A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118393 ครั้ง)

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl

JipPy

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Goodfellas

  • magKapleVE
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1828
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +384/-2
    • Adult games: dating for spicy meetups
กอดผู้แต่งอย่างแรง :กอด1:

เรื่องกำลังชวนติดตามเลย  รีบๆมาต่อนะคร้าบ

ว่างๆก็แวะไปอ่านเรื่องผมอีกนะครับ  อิอิ o13

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5

ออฟไลน์ beautyless

  • PP Kintai Love
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เขียนเรื่องออกมาได้น่าสนใจดีครับ ถ้ามีเวลาก็มาลงต่อนะครับ จะคอยติดตาม ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5

wing

  • บุคคลทั่วไป
น่าสงสารแดงกับคนที่เป็นโรคนี้ทรมาน...อ่านแล้วเห็นภาพเลย
ในที่สุดหมอก็เรียกชื่อแล้ว ตอนนี้นายอัชนิสัยน่ารักขึ้น
 :pig4:

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
บทที่ ๑๑ จำปาจะแตระเป็นสร้อยสน


ลมพักเย็นสบาย ที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีพัดลม อาศัยแค่ลมโกรกล้วนๆ จะแรงจะเบาควบคุมไม่ได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพระพิรุณ สมัยก่อนมนุษย์ เป็น อยู่ คือ ตามธรรมชาติ   ผิดกับสมัยนี้ที่มนุษย์(พยายาม)จะฝืนธรรมชาติ
ผมยืนไพร่แขนไปข้างหลังรับลมอยู่ริมคลอง อาจเป็นจากที่ไกลลอยมาเป็นระยะๆ สายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
การที่เกิดมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าไม่มีที่ไหนเหมาะกับตัวเองเลย ไม่มีที่ที่ให้เรายืนอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่มีที่ที่ใครจะมายืนจับมืออยู่ข้างๆ มันเหงาในใจอย่างบอกไม่ถูก

   เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่หมอปีย์สั่งให้ผมไปทำอย่างเร่งด่วนคือ อาบน้ำ เขายื่นก้อนสบู่สีเหลืองๆให้ผมก้อนหนึ่ง พร้อมทั้งบอกสรรพคุณโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
“เอาขมิ้นชันขัดถูให้ทั่วตัว แช่ทิ้งไว้สักประเดี๋ยว โรคกลาก โรคเกลื้อน โรคเรื้อน เชื้อราจะตายสิ้น”  มันพูดเหมือนโฆษณาตามวิทยุทรานซิตเตอร์สมัยโบราณ
ผมทำตามที่มันบอกทุกอย่าง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นกราก เป็นเกลื้อน แต่ผมก็ไม่อยากเป็นโรคเรื้อนเหมือนพวกที่เรือนหลังสวนเหล่านั้น
          บริเวณที่ผมยืนอยู่นั้นอยู่ติดกับบ้านคุณชั้น หรือว่าถ้าพูดอีกทีมันก็บ้านผมนั่นแหละ ผมมองไปทางนั้นบ่อยๆ และมีบางชั่วขณะที่หางตาผมเหลือบไปเห็นภาพบ้านหลังที่ผมเคยอยู่ โรงจอดรถ บ้านอา บ้านแม่ มีคนเดินไปมาอยู่ในบ้านแม่  มันคล้ายๆกับภาพซ้อน แต่พอผมหันไปมองเต็มๆตา ภาพเหล่านั้นกลับจางหายไป
         “เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ทำไมไม่รู้ รู้แต่ว่าพอทำแล้วมันรู้สึกโล่งอกโล่งใจยังไงบอกไม่ถูก
   “กลิ่นดอกอะไร หอมจัง” ผมมองซ้าย มองขวาไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของกลิ่นดอกไม้หอมเย็นนี้ และก็ได้พบกับมัน
“ดอกจำปา”  ต้นจำปาต้นใหญ่สูงตระหง่านอยู่ติดริมรั้วบ้านคุณชั้น ข้างๆกันนั้นมีศาลาริมน้ำที่มีท่าเทียบเรือเทียบอยู่ ผมเดินไปที่ต้นจำปา ก่อนจะเก็บดอกที่ร่วงขึ้นมาดม พลางนึกในใจ
“มึงจะมาอารมณ์สุนทรีอะไรขนาดนี้ เมื่อก่อนหมาโดนรถชนยังไม่สนใจจะลงไปดู” ผมคิดในใจ แต่ก็มันไม่มีอะไรทำนี่หว่า อินเตอร์เนทจะเช็คเมลก็ไม่มี ป่านนี้เพื่อนๆจากออสเตรเลียจะส่งข่าวอะไรเกี่ยวกับมหาลัยมาบ้างก็ไม่รู้ ไหนจะการบ้านการเมือง ดาราใครเลิกกับใคร ใครท้องกับใคร ไม่รู้ ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ ไม่ได้อัพเดทข่าวสาร ร้านอาหารแม่จะโดนฮุบไปรึยัง
ป่านนี้ไอโฟนจะไป 4 5 หรือ 6 ไปแล้วก็ไม่รู้

อีกอย่าง ถ้าเกิดได้กลับไปอีกครั้งแล้วดันไปโผล่ ปี 3000 กูไม่กลายเป็นคนหลงยุค ไปอีกเหรอว่ะเนี๊ยะ
“เฮ้อ” แล้วผมก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหยิบดอกจำปาขึ้นมาดม

“วันนี้น้องสำราญใจ                     ชมพรรณมิ่งไม้ในสวน
 รสสุคนธ์ตลบอบอวล                 หอมหวนชวนชื่นชูใจ
 พิกุลจะกรองอุบะห้อย               ลำดวนจะร้อยเป็นสร้อยใส่
 จะทำบุหงารำไป                       วางไว้ข้างที่ไสยา
  จำปาจะแตระเป็นสร้อยสน       จะประสุคนธ์ให้หนักหนา
 แม้นใครจงใจเจตนา                 จึงจะให้บุหงานี้เอย”

ผมอ้าปากค้างนิ่งไปสามวินาที ที่หมอปีย์ท่องกลอนจบ สีหน้าแบบว่าอารมณ์ขนลุก 555 ต้องเข้าใจว่าเราเกิดในยุคสมัยที่เด็กไทยท่องกลอนอะไรพวกนี้ไม่ใคร่จะเป็นกันแล้ว รวมทั้งผม ถึงมันจะไพเราะก็จริง แต่มันยากที่จะจำสำหรับเราๆ
“ไพเราะหรือไม่”  แหม๊ ยังมีหน้าจะมาถาม ผมกลั้นหัวเราะจนเลือดกำเดาจะทะลักออกมาแล้ว ไม่ได้ขำกลอนหรอก กลอนน่ะเพราะ แต่คนท่องนี่สิ คิดอะไรของมัน
“อืม” ผมพยักหน้า
“บทพระราชนิพนท์เรื่องอิเหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย” เขายิ้ม “เราเห็นเจ้ากำลังชื่นชมดอกจำปาอยู่ เลยนึกบทกลอนนี้ขึ้นมาได้”
“โห เก่งวะ จำได้ยังไง” ผมอดทึ่งไม่ได้
“ทำไมจะจำไม่ได้เล่า เราอ่านหนังสืออก อ่านหนังสืออกก็ต้องจำได้สิ”  แอบด่ากูอีกแล้ว ประจำ
“แล้วถ้าชั้นกำลังดมดอกนี่ออยู่หล่ะ” ผมทำหน้าท้าทาย มือชี้ไปที่ดอกไม้สีม่วงที่ขึ้นเป็นเถาอยู่ริมรั้ว ให้ตายยังไงมันก็คงจำกลอนไม่ได้หมดหรอก
“เราก็จะท่องว่า”............หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“ช้องนางนกนาเก้อ           เออไฉน
 สาวสุรางค์นางใน        แน่งน้อย
เกศาประบ่ามัย           นี้หมด
ใครบ่มีสอดซ้อง           เช่นใช้ในละครฯ”
เหวอ  ผมทำหน้าเหวอไปเลย ไม่คิดว่ามันจะเก่งจำได้หมดขนาดนี้ ทึ่งนะนี่ แหม่ น่าจะจับใส่ถุงลดโลกร้อนติดมือไปยุคสมัยผมเสียจริง เอาไปฝากอาจารย์แม่ ท่านคงจะปลื้มหมอนี่น่าดู

“ชั้นไม่คิดว่าต้นจำปามันจะต้นใหญ่ขนาดนี้” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง หมอปีย์เดินไปนั่งตรงศาลาริมน้ำ
“ที่นี่ดินดำน้ำชุ่ม ปลูกอะไรก็งามหมด มีอย่างเดียวเท่านั้น ที่ปลูกเท่าไหร่มันก็มิงอกงามตามใจประสงค์เสียที” หมอนั่นทำหน้าถอดใจ
“อะไรเหรอ” ผมเดินตามมานั่งบนศาลาฝั่งตรงข้าม
“ต้นรัก......................”
“แอ่ะ”  ผมอึ้งไปสามวินาที ไม่คิดว่า มุขควายจะแพร่หลายมาถึงสยามยุคนี้
“เออ นายมีแฟนยังอ่ะ” ผมถามแต่หมอนั่นทำหน้างงๆ “ชั้นหมายถึงคนรักน่ะ”
“หากเจ้าหมายถึงคู่หมั้น คู่หมาย ไม่มีดอก”  เขาส่ายหัว
“ทำไมอ่ะ โตเป็นควายแล้วทำไมยังไม่มีแฟน”
“เจ้าเคยเห็นแฟนควายเหรอ” มันย้อน
“ไอ้บ้า ชั้นเปรียบเทียบเว้ย”
“แล้วเจ้าหล่ะ มีผู้ใดหมายปองหรือยัง”
“โอ้ยยย ถ้าหมายปองนะ เยอะแยะ เป้ย อั้มพัชราภางี้   น้องเต้ยงี้ น้องปอยงี้ แต่ถ้านายหมายถึงแฟนแล้วล่ะก็ ..............”ผมส่ายหน้า แต่ในใจยังนึกถึงใบหน้าผู้หญิงคนนั้นคนที่ให้ความหวังให้ผมรอ แต่แล้วเธอก็จากไป หวนนึกถึงวันเก่าๆก็เลยได้ถาม พอๆ เป็นเพลงละ
“บ้านเมืองของเจ้า มีภรรยาได้หลายคนรึ” เขาทำหน้าสงสัย
“ก็ไม่เชิงหรอก สมัยชั้นก็เหมือนสมัยนายนี่แหละ ไม่สิ สมัยนาย พวกเจ้าขุนมูลนายเขามีเมียหลวง เมียน้อย เมียทาส เยอะแยะนิ ใช่ป่าว ชั้นเคยดูละครนางทาส อีเย็นๆ”  ผมจ้อไปเรื่อย ไม่ได้หวังให้หมอนั่นเข้าใจหรอก 555 “แต่สมัยชั้น เขามีเมียคนเดียว” ผมยิ้มแกว่งขาไปมา “แต่กิ๊กเยอะ”
“อะไรคือกิ๊ก”
“กิ๊ก ก็.........................มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟนน่ะ”
“????????????????????”

“กลับเรือนเถิด พวกบ่าวตั้งสำรับไว้เสร็จแล้ว” หมอปีย์ลุกขึ้น
แต่ผมยังไม่ลุก สายตามองทอดออกไปทางบ้านคุณชั้น
“เด็กผู้หญิงคนนั้นใครน่ะ” ผมถามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารักน่าชัง แต่งตัวด้วยชุดคล้ายตุ๊กตาไทยสีชมพู กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ริมศาลาของบ้านนู่น ความรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาดเกิดขึ้นในใจ
“อ้อ นั่นน่ะรึ หลานคุณหญิงชั้น ชื่อหนูวาด”
“หนูวาด??”
“ใช่ หนูวาดเป็นกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก”
“หนูวาด???” ผมทวนคำพูดของหมอปีย์ครั้งที่สอง และครั้งที่สาม ราวกับชื่อๆนั้นคือชื่อที่ผมเคยเรียกคนๆหนึ่งมาก่อน
“ยายทวด” แล้วผมก็นึกออกขึ้นมาทันที ชื่อหนูวาดเหมือนชื่อของยายทวดของผม ตอนผมเกิดยายทวดอายุ 80 กว่าปี และยายทวดเสียตอนผมอายุ 10ขวบ ผมมักเรียกยายทวดว่า “หนูวาด” เสมอ ในขณะที่คนอื่นกลับไม่เรียกชื่อนี้
ผมแปลกใจมาโดยตลอดว่าทำไมยายทวดถึงสอนให้ผมเรียกท่านว่า หนูวาด
“เป็นอะไรไปรึ พ่ออัช” หมอปีย์ถาม
“เอ่อ เปล่าๆ” ผมว่า ในขณะที่สายตากำลังมองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่กำลังเดินตามคนรับใช้หายเข้าไปในบ้าน
“ไปกันเถอะ เราหิวแล้ว” เขา ว่า ผมเดินตามหมอปีย์ขึ้นบ้าน พร้อมดอกจำปาในมือ และชื่อหนูวาดในหัว...............

...

อาหารถูกยกมาจัดวางรอไว้แล้ว เหมือนวันที่ผ่านๆมา ระหว่างที่เรานั่งกินข้าวก็จะมีคนรับใช้นั่งกันหน้าสลอน ในตอนแรกๆนั้นโคตรเขินเลยที่ต้องนั่งซดน้ำแกงดังซื้ดๆ ต่อหน้าคนนับสิบ ทำราวกับว่าการกินข้าวของเราเป็นเหมือนแสดงละครลิง หนังตะลุงอย่างนั้นแหละ แต่หลังๆเริ่มชินละ
เจ๊อ่ำของผมตักข้าวใส่จานซึ่งเป็นหน้าที่ประจำ เม็ดข้าวเรียงตัวเป็นเม็ดสวย กลิ่นหอมกลุ่นด้วยใบเตยอ่อนๆ ไม่อยากจะนึกว่าใบเตยเหล่านั้นมาจากไหน เพราะเคยเห็นแต่คงไม่เป็นไรหรอก มันสุกแล้ว
และผมเหลือบไปมองอาหารเย็นมื้อนี้
“มีต้มโคร้งปลากรอบด้วย” ผมว่า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ต้มโพล้งปลาสลิดใบมะขามอ่อนตะหาก” เจ๊อ่ำเถียง
“ต้มโคล้ง นี่มันต้มโคล้งชัดๆ” ผมก็ไม่ยอม
“ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ นี่เขาเรียกต้มโพล้ง เป็นต้มที่ปรุงให้มีน้ำมากสำหรับซด ใส่เนื้อปลาแต่น้อยเจ้าค่ะ” เจ๊อ่ำกรแทกเสียงตรงค่ะ เหวี่ยงๆ ผมก็พยักหน้ารับอืมๆ เพราะว่าไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองได้ยินมาน่ะผิดหรือปล่าว แต่เมื่อหมอปีย์ยืนยันว่า สิ่งที่อยู่ในถ้วยนั่นเรียกต้มโพล้ง ผมจึงจำใจเชื่อ
“เจ้ามิเคยกินรึ นี่เขาเรียกต้มโพล้งปลาสลิดใบมะขามอ่อน .......นังช้อยมันได้ใบมะขามนี้มาจากที่ใดกันรึ อ่อนน่ากินเชียว” หมอปีย์ก้มลงมองต้มโคร้ง เอ้ย ต้มโพล้งใกล้ๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามนังอ่ำ
“แกให้ไอ้จุกไอ้จ้อยไปปีนเอาจากปลายนานู่นเจ้าค่ะ เห็นว่ากำลังแทงยอดงาม แล้วยามนี้หวัดไข้กำลังระบาดหนัก แกเลยว่าจะต้มโพล้งรับทานแก้หวัดน่ะเจ้าค่ะ” เจ๊อ่ำยิ้มหวาน
“แก้หวัดเหรอ ต้มโพล้งเนี๊ยะนะ” ผมถามหมอปีย์ ในใจแอบคิดว่าจะแก้หวัดได้ยังไง หรือว่า ป้าช้อยแอบใส่ ไทลินอล 500ลงไปด้วย
“ใช่ ต้มโพล้งเป็นอาหารที่แก้หวัด เจ้าเคยได้ยิน อาหารเป็นยา หรือไม่ นั่นแหละ ต้มโพล้งเป็นอาหารที่ใช้เป็นยาได้ด้วย นี่เจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยรึ..............เปนชาวสยามแท้ๆ”
ผมชะงักกำลังจะตักข้าวใส่ปาก ทำไมวะ ผิดด้วยหรือที่ไม่รู้น่ะ
“ในต้มโพล้งจะมีใบมะขามอ่อน ที่ช่วยขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอเวลาซดน้ำ อีกทั้งรสเปรี้ยวของใบมะขามจะทำให้ไม่ส่าลิ้น โล่งคอ นอกจากนั้นในต้มโพล้งยังมีสิ่งนี้อีกด้วย” หมอปีย์ใช้ช้อนคนในถ้วย แล้วตักบางอย่างขึ้นมา “หัวหอมแดงเผา ที่มีสรรพคุณแก้หวัด คัดจมูก กลิ่นของมันทำให้จมูกโล่ง ที่เรือนหลังนี้ เวลาบ่าวไพร่ไม่สบาย จะใช้ใบมะขามต้มกับหัวหอม จนควันกรุ่นๆออกมา แล้วเอาหน้าไปอังในหม้อ  เอาผ้าขาวม้าคลุมอีกที สูดเอาไอของน้ำต้มใบมะขามกับหัวหอม โล่งจมูก แก้คัดจมูก ดีนักแล”  แล้วเขาก็ตัก เอาหอมที่อยู่ในช้อนใส่ชาม ตามด้วยน้ำต้มโพล้ง
ผมได้ฟังก็อดทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเราไม่ได้
“อืม” ผมพยักหน้าก่อนจะตักน้ำแกงใส่ช้อนและซดเสียงดังลั่นบ้าน
“ซู๊ดดดดดดดดดดดด”
“เบาๆสิพ่อ เดี๋ยวพระสงฆ์องคเจ้าก็ตื่นกันหมดพอดี” หมอนั่นแซว
“ก็มันอร่อยนี่นา” ผมยิ้ม


“ลองชิมนี่หน่อยสิ รับรองว่าเจ้าจะติดใจ” ว่าแล้วเขาก็ตักผักชนิดหนึ่ง คล้ายแตงกวาแต่ผิวขรุขระให้ผม ก่อนจะตามด้วยน้ำน้ำพริกกะปิที่ใส่ลูกมะอึกสีเหลืองน่าทาน
“อะไร”
“กินดูเถิด”
ผมทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็ตัดสินใจตักผักนั้นเข้าปาก และทันทีที่มันเข้าปากไปแตะกับลิ้นผม รสขมปล่าก็แล่นขึ้นสมองทันที
“โอ้ยๆ อะไร ขมๆ” ผมร้องออกมาทำท่าจะบ้วนทิ้ง แต่หมอปีย์ทำหน้าสั่งห้าม
“มะระขี้นก กลืนลงไป อย่าบ้วนทิ้ง ของกินมิใช่ของเล่น” เขาดุ “มะระขี้นก เปนยา สรรพคุณล้นเหลือ กินไปเถิด เจ้าไม่ตายดอก”
แต่ผมนั้นไม่ไหวแล้ว มันขมจนลิ้นชา ผมอมมันไว้อยู่ข้างในกระพุ้งแก้ม พยายามจะกลืนแต่กลืนไม่ลง
“เราสั่งมิให้เจ้าคาย”
ผมกล้ำกลืนฝืนกิน แต่มันกลืนไม่ลงจริงๆ ในที่สุดต้องเอี้ยวตัวไปข้างหลัง พ่นเจ้ามะระขี้นกที่แสนขมนี้ออกมา บ่าวที่นั่งอยู่แถวนั้น ต่างหลบกันจ้าละหวั่น
“ถุย แบร่ๆๆ “ น้ำในขันถูกซดจนเกือบหมด
“ขมอ่ะ กินไม่ลงเลย” ผมว่าโดยที่ไม่มองหน้าหมอนั่นว่าเป็นยังไง ตักน้ำต้มโพล้งมาซดเพื่อให้หายขม
“เอาอะไรมาให้กูกิน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง และเห็นหน้าของหมอนั่นบึ้งตึง จ้องเขม็งมาที่ผม คล้ายกับผมไปฆ่าใครตายอย่างนั้นแหละ
“เป็นอะไรไปอีกหล่ะ ดูทำหน้าเข้า”   มันไม่พูดอะไร ผมเอื้อมมือไปตักน้ำพริก มันมองตามสีหน้านิ่งเฉยเหมือนกำลังสะกดอารมณ์
“ทำไม โกรธเหรอ กะอีแค่บ้วนไอ้ขมๆนั่นทิ้ง ก็มันกินไม่ได้นี่หว่า ขมจะตายห่า ถุยๆ” กำลังจะตักข้าวใส่ปาก เหลือบตาไปมองหน้ามันอีกที ยังทำหน้าเป็นตูดอยู่อีก
“เออ ไม่กินก็ได้วะ โด่” ผมวางจานลงกระแทกโต๊ะ นิ่งไปครู่นึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจะเข้าห้อง
“นั่งลง” เสียงหมอนั่นต่ำ ผมหยุดกึกไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่สนใจอะไร หันหลังลุกขึ้นยืน
“เราบอกให้นั่งลง!!!” แล้วหมอนั่นก็ตวาดผมลั่นบ้าน ผมสะดุ้งตกใจ ไม่เคยเห็นมันเป็นอย่างนี้มาก่อน
ตอนแรกที่ได้ยินเสียงตวาดนั่นยอมรับว่าผมตกใจ มันเป็นเสียงที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากชายผู้อ่อนโยนแบบเขามาก่อน เสียงนั้นกังวาล ทรงพลังราวกับเสียงสิงโตคำราม ผมนิ่ง มองหน้าหมอนั่น บ่าวไพร่ต่างคุดคู้ก้มหน้านิ่ง
“ทำไมชั้นต้องนั่ง” แต่ถึงจะกลัวยังไง แต่ผมก็ยังไม่วายกวนประสาทมัน
 หมอปีย์เงยหน้าขึ้นมามองผม สายตาที่เคยอ่อนโยนน่าหลงใหล ตอนนี้กลับกลายเป็นสายตาที่ดุดัน ทรงอำนาจ จนทำให้ไม่ต้องมีคำพูดใดๆจากปากของหมอนั่น ก็ทำให้ผมสยบและยอมนั่งลงได้..............ด้วยสายตาคู่นั้น
ผมนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้จะทำตามที่เขาสั่ง แต่ในใจลึกๆยังต่อต้าน
“กินข้าวเสียให้หมดจาน จากนั้น เจ้าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า” เขาพูด น้ำเสียงนิ่งเย็น สีหน้าเรียบเฉย ไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย
“ชั้นอิ่มแล้ว”
“กินให้หมด นี่เป็นคำสั่ง”
“ทำไมชั้นต้องเชื่อนายด้วย”
“เพราะเจ้ามาอาศัยในเรือนของเรา หากเจ้ามิพอใจ จะไปเสียจากที่นี่คืนนี้ เราก็ไม่ขัด”
“นี่นายไล่ชั้นเหรอ”
“การที่เจ้าได้อาศัย หลับ นอน บนเรือนหลังนี้ และมิต้องทำงานบ้านงานเรือนเหมือนบ่าวไพร่ มิใช่เจ้าจะมีสิทธิเหนือพวกมัน จะทำการเยี่ยงใดตามอำเภอใจก็ได้  เราให้เกียรติเจ้าถือว่าเจ้าเป็นประหนึ่งแขกต่างบ้านต่างเมือง แต่หากเจ้าคิดว่าเจ้ามิได้รับความสะดวกสบายจะไปจากที่นี่ก็..............เชิญ” เขาพูดไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย ผมในขณะนี้ตัวชา หน้าชาไปหมด ไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงขนาดนี้ กะอีแค่กินข้าวไม่หมดจาน
“นี่นายโกรธชั้นกะอีแค่ ชั้นกินข้าวไม่หมดแค่นั้นเองเหรอ” ผมต่อว่า
“ใช่ การที่เจ้ากินข้าวไม่หมด ก็เหมือนกับเจ้าดูถูกบ่าวไพร่ ดูถูกชาวนา ดูถูกพระแม่โพสพ นี่เจ้าไม่รู้หรือแกล้งบ้ากันแน่ ถึงไม่รู้ว่ากว่าที่ชาวนาจะได้ข้าวมาสักเมล็ดมันยากเย็นเพียงใด”
“เออๆ พอๆ ชั้นจะกินให้หมด ................ไม่ใช่เพราะกลัวนายหรอกนะ แต่เป็นเพราะ...เบื่อที่จะฟัง” ผมพูด แต่ในใจนั้นรู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กๆ
ผมโกรธจนตัวสั่น คิดในใจกล้าดียังไงถึงมาด่ากันต่อหน้าคนใช้พวกนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่มีที่ไป ผมไม่ยอมมันง่ายๆแบบนี้หรอก
ผมหยิบจานข้าวขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ตักข้าวคำโตก่อนจะยัดมันเข้าปาก และกลืนลงคออย่างรวดเร็ว ข้าวคำแล้วคำเล่าถูกยัดเข้าไปจนหมดจาน การทำแบบนี้ก็เพื่อประชดประชัน ให้มันรู้ว่า ถึงจะบังคับให้ผมกินได้ แต่มันก็ไม่สามารถบังคับให้ผมเคี้ยวข้าวได้
“ชิส์ แค่นี้กูก็ชนะมึงแล้ว” ผมคิดในใจ


“ไปได้รึยังหล่ะ boss” ผมถามเมื่อกวาดข้าวเมล็ดสุดท้ายเข้าปาก หมอนั่นไม่พูดอะไร มันยังคงก้มหน้านิ่ง เมื่อมันไม่พูดผมก็ถือว่ามันอนุญาต จึงลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้คนใช้เผชิญชะตากรรมอำมหิตอยู่ข้างนอกนั่นแหละ

...

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ที่นี่ยามค่ำคืน เงียบสงบยิ่งกว่าวัดป่า เสียอีก ทั้งๆที่เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าที่นี่เป็นเมืองหลวง แต่กลับเงียบยิ่งกว่าเมืองลับแล ผมไม่ชอบกลางคืนของที่นี่เอาเสียเลย เพราะรู้สึกว่ามันเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง และเดียวดาย
ผมเดาเวลาเอาเองว่าตอนนี้น่าจะสักประมาณทุ่มกว่าๆแล้ว พวกคนใช้ต่างพาลูกพาหลานเข้านอนกันแล้ว คิดดูสิ ตอนผมอยู่กรุงเทพฯ ทุ่มสองทุ่มนี่ยังติดแหง็กอยู่บนถนนเลย
เก้าอี้ไม้ถูกลากมาวางชิดขอบหน้าต่างที่เปิดรับลมไว้ ผมนั่งลงบนมันและเกยคางบนมือที่ทอดบนขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีอะไรให้มอง แม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆก็..................ไม่มี
“ป่านนี้ที่บ้านคงจะไปแจ้งตำรวจแล้วมั้ง ลูกชายหายไปทั้งคน”  ผมคิด
“เอ.....หรือไม่ พวกที่นั่นก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไป” 
“หรือบางที ยังลืมไปด้วยซ้ำว่า กูกลับมาจากออสเตรเลียแล้ว”
ความคิดมากมายแล่นเข้าหัว
“ทำไม ไอ้บ้านั่นต้องโกรธกูมากขนาดนั้นด้วยวะ” ผมย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อครู่
“ไม่อยากอยู่มันแล้วเว้ย บ้านหลังนี้.................เฮ้อ  ทำไงถึงจะได้ไปอยู่บ้านหลังนั้นนะ” ผมมองไปที่หลังคาบ้านคุณชั้น ทุกทีที่เห็นมันผมก็รู้สึกอบอุ่นในใจ อย่างน้อย บ้านหลังนั้นก็ยังมีเค้าโครงบ้านหลังปัจจุบันที่ผมอยู่

“หมอ ๆ ช่วยด้วยหมอๆ”  และท่ามกลางความเงียบงันจู่ๆก็มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกดังลั่นอยู่หน้าบ้าน ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“หมอช่วย นังอาบมันด้วยหมอ”
....................................................................................

ผมแง้มประตูมองออกไปนอกห้องว่ามีอะไรเกิดขึ้น และตรงหน้าผมนั่นเองมีภาพชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กหญิงอายุราวๆสัก 12-15 ปีขึ้นมาบนบ้านในสภาพเหงื่อท่วมตัว สีหน้าซีดเผือด
หมอปีย์รีบวิ่งออกมาจากห้องโดยมีพวกบ่าวไพร่ต่างพากันออกมามุงดู เหตุการณ์ดูชุลมุนวุ่นวาย ชายคนนั้นอุ้มเด็กหญิงวางลงกลางเรือน หมอปีย์ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นตัวเกร็งกระตุกเป็นระยะๆ
ผมเปิดประตูห้องเดินออกมาดู
“ไปเอาช้อนพันผ้ามายัดปากมันเสียก่อนที่มันจะกัดลิ้นตัวตาย” หมอนั่นสั่งบ่าวคนหนึ่ง
ผมเดินเข้ามาใกล้ๆ จ้องภาพเด็กนั่นตาไม่กระพริบ เกิดมาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
“กูบอกมึงแล้วใช่หรือไม่ อ้ายฟัก ว่าให้พานังอาบมันมาหาหลวงพินิจ มึงก็ไม่เชื่อข้า กลับพามันไปหาอีหมอผีหมอปอบ เปนเยี่ยงไรเล่า” เสียงของหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่วิ่งตามทีหลังด่าทอพร้อมกับตบตีไปที่ตัวของชายคนนั้น
“ช่วยมันทีเถิด คุณหลวง ช่วยลูกข้าทีเถิด”  แววตาของชายผู้นั้นร้อนรนจนแทบจะรักษาลูกเสียเอง
“เปนมากี่เพลากันเล่า” หมอปีย์ถาม
“ก็ตั้งแต่ สองค่ำที่แล้วเห็นจะได้ ตั้งแต่มันกลับมาจากไปหาของป่ากับแม่มันนั่นแหละ” เขารีบตอบ
“คราแรก กระผมคิดว่ามันถูกผีป่าผีเขาเข้า เลยพาไปหาหมอผีที่ท้ายตลาด แต่ก็ไม่หาย  มาเมื่อหัวค่ำ มันไอเปนเลือด และชักอย่างที่เห็นนี่แหละ คุณหลวง กระผมถึงรีบพามันที่นี่”
ครู่หนึ่งบ่าวคนที่วิ่งไปเอาช้อนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง เขารับช้อนมาแล้วยัดใส่ปากเด็กนั่นทันที เด็กคนนั้นดิ้นไปมา
“ไปตามเจ้าสนมาหาเรา บอกให้เอายามาด้วย” เขาสั่งบ่าวอีกคน ก่อนที่จะหันไปหาอีกคนโดยมองข้ามผมไป
“เอ็งไปต้มน้ำร้อนใส่รากไม้รวก  รากหญ้านาง หัวแห้วหมู รากมหาระงับ อย่างละกำมือ แล้วเอามาให้เราบัดเดี๋ยวนี้”
“อุ้มเด็กเข้ามาหลบน้ำค้างในนี้เถิด” ว่าแล้วเขาก็จัดแจงที่ทาง ผมเดินตามมาดูอย่างห่างๆ
เด็กคนนั้นตัวสั่น และชักกระตุกตาเหลือก ถี่ขึ้น เธอเพ้อไม่เป็นภาษา บางครั้งบอกร้อน บางครั้งบอกหนาว ผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“เจ้า............” หมอปีย์หันมาทางผม เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว “เร่งไปเอาผ้าห่มมาให้เราเถิด” เขาพูด ผมรีบวิ่งไปเอาผ้าห่มในห้องอย่างทุลักทุเล ทันทีที่คล้อยหลังไป เสียงเด็กคนนั้นก็ไอขึ้นมาอย่างหนัก
“เลือด เลือด เจ้าค่ะ เลือด ช่วยอีอาบมันด้วยเถิดเจ้าค่า” เสียงผู้เป็นแม่คร่ำครวญ
ผมรีบเร่งฝีเท้าเข้าห้องเพื่อไปหยิบผ้าห่มออกมา แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“อีอาบ!! อีอาบ เอ็งอย่าตายนะอีอาบ ฮือๆ” เสียงผู้เป็นแม่กรี๊ดร้องขึ้น ตามด้วยเสียงเรียกชื่อลูกสาวของพ่อ ผมยืนตัวชาอยู่ในห้อง ไม่กล้าที่จะออกไปเห็นภาพข้างนอก




“ตัดอกตัดใจเสียเถิดนังสมเอ้ย นังอาบมันไปดีแล้ว” เสียงบ่าวในบ้านปลอบผู้เป็นแม่ที่ร้องไห้เสียสติไปแล้ว
ผมหอบผ้าห่มเดินตรงมายังกลุ่มคนหล่านั้น มือสั่น ขาสั่นไปหมด
“เอา ผ้าห่ม” ผมยื่นไปให้หมอปีย์ แต่ไม่ยอมมองไปที่ศพเด็กผู้หญิงคนนั้น เขารับผ้าห่มจากมือผม
“ปิดตาให้นังอาบมันเสียเถิด อ้ายฟัก” เสียงนั้นเองทำให้ผมเผลอหันไปมองภาพของเด็กหญิงคนนั้น และถึงกับอึ้ง
เธอนอนอ้าปากค้าง ตาเหลือก และเลือดไหลออกมาทั้งทางปาก หู จมูก ผมเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งกับพื้นใกล้ๆหมอปีย์
เสียงร้องไห้ของพ่อแม่ปานจะขาดใจ ผมนึกในใจนี่คนสมัยนี้เขาตายกันง่ายดายอย่างนี้เลยเหรอ
“เราเสียใจด้วยนะ ที่ช่วยอะไรลูกพวกเจ้าไม่ได้ เอามันกลับบ้านเถิด พรุ่งนี้ เราจักให้บ่าวไพร่ช่วยจัดการเรื่องศพ” หมอปีย์พูด ดูเหมือนเขาจะรับมือได้ดีกับเรื่องราวความเป็นความตายพวกนี้
แหงหล่ะก็มันเป็นหมอ ไม่ใช่เชฟอย่างผมนี่



...

บ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ตรงที่มันเงียบอย่างเดียวไม่พอ ยังวังเวงอีกด้วย ก็เพิ่งมีคนตายในบ้านหยกๆ จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรได้ยังไง
ผมมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ขดตัวอยู่อย่างนั้น เอาหมอนใบแล้วใบเล่ามันถมตัวเองไว้ไม่ให้มีช่องว่าง พอแน่นเข้าก็เสือกหายใจไม่ออก ต้องเอาจมูกโผล่ออกมาจากผ้าห่มเพื่อหายใจ พอจมูกโผล่ออกมาก็เสือกกลัวผีบีบจมูกอีก เฮ้อ บ้าบอสิ้นดี
เสียงจักจั่นเรไรเมื่อครู่ที่ไม่มีอะไรให้คิดมาก แต่ตอนนี้พอได้ยินกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเสียงร้องไห้กระซิกๆ เสียงจิ้งจกร้องทัก เป็นระยะตอนนี้กลับจินตนาการว่ามันต้องทักอะไรสักอย่าง เสียงไม้กระดานบนเรือนลั่นเอี๊ยดอ๊าดซึ่งก็เป็นปกติของบ้านไม้เก่า ก็คิดเอาว่าเป็นเสียงของใครบางคนกำลังเดินย่องเบาๆ
“บรู๋ววววววววววววววววววว” และเสียงไอ้หมาเวรตัวเดิมนี่อีกแหละที่ทำให้ความอดทนผมหมดลงในที่สุด แสงไฟจากตะเกียงสี่ห้าดวงที่ผมประโคมจุดให้สว่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันดันสว่างไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของแสงนีออน แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย
ผมจัดแจงหยิบหมอนผ้าห่มแนบจักแร้เอาไว้ มืออีกข้างถือตะเกียง
ใช่ครับ
ผมตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนห้องผู้ชาย
จะใครเสียอีกละ ก็ไอ้หมอปีย์นั่นแหละ
ทั้งๆที่โกรธมันอยู่นะ แต่ตอนนี้ ไปนอนกับคนที่โกรธ ยังดีกว่านอนกับผีละวะ ศักดิ์ศรีบางทีมันก็ช่วยให้ผีกลัวไม่ได้
ผมเปิดประตูบานไม้ออกไปเสียงเอี๊ยดดังขึ้นบาดหุเสียเหลือเกิน
สองเท้าค่อยๆย่องออกมาจากห้องและเดินไปตามทางเดิน ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเดินให้เบาเหมือนกับคนบ้านนี้เขาได้แล้วนะนี่

“นี่ นี่ หลับรึยัง” ผมกระซิบหน้าแนบประตูห้องหมอปีย์
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก หลับรึยังวะ หมอ” ผมกระซิบเบาๆอีกที ไม่อยากตะโกนให้บ่าวไพร่มันได้ยิน เดี๋ยวจะเอาไปนินทาเอาได้ว่าแอบย่องเข้าห้องผู้ชาย ดึกๆดื่นๆ
“ไอ้หมอปีย์ มึงหลับรึยัง”  โกรธแล้ว ไม่ยอมออกมาซะที ข้างนอกมืดจะตายห่า เกิดผีมันมาอยู่ข้างหลังจะทำไง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว (คนเขียนก็ขนลุก 555)

เสียงก๊อกแก๊กๆดังอยู่ข้างในแสดงว่าผู้ที่อยู่ในนั้นยังไม่หลับ
“ถ้ามึงไม่เปิดกูจะพังเข้าไปแล้วนะ” ผมทนไม่ไหวแล้ว เยี่ยวจะราดแล้ว
“เอี๊ยดดดดดดดดดด” แล้วประตูบานนั้นก็เปิดออกมา
“มีเรื่องอันใดรึ” เขาโผล่หน้าออกมา
“เอ่อ..............เอ่อ.............” ผมบิดไปบิดมา ลืมนึกหาเหตุผลที่จะมานอนกับมันไปเสียสนิท
“หากเจ้าไม่มีการณ์ใด เราขอตัวก่อน” ว่าแล้วหมอนั่นก็ดึงประตูกลับหวังจะปิด แต่ผมคว้ามันไว้ทัน
“ชั้นปวดท้อง!!!” ผมพูดโพล่งออกไป “ใช่ๆ ชั้นปวดท้องน่ะ ปวดมาก โอ้ยๆ” ทำท่ากุมท้องบิดตัวไปมา
“ชั้นขอนอนด้วยคนนะ เผื่อว่า เผื่อว่าเป็นอะไรนายจะได้ช่วยชั้นทันไง นะ นะ ก็นายเป็นหมอนี่ จริงมั๊ย แห่ๆ” ผมทำตาใส
หมอปีย์นิ่งไปครุ่หนึ่ง มองผมอย่างพินิจพิเคาระห์
“คงเพราะเจ้ากลืนข้าวไม่เคี้ยวกระมัง ถึงได้ปวดท้องเยี่ยงนี้ เจ้านี่มันดื้อด้านเสียจริง ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง เราจะเฆี่ยนเสียด้วยหวาย” มันบ่น
แต่ตอนนั้นมึงจะทำอะไรก็เรื่องของมึงแล้วหล่ะ กูไม่สนใจแล้ว ตอนนี้กูขอเข้าไปในห้องมึงก่อน เสียวสันหลังชิบหาย แมร่ง บรื๋อ
ผมเบียดแทรกตัวเข้ามาในห้อง ทันทีที่เข้ามาในห้องนี้ ความอุ่นใจก็เกิดขึ้น ห้องของหมอปีย์ นั้นดูมีอะไรมากกว่าห้องผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้องนั้นเต็มไปด้วยหนังสือมากมาย ตะเกียงถูกจุดไว้สี่มุมของห้อง และอีกดวงนึงที่หัวโต๊ะ หนังสือเล่มหนึ่งถูกกางออกมา มีปากกาจุ่มหมึกวางอยู่ใกล้ๆกับกระดาษเปล่า
“จะให้ชั้นนอนตรงไหน” ผมถามหันไปหันมา
“จะนอนตรงไหนก็เรื่องของเจ้า” มันตอบไม่ไยดี
“นี่ นายยังโกรธชั้นเรื่องเมื่อเย็นอีกเหรอ  ขอโทษก็ได้อ่ะ ขอโทษ” ผมยกมือไหว้
“เราหาได้โมโหเจ้าไม่ เพียงแต่ ไม่อยากให้เจ้าทำตัวเปนพวกฝรั่งเศส ที่ดูถูกรากเง้าของชาวสยาม เจ้าเองเปนชาวสยามแท้ๆ แต่กลับมิรู้เรื่องพวกนี้เลย เราไม่อยากให้พวกบ่าวไพร่เอาไปติฉินนินทาเอาได้ และไม่อยากให้เรื่องนี้ล่วงรู้ไปภายนอก มันจะไม่ใช่การณ์ดี”
“พูดอะไร งง” ผมว่า “ยังไงชั้นก็ขอโทษก็แล้วกัน คราวหลังสัญญาจะกินทุกอย่างที่นายกิน โอเค๊” ผมยิ้ม
“ว่าแต่ ทำไมนายถึงจงเกลียดลงชังฝรั่งเศสนักหล่ะ ดูนายก็ไม่เหมือนไทยแท้ซะหน่อย ออกจะฝรั่งจ๋าขนาดนี้” ผมถาม
“ถึงเราจักมีใบหน้าเป็นพวกฝรั่ง แต่จิตวิญญาณเราเปนสยาม เรามิยอมให้ชนชาติจากโพ้นทะเลเหล่านั้น มาเอาจิตวิญญาณของเราไปดอก” มันพูดเม้มปากแน่น ผมไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น มันถึงได้เกลียดฝรั่งเศสเอามากๆ แต่เท่าที่เรียนมาตอนม.ปลายนั้น ไทยเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสเกือบค่อนประเทศ ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้วเหมือนเราโดนกลั่นแกล้ง
“เอาหล่ะๆ ว่าแต่จะให้ชั้นนอนตรงไหน” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นมันเครียดจัด
“นอนบนเตียงเรานั่นแหละ” มันบอก
“อ้าว แล้วนายหล่ะนอนไหน”ผมถาม
“ไม่ต้องเป็นห่วงเราดอก เรือนนี้เป็นเรือนของเรา เราจักนอนที่ไหนก็ได้”  โธ่ ไอ้หมอ กูไม่ได้ห่วงมึง กูก็แค่ถามพอเป็นพิธีไปอย่างนั้นแหละ อีกอย่างที่กูมานอนห้องนี้ก็เพราะอยากมีเพื่อนนอนด้วย  ถ้สมึงไปนอนซะที่อื่น แล้วกูจะมานอนห้องนี้ทำไม
“ไม่เป็นไรหรอก เรานอนข้างๆเตียงนายก็ได้ เราแมนๆ นอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว”  แมนมาก กลัวผีจนนอนห้องตัวเองไม่ได้ แมนมาก
ผมจัดแจงปูผ้าที่หอบมาจากห้องพร้อมหมอนเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของหมอปีย์
“ทำอะไรอ่ะ” ผมถาม เมื่อเห็นมันกำลังคร่ำเคร่งกับตำราภาษาอังกฤษ
“ไม่มีอะไรดอก เจ้าไม่ปวดท้องแล้วรึ”  อ่าว ลืม นึกขึ้นได้ว่าต้องปวดท้อง
“อ๋อ  เอ่อ โอ้ยๆ ปวดท้อง แต่ปวดนิดหน่อยทนได้” ผมยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่
“นายไม่ตกใจเรื่องเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้เหรอ” ผมถามนั่งลงใกล้มัน
“ไม่ดอก เราเห็นมานักแล้ว คนเป็นหมอ ต้องหนักแน่นกับเรื่องเจ็บเรื่องตาย หน้าที่ของเราคือรักษาคนให้หาย”
“ใจดำ” ผมบ่นพึมพำ
“เจ้าจะว่าเราอย่างนั้นก็ไม่ผิดดอก ตั้งแต่เราเห็นพ่อกับแม่เราตายไปต่อหน้าต่อตา เราก็ไม่เสียน้ำตาให้กับการสูญเสียใดๆอีกเลย”
ผมนิ่ง.........................................................................

แววตาของมันกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง เมื่อต้องแสงตะเกียง จมูกที่เป็นสันรับกับริมฝีปากที่อวบอิ่ม  ส่วนประกอบบนใบหน้านั้นช่างลงตัวที่สุด นี่ถ้ามาอยู่ในยุคผมนี่ เป็นดาราได้เลยนะนี่
“มองอันใด”
“หา” ผมสะดุ้ง “ปล่าวๆ แหะๆ กำลังทำอะไร”
“เรากำลังแปลหนังสือทางการแพทย์ตะวันตกน่ะ หมอเจอราร์ทท่านสั่งไว้ก่อนที่จะไปประจำการที่บ้านขุนวรจักรวงศา”
“ไหนดูสิ” ผมถือวิสาสะ ดึงหนังสือเล่มนั้นมา
“โรคติดเชื้อ  Infectious disease เป็นโรคซึ่งเป็นผลจากการมีเชื้อจุลชีพก่อโรค อาทิไวรัส แบคทีเรีย รา โพรโทซัว ปรสิต หรือแม้กระทั่งโปรตีนที่ผิดปกติเช่นพรีออน เชื้อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโรคในสัตว์หรือพืชได้ โรคติดเชื้อจัดเป็นโรคติดต่อ Contagious diseases, Communicable diseases เนื่องจากสามารถติดต่อไปยังบุคคลอื่นหรือระหว่างสิ่งมีชีวิตในสปีชีส์เดียวกัน   การติดต่อของโรคติดเชื้ออาจเกิดได้มากกว่า 1 ทาง รวมถึงการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง จุลชีพก่อโรคอาจถ่ายทอดไปโดยสารน้ำในร่างกาย อาหาร น้ำดื่ม วัตถุที่มีเชื้อปนเปื้อน ลมหายใจ หรือผ่านพาหะ”
ผมอ่านโดยที่แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มนั้นอย่างคล่องแคล่ว หมอนั่นทำหน้าอึ้ง อ้าปากค้าง
“อึ้งล่ะซี้ เก่งใช่มั๊ยหล่ะ” ผมยิ้ม ยักคิ้วหลิ่วตา
“เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใด” เขาถาม
“ก็บอกแล้วว่าสมัยชั้นน่ะ เราเรียนกันแบบ Biligual สองภาษา ภาษาไทยกะภาษาอังกฤษ”
“สมัยเจ้า เราเป็นเมืองขึ้นของบริเตนแล้วรึ” เขาทำหน้าตกใจ อะไรจะ sensitive ขนาดนั้น
“ปล่าว เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นใครทั้งนั้นแหละ เราเป็นเอกราชมาตลอด แต่ยุคของชั้น การสื่อสารไร้พรมแดน เราติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนไม่เพียงแต่สิ่งของ แต่รวมทั้ง ความรู้และวัฒนธรรมด้วยนะ”
“เหมือนที่เราค้าขายไม้สักที่หัวเมืองเหนือกับพวกบริเตนกระนั้นรึ”
“ประมาณนั้นแหละ แต่ว่า มันง่ายกว่านั้น ชั้นก็ไม่รุ้จะอธิบายยังไงนะ แต่............” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง
“นายเชื่อชั้นแล้วใช่ป่าวว่าชั้นมาจากโลกอนาคต”
หมอปีย์ไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และอาการลังเล
“สมัยชั้นน่ะ เราไม่ต้อง...................”
“พอเถิด” ผมยังไม่ทันพูดจบ หมอนั่นก็ขัดขึ้นมา “เจ้าไปนอนเสียเถิด ดึกแล้ว” เขาไล่
“แต่ชั้นยัง.................”
“เราอยากทำงานเงียบๆ” เขามีน้ำเสียงเข้มขึ้นมาอีกแล้ว
“ตามใจแล้วกัน มีอะไรให้ชั้นช่วยก็บอกนะ” ผมว่า ก่อนจะเดินไปที่ที่นอน ล้มตอนลงนอนบนพื้นไม้กระดานแข็งโป๊ก
เมื่อไม่ต้องคอยมากังวลเรื่องผีเรื่องสาง ผมก็หลับได้ไม่ยาก
.
.
.

.
.
.
.
.
.
.
เวลาผ่านไปแค่ไหนไม่รู้ที่ผมผล็อยหลับไป แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีผ้าอุ่นๆมาคลุมร่าง ผมลืมตาขึ้นมอง หน้าของหมอปีย์ลอยอยู่ตรงหน้า เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ห่มผ้าเสีย อากาศหนาวเดี๋ยวเจ้าจักไม่สบาย” ผมยิ้มตอบพลางพยักหน้า นึกขอบคุณเขาใจ และผล็อยหลับไปอีกครั้ง






















                     เสียงดนตรีหนักหน่วงดังอยู่รอบตัว แสงไฟหลากสีส่องแสงวิบวับวิบวับ ผู้คนมากมายห้อมล้อมอยู่รอบตัวผม พวกเขากำลังเต้นรำปล่อยอารมณ์กันสุดเหวี่ยง ผมจำพวกนี้ไม่ได้หรอก ว่าเป็นใคร เพราะผมเมา นี่บอกกันตรงๆไม่ได้แอ๊บเลยว่าผมเมา
                   ก็นับจากวันที่ถูกผู้หญิงคนนั้นบอกเลิกโดยไปคั่วกับผู้ชายที่เคยมาจีบผมนั่นแหละ งงมั๊ย งงสิ เพราะโลกร้อนละมั้ง อะไรหลายๆอย่างที่นี่เลยเปลี่ยนไป
 วันนั้นผมเมามายกลับบ้านมา และมาโวยวายอยู่หน้าบ้านอาที่ขี้งก  โลภ รวมหัวกับผัวหนุ่มอยากจะฮุบสมบัติของหนูวาด  ยายทวดของผม ผมโวยวายเสียงดังจนถูกพวกเขาจับมามัดขังไว้ที่เรือนครัวหลังเก่าหลังบ้านนี่แหละ และที่นั่นเองที่ผมเผลอหลับไปและฝันประหลาดๆ ฝันถึงคนโบราณ บ้านเมืองสมัยโบราณ บ้าบอคอแตก แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งเช้าก็พบว่าตัวเองนอนคดขู้อยู่ในเรือนเก่าหลังนี้
                 หลังจากวันนั้นผมก็ใช้ชีวิตเหลวแหลกไปตามประสาพวกเสเพลธรรมดาทั่วไป กิน ขี้ ปี้ นอน ไปตามประสา ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่กลับไปเรียนให้จบ ไม่สนใจร้านอาหารไทยของแม่ที่บ้าน ไม่เอาอะไรทั้งนั้นละเว้ย
                คืนนี้ก็เช่นเดียวกันที่ผมออกมาสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันจากการดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ Cowgirls เมื่อสองคืนก่อน ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรอก แค่คุยกันรู้เรื่อง พวกมันเป็นลูกคนมีกะตังส์เหมือนกัน เราจึงคุยกันถูกคอ
              “เฮ้ย มึงไปต่อที่คอนโดกูมั๊ยวะ หิ้วน้องเจนไปด้วย”  ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินกอดคอคลอเคลียกับศึกษาสาว มหาลัยชื่อดังที่เธอบอกว่า เธอไม่เคยเที่ยวที่แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
“ถุย กูคงเชื่อมึงหรอกนะ หึ เห็นท่ามึงซดเบียร์กูก็เดาออกแล้ว ว่าอย่างมึงนะ เขาไม่เรียกไม่เคยหรอกเว้ย เขาเรียกช่ำชอง” ผมบ่นในใจ แต่มันจะเสียหายอะไรกันเล่าในเมื่อเด็กมันบอกอย่างนั้น ผมก็ต้องเชื่อ จริงมั๊ย เด็กมันเสนอมา เราก็ต้องจัดไปอย่าให้เสีย
เสียงรถ Porsche รุ่น Cayenne ที่กระหึ่มด้วยลูกสูบเต็มพลังแน่นเปรี๊ยะนั้น ทำให้คนในลานจอดรถต้องเหลียวมอง ผมยิ้มมุมปาก ก่อนจะกระชากตัวอย่างแรงโชว์ความเก๋าของรถรุ่นนี้ให้เป็นบุญตาของพวกไม่มีจะขับเหล่านั้นได้อึ้ง ทึ่ง เสียวกันสักครั้งในชีวิต
            ราตรีของกรุงเทพฯยามตีสองนี้ ช่างแตกต่างจาก ราตรีของสยามยามสองทุ่มเสียจริง ที่นี่ถึงแม้จะตีสอง แต่ก็ยังมีแสงไฟสว่างจ้า รถราแล่นกันให้ขวัก ให้รู้ว่าเรายังมีเพื่อนนอนดึกอยู่บนถนนอีกมากมาย รถพาผมแล่นมาจอดยังคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหล่าพวกไฮโซเหล่านั้นต่างพากินหิวสาววัยแรกรุ่นกันคนละคนสองคนขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น Balcony ของคอนโด ท่าทางจะรวยจริง เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่มีปัญญาอยู่คอนโดหรูๆแบบนี้ และห้องสุดพิเศษแบบนี้หรอก
           “เฮ้ย คืนนี้มีของดีเว้ย  ไม่อั้น ไม่อั้น”
   “เฮ้ย มึงหามาได้ไงวะสัตว์ ได้ข่าวช่วงนี้ตำรวจแม่งเข้ม ของขาด”
  “อ้าว ไอ้เหี้ย มึงไม่รู้เหรอว่าพ่อกูเป็นใคร นี่”  ชายคนนั้นชี้ไปที่รูปพ่อของมัน “พ่อกูเป็นพ่อของตำรวจอีกทีเว้ย”
เสียงหัวเราะดังลั่นห้อง  ต่างคนต่างจัดแจงหาที่เหมาะๆ แล้วลงมือปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน
ผมนั้นถึงแม้จะเสเพลไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องไอ้ของพรรค์นั้น ปล่อยให้พวกมันจัดการกินขนมกันอย่างเมาส์มัน ส่วนผมขอแยกมาอยู่กับน้องเจน แม่สาวไร้เดียงสาที่ใส่ชุดชั้นในสีชมพูแซมด้วยลูกไม้สีดำดีกว่า
“อยากไปสนุกกับพวกนั้นมั๊ยคะ” ผมพูดเสียงออดอ้อน
“ไม่อาวอ่ะ เจนไม่เคย เจนขออยู่กับพี่ปอดีกว่า” ว่าแล้วเธอก็เอาหน้าซุกแผ่นอกของผมก่อนจะทำตัวสั่นระริก ผมกอดเธอแน่น
กลิ่นน้ำหอมนั้นหอมเย้ายวนเหลือเกิน ถึงแม้มันจะเป็นกลิ่นที่ผมไม่ปลื้มอยู่บ้าง แต่เมื่อรวมกับกลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า และเหงื่อเข้าไป มันก็ทำให้ผมใจเต้นรัวได้ไม่น้อย
“กลัวเหรอคะ หึ มามะ เดี๋ยวพี่ปอจะทำให้หายกลัว” ว่าแล้วผมก็ช้อนคางของน้องเจนขึ้นมา เธอมองตอบด้วยแววตาไร้เดียงสาที่ทำได้ไม่ยาก แค่ big eye สีน้ำตากลมโตคู่เดียว ก็ทำให้น้องเจนผู้เจนโลกของผมคนนี้ กลายเป็นนู๋เจนผู้เดียงสาในบัดดล
ผมระดมจูบเธอทั่วไปหน้า และริมฝีปาก มือทั้งสองข้างกอดเธอแน่น ริมฝีปากที่อวบอิ่มนั้นละเลงแลกหมัดกับริมฝีปากผมอย่างเมามันส์
“คืนนี้เป็นของพี่นะคะ” ผมขอ เธอพยักหน้าทำเสียงงุ๊งงิ๊ง
“ไม่เอานะคะ พี่ปอ อย่าค่ะ ตื่นเถอะ คะ ตื่นเถอะ” เธอพยายามผลักผมออกมา แต่ผมรู้นิสัยผู้หญิงดี
“อย่านะพี่  ไม่เอาน่า ตื่นได้แล้ว” แล้วเธอก็บอกให้ผมตื่นเป็นรอบที่สอง
“จะตื่นอะไร พี่ยังไม่ได้หลับเสียหน่อย” ผมไม่ยอม
พวกข้างนอกเริ่มเงียบเสียงลง ผมเดาเอาว่าพวกมันก็คงปฏิบัติภารกิจคล้ายๆกับผมอยู่เหมือนกัน
ผมพยายามเล้าโลมเธอให้เธอมีอารมณ์ ขาทั้งสองข้างเกี่ยวก่ายไปมา มือนั้นก็ควานเข้าไปในเสื้อนักศึกษาสีขาวแล้วค่อยๆคลึงเค้นปถุมถันที่สู้มือไม่น้อย เธอร้องครวญครางในลำคอเบาๆ
ผมระดมจูบไล่ลงมาจากหน้าผาก จมูก เรื่อยลงมาจนถึงแก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง เอ๊ะ ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆกับแก้มของเธอ มันไม่เหมือนแก้มนิ่มๆของผู้หญิงทั่วไป ผิดจากนั้นยังรู้สึกสากๆเสียด้วยซ้ำราวกับเจนเพิ่งโกนหนวดมา
นอกจากนั้นหน้าอกที่เคยอวบอิ่มนุ่มนิ่มของเธอตอนนี้กลับแข็งโป๊กราวกับเจนไปเล่นกล้ามมา ผมค้างมือไว้ครู่หนึ่ง
ค่อยๆลืมตามองหน้าเจน

ค่อยๆลืมตา
เสียงสว่างเรื่อๆแยงตาทำให้ผมต้องหรี่ตาปรับสายตา
เจน
เจน
ผมกระพริบตาถี่ๆ
เจน
และในที่สุดผมก็ลืมตาขึ้นมองหน้าเจนอย่างเต็มที่

“แหว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ไอ้หมอปีย์”
“เจ้ยยยยยย”
 ผมตะโกนลั่นห้อง ภาพหมอปีย์นอนตัวแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้ามือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ที่หน้าอก ตัวสั่นงกๆ โดยมีผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง ขาทั้งสองข้างพันขามันแน่น มือก็กำลังตะปบอยู่ที่หน้าอก ส่วนหน้าผมนั่น จ๊าก ไม่อยากจะบรรยาย
“ไอ้หมอบ้า มึงมาทำอะไรตรงนี้” ผมดีดตัวออกจากหมอนั่นอย่างรวดเร็วจนเกือบตกเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างของตัวเอง จะทำไปทำไม
“เรา เอ่อ.........” เขาพูดตะกุกตะกัก
“มานอนบนเตียงได้ยังไง” ผมเค้นถาม
“เอ่อ นี่มันเตียงเรา แล้วเจ้าก็เปนผู้ที่ปีนขึ้นมานอนบนนี้เอง” เขาพูดน้ำเสียงอายๆ
ผมมองไปรอบๆ พยายามรวบรวมความคิด เออ ใช่นี่หว่า เมื่อคืนกูมาอาศัยนอนห้องมัน และนั่นก็เป็นที่นอนของกู
“ไม่รุ้หล่ะ แล้วทำไมไม่ปลุก”
“เราปลุกเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ตื่น”
“แล้วนายทำอะไรชั้นมั่ง”
“เรามิได้ทำอันใดเจ้าแม้แต่น้อย  เจ้าต่างหากที่.............” เขามองไปที่หน้าอกตัวเอง
“ไอ้บ้า ไอ้  ไอ้ ทะลึ่ง” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนั้นรู้สึกเลือดมันฉีดขึ้นหน้าจะหน้าแทบระเบิด ยืนหันไปหันมา
“ออกไปสิ มานั่งอยู่ทำไม” ผมเอ่ยปากไล่
“แต่นี่มันห้องของเรา” หมอนั่นพูดเสียงอ่อย
“อ้าว เอ่อ ก็ได้ ชั้นไปเองก็ได้” ผมเดินไปคว้าผ้ากับหมอนที่เอามาเมื่อคืน ก่อนจะหันหลังไม่ทันระวังหัวไปชนเข้ากับเสาเตียงที่ไว้ผูกมุ้งเสียงดังปัง ล้มแผละลงบนเตียง............อีกครั้ง หมอนั่นรับผมไว้ทัน ผมมองหน้ามัน
“น้องเจน ทำพี่แสบจริงๆ” ผมกัดฟันกรอด ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทืบเท้าเดินออกไปอย่างหัวเสียบวกกับเสียหน้าอย่างมากด้วย
“นายห้ามเอาเรื่องคืนนี้ไปเล่าห้ใครฟังนะเว้ย ไม่งั้น..............ตาย” ผมหยุดหันหลังพูดกับมัน
“อ้อ แล้ว..........................หากเกิดอะไรขึ้นมา ชั้น เอ่อ........” ผมนิ่ง  “ชั้นรับผิดชอบเอง”
........
........
........
.......
“รับผิดชอบเอง รับผิดชอบเอง เหี้ยเอ้ย พูดไปได้ยังไง มึงจะบ้าเหรอไอ้ปอ” ผมเขกหัวตัวเอง โกรธที่พูดออกไปไม่คิดแบบนั้น
“พ่ออัช” หมอนั่นเรียกก่อนที่ผมจะเปิดประตูห้องออกไป
“เจ้าเร่งอาบน้ำอาบท่าเข้าเถิด เราจะพาเจ้าไป.............ตลาด”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
 :o8: น้องเจนคงงงว่าเกี่ยวไรกะเจน  :m20:

ออฟไลน์ Anonymus

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-1
อ้างถึง
ภาพหมอปีย์นอนตัวแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้ามือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ที่หน้าอก ตัวสั่นงกๆ

อร๊ายยยยยยย หมอปีย์อายน่ารักน่ากดมาก   :-[อัช! แกปล่อยไปได้ไงฟระ  ไม่เลยตามเลยไปเล่า

ปั๊ดโธ่! ไม่ได้เรื่องจริงๆเจ้าอัช :z3: :z6: โทษฐานขัดใจแม่ยก

   

อ้างถึง
น้องเจนทำพิษซะแล้ว   


อยากอ่าน part  หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  หมอปีย์คนดีค้าบ  ออกมาเล่ามั่งไรมั่งเห้อ   :z1:
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2010 22:14:14 โดย Anonymus »

Rinze

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
 :m20: :m20: :m20:

น้องเจนทำพิษซะแล้ว   


อยากอ่าน part  หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ n2

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +113/-4

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
จากกลัวผี... น้องเจนพางานเข้าซะแล้ว  :laugh:
สงสารหมอปีย์
+1

Killua

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
อ่านตอนแรกๆทั้งอึมครึมทั้งเครียด o22
แต่ตอนหลัง :m20: :laugh: :pigha2:
หมอปีย์ช่างน่ารักน่าดูเอ็น  เอ้ย!!  เอ็นดู
อัชน่าจะฝันต่ออีกสักหน่อยน่า :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
:m20: :m20: :m20:

อยากอ่าน part  หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่

 :กอด1: :กอด1:

เห็นด้วยอย่างแรง

ออฟไลน์ ลูกลิงแสดงตัว

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
:m20: :m20: :m20:

อยากอ่าน part  หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่

 :กอด1: :กอด1:

เห็นด้วยอย่างแรง

ยกมือสุดแขนสนับสนุนด้วยคน  แหม..ฝันต่ออีกนิดนึงก็ได้เลือดแล้ว  :m25:

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
 :haun4:

จิ้นไปซะไกลเลยอ่ะ
แล้วตกลงหมอรับเหรอ  :m20:
อ่านมาตั้งนานเพิ่งรู้ :z3:

aimaim

  • บุคคลทั่วไป
มีสิทธิ์เป็นปได้สูงนะค่ะว่าคุณยายทวดจะรู้ว่านายปอองเราคือเหลนตัวเอง ถึงได้สอนให้เรียกตัวว่าหนูวาดน่ะ แต่คงไม่ได้บอกอะไรแค่สอนให้เรียกแบบนี้เฉยๆ เหมือนที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมีคนเรียกล่ะมั้ง คิกๆ แต่หมอปีย์เกือบเสียหนุ่มไปแล้วสินะ คิกๆ

ออฟไลน์ vassalord4822

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :-[  รักคนแต่งมากมาย มาต่อไวไวนะ รอ รอ รอ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
เริ่มตอนมาแบบเศร้า จบนี่ทำฮาแทบกรามค้างเลยค่ะ :jul3:

หมอปีย์เกือบเสียหนุ่มซะละ  :m20:
เอ๊ะ แต่แบบนี้เขาถือว่าเสียผีแล้วรึป่าวพ่ออัช รับผิดชอบตามปากว่าด้วยนะ :laugh:

ออฟไลน์ konnarak

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-0

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
อาการของไข้ป่า ถ้าเป็นสมัยนี้ ถือว่าจิ๊บ ๆ แต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง คงเป็นโรคร้ายแรงมาก
บทจะจบตอนก็  :jul3: ฝันหนอฝัน นายฮัช :m25:
+1 ขอบคุณสำหรับตอนนี้ครับ พี่หนึ่ง

jomjai

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งตามมาอ่านคับ
ชอบฉากเจ้าแดงมากเลยคับ
น้ำตาคลอเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด