รีบมาต่อแล้วนะครับ มีเสียงเรียกร้องเ้ยอะ และไม่อยากให้ใครต้องอารมณ์ค้างนะครับ
ตอนที่13 **************
หลังจากที่เราเดินกลับมาที่รถกันแล้ว ผมก็มัวแต่คิดอะไรจนใจสับสนไปหมด จนลืมตัวไปเลยว่ายังไม่ได้พูดอะไรกับมันเลยสักคำตั้งนานแล้ว หันไปอีกทีมันก็กำลังจ้องมาที่ผมอยู่
" นี่ตกลงมึงเป็นอะไรวะ เงียบไปเลยอ่ะไม่พูดไม่จา" มันยังคงคาดคั้นคำตอบจากผม ผมเลยต้องหันไปยิ้มกลบเกลื่อนมันไปก่อนแล้วตบบ่ามันเบาๆ
" โอย.... ไม่มีอะไรหรอก สาด..ด อะไรของมึงวะ ทำมาเครียดอยู่ได้เดี๋ยวก็กร่อยกันพอดีอ่ะ กำลังสนุกๆเลย วันนี้อ่ะวันดีของมึงนะเว้ย ไอ่บ้า... คิดมากอะไรของมึงอยู่ได้" ผมก็ชักแม่น้ำทั้งห้าพูดไปเรื่อย มัวว่าแต่มันว่าคิดมากนะ แต่ตัวผมเองตอนนี้สิ คิดไปไม่รู้ถึงไหนๆแล้ว
" อืม... ก็เห็นมึงเงียบๆไปเลยกูก็งง นึกว่ามีอะไร ถ้าไม่มีก็ดีแล้ว" มันว่าแล้วก็เริ่มยิ้มออกมา
" เออ... ไม่มีอะไรจริงๆ มึงนี่ อ้าว... แล้วนี่กี่โมงแล้ววะ เฮ้ย... นี่ก็จะสี่โมงแล้วนะเว้ย กลับกันก่อนเหอะว่ะ ถ้ามืดค่ำเดี๋ยวขับรถลำบากอ่ะ" ผมเลยชวนมันกลับบ้านกันทันทีเพราะนี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว
" ก็ได้ๆ ไว้วันหลังเรามากันช่วงเช้าๆเลยนะเว้ย จะได้มีเวลาอยู่ที่นี่กันนานๆ"
" อืม... วันหลังถ้ามาอีกกูจะได้เตรียมกางเกงมาเปลี่ยน ไม่ต้องมาแก้ผ้าเล่นให้เสี่ยงอายคนอื่นเค้าอีก แม่ง ขืนนี่ถ้ามีใครมาเห็นเข้านะ มึงเอ๊ย... ไม่อยากจะคิด" ผมบอกอย่างนึกขยาดจริงๆ นึกๆไปนี่ผมก็เลยกลายเป็นกล้าบ้าบิ่นไปกับมันด้วยนะนี่
-
-
แล้วพวกเราก็กลับมาขึ้นรถกัน แต่พอมันเริ่มสตาร์ทรถก็พบว่าสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติดเลยครับ ผมกับมันเลยหันมามองหน้ากัน
" มึงอย่าบอกกูนะ ว่า..." ผมพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลเต็มที่
" เออ... กูว่ากูคงต้องบอกแล้วล่ะ แม่ง... มันเป็นเชี่ยอะไรวะ สัดเอ๊ย พี่เอกแม่งทำกูแล้ว" มันบ่นถึงพี่เอกอย่างเคืองๆ แล้วก็ส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็เปิดประตูลงไปดูเครื่อง แล้วก็ไปหยิบๆจับๆอยู่แป๊บนึง ผมก็เลยตามไปดูมัน
" แล้วนี่ตกลงมึงรู้เหรอว่าต้องเช็คอะไร แก้อะไรตรงไหนน่ะ เก่งดีว่ะมึงเนี่ย ซ่อมเครื่องได้อีก" มันทำให้ผมผมเซอร์ไพร์สอีกแล้วครับ เลยชมมันไป ก็หวังๆจะให้กำลังใจมันอ่ะนะครับ
" ก็ป่าวอ่ะ กูก็ลองๆทำดูไปยังงั้นแหละ เผื่อโชคดีมันจะติดน่ะ" มันหันมาบอกอย่างหน้ามึนๆ พอฟังมันแล้วใจผมยิ่งเหมือนหล่นไปไหนๆเลยครับ เฮ้อ ตายแน่ๆ
" อ่ะโธ่เอ๊ย สาดด..ด งั้นก็ไม่ต้องเลยอ่ะ เดี๋ยวเครื่องมันก็ยิ่งพังไปกันใหญ่นะ กูก็อุตส่าห์ใจชื้นขึ้นมาหน่อย นึกว่าจะพอซ่อมได้ พอเลยๆ ไปลองสตาร์ทอีกทีเลย" ผมสั่งมัน มันก็เดินกลับไปสตาร์ทรถอีก แต่ว่าก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดีครับ ทีนี้ท่าทางมันเลยกลายเป็นหัวเสียอย่างมาก
" เออ.... มึงไม่ต้องเครียดไป ใจเย็นๆเดี๋ยวค่อยๆหาทางไป อืม งั้นลองโทรไปหาใครดูก่อนแล้วกัน โทรหาไอ่พี่เอกมันก็ได้" ผมพยายามปลอบมันให้ใจเย็นลง
มันก็เลยเอาโทรศัพท์ออกมาลองโทรดู แต่พอมันเอามาแนบหูได้แค่แป๊บเดียวมันก็โวยวายออกมาทันที
" โอ๊ย...ย แม่ง ไม่มีสัญญาณอีก จะซวยกันไปถึงไหนวะ" มันว่าแล้วก็ทุบพวงมาลัยด้วยความโมโห
" เฮ้ยๆ มึงจะโมโหอะไรนักวะ เดี๋ยวกูลองโทรดูเครื่องกูก็ได้ ใจเย็นๆดิวะ" ผมบอกแล้วก็ดึงมือมันไว้ แล้วก็เอาเบอร์พี่เอกมาลองโทรดู แต่ก็ซวยจริงๆด้วยครับที่ไม่มีสัญญาณเหมือนกัน ผมเลยค่อยๆหันไปมองตามัน ซึ่งมันก็คงรู้แหละ เพราะผมยังไม่ทันพูดอะไรมันก็โวยออกมาลั่น
" โว้ยยย...ย แม่ง ทำไมมันซวยขนาดนี้วะ" มันตะโกนแล้วก็ลงไปจากรถ เดินไปเตะรถ เตะฝุ่นและหินแถวนั้นวุ่นไปหมดเหมือนคนบ้าไปเลย ผมเลยรีบลงไปห้ามมันโดยดึงมือมันไว้แล้วก็กอดไหล่มัน
" เฮ้ย... ไอ่เน มึงจะอาละวาดไปทำไมน่ะ ค่อยๆคิดไปดิวะ ถึงเราจะซวยก็ช่างมันเหอะ ลองหาทางอื่นกันก่อนดิ มันต้องมีทางแหละน่า โวยวายไปก็ไม่ได้อะไรหรอกน่ะ เชื่อกูดิ เหนื่อยเปล่าๆ" ผมพยายามปลอบให้มันใจเย็นลงอีกครั้ง
จะว่าไปก็นานมากๆแล้วนะที่ไม่เคยเห็นมันโกรธจนอาละวาดขนาดนี้ เลยชักรู้สึกไม่ดีไปด้วยแล้วครับ
จริงๆผมว่ามันก็คงแค่โกรธที่เราซวยกันขนาดนี้ โทรศัพท์ก็ดันไม่มีสัญญาณเลยทีเดียวพร้อมๆกันซะมากกว่า
" อืม งั้นเดี๋ยวลองมาคิดหาทางกันก่อน กูจะลองไปดูว่าจะพอมีรถใครขับผ่านขึ้นลงที่นี่มั่งมั๊ย เราจะได้อาศัยรถเค้าไปกัน เอางี้ก่อนนะ" ผมว่าแล้วก็เลยลองเดินไปที่ถนนที่เราขับกันขึ้นมาจากน้ำตกด้านล่าง ก็หวังครับว่าอาจจะมีรถสักคันผ่านมา
-
-
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของรถสักคันที่จะผ่านมาเลย ความหวังของเราก็เลยดูจะริบหรี่เต็มที
" แม่งเอ๊ย.... ป่านนี้ก็คงไม่มีใครขึ้นมานี่แล้วอ่ะ ทำไมมันซวยยังงี้วะ" มันเริ่มบ่นอย่างหัวเสีย แล้วก็เตะก้อนกรวดแถวนั้นกระเด็นไป
" เอาน่า... มาช่วยกันคิดต่อดิ ว่าจะเอาไงดี เออ... ว่าแต่ นี่มึงหิวรึยังน่ะ" ผมถามมันอย่างห่วงๆ ยังดีว่าเราได้ซื้อข้าวกล่องกับขนมแล้วก็น้ำดื่มเอาไว้เยอะพอควรก่อนมาที่นี่
" อืม ยังหรอกว่ะ แล้วมึงอ่ะ"
" อืม กูก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ งั้นกูว่าเดี๋ยวเรายอมเดินลงไปที่น้ำตกชั้นล่างจากนี่ก่อนนะ เผื่อจะพอมีคนอยู่บ้าง ขืนยังอยู่นี่กันกูว่าคงไม่มีประโยชน์ว่ะ คงไม่มีใครผ่านมาแล้วจริงๆ จอดรถล๊อคไว้นี่ก่อนแหละ" ผมลองเสนอทางเลือกให้มัน มันก็คิดนิดนึงแล้วก็เห็นด้วยกับผม
เราเลยกลับมาที่รถขนของกินทั้งหมดไปด้วย แล้วก็เริ่มต้นเดินกันตามถนนเส้นนั้นไปเรื่อยๆเพื่อจะลงไปสู่น้ำตกอีกชั้นหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง
ตลอดสองข้างทางนั้นก็เปลี่ยวมาก มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆปกคลุมจนครึ้มไปหมด เวลาตอนนั้นเกือบจะห้าโมงกว่าแล้ว บรรยากาศตอนนั้นเลยเริ่มมืดลงเรื่อยๆยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก
ตอนนี้เราเดินมาจากข้างบนได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วครับ ผมเองเริ่มรู้สึกว่าขามันเริ่มล้าๆซะแล้ว พอหันไปมองหน้ามันผมก็สงสารมันจริงๆ แต่ในขณะนั้นเองเราก็มองไปเห็นแสงสว่างของดวงไฟอยู่ตรงเบื้องหน้าเราแล้วครับ
" เฮ้ย ไอ่เน สงสัยเราคงเดินมาถึงแล้วว่ะ ตรงนั้นมีไฟเปิดอยู่นะ" ผมร้องบอกมันอย่างดีใจ
" เออว่ะ รอดไปทีเว้ยเรา รีบเดินไปดูดีกว่าว่ะ เผื่อยังมีคนอยู่" มันยิ้มร่า แล้วก็รีบเดินกันไปถึงตรงศาลามุงจากที่เปิดไฟอยู่นั้น
แต่ว่ารอบๆบริเวณนั้นก็เงียบสงัดไร้ซึ่งผู้คน ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลยด้วยซ้ำไปครับ
" เฮ้อ.... สงสัยป่านนี้น้ำตกเค้าคงปิดแล้วอ่ะ คนมันคงจะกลับไปกันหมดแล้วนะ ซวยเลยว่ะ แม่ง... ทำไงดีวะ" ผมบ่นกับมันอย่างหมดหวัง ซึ่งผมก็ลืมไปว่าไม่ควรทำอย่างนั้นเลย เพราะจะไปทำให้มันยิ่งเครียดเข้าไปอีก
พอหันไปดูมัน ผมก็เห็นมันค่อยๆทรุดลงไปนั่งที่โต๊ะปิคนิคในศาลานั้นอย่างท้อๆ แล้วมันก็นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ท่าทางมันดูแย่มากเลย ผมก็เลยรีบเดินไปนั่งข้างๆมันแล้วโอบไหล่มันไว้
" มึงเป็นไงวะ ไอ่เน เหนื่อยเหรอ" มันก็หันมา สีหน้ามันตอนนี้ดูแล้วเหมือนคนจะร้องไห้เลย มันคงอึดอัดกับทุกอย่างที่ต้องเจอกันอยู่ตอนนี้ เพราะจะทำอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง ได้แต่มานั่งรอกันอยู่อย่างนี้ โชคไม่เข้าข้างเราเลยครับ
" แม่ง... ทำไมเราซวยกันอย่างนี้วะ เพราะกูอ่ะพามึงมาซวยติดแหง็กไปด้วย กูขอโทษนะเว้ย" มันบอกด้วยเสียงสั่นๆ แล้วก็กุมมือผมไว้ด้วยสองมือของมันเหมือนเป็นการขอโทษผม
" เฮ้ย... มึงนี่ก็ จะบ้าแล้ว รถเสียมันจะเป็นความผิดมึงได้ไงเล่า มึงสั่งให้มันเสียหรือไม่เสียได้รึไง คิดมากไปแล้วน่ะมึง พอเลยๆ ไม่ต้องมาโทษตัวมึงเองเลย มึงไม่ได้ผิดหรอกน่า" ผมปลอบใจมันอีกครั้ง ก็คงเพราะมันรู้สึกอึดอัดมากจริงๆนั่นแหละครับ เลยนึกโทษตัวเองไป
" อืม มากินข้าวกันก่อนดีกว่าว่ะ กูหิวแล้วล่ะ แล้วเราค่อยๆคิดกันใหม่นะ ว่าจะเอาไงดี" ผมบอกแล้วก็หยิบข้าวกล่องที่เราซื้อไว้ออกมากินกับมัน แล้วก็กินขนมอีกหลายห่อนั้นด้วยความหิว
ตอนนั้นผมก็พยายามชวนมันคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปด้วย หวังจะได้ลดความเครียดของมัน ดูๆไปแล้วยังไงซะเราก็คงไม่พ้นต้องนอนค้างกันที่ศาลานี้ซะแล้วครับ เพราะมืดค่ำป่านนี้แล้วคงจะไปไหนไม่ได้อีก
" โอเคนะมึง ไม่ต้องโทษตัวมึงเองหรอก ทำไงได้อ่ะ รถเสียใครจะรู้ล่วงหน้าได้ล่ะ ถึงจะซวยต้องมาติดกันอยู่นี่แต่ก็ช่างมันเหอะว่ะ ก็ถือซะว่ามานอนเล่นท่ามกลางธรรมชาติกะกูคืนนึงแล้วกันอ่ะ เห็นมั๊ย ดีจะตายไม่ได้มีโอกาสมาเที่ยวกันอย่างนี้ง่ายๆนักนะเว้ย" ผมก็ยังคงพยายามปลอบใจมันอีก จนตอนนี้มันก็เริ่มยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว
" เออ ขอบใจว่ะ กูไม่เป็นไรแล้ว ถ้างั้นก็คงต้องนอนกันอยู่นี่นะคืนนี้ หวังว่าตอนเช้าคงพอมีคนขึ้นมาช่วยเรานะ"
" อืม ก็คงต้องอย่างนั้นแหละว่ะ ไม่มีทางเลือกแล้ว แค่คืนนี้คืนเดียว ดีนะที่นี่เค้ายังเปิดไฟสว่างอยู่ ไม่งั้นละก็พวกเราคงแย่ว่ะ" ผมบอกมัน เราก็ยังค่อนข้างโชคดีนะครับที่ได้มาพักกันที่ศาลานี้ แล้วก็เลยลากเอาโต๊ะมานอนด้วยกัน
ตอนนั้นก็เริ่มดึกมากแล้วเรายังคุยกันว่าจะทนรอกันจนถึงเช้าน่าจะมีคนมาช่วยเราได้ หลังจากนั้นเราก็หลับกันไปอย่างเหนื่อยอ่อน
-
-
ดึกแล้วแต่อยู่ๆฝนก็เทกระหน่ำลงมาด้วยเสียงที่ดังมากจนปลุกเราสองคนให้ตื่นขึ้นมา แต่แล้วเราก็ต้องมาสั่นด้วยความหนาวยะเยือกของอากาศขณะนั้น
" โอย โคตรหนาวเลยว่ะ ฝนแม่งก็ตกซะหนักเลย" มันบ่นแล้วก็นั่งกอดอกด้วยความหนาว เราเลยต้องไปนั่งหลบละอองฝนและลมหนาวๆที่พัดเข้ามาที่มุมด้านในสุดของศาลา
ศาลาที่เราอยู่นี้มันก็เป็นศาลาที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีต้นไม่ใหญ่เกือบสองคนโอบอยู่ชิดกันกับตัวศาลาเลย ซึ่งยังดีที่กิ่งก้านร่มเงาของมันพอจะช่วยกันฝนให้เราได้บ้าง แต่ตอนนี้เราก็ไม่รู้จะทำไงก็เลยต้องไปนั่งพิงเสาของศาลากันไปอย่างนั้น
ผมหันไปมองน้ำในน้ำตกก็พบว่าน้ำมันดูเพิ่มขึ้นเยอะมากและไหลอย่างเชี่ยวกรากเลยครับ เลยนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าฝนยังตกหนักอย่างนี้ต่อไป ก็มีโอกาสที่น้ำป่าจะไหลมาได้ง่ายๆเพราะตอนนี้เราอยู่กลางป่ากัน โอย จะทำไงกันดีละทีนี้ ซวยจริงๆ
" เฮ่ย ทำไมมึงทำหน้ายังงั้นวะ ไอ่อิน" มันหันมาถามผม คงเพราะผมนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ด้วยความกังวลจนดูผิดปกติไป
" เออ ไม่มีอะไร นอนกันต่อเหอะ ง่วงๆว่ะ" ผมแกล้งกลบเกลื่อนมันไปกลัวว่ามันรู้แล้วจะพลอยวิตกจริตกันไปอีก มันก็ยังทำหน้าสงสัยอยู่ แต่ก็ไม่ได้มาซักถามอะไรอีก
ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะทำไงกับฝนที่มันยังสาดเข้ามาอยู่นั้น ก็หันไปเห็นว่ามีโต๊ะปิคนิคอยู่หลายตัวเลย เลยบอกไอ่เนให้ช่วยกันลากโต๊ะปิคนิคมาจับตั้งขึ้นเพื่อให้มันช่วยบังลมฝน
โชคดีที่ว่ามีโต๊ะอยู่หลายตัวครับเลยช่วยกันลากมาตั้งเรียงต่อๆกันเป็นเหมือนกำแพงทั้งสามด้านแล้วก็เข้าไปหลบข้างใน
" เออ ดีขึ้นเลยว่ะ มันบังลมบังฝนไปได้หน่อยนึง มึงเป็นไงวะยังหนาวอยู่มั๊ย" มันถามผม
" ก็หน่อยๆว่ะ กูอยากบอกอะไรมึงนะ มึงฟังดีๆแล้วอย่าเพิ่งรีบโวยวายไปล่ะ" ผมตัดสินใจบอกมันไว้ก่อน มันจะได้เตรียมใจไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวกลัวว่ามันจะลนลานเวลาเกิดอะไรขึ้นมาอีก
" มึงคงรู้นะว่าตอนนี้เราอยู่กันแทบจะกลางป่าเลย แล้วฝนตกมาหนักอย่างนี้กูลองมองดูน้ำที่ในน้ำตกแล้วเห็นมันเชี่ยวแล้วก็มาเยอะมากเลยว่ะ เลยคิดว่ามีโอกาสที่น้ำป่ามันจะไหลมาได้ทุกเมื่อเลยว่ะ" พอมันได้ยินเข้าก็ทำหน้ายังกับเห็นผีเลยครับ
" เฮ่ย... จริงเหรอวะ" มันว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นมองไปที่น้ำตก แล้วก็หันมาท่าทางลนลาน
" เฮ้ย... แล้วทำไงอ่ะ ตายห่ากันละมึงจะทำไงดีวะ"
" เออ... ก็กูบอกแล้วว่าไม่ต้องตื่นเต้นไป มึงเห็นนี่มั๊ยต้นไม้ข้างศาลานี่อ่ะ ต้นมันจะใหญ่มากพอ เราค่อยๆเหยียบบนศาลานี่แล้วค่อยๆปีนกันขึ้นไปก็น่าจะพอหลบน้ำป่าได้อยู่นะ" ผมอธิบายแผนการของผมให้มันฟัง
" อืม... แล้วถ้าเกิดน้ำมันมาแรงมากๆหรือมีอะไรใหญ่ๆพัดมาด้วยล่ะ จะทำไงดีวะ ต้นไม้นี่มันจะต้านไหวมั๊ยนะ มึงพอจะมีแผนสองอีกมั๊ยวะ" มันถามผมอย่างนี้แสดงว่ามันยังรอบคอบและมีสติดีมากอยู่ ถึงจะตื่นๆกลัวไปบ้าง
" เอ้อ... แผนสองเหรอ ก็ยังไม่แน่ใจว่ะ ขอคิดก่อนแล้วกัน" ผมบอกมันแล้วก็เริ่มหาทางใหม่ ถ้าน้ำมันพัดมาแรงมากเราพอจะหนีไปไหนได้อีก แต่แล้วก็รู้สึกว่าจะมืดแปดด้านครับ มองไม่เห็นทางอื่นเลย ถ้าน้ำมันมาแรงอย่างนั้นจริงๆเราคงต้องตายกันแน่ๆ
" โอ๊ย....ย คิดไม่ออกเว้ย" ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด มันอึดอัดจริงๆครับที่ต้องมาติดอยู่อย่างนี้ทำอะไรก็ไม่ได้เลย หนีไปไหนก็มีแต่ป่ากับป่า
" เฮ่ย... ใจเย็นๆ งั้นอย่าคิดอะไรไปก่อนเลยมึง ยังไงเราก็คงไม่ซวยกันไปกว่านี้แล้วว่ะ น้ำมันอาจจะไม่มาจริงๆก็ได้ อย่าเพิ่งกังวลไปก่อนเลย" มันพูดเตือนผมได้อย่างใจเย็นดีมาก คราวนี้เลยกลายเป็นมันที่ต้องปลอบใจผมซะแล้ว ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ ความเครียดและอึดอัดเมื่อกี๊ก็หายไปบ้างแล้ว
" เออ โทษทีว่ะ กูคงเครียดเกินไปจริงๆ จะว่าไปถึงเราตีตนไปก่อนไข้กันมันก็คงเท่านั้นแหละว่ะ แต่ว่านะ สมมุติว่าถ้าคราวนี้เราต้องตายกันจริงๆมึงจะเสียใจมั๊ยวะ ไอ่เน" ผมหันไปถามมัน
" อืม ถ้ากูจะเสียใจนะ กูคงเสียใจที่พามึงมาตายน่ะ ไม่นึกว่ามันจะเป็นยังงี้นะ" มันพูดคล้ายๆกับว่ามันยังโทษตัวเองอยู่ แล้วก็ถอนหายใจมาทีนึง
" แต่ถ้าเป็นไปได้นะถึงกูต้องตายมันก็ไม่เป็นไรหรอกให้มึงรอดไปได้ก็แล้วกัน มันคงจะดีกว่านะ แล้วมึงเองล่ะ กลัวหรือเสียใจมั่งมั๊ยวะ" มันถามผมกลับ ผมก็ยิ้มที่ได้ฟังคำตอบของมัน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีและมีกำลังใจขึ้นอย่างมากๆเลยครับ
" เออ กูก็ไม่กลัวหรอกว่ะ ตายก็ตายแม่งด้วยกันนี่แหละ แค่นี้กูก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วว่ะ เราจะอยู่กันยังงี้ไปจนวินาทีสุดท้ายนั่นแหละ นะเว้ย..." ผมบอกมันอย่างตื้นตันใจที่มันก็ยังห่วงผม ความรู้สึกที่กลัวและกังวลก็หายไปจนหมดเลยครับ
" โอเคว่ะ งั้นเดี๋ยวมึงนอนไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวกูจะอยู่คอยระวังให้เอง ถ้ามีอะไรก็จะได้ยังหนีกันทันนะ" มันเสนอให้ผมนอนไปก่อน ผมก็ยอมตกลงตามนั้นแล้วก็นอนหลับไปก่อนอย่างเพลียๆ
-
-
ฝนยังคงตกกระหน่ำอยู่อย่างไม่ขาดสาย ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นมันยังคงนั่งพิงเสากอดกับผมแล้วเอาเสื้อตัวนอกของมันมาห่มตัวเราสองคนไว้ด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหนาวและปวดล้าตามตัวไปหมดเลยครับ และยังรู้สึกมึนๆลืมตาก็แทบจะไม่ขึ้นเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่ หรือว่าผมจะไม่สบายไปแล้วนะ
" อ้าว... เฮ่ย มึงนอนไปก่อนก็ได้ เพิ่งนอนไปแป๊บเดียวเองอ่ะ" มันบอก
" กูมึนๆหัวว่ะ ไม่รู้เป็นอะไร ปวดตามตัวด้วย" ผมบอกอาการมัน มันก็เอามือมาแตะหน้าผากผม
" เฮ่ย... ตัวมึงร้อนจี๋เลยอ่ะ แม่งเอ๊ย ทำไงดีวะ" มันโวยวายขึ้นแล้วก็ลนลานหันรีหันขวางไปมาเหมือนหาอะไรสักอย่าง
" เออ... แต่กูไม่เป็นไรเท่าไหร่หรอกน่า แค่นี้เองมันมึนๆน่ะ แต่ถ้ากูไม่สบายแล้วมึงจะทำไงล่ะ จะไปหาสมุนไพรในป่ามาต้มให้กูกินเรอะไง" ผมพูดให้มันดูตลกๆไปซะ ไม่อยากให้มันเครียด แต่ก็ไม่สำเร็จมันไม่ยักกะตลกไปกับผมด้วย
" โว้ยย..ยย แม่ง ถ้ากูออกไปหายามาต้มให้มึงได้กูก็ทำไปแล้ว ฝนเชี่ยนี่แม่งก็ตกอยู่ได้จะทำอะไรก็ทำไม่ได้เลยเว้ยย...ยย" มันตะโกนออกมาอีก ท่าทางมันก็คงเครียดและอึดอัดจนสุดจะทนจนน้ำตาคลอเบ้าเลย ที่ได้แต่นั่งติดแหง็กกันอยู่ตรงนี้จะทำอะไรก็ไม่ได้เลยสักอย่าง ผมเลยต้องรีบปลอบมัน
" เฮ้ย ไอ่เน มึงใจเย็นก่อน กูก็ไม่ได้เป็นไรมากอ่ะ อย่าทำงี้สิวะ มึงโวยวายไปมันก็ไม่ได้อะไรอ่ะ กูไม่เป็นไรจริงๆ" ผมกอดมันแน่น ใจผมก็เริ่มเสียไปเหมือนกัน เพราะสงสารมันน่ะครับ
" ตัวมึงร้อนขนาดนี้แล้วยังบอกไม่เป็นไรอีก แม่งเอ๊ย มันจะซวยไปถึงไหนกันวะ" มันพูดอย่างเคียดแค้นในโชคชะตาที่เราต้องเจออยู่ตอนนี้จนน้ำตามันไหลออกมา
" มึงฟังกูนะ กูรู้ว่ามึงห่วงกู แต่มึงอย่าตีโพยตีพายอีกเลย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ค่อยๆหาทางกันไปเหอะว่ะ นะเว้ย... เห็นมึงยังงี้แล้วกูใจไม่ดีจริงๆว่ะ มึงเชื่อกูเหอะนะ เวลานี้น่ะมันทำอะไรไม่ได้จริงๆ แต่เราต้องมีสติกันนะเว้ย" ผมบอกแล้วก็กุมมือมันไว้แน่น แล้วก็มองสบตามัน มันก็มองมา แล้วก็เอามือปาดน้ำตาออกไป
" เออๆ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ก็ต้องรอให้ถึงเช้านั่นแหละว่ะ หวังว่าคงมีคนขึ้นมาช่วยเราเองนะ กูแค่ภาวนาขอให้มึงอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนก็แล้วกัน" น้ำเสียงมันดูเป็นห่วงผมจริงๆ แล้วก็กอดผมไว้แน่น
" เอาน่า ยังไงซะกูก็ไม่ตายง่ายๆหรอก มึงกะกูยังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ตอนนี้เราเริ่มดังแล้วอีกหน่อยจะได้ออกอัลบั้มด้วยกันไงวะ ออกคู่กันไง ที่นี้จะได้ดังใหญ่ แฟนคลับเราคงเยอะนะเว้ย" ผมยังคงฝืนยิ้มพูดกับมันไปเรื่อยๆเพราะอยากจะปลอบมัน
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วผมเพ้อไปเพราะไข้มันสูงรึเปล่านะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรแล้วครับ แค่ไม่อยากให้มันกังวลจนใจเสียไปหมดอย่างนี้
" เออๆ มึงไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ นอนไปก่อนเหอะว่ะ" มันบอก แต่ว่าสีหน้าของมันก็ดูยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะมันก็คงจะกังวลกับอาการของผมอยู่
ที่จริงผมว่าถึงผมจะโชคร้ายที่ต้องมาติดอยู่อย่างนี้ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีมากอยู่นะครับที่มันอยู่ข้างๆผมเวลานี้ ในสถานการณ์ที่เราอาจจะเป็นตายได้เท่าๆกันอย่างนี้
และพอคิดอย่างนี้แล้วผมก็รู้สึกว่าถ้าผมและมัน หรืออาจจะแค่ใครคนนึงจะไม่รอดไปจากที่นี่ได้ ผมจะทำยังไง
ทำให้ผมหวนคิดถึงเรื่องที่ผมอยากบอกความรู้สึกของผมกับมัน
ผมอยากจะบอกมันจริงๆครับ ว่าผมรักมัน แต่ไม่ได้รักแบบเพื่อนแล้ว
และผมว่าคงจะต้องบอกกับมันตอนนี้เลย ก่อนที่ผมอาจจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้วก็ได้
แต่ผมก็ยังคงไม่แน่ใจอยู่ดีนะครับ ถ้าบอกไปแล้วคำตอบของมันไม่เป็นอย่างที่ผมหวังไว้ล่ะ
ผมจะทำยังไงดีนะ มันรู้สึกลังเลใจไปหมดแล้วจริงๆ
****************