A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118593 ครั้ง)

taem2love

  • บุคคลทั่วไป
ผู้เขียนสื่อสันดารตัวละครแบบถึงพริกถึงขิงกับลักษณะที่เจ้เรียกว่าเดนมนุษย์ยุคปัจจุบันได้ดีมาก

เห็นแก่ตัว มั่วโลกี เสพอบายมุข เสพติดวัฒนธรรมตะวันตก ผ่านนายอัชได้แบบน่ารังเกียจสุดๆ :angry2:

เนี่ยแหละค่ะคนในสังคมปัจุบันที่เราต้องเผชิญ อยากกลับไปอยู่อย่างพอเพียงแบบนี้จัง

อยากบอกว่าเป็นเรื่องแรกเลยที่อ่านแล้วรังเกียจนายเอก(หวังว่าใช่) :beat: อินจัดมากๆ


ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
เล่นเอา หมอปีย์ อึ้งเลย 55555555555555 ฟัดเค้าซะขนาดนั้น

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
น้องเจนทำพ่ออัช ซวยแล้ว 55+ มาต่อไวๆๆนะคะ

ออฟไลน์ Mitra

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คุณหมอเกือบไปนะ
อิอิ
เกือบโดนพ่ออัชบุกรุกซะแล้วสิ
อิอิ

รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ

littleFiNgeR

  • บุคคลทั่วไป

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
อ๊ากกกกกกกก  :m20: :m20:

เกือบแล้วๆ ฮ่าๆ

รอตอนต่อไปจร้า

ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0

ออฟไลน์ Anonymus

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-1

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :laugh: 

เกือบไปแล้วน๊าาา :jul3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
ไม่น่าจะรีบเช้าเลย :man1:
เสียดายจัง...เนอะหมอปีย์ :impress2:
+1 ครับ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5

ิbadbad

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมาก
แอบหลงรักหมอปรีย์เข้าเต็มเปา

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

ออฟไลน์ Anonymus

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-1
ตามมาดัน  นิยายเรื่องโปรด :m1:

ร่วงไปหน้า 2 แร้ว :c4:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
รออ่านอยู่นะครับผม ชอบเรื่องนี้มากเลย  :L2:

tatar*

  • บุคคลทั่วไป
ตามกระแสเข้ามาอ่านค่ะ ><

ชอบหมอปีย์ง่ะ

นายอัชของเราอินโนเซนต์ได้โล่มากก!


รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ =]

JipPy

  • บุคคลทั่วไป
น้อง เจน น้อง เจน


เป็น หมอ ปรีย์ หมอ ปรีย์

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
บทที่ ๑๒ เราจักมิปล่อยให้เจ้าคลาดสายตา



ผมหอบผ้าห่มกับหมอนเดินออกมาจากห้องหมอปีย์ท่ามกลางสายตาของคนงานที่จับจ้องผมราวกับว่าผมย่องไปข่มขืนเจ้านายพวกเขานั่นแหละ
ซึ่งเอ่อ จริงๆแล้วก็...........ไม่เชิงข่มขืนหรอก ก็แค่เผลอใจ ............ไม่สิ ฝันไป หรือเอ่อ ลืมตัว หรือ อะไรก็ตามแต่ ช่างหัวมันเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องเมื่อคืนผมไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย
บรรดาคนงานต่างขะมักขะเม้นเช็ดเรือน พวกเขาเหล่านั้นทำงานเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าวันละหลายๆรอบ ใครมีหน้าที่ทำอะไรก็จะทำอยู่ทั้งวัน คนที่ขัดพื้นก็จะขัดเสียจนมันวับ



“วันนี้ดูท่าทางฟ้าฝนจะตกเป็นห่าลงเป็นแน่” หมอปีย์เดินอมยิ้มออกมาจากห้องและทักทายเมื่อเห็นผมยืนรออยู่ก่อนในชุดบ่าวผู้ชายที่ร่างกายมอมแมม
“ครั้งเดียวเกินพอ ชั้นไม่ใช่ควายที่ไม่รู้เรื่องอะไรของที่นี่เลย” ผมว่า
“ดีแล้วที่เจ้าหัวไว เราจะได้ไม่เหนื่อย” เขาว่า

หลายวันที่ผ่านมากับการอยู่ ณ สยาม เวลานี้ของผม เป็นช่วงเวลาที่ผมสนใจตัวเองน้อยลง ผมไม่ใคร่จะใส่ใจว่าผิวหน้า ผิวกายจะไหม้เกรียมแค่ไหนกับช่วงกลางวันที่แดดร้อนแรง ผมไม่สนใจที่จะใส่เสื้อผ้าเรียบหรูราคาแพง เพราะคนที่นี่เขาใส่เหมือนกันหมด ไม่ใคร่จะใส่ใจประทินผิว น้ำหอมหรือครีมบำรุงเพราะคนที่นี่ไม่ทำสิ่งพวกนั้น
เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ผมคิดได้ว่า ............คนเราเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม
“มีเศษดินเปื้อนที่แก้มเจ้าน่ะ” หมอปีย์มองมาที่แก้มผม เขาตั้งใจจะปัดมันออก
“อาอ่ะ อย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องแก้มเนียนๆของชั้น ดินนี่ชั้นเอามาทาเอง” ผมโบกมือไปมา “คราวที่แล้วปล่อยให้พวกนายมาละเลงตัวชั้นเล่น จนหนังชั้นลอกออกมาเป็นแผ่นๆ ยังแสบไม่หาย”


“จักไปไหนกันหรือขอรับ” เสียงนายสนเดินทักมาจากด้านหลัง
“อ้อ สน เราจักพาเจ้าบ้าไปตลาด” หมอปีย์ตอบ
“ยามนี้นะหรือขอรับ”
“ใช่ ยามนี้นี่แหละ ทำไมรึ”
“กระผมเพิ่งได้ข่าวจากพวกเจ้าทองใบว่าแถวตลาดมีพวกซ่องโจรอั่งยี่อาละวาดน่ะขอรับ ไปยามนี้เกรงว่าจักไม่ปลอดภัย”
“จักต้องเกรงกลัวอันใดกันเล่า นี่บ้านเมืองเราแท้ๆ อีกอย่างกลางวันเช่นนี้โปลิสก็มี คงไม่มีเรื่องอันใดร้ายแรงหรอกกระมัง”
“ขอรับ”
“เราฝากพวกเรือนหลังสวนด้วยนะ บ่ายคล้อยจักกลับมา”
แล้วผมกับหมอปีย์ก็ออกเดินทางตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตลาด น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่เอารถเกวียนไป อาจเป็นเพราะตลาดอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ด้วยมั้ง

   ตลาดยามเช้าของที่นี่แตกต่างจากที่บ้านผมเป็นไหนๆ คนสมัยนี้ขายของโดนการเอาของวางบนพื้นโดยใช้ใบตองรองมั่งหล่ะ วางบนแคร่มั่งหละ ผู้คนมากมายเดินจับจ่ายใช่สอย เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ ต่างคนต่างทักทายกันไปมา จนบางครั้งผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนพวกนี้เขารู้จักกันทั้งตำบลเลยหรือไงนี่
“ปลากริมไข่เต่ามั๊ยจ๊ะ พ่อหนุ่ม”
“ขนมรวงผึ้งก็มีนะจ๊ะ”
“ขนมครกจ้า ขนมครก”
“ปลาส้มจากไหเลยนะจ๊ะ”
“แหนมอร่อยๆจ้า แหนมจากหัวเมืองเหนือเลยนะจ๊ะ”

เสียงตะโกนเชื้อเชิญให้ซื้อของดังเป็นระยะๆ
“นาย นาย” ผมกระซิบเรียกหมอปีย์ “ชั้นอยากกินหนมครกอ่ะ” ผมทำท่าลูบท้องหิว
“เอาสิ เราก็หิวเหมือนกัน”
“ยายเอาหนมครกหน่อย” ผมบอก คนขายหันมายิ้มหวานกับผม เธอใช้จวักที่ทำมาจากไม้กวนแป้งสีขาวนวลที่อยู่ในหม้อดินเสียงแดงแครกๆ ก่อนจะใช้กาบมะพร้าวชุบไข่กับน้ำมันทาไปที่หลุมขนม ผมยืนดูอย่างตั้งใจในขณะที่หมอปีย์เดินไปดูรากของไม้บางอย่าง
"ยายทำไมเอาไข่ทาด้วยหล่ะ” ผมถาม
“อ้าว ก็ไม่ให้มันติดหลุมสิพ่อหนุ่ม แล้วไข่นี่นะ ก็ทำให้หอมแล้วก็สีน่ากินด้วยไงเล่า” ยายว่า
ผมยืนมองแกอย่างตั้งใจ ยายบรรจงตักแป้งใส่หลุมหลุมละครึ่งจนหมดก่อนจะปิดฝาด้วยฝาดินเผาครู่ใหญ่
“ไม่ใส่ให้เต็มหล่ะยาย” ผมถาม
“ประเดี๋ยวจะใส่หัวกระทิ จะได้มันๆเค็มๆ” ว่าแล้วแกก็เปิดฝาหลุมขนมครกออก ควันลอยกรุ่น แล้วยายก็ตักหัวกะทิกลอกใส่ที่ละหลุมจนเต็ม
“โห เมื่อไหร่จะได้กินหล่ะเนี๊ยะ” ผมบ่น เพราะยิ่งดูก็ยิ่งหิว
“อยากกินของอร่อยมันก็ต้องรอหน่อยสิวะ ขนมครกข้านี่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งบางเลยนะจะบอกให้” แกยิ้ม
“โหแล้วขายแบบนี้เมื่อไหร่จะรวยลละยาย”
“จะรวยไปทำไมกัน ข้ามาข้ามิได้หวังรวย อยู่บ้านเมืองนี้จะรวยไปทำไม ของกินของใช้มีไม่ขาด ไม่อดไม่อยาก”
“จ้า แม่คนมีอุมการณ์ในชีวิต” ผมแซว ยายใช้ช้อนเขียวแกขนมใส่กระทงที่ทำมาจากใบตองเย็บอย่างปราณีตที่ละอันจนเต็มก่อนจะยื่นให้ผม
“อัฐหล่ะพ่อหนุ่ม”
ผมทำหน้างงๆ
“กระไรกัน มาซื้อของไม่มีอัฐ นายเอ็งมิได้ให้อัฐมาดอกรึ”
“อ๋อ เงินเหรอ ชั้นไม่มีอ่ะ” ผมยิ้ม  แต่ยายสิ ไม่ยิ้มกับผม
“อ่ะ นี่จ่ะ ยาย อัฐ” ก่อนที่ผมจะโดนแพ่งกบาลด้วยจวัก หมอปีย์ก็เดินมายื่นเงินให้ยายนั่นไป ผมรับขนมมา
“อูย ร้อนๆ”
“ถือดีๆสิ ประเดี๋ยวก็หล่นไม่เป็นอันได้กินกันพอดี” หมอปีย์ดุ
“ก็มันร้อนนี่หว่า ถือเองสิ” ผมยื่นขนมให้ เขาส่ายหัวด้วยความเอือมระอา ก่อนจะรับมันมาไว้ในมือ
“อูย ร้อนๆ” แล้วก็บ่นเหมือนผม
“เป็นไงหล่ะ เอามานี่ เดี๋ยวแม่งหล่นอดแดกกันพอดี” ผมดึงขนมกลับมา
ขนมครกชิ้นแรกถูกหยิบขึ้นมา สัมผัสแรกที่รู้สึกได้คือความนุ่มของแป้งที่พอหยิบแล้วไม่เละคามือ กลับเด้งดึ๋งอย่างน่าประหลาด ไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากตรงกลางนั้น ทำให้ผมต้องเป่าอยู่ครู่ใหญ่ จนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ร้อน จึงหยิบเข้าปาก
“อืม” ผมค่อยๆบรรจงเคี้ยวอย่างระมัดระวัง
“อืม” รสชาตินุ่มละมุนลิ้นของแป้งบวกกับความหอมกลิ่นไหม้จากไข่ และความันเค็มปะแล่มๆจากกะทิทำให้ขนมครกของยายคนเมื่อกี้อร่อยจนแทบจะกินทั้งใบตอง

“อร่อยมากเลยว่ะ ชิมดิ” ผมยื่นให้หมอปีย์
เขาหยิบขนมครกไปชิ้นหนึ่งก่อนจะโยนใส่ปากโดยไม่เป่าก่อน
“อูยๆ ร้อนๆ “ ไอร้อนจากขนมพวยพุ่งออกมาจากปากเขา เขาอ้าปากพ่นควันออกมา มือทั้งสองพัดไปมาอย่าทุรนทุราย
“ทำไมไม่เป่าให้เรา” เขาพูดน้ำหูน้ำตาไหล
“อ้าว ทำไมชั้นต้องเป่าให้นายด้วย” ผมว่าก่อนจะหยิบอีกชิ้นขึ้นมา
“อ้าว  ปกติบ่าวไพร่มักจะทำให้เราเยี่ยงนี้” เขาโอดครวญ
“แต่กูไม่ใช่บ่าวมึง แค่กูแต่งตัวนี่ก็เกินพอและ อย่าให้กูต้องฝืนอะไรไปมากกว่านี้เลย” ผมว่า ก่อนจะเดินหายไปกับฝูงชน


...
   ผมทิ้งหมอนั่นไว้ข้างหลัง โดยที่ตัวเองยังคงถือขนมครกอยู่ในมือเดินสำรวจของภายในตลาด ของที่ชาวบ้านที่นี่เอามาขายจะเป็นพวกผัก ผลไม้ ปลา ไก่เสียมากกว่า ไม่ค่อยเห็นหมู หรือเนื้อสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะสมัยก่อนการที่จะล้มหมูล้มวัวสักครั้งต้องเป็นงานใหญ่จริงๆ ชาวบ้านถึงจะล้มกันก็เป็นได้
ปลาที่ชาวบ้านเอามาขายก็จะเป็นปลาแม่น้ำ ปลาช่อน ปลาดุกนาตัวเขื่อง อีกทั้งพวกหอยขม กุ้งแม่น้ำตัวโตที่ผมเห็นแล้วนึกอยากจะทำพาสต้าผัดขี้เมากุ้งขึ้นมาทันที
            “ลุง กุ้งนี่เอามาจากไหนอ่ะ” ผมถามคนขาย
            “ก็เอามาจากแม่น้ำนะสิวะ ถามแปลกดีแท้” ลุงตอบเหมือนกับว่าการเจอกุ้งแม่น้ำตัวเท่าแขนในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเรื่องธรรมด้า ธรรมดาอย่างนั้นแหละ
            “มันมีกุ้งแบบนี้ในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเหรอลุง” ผมทำหน้าตาตื่น
    “เออสิวะ พ่อหนุ่มนี่ท่าทางจะมิใช่คนบางนี้กระมัง ในแม่น้ำท่าประนู้นน่ะ มีปลาตัวโตนะ ปลาเนื้ออ่อน ปลาเทโพเอย กุ้งแม่น้ำ ก็เต็มไปหมด ว่าแต่เอ็งมาจากเมืองไหนกันรึ น่าตาผิวพรรณดูมิใช่ชาวสยาม”
อ่าว
“อ๋อ เอ่อ ชั้นจากเอ่อ จาก พารากอน น่ะลุง” ผมตอบไปมั่วๆ
“พระนครเหรอ  ว่าแต่พระนครฝั่งกระไหนกันเล่า”
“เอาเหอะลุง เอาเป็นว่า แถวบ้านชั้นก็มีแม่น้ำเหมือนกับลุงนี่แหละ สายเดียวกันเลย แต่บ้านชั้นไม่มีกุ้งตัวโตๆ ปลาตัวเบิ้ม แบบนี้หรอก บ้านชั้นน่ะ มีแต่ปลาสวาย เต่า ปลาซอกเกอร์ เท่านั้นแหละ อ้อ ลืมไป มีผักตบชวาด้วย” ผมยิ้ม
ดูท่าทางลุงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แต่ผมก็ไม่ได้หวังให้แกเข้าใจหรอก ไว้อีกสัก 50- 60 ปี ถ้าแกอยู่ถึง แกคงได้เห็นอะไรๆเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะ
      ผมละจากลุงขายกุ้ง ก็มาพบกับหญิงแก่คนหนึ่งกำลังนั่งสานอะไรบางอย่าง
“ยาย ทำไรอ่ะ” ผมนั่งยองลงใกล้ๆ
“กำลังสานปลาตะเพียน” แกตอบพลางเคี้ยวหากจับๆ
“ขายเหรอ”
“ไม่ได้ขาย สานให้หลาน ข้าขายผักบุ้ง” ผมมองไปที่ผักบุ้งที่ถูกมัดรวมไว้เป็นมัดๆกับเชือกกล้วยโดยมีใบตองห่ออย่างดี
ผมนั่งมองยายานปลาตะเพียนอย่างสนใจ
“เอาใบอะไรมาทำอ่ะยาย”
“ใบลาน ใบตาลก็ได้ แต่ใบลานมันจะดีกว่า เหนียวกว่า สีจะสวยกว่า”
“เหรอ”
“เอ็งอยากได้กระนั้นรึ” แกยิ้ม  ผมพยักหน้าเพราะในใจนึกถึงไอ้แดงมัน อยากจะเอาไปฝากมัน
“เอ็งเอาของข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้าสานเอาใหม่” แกยื่นพวงปลาตะเพียนให้ผม
“จะดีเหรอยาย อุตส่าห์นั่งทำตั้งนาน ชั้นไม่มีเงิน เอ้ย ไม่มีอัฐหรอกนา”
“เอาไปเถอะ ข้าสานชั่วพริบตาเดียวก็ได้แล้ว เอ็งเอาไปเถิด จะเอาไปฝากผู้ใดกันเล่า”
“อ้อ ชั้นจะเอาไปฝากเด็กที่เป็นโรค.................” ผมเกือบจะหลุดปากพูดถึงโรคที่ไอ้แดงเป็นออกไป ดีที่นึกถึงคำของหมอปีย์ไว้ได้
“ชั้นหมายถึงเอาไปฝากลูกเจ้านายน่ะ” ผมยิ้ม



ปลาตะเพียนสานแกว่งไกวไปมา ผมมองดูงานฝีมือของยายคนนั้นแล้วอดทึ่งในความสามารถของแกไม่ได้ ลายปลาตะเพียนที่เรียบสนิท และเสมอกันไม่มีที่ติ อีกทั้งยังปราณีตและอ่อนช้อย เมื่อต้องลมปลาตะเพียนแกว่งไปมาราวกับมีชีวิตจริงๆอย่างนั้นแหละ
“เจ้าแดงมันคงชอบ” ผมยิ้ม  และก็ต้องหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เมื่ออดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆ คนอย่างผมก็นึกถึงคนอื่นเป็นเหมือนกัน ผมซึ่งไม่เคยห่วงใครนอกจากตัวเอง ไม่เคยอยากจะเข้าใจความรู้สึกของใคร หรือ ไม่แต่ไม่เคยสนใจว่าคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่มาวันนี้ ดูผมสิ
“แห่” ผมยิ้มยิงฟันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ยิ้มให้ใครแต่ยิ้มให้ตัวเอง

“โอ่ว  โอ้ว อย่างนั้นแหละ โอ่ว ตีมันเลยลูก เอ้อ ดีดเข้าไป เอ้ย เอ้ย”  เสียงโห่ร้องดังมาแต่ไกล ผมชะเง้อคอมองไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่กำลังล้อมวงโห่ร้องอะไรสักอย่าง
“แหม่ ไทยมุง จะพลาดได้ยังไง” ผมว่าก่อนจะจ้ำอ้าวเดินดุ่ยๆเข้าไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น
และผมก็พบว่าผมกำลังยืนมองไก่ชนสองตัวกำลังตีกันอย่างดุเดือด เสียงโห่นั้นยิ่งทำให้ไก่คู่นั้นฮึกเหิมมั้ง ก็เห็นมันตีเอาตีเอา ไม่ยั้ง
“โอ้ว โอ้ว”  ไก่ตัวที่ทีขนสีเขียวเข้มแซมกับสีแดง กำลังกางปีกก่อนจะดีดเดือยที่ข้อเท้าเข้าไปที่ไก่อีกตัวที่มีขนสีทอง เดือยนั้นปักฉึกเข้าไปที่ไก่อีกตัวจนเลือดกระฉูด ก่อนที่ไก่ตัวนั้นจะยอมแพ้วิ่งไปมารอบวง
“อัฐๆ ส่งมาให้ข้าเว้ย แหม่ วันนี้ดวงขึ้นจริงๆเว้ย” เสียงเจ้าของไก่พูดไปหัวเราะไปด้วยความคะนอง
“เอามา คู่ต่อไป ไก่บ้านประดู่จักเจอกับไก่บ้านลำพู พนันขันต่อข้างไหนวางอัฐเลย” เงินถูกโยนไปมาระหว่างสองฝาก ในที่สุดเงินก็กองอยู่ต่อหน้าแต่ละฝ่าย
“ผมยืนอยู่ฝ่ายบ้านประดู่โดยไม่รู้ตัว นั่นเท่ากับว่าผมต้องเชียร์ฝ่ายไก่บ้านประดู่
“อืม อืม” ผมร้องในลำคอเบาๆด้วยความอายทันทีที่ไก่สองตัวพุ่งเข้าตีกัน ในใจนึกว่านี่ถ้ากูอยู่กรุงเทพฯมีหวังโดนตำรวจซิวไปแล้วแน่ๆ ก็การชนไก่มันผิดกฎหมายนี่นา ทรมานสัตว์ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิวตาตาม
“เออ เออ” ผมร้อง

 ไก่ทั้งคู่ต่างพองขนคอชัน ปีกทั้งสองข้างขยับเตรียมพร้อม พวกมันมองตากันราวกับว่าพยายามจะเดาใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“เออ เอาเลยสิวะ ไอ้พยัคย์ลูกพ่อ เอามันเลย” เสียงชายข้างๆผมตะโกนเร้าอารม จนผมทนไม่ไหว ค่อยตะเบ็งเสียงแข่ง ทำไปทำมาก็สนุกดีเหมือนกันนะนี่
“เอ้อ แมร่ง เอาเลย” ผมค่อยตะโกน
“เอิ้ววววววววว Yeah  good job kids yeah…………..Dam it” ในที่สุดความมันส์ก็ไม่เข้าใครออกใคร ผมเผลอตะโกนเป็นภาษาอังกฤษออกไป
“Fight yeah kill him”  เสียงของผมดังลั่นอย่างสะใจ โดยที่ลืมสนใจไปว่า ตอนนี้ทุกคนเงียบกริบมองผมเป็นตาเดียวกัน
“Yeah เอ่อ...........” มารู้ตัวอีกที ผมก็ถูกมองด้วยแววตาประหลาด “อ๋อ เอ่อ เอ้า เอาเลย ตีมันเลย ลูก เอา ตี ตี” ผมยิ้ม ทุกคนยิ้มตอบก่อนจะเริ่มเชียร์กันใหม่
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่” หมอปีย์เดินมาจากด้านหลัง
“มาเลือกตั้ง อบต มั้ง ก็เห็นอยู่” ผมตอบ
“กลับกันเถิด ที่นี่ไม่เหมาะกับเรา”
“อ่าว ก็เรื่องของมึงสิ อยากกลับก็กลับก่อน กลับถูกมั๊ยบ้านน่ะ” ผมถามไม่หันไปมองเพราะมัวแต่ลุ้นไก่อยู่
“เดี๋ยวโปลิศก็มาจับดอก”
“โอ้ย กวนจริงๆ เหมือนเด็กเลยว่ะนาย เออ ๆกลับก็ได้ แต่ขอดูคู่นี้ก่อนนะ” ผมยิ้ม
ไก่ทั้งคู่เริ่มพุ่งเข้าใส่ตามแรงยุจากกองเชียร์มากขึ้น มันคงเจ็บ แต่ด้วยสัญชาตญาณนักสู้ของมัน มันถึงไม่ยอมแพ้อย่างนี้ ผมลุ้นจนตัวโก่ง ไม่เคยเห็นการชนไก่มาก่อน
“เอา เข้ามาสิ” ผมดึงตัวหมอปีย์ที่ยืนบิดไปบิดมาเข้ามาในวง
“นู่น เชียร์ตัวนู้นนะ ฝ่ายเราๆ “ ผมพูดทำเป็นรู้ดี
“เราทำไม่เป็นดอก” มันตอบ
“โอย ไม่เห็นจะยาก ทำงี้ ทำตามนะ  เอ่ออออออออออออ” ผมตะโกนเชียร์
“เออ”
“โอ้ย มึงจะเรอหรือไงวะ กลัวใครเขาได้ยินรึไง เอาใหม่ เอ้อออออออออออออออออ”
“เอออ”
“ดังๆ”
“เออออ”
“ดังอีก”
“เออออออออ”
“ดังกว่านี้อีก เป็นตุ๊ดรึไงมึง”
“เออออออออออออออออออออ”
“อย่างนั้นแหละเอาเลย”
“เอออออออออออออออออออออ เอออออออออออออออออออออ เออออออออออออออออออเอออออออออออออออออ”
ติดลมบนเลย

และตอนนี้กลายเป็นผมที่ต้องมองหมอนั่นอ้าปากค้าง มันตะโกนเสียงดังลั่นกว่าชาวบ้าน เหมือนมันกำลังจะปลดปล่อยความเครียด ความกดดันที่มีตลอดชีวิตออกด้วยการชนไก่ครั้งเดียว
“อ้าววววววววววว ตีอย่างนั้นแหละ เอาเลยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงหมอปีย์ตะโกนเชียร์อย่างเมาส์มัน มือทั้งสองตบหน้าตักหลายต่อหลายครั้ง  ผมยิ้มด้วยความพอใจ อย่างเห็นมันได้ปลดปล่อยออกมาซะบ้าง
ไก่ทั้งคู่ตะลุมบอนเข้าหากันจนฝุ่นตลบ เสียงกองเชียร์ยุกันดังสนั่น ในที่สุดไก่ฝายตรงกันข้ามก็เพลี่ยงพล้ำให้เจ้าพยัคย์ มันวิ่งหัวซุกหัวซุนอยู่รอบวง
“เย้ๆ ชนะแล้ว เย้” ผมกับหมอปีย์ตะโกนด้วยความดีใจ ราวกับเป็นไก่ของตัวเอง เผลอกอดกันกลม
“เอ่อ ชั้น เอ่อ ขอโทษ” ผมผละออกจากหมอนั่นเมื่อรู้ตัว
“ขี้โกงนี่หว่า บ้านประดู่เล่นขี้โกง เอาสบู่ดำให้ไก่กินมาก่อนนี่หว่า นี่ไงหลักฐาน” จู่ๆก็มีเสียงชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับชูเปลือกของบางสิ่งในมือ
“อ้าว ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไรเล่า อย่างนี้มันโกงกันชัดๆ เอาเฮ้ย พวกเรา จะปล่อยให้บ้านนู้นมาโกงได้กระไร ลุยสิวะ”จากเมื่อครู่ที่คนเชียร์ไก่ตีกัน  ตอนนี้มวยพลิก กลับกลายเป็นไก่ดูคนตีกัน ฝ่ายตรงข้าม เอาผ้าข้าวม้าโพกหัว ก่อนจะหยิบไม้หยิบฝืนคนละอันหมายจะเอามาตีฝั่งผม ผมยืนมองฝ่ายนั้นวิ่งปรี่เข้ามาตาปริบ ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่า
“เค้าไม่เกี่ยวนะตะเอง เค้าแค่.............ผ่านมาเจ๋ยๆ”

“เจ้าบ้า!!!! เจ้าจะยืนยิ้มให้เขาเอาไม้ฟาดหน้าเอารึกระไร วิ่งสิวิ่ง”  แล้วก็เป็นหมอปีย์ที่เป็นฝ่ายฉุดมือลากผมวิ่งหนีไม้หน้าสามที่วิดเฉียดหัวไปนิดเดียว
“พวกมึงจะหนีไปไหน หยุดนะเว้ย” เสียงตะโกนไล่หลัง
“หยุดก็กลัวมึงสิวะ แน่จริงก็ตามกูให้ทันสิเว้ย แบร่.......”แน้ ยังไปทำท่าท้าทายเขาอีก ผมวิ่งหนีกับหมอนั่นสุดชีวิต มือของเขากุมมือผมไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะไปทางไหน เขาก็ลากผมไปด้วย
 ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต มือหนึ่งถูกหมอนั่นลาก อีกมือถือปลาตะเพียนสานอยู่ในมือ ผ้าที่มัดเป็นโจงกระเบนหลุดลุ่ย
“ไอ้แดงเอ้ย ก่อนกูตาย กูขอเอาปลาตะเพียนไปให้มึงก่อนนะเว้ย” ผมคิด

หมอปีย์พาผมวิ่งลัดตลาด กระโดดข้ามกองผัก กองปลา ชาวบ้านต่างแหกกระเจิงพร้อมเสียงด่า เมื่อผ่านตลาดผมก็มารู้สึกตัวอีกทีอยู่ในป่าชายทุ่งเสียแล้ว
“พอแล้วหล่ะ มันตามไม่ทันแล้ว ปล่อยมือกูเหอะ” ผมสะบัดมือออก “ทำยังกะกูจะหายไปงั้นแหละ”
“เราแค่.............ไม่อยากให้เจ้าคลาดสายตา”

“.....................................”
“โด่ กะอีแค่พวกนักเลงบ้านทุ่ง กูนี่ต่อยกับฝรั่งตัวเท่ากระทิงมาแล้วเว้ย ไม่อยากจะโม้” ผมกำหมัด
“เรารู้ว่าเจ้าเก่ง แต่อย่างไรเสีย เราก็ไม่อยากให้เจ้าต้อง..................”
“โอ้ย พอๆ พูดอะไรแปลกๆ กลับบ้านกันเถอะ กูวิ่งกันปวดส้นตีนหมดแล้ว นึกว่าเล่นหนังบ้านผีปอบ”

ผมก้มลงปัดฝุ่นที่ขาก่อนจะรวบผ้าที่หลุดลุ่ยมัดเป็นโจงกระเบน
“อยู่นี่เองรึ พวกมึง” จู่ๆก็มีเสียงใครคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย” ผมสะดุ้ง หันไปมอง “โธ่เอ้ย เล่นซะตกใจ มีอะไร” นึกว่าพวกเดียวกัน
“กูก็จะมาเอาเลือดหัวพวกมึงออกไง ไอ้พวกขี้โกง”  ว่าแล้วเขาก็เงื้อไม้ขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาผมอย่างเร็ว
“หยุด  STOP!!” ผมยกมือห้าม “มึงมากันกี่คน” ผมถาม
“คนเดียว”
“คนเดียว 555” ผมหัวเราะ “มึงคิดว่ามาคนเดียวจะสู้กับนักกีฬาคาราเตโด้สายดำอย่างกูได้เหรอ” ไม่รู้จักหรอก ไอ้กีฬานี่อ่ะ พูดให้มันยาวไว้ก่อน เหมือนเคยได้ยินมาจากกีฬาเอเชี่ยนเกมส์
ผมยกไม้ยกมือขึ้นกาดป้องกันตัว
“ฮะ ฮะ ฟึดๆ” ทำท่าชกลม “เข้ามาสิวะ แน่จริงก็เข้ามา” ผมกระโดดเหยงไม่เป็นท่า แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามงงได้เหมือนกัน
“ฮี้ฮ่า..............” ผมเตะสูง “อึ้งสิอึ้งสิ เข้ามาๆ” ผมกวักมือเรียก ฝ่ายตรงข้ามทำหน้างง เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้
“เป็นไงล่า เห๊อะ จิ๊บๆ” ผมยิ้มมุมปากภูมิใจในความเก่งของตัวเอง
“เจ้าไปร่ำเรียนวิชาพิศดารนี้มาจากสำนักไหนรึ” หมอปีย์เดินมาถาม ผมหันหลังไปตอบ
“อาราย  พิศดารอะไร นี่เขาเรียก วิชาคาราเตโด้ ชั้นเรียนมาจากญี่ปุ่นเชียวนะเว้ย นี่เคยล้มฝรั่งสามคนทีเดียวมาแล้ว” ภูมิใจมาก โม้เองนี่
“..................................” หมอนั่นอึ้งอ้าปากค้าง
“เป็นไง คิดไม่ถึงละสิ ว่าคนบ้าปัญญาอ่อนอย่างชั้นก็มีอะไรดีๆกะเขาเหมือนกัน หึๆ”
“.................................”
“ต่อให้มันมากันอีกสิบคน นายก็ไม่ต้องกลัว มีชั้นอยู่ชั้นจัดการเอง ไอ่น้อง” ผมตบบ่าเขาสองสามแปะ
“เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าจะจัดการได้” เขายังทำท่าอึ้งไม่หาย
“แน่ใจสิวะ โธ่ พวกนักเลงกระจอกพวกนั้นนะ แค่ชั้นยกมือ ขี้คร้านจะวิ่งหนีหางจุกตูดกันหมด” ยังโม้ไม่เลิก
“งั้น เราว่าถึงเวลาที่เจ้าควรจะเร่งยกมือของเจ้าเถิด” เขายังคงทำท่าตกใจ
“ทำไมเหรอ”
“อึ อึ” หมอปีย์เบ้ปาก
“อะไรของมึง”
“ฮือ ฮือ”
“เป็นบ้าอะไรอีก” ผมรำคาญ
“ข้างหลังเจ้าน่ะ”
“อะระ...............”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดคำว่าอะไรจบ ผมก็หันไปเห็นพวกนั้น ยืนถือไม้ขนาดเต็มมือยืนอยู่ข้างหลังผม นับประมาณคร่าวๆจากสายตาไม่ต่ำกว่าห้าคน
“แหม แหม แหม พี่” ผมยิ้มขาสั่นพั่บๆ “มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยนะพี่ จะไปดักตีหนูกันที่ไหนเหรอ” ผมแกล้งแซว แต่ในใจสั่นจนหัวใจแทบจะทะลักออกมาจากอก กูจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่แล้วมั๊ยเนี๊ยะ
หนึ่งในนั้น ยกไม้ขึ้นสูง
“โห ดูกล้ามสิพี่ แหม มันน่ากัดแขนเล่นเบาๆเสียจริงๆ เปรี๊ยะๆ เลยนะเนี๊ยะ ไปเล่นฟิตเนสแถวไหนเหรอ”
“อย่าพร่ามให้มากความ ไหนลองแสดงวิชาการต่อสู้ที่เจ้าบอก ให้เราเห็นกับตาบัดเดี๋ยวนี้ ข้าอยากจะรู้เสียนักว่าไอ้วิชาคาราอีโต้ของเอ็งมันจะมาสู้วิชาหมาวัดของพวกข้าได้มั๊ย” เขาคำราม
“เอาสิ เอาเลย” เสียงหมอปีย์เชียร์อยู่ข้างหลัง
“หุบปากเลยมึง ไอ้หมอปอดแหก” ผมหันไปตวาดหมอนั่นเบาๆ
“แหม พี่ ถ่อมตัวกันไปแล้ว วิชาหมาวัดที่ไหนกันเล่า โธ่ พวกพี่ออกจะ อุย นู่นใครน่ะ” ผมชะเง้อคอมองข้ามหัวพวกนั้นไป
พวกนั้นหันไปมองตาม
“หลอกง่ายจริงๆวุ๊ย.............ไอ้หมอง้าว วิ่ง.......”ผมขยิบตาส่งสัญญาณ ก่อนจะใส่เกียร์หมาจ้ำอ้าววิ่งเข้าป่าอย่างไม่คิดชีวิต
เราสองคนวิ่งสู้ฟัดไม่สนใจกิ่งไม้ เถาวัลย์หรือหนามอะไรทั้งสิ้นแล้วตอนนั้น เสียงฝีเท้าพวกนั้นวิ่งตามมาอยู่ไม่ห่าง
“ไอ้พวกเวร กูไปฆ่าพ่อฆ่าแม่มึงรึไงวะ ถึงได้จองเวรกูจัง” ผมตะโกนพลางวิ่งพลาง
“เจ้าบ้า จะตะโกนยั่วให้พวกมันโกรธทำไม วิ่งสิ วิ่ง”
ผมก้มหน้าก้มตาวิ่ง วิ่ง  วิ่ง จนในที่สุดก็มาถึงสระบัวหลวงแห่งหนึ่ง
“หิวน้ำอ่ะ แวะกินน้ำก่อนได้ป่ะ” ผมก้มลงหอบ
“แวะกินสำรับเที่ยงเสียเลยดีมั๊ย เจ้าจะบ้ารึ พวกนั้นยังตามเรามาอยู่ ไม่ได้ยินเสียงหรือกระไร”
“ไม่เอาแล้วอ่ะ ไม่ไปแล้ว ชั้นเหนื่อย นายไปเหอะ ชั้นรอให้มันรุมกระทืบอยู่ที่นี่แหละ คงไม่ตายหรอก เย็นๆค่อยมารับชั้นกลับบ้านก็ได้” ผมว่า
“เจ้าพูดเพ้ออันใด พวกนั้นไม่ปล่อยให้เรามารับเจ้าดอก มันคงเอาเจ้าไปเผาหมกป่าที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่” เขาทำเสียงตกใจ
“อะไรกันเรื่องแค่นี้ พวกนั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าหรอก”
“พวกนั้นหาใช่ชาวบ้านธรรมดาไม่ มันเป็นพวกโจรอั้งยี่”
“หา” ผมร้อง “โอ้ย  ทำไมซวยยังงี้วะเนี๊ยะกู แล้วจะทำยังไงกันดีละทีนี้”
“มันใกล้เข้ามาแล้ว เห็นทีจะหนีไม่ทันเสียกระมัง” เขาหันซ้ายหันขวา
“แล้วทำไงอ่ะ ตายแน่ๆตายแน่ๆ”
“เรามีวิธี” แล้วจู่ๆ หมอปีย์ก็ยิ้มขึ้นมา


.
.
.
.
.
.
“โอ้ย คิดได้เน๊าะ” ผมบ่นในขณะที่ร่างของตัวเองลงไปอยู่ในสระบัวหลวง ท่อนล่างของผมจมลงไปอยู่โคลนตม ท่อนบนอยู่ในน้ำ เหลือแต่หน้าที่โผล่มา
“อยู่นิ่งๆ ประเดี๋ยวพวกนั้นเห็นผิดสังเกตุ มันจะจับเอาได้”
“ก็มันคันนี่นา หนามทั้งนั้น”
“หรือเจ้ามีวิธีอื่น ไม่อย่างนั้น เจ้าจะลองใช้วิชาป้องกันตัวที่เจ้าร่ำเรียนมาและเคยล้มฝรั่งมาแล้วก้ได้นะ”
“แหม เข้าใจประชดปะชันนะเราน่ะ นายไปคิดวิธีนี้มาจากไหนเนี๊ยะ” ผมกระเซ้า
“พระเวชสันดร” มันตอบสั้นๆ
“กูว่าแล้วไม่มีผิด ดูฉากมันคุ้นๆ”
ทุกคำพูดที่พูดกันในสระนั้นต้องกระซิบกระซาบ สระบัวหลวงขนาดใหญ่นั้นเต็มไปด้วยบัวที่แข่งกันงอกจนแน่นสระ ทุกครั้งที่ขยับตัวหนามจากมันจะขูดข่วนร่างกายของผม จนแสบยิบๆไปหมด
“มันมากันแล้ว ก้มหัวลง” ว่าแล้วหมอปีย์ก็จับผมกดหัวลงน้ำโดยที่ผมยังไม่ทันได้หายใจเข้า หัวผมทั้งหัวจมอยู่ในน้ำ      ผมเริ่มทุรนทุราย หายใจไม่ออก พยายามจะดันหัวขึ้นแต่หมอนั่นก็กดไว้ จนในที่สุดผมทนไม่ไหว หยิกเข้าไปที่ขาหมอนั่นอย่างแรง
“โอยยยยย เจ้าเปนบ้าอะไรของเจ้า” เขากระซิบ
“ไอ้หมอบ้า กูหายใจไม่ออก มึงกดหัวกูแบบนี้ เรียกพวกนั้นมากระทืบกูซะดีกว่า” ผมด่า
“เราขอโทษ ตกใจไปหน่อย เอาเถิดเอาใบบัวมาปิดเข้า” เขาคว้าใบบัวหลวงที่ใหญ่และหน้ามาปิดหัวเราทั้งคู่ไว้ พวกนั้นเดินไปเดินมาอยู่รอบสระ มีคนหนึ่งพยยามจะชี้มาที่สระบัว แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ในที่สุดพวกนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในป่าลึก




“เจ้ายังจะเก็บปลาตะเพียนสานนี้ไว้อีกรึ”  ผมมองหน้าคนถามก่อนจะก้มลงมองปลาตะเพียนที่เลอะโคลน
“อืม” ผมพยักหน้า
“จะเอาไปทำอันใด”
“เอาไปฝากเจ้าแดงมัน มันจะได้มีของเล่น “
หมอปีย์ไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว แค่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า ผมก็พอเดาออกว่าเขารู้สึกยังไง
“กลับบ้านกันเถิด” เขายิ้ม พลางหายใจหอบถี่ๆด้วยความเหนื่อยปนตื่นเต้น
“อืม” ผมพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับหายใจหนักหน่วงไม่ต่างกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
มาต่อแล้วววววววววววว กรี๊ดกร๊าด

.
.

ฮ่าๆๆๆ  :laugh:  โดนลูกหลงกันซะงั้น  แล้วคุณหมอพูดอะไรก็ไม่รุเล่นเอาเขิลลลล อิอิ :-[

เฮ้อ~สิ่งแวดล้อมช่างมีผลต่อคนเราจริงๆเนอะ แล้วเมื่อไหร่คนเลวๆจะหมดโลกนะ  :เฮ้อ:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-12-2010 21:33:43 โดย เกริด้า(๐-*-๐)v »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้  คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน  เฮ้อออ  สงสารพระเอกเว้ยยยยย

ออฟไลน์ Anonymus

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-1
อ้างถึง
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้  คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน  เฮ้อออ  สงสารพระเอกเว้ยยยยย

เห็นด้วยค้าบบบบบ  เพิ่มอีกอย่างคือ เจ้าอัชนี่มันซ่าจริงจริ๊งงงงงง

หมอปีย์ค้าบ  วันหลังไม่ต้องพามันไปแระตล่งตลาด  ให้มันอยู่แต่ในเรือนเห้อ

จะได้งานเข้าน้อยๆหน่อย  ไม่งั้นคราวหน้าได้วิ่งกันกระเบนหลุดแน่ๆ

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
เห็นด้วยกับข้างบน

ปากอัชนีั  พาหาเรื่องสุด  :m20: :m20: :m20:

Killua

  • บุคคลทั่วไป
วิ่งกันจนโจงกระเบนหลุดลุ่ย แล้วตอนนี้มันยังอยู่กับตัวรึป่าว ฮ่าๆๆ
 :pig4:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
พ่อหมอปีย์น่ารัก   :-[ ส่วนพ่ออัชน่าตื้บ :laugh:

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0

aimaim

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
เพิ่งเข้ามาอ่านครับ  น่ารักมากกก

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
ชมไปไม่นาน ดีแตกแล้ว
ปากหาเรื่องจนได้
writer ค้างงงงงงง
+1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด