A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118326 ครั้ง)

kihaezzzzzz

  • บุคคลทั่วไป
คุณหมอน่ารักที่สุด

รีบมาต่อนะ

Mileson

  • บุคคลทั่วไป
กลับมาแล้ว..เย้...ต่ออีกนะครับ ยังไม่หายคิดถึงเลย

ออฟไลน์ dragonnine

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-16
หมอปรีย์กำลัง สับสน นี่หน่า ขอเวลาหน่อยนะ พ่ออัชย์

ยังม่ายหายคิดถึงเลยมาต่ิอไวไวนะครับ

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ขออีกกกกกกกกค่ะ..คุณเป็ด.....ขออีกนะ มาต่ออีกนะ :pig4: :กอด1:

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :-[
หมองอน 5555 น่ารักดีแฮ๊ะ

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
เมื่อไหร่คุณชั้นจะสอนจริงๆจังๆสักที เซ็งว่ะ ชอบทรมานเจ้าอัชย์ :m16:

ที่คุณหมอเมินนี่สงสัยทำใจอยู่แหงๆ แทนที่จะทำแบบนั้นก็จีบเขาสิ! o3

แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน~ :m28:

ออฟไลน์ DarKLasT

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
สงสัยหมอกำลังทำใจอยู่แน่เลย

หักห้ามใจแน่ๆเลยหมอโถน่าสงสาร

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
อยู่ใกล้ใจมันสั่น เห็นหน้าแล้วหวั่นไหว ละสิ หมอปรีย์
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
ปล. อ่านเรื่องนี้ทีไร หิวและอยากตามไปทุกที  :z1:

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ผมว่ามันช้าเกินไปนะคับ

สองวันมาลงให้ทีละตอนก็ดีนะคับ

กำลังสนุกเลยคับ

อิอิ.....

ออฟไลน์ VICTORY

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 787
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
คุนหมอเป็นอะไรไปหรออ อารมแปรปรวน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






@StaR@

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาอ่านอ่านไปก็น่ะหิวไป
อัชย์ปากดีจริงๆแถมพาหาเรื่องด้วย
ชอบหมอปรีย์หมอน่ารักอ่ะ
แต่สงสารยังไงไม่รู้ที่มาชอบอัชย์
พี่ท่านแกดูเชี่ยวชาญแต่หมอเรานี่สิ
 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
คือสงสัยอะสงสัย หมอปีย์ยังจิ้นอยู่ใช่มิครับ  :z1:

ออฟไลน์ none_ny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
หมอปีย์ สับสนนัก ก็ปล้ำซะเลย หลังจากนั้น ค่อยว่ากัน จะได้รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ 555

Bi-toey

  • บุคคลทั่วไป

อยากบอกว่าชอบมาก! ออกแนวทวิภพแบบวายๆ

ยังจำคำที่พี่ซักคนนึงเม้นได้เลยค่ะว่า  'เจ้าคุณขอรับ กระผมเจ็บ' เห็นครั้งแรก กร๊ากกกกกกกกกกกก! คิดได้อ่ะค่ะ กดไลค์ๆ

แล้วที่อัชท์เล่าให้หมอปีย์ฟังเกี่ยวกับกรุงเทพ เป็นใบเตยก็ไม่เชื่อนะ ว่าสยามประเทศจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนั้น..):

โดยเฉพาะเรื่องเกาหลี รู้จึกเหมือนมีอะไรมาแทงที่หลัง ทะลุถึงหัวใจ T^T เพราะเป็นอีกคนที่ชอบพวกเกาหลี จนบางทีก็หลงลืมความเป็นไทย
แล้วก็เรื่องต่อแถวซื้อโดนัทอีก แอบสารภาพว่าเคยไปต่อคิวมาแล้วเหมือนกัน ):

อ่านเรื่องนี้แล้วได้รู้อะรเกี่ยวกับความเป็นไทยมากมายเลย รู้สึกเริ่มเห็นคุณค่า << เพิ่งเริ่มเรอะ!!

อยากบอกว่า กดไลค์ค่ะๆ ><'

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
หมอปีย์ออกจะคุณชาย  นายเอกเรารึไม่มีกิริยาเอาเสียเลย  เฮ้อ

kihaezzzzzz

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
หาตั้งนานหาไปถึงหน้า ห้าเลย ไม่นึกว่ายังอยู่หน้าแรก 555 รอแป๊บนะครับ
เรื่องนี้ยากส์อ่ะ ต้องหาข้อมูลหน่อย

แต่รับรองครับ จะไม่ทำให้ผิดหวัง ไปหล่ะ เฟี้ยวววววววววววววววววววววววววววววว :bye2:

Bi-toey

  • บุคคลทั่วไป
จิ้มมมมมมมมมม! :z13:

รีบมาต่อนะคะ สู้ๆ ^0^

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
 :call: ขอให้หาข้อมูลได้เยอะๆมาลงทีเดียว 3 ตอนรวด

PB

  • บุคคลทั่วไป
หิวเปดดดดดด

อยากกินเปดดดดดดดดดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






aimaim

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
หุหุเจอโดยบังเอิญ แต่พออ่านแล้วชอบมากกกกกกก
อิอิ ติดตามจ้า^^

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
เรื่องนี้ก็เงียบเหงาT^T

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
วันนี้ก็จะรอเหมือนเดิมคับ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
หลายวันมานี้ผมไม่มีเวลาแวะไปเรือนหลังสวนเลย เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องคุณชั้นและไอ้หมอปีย์ขี้งอน ตอนเย็นมีโอกาส จึงเดินเรื่อยเปื่อยไปหลังสวน เพื่อไปเยี่ยมไอ้แดงมันโดยไม่ลืมเดินไปขอขนมต้มใส่ห่อใบตองไปฝากมันด้วย
         สะพานไม้ไผ่ตรงเรือนหลังสวนถูกดึงออกไปไว้อีกฝั่ง ผมข้ามไปไม่ได้หากไม่มีสะพานนั้น
“เฮ้ย มีใครอยู่แถวนี้มั๊ย ช่วยเอาสะพานมาพาดให้หน่อยสิ” ผมร้องเรียก เห็นหลังนายสนไวๆ
“เฮ้ยๆ สนๆ” ผมตะโกน หมอนั่นหันมามองก่อนจะหยุดนิ่ง “ช่วยเอาไม้ไผ่มาพาดให้หน่อยสิ”
สนหยุดนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินมาลากไม้มาพาดให้ผมที่ยืนรออีกฝั่งอย่างเสียไม่ได้
“เป็นไรไปหมดวะ คนบ้านนี้”
ไม้ไผ่ที่วางไว้เป็นสะพานนี้ ถึงมันจะดูเปราะบาง แต่จริงๆแล้วแข็งแรงมาก มีความยืดยุ่นสูง เพราะฉะนั้นผมจึงไม่กลัวที่จะหล่นน้ำเลยแม้แต่น้อย
“ทำอะไรของนายอ่ะ” ผมเดินเข้าไปใกล้นายสนที่กำลังง่วนอยู่กับการคนอะไรบางอย่างในกระทะ ควันโขมง ข้างๆกันนั้นมีเจ้าแดงนั่งเท้าคางมองอย่างสนใจ
“เฮ้ย แดง” ผมร้องเรียก มันทำหน้าดีใจ ก่อนจะวิ่งเข้ามาหา หากเป็นผมคนก่อน ผมคงวิ่งหนีเด็กคนนี้ไปแล้วด้วยสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้ แต่ผมคนนี้กลับมองอะไรเปลี่ยนไป ผมโอบไล่มันอย่างแผ่วเบา เข้าใจความรู้สึกที่ว่า “ไม่มีใครได้อย่างถ่องแท้”
“นี่พี่เอาขนมต้มมาฝากด้วยน๊า อร๊อยอร่อย ข้างในนะ มีน้ำตาลแว่นหวานๆด้วย แล้วก็มีมะพร้าวทึนทึกโรย นี่ น่ากินมั๊ยหล่ะ” ผมยื่นให้เจ้าแดง มันพยักหน้างึกๆก่อนจะรับเอาไปแล้วแอบไปนั่งกินบนแคร่เงียบๆ
“เจ้าเอามาให้มันทำไม” นายสนดุ
“อ่าว ทำไมหล่ะ ก็ชั้นเห็นว่ามันน่ากินก็เลยเอามาให้กิน ทำไมต้องดุกันด้วย”
“หากแม้นวันนึงเจ้าไม่อยู่ เจ้าแดงมันมิต้องรอกินขนมต้มเก้อกระนั้นรึ”
ผมไม่เข้าใจว่านายสนพูดอะไร แล้วทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยกะอีแค่เอาขนมมาให้เด็กแค่นั้น
“หมายความว่าไง”
“เจ้าหาได้รู้เรื่องอันใดของที่นี่เสียจริง” สนกล่าวอย่างหงุดหงิด ทิ้งไม้พายกระทบขอบกระทะดังเพล้ง ก่อนจะลุกไปตักน้ำล้างหน้า
“เรื่องอะไรที่เราไม่รู้ ก็บอกมาสิวะ ทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่กันด้วย” ผมขึ้นมามั่ง
.
.
.
.
.
.
นายสนเงียบไปครู่ใหญ่
“การรอคอยจะฆ่าเจ้าแดงมัน” นายสนพูดแค่นี้ แต่แค่คำพูดแค่นี้ก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรได้มากขึ้นแล้ว
“ทุกวันนี้ ไอ้แดงมันก็ชะเง้อคอยแต่เจ้า เจ้ารู้หรือไม่”  เขาเดินกลับมาที่กะทะใบเดิม คนข้าวที่สุกกำลังดี กลิ่นไหม้โชยมาเบาๆ
“ชั้นขอโทษ” ผมสำนึกผิด “แต่ชั้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา เอาเป็นว่า ชั้นสัญญาว่าชั้นจะมาเยี่ยมเจ้าแดงมันทุกวัน เน๊อะ แดงเน๊อะ”  ผมหันไปพยักหน้ากับไอ้แดง มันยิ้มร่าเคี้ยวขนมต้มอย่างมีความสุข

สีหน้าของนายสนเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ดูเหมือนมันจะยอมเข้าใจในตัวผมมากขึ้น
“นี่นายต้องหุงข้าวมากมายขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ” ผมถาม ตอนแรกมันไม่ตอบ แต่ผมถามซ้ำเป็นครั้งที่สองอย่างใจเย็นมันถึงยอมตอบ
“ชาวบ้านที่ป่วยที่นี่มีมากนัก ข้าวแค่นี้หาพอไม่” มันตอบห้วนๆ
“แล้วให้พวกเขากินกับอะไรหล่ะ”
“สำรับจะถูกยกมาจากเรือนใหญ่ ส่วนข้าวต้องหุงเอาที่นี่เพราะมันหนัก ไม่มีใครยกไหว”
“อ๋อ ผมพยักหน้าเข้าใจ
“ให้ชั้นช่วยคนมั๊ย” ผมยื่นมือไปรับไม้พาย สนเงยหน้ามามองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยื่นไม้พายให้ผม
ไม้พายที่ทำจากไม้ไผ่นั้นหนักอึ้งเมื่อลงไปคนอยู่ในข้าวที่กำลังสุกได้ที่ ยิ่งไอร้อนจากข้าวลอยมาปะทะใบหน้าด้วยนั้นยิ่งทำให้ผมยิ่งเงื่อไหลมากขึ้น
“โอย” ผมครางเบาๆเพราะหนัก
“อึ๊บ” พยายามจะงัดข้าวสวยขึ้นมา นายสนกับเจ้าแดงนั่งลุ้นกับจนออกนอกหน้า
“อึ๊บบบบบบบบบบ” ฮึด” แล้วผมก็รวบรวมพลังทั้งหมดแงะข้าวร้อนด้านล่างหวังให้มันกลับขึ้นมาข้างบน แต่คงจะลงแรงเยอะไปหน่อย ข้าวสวยที่ค่อนแฉะนั้นจึงกระเด็นออกจากกระทะ
“แหมะ” ข้าวลอยมาติดแหมะอยู่ที่หน้านายสน หมอนั่นสะดุ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง ควันจากข้าวร้อนๆลอยกรุ่นๆ ผมยืนกำไม้พายแน่นด้วยความตกใจ
นายสนนิ่งได้ครู่เดียว แววแต่แน่นิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สักพัก ก็ทนไม่ไหว ตะโกนออกมาลั่นบ้าน
“โอ้ย ร้อน ร้อนๆ” ก่อนจะวิ่งพร่านตักน้ำในโอ่งมาล้างหน้าโดยไว ผมกับเจ้าแดงหัวเราะกันท้องแข็ง เห็นมาดเหี้ยมๆแบบนี้ ก็ขำกับเขาเหมือนกันนะนายสน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เราทั้งคู่ล้มตัวลงบนแคร่หัวเราะกุมท้อง

เหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนเป็นการทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างผมกับนายสน หรือภาษาอังกฤษวันละคำเรียกว่า break the ice นั่นเอง
 นายสนคว้าไม้พายมาจากมือผม ก่อนจะเอาไปคนสักครู่แล้วตักข้าวที่สุกขึ้นใส่ในหม้อ
ข้าวสวยเม็ดงามที่อวบอิ่ม เป็นข้าวที่ไม่ขัดสี เป็นข้าวสีแดงๆ
“คนจนๆอย่างพวกเราไม่มีปัญญากินข้าวงามแบบเรือนใหญ่เขาดอก ไอ้แดงเอ้ย”
นายสนบ่นน้อยใจ
“เฮ้ย แต่ข้าวแบบนี้บ้านชั้น คนรวยเท่านั้นถึงจะกินได้นะนายสน รู้ป่าวว่ามันมีประโยชน์มาก ช่วยแก้เหน็บชา มีวิตามิน ไม่ให้เลือดออกตามไรฟัน มีประโยชน์ต่อระบบประสาทด้วยนะ” ผมเล่าให้สนฟัง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่
“ไอ้แดง ไปเอาช้อนเขียวมาทีสิวะ ข้าจะขูดข้าวตังให้กิน” นายสนร้องบอกเจ้าแดง ผมชะโงกหน้าไปดูก้นกะทะเห็นข้าวไหม้เกรียมติดกะทะส่งกลิ่นหอม สักพักเจ้าแดงวิ่งหน้าตั้งดีใจออกนอกหน้าถือช้อนวิ่งเข้ามา
“กินได้ด้วยเหรอ อี๋ ดำขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตาย” ผมว่า เพราะเคยเรียนมาว่า อาหารที่ไหม้เกรียมเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
แต่สองคนนั่นไม่สนใจผมเลย ตั้งหน้าตั้งตาขูดข้าวตังก้นกะทะที่พอถูกขูดก็ม้วนเป็นแผ่นกลม ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
“หยิบเกลือมาให้ข้า” ไอ้แดงยื่นถ้วยเกลือสินเธาว์ให้นายสนอย่างกระตือรือร้น หมอนั่นหยิบเกลือขึ้นมาเม็ดนึง โรยไปที่หน้าข้าวตังก่อนจะใช้มือขยำๆปั้นๆจนเป็นก้อน กลิ่นหอมของมันทำเอาผมหวั่นไหว
“เป่าก่อนนะเว้ย ถ้าไม่อยากปากพอง” เจ้าแดงรับข้าวปั้นมาใส่มือ ก่อนจะเป่า พู่ๆ แล้วโยนข้าวปากเคี้ยวหมุบหมับ
ผมมองเจ้าแดงกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมั๊ยว่ะ”
“อืมๆ” มันพยักหน้าเคี้ยวตุ้ยๆ หันไปที่นายสน หมอนั่นก็โยนเข้าปากตัวเองหมับ
ผมกลืนน้ำลายเอือกเพราะกลิ่นมันรัญจวนใจเหลือเกิน
“ไม่ได้ ไม่ได้เดี๋ยวเป็นมะเร็ง” ท่องไว้ๆ
“เอาอีกมั๊ยไอ้แดง” นายสนถาม
“อื้อ อื้อ” แดงรีบพยักหน้า
ทั้งคู่กินข้าวตังโรยเกลือกันอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมั๊ยอ่ะ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว หันไปถามนายสน หมอนั่นมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะยื่นข้าวปั้นมาให้ผมก้อนหนึ่ง
“ลองกินเอง”
ผมทำท่าลังเล แต่ก็รับมาแต่โดยดี
“มันจะอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะ” คิดในใจ เอาก็เอาวะ ครั้งเดียวเป็นมะเร็งตายให้มันรู้ไปว่าแล้วก็โยนใส่ปาก เคี้ยวกรอบๆ
“อืมมมมมมมมมมมมม” โห รสชาติไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อยได้ขนาดนี้ มันมีความหอมของถ่าน ความไหม้ของข้าว ความมัน ความกรุบกรอบ กลิ่นและรสสัมผัสที่พิเศษจนอธิบายลำบาก อีกทั้งความเค็มปะแหล่มๆพอดีของเกลือนั้น  ยิ่งเพิ่มรสชาติของข้าวตั้งหน้าเกลือให้อร่อยยิ่งขึ้น
“นายสน” ผมร้อง แววตาเป็นประกาย “จัดมาอีก ชุดใหญ่”
...........................................



ช่วงที่ผมติดแหง็กอยู่ที่นี่เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าที่ที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่พัดลม หรือสิ่งบันเทิงเริงใจอย่างอื่นอย่างที่นี่จะทำให้ผมลืมนับวัน นับเดือน ได้
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นที่ที่ดูเผินแล้วน่าเบื่อ แต่จริงๆ พอเราได้มาอยู่กับธรรมชาติ ผมกลับพบว่า ธรรมชาตินั้นน่าหลงใหลกว่าตึกรามบ้านช่อง ห้างใหญ่ๆ โรงหนัง หรือแม้แต่ห้องคาราโอเกะเป็นไหนๆ
 
กิจวัตรประจำวันของผมยังคงเหมือนเดิม เช้าไปเรียนทำอาหาร ไม่สิ นั่งดูเขาทำอาหารที่เรือนคุณชั้น เธอให้ผมนั่งเลือกข้าวสารอยู่เป็นอาทิตย์ จนผมสามารถหลับตาแล้วใช้มือลูบไปบนกระด้งข้าวสารก็สามารถรู้ได้แล้วว่าอันไหนข้าวสารอันไหนข้าวเปลือก จนวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเดินไปตักข้าวสารใส่กระด้งเองอย่างรู้หน้าที่ คุณชั้นกลับให้คนมาบอกผม ให้มาช่วยตำพริกแกงแทน
“ในที่สุดก็ได้เลื่อนชั้นซะที” ผมยิ้มในใจ
 
เมื่อเสร็จจากการทำอาหารที่เรือนคุณชั้น ผมก็จะถือวิสาสะนั่งเล่นที่เรือนนั้นครู่ใหญ่ เพื่อให้หายคิดถึงบ้าน บางครั้งหนูวาดก็จะมาเล่นขายของอยู่ใกล้ให้ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ผมพอจะรู้จักบ้างอยู่ที่นี่
ผมจะนั่งดูหนูวาดเล่น บางครั้งก็คุยกับเธอจนเกือบเที่ยง จึงกลับเรือนหมอปีย์เพื่อไปกินข้าวเที่ยง  แต่พักหลังๆมานี่หมอนั่นชอบทำตัวแปลกๆ ห่างเหินยังไงบอกไม่ถูก ในทางตรงกันข้ามผมกลับดันไปสนิทกับสนมากกว่า เพราะฉะนั้นในบางวัน ผมจึงไม่ขึ้นเรือน แต่กลับไปกินข้าวเที่ยงกับสนและเจ้าแดงที่เรือนหลังสวนแทน
 
“นี่เจ้าบ้า” สนพูดขึ้นในขณะที่ใช้มือหยิบเนื้อปลาช่อนที่เผาจนหอมสุกใส่ชามข้าวตัวเองตามด้วยน้ำพริก
“ว่า” ผมเงยหน้ามามอง ในปากเคี้ยวผักบุ้งลวกที่ขึ้นตามคลอง ก่อนจะหยิบเนื้อปลาใส่จานให้เจ้าแดงมัน
“อีกไม่กี่เพลา พระนครเราจะมีงานใหญ่ เจ้าจักไปด้วยหรือไม่”
“งานอะไรเหรอ” ผมถามด้วยความอยากรู้
“งานภูเขาทอง วัดสะเกศ หลวงท่านจัดตั้ง ๗ วัน ๗ คืน” สนเล่า
“เฮ้ย เหรอ เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นเลย เขามีอะไรกันเหรอ” ผมถามเพราะเหมือนเคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป
“งานภูเขาทองจัดขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นการละเล่นทางน้ำจัดที่คลองมหานาค ต่อมาพระพุทธเจ้าหลวงท่านทรงสร้างภูเขาทอง และนำเอาพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาประดิษฐาน งานภูเขาทองนี้จึงเสมือนเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ”
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เมื่อก่อนขับรถจะไปเที่ยวข้าวสารบ่อยๆก็ไม่รู้หรอกว่าเขามีอะไร “ว่าแต่นี่มันเดือนอะไรแล้วอ่ะ”
“เดือน ๑๒” สนตอบ
“วันเพ็ญเดือน ๑๒ น้ำก็นองเต็มตลิ่ง อ้าว ...” ผมจำได้ว่าช่วงเดือนนี้มันมีลอยกระทงด้วยนี่ แต่ไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นเขามีลอยกระทงกันรึเปล่า “ แล้วมันไม่ตรงกับลอยกระทงเหรอ”
“ใช่ ลอยกระทงจะจัดวันสุดท้ายของงาน”  อ่าว มีด้วยเว้ย
“เจ้าจะไปรึไม่” มันหันมาถาม
“ยังไม่รู้เลย” ความหมายของผมคือ ยังไม่รุ้ว่าจะอยู่ถึงวันนั้นรึเปล่า ไม่รู้ว่าจะถูกดึงกลับปัจจุบันวันไหน
“ทำไมรึ ข้าว่าหลวงพินิจคงจักต้องไปเปนแน่ เจ้าไปลองขอท่านดูสิ” เนื้อปลาช่อนถูกหยิบไปอย่างรวดเร็ว อาหารมื้อนี้ไม่มีอะเป็นพิเศษ แต่วันกลับอร่อยเพราะได้ปลาสดๆ ผักสดๆ บรรยากาศดีๆ
“ไม่อ่ะ” ผมแบะปาก นึกถึงหน้าหมอนั่นแล้ว ไม่รู้ทำไมช่วงนี้มันถึงได้ทำตัวน่ารำคาญมากเป็นพิเศษ ปกติก็น่ารำคาญอยู่แล้ว บางครั้งมันจะเดินเลี่ยงผมเมื่อผมเดินผ่าน ช่วงกินข้าว มันก็จะเลี่ยงให้บ่าวยกไปให้ในห้องทำงานแทน หรือแม้แต่ผมเดินเข้าไปคุยกับมันในห้อง มันก็แกล้งหลับซะอย่างงั้น จนหลังๆผมเองก็เริ่มเบื่อ ก็เลยเฉยชากับมันแทน
“ทำไมรึ หรือเจ้ากลัว ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจักลองคุยกับท่านให้”
ผมไม่พูดอะไร

“ไปด้วย ไปด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าแดงร้องดังขึ้น มันทำท่าตื่นเต้น
“เจ้าจักไปได้เยี่ยงใด ประเดี๋ยวหลวงท่านก็จับเอาไปให้โปลิสดอก ไม่กลัวรึ” นายสนขู่ สีหน้าที่เคยร่าเริงของเจ้าแดงก็จ๋อยลงทันที
“ทำไมแดงถึงไปไม่ได้เหรอ นายสน” ผมถาม
“สภาพมันเยี่ยงนี้จักไปไหนได้อย่างไรกันเล่า ชาวบ้านข้างนอกนั่น เขาไม่ได้เข้าใจโรคนี้อย่างเจ้านี่” สนอธิบาย ผมหันไปมองหน้าเจ้าแดงที่ตอนนี้นั่งก้มหน้านิ่งด้วยความผิดหวัง
“เอาน่า เดี๋ยวพี่ซื้อช้างมาให้เอาป่าว” ผมยิ้ม มันเงยหน้าขึ้นมองแววตาเบิกกว้าง
“เอาช้าง เอาช้าง” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เน๊อะ เดี๋ยวเอามาให้ 3 ตัวเลยดีมั๊ย”
“ดี ดี ดี” ว่าแล้วมันก็ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ ผมหันไปมองหน้ากับสน เราทั้งคู่ถอนหายใจ ต่างเข้าใจความรู้สึกสงสารแดง
...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2011 13:34:52 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ sleepyzz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-3
จิ้มๆๆๆๆๆ

...............................
แหะๆๆ หมอปีย์นี่ยังไงทำเป็นหลบหน้าหลบตา ชิช๊ะๆๆๆ อยากโดนดีรึ หุๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-02-2011 20:20:04 โดย sleepyzz »

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
น่าแปลก สมัยนี้การแพทย์ก็ก้าวหน้า แต่ก็ยังมีโรคเรื้อนอยู่อีก แถมคนยังรังเกียจอยู่เหมือนเดิมด้วย

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
น่าสงสารแดงจัง แต่เจ้าบ้า เอ๊ย!อัชก็ใจดีเนอะ ถึงจะบ้าๆบอๆ 55+ ชอบตรงนี้แหละ^^

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
อ่านแล้วเห็นใจคนเป็นโรคเรื้อนเลยครับ  ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คนยังไงไม่รู้

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
สภาพบ้านเมืองตอนนี้เมื่อเทียบกับยุคสมัยผมช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นในยุคผมนั้น ทำให้เราหลงลืมไปว่าบรรพบุรุษเราลำบากเพียงใด ในการที่จะทำให้เรามีวันนี้ ผู้คนในสยามตอนนี้ ส่วนใหญ่ที่เป็นคนไทยจะเป็นทาส เป็นบ่าว บางคนปู่ย่าตาทวด เป็นทาส ตัวเองเกิดมาก็มีสถานะเป็นทาสไปโดยปริยาย ลองนึกง่ายๆว่า จู่ๆเราเกิดมาโดยที่มีพ่อแม่ เป็นคนขายน้ำตาลปีบ เราก็จะถูกตีตราไว้แล้วว่า เราจะต้องเป็นคนขายน้ำตาลปีบ คิดดูว่ามันจะรู้สึกอย่างไร น่าสงสารคนสมัยก่อนนะ ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะชินกันหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นผม ผมคงอึดอัดน่าดู
คนสยามสมัยก่อน เรื่องความฝัน และอนาคตคงเป็นสิ่งที่ลางเลือนสำหรับพวกเขาละมั้ง
“น้า น้าไม่อยากไปทำอย่างอื่นเหรอ” ผมถามขณะที่นั่งมองชายคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการขุดดินเตรียมปลูกต้นพุด
“จะให้ข้าทำอันใด” เขาตอบ
“ก็ ค้าขาย เป็นเจ้าของกิจการ อะไรอย่างงี้”
“เจ้าจะไปลำบากแบบพวกเจ๊ก พวกมอญไปทำไม ในเมื่ออยู่เยี่ยงนี้ก็มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกิน ไม่อดตาย”
“แต่น้าไม่อยากรวยเหรอ นี่ ยุคชั้นนะ คนจีนนะ มีเงินเป็นพันล้านเลย” ผมทำตาโต
เขาไม่ตอบ แต่เลือกที่จะเดินหนีไป คงรำคาญผมที่ผมเซ้าซี้
“หือ มิน่าหล่ะ” ผมเปรยในใจ




“เจ้าบ้า   ผ้าอยู่ไหน ข้าจักเอาไปล้าง” นังอ่ำตะโกนลงมาจากบนเรือน ผมเงยหน้าขึ้นไป พลางลุกขึ้นเดินขึ้นเรือน
เสื้อผ้าที่ถูกวางกองไว้ในหีบไม้จักสาน ถูกผมรื้ออกมา ไม่มีแบบหรือลวดลายให้เลือกมากนักหรอก สำหรับแฟชั่นที่นี่ ผมใส่อย่างมากก็แค่ผ้าที่เอาไปย้อมกับรากไม้ให้เป็นสีน้ำตาลแก่ กับเสื้อคอจีนที่ซื้อมาจากพวกเจ๊กขายของย่านเยาวราชสมัยนี้ แค่นั้น  ส่วนทรงผมนั้น หลวงท่านเพิ่งประกาศให้ชาวบ้านผู้ชายทั่วไปสามารถไว้ผมยาวคล้ายฝรั่งได้แล้ว ส่วนผู้หญิงให้ทำผมทรงกระทุ่ม และให้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างฝรั่งในเวลาที่เป็นทางการหรือมีงานราชพิธีที่สำคัญๆ
แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วนั้น สิ่งพวกนี้ยังไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ ผมก็ยังเห็นคนทั่วไป ทั้งบ่าว ทั้งนาย ยังนุ่งผ้า ประแป้งตัวลายกันอยู่เลย
“นี่” ผมเรียกนังอ่ำ “ ไม่อยากเป็นไ ทมั่งเหรอ”
นั่งอ่ำไม่พูดอะไร แต่มองผมเหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาดจากต่างดาวยังไงยังงั้น คำว่า “ไท” ในตอนนั้นคงเป็นคำที่คล้ายๆคำว่า “บอลไทยจะไปบอลโลก” ประมาณนั้นล่ะมั้ง  
“ถ้าชั้นจะบอกว่า อีกไม่กี่ปี หลวงจะเลิกทาส จะเชื่อมั๊ย”
“เจ้าพูดอันใดของเจ้า  เจ้าบ้า อย่าให้ความนี้ไปถึงหูผู้อื่นทีเดียวเชียว คอเจ้าจะหลุดจากบ่า” อ่ำตกใจถลึงตาโต จ้องเขม็งมาที่ผม มันทำเหมือนสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามยังงั้นแหละ
“เร่งไปกินข้าวเสีย สำรับจัดไว้ ประเดี๋ยวคุณหลวงมาแล้ว ท่านจะคอย”





ผมเดินออกมาจากห้องตรงมายังศาลากลางบ้าน ที่ที่สำรับถูกจัดไว้ หมอนั่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ทำทีไม่สนใจผมที่กำลังนั่งลงข้างๆ
“มีต้มสายบัวด้วย” ผมลูบมือ “กินได้รึยังหล่ะ” หันไปถามหมอปีย์ เขาไม่ตอบ แต่หยิบช้อนขึ้นตักยำดอกขจรใส่จาน
“เชี่ยะ” เปรยเบาๆเบื่อกับอาการเย็นชาของมัน

อาหารมื้อนั้นดำเนินไปด้วยความเงียบเหงา ได้ยินแต่เสียงช้อนกระทบจานกระเบื้องเป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าต้มสายบัวกับยำดอกขจรจะอร่อยแค่ไหน แต่ลิ้นก็ไม่สามารถลิ้มรสอาหารได้เต็มที่เมื่อเห็นหน้าที่บึ้งตึงของหมอนั่น
“คุณหลวงขอรับ จะรับของหวานเลยหรือไม่ขอรับ” นายสนซึ่งว่างจากงานที่เรือนหลังสวนขึ้นมาช่วยงานบนเรือนใหญ่ถาม
“วันนี้มีอะไรทานรึ” หมอปีย์หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก
“เห็นครัวเขาทำแกงบวชฟักทองน่ารับทานทีเดียวขอรับ” สนยิ้ม ก่อนจะหันมาที่ผม ผมส่ายหัว เพราะกินอะไรไม่ลง
“เอามาสิ” หมอปีย์พูด
“ขอรับ เอ่อ” สนทำท่ายึกยัก
“มีการอันใดอีกรึ”
“เอ่อ คุณหลวงขอรับ เรื่องงานภูเขาทองที่จะจัดที่วัดภูเขาทองน่ะขอรับ” สนก้มหน้า ไม่กล้าสบตา
“ทำไมรึ”
“เอ่อ คุณหลวงจะไปหรือไม่ขอรับ”
“จริงสิ งานจะจัดขึ้นแล้วนิ  แต่เราคงไม่ไปดอก ทำไม เจ้าอยากไปรึ”
“ขอรับ กระผมอยากไปชมงิ้วเจ๊กน่ะขอรับ เห็นเขาว่าโล้สำเภามาจากเมืองจีนทีเดียวเชียวนะขอรับ” นายสนทำท่าตื่นเต้น เขาเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าเป็นไทยแท้ คมเข้ม ร่างกายกำยำล่ำสัน ไม่สูงมากแต่แข็งแรง ใบหน้าที่บึ้งตึงนั้น พอยิ้มเข้าก็หวานไม่หยอก
“อยากไปก็ไปเถิด” หมอปีย์ยกขันน้ำขึ้นจะดื่ม
“เอ่อ แต่ คุณหลวงขอรับ...............” สนยังไม่ยอมลุกไปเอาขนมเสียที
“มีอันใดอีกเล่า”
“กระผมจะขออนุญาตพา  เอ่อ พาเจ้าบ้าน่ะขอรับไปงานด้วยจะได้หรือไม่ขอรับ”
“............................” หมอนั่นนิ่งไปพักใหญ่ มือถือขันน้ำค้างไว้
“.............................”
“ได้มั๊ยขอรับ”
“ก็แล้วทำไมเจ้าไม่ไปถามเจ้าตัวเองเล่า มาถามเราจะได้ความอันใด  เห็นหมู่นี้ดูสนิทสนมกัน เจ้าไม่ขอเขาเองหล่ะ” ในที่สุดหมอนั่นก็ดื่มน้ำจากขัน ผมรู้สึกนิดๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าหมอนั่น ประชด
“กระผมเห็นว่าเจ้าบ้ามันเป็นแขกของคุณหลวงน่ะขอรับ ถ้าคุณหลวงอนุญาติงั้นกระผมพาเจ้าบ้าไปด้วยนะขอรับ” สนทำท่าดีใจที่มีเพื่อนไปเที่ยวด้วย เขาลุกขึ้นรีบเดินไปเรือนครัวเพื่อยกของหวานมาให้หมอปีย์
ผมเองก็ดีใจ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องไปขอกะหมอปีย์ มันไม่ใช่ผู้ปกครองผมเสียหน่อย อีกอย่างไม่ชอบด้วยที่หมอนั่นพูดแบบนี้
เมื่อสนเดินออกไป บรรยากาศก็กลับมาอึมครึมอีกครั้ง
“ทีหลังมิต้องใช้สนมาขอเราดอก อยากไปไหนก็ไป” หมอปีย์พูดขึ้นมาลอย แต่ดันเข้าหูผม นึกในใจอ้าว กูทำไรผิด
“ไม่ได้ใช้ให้ใครมาขอ มันมาขอของมันเอง” ผมตอบไม่มองหน้า แต่น้ำเสียงแข็งกร้าว
“...................................”เงียบ
.
.
.
.
“ถ้าเจ้าไม่สะดวกใจจะนอนเรือนใหญ่ เราอนุญาติให้เจ้าไปนอนเรือนหลังสวนกับนายสนได้”
อ๊าว ไอ้นี่ อะไรของมันวะ
“อะไรของนาย เป็นบ้าอะไรว่ะ” ขึ้นวะขึ้นเว้ยแล้ว เดือดๆ
“เราแค่เห็นเจ้าสนิทสนมกับสนมากเป็นพิเศษ อยู่กับสนแล้วเจ้าหัวเราะร่า ก็แค่อยากให้เจ้าอยู่อย่างสบายใจ”
“ชั้นจะสบายใจหรือทุกข์ใจมันก็เรื่องของชั้น ไปเกี่ยวอะไรกับนาย”
“ไม่เกี่ยวดอก เราไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเจ้าดอก” มันพูดน้ำเสียงประชดประชัน
ผมกำลังจะอ้าปากเถียงก็พอดีกับที่นายสนยกของหวานมาให้หมอนั่นพอดี
“ฟักทองบวชขอรับ กำลังร้อนๆ” เขาวางลงตรงหน้าหมอปีย์ ก่อนจะหันมาที่ผม “เจ้าบ้า หากเจ้าไม่มีชุด เรามีให้เจ้ายืมนะ” เขายิ้มอย่างมีความสุข หารู้ไม่ว่ากูจะตายอยู่แล้ว
จบประโยคนั่น หมอปีย์ก็ลุกพรวดขึ้นยืนก่อนจะก้าวเท้าเดินตึงๆ
“อ้าว คุณหลวงไม่รับทานแล้วหรือขอรับ” ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเล้ย สนเอ้ย
“เก็บไว้ให้นายคนใหม่ของเจ้าทานเถอะ” เขากระแทกเสียงก่อนจะเดินหายเข้าห้องไป
“เป็นอะไรของเขาวะ” สนเกาหัวแรกๆ “คุณหลวงเป็นอะไรหรือเจ้าบ้า” มันหันมาถามผม
“ไม่รู้เว้ย สงสัยแม่มผีเข้า ไอ้บ้า” ผมด่าไอ้หมอปีย์งี่เง่าก่อนจะลุกเดินตาหมหมอนั่นหายเข้าห้องไป
ทิ้งให้สนนั่งงงอยู่ตรงนั้น............คนเดียว












นับตั้งแต่วันนั้นผมกับหมอปีย์ก็เย็นชามากขึ้น วันทั้งวันหากมันไม่ขลุกอยู่แต่ในห้องหนังสือ ก็จะหายหัวไปไหนไม่รู้ของมันทั้งวัน
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะสนใจมันหรอก หากมันไม่ใช่เจ้าของบ้านน่ะ แต่อยู่แบบนี้แล้วโคตรอึดอัดเลย ผมจึงหลบภัยอยู่ที่เรือนหลังสวนบ้าง ไม่ก็ไปขลุกอยู่ที่เรือนคุณชั้นบ้าง อย่างวันนี้เป็นต้น
“นี่ หนูวาด อยู่ที่นี่ไม่เบื่อเหรอ คุณชั้นดุขนาดนี้” ผมถามขณะที่นั่งเล่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำ หลังจากเรียน ไม่สิ นั่งดูคุณชั้นนั่งแกะเมล็ดน้อยหน่า
“ฮึ” หนูวาดส่ายหน้า เล่นตุ๊กตาดินเผาต่อไป “คุณชั้นใจดีกับหนูวาดนี่นา ไม่เห็นดุเลย”
“อี๋ นี่อ่ะนะ ใจดี หน้าเป็นนางยักษ์ทั้งวันเลย” ผมทำท่าแขยง
“อิ อิ อิ” หนูวาดหัวเราะอย่างถูกใจ “คุณชั้นจะดุเฉพาะคนที่เธอไม่ชอบ หนูวาดเห็นเธอดุบ่าวที่เป็นผู้ชายบ่อยๆ”
“เหรอ  เฉพาะผู้ชายเหรอ”
“ใช่ ใช่”
“เป็นทอมรึป่าววะ” ผมบ่นเบาๆ
“อะไรคือทอม”
“อ๋อ ไม่มีอะไร ว่าแต่ พ่อแม่หนูวาดไปไหนเสียหล่ะ” ผมถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่ยายทวดเสียไปตั้งแต่เกิด
“ไม่รู้ คุณชั้นเก็บหนูวาดมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆแล้ว คุณชั้นบอกว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร คุณชั้นเป็นให้ได้”  ผมได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งแทนยายทวดของผม จริงๆแล้ว คุณชั้นก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นี่เน๊อะ
“แล้วเรือนตัวอยู่ที่ไหน” หนูวาดถาม
“อยู่นี่แหละ ที่ที่หนูวาดอยู่นี่แหละเรือนผม”
“หือ ไม่จริงดอก อย่ามาปดกับหนูวาดเลย หนูวาดไม่เคยเห็นตัวมาก่อน”
ผมยิ้มในความฉลาดของยายผม
“อ้อ หนูวาด หนูวาดรู้รึเปล่าว่าผู้หญิงที่มาเมื่อวันก่อนน่ะเป็นใคร” ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันก่อนเจอผู้หญิงมาจากเมืองเหนือสองคน
“อ๋อ ป้าคำเอื้อย กับลูกแกน่ะ พี่คำแก้ว” หนูวาดตอบก่อนจะขึ้นมานั่งกับผมบนศาลาริมน้ำ “แม่พี่คำแก้วพาพี่คำแก้วมาอยู่กับคุณชื่น”
“อ๋อ”  ผมมองไปที่เรือนใหญ่ หลายวันที่ผมมาฝึกทำอาหาร แต่ไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงคนนั้นมากนัก
“อ้อ หนูวาดได้ยินมาว่าพี่คำแก้วเป็นคู่หมั่นคู่หมายหลวงพินิจเรือนนู้น”
“หา” ผมเผลออุทานเสียงดังจนหนูวาดสะดุ้ง
“เป็นอะไร หนูวาดตกใจหมด” เธอทำท่าลูบหน้าอก
“ป่าวครับ ป่าว” ผมยิ้มแหยๆ แต่ในใจตอนนั้นรู้สึกจุกยังไงไม่รู้





“คู่หมั้นไอ้หมอบ้านั่นเหรอ” ผมนึก “หึ ใครได้แม่มโชคร้ายทั้งชาติ” แล้วผมก็ลุกขึ้นเดินไปโรงเรือน เพราะถึงเวลาที่คุณชั้นจะลงมาทำอาหารเย็นแล้วนั่นเอง
“ไปหนูวาด ไปช่วยผมทำกับข้าวกันดีกว่า” ผมเรียก เธอลุกขึ้นก่อนจะวิ่งตามผมมาติดๆ

พอผมมาถึงเรือนครัวยังไม่ทันจะเข้าไปก็ได้ยินเสียงคุณชื่นบ่นบ่าวไพร่ดังออกมาไม่ขาดสาย
ผมจับใจความตอนหนึ่งได้ว่า”
เรือนครัวนั้นมักเปนเหตุที่จะให้เกิดกลิ่นที่เปนมลทิน แลเปรอะเปื้อน ทั้งกลิ่นความ แลถ่านเท่าในเตาไฟ  อีกทั้งพวกของแห้งกะปิน้ำปลาก็จักต้องหมั่นตากแดดบ่อยๆ  เวลาจะประกอบอาหารก็เช่นกันควรจะมีผ้าไว้ผืนหนึ่ง ชุบน้ำเช็ดปากหม้อรอบนอกแลใน  แลให้เอาฝาละมีครอบไว้กันสิ่งที่เปนมลทินจะร่วงหล่นลงไป  แลดูก็น่ารับทาน”
ผมยืนฟังคุณชั้นบ่น เอ้ย สอนบ่าวก็เข้าใจความหมายของแกนะว่า เวลาทำอาหารสิ่งแรกที่คนทำอาหารต้องคำนึงถึงคือความสะอาด ไม่ใช่เพราะทำให้อาหารนั้นน่ากินเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อความสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคด้วย
ดูคุณชั้นเธอจะใส่ใจไปเสียทุกรายละเอียด
“คุณชั้นเจ้าคะ น้ำดอกไม้สดเจ้าค่ะ” บ่าวผู้หญิงคนหนึ่งยื่นขันน้ำให้คุณชั้น เธอรับมันมา แล้วมองมาที่ผมแวบนึง ก่อนจะละสายตาไป ผมนั้น เดินเข้าไปนั่งที่เดิมที่ผมเคยนั่ง
คุณชั้นหันไปซาวข้าวขาวสองถึงสามน้ำ ขณะนั้นผมชะโงกหน้าไปมองน้ำในขันนั้นก็พบว่าในขั้นนั้นเต็มไปด้วยดอกมะลิสีขาว กลีบดอกุหลาบสีแดง ลอยอยู่เส่องกลิ่นหอมกรุ่น
“ป้าๆ คุณชั้นทำอะไรน่ะ” ผมหันไปถามป้าอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเด็ดผัก
“อ๋อ คุณเค้าทำข้าวนึ่งน้ำดอกไม้สดน่ะ” ผมทำหน้าประหลาดใจ ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มันคืออะไรหรือป้า”
“ก็ข้าวขาวนี่แหละ เอาไปหุงในพิมพ์เคลือบ หรือพิมพ์เหล็กวิลาศ  รับทานกับแกงหรือมัจฉะมังษะก็ได้”
อะไรวะ ภาษาอะไรวะเนี๊ยะ งง ตอนแรกว่าจะถามต่อว่า มัจฉะมังษะคืออะไร แต่เห็นป้าแกยุ่งเลยไม่กล้าถาม
“สำรับข้าวนี้หุงได้หลายวิธี จะนึ่ง จะตุ๋น จะกลั่น หรือเอาไปผัดได้หมด สุดแล้วแต่จะรับทานกับเครื่องอันใด” คุณชั้นพูดขณะที่กำลังยกหม้อข้าวลงจากเตา เธอดูคล่องแคล่ว และถนัดทะแมงมากกว่าตอนอยู่บนเรือนเสียอีก
“นังเมี้ยน เอาหมูลงมาจากขื่อให้ที” คุณชั้นสั่ง ผมเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเนื้อหมูแดงแขวนลอยต่องแต่งๆ สมัยก่อนไม่มีตู้เย็นที่จะเอาไว้เก็บพวกเนื้อพวกไก่ คนสมัยก่อนเวลาจะกินหมูกินเนื้อทีต้องเป็นเรื่องใหญ่ หรือโอกาสพิเศษ เท่านั้น เพราะเก็บรักษายาก บางครั้งนำเอาไปผัดเค็ม ส่วนไก่ก็เอาไปรวน บางทีหมูสด หรือเนื้อสดก็เอามาทาเกลือ แล้วแขวนผึ่งแดด ผึ่งลมไม่ให้เน่า แต่เก็บไว้ได้ไม่นาน คนสมัยก่อนจึงนิยมกินปลา กินอาหารทะเล หรือไก่กันเสียมากกว่า
ป้าเมี้ยนหยิบหมูที่ร้อยด้วยเชือกกล้วยลงมาส่งให้คุณชั้น เธอรับมาแล้วหั่นมันแช่น้ำอย่างรวดเร็ว
จากนั้นคุณชั้นได้เอาเกลือ พริกไทย เยื่อเคยแกง หอม รากผักชีปลากรอบแกะเอาแต่เนื้อ ใส่ลงไปในครก แล้วสั่งให้บ่าวยกเอามาให้ผม “ตำ”
“อีกและ เฮ้อ” ผมบ่น มองดูกล้ามแขนตัวเองที่ปูดเป็นลูก ผมลงมือตำ ตำ และตำอย่างไม่ลืมหูลืมตา
คุณชั้นเอาหมูที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมใส่ในหม้อ ตั้งไฟ เคี่ยวพอแตกมัน จากนั้นก็ใส่ น้ำเชื้อหรือน้ำซุปสมัยเรานี่แหละ ละลายเครื่องแกงที่ผมตำไว้แล้วเทใส่ตามลงไปในหม้อ แล้วแกก็ก้มลงไปแหย่ไฟให้ไฟแรงขึ้น
น้ำในหม้อเริ่มเดือด มันของหมูลอยขึ้นมาจนมันเลื่อมสวยงามน่ากิน สักพักใหญ่เมื่อหมูเปื่อย คุณชั้นจึงหยิบเอาสัปะรดที่หั่นเป็นชิ้นลงไป ตามด้วยน้ำส้มมะขามเปียกให้ความเปรี้ยว น้ำปลา น้ำตาลหม้อ เทลงไปแล้วก็เคี่ยว
ผมนั่งดูอย่างตั้งใจพยายามจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่คุณชั้นทำ ด้วยความหวังเล็กๆที่ว่า วันหนึ่งผมจะต้องเก่งและหากมีโอกาสได้กลับบ้านไปในยุคปัจจุบัน ผมจะได้เอาความรู้เหล่านี้ไปกอบกู้ชื่อเสียงของร้านกลับคืนมา
คุณชั้นเปิดฝาหม้ออกมา กลิ่นหอมของรากผักชี กับพริกไทยลอยมาเตะจมูก สีสันของมันน่ากิน ผมไม่รู้ว่าไอ้ต้มนี่คืออะไร รู้แต่ว่ากลิ่นหอมของมันนั้นทำให้ผมแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว
“ต้มสัปะรดกับหมู ของกินง่ายๆ สมัยที่ชั้นอยู่ในเรือน.........” เธอยิ้มเล็กๆอย่างมีความสุข แต่เมื่อพูดถึงเรือน…. เธอก็หยุดชะงัก แล้วร่องรอยของความสุขเมื่อครู่ก็หายไป
“นังแม้น นังเมี้ยน ทำสำรับที่เหลือ เราจักขึ้นเรือน” จู่ๆ คุณชั้นที่อารมณ์แจ่มใสเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นอีกคนนึงที่ดูโกรธเกรี้ยวน่าเกรงขาม
“เจ้าค่ะ” บ่าวทั้งคู่ขานรับพร้อมกัน
……………………………………………………………………………………………………….






“สน นายว่างานภูเขาทองที่จัดขึ้นน่ะ มันมีอะไรนะ” ผมถามสนเย็นวันนั้นหลังจากที่กลับมาจากเรือนคุณชั้น
“อ๋อ มีงิ้วจากเมืองจีนน่ะ” เขานั่งฝนหมึกอยู่ในศาลาบนเรือนให้หมอปีย์
“มาจากเมืองจีนเลยเหรอ เขาเดินทางกันยังไงอ่ะ”
“โล้สำเภามา หลายเพลาอยู่เหมือนกัน หลวงจรัสเคยเล่าให้ข้าฟังว่าตอนท่านกลับบ้านเมืองท่านที่มะริกันนู่น ใช้เวลาเป็นเดือนๆทีเดียว”
“โห นี่นี่” ผมขยับไปใกล้ “นายรู้ป่าวว่าสมัยชั้นนะ ไปเมืองจีนใช้เวลาแค่ 3-4 ชั่วโมงเอง”
“เป็นไปได้กระไร เจ้าอย่ามาปด” สนทำท่าไม่เชื่อ
“จริงจริง นี่นะ เราน่ะจะนั่งบน เอ่อ บนนกเหล็กอ่ะ แบบว่า “ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีวุ้ย “คือมันเป็นเหล็กนะ มีปีกด้วย แบบนี้อ่ะ” ผมเอาพู่กันที่แช่หมึกไว้มาวาดลงบนกระดาษที่รองหมึกเป็นรูปเครื่องบิน สนทำท่าสนใจ
“แบบนี้อ่ะ”
“มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร เหล็กจะลอยได้ เป็นไปไม่ได้ดอก”
“เป็นไปได้สิ ชั้นก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
“เจ้านี่ท่าจะบ้าสมชื่อ ถ้าเจ้าบอกว่า หายตัวได้ ข้ายังเชื่อมากกว่าเสียอีก”
“เฮ้ยจริงนะเว้ย ชั้นไม่ได้บ้า แล้วเดี๋ยวนะในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ บ้านเมืองสยามจะมีรถไฟเป็นครั้งแรกด้วย เออ ที่พวกนายเรียกม้าเหล็กนั่นแหละ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ท่าจะบ้าจริงๆ” สนระเบิดหัวเราะออกมา ผมงี้โคตรหงุดหงิดเลย ไม่รู้จะอธิบายยังไง พูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ
.
.
.
.
.
“ไม่มีงานอื่นทำแล้วรึ อ้ายสน” หมอปีย์เดินหน้าบึ้งออกมาจากในห้อง ผมนึกว่าวันนี้มันไม่อยู่เสียอีก ไม่เห็นหน้าตั้งแต่เช้า
“ทำหมดแล้วขอรับ” สนก้มหน้าตอบ
“แล้วงานที่เรือนหลังสวนเล่า” หมอนั่นวางมาด ยืนเอามือไพร่หลัง
“เอ่อ.........................”
“ถ้าเจ้ามีความสุขกับการอยู่เรือนใหญ่มาก เราจะเปลี่ยนให้มาอยู่เสียที่นี่เลย เอาหรือไม่”  มันดุ
“ไม่ขอรับ” สนรีบก้มหน้ามุดหายลงไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว
ผมทำหน้าเบ้ ก่อนจะเมินหน้าออกนอกเรือน หมอนั่นนั่งลงใกล้ๆผม หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรหยิกๆ
“วันนี้เจ้ากินข้าวคนเดียวนะ เราจักไปธุระ เรือนคุณชั้น” หมอนั่นพูด
“จะไปหาคู่หมั้นเหรอ” จู่ๆผมก็พูดโพร่งออกมาโดยไม่ทันคิด
หมอปีย์หันมามองด้วยความประหลาดใจว่าผมรู้เรื่องได้อย่างไร
“ไม่ใช่ธุระกงการอันใดของเจ้า”
“โด่ ชั้นก็ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของนายมากเท่าไหร่นักหรอก มีแฟนแล้วก็ดี๊” ผมทำเสียงสูง “เผื่อฮอโมนส์มันจะคงที่กับเขามั่ง”
“ดูเหมือนเจ้าจะมีความสุขที่เห็นเรามีคู่หมั้น”
“อ่าว ก็แหงสิ ทำไมต้องมีความทุกข์ด้วยหล่ะ เรื่องน่ายินดี” แต่ดูเหมือนหมอนั่นไม่ได้ยินดีเอาเสียเลย
“เป็นอะไรไม่ดีใจเหรอ จะได้แต่งงาน” ผมล้อ เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น
แต่เปล่าเลย มันกลับยิ่งทำให้แย่ลง หมอนั่นโกรธจัด ลุกขึ้นยืนก่อนจะกระแทกเท้าโครมๆเดินกลับเข้าห้องไป
“ปากหมาอีกแล้วสิกู เฮ้อ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-02-2011 20:38:05 โดย เซ็งเป็ด »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด