เช้าวันนั้นผมตื่นได้ด้วยแรงถีบของนังอ่ำ มันเล่นแรง ผมกำลังฝันเคลิ้มๆอยู่ จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บ และเมื่อลืมตาก็เห็นสภาพตัวเองนอนอ่าซ่าอยู่บนพื้น เมื่อหันไปเค้นถามความเอาจากนังอ่ำ มันก็บอกว่าปลุกผมสารพัดวิธีจะปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่นเสียที
“แล้วเจ้านายป้า ไม่มาปลุกชั้นเหรอ” ผมถามเพราะจำได้ว่าเมื่อคืนก่อนนอนผมสั่งให้มันมาปลุก
“มันจะมากไปแล้วนะเจ้าบ้า คุณหลวงท่านเป็นใคร เอ็งเป็นใคร ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง” มันด่าผม
ผมอยากจะบีบคอมันใจจะขาด แต่ก็ต้องขอบใจมันที่ทำให้ตื่นไปเรียนทำอาหารกับคุณชั้นจอมเนี๊ยบได้ทัน
ผมเดินออกมาจากเรือนหมอปีย์ในขณะที่ฟ้ายังไม่สาง มองเห็นแค่ดาวประจำเมืองส่องแสงอยู่ไกลๆ บรรยากาศวังเวงจนผมขนลุกนี่ขนาดใกล้รุ่งแล้วนะ ยังน่ากลัวขนาดนี้
ผมเลยสั่งให้นังอ่ำมันเดินมาส่งเป็นเพื่อน ตอนแรกมันก็ไม่เต็มใจหรอก แต่ขู่มันไปว่าถ้าไม่เดินมาส่ง กูจะถีบมึงคืน มันเลยยอม
แต่ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดที่ให้มันมาส่ง ไปไปมามา เดินกับมันยิ่งวังเวงกว่าเป็นร้อยเท่า
ประตูเรือนคุณชั้นเปิดออก ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูในบ้าน ยังไม่เห็นมีคนลงมาที่โรงครัว พาลนึกดีใจ ครั้งนี้คงไม่โดนคุณชั้นดุเอาอีกเป็นแน่
โรงครัวของบ้านนี้ตั้งอยู่ใต้ร่มต้นมะขามใหญ่ ผมเพิ่งรู้เองว่าบ้านเรามีต้นมะขามใหญ่ขนาดนี้ด้วย ปัจจุบันที่ตรงนี้เป็นบ้านผมเสียแล้ว
ผมนั่งรออยู่ไม่นาน เสียงคนเดินลงบันไดเรือนใหญ่มาอย่างแผ่วเบา คุณชั้นนั่นเอง
“Goo morning ครับคุณชั้น” ผมยกมือไหว้หน้าทะเล้น แต่เธอไม่หันมามอง ไม่รับไว้ เหมือนเดิม ไม่เป็นไร ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก
“วันนี้จะให้ผมช่วยอะไรดีครับ” อ่อนน้อมยิ้มแย้มตามคำแนะนำของหมอปีย์สุดชีวิต แต่คุณชั้นก็ยังไม่ตอบ
“นังผาด วันนี้หุงข้าวเผื่อเพลาเที่ยงเสียเลย เราจะทำข้าวแช่” คุณชั้นหันไปสั่งคนใช้ หล่อนรับคำก่อนจะเดินไปตักข้าวสารใส่กระด้ง มากกว่าเมื่อวานเท่านึง
“เอ้า เอาไปเลือกข้าวเปลือก” บ่าวที่ชื่อผาดยื่นกระด้งมาให้ผม เล่นเอาผมเหวอไปเลย
“อีกแล้วเหรอ ให้เลือกข้าวเปลือกอีกแล้วเหรอ ไรว้า” ผมบ่นแต่ต้องจำใจก้มหน้าก้มตาเลือกข้าวสารต่อไป
พวกบ่าวในเรือนเริ่มทำงานกัน ต่างคนต่างรู้หน้าที่ใครทำอะไร ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมนั้นก็มีหน้าที่ที่แสนจะโคตรหน้าเบื่อ แต่ก็ถือซะว่าอย่างน้อยได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารของเรือนหลังนี้บ้างก็ยังดี
ความน่าตื่นเต้นอีกอย่างของการเรียนที่เรือนคุณชั้นคือ
คุณจะไม่รู้ว่าวันนี้จะทำอะไรจนกว่าอาหารจานนั้นจะเสร็จสมบูรณ์แบบออกมาแล้วเท่านั้น
อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ผมเห็นคนงานผู้ชายหิ้วปีกเป็ดตัวกำลังพอเหมาะ ก่อนจะเอาน้ำมันอะไรสักอย่างหอมๆ ทาจนทั่วตัวเป็ดจนเงาเลื่อม ก่อนจะเอาไปย่างกับเตาถ่าน ที่ไฟกำลังดี กลิ่นหอมไหม้อ่อนๆลอยมาเตะจมูก
ผมเดาเอาว่ามื้อนี้ต้องทำอะไรที่เกี่ยวกับเป็ดแน่ๆ
(ก็แหงสิวะ เห็นเป็ดเป็นตัวขนาดนี้ มึงคิดว่าเขาจะแกงหมูใบชะมวงรึไง)
เป็ดถูกย่างจนหนังเกรียมจากนั้น พ่อครัวคนนั้นก็เอามาเลาะกระดูกออก แล้วสับเป็นชิ้นๆ ในขณะที่คนอื่นต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ตำน้ำพริก หั่นผัก แม้แต่เด็กๆยังช่วยกันเด็ดใบโหระพาเลย
แล้วตูนี่หล่ะฟะ ทำอะไร นั่งเลือกข้าวเปลือก เฮ้อ
“ไอ้บุญไปได้เป็ดมาจากไหนละนั่น ตัวใหญ่อวบเชียว” เสียงบ่าวผู้หญิงอีกคนที่ขะมักขะเม้นกับการตำน้ำพริกถาม
“ข้าไปขอปันจากบ้านเจ๊กฮวดมา เหนว่ามีหลายตัว คราแรกมันไม่ยอม แต่พอบอกว่าคุณชั้นจะเอาไปทำสำรับ มันรีบบั่นคอให้มิต้องขอเลย” แล้วเสียงหัวเราะเล็กๆก็ดังขึ้น แต่พอคุณชั้นหันมาตาเขียวปั๊ด ทั้งหมดก็เงียบลงอย่างพร้อมเพรียง
เครื่องแกงถูกตำจนละเอียดระหว่างที่ตำนั้นเสียงจังหวะตำของแม่ครัวนางนี่ช่างเป็นจังหวะเท่ากันและมีน้ำหนัก บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพมาก เครื่องแกงสีแดงสด ถูกช้อนเขียวตักขึ้นก่อนจะใส่ลงไปในหม้อที่มีกะทิเดือดปุดๆ
“กะทิแตกมันกำลังดี รีบเอาพริกแกงลง คนให้พริกแกงละลาย มิเช่นนั้นน้ำแกงจะเป็นก้อน ทานแล้วไม่ละมุนลิ้น” เสียงคุณชั้นกำกับอยู่ห่างๆ
จากนั้นคุณชั้นก็แย่งจวักมาจากแม่ครัว เมื่อเธอเห็นว่าบ่าวคนนั้นทำไม่ถูกใจเธอ เธอคนน้ำแกงในหม้อเป็นจังหวะ ก่อนจะหยิบเป็ดที่หั่นไว้แล้วนั่นเทลงหม้อ ตามด้วยหางกะทิที่เหลือ
แค่นี้กลิ่นหอมของพริกแกงที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับเป็ดย่างก็ทำให้ผมแทบลอยแล้วครับ ได้กินกับข้าวสวยร้อนๆนะ หือ อร่อยอย่าบอกใคร
เมื่อเธอเห็นว่าเนื้อเป็ดย่างเข้ากันดีกับน้ำแกงแล้ว เธอจึงจัดแจงใส่สัประรดหั่นชิ้นพอคำลงไป ตามด้วยลิ้นจี่ และมะเขือเทศตาม ใส่กะทิเพิ่มอีกนิด จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลาหมักจากเมืองระยอง และน้ำตาลปี๊บ รอจนกะทิเดือดอีกครั้ง จึงใส่ใบมะกรูดลงไป
“ใส่เครื่องปรุงแค่นี้เองเหรอครับคุณชั้น” ผมถาม
แต่แกไม่ตอบ เพียงแต่พูดลอยๆเหมือนสอนพวกบ่าวไพร่ขึ้นมาว่า
“เสน่ห์อย่างหนึ่งของของอาหารไทยคือรสชาติที่กลมกล่อม จัดจ้าน และได้คุณประโยชน์จากสมุนไพร รสชาติอาหารไทยนั้น ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองนะ นังผาด สมัยชั้นอยู่ในวัง รสทั้งหลายจะเรียกว่า เบญจรส คือรสทั้ง๕ อันได้แก่ เค็ม เปรี้ยว หวาน มัน แล เผ็ด โดยแต่ละรสได้จากพืชผักสมุนไพร และเนื้อสัตว์ตามแต่จะมี”
“เป็นการดึงเอารสชาติแท้ๆของอาหารออกมาว่างั้น” ผมพูดคนเดียวในขณะที่ก้มลงแหกตาเลือกข้าวเปลือก
“ไหนเจ้าลองชิมสิ รสชาดเปนเยี่ยงไร” นังผาด ค่อยๆใช้จวักตักน้ำแกงมานิดนึง ก่อนจะแตะลงบนนิ้วแล้วเอาเข้าปาก
“จับๆ” เสียงแกกำลังพยายามค้นหารสชาติ “กำลังดีเจ้าค่ะ คุณชั้น ฝีมือคุณชั้น มิต้องปรุงอันใดเพิ่มเลยนะเจ้าคะ” แหม เข้าใจประจบนะป้า
“อืม งั้นก็ดีแล้ว เร่งตกใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นเรือนเข้าเถิด อีกประเดี๋ยว เจ้าทางเหนือก็จักมาถึงแล้ว อ้อ แล้วปลาช่อนที่เราสั่งให้ห่อใบตองปิ้งเล่าได้ที่หรือยัง”
“ได้แล้วขอรับ” เสียงรับจากบ่าวผู้ชาย
“ดีๆ ของเผ็ดๆเยี่ยงนี้เข้ากันดีกับปลาแห้ง ปลาเค็มนักแล”
แล้วคุณชั้นก็เดินขึ้นเรือนไป ปล่อยให้ผมนั่งแกร่วอยู่เหมือนเดิม
“ป้าๆ” ผมเรียก “ป้า ชั้นยังไม่ได้กินข้าวเลย ขอชั้นกินข้าวด้วยคนสิ” ผมร้องขอ น่าสงสารเน๊อะ แต่ใจจริงน่ะ อยากจะชิมแกงของคุณชั้นมากกว่า
“รอประเดี๋ยว ให้ข้าเอาแกงไปให้คุณก่อน “ ป้าผาดทำเสียงดุ
ผมจะทำยังไงได้ นอกจากนั่งเลือกข้าวเปลือกต่อไป ไม่หือไม่อือ
.
.
.
.
เวลาผ่านไปจนเลยข้าวเช้าที่บ้านหมอปีย์ ผมยังนั่งเลือกเข้าเปลือกด้วยอารมณ์เบื่อเต็มทน ท้องก็เริ่มร้องเสียงโครกคราก ตาก็เริ่มลาย
“นี่ เจ้าน่ะ อ้าว” เสียงป้าคนเดิมเดินถือถ้วยอะไรไม่รู้อยู่ในมือ ก่อนที่เธอจะยื่นให้ผม
“คุณชั้นเธอบอกว่า กับหมดแล้วเหลือแต่ข้าวสวย เธอว่าให้เอ็งหากินในครัวเอาเอง”
อ้าว แล้วไงอ่ะ จะให้ผมกินกับอะไร ข้าวสวยถ้วยเดียวเนี๊ยะนะ
ถ้วยข้าวสวยวางอยู่เบื้องหน้า ไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมใบเตยอ่อนๆ เม็ดขาวอวบสีขาวขึ้นหม้อ ก็ทำให้ผมกลืนน้ำลายได้เหมือนกัน
ผมลุกขึ้นเดินเข้าใปในเรือนครัว พยายามหาอะไรที่พอจะกินกับข้าวนี่ได้มั่ง อย่างน้อยได้แมกกี้ สักขวดกับไข่ต้มก็ยังดี
แต่.......คุณพระ!!!
ไม่มีอะไรเหลือให้ผมเลย มันถูกยกไปไว้เรือนใหญ่หมด มีเพียงหม้อแกงเผ็ดเป็ดย่างเมื่อกี้เท่านั้น ที่วางไว้มุมครัว ผมรีบปรี่เข้าไปด้วยความหิว เอาวะ จะได้กินแกงคุณชั้นก็คราวนี้แหละ เปิดฝามา
“ผ่าง”
“เฮ้ย อะไรวะเนี๊ยะ” ผมต้องร้องเฮ้ยออกมาเมื่อพบว่าในหม้อนั้นไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยนอกจากน้ำแกงก้นหม้อ
“เอาวะ ดีกว่าไม่มีอะไรให้แดก” ว่าแล้วผมก็เทข้าวสวยที่อยู่ในมือลงไปคลุกกับน้ำแกงก้นหม้อ จนข้าวสีขาวนวลตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำแกงสีเหลืองเข้ม น่ากิน
“เฮือก” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเทข้าวคลุกน้ำแกงลงใส่ถ้วย มองหาผักแนม ได้ถั่วฝักยาวสีม่วงๆมาสองอัน
“เฮ้อ ชีวิตหนอ ชีวิต” ผมว่า พลางเดินออกมานั่งที่โคนต้นมะขาม
“ช้อนเชิ้นก็ไม่มีให้กู” มองซ้ายมองขวา เมื่อไม่มีอะไร “มือนี่แหละวะ” ว่าแล้วผมก็เอามือขยำๆข้าวในถ้วยก่อนจะค่อยๆหยิบมันขึ้นมาอย่างยากลำบาก ข้าวร่วนซุยติดปลายนิ้วมาแค่ไม่กี่เม็ด
“แม่ง ลำบากชิบหาย” ว่าแล้วก็พยายามใหม่ คราวนี้ดีขึ้นกว่าเดิม ข้าวติดมือมามากขึ้น กลิ่นน้ำแกงหอมเตะจมูก ผมค่อยป้อนข้าวใส่ปากตัวเองมือไม้สั้นด้วยความหิว
“อืม ๆ” ค่อยๆบรรจงเคี้ยวข้าวอย่างละเมียดละไม
“แกงเผ็ดเป็ดย่างนี้ดูแค่สีสันแล้วนึกว่าจะต้องเผ็ดเอาการ แต่พอได้กินเข้าไปจริงๆกลับไม่เป็นอย่างนั้น รสชาติมันกลมกล่อม มันส์ข้นด้วยกะทิกลมกล่อม เผ็ดปลายลิ้น เค็มปะแล่มๆ และที่สำคัญรสเปรี้ยวนี้เข้ากันได้ดีกับแกง ช่วยให้แกงไม่เลี่ยนเลย อร่อยจริงๆ” ผมบรรยายซะอย่างกะเป็นผู้บรรยายรายการทีวีแชมเปี้ยน
แค่น้ำแกงก้นหม้อยังทำให้ผมเพ้อได้ถึงขนาดนี้ ถ้าผมมีวาสนาได้กินทั้งน้ำทั้งเนื้อคงได้ขึ้นสวรรค์เป็นแน่
“นี่เจ้าน่ะ คุณชั้นบอกให้กลับเรือนเจ้าไปก่อน คุณชั้นมีแขก” บ่าวของเรือนคุณชั้นเดินมาบอกผม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นว่าที่หน้าบ้านมีเกวียนของใครสักคนมาจอด จากนั้นก็เห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวเหมือนมาจากเมืองเหนือ พร้อมกันนั้นก็มีหญิงสาววัยน่าจะเด็กกว่าผมไม่กี่ปี ยืนอยู่ข้างๆ
“ไปสิ มองอันใดอยู่เล่า ประเดี๋ยวคุณชั้นเธอก็เอ็ดเอาดอก” ผมสะดุ้ง ทำท่าเลิกลั่ก
“วางชามไว้ตรงนั่นแหละ เดี๋ยวขาจักเอาไปล้างเอง กลับเรือนของเจ้าไปเสีย”
บ่าวคนนั้นเร่งรีบผลักไสผมให้ออกไปจากเรือนของเธอ ผมลุกขึ้นปัดตูดสองสามที ก่อนจะเดินอ้อมไปทางหน้าบ้าน มองเห็นหญิงสาวคนนั้นใกล้ๆ
“เฮ้ย ทำไมหน้าเหมือน..........................”
..............................................................
ผมเดินครุ่นคิดบางอย่างกลับมา ตั้งแต่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นตาเธอมาก ทั้งๆที่เหมือนว่าจะใช่ แต่คิดอีกทีมันจะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อ..........
“อ้าว....หมอ ไปไหนมาหล่ะนั่น” ผมเดินก้มหน้า พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอหมอปีย์เดินสวนมา
“.................................” มันไม่ตอบ เดินเลี่ยงไปอีกทาง
“เฮ้ย ถามน่ะ ไม่ได้ยินรึไง” ก็ยังไม่ตอบ
“เป็นอะไรของมันวะ” แล้วมันก็เดินหายขึ้นเรือนไป
บ่ายวันนั้นอากาศร้อนมากลมสงบนิ่งไม่มีวี่แววว่าจะพัดพาความเย็นให้ได้คลายร้อนกันมั่งเลย ผมมองหาพัดลม หรืออะไรสักอย่างที่พอจะทำให้เกิดความเย็นขึ้นมาบ้างแต่ไม่มีเลย สายตาเหลือบไปเห็นบ่าวผู้ชายนุ่งโจงกระเบน ตัวลายพล้อยเต็มไปด้วยแป้งทั้งตัวจึงเกิดปัญญา
“อ้อ”
ว่าแล้วก็จัดแจงอาบน้ำอีกรอบ ก่อนจะเอาแป้งพิมเสนที่นังอ่ำมันละลายน้ำทิ้งไว้ให้มาทาตัวทาหน้าจนตัวลายเป็นตุ๊กแก ก่อนจะนุ่งผ้าถุงไปนอนผึ่งลมที่มีอยู่น้อยนิดที่ศาลา ระหว่างที่กำลังเดินไปที่ศาลา ก็เห็นห้องหนังสือเปิดอยู่ ชะโงกหน้าไปดูก็เจอหมอนั่นนั่งอ่านตำราอยู่อีกเช่นเคย
“ ทำไรอ่ะ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปถาม
มันก้มหน้าไม่ตอบ สงสัยกำลังยุ่ง ไม่เป็นไร แกล้งมันซะหน่อย
“นี่ๆ หูตึงรึไง ทำไมไม่พูด หรือเป็นใบ้” ผมสะกิดหลังมันเบาๆ แต่มันก็ไม่มีท่าทีจะสนใจผมเลย
ชักแป่งๆ
“เฮ้ย ไอ้หมอเนิร์ด เป็นไรป่าว ทำไมไม่ยอมพูดกับชั้น หรือว่า ชั้นทำอะไรผิดอีก”
“...........................”
“เฮ้ยพูดสิวะ บ้ารึป่าว เก็บกดไรก็บอก”
“..............................”
“นี่ ถ้าไม่พูด นะชั้นจะตะโกนให้ลั่นบ้านว่าโดนนายปล้ำ เอาป่าวหล่ะ” ไม้ตายๆ
“นี่ เลิกยุ่งกับ........................”จู่ๆมันก็เงยหน้าขึ้นมาหมายจะด่าผม แต่ทันทีที่มันเห็นสภาพผมเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนไปจากที่บึ้งตึงเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันกลับกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างหนัก
“เจ้าบ้า ทำอะไรของเจ้า ดูสารรูปสิ ดูได้ที่ไหน” ว่าแล้วแทนที่มันจะด่าผม มันกลับหัวเราะแทน
“ทำไม ก็ชั้นร้อนนี่นา บ้านนี้อยู่กันได้ยังไงไม่ร้อนกันมั่งเหรอ” ผมว่าพลางเอามือพัดลมใส่หน้าตัวเอง
“ไม่นี่ เราก็เห็นว่าเปนปกติดี อาจจะอ้าวไปบ้าง แต่ที่นี่ก็เปนเยี่ยงนี้อยู่แล้ว”
“เหรอ แต่ชั้นว่า ถ้าที่นี่ มีแอร์นะ จะน่าอยู่กว่านี้เยอะ” ผมว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง
“แอร์เหรอ” เขาทำหน้างง
“เออ ก็แอร์นะสิ อ๋อ ลืมไป สมัยนี้ไม่มีแอร์” ผมยิ้ม “แอร์บ้านชั้นก็คือ เครื่องสี่เหลี่ยมอันใหญ่ๆ เอาไว้แขวนไว้ตรงผนังห้อง มันจะทำให้ห้องเย็นขึ้นเวลาร้อนๆ” ผมอธิบาย
“จักเปนไปได้เยี่ยงใด ที่หีบสี่เหลี่ยมจะทำให้เย็นขึ้น”
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่หีบ”
“ก็เจ้าบอกว่าเครื่องสี่เหลี่ยม”
“เฮ้อ............” ผมถอนหายใจ
“บ้านเมืองเจ้าร้อนมากเลยรึ ถึงต้องมีหีบเช่นนั้นไว้เป่าลมเย็น” มันถาม
“เออสิ ร้อนกว่านี้หลายเท่าเชียวแหละ ร้อนแบบว่าตับแตกอ่ะ เคยได้ยินป่าว”
มันส่ายหน้า
“นี่นะ บ้านเมืองชั้นนะ เคยมีคนตายเพราะทนร้อนไม่ไหวด้วยนะ”
“พุทโธ่ จริงกระนั้นรึ” มันทำท่าตกใจ
“ก็เออ สิ สมัยชั้นนะ หน้าร้อนฝนตก หน้าฝนเสือกร้อน หน้าหนาวก็หนาวแป๊บๆ ฝนตกทีน้ำก็ท่วมใหญ่ แล้งที่คนก็เดือดร้อน” ผมบ่นให้มันฟัง
“นี่บ้านเมืองเจ้าวิปโยคขนาดนั้นเชียวรึ”
“อือ” ผมเอนตัวลงพิงพนักพิง รู้สึกร้อนวาบที่หว่างขา จึงแยกขาทั้งสองข้างออก ก่อนจะกระพือผ้าถุงผับๆให้ลมระบาย
“เฮ้ย เจ้าทำอันใดของเจ้ากัน เจ้าบ้า” หมอนั่นหน้าแดง หันหน้าหนี
“ร้อนอะดิ แฉะหมดแล้วเนี๊ยะ” ผมมองหน้ามัน “จะอายทำไม หน้าแดงหมดแล้ว”
“ว่าแต่ นี่นายโกรธชั้นเรื่องอะไรทำไมถึงไม่พูดกับชั้น เมื่อเช้าบอกจะมาปลุกก็ไม่มาปลุก”
“ไม่มีอันใดดอก” เขาบ่ายเบี่ยง มองไปทางอื่น
“ไม่มีอะไรได้ยังไง แหม อย่ามาโกหก โกรธที่ชั้นว่านายเป็นเกย์เหรอ” เขาไม่พูด
“หรือว่าโกรธที่.................”
“เราบอกว่าไม่มีอันใดก็ไม่มีอันใดสิ เราจักเป็นเยี่ยงไรก็มิใช่ธุระกงการอันใดของเจ้า ออกไปเสียจากห้องนี้ เราต้องอ่านตำรา” จู่ๆหมอนั่นก็เข้าสู่โหมดดราม่ายังฉับพลันจนผมตั้งตัวไม่ติด
“เฮ้ย อะไรวะ หัวเราะอยู่ดีๆ นึกจะเหวี่ยงขึ้นมาก็เหวี่ยงซะงั้น เมนส์ไม่มารึไง” ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
“ท่าทางจะวัยทอง”