ
ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมือง30กิโลเมตร มีร้านขายข้าวร้านเดียวที่ต้องเดินไกลมาก แต่ไม่มีรถรับจ้างใดๆนอกจากรถเมล์ที่นานๆมาที

ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยของผมจะอยู่ไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง เหมือนกับที่อื่นๆก็ตาม
แต่อย่าเพิ่งนึกไปว่า มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่นั้นจะอยู่ในป่าในดง หรือเป็นสถานที่ขาดแคลนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม
ภายในอาคารที่เราใช้เป็น ห้องบรรยาย ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องประชุม มีอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆครบครันจนเหมือนกับว่า
การมาเรียนที่นี่ คือ การมายังโลกอีกโลกหนึ่ง มีชุมชนเป็นของตัวเอง มีร้านข้าวอยู่ในย่านที่มีบ้านเช่าสำหรับนักศึกษาที่บ้านไกล
สิ่งเดียวที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าพวกเรามาเรียนไกลเหลือเกินก็คือ อุปสรรคด้านการเดินทางเพราะรถเมล์มีเพียงสายเดียวครับ
และบ่อยครั้งที่คนขับรู้สึกเปลืองน้ำมันก็จะปล่อยให้พวกเราลงกลางทางซะดื้อๆ หรือไม่ก็ไม่เข้ามารับนักศึกษาที่จะกลับออกไป

มาพูดถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่กันบ้าง เจ้าของคนล่าสุดเป็นใครผมไม่ทราบแต่ท่านรองฯเคยเล่าให้ฟังตอนปฐมนิเทศน์
ว่าท่านประสงค์จะให้เป็นสาธารณะประโยชน์ จึงยินดีมอบตำหนักใหญ่ ตำหนักปีบ และศาลาริมน้ำให้ทั้งเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย
อาจารย์ และนักศึกษาเข้าไปใช้สอยได้เต็มที่ ผมเองเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าที่นี่ คือ วังเก่า มิน่าผมรู้สึกว่าช่างโออ่าและขลังซะจริงๆ
ตำหนักใหญ่ หรือ อาคารเรียนหลัก เป็นอาคารที่สร้างด้วยปูนทั้งหลัง ขนาดใหญ่ มีทั้งหมด3ชั้น แต่ละห้องในอาคารกว้างมาก
มีหลังคาสูง มียอดแหลมคล้ายโดมที่ด้านบน ผมก็ไม่รุ้ว่า style การออกแบบอาคารอย่างนี้เรียกว่าอะไรแต่ผมว่ามันหรูหราจัง
นอกจากจะเป็นอาคารที่ใหญ่โตแล้ว รายละเอียดของการแกะสลัก ลายปูนปั้นต่างๆก็น่างดงามทำให้ตึกนี้ไม่ดูแข็งกระด้างเกินไป
ตัวตึกนั้นยกพื้นสูงขึ้นจากระดับถนนที่คนเดิน มีบันไดหินอ่อนทอดยาวจากระเบียงด้านหน้าลงมาถึงถนนโรยกรวดสายเล็กๆนั้น
ประตูทางเข้าอาคารมีหลายด้านแบ่งเป็นทิศทั้ง4 ซึ่งประตู หน้าต่าง แต่ละบานของอาคารนี้ใหญ่มากขอบด้านบนก็สูงลิบทีเดียว
ตามแนวระเบียงจะมีกระถางพลูด่างขนาดเล็กๆ ห้อยระย้าลงมาราวกับมู่ลี่ ที่ด้านล่างของอาคารปลูกต้นเข็มเตี้ยๆล้อมไว้จนทั่วตึก
พื้นอาคารตรงระเบียงทั้ง3ชั้นปูด้วยหินอ่อน แต่ห้องทุกห้องเป็นพื้นไม้ขัดมัน ตามเสาปูนแต่ละด้านประดับด้วยโคมไฟกลีบบัว
ท่ารองฯเล่าว่าสภาพอาคารสมบูรณ์ดีมาก ทางมหาวิทยาลัยเพียงแค่ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกภายในเท่านั้นส่วนที่เป็นตัวตึก
แทบไม่ต้องจัดการแก้ไขอะไรเลย เว้นแต่ทาสีอาคารใหม่ให้สดใสกว่าเดิม จึงขอให้นักศึกษาใช้อาคารเรียนอย่างระมัดระวังด้วย
ตำหนักปีบ หรือ อาคารสำรอง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว สร้างห่างจากอาคารเรียนหลักไม่ไกลกันนัก หากจะเดินไปอาคารสำรอง
ก็สามารถลงบันไดทางด้านหลังของอาคารเรียนหลักแล้วเดินผ่านทางเดินเชื่อมไปที่อาคารสำรองได้อย่างสะดวกรวดเร็วมาก
ส่วนใหญ่อาคารสำรองจะใช้ในวันปฐมนิเทศหรือมีการประชุมนักศึกษา รวมทั้งเมื่อจัดงานพิธีไหว้ครูของมหาวิทยาลัยด้วย
ถ้าจะเดินจากถนนใหญ่ที่เป็นลานจอดรถไปอาคารสำรองต้องเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งหนึ่งเมื่อลงจากสะพานมาแล้วจะเห็นว่ามี
ต้นปีบที่ปลูกไว้ตามแนวถนนทั้งสองข้างทางยาวเรื่อยมาจนถึงอาคารไม้สีขาว กลิ่นหอมเย็นของดอกปีบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ
ศาลาริมน้ำ เป็นศาลาโปร่งๆสร้างด้วยไม้และมีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ทาด้วยสีขาวทั้งหมด ลวดลายเป็นเถาองุ่นอย่างละเอียด
ศาลานี้ปลูกอยู่ใกล้กับคลองขุดขนาดใหญ่ มีพื้นเป็นไม้ มีที่นั่งเชื่อมติดกับศาลา มองออกไปจะเห็นดอกบัวทั้งใหญ่ทั้งเล็กเต็มสระ
นอกจากที่นี่แล้วก็ยังมีสวนลั่นทมที่ผมประทับใจตั้งแต่วันแรกที่มาเรียน ที่นั่นยังมีเรือนไม้เล็กๆโปร่งๆเรียงกันหลายหลังทีเดียว
ผมกับเพื่อนๆชอบมานั่งเล่นที่นี่ระหว่างรอรถที่บ้านมารับ อ้อ!เดี๋ยวนี้เพื่อนๆที่ไม่มีรถจะกลับพร้อมรถที่บ้านผมเนื่องจากเมื่อเรา
มาเรียนที่นี่ได้1ปี รถเมล์ที่เคยมารับก็ไม่เข้ามาอีกแล้วผมจึงให้รถที่บ้านมารับแทน แต่ในบางครั้งที่นึกสนุกก็จะโบกรถกับเพื่อน
ในกลุ่มซึ่งคนต่างจังหวัดใจดีมาก ส่วนใหญ่ถ้าไปทางเดียวกันเค้าก็จะรับพวกผมขึ้นรถไปลงในเมืองด้วย พวกผมก็จะไปนั่งที่
กระบะด้านหลัง ลมแรง แดดร้อนก็เอาผ้าบัง เอากระเป๋ามาบัง ดูๆไปยังกับแรงงานเถื่อนอพยพเลยครับ นึกถึงทีไรก็ขำทุกที 555


:+: โปรดติดตามตอนต่อไป :+:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

........... o15 o14 o15 o14...........

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :try2:  พี่นิวจ๋า..ไหนว่าจาลงวินละนิดส์งายจ๊ะ  o2

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มารออ่านต่อจ้า  :give2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ มหาลัยน่าอยู่จัง   o15

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณครับ  เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
การเดินทางไปมหาวิทยาลัยนี่อย่างกะได้เดินทางไกลเลยอ่ะ
มีโบกรถด้วย
น่าสนุกดีเนอะ o14 o14 o14 o14

ปล. ยาวอย่างแรง อ่านซะมึนเลย  o2 o2 o2 o2
      แต่ก็ดีเหมือนกัน ยาวสะใจ :laugh3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด